ข้อความจากต่างมิติ-ก้าวกระโดดทางวิวัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ไปสู่มิติที่ 5

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 30 มิถุนายน 2010.

  1. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529

    ถ้าเข้าใจไม่ผิดคัมภีร์ Tanya นี้น่าจะเป็นหนึ่งในอรรถกถาของคัมภีร์โตราห์ ซึ่งโดยส่วนตัวลุงก็หามีความรู้เรื่องนี้ไม่ แต่เข้าใจว่าคัมภีร์ Tanya เท่าที่เห็นสาระก็เข้าใจว่าน่าจะมีลักษณะเป็นมิสติสแบบยิว ซึ่งอันที่จริงแล้วน่าจะขยายจนกลายมาเป็นรากเหง้าของพวก คับบาลาห์ ซึ่งก็คือมิสติกแบบยิว บางคนเข้าใจว่าเป็นกลุ่มไสย์ศาสตร์แบบยิวกลุ่มเวทย์มนต์แบบยิวซึ่งไม่ใช่มันไม่ใช่แค่นั้น พวกคับบาลาห์ ใช้วิธีแบบมิสติก

    สาระก็คล้ายๆๆกับตันตระของทิเบต สังเกตว่า คับบาลาห์หมายความว่าการได้รับถ่ายทอดผ่านปากต่อปากมานาน ตันตระแบบทิเบตท่านก็เรียกสายท่านว่าสายแห่งการกระซิบบอก หรือtree of life ของพวกนี้ก็คล้ายๆๆกับแมนเดล่าซึ่งพวกทิเบตนิยมสร้างและใช้ในการฝึกฝนทางตันตระ

    นอกจากนี้แล้วดูจักมีความคล้ายคลึงกับ ซูฟีย์ของอิสลาม ศาสนาพื้นเมืองของชนพื้นเมืองในอเมริกาเหนือ แม้กระทั้ง เซน และ เต๋า แม้จะเป็นในบริบทของการอธิบายคัมภีร์โตราห์และอื่นๆๆของศาสดาพยากรณ์ทั้งหลาย องค์ทะไลลามะให้ความสนใจและสนทนากับพวกคับบาลาห์ นี้มากมีการสนทนากันบ่อยๆๆถึงความคล้ายของตันตระแบบพุทธกับสาระการปกิบัติของพวก คับบาลาห์

    จริงๆๆพวกคัมภีร์ยิว นี่ค่อนข้างจะลึกลับเพราะพวกยิว ถือว่าคัมภีร์มีสองส่วนคือส่วนที่พระเจ้าเปิดเผยลงมาตรงๆๆก็มีการจารึกซึ่งก็คือ The Old Testament ของชาวคริสต์หรือ Tanak ของยิว ซึ่งโตราห์เป็นหนึ่งในชุดนี้ อีกส่วนหนึ่งถือว่าเป็นสิ่งเร้นลับรู้กันภาย ในไม่เปิดเผย ซึ่งพระเจ้าเป็นผู้เปิดเผยแก่ชาวยิวถึงความหมายอันเร้นลับของคัมภีร์The Old Testament คล้ายๆๆอรรถกถา เรียกว่าTalmud ในรูปของคัมภีร์Mishnah ในปัจจุบัน
    ในสมัยพระเยซูก็มีคนสองกลุ่มคือ ฟาริสีซึงสนับสนุนและยอมรับ กับ พวกสะดูสีซึ่งปฏิเสธ
    แต่เข้าใจว่าคัมภีร์กลุ่มนี้ในยุคหลังก็คงจะมีบางเล่มคงโจมตีพระเยซูไว้อย่างเผ็ดร้อน ชาวคริสต์ก็เลยไม่มีการพูดถึงหรือแปลส่วนนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์ไบเบิ้ล และมีการเผาทำลายลงทิ้งไปเป็นจำนวนมาก ทีนี้ในกลุ่มผู้แสดงอรรถกถานี้พวก คับบาลาห์ก็เป็นกลุ่มหนึ่งในนี้ในการตีความออกไปเข้าใจว่าน่าจะได้อิทธิผลจากศาสนาของอินเดียเข้ามาด้วยในหมู่นักคิด แล้วพัฒนาปรัชญาหรือตีความธรรมะออกไปแบบนั้น เพราะลุงสังเกตจากหนังสือของพวกนี้ที่ตีพิมพ์ในภาษาอังกฤษซึ่งก็เห็นพ้องด้วยในการตีความพอสมควร ฝรั่งโดยเฉพาะดาราเป็นสมาชิกกันอย่างคับคั่ง

    อย่างไรก็ตาม การศึกษาThe Old Testament จำเป็นต้องดูบริบทของประวัติศาสตร์ประกอบด้วยก็จะเข้าใจว่าทำไมถึงเขียนไปแบบนั้นแล้วก็จะเห็นวิวัฒนาการทางความคิดเป็นลำดับเช่นพระเจ้า ซึ่งจาก ที่เป็นเหมือนมนุษย์ก็กลายมาเป็นดวงกลมๆๆซึ่งไม่เหมือนมนุษย์ดูพระเจ้าปรากฏกับโมเชจะเห็นว่าต่างจากที่ปรากฏต่อฮับบาฮัม

    จากพระเจ้าของชนเผ่า ก็กลายมาเป็นพระเจ้าของทุกเผ่าพันธ์ และกลายมาเป็นความรักและสัจธรรมพ้นไปจากแค่มิติของความเป็นบุคคล(ตามทัศนะของพระเยซูและพอล)
    The Old Testamentบางส่วนก็เป็นคำสอนที่ลึกซึ้งมากเช่นในส่วนของGenesis ,Proverbs,Ecclesiastes



    ส่วนพระเยซูนี่เป็นยิวใหม่ที่มีความคิดแหวกออกไป แต่ดูจะเข้ากันได้กับการตีความของพวกคับบาลาห์ซึ่งเป็นกลุ่มหนึ่งในพวกถือยูดาย อีกอย่างหนึ่งคำสอนของพระเยซูและพอลนั้นมีลักษณะเป็นแบบมิสติก คือเข้าใจตามตัวอักษรไม่ได้และพูดแบบเป็นข้อขัดแย้งเหมือนเต๋าเต้อจิง จะเอาแบบที่นักเทศน์ยุคนี้สอนตามตัวอักษรแบบทุกวันนี้ไม่ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 มกราคม 2014
  2. LadyOfLight

    LadyOfLight เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    755
    ค่าพลัง:
    +2,472
    ขอบคุณคุณลุงมากค่ะ ที่กรุณาให้ข้อมูล ^ ^
    ถึงว่าสิคะ ข้อมูลเนื้อหาเกี่ยวกับคัมภีร์นี้หายากมาก เรียกว่าหาแทบไม่ได้เลยด้วยซ้ำในอินเทอร์เน็ต
    นี่ถ้าไม่มี synchronicity หลายๆครั้งถึงชื่อนี้ โซ่ก็คงไม่รู้จักมัน
    และเป็น synchronicity ที่เกิดกับตัวเองต่อเนื่องจากเลขชุดสุดบรรเจิด 111 222 333 444 ของตัวเองด้วย
    สงสัยคงจะหาผู้รู้จริงถึงคัมภีร์ชุดนี้ยากเสียแล้ว
    คงได้แต่หวังว่าจะได้เจอแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับคัมภีร์นี้จริงๆจังๆเข้าสักวันในอนาคตอันใกล้

    เรื่องการทำความเข้าใจในแนวมิสติกแบบที่คุณลุงอธิบายมานี่
    โซ่เข้าใจว่ามันน่าจะเป็นวิสัยปกติของโซ่เองก็ว่าได้เลยนะเนี่ยะ(อาจจะเป็น innate เลยด้วยซ้ำไป)
    เพราะความเข้าใจในแบบนี้ มันเป็นเรื่องที่อธิบายออกมาเป็นความที่ตรงประเด็นได้ยากมาก
    จนถ้าคิดจะอธิบายมันออกมา ตัวโซ่เองนี่แหล่ะที่จะกลายเป็นผู้ที่สื่อสารออกไปผิดๆ
    ผู้รับก็จะเข้าใจผิดทั้งความที่รับจากโซ่ไปหรือตัวประเด็นความเอง
    ตอนนี้โซ่เข้าใจละว่ามันเป็นแบบมิสติกนี่เอง ขอบคุณคุณลุงมากๆค่ะ ^ ^
    ได้คำตอบแบบตรงคำถามเปะก็คราวนี้เองในเรื่องการสื่อสารเกี่ยวกับธรรมที่โซ่เข้าใจ

    เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มากเลยเกี่ยวกับคัมภัร์ Tanya นี้ที่โซ่รู้สึกว่าน่าจะได้เจออะไรที่ match กับตัวเองเสียทีค่ะ
    เดี๋ยวจะลองหาข้อมูลของคับบาลาดูอีกทาง

    ขอบคุณคุณลุงค่ะที่ให้แนวทางในเรื่องนี้ ^ ^

    ปล.ส่วนลงท้ายที่คุณลุงกรุณามาอธิบายเพิ่มเติมเรื่องควันหลง

    "จริงๆๆไอ้ควันลงเหล่านี้มันก็มีคุณค่าดีอยู่หรอก ตราบเท่าที่รู้เท่าทันมัน มิใช่หลงใหลอย่าเฟ้อคลั่ง เล่นกับพลังบางอย่างสุดท้ายก็ถูกมันทำลายเอาเสียราบคราบ เช่น บางคนพูดถึงการฝึกปราณยามะ จักระ กุณฑลินี เทือกนี้แต่ปราศจากความเข้าใจพื้นฐาน หรือกระทั้งมีกลุ่มที่พูดเรื่องกามมุทรา แต่ไม่มีความเข้าใจเรื่องพื้นฐาน สุดท้ายก็บังเอิญปลุกพลังนั้นขึ้นมาแลย่อยยับไปกับมัน ......

    กระนั้นก็ยังดี เพราะบางทีนี่อาจจะมองในมุมกลับกันได้ว่า ในที่สุดศตวรรษนี้ก็อาจจะเป็นศตวรรษแห่งเมล็ดพันธุ์แห่งโพธิที่ผู้นำจิตวิญญาณยุคนั้นได้หว่าโปรยไปได้งอกเงยขึ้นมาก็เป็นได้...."

    เป็นอะไรที่ดีมากๆค่ะ และแสดงให้เห็นถึงความใจกว้างไม่คับแคบของคุณลุงได้ดี

    (ตอน copy ข้อความส่วนนี้มา คำว่า "กุณฑาลินี" ก็กลายเป็นสีน้ำเงินไปเองโดยที่โซ่ไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น
    พอ paste ปุ๊บ ก็เป็นสีน้ำเงินปั๊บ โซ่เลยไม่แก้ไขค่ะ อาจเป็นการสื่อสารถึงอะไรบางอย่างก็เป็นได้)
     
  3. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ก็..เอาเป็นว่า อย่าเพิ่งไปเชื่อใครทั้งนั้นนะครับ
    ให้จดจ่อสติกลับเข้าไปภายในศูนย์กลางหัวใจอันศักดิ์สิทธิ์ของตัวเราเองก่อน
    ซึ่งเป็นจุดที่จิตวิญญาณของเรา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
    ใช้ติดต่อสื่อสารกับเรา แล้วจากนั้น ก็ค่อยๆจับความคิดและความรู้สึก
    ที่เกิดขึ้น ณ.ตรงนั้นดู ว่ามันรู้สึกอย่างไรกับแนวคิดนั้นๆ
    หรือกับคำพูดนั้นๆ หรือกับข้อความนั้นๆ ที่คนๆนั้นบอกเรามา

    ต่างมิติทั้งหลายบอกอยู่เสมอว่า ถ้าเราฝึกจนใช้การได้ดีพอแล้ว
    มันจะทำให้เราได้คำตอบที่ไม่มีวันผิดพลาดเลย

    .........................................................

    บางส่วนของข้อความล่าสุดจากท่านมิคาเอล
    ที่มา: The Golden Angel » “RITUAL OF PASSAGE INTO A FIFTH-DIMENSIONAL REALITY” – January 2014 (Ronna Herman)


    ยิ่งโลกแห่งความเป็นจริงแบบเก่า ค่อยๆเลือนหายไปมากขึ้นเท่าไหร่
    และยิ่งพวกคุณเข้าไปอยู่ในปริมณฑลที่ไม่คุ้นเคยมากขึ้นเท่าไหร่
    พวกคุณก็จะยิ่งต้องเรียนรู้ที่จะ “เชื่อมั่น” และ “ศรัทธา”
    ในอนาคตที่กำลังเผยตัวมันเองออกมาอยู่นี้ มากขึ้นเท่านั้นด้วย

    ว่า..ไม่ว่าหลายๆครั้ง มันจะมีความวุ่นวายโกลาหลเกิดขึ้นมากแค่ไหนก็ตาม
    และไม่ว่าหลายๆครั้ง มันจะดูยุ่งเหยิงมากแค่ไหนก็ตาม
    แต่อนาคตของพวกคุณก็จะยังคงเปิดเผยตัวมันเองออกมาอย่างสมบูรณ์แบบเสมอ

    อันดับแรก พวกคุณจะต้องเรียนรู้ที่จะเชื่อมั่นในตัวเองก่อน
    ซึ่งขั้นตอนนี้ อาจจะเป็นขั้นตอนที่ยากมากที่สุด
    สำหรับพวกคุณก็เป็นได้ เพราะว่าพวกคุณได้ถูกสอนมาว่า
    คนอื่นฉลาดกว่าพวกคุณ และพวกเขาก็รู้ดีว่า
    อะไรที่ดีที่สุดสำหรับพวกคุณด้วย
    ซึ่งเรื่องนี้ก็อาจจะเป็นเรื่องจริง เมื่อสมัยที่พวกคุณเป็นเด็ก
    แต่ว่า..ตอนนี้ พวกคุณได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
    และโอกาสทองก็อยู่ข้างหน้าของพวกคุณนี่เอง

    เพราะว่าตอนนี้ ภูมิปัญญาของ “สัจธรรมระดับจักรวาล”
    ที่เป็นสัจธรรมชั้นสูงกว่า ได้มาอยู่ที่นี่พร้อมแล้ว
    สำหรับมนุษย์โลกทุกผู้ทุกนาม

    พวกเราที่อยู่ในมิติที่สูงๆกว่าทั้งหลาย
    ได้ยกกำลังกันมาอยู่ที่นี่เป็นกองทัพขนาดใหญ่
    เพื่อมาให้ความช่วยเหลือพวกคุณ
    ในกระบวนการกลายเป็นผู้รู้ผู้ตื่น (Self-Mastery) ของพวกคุณ
    และเพื่อมาให้ความช่วยเหลือพวกคุณ
    ในการกอบกู้เอาสถานภาพที่แท้จริงของตัวเอง
    ในฐานะที่เป็น “รูปธรรมชีวิตมนุษย์ที่มีจิตวิญญาณครอง”
    กลับคืนมาให้จงได้


    [​IMG]
    (ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

    ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ในภพชาติส่วนใหญ่ของพวกคุณทุกๆคน
    ที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่บนดาวเคราะห์โลกดวงนี้ พวกคุณต่างก็ได้พากัน
    สูญเสียพลังอำนาจของตัวเองไปแล้ว ด้วยกันทั้งสิ้น เพราะว่าพวกคุณ
    ถูกสร้างเงื่อนไขมา และถูกทำให้คุ้นเคยกับการ “เป็นผู้ตามที่ดี” (herd state)
    มาโดยตลอด ซึ่งเป็นสถานะที่คนอื่นๆซึ่งเป็นผู้มีอำนาจ เป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ
    ให้กับพวกคุณ และเป็นผู้คอยบงการว่าพวกคุณจะต้องทำอะไรบ้าง
    ซึ่งไม่ว่าพวกคุณจะชอบมันหรือไม่ก็ตาม แต่พวกคุณก็ได้ยินยอมคล้อยตาม
    กฎเกณฑ์และข้อบัญญัติที่เป็นที่ยอมรับกันในเวลานั้นไปเรียบร้อยแล้ว
    เพราะว่าพวกคุณจะรู้สึกว่าเป็นการปลอดภัยมากกว่า ถ้าไม่ไปต่อต้านมัน
    และถ้าไม่พยายามไปสร้างแผนที่เส้นทางเดินชีวิตของตัวเองขึ้นมาเอง


    องค์ประกอบที่ขาดเสียมิได้ของการเป็นผู้รู้ผู้ตื่นก็คือ
    การเรียนรู้ที่จะปฏิบัติการผ่านปัญญาของ “หัวใจอันศักดิ์สิทธิ์” ของพวกคุณเอง
    เพราะว่าเมื่อใดที่พวกคุณสามารถทำให้การเชื่อมต่อระหว่าง
    “จิตใจอันศักดิ์สิทธิ์” ของตัวเอง (อยู่ที่ต่อมไพเนียล – ผู้แปล)
    กับ “หัวใจอันศักดิ์สิทธิ์” ของตัวเอง (อยู่ที่จักระที่ 4 – ผู้แปล)
    เข้มแข็งขึ้นได้แล้ว พวกคุณก็จะเริ่มสามารถเข้าถึง
    ภูมิปัญญาของ “จิตวิญญาณ” ของตัวเอง
    หรือของ “ตัวตนที่สูงส่งกว่า” ของตัวเอง
    หรือของ “ตัวตนหลากมิติ” ของตัวเองได้

    ซึ่งจิตวิญญาณ, ตัวตนที่สูงส่งกว่า, เหล่าเทพผู้นำทาง, เหล่าเทพผู้พิทักษ์ของพวกคุณ
    และทวยเทพผู้ที่คอยให้ความช่วยเหลือพวกคุณอยู่
    จะติดต่อสื่อสารกับพวกคุณผ่านทางจิตวิญญาณของพวกคุณ
    และผ่านทางหัวใจอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกคุณ

    ดังนั้น เสียงกระซิบจากวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ (Spirit) ที่แว่วอยู่ในใจของผู้ที่ยังไม่ตื่นขึ้น
    จึงเป็นเสียงแห่งภูมิปัญญาและการปลอบประโลมที่เต็มไปด้วยความรัก และพลังอำนาจ
    ในขณะที่พวกคุณกำลังตื่นขึ้นมาสู่ความเข้มแข็ง และความมีอำนาจสูงสุด
    ในความศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองอยู่นี้

    ...............................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • abuse-1.jpg
      abuse-1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      42.7 KB
      เปิดดู:
      984
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มกราคม 2014
  4. ิBat of light

    ิBat of light เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2012
    โพสต์:
    687
    ค่าพลัง:
    +842
    แหม...ว่าจะตอบท่านเทพอภิบาลซะหน่อย แล้วจะโชว์การซิ๊งค์ ให้ดูซะนิดนึง
    แต่เจอท่อนนี้เข้าไป ต้องขอลัดคิวก่อนล่ะครับ

    เทคนิคการใช้งานจักระที่หว่างคิ้ว กับจักระหัวใจพร้อมกันสองอัน
    เราเคยอ่านเจอจากหนังสือการฝึกลมปราณเล่มนึง ของจ้าวก็อกสุ่ย
    เค้าเรียกว่าการแผ่เมตตาโดยใช้หัวใจสองดวง

    เราอ่านเจอเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว และได้ทดลองใช้ดูด้วยล่ะครับ
    ก็ทำสมาธิที่จักระหว่างคิ้ว และตามด้วยจักระหัวใจ
    คล้ายๆ ปลุกจักระทั้งสองให้ตื่นตัวขึ้น อัดพลังเข้าไป ให้มันแน่นๆ หน่อย

    แล้วก็ปล่อยมันออกมา ให้เป็นคลื่นพลังงาน แผ่กระจายออกไปรอบตัว
    เราทดลองปล่อยจักระที่หว่างคิ้วก่อน แล้วตามด้วยจักระหัวใจ
    ทั้งสองคลื่นพลัง กระจายตามกันไปรอบด้าน สามร้อยยยยยหกสิบองศา

    จากในจิต ก็รับรู้สึกได้ว่าคลื่นได้เคลื่อนที่ออกไปเป็นวงกว้างมากๆ
    รัศมีที่จิตตามไปได้ น่าจะหลายกิโลเลยล่ะ ที่ลองทำเล่นดูน่ะนะ
    ก็สนุกดีนะ รู้สึกดีที่ได้ทำ ได้ลองเล่นอยู่บ่อยๆ นะช่วงนั้น
    และก็ได้ทำเป็นครั้งคราวมาตลอด แล้วแต่อารมณ์ หรือ"ฝั่งโน้น" สะกิด

    อ่านเจอของท่าน เลยนึกขึ้นได้ ว่าจะโม้ให้ฟังนานแล้ว เพิ่งมีโอกาสเหมาะ
    ก็ไม่รู้ว่าบังเอิญครั้งที่ล้าน หรือใครจัดฉากให้กันน๊า ชักสงสัยอีกแล้วสิท่าน 555

    ต้องไปตัดผมแล้ว เลยไม่ได้โพสท์ตอบท่านเทพเลย
    คงเป็นเสาร์หรืออาทิตย์ ที่จะเข้ามาอีกที
    บวกกับโพสท์การซิ๊งค์ (synchronicity ก็อปท่านเลดี้มาซะเลยดีกว่า บังเอิญมาอยู่ใกล้ๆ)
    ซึ่งก็บังเอิญบ่อยจังเลยนะเรา เฮ้อ...สงสัยคงใกล้ไม่ได้เป็นคนเข้าไปทุกที 555


    นักรบแสง / วิญญานกระต่ายป่า ข้างวัด

    .
     
  5. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    อ่านโพสชองคุณชยุต(ที่8248) อ่านทุกตัวอักษร และคิดตาม..สุดยอดมากค่ะ(แบบนี้แหล่ะ คือผู้พัฒนาทางจิตวิญญาณที่แท้จริง ขอชื่นชมจากใจ)

    ..มองโลกแง่ดีมีผล
    เห็นคนอื่นดีมีค่า
    ปลุกใจให้เกิดศรัทธา
    ตั้งหน้าทำดีมีคุณ..
     
  6. LadyOfLight

    LadyOfLight เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    755
    ค่าพลัง:
    +2,472
    อย่าเพิ่งคิดกันไปไกลหรือตื่นตูมอะไรกันมากเลยค่ะ
    เพราะโซ่ไม่ได้รู้สึกเลวร้ายอะไรคำกล่าวของท่านลุงเทพอภิบาลนัก ซึ่งต่างกับของอีกท่านนึงที่เคยมาพูดที่นี่ค่อนข้างชัดเจนค่ะ
     
  7. L-Walkers

    L-Walkers เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2013
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +176
    ขอบคุณ (kiss)(f)
     
  8. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    จักว่าอย่างงั้นก็ได้ ว่าจักหาผู้รู้จริงถึงคัมภีร์ชุดนี้ยาก ยกเว้นแต่คนของเขาเองผู้ที่ใช้ชีวิตตามนี้จริงๆๆิ เราไม่ได้เกิดในวัฒนธรรมของเขาไอ้การที่จะเข้าใจถึงแก่นถึงสาระของเขานี่ยากยกเว้นเราจักไปเรียนรู้ซึบซับมันจริงๆๆ ดังนั้นชาวพุทธจึงไม่เห็นว่าฮินดูนั้นงดงาม ชาวคริสต์ไม่เห็นว่าอิสลามนั้นงาม ส่วนหนึ่งก็เพราะเราไม่เคยได้ดื่มด่ำภายใต้รากเหง้าหรือวัฒนธรรมแบบนั้นอย่างไรก็ตามเอาเข้าจริงตัววัฒนธรรมของเราเองบางทีเราก็อาจจะไม่เข้าใจไม่ซึมซาบกับมันเลยก็ได้ ไม่เห็นถึงความสำคัญ แต่กระนั้นก็มีบางคนที่หันหลังให้กับวัฒนธรรมของตน แล้วกับไปซาบซึ้งวัฒนธรรมของตนในขณะที่กำลังดื่มด่ำวัฒนธรรมอื่นอยู่ อย่างเช่น คนๆๆหนึ่งในชีวิตไม่เคยกระจ่างในคำสอนของพระเยซูเลย แต่พอเขาหันหลังล่ะทิ้งความเป็นคริสต์มาเป็นพุทธ ในขณะที่กำลังอ่านพระสูตรในพุทธศาสนา ถ้อยคำในไบเบิ้ลที่เขาไม่เคยเข้าใจมาก่อนก็ผลุดขึ้นมาซึมซาบในใจ เขากับกระจ่างในสิ่งที่สมัยเป็นคนในแล้วเขามองไม่เห็น...แล้วเขาก็ระเบิดอารมณ์ขันขึ้นมา

    ทีนี้ประเด็นรหัสยิก อันที่จริงศาสนาก็เป็นเรื่องของรหัสยิก ยกตัวอย่างคุรุจักเป็นผู้สร้างรหัสบางอย่างเพื่อสื่อสารกับศิษย์ เช่นสถานการณ์ที่บีบครั้น หากในขณะนั้นศิษย์สามารถเข้าใจได้ถึงรหัสนั้นก็หมายความว่า มีการสื่อสารระหว่างสองจิตเกิดขึ้นแล้ว บริบทนี้เราจักพบได้ในศาสนาทั่วโลก เช่น ลูกถีบของอ.เซน พฤติกรรมบ้าบอคอแตกของอ.เซนแต่กลับหนุนนำให้ศิษย์ที่ติดอยู่ที่ปานประตูของธรรมได้เข้าไป ในทิเบตเรื่องพวกนี้ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญยิ่งคุรุจึงได้รับการบูชาเยี่ยงพระพุทธองค์ เพราะคุรุจักเป็นผู้สร้างรหัสบางอย่างเพื่อสื่อสารกับศิษย์ถ้าศิษยืเข้าใจได้นั้นก็ถือว่า คือการอภิเษกที่แท้จริง นอกจากนี้ยังมีภาพเขียนแปลกๆๆ การสร้างมนฑลธรรมขึ้นมาซึ่งเป็นรูปแบบของรหัสที่จักต้องเรียนรู้ที่จักอ่าน หรือกระทั้งเมื่อพระคริสต์ทรงยกขนมปังและไวท์ขึ้นมาแล้วพูดกับสาวกว่า นี่คือเนื้อและเลือดของเรา นี่ก็เป็นเรื่องมิสติก ในนิกายคาทอลิกจักมีการนำสัญลักาณืทางรหัสนัยต่างๆๆมากมายมาใช้ นี่คือตัวอย่าง ประเด็นก็คือสัทธรรมตัดสารตรงถึงเราตลอดเวลา แต่เราไม่รู้วิธีที่จะเข้าใจมัน เราเข้าใจผิดที่คิดเอาเองว่าเราต้องทำบางประการเพื่อให้สัทธรรมเผยตัวออกมา แต่ความจริงมันเผยตัวออกมาตลอดเวลา แต่เป็นความมืดบอดของเราเองที่มองไม่เห็น วิถีแห่งรหัสยนัยถูกคิดค้นขึ้นเพื่อให้ผู้คนได้เตรียมพร้อมเพื่อที่จักอ่านรหัสเหล่านั้น..กล่าวได้ว่าคุรุแท้จึ่งไม่ใช่แค่บุคคล แต่เป็นอะไรก็ได้ แม้เพียงก้อนหินก้อนหนึ่ง ในสายธรรมทิเบตเมื่อนาโรปะ ผู้เป็นอธิการแห่งมหาวิทยาลัยนาลันทาเกิดสงสัยในความรู้ของตน ท่านเจนจบทุกสิ่ง ปรัชญาทุกอย่าง แม้แต่ที่ไม่ใช่พุทธแต่ท่านก็ยังคิดว่าท่านเข้าใจเพียงถ้อยคำ นโรปะได้ยินว่ามีผู้สำเร็จยิ่งใหญ่นามว่าติโลปะ ท่านจึ่งออกเดินทางตามหาติโลปะ ในระหว่างทางท่านพบกับเหตุการณ์ชวนสติแตกมากมาย ซึ่งสุดท้ายก็ชี้ให้ท่านเข้าใจเรื่องนี้ เช่นท่านพบหมาเน่าตัวหนึ่งนอนตายอยู่ด้วยความขยะแขยงท่านก็เอามือปิดจมูกแล้วรีบๆๆข้ามมันไป ทันใดนั้นเองหมาเน่าก็กลายมาเป็นสายรุ้ง และมีเสียงดังว่า เจ้าจะพบคุรุได้อย่างไร หากในใจของเจ้ายังมีการแบ่งแยก(สะอาด มีสกปรก) เจ้ากำลังเดินผิดทางใช่ไหม? นโรปะตระหนักว่านั้น หมาเน่าตัวนั้นแท้ที่จริงแล้วคือครู


    ทีนี้เรื่องจิตสำนึกใหม่ ยุคใหม่ อะไรก็ตาม เหล่านี้ก็เป็นรหัส มันชี้ชัดว่าผู้คนตะหนักว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ดูผิดปกติแตกต่างออกไปบางสิ่งที่คุกคาม บีบรัด ปั่นป่วนสับสนยิ่ง ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึ่งมองไปที่ความหวัง หรือคำมั่นสัญญาบางอย่างอย่างเช่น ชาวยิวผู้ถูกกดขี่ต้องการพระเมสิอาห์ ผู้ซึ่งคือดาวิทคนใหม่ที่จะมานำพาประชาชาติและสร้างอณาจักรยิวที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง ในพุทธศาสนาก็มีการพูดเรื่องแดนสุขาวดี หรือ กระทั่งชัมบาลาของทิเบต นี่ไม่ใช่ประเด็นใหม่แต่อย่างใด แต่ความผิดพลาดอยู่ที่ ความหวัง มันสัมพันธ์กับอนาคต อนาคตที่ไม่เคยมีวันมาถึง และความหวังก็นำมาซึ่งการหลอกตัวเอง กระพือตัญหาและความสับสนให้ยิ่งแรงกล้าขึ้นไป สิ่งนี้พัฒนาออกไปจนถึงกับตั้งขบวณการคนที่เชื่อเหมือนๆๆกันขึ้นมาเพื่อสนับสนุนความเชื่อซึ่งกันและกัน สร้างความอุ่นใจมีการหยิบยืมถ้อยคำที่สูงส่งมาใช้ ทั้งๆที่เราไม่มีสิทธิ์เพราะเรายังไม่เคยสัมพัทธกับคำสอนเหล่านั้นจริงๆๆเลย อาจจะเรียกได้ว่าเป็นความขี้ขลาดอย่างแท้จริง เป็นโลกแบบอาทิตย์อัสดง เป็นการซุกตัวเองอยู่ในรังดักแด้ นั้นแหละคือสิ่งที่นำพาไปสู่วิถีทางจิตวิญญาณที่ผิดเพี้ยน อย่างลัทธิจับฉ่าย ยกตัวอย่างศาสนาบาไฮแรตกเริ่มเดิมทีศาสนานี้เกิดขึ้นเพื่อประสานความเข้าใจในศาสนายิว อิสลาม คริสต์ แนวทางของศาสนานี้ก็คือการนำเอาส่วนที่ดีที่สุดในมรดกของสามศาสนานี้มาช่วงใช้ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือมันได้จับใจผู้คนมากมาย อย่างไรก็ตามในยุคหลังผู้นำทางศาสนานี้ มีเพียงความต้องการที่จะหากลุ่มก้อนของสาวกใหม่ๆๆ ศาสนาบาไฮกลายเป็นศาสนาที่ผสมปนเปความเชื่อทั้งหลายพุทธ ฮินดู ซิกส์ อะไรก็ได้โดยไม่สนใจว่าแนวทางเหล่านี้ล้วนมีเอกลักษณ์ของมัน มันเป็นเพียงตัวต่อที่ต่อผิดรูปผิดร่าง ตัดแปะอย่างมั่วๆๆ หรือกระทั้งขบวณการเทวปรัชญาในอดีตที่มีจุดมุ่งหมายที่จะรวมทุกศาสนาเข้าด้วยกันและสถาปนายุคใหม่ ในอดีตขบวณการนี้เชื่อว่าพระศรีอาริย์จักเข้ามาสิงในร่างของเด็กอินเดียที่ชื่อกฤษณมูรติ แลเมื่อพระศรีอาริย์ลงมาทุกคนจะได้รับความรอดท่านจะลงมาพร้อมสิทธิอำนาจบางอย่างทำให้สามารถชุบชีวิตคนตาย รักษาดรคเหมือนพระคริสต์ในอดีต สุดท้ายเด็กอินเดียที่ชื่อกฤษณมูรติ ก็ประกาศประกาศสลายสมาคมเทวปรัชญาอันยิ่งใหญ่ กล่าวออกสื่อว่านี่คือเรื่องไร้สาระ ข้าพเจ้าไม่ใช่ศาสดาของใคร และจักไม่มีวันที่จักตั้งลัทธิเพื่อครอบงำใครขึ้นมาอีก แต่ละคนต้องแสวงหาหนทางของตัวเอง เพราะสัจจะเป็นดินแดนที่ไร้หนทาง นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น อาจจักกล่าวได้ว่ากลวิธีในการหลอกตัวเองจักมีต่อไป ด้วยเหตุที่ว่าเรายังคงไม่อาจจะสละความหวาดหวังใดๆๆลงเมื่อเราก้าวเดินเป็นเส้นทางทางจิตวิญญาณ ทั้งๆๆที่มันคือ ก้าวแรกบนหนทางของธรรมะที่เราอาจจักก้าวเดินไป เราต้องละทิ้งความหวังและคำมั่นสัญญาใดๆๆแล้วหันมากระทำร่วมกับตัวเองจากพื้นฐานที่เรียบง่ายสามัญยิ่ง เช่น การเดิน การนั่ง การกิน การนอน การอาบน้ำแต่งตัว เป็นต้นเหล่านี้ล้วนคือสิ่งที่เป็นจริง และใช้การได้ นี่คือการเดินทางอันหมดจด อาจจะกล่าวได้ในอีกแง่ว่าเมื่อใดก็ตามที่เราสละความวาดหวังลง เมื่อนั้นความหวังที่แท้จริงก็อาจจะอุบัติขึ้น นี่แลเป็นความกล้าหาญที่แท้จริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 มกราคม 2014
  9. nununo

    nununo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +1,096
    ผู้แปล : โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านข้อความแปลข้างล่างนี้

    SaLuSa, January 10, 2014

    Matters on Earth continue to create

    uncertainty and outwardly there are little

    signs of world peace being achieved.

    เรื่องราวที่คลุมเคลือต่างๆบนโลกนี้ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ข้างนอกนั่น มี

    สัญญาณน้อยๆ ที่กำลังบอกว่าโลกแห่งความสงบสุขกำลังบรรลุผลสำเร็จ


    Yet behind the scenes many groups of

    Lightworkers are playing their part to

    bring stability and peace about.

    กลุ่มผู้สถาปนาแสง (Light Workers) ทั้งหลาย ยังคงกำลังทำหน้าที่ในการ

    สร้างความสงบที่มั่นคง


    It will come in relatively short time and

    this year is one that will be most active

    in that respect.

    มันจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้านี้ และปีนี้จะเป็นอีกหนึ่งปีที่จะถูกกระตุ้นและมีประสิทธิภาพ

    มากที่สุด


    Lightworkers all over the world are

    gaining confidence in the outcome, and see

    the fruits of their work coming out.

    กลุ่ม Lightworkers ทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกตอนนี้ กำลังได้รับความเชื่อมั่นใน

    สิ่งที่ปรากฏขึ้น และกำลังเฝ้าดูผลลัพธ์ที่กำลังจะเกิดในอีกไม่นานนี้


    Be assured that the Light is growing all

    of the time and is slowly lifting souls

    into a higher dimension.

    โปรดจงแน่ใจเถิดว่า แสงสว่างกำลังเจริญงอกงามขึ้นทุกๆขณะเวลา และกำลังยกระดับทุกๆ จิตวิญญาณไปสู่มิติที่สูงกว่าอย่างช้าๆ

    This is resulting in a clear division

    between those of the old vibrations who are

    unable to rise up, and those who can.

    มันกำลังบรรลุผลในการแบ่งแยกที่ชัดเจน ระหว่างกลุ่มพลังงานของการสั่นสะเทือนแบบเก่า ซึ่งไม่สามารถขับเคลื่อนได้อีกต่อไป ในขณะที่กลุ่มพลังงานยุคใหม่กำลังสั่นสะเทือน
    อย่างต่อเนื่อง


    However, it does not mean that you cease

    to be able to help them, as many souls

    still need help and guidance to lift up.

    อย่างไรก็ตาม, ไม่ได้หมายความว่าพวกคุณไม่สามารถที่จะช่วยพวกเขาเหล่านั้นได้แล้ว เพราะหลายๆจิตวิญญาณยังคงต้องการความช่วยเหลือและคำแนะนำในการยกระดับนี้

    The Earth is in turmoil and on the face of

    it the Light is being subdued, but this is

    not the case and it is growing rapidly and

    nothing can now stop its advancement.

    ถึงแม้ตอนนี้โลกกำลังอยู่ในความโกลาหล และเท่าที่เห็น แสงสว่างกำลังสงบเงียบลง แต่มันไม่ใช่ประเด็น เพราะแสงสว่างกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและไม่มีอะไรที่จะสามารถ

    หยุดการพัฒนานี้ได้


    Lightworkers need to be centered and focus

    on Self, and not be sidetracked by the many

    negative activities that are taking place.

    ผู้เป็น Lightworkers จำเป็นที่จะต้องโฟกัสจิตใจของตัวเองให้สมดุลเพื่อที่จะ

    เป็นศูนย์กลางในการสร้างแสงสว่างทั่วโลก และไม่ควรไปใส่ใจกับสิ่งลบๆรอบตัวที่รุมเร้า

    ให้ขุ่นเคืองใจ


    You can be an observer without becoming

    distracted from your tasks, and the more

    you focus upon them the more successful you

    will be.

    คุณสามารถเป็นผู้สังเกตการณ์โดยปราศจากความวอกแวกจากภาระหน้าที่ของคุณ และยิ่งคุณใส่ใจกับสภาวะจิตที่สมดุลมากเท่าไหร่ คุณจะประสบผลสำเร็จมากเท่านั้น

    Naturally you will be drawn to situations

    where your experience is needed, and will

    be in no doubt as to what is expected of

    you.

    โดยปรกติแล้วคุณจะถูกดึงเข้าไปสู่สถานการณ์ที่จำเป็นที่จะต้องใช้ประสบการณ์ของคุณไปช่วยแก้ปัญหา และจะไม่มีความสงสัยใดๆเกี่ยวกับสิ่งที่คุณถูกคาดหวัง

    You volunteered to be here because your

    experience is valued and needed at such

    times.

    คุณอาสามาที่นี่ เพราะประสบการณ์ของคุณเป็นสิ่งล้ำค่าและจำเป็นต่อสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้

    Be assured that your Guides are always on

    hand to assist, and will make sure that you

    help according to your abilities.

    โปรดแน่ใจว่าผู้นำทางของพวกคุณอยู่ช่วยเหลือพวกคุณอยู่ตลอด และทำให้คุณแน่ใจได้เสมอ ว่าคุณจะได้ช่วยเหลือโลกนี้ตามความสามารถของคุณด้วย

    This period is most testing because so

    much is going on at the same time, but

    those of you that are called to assist are

    here for that very purpose.

    ช่วงเวลานี้เหมาะที่สุดแล้วสำหรับการทดสอบ เพราะมีจิตวิญญาณมากมายที่กำลังเลื่อนระดับขึ้นอยู่ในเวลาเดียวกันนี้ แต่สำหรับพวกคุณเหล่าผู้สถาปณาแสง ถูกเรียกมาเพื่อ

    ช่วยภารกิจนี้ให้สำเร็จ


    Indeed, it is what you have been "trained"

    for over a number of lives, and now is your

    opportunity to fully serve the Light.

    จริงๆแล้ว พวกคุณถูกฝึกฝนมาแล้วหลายภพชาติมาก และตอนนี้มาถึงโอกาสที่พวกคุณจะได้ขับเคลื่อนพลังงานแสงอย่างเต็มความสามารถแล้ว

    Meanwhile keep centered at all times, and

    know that you can be surrounded by negative

    energies yet be unaffected by them.

    ในขณะเดียวกัน จงรักษาใจให้เป็นกลางอยู่ตลอดเวลา และจงตระหนักไว้ว่าคุณจะถูก

    พลังงานลบๆทั้งหลายแหล่มาแวดล้อมคุณเสมอ จงเลือกทางที่จะไม่ไปวอกแวกกับสิ่ง

    เหล่านั้น


    You are here to help others to ascend and

    try to help those who struggle to find

    their way.

    คุณมาอยู่ที่นี่เพื่อช่วยเหลือการยกระดับของจิตวิญญาณทั้งหลายซึ่งพวกเขาไม่รู้วิธี

    That is not always easy and it is best to

    give assistance where called for, but not

    impose yourself upon another soul unless

    asked for help.

    มันยังคงไม่ใช่เรื่องง่าย มันยังคงดีที่สุดที่จะช่วยเหลือจิตวิญญาณอื่นๆก็ต่อเมื่อถูกร้องขอ

    It is very important to allow another soul

    to follow the path they have mapped out for

    themselves.

    มันสำคัญมากที่จะอนุญาตให้จิตวิญญาณหนึ่งได้เดินไปตามเส้นทางที่ถูกร่างแผนไว้

    แล้วสำหรับพวกเขา


    Uncalled for intrusion may not be as

    helpful as you feel, and it can sometimes

    throw a soul off their chosen path.

    การไปก้าวก่ายจิตวิญญาณที่ไม่ได้ร้องขอ อาจทำให้คุณรู้สึกไม่เกื้อกูลต่อกัน และบาง

    ครั้งมันจะทำให้คุณปล่อยจิตวิญญาณนั้นหลุดออกจากเส้นทางที่พวกเขาเคยเลือกไว้


    You will find that people who are drawn to

    other souls are best placed to help them,

    and it is a fact that there is an

    attraction to those of a similar vibration.

    (ประโยคข้างบนนี้ ผู้แปลไม่เข้าใจจริงๆครับ :ผู้แปล)

    Additionally you naturally have your

    Guides who are always at your side, who

    will gladly help when requested to do so.

    โดยปรกติแล้วคุณก็มีผู้นำทางของคุณ ผู้ซึ่งคอยอยู่เคียงข้างคุณ และเต็มใจช่วยเหลือคุณเมื่อคุณร้องขอด้วยเช่นกัน

    Even with the best of intentions it is

    better to allow another soul freedom to

    make their own choices, as to when

    assistance should be asked for.

    แม้แต่เมื่อคุณตั้งใจที่จะช่วยอย่างที่สุด แต่มันจะดีที่สุดที่จะให้จิตวิญญาณนั้นๆ มีอิสระที่จะเลือกทางของตัวเอง จนเมื่อเขาร้องขอความช่วยเหลือ

    This year should be most momentous as so

    much is happening now that will bring about

    major changes in your lives.

    ปีนี้จะเป็นปีที่มีความสำคัญมากที่สุด ขณะนี้มีหลายสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และยังจะตามมา

    ด้วยการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของคุณ


    Already some of you have found contacts

    who are engaged in vital work that will

    bring them into public view.

    พวกคุณหลายๆคน ได้พบเจอกับการติดต่อกับผู้ที่มีหน้าที่ในภารกิจนี้ ซึ่งคุณสื่อออกไป

    ต่อหน้าสาธารณะชน


    You will have noted that President Obama

    is now more openly active, and can now

    carry out more Light work that is

    restricting opportunities for the dark Ones

    to interfere as before.

    คุณจะสังเกตได้ว่าประธานาธิบดีโอบามา ในตอนนี้ได้กระตือรือร้นอย่างเปิดเผย และ

    ได้ทำภาระกิจแสงหลายอย่างสำเร็จในการที่จะยับยั้้งภารกิจของฝ่ายมืด ที่เข้ามาแทรก

    แซงฝ่ายแสงก่อนหน้านี้


    Their strength has been diminished by

    removing their access to sufficient funds

    to continue their march towards planetary

    control.

    ความแข็งแกร่งของฝ่ายมืดถูกทำให้ลดน้อยลง โดยการเพิกถอนการเข้าถึงกลุ่มเงินทุน

    สำคัญ ที่กลุ่มฝ่ายมืดใช้ในการควบคุมดาวเคราะห์โลก


    Without the means to fully carry on with

    their plan they are in disarray, and unable

    achieve their goals.

    ทำให้ฝ่ายมืดไม่มีเงินและวิธีที่จะดำเนินการอย่างเต็มที่ที่จะทำให้โลกโกลาหลยุ่งเหยิงตามเป้าหมายที่ฝ่ายมืดต้องการ

    Naturally the minions of the dark Ones are

    still trying to fulfill their objectives,

    but with the break in their continuity,

    they cannot achieve them.

    จริงๆแล้วพวกบริวารของฝ่ายมืดกำลังพยายามที่จะทำให้โลกนี้ปั่นป่วนตามแผนที่วางไว้ แต่ด้วยการถูกยับยั้งจากฝ่ายแสง ฝ่ายมืดจึงไม่อาจทำให้สำเร็จตามแผนได้

    With their usual obstinate approach, the

    cabal will not concede that they are to all

    intents beaten.

    ด้วยความยากลำบากในการเข้าถึงฝ่ายมืด ทำให้ฝ่ายมืดยังไม่ถูกทำลายไปทั้งหมด

    However, the situation is such that they

    will soon be unable to create any real

    threat to the Light, and many changes for

    the better can now go ahead.

    อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่ยากลำบากของฝ่ายมืดในขณะนี้ จะทำให้ฝ่ายมืดไม่สามารถที่จะสร้างการคุกคามใหญ่ๆให้เกิดขึ้นกับฝ่ายแสงได้ และส่งผลให้การเปลี่ยนแปลงทาง

    ด้านดีหลายๆอย่างจะสามารถเดินหน้าต่อไป


    It has been a long road with many

    obstructions and hold ups, but it was

    always known that the Light would come out

    victorious at the end of the cycle.

    มันได้เป็นเส้นทางที่ยาวไกลมากแล้ว กับขวากหนามมากมายและการหยุดชะงัก แต่ใน

    ท้ายสุดแล้วมันจะเป็นฝ่ายแสงเสมอ ที่ออกมาประกาศชัยชนะในช่วงท้ายสุดของยุค


    You will intuitively know if you have

    incarnated this time to be one of the

    forerunners that are here to bring the

    changes about.

    คุณรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่า คุณมาอยู่ในร่างกายเนื้อนี้เพื่อเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้บุกเบิก ซึ่งมาอยู่ที่นี่กันเพื่อนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น

    You are most likely already heavily

    involved in Light work, and eagerly give of

    yourself to help other souls to ascend.

    คุณเกือบที่จะเสร็จสิ้นงานหนักของภารกิจแสง ในการจะช่วยเหลือวิญญาณทั้งหลายใน

    การเลื่อนระดับขึ้นนี้แล้ว


    With the increase in the vibrations you

    will gradually find that peace will settle

    upon Earth.

    ในขณะที่การสั่นสะเทือนกำลังเพิ่มขึ้นอยู่ในขณะนี้ คุณจะค่อยๆพบว่าความสงบกำลังก่อตัวขึ้นบนโลกนี้

    Meantime many individuals will find that

    their outlook is changing, and they will

    seek a more peaceful life.

    ในขณะเดียวกัน หลายๆคนจะพบว่าทัศนคติของตัวเองเปลี่ยนไป และมีความต้องการ

    ชีวิตที่เงียบสงบมากขึ้น


    This will rapidly spread as it gains

    strength, but do not expect too much too

    soon.

    ความรู้สึกนี้มันจะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วและมั่นคง แต่อย่าเพิ่งคาดหวังมากนักว่า

    มันจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้


    Once people realise that they can change

    their approach to life and help bring about

    a peaceful co-existence, they will have no

    hesitation in moving into the higher

    vibrations.

    ต้องเมื่อผู้คนได้ตระหนักแล้วเท่านั้นว่าพวกเขาสามารถที่จะเปลี่ยนวิถีทางในการใช้ชีวิต

    ที่จะอยู่อย่างสันติสุขร่วมกัน เมื่อนั้นพวกเขาจะไม่รู้สึกลังเลใจในการที่จะเคลื่อนย้ายสู่การ

    สั่นสะเทือนที่สูงขึ้นเลย


    We know how much the hardships and delays

    are affecting you, but this is the time to

    stand firm. As you might say, the winning

    post is in sight and you have nothing to

    worry about, as the Light cannot be

    defeated.

    เรารู้ว่ามันยากลำบากเพียงใด และการเลื่อนเวลาออกไปซึ่งทำให้มีผลต่อคุณ แต่นี่คือ

    เวลาที่จะต้องยืนหยัด เส้นชัยกำลังจะแสดงให้คุณได้เห็น และไม่มีสิ่งใดเลยที่คุณต้องกังวล

    ในขณะที่แสงจะไม่มีวันถูกทำลาย


    Go about your work with full confidence

    knowing that your future is assured, and we

    are always with you.

    โปรดทำหน้าที่ของคุณด้วยความมั่นใจ และรู้ไว้ว่าอนาคตของคุณถูกรับประกันไว้แล้ว

    และเราอยู่กับคุณเสมอ


    Thank you SaLuSa.
    Mike Quinsey
    Website:http://galacticchannelings.com/english/mike10-01-14.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2014
  10. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ผมเพิ่งเข้าใจตัวเองวันนี้เองว่า ที่ผ่านมาผมเข้าใจผิดมาตลอด หลงคิดว่าตัวเองเป็นเมล็ดพันธ์จากดวงดาว.ที่ไหนได้... โธ่เฮ๊ยยย..ไอ้เบื๊อก..(ด่าตัวเองครับ)

    ปล.ผมตื่นแล้วพี่ ตื่นจากฝัน กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง โลกที่ไม่เคยมีความจริงใจให้กันและกัน เบียดเบียนทำลายซึ่งกันและกัน ไม่เคยมีความรักและเมตตาที่แท้จริงในหมู่เพื่อนมนุษย์ (งมเข็มในทะเลยังง่ายกว่านะ ผมว่า.) คำนิยามสวยหรู ความจริง(ใจ)สูญหาย แสงสุดท้ายอยู่ที่ปลายอุโมงค์ครับพี่น้องงง..
     
  11. อจิตตะ

    อจิตตะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2012
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +1,840
    ยินดีด้วยนะ...แต่เดี๋ยวคงได้ความรู้ใหม่มาเปลี่ยนแปลงความคิดอีก
     
  12. อจิตตะ

    อจิตตะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2012
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +1,840
    ...น่าสนใจมาก...ถือว่าเป็นนักอ่านตัวยงเลยทีเดียว...
    และตามที่เข้าใจ...ทั้งท่านนโรปะ และ ท่านกฤษณะ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลง
    ก็เนื่องจากได้เข้าไปมีและผ่านประสบการณ์นั้นแล้ว
    ด้วยการนำเสนอของผู้คนรอบข้าง...จึงได้"รู้"ว่าควรปฏิเสธว่านั่น"ไม่ใช่"
    ซึ่งนั่นก็เป็นการแสดงว่าประสบการณ์นั้น ๆ เป็นตัวมากระตุ้น
    ให้ท่านทั้งสองได้พิจารณาและนำไปสู่การ"รู้แจ้ง"
    เพื่อให้ท่านได้เดินไปในวิถีทางที่ท่านคิดว่า "ใช่"ของท่านเอง...
    เพราะหากไม่มีเหตุการณ์ข้างต้นมากระตุ้น...
    ท่านทั้งสองก็คงมิอาจทราบได้ว่า อะไรควร ไม่ควร...

    ซึ่งหากจะพิจารณากันอย่างเป็นธรรมชาติกับกระทู้นี้...
    และเพื่อให้สมกับคำกล่าวของคุณที่ว่า ๑...นี่ก็เป็นเรื่องมิสติก
    เป็นไปได้ไม๊...ที่กระทู้นี้ก็อาจเป็นมิสติกสำหรับใครบางคน..
    เพราะก็ไม่ได้มีผู้คนมากมายเป็นล้านที่จะรู้และเข้ามาหาสติกในกระทู้นี้
    และที่เข้ามาก็อาจเป็นเพราะมันมี สติก ของเขาอยู่ก็เป็นได้...ไม๊...
    และเป็นไปได้อีกไม๊ที่คุณว่า ๒... คุรุแท้จึ่งไม่ใช่แค่บุคคล แต่เป็นอะไรก็ได้ แม้เพียงก้อนหินก้อนหนึ่ง ...
    งั้นคำกล่าวของใครก็ไม่รู้ที่มีคนแปลออกมา
    อาจเป็นคุรุแท้ของใครบางคนได้ใช่ไม๊...
    ในเมื่อก้อนหินก็ยังเป็นได้นี่นะ...
    ทั้งกระทู้นี้มันก็คงไม่แย่กว่าหมาเน่าที่จะมองข้ามไปสำหรับบางคนตามที่คุณว่า
    ในข้อ ๓...ท่านพบหมาเน่าตัวหนึ่งนอนตายอยู่ด้วยความขยะแขยง มั้ง...เราว่านะ...

    จริง ๆ การที่คุณซึ่งก็เป็นคนหนึ่งที่เข้ามาดูและให้ความรู้ในกระทู้นี้...
    ก็สืบเนื่องมาจากคำว่า "ต่างมิติ" ที่เป็นตัวกระตุ้น
    ซึ่งหลายคนที่เข้ามาดูพร้อมคุณส่วนใหญ่ก็เริ่มต้นด้วยคำนี้...ไม่เว้นเรา...
    แต่พออ่านนานเข้า จนขอแปลซะเอง ก็เริ่มไม่สนใจว่า "ใครเป็นคนสื่อ"
    แต่กลับสนใจว่า "เขาสื่ออะไร" แทน
    และบอกตามตรง...ที่แปลอยู่ทุกสัปดาห์นี่...ก็ไม่รู้หรอกนะว่าเขาเป็นใคร
    อยู่ที่ไหน ...รู้แต่ว่า สัปดาห์นี้ เขาจะบอกอะไรแค่นั้น...
    แปลเสร็จ...ก็เหมือนอ่านจบ...ก็จบตรงนั้น
    มิได้นำเขามายึดเป็นพระเจ้า เป็นศาสดาหรืออะไรทั้งสิ้น
    เพราะเราก็ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันว่า
    หากไปรู้เห็นว่าที่แท้เขาเป็นพวกHomeless หรือแย่กว่านั้นพูด
    เรา...ซึ่งยังคงเป็นมนุษย์ธรรมดา ๆ คนหนึ่ง
    จะรู้สึกขยะแขยงและอุดจมูกรีบข้ามไปเหมือน "หมาเน่า"
    นั้นหรือไม่...
     
  13. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    แลเท่าที่สังเกตมาที่พูดมานี่เอ็งสักแต่ว่าพูดไปเรื่อย เพื่อให้มีเรื่องที่จักพูดเอาสนุกเล่นหรือเปล่า .....หรือเอ็งพูดในฐานะผู้ที่ค้นหา เพราะไม่เช่นนั้นต่อให้ข้าพูดอะไรไปก็ไม่มีความหมายดังนั้นข้าก็จักผ่านเลย...นะจ๊ะ นะจ๊ะแต่ถ้าเอ็งชวนพูดทั้งนี้เพราะ มีประกายไฟบางอย่าง ซึ่งถูกจุดขึ้นในดวงตาและหัวใจเอ็งเมื่อนั้นเราก็คงจักพูดคุยกันได้ ...อ้อข้ามิใช่นักอ่านตัวยงดอก เมื่อก่อนสมัยลุงนี้ยังผมดกดำ ลุงก็หวังว่าจักเป็นผู้รู้กับเขาบ้างแต่เพลานี้เมื่อชราจากผู้หวังว่าจะเป็นผู้รู้กลายมาเป็นผู้ที่ไม่รู้อะไร ก็ตามนี้ ยิ่งอ่านมากเอ็งจักยิ่งสับสนมากกว่านะ เพราะแสงใสของจิตนะมันจะถูกทำให้พร่าเลือนไปจากไอ้ที่อ่านๆๆกันนี่แหละ จิตที่ติดยึดอยู่ในบัญญัติย่อมไม่อาจเข้าถึงการรับรู้อันแจ่มชัด ซื่อๆๆตรงๆๆได้ดอกนะ ซึ่งเป็นสัมผัสโดยตรงของญาณทัศนะเปลือยเปล่า อย่างเช่น ถ้าเราถือหินก้อนหนึ่งไว้ในมือ และมองดูมันด้วยการรับรู้อันแจ่มชัด เราจะไม่เพียงรู้สึกถึง ความแข็งของหินเท่านั้น แต่เราจะเริ่มสัมผัสได้ถึงนามธรรมอันลึกซึ้งของมัน เราย่อมรับรู้มันในฐานะที่เป็นการแสดงออกอย่างสมบูรณ์ ถึงความ แข็งแกร่งและความเป็นราชันย์แห่งผืนพิภพ ที่จริงแล้ว เราได้ถือขุนเขาหิมาลัยไว้บนฝ่ามือเรา ตราบเท่าที่เรายังตระหนักได้ถึงความแข็งแกร่งอันเป็นคุณสมบัติพื้นฐาน ของหินนะจ๊ะ อีกอย่างถ้าจักเป็นนักอ่านตัวยงข้าก็เหลืออยู่เล่มเดียวเท่านั้นแหละที่ยังอ่านอยู่ เล่มนี้นะมันมีความลี้ลับทั้งมวลบรรจุอยู่และบริสุทธิ์กว่าที่เล่มอื่นๆๆเขียนมามากมายนัก เล่มนี่คือจิตของเรานี่เอง

    ประเด็นต่อมา เอ็งว่ากระทู้นี้ก็อาจเป็นมิสติกสำหรับใครบางคน กับ คำกล่าวของใครก็ไม่รู้ที่มีคนแปลออกมา อาจเป็นคุรุแท้ของใครบางคนได้ใช่ไม๊...ก็จักตอบว่าใช่จ๊ะ บางทีอาจจักมีเด็กซื้อบื้อบางคนที่ชาติก่อนอาจจักเคยเกิดป็นแมว แล ได้เคยสดับธรรมจากคุรุสักท่าน พอเห็นข้อความในกระทู้นี้แล้วเกิดคิดถึงคำสอนของคุรุขึ้นมาได้ว่า อ้อ .....ที่คุรุเคยสอนเรื่องวัตถุนิยมทางจิตวิญญาณมันเป็นอย่างงี้นี่เอง กระทู้นี้เป็นตัวอย่างที่ทำให้ฉันเข้าใจคำสอนเมื่อครั้งกระนั้นได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ ว่าแนวทางทางจิตวิญญาณที่ผิดเพี้ยนเหล่านี้ก็เป็นแง่มุมหนึ่งของการหลอกตัวเองของเราล่ะ(หัวเราะ) อาจจะกล่าวได้ว่ากระทู้นี้ก็กลายมาเป็นคุรุของเด็กซื่อบื้อคนนี้ไป.....ในชาตินี้ ทีนี้ประเด็นก็คือ รูปทั้งมวลก็คือทวยเทพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรืออะไรทำนองนั้น ทั้งนี้ก็เพราะโดยแก่นแท้แล้วรูปทั้งมวลก็คือความ ว่างที่ผุดขึ้นมาดุจดังรูปปรากฏ ทวยเทพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงหาใช่อะไรบางอย่างที่ประทับนั่งอยู่บนอะไรก็ไม่รู้ แล้วแต่คนเขาจะเรียกไม่ แต่ความว่างที่ผุดขึ้นมาดุจรูป นี่หมายความว่าทุกสิ่งภายในโลก ของเรา รวมทั้งศัตรูด้วยก็คือองค์ทวยเทพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ปกติเราจะไม่เจ็งพอที่จะเห็นเช่นนี้ เช่นเมื่อเราพบสิ่งที่ทำให้รูสึกขุ่นเครืองใจ เป็นการยาก ที่เราจะเห็นเช่นนี้ได้ ดังนั้นเราจึงหวนกลับไปสู่ความเคยชินเดิม ๆ ด้วยเหตุนี้เราจึงใช้การภาวนา เป็นอุบายที่จะตื่นขึ้นสู่สัจจะอันสูงสุด นี้ ซึ่งย่อมปรากฏขึ้นในรูปของอุบายวิธีทางโลกนี้เอง ดังนั้นเมื่อหมาเน่าสำแดงตัวออกเป็นติโลปะก่อนจะหายลับไป ต่อ นโรปะ นโรปะดูเหมือนจะระลึกข่าวสารนี้ได้ แต่ทว่าในทึ่สุดเขาก็ถูกตบให้สลบไสลไปอีกหลายครั้ง คือมีเหตุการณ์เยี่ยงนี้อุบัติขึ้นซ้ำๆๆ และนโรปะก็พลาดจากครูของเขาไปอีกครั้งแล้วครั้งเล่า........ เหตุการณ์ดำเนินไปจนถึง12ครั้ง เพราะนโรปะไม่เจ๋งพอสำหรับการณ์นี้(หัวเราะ) แต่สุดท้ายเมื่อนโรปะพบตีโลปะ บางคนอาจจะคิดว่ามันคงแฮปปี้แล้วสินะ แต่การณ์ก็เป็นแบบเดิมอีก นโรปะยังไม่อาจจะสื่อสารกับติโลปะได้ จวบจนเวลาดำเนินไปอีก12ปี และ แล้ววันหนึ่งนโรปะ ผู้ทนลำบากติดตามตีโลปะขอทานเฒ่า ทนถูกทรมาณสารพัด ก็พบกับบางสิ่งที่เกินจากการคาดคิด ติโลปะขอให้นโรปะถวายสักการะแด่ตนผู้เป็นครู นโรปะจึ่งหยิบเอาทุกสิ่งที่ตนมีจัดทำสิ่งสักการะที่ดูน่าอนาถขึ้นมาชี้นหนึ่ง(เพราะเขามีแค่นี้แหละ) และ เขาก็น้อมถวายสิ่งนี้แด่คุรุ ติโลปะแสนจะยินดี ทันใดนั้น ติโลปะก็หน้าตาเปลี่ยนไปเขาเขี้ยงของถวายใส่หน้านโรปะ แล้วหยิบร้องเท้าขึ้นมาตบลงไปที่ใบหน้าขอนโรปะ นโรปะแทบสลบไสลไปอีกครา...ความหวังทุกอย่างที่สัมพันธขึ้นมากับการตอกย้ำความมีอยู่ของฉัน นั้นและนี่มลายสูญไป บางสิ่งเปลี่ยนไป นโรปะได้หยั่งถึงประสบการณ์มหามทุรา

    เอาเป็นว่า ถึงพูดไปเอ็งก็คงจักไม่เข้าใจ ก็เอาเป็นว่า ก็อย่างที่กระทู้นี้ว่า แต่ข้าจักบอกให้นะ ว่ากระทู้นี้ยังเบาไป(หัวเราะ)เพราะจริงๆแล้ว ไอ้การสื่อสารข้อความบางอย่างนะมันไม่ได้แค่เกิดขึ้นบางเวลาบางช่วงอย่างที่กระทูนี้ว่าดอก อย่างวันที่เท่านี้เท่านั้น นั้นนี่สื่อสารมาว่างี้ แต่มันเกิดขึ้นอยู่"ตลอดเวลา" ข้อความบางอย่างต้องการสื่อสารถึงเราอยู่ตลอด แม้แต่การที่เราคุยกันในขณะนี้นะ....... ทุกอย่างล้วนเป็นพลวัตแห่งสัจธรรม คือ" มณฑลแห่งธรรม " โดยปกติแล้ว มณฑลก็ รูปวงกลมซึ่งหมุนวนไปรอบ ๆ จุดศูนย์กลาง ซึ่งหมายถึง ว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบ ๆ ตัวเราก็คือส่วนหนึ่งของผัสสะของเรา ในอาณาบริเวณทั้งหมดนั้นย่อมสำแดงออกซึ่งสัจจะของชีวิตอันจริงจัง แลอาจจักเรียกได้ว่า การฝึกฝนทางจิตวิญญาณ เป็นเรื่องของการ เลิกขัดขืนต่อต้าน แล้วหันมาผ่อนพักและตระหนักรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว และด้วยการหยั่งเห็นเยี่ยงนี้เอง เราก็จักเกิดความเข้าใจว่า เราไม่จำเป็นต้องสร้างหนังหนาๆๆขึ้นมาหลายๆๆชั้น เพื่อมาป้องกันตัวเองอีกต่อไป เพราะไม่ช้าก็เร็วสัจธรรมก็จะตัดผ่านและส่งสารถึงเรา ผ่านความทุกข์ ความสับสน อะไรทำนองนี้แหละ เอาเป็นว่ามันจักมาในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง เพียงแต่ เราต้องการแค่ความเข้าใจที่ถูกต้อง อย่างเช่นคำว่า "ใครเป็นคนสื่อ" "เขาสื่ออะไร" เป็นคำที่ใช้ไม่ได้เพราะการสื่อสารที่แท้จริงจักอุบัติขึ้นได้เมื่อไม่มีคุณ ไร้คุณ เท่านั้น ที่การสื่อสารจักเกิดขึ้นได้ แลเมื่อไม่มีคุณ ก็ไม่มีเขา เมื่อนั้นแหละที่มีแต่การศิโรราบและการเปิดออกการสื่อสารจริงๆๆจึ่งจักเกิดขึ้นได้ ไม่รู้ว่าเอ็งจักเข้าใจที่ลุงพูดไหมเนี่ย ทีนี้หลังจากที่การสื่อสารเกิดขึ้น จากนั้นจึงมีการเรียนรู้ที่จะนำความเข้าใจนั้นมาปฏิบัติจริงในชีวิต มันไม่มีเทคนิคตายตัวหรอกนะ เหมือนกับเวลาเอ็งเริ่มต้นขี่จักรยาน ไม่มีใครสามารถสอนเอ็งได้ว่าควรจะทำอย่างไร แต่อ็งต้องลองทำไปเรื่อยๆ ล้มแล้วลุกนับครั้งไม่ถ้วน จนในที่สุดเอ็งก็ทำได้ สิ่งสำคัญคือเอ็งต้องไม่กลัวเจ็บ อาจกล่าวได้ว่ามันคือขบวณการผ่าตัดที่ไม่ใช้ยาสลบทีนี้ไอ้ที่พูดว่า "ทั้งท่านนโรปะ และ ท่านกฤษณะ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลง.....(ไปจนถึง)....ทั้งสองก็คงมิอาจทราบได้ว่า อะไรควร ไม่ควร..." เนี่ยก็สักแต่ว่าเป็นการคาดเดาของเอ็งมิใช่หรือ เป็นการยัดบางสิ่งบางอย่างเพื่อสร้างกรอบที่อาจจะเข้าใจได้ขึ้นมา....แต่นั้นก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอก(หัวเราะ) เคยสังเกตไหมล่ะ ในฃีวิตของเรานี่ย เมื่อใดก็ตามที่เราเริ่มรู้สึกว่าการกระทำของเรากับสิ่งที่เกิดขึ้นมาหรือสถานการณ์ต่างๆๆ ไม่ลงรอยกันหรือขัดแย้งกัน เราจะตีความสถานการณ์ไปในทางที่จะกลบเกลื่อนความขัดแย้งให้ดูเป็นกลางๆๆ เพื่อที่ว่าฉันจะได้รู้สึกสบายใจ ผู้ตีความก็คือ ฉัน เคยไหมล่ะ อย่างกระทู้นี้ก็อาจเป็นมิสติกสำหรับใครบางคน กับ คำกล่าวของใครก็ไม่รู้ที่มีคนแปลออกมา อาจเป็นคุรุแท้ของใครบางคนได้ใช่ไม๊...ทุกอย่างในกระทู้นี้ก็ดีอยู่นะ เราก็ไม่ได้ ยึดเขาเป็นพระเจ้า เป็นศาสดาหรืออะไรทั้งสิ้นนิก็ปล่อยๆๆเขาไปเถอะ ดูเหมือนคุณกำลังวิจารณ์เขาซึ่งทำให้ฉันรู้สึก...เอ่อ....และก็ตามมาด้วยโน้นนี่นั้น เคยสังเกตไหมล่ะ สังเกตจนเห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างถูกมองผ่านม่านกรองของกรอบความคิด หลักเหตุผลที่ฉันนั้นสร้างขึ้น โดยทำให้ทุกอย่างดูประณีตแน่วแน่และสมเหตุสมผลอย่างยิ่ง เป็นการพยายามหาคำตอบที่สร้างความชอบธรรมแก่ตัวเราเองในทุกปัญหา โดยบางครั้งก็อาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริงก็ได้ แต่ฉันก็มั่นใจไปแล้วว่ามันเป็นแบบนั้นนี่หว่า... และฉันก็เลือกที่จะรู้สึกนึกคิดเอาเองของฉันไปอย่างนั้น เพราะ มันช่างดูสมเหตุสมผล เช่น เขาต้องกำลังวิจารณ์กระทู้นี่แน่ๆๆ ซึ่งบางทีอาจจะเป็นคนล่ะเรื่องกับที่ฉันคิดเอาเองก็ได้ เขากำลังหลอกด่าฉันซึ่งอาจจะไม่จริงก็ได้ แต่ก็นะ นี่มันต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้แน่ๆๆ ทั้งที่ความจริงแล้วก็เป็นเพียงผลมาจากความวิปลาสไปเองของฉัน

    อ้อ...อีกอย่าง ลุงจะบอกความลับให้นะ(ขอกระซิบให้ฟังได้ไหม?) อันที่จริงมันไม่มีสิ่งที่เรียกว่าการรู้แจ้งขั้นสูงสุดอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจกันหรอก(หัวเราะ) ในการเดินทางแห่งจิตวิญญาณไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “สิ่งสุดท้าย” เป้าหมายคือการเดินทาง แต่ละก้าวคือก้าวแรกและก้าวสุดท้ายไปในตัว การรู้แจ้งเกิดขึ้นอยู่ตลอด แต่ถึงจุดหนึ่ง เราได้ศิโรราบให้กับการสูญเสียหลักเกาะเกี่ยวทั้งหลายโดยสมบูรณ์ ไม่มีที่พึ่งอีกต่อไป เลิกที่จะเปรียบเทียบนั่นกับนี่ นี่กับโน่น ไม่ใช่ว่ามันเป็นเรื่องเลวร้ายที่จะพูดถึงหรอกนะ แต่เราไม่สามารถพูดถึงมันได้ อีกทางหนึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรที่จะพยายามหาคำมาอธิบายน่ะ เอาเป็นว่า สุดท้ายเอ็งอย่าสนใจข้านักเลยข้ามันก็แค่คนแก่....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 มกราคม 2014
  14. อจิตตะ

    อจิตตะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2012
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +1,840
    อะไร ๆ ดูเหมือนมีความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงไปซะหมดนะนี่..."
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2014
  15. อจิตตะ

    อจิตตะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2012
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +1,840
    อ่านแล้วเหมือนเข้าใจกันไปคนละเวอรชั่น...
    อะ...ก็ว่ากันไปนะคุณลุง(เห็นคุณเรียกตัวเองว่างั้น ก็ขอตามเรียกด้วยละกัน)
    แต่ฉันคงจะไม่รบกวนพื้นที่เจ้าของกระทู้เขามากไปกว่านี้ละ...
    ฉันออกจะเกรงใจเขาและเกรงใจคนอ่านที่เข้ามาอ่านด้วย...
    แต่หากคุณลุงตัดสินใจไปตั้งกระทู้ใหม่ของลุงเอง
    ฉันก็จะตามไปคุยด้วย...หวังว่าคุณลุงคงไม่ว่ากระไรนะ...

    ยิ่งสื่อด้วยแนวเอ็ง ๆ ข้า ๆ นี่มันก็น่าสนใจยิ่งนัก
    เพราะเวลาอ่านมันเหมือนได้กลับไปอยู่ในยุคคอกระเช้า-จุงกระเบน...ได้อารมณ์ย้อนยุคดี...
    และฉันก็คิดอยู่เหมือนกันว่าคุณลุงคงเป็นคุรุของฉันคนหนึ่ง...
    เพราะเมื่อฉันได้อ่านข้อความของคุณลุงแล้ว...
    ฉันก็ได้นำมาพิจารณา และก็พอได้แนวทางว่า "อะไรบ้างที่ฉันควรทำและไม่ควรทำ"...
    ซึ่งนี่ก็คือประโยชน์ที่คุณลุงได้ให้กับฉัน...จึงขออนุโมทนาสาธุมา ณ ที่นี้ด้วยจ้า
     
  16. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    สาธุ.....อย่างน้อยเอ็งก็ว่าเอ็งได้ประโยชน์ ก็ขอให้เป็นเช่นนั้น(หัวเราะ) อย่างน้อยเอ็งก็ว่า"อะไรบ้างที่ฉันควรทำและไม่ควรทำ"เพราะอย่างน้อยเอ็งก็ไม่ได้โง่ขนาดที่แยกไม่ออกว่าอะไรบ้างที่เอ็งควรทำและไม่ควรทำ แต่ข้าสงสัยนักว่าพวกที่รู้ดีเช่นนี้มันรู้จริงๆๆหรือ...เพราะที่โลกทุกวันนี้มันวุ่นวายนักก็เพราะพวกที่คิดว่าตัวเองมีกรอบความคิดอะไรเทือกนี้แลรู้ดีว่าอะไรที่ควรทำและไม่ควรทำ นี่แหละ(หัวเราะ) แลสุดท้ายคนเหล่านี้ก็แทนที่จักช่วยลดความปั่นป่วนสับสนที่อุบัติขึ้นมาในโลก ก็กลายมาเป็นว่าไปเพิ่มความปั่นป่วนสับสนขึ้นมา ข้าหมายถึงพวกนักกระทำทั้งหลายนะ........ เอาเป็นว่าอย่างน้อยเอ็งก็ว่าได้ประโยชน์ ข้าก็ดีใจ ข้าจักได้ไม่เสียดายเวลาและแรงงานที่ได้ใช้สายตาที่ค่อนข้างจักไม่รักดีในการเพ่ง พิมพ์มา สงสัยข้าจักพร่ำมากไปจริงๆๆ ส่วนที่เอ็งจักว่าที่ข้าพูดไปคนละเวอรชั่น ก็ข้าบอกเอ็งแล้วว่าเอ็งจักไม่เข้าใจในสิ่งที่ลุงพูดดอก นั้นประไรล่ะ ข้าว่าแล้วว่าเอ็งจักรู้สึกแบบนี้ถ้าไม่รู้สึกก็แปลกล่ะ บางที่สิ่งที่ข้าพูดนะมันไม่มีอันใดดอก แต่ความคิดของคนอ่านนั้นแหละที่ทำให้มันยุ่งและซับซ้อนไปเอง... เอาเป็นว่า ก็ลืมๆๆมันไปเถอะแลจักเป็นผลดียิ่ง ไม่ต้องเอามาแบกจนกินไม่ได้นอนไม่หลับล่ะ ข้าเห็นบางคนมันชอบแบกกันจริง.....มันก็สักแต่ว่าเป็นแค่ตัวอักษรมาเรียงๆๆกันนะ ไม่มีสาระอันใดดอก แม่คุณ ...อ้อ เอ็งจักเรียกลุงเทพหรือไอ้เทพข้าก็ไม่ว่าอันใดดอกนะ มันก็สักแต่ว่าเป็นแค่ตัวอักษรมาเรียงๆๆกันนะ ตามนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 มกราคม 2014
  17. อจิตตะ

    อจิตตะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มกราคม 2012
    โพสต์:
    305
    ค่าพลัง:
    +1,840
    ***ต้องขออนุญาต จขกท เพื่อขอบคุณคุณลุงเทพอีกสักนิ๊ดนะ...***

    "๑...เพราะอย่างน้อยเอ็งก็ไม่ได้โง่ขนาดที่แยกไม่ออกว่าอะไรบ้างที่เอ็งควรทำและไม่ควรทำ
    ***ขอบใจจ๊ะ คุณลุง...ปีนี้คงเป็นปีที่ดีของฉันอีกปี
    ที่มีผู้หลักผู้ใหญ่ชื่นชมว่าฉันก็ยังมีความฉลาดอยู่กะเขาเหมือนกันแต่ต้นปีเลย...

    ๒...เพราะที่โลกทุกวันนี้มันวุ่นวายนักก็เพราะพวกที่คิดว่าตัวเองมีกรอบความคิดอะไรเทือกนี้แลรู้ดีว่าอะไรที่ควรทำและไม่ควรทำ นี่แหละ(หัวเราะ) แลสุดท้ายคนเหล่านี้ก็แทนที่จักช่วยลดความปั่นป่วนสับสนที่อุบัติขึ้นมาในโลก ก็กลายมาเป็นว่าไปเพิ่มความปั่นป่วนสับสนขึ้นมา ข้าหมายถึงพวกนักกระทำทั้งหลายนะ..
    ***ฉันเห็นด้วยกับคุณลุงอย่างมากเลยนะในข้อนี้...(หัวเราะ)

    ๓...ข้าก็ดีใจ ข้าจักได้ไม่เสียดายเวลาและแรงงานที่ได้ใช้สายตาที่ค่อนข้างจักไม่รักดีในการเพ่ง พิมพ์มา สงสัยข้าจักพร่ำมากไปจริงๆๆ
    ***รู้สึกยินดีที่ฉันมีส่วนทำให้คุณลุงดีใจ เพราะนั่นเท่ากับต่ออายุคุณลุงให้ยืนยาว...
    สำหรับฉัน เวลาของลุงไม่เสียเปล่าแน่...
    เพราะฉันได้ประโยชน์อย่างยิ่งจากการได้พบปะทางอักษรกับคุณลุงในครั้งนี้
    และฉันเชื่อว่าคงมีหลายคนที่ได้รับประโยชน์นี้ร่วมกันไม่มากก็น้อยจ๊ะ...
    แต่คุณลุงก็ไม่ต้องไปพร่ำให้มากนักหรอกนะ...รักษาสุขภาพเพื่อลูกหลาน...
    และสนใจคนพวกนี้ให้น้อยลงดีกว่า...ทางใครทางมันดีกว่านะลุง...

    ๔...เอาเป็นว่า ก็ลืมๆๆมันไปเถอะแลจักเป็นผลดียิ่ง ไม่ต้องเอามาแบกจนกินไม่ได้นอนไม่หลับล่ะ ข้าเห็นบางคนมันชอบแบกกันจริง
    ***ขอบใจจ๊ะ...ฉันอยู่ในวัยปลาทองแล้วจ้า...(ปลาทองความจำมันสั้นน่ะ)
    และคงไม่มีกำลังจะแบกอะไรแล้ว...เพราะเรี่ยวแรงก็พร่องไปเยอะละ...
    ตอนนี้ฉันยังได้หลับกับข้าวก็ยังได้กินอยู่จ๊ะ...คุณลุงมิต้องเป็นห่วงแต่อย่างใดนะ...


    กลิ่นไอปีใหม่ยังไม่พ้น...ฉันขอให้คุณลุงมีสุขภาพที่แข็งแรง ปลอดพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บนะจ๊ะ...
     
  18. atitarn2009

    atitarn2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +262
    ตามธรรมชาติมนุษย์แต่ละคนมีสิ่งที่เขาเรียกว่าความจริง ที่เขาถือเป็นหลักประจำตัวของเขาอยู่ด้วยกันทั้งนั้น แล้วแต่ว่าเขาได้ทำให้มันเกิดขึ้นในใจเขาอย่างไร ซึ่งยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้ หากว่าความจริงนี้ยังไม่ใช่ความจริงที่เด็ดขาด ยังไม่สูงสุด ยังใช้เป็นประโยชน์ในขั้นสูงสุดไม่ได้ ความจริงนั้น จะต้องถูกปรับปรุงให้ชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งขึ้นไป จนกว่าจะกลายเป็นความจริงที่ใช้ให้สำเร็จประโยชน์ได้จริง **การไม่ยึดมั่นถือมั่นในความจริงในอันดับแรก แต่หล่อเลี้ยงมันไว้ในลักษณะที่มันจะพิสูจน์ความจริงออกมา

    ความจริงตามแบบของชาวโลกตามธรรมชาติ
    1.ความเชื่อ (ว่าจริง)
    2.ความชอบใจ (ว่าจริง)
    3.เรื่องที่ฟังตามๆกันมา(ว่าจริง)
    4.ความตริตรึกไปตามเหตุผลที่แวดล้อม (ว่าจริง)
    5.และ ข้อยุติที่่ทนได้ต่อการเพ่งพินิจด้วยความเห็นของเขา (ว่าจริง) ดังนี้

    การตามรักษาไว้ซึ่งความจริง
    อย่าเพิ่งถึงชึ่งการสันนิษฐานโดยส่วนเดียว ว่า "อย่างนี้เท่านั้นจริง อย่างอื่นเปล่า" ดังนี้ก่อน * ** *** **** ***** ******แม้นี้ก็เป็นความเชื่อหนึ่ง(ว่าจริง) ของข้าพเจ้า ^ ^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 มกราคม 2014
  19. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    ขอบคุณเอ็งที่ห่วงใยคนแก่ๆๆอย่างข้าเป็นอย่างยิ่ง นางหนูลมสลาตัน เอ็งน่ะมาและก็ไปแบบลมสลาตันจริงๆๆ (หัวเราะ) ส่วนเรื่องพร่ำข้าก็จักพร่ำเท่าที่เห็นว่าจักไม่เป็นการเกินเลยไป แลถึงจุดหนึ่งข้าก็จักหายตัวไปเอง เอ็งมิต้องห่วงอันใดดอก .......มันเป็นพฤติกรรมของข้ามานานแล้วแบบนี้....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 มกราคม 2014
  20. สุมิตราจ๋า

    สุมิตราจ๋า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +1,529
    แลพ่อหนุ่ม เกี่ยวกับความจริงในกระทู้นี้ แลข้าก็มิได้ว่ากระทู้นี้มันไม่มีความจริงอันใดดอกนะ เพราะบางทีมันก็อาจจักไม่มีความจริงสูงสุดสัมบรูณ์ก็ได้ นั้นก็หมายความว่าอะไรๆๆมันก็เลยสามารถกลายเป็นสิ่งที่จริงได้ แลสิ่งที่จริงในวันนี้พรุ่งนี้ก็อาจจะไม่จริงก็ได้ อันนี้ทำให้ข้านึกถึงปรัชญาฮินดู ชาวฮินดูเชื่อว่าโลกทั้งผองประดุจดั่ง ภาพมายา เป็นความฝันของพระเป็นเจ้า โลกทั้งผองจึ่งไม่ใช่ความจริง สิ่งที่จริงก็คือมีเพียงพระเจ้า และมายานั้นก็คืออำนาจของพระเป็นเจ้า แลเพราะอวิชชาจึ่งทำให้ผู้คนเข้าใจผิดไปว่าตัวเขาและโลกทั้งผองนั้นแหละคือความจริง อย่างไรก็ตามชาวฮินดูเชื่อว่าความเป็นจริงนั้น มีอยู่สองด้านเสมอและทั้งสองด้านก็ไม่มีความเป็นจริงมากกว่ากัน การมีอยู่ของพระเป็นเจ้า(อาจจะรวมถึงแดนอันเป็นทิพย์หรืออะไรทำนองนั้น) ก็อาจจะเป็นเพียงความฝันของโลกทั้งผอง เป็นมายาที่โลกทั้งผองนั้นแหละสร้างขึ้นมาก็ได้ด้วยเหตุนี้คนฮินดูจึ่งตั้งคำถามขึ้นมาว่าอะไรล่ะคือความจริง ในจีนเมื่อปราชญ์จางจื่อนอนฝันไปท่านฝันว่าตัวท่านกลายเป็นผีเสื้อแลเมื่อท่านตื่นทั้งตั้งคำถามว่าตอนนี้เป็นผีเสื้อที่หลับฝันไปว่ามันกลายมาเป็นจางจื่อใช่ไหม?

    ประเด็นก็คือ ชาวโลกมักชอบฟันธงลงไปเลยว่านั้นแหละจริงตามแต่ที่ว่าเขาเชื่อ นึกคิดขึ้นมา ฟังตามๆกันมา เทือกนี้ แต่จักมีสักกี่คนล่ะที่ตั้งคำถามกับความเป็นจริงนั้นๆๆ ว่าไอ้ที่เชื่อว่าจริงนี่มันจริงแค่ไหน เช่น ไอ้นั้นมันชั่วมันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ บางที่คนๆๆนั้นอาจจะไม่ได้เป็นหรือทำในสิ่งที่เราเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นก็ได้ แลคนเรามันมักติดในดินแดนภาพลักษณ์ที่ตัวเองสร้างขึ้นมาเอาเอง และสรุปไปว่ามันเป็นเช่นนั้น บางที่ถ้าคนนั้นลองเปิดปากพูดคุยและรับฟังเขาก็อาจจะรู้ก็ได้ว่านั้น มิได้เป็นอย่างที่เขาคิด ชายคนหนึ่งที่ลุงรู้จักเขาเชื่อว่าลูกของเขาเป็นลูกคนข้างบ้าเป็นลูกชู้เเลยไม่เคนรักลูกเขาเลย แต่ก็ไม่กล้าพูดออกไป จนวันหนึ่งเพื่อนบ้านที่เขาสงสัย ก็มาที่บ้านและทักว่าเด็กนะหน้าเหมือนเขามากเขาถึงได้รู้ว่าตัวเองผิดไป อันนี้ข้าขอพูดนอกเรื่องไปผ่านๆๆและกันตามภาษาคนแก่ขี้บ่นของข้า

    แล....กลับมาที่กระทู้นี้ ข้าก็เห็นว่ามันเป็นรูปแบบหนึ่ง ของสิ่งที่เรียกว่าปกรณัม คนโบราณและเด็กถือว่าเขาสามารถติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติได้ มีนางฟ้าบนหัวเข็มหมุดเทือกนี้ แต่ผู้ใหญ่และคนสมัยใหม่ว่านี่ช่างไร้สาระ เพราะปกรณัมของคนสมัยใหม่ไม่มีเรื่องพวกนี้มีแต่เรื่องของวัตถุ ความก้าวหน้า และวิทยาการ ไม่มีความลึกลับอีกต่อไปเพราะธรรมชาติคือความจริงที่จักต้องถูกมนุษย์พิชิต ช่วงใช้ อย่างไรก็ตามปกรณัมนี้จริงๆๆก็ไม่ใช่ของใหม่มัน คือ ปกรณัมเชิงวัตถุที่มีมาในทุกยุคทุกสมัยรูปแบบมันอาจจะเปลี่ยนไปบ้างแต่มันก็ยังคงเป็นปกรณัมแบบเดิม ที่คอยปะทะเข้ากับปกรณัมเชิงจิตวิญญาณ ที่นี้ก็กลับมาที่มีคนอีกคนหนึ่งเขาก็ยังคงที่จะเป็นเช่นคนโบราณและเด็ก กล่าวก็คือในปกรณัมของเขายังคงมีทวยเทพอยู่หรืออะไรทำนองนั้นและทวยเทพก็คอยเฝ้ามองมนุษย์ สื่อสารสิ่งที่ดีงามออกมา(หรือบางครั้งก็มีเรื่องของอำนาจอันชั่วร้ายและมืดมนที่มาในรูปแบบของมาร ภูติผีปีศาจ) แลสิ่งนี้ก็สื่อสารชัดถึงร่องรอยของความปรารถนาของมนุษย์ อันฝังรากแน่นอยู่ในสิ่งสูงและชีวิตอันดี ลางทีสิ่งเหล่านี้อาจจักมิใช่สิ่งที่ซึ่งดำรงอยู่ภายนอก หากเป็นรากฐานของสภาวะการหยั่งรู้และการประจักษ์แจ้ง อันเป็นศักยภาพที่ดำรงอยู่ภายในตัวมนุษย์ทุกคน ในที่นี้ก็คือเจ้าคนที่อ้างว่าสื่อสารกับทวยเทพจิตจักรวาลอะไรก็เถอะที่ไอ้หนุ่มชยุตไปแปลมานี้แหละ ที่นี้สำหรับข้าแล้วนี่หาใช้ความฝันของคนหนึ่งๆๆหรือเป็นเรื่องเฟ้อเจ้อไม่ มันจักต่างอะไรกับสิ่งที่อยู่ในไบเบิ้ลเล่า ตัวอย่างเหล่านี้มีอยู่มากมาย ในไบเบิ้ลนั้นมีตอนหนึ่ง พระเยซูตรัสว่า "ท่านไม่มีวันไปถึงพระบิดาได้ ยกเว้นท่านจะมาทางเรา" พระบิดาองค์นั้น ก็คือพระบิดาในโลกของพระองค์ ในไบเบิ้ล ด้วยเหตุนี้เราจึ่งจำเป็นต้องผ่านพระองค์โดยเข้าไปในวิถีของพระองค์เท่านั้น จึ่งจะรู้จักพระบิดาในแบบของพระองค์ซึ่งต่างจากพระเป็นเจ้าแบบเดิมของยิวได้

    ในพุทธวัชรยานเรื่องพวกนี้ถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติที่ลามะที่ได้รับนับถือจักได้รับการติดต่อสื่อสารและการอภิเษกจากพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ ธรรมบาล ฑากินี คุรุในอดีต ทำนองนั้น นี่ก็เป็นปกรณัมของเขา ในblack elk speaks หนังสือเก่าแสนเก่า สมัยข้ายังหนุ่ม แต่คนสมัยนี้มันคงไม่รู้กันแล้วมั้ง เล่าถึง black elk ผู้นำ ทางจิตวิญาณชาวอินเดียน เผ่าซู black elk ในวัย 9 ขวบเกิดล้มป่วยลงและมีอาการทางจิต เขาเริ่มเพ้อคลั่งและเห็นทวยเทพอะไรทำนองนั้น ครอบครัวเป็นกังวลมากว่าเด็กชขาวใกล้จะวิกลจริต จึ่งไปเชิญหมอผีประจำเผ่ามา แต่แทนที่หมอผีจะทำแบบนักจิตวิเคราะห์สมัยนี้คือดึงเด็กชายออกมาจากภาพเหล่านั้น เขากลับปรับภาพเหล่านั้นและตัวเด็กชายให้เข้ากัน เขาตรึงภาพนั้นไว้ มันถูกอัญเชิญให้คงอยู่ในฐานะนิมิต และเด็กชายคนนั้นก็กลายเป็นผู้นำทางจิตวิญาณชาวอินเดียน เผ่าซูไป เขามอบแรงบัลดาลใจและความหวังให้ผู้คนของเขาแม้แต่ในขณะสงครามล้างเผ่าพันธุ์ อินเดียนจากคนผิวขาวที่เข้ามาในอเมริกาเหนือ ด้วยเหตุนี้การที่คนๆๆหนึ่งจักสื่อสาร หรือ คิดว่าเขาสื่อสารกับบางสิ่งที่มีอำนาจเหนือตัวเขาเองจึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ก็อย่างที่บอกแล้วไงว่าบางที่โลกทั้งผองประดุจดั่ง ภาพมายา เป็นความฝันของพระเป็นเจ้า ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้เราจักแน่ใจได้ไงว่า วิถีชีวิตยุคนี้กับปกรณัมโบราณเหล่านี้ซึ่งอาจจักถูกปรับให้ทันสมัยขึ้นมาเป็นจริงมากกว่ากัน ลางทีเพราะความเข้าใจความแท้จริงด้านจิตใจไม่ถูกต้อง เราจึ่งเรียกความแท้จริงว่า ไสยศาสตร์ เรื่องเฟ้อฝันสติแตก ก็เป็นไปได้

    แลปกรณัมก็คือความฝันของโลก มันมิได้สะท้อนแค่สิ่งที่คนๆๆหนึ่งเห็น แต่สะท้อนสิ่งที่คนทั้งมวลใฝ่ฝัน ทวยเทพก็คือสิ่งที่อยู่ในใจเราทุกคน ลองย้อนไปเมื่อเราเป็นเด็กสิ ความเป็นไปได้ช่างไม่สิ้นสุด ผ่านโลกในจินตนาการของเด็ก อันที่จริง ปกรณัมที่คนๆๆหนึ่งอยากจักบอกก็คือ สิ่งเหล่านี้ที่ถูกนำมาขยายส่วนเป็นพลังบางอย่างที่ถูกแสดงออกในเชิงภาพ คือ สัญลักษณ์ที่สะท้อนภาพความต้องการบางอย่างลึกๆๆออกมา เป็นแบบที่เกี่ยวข้องกับปัญหาอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ เป็นเรื่องการก้าวเดินไปสู่คูหาหรือสภาวะใหม่ทางจิตสำนึก ตลอดจนวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมวิธีรับมือ ความเข้าใจอันนี้ถูกเน้นย้ำเป็นอย่างมากในพุทธวัชรยานนิกาย ในสายธรรมแบบตันตระ มันถูกพัฒนาขึ้นมาในแบบที่ต่างออกไป ผู้ปฏิบัติมิใช่ถูกปรับให้เข้ากับภาพหลอน หรือ ภาพลักษณ์ทางปกรณัม ไม่ใช่แม้แต่ผู้สื่อสารแต่พวกเขารวมเป็นหนึ่งผ่านการเพ่งนิมิตทวยเทพในตันตระ พร้อมการฝึกโยคะแบบต่างๆๆ เขาก็คือทวยเทพองค์นั้น และโลกใบนี้ก็คือมณฑลของเขาทุกเสียงที่ดังออกมาคือเสียงของมนตราอันศักดิ์สิทธิ์ ทุกความปั่นป่วนสับสนความทุกข์ถูกแสงที่เปล่งออกมาจากอักขระที่กึ่งกลางหัวใจชำระล้าง แลทุกการกระทำทางกายวาจาใจของโยคี ก็การกระทำของทวยเทพ ไม่มีโยคีคนนั้นอีกแต่ไป สิ่งที่มีอยู่คือ ทวยเทพ พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ .......นี่แลคือประเด็นของข้าในกระทู้นี้นะจ๊ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 มกราคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...