วิริยาธิกะพิเศษบันทึก

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย pco-, 7 มิถุนายน 2010.

  1. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    เรื่องลูกๆนี่ก็ไม่ต้องเร่งรัด แค่คอยประคองนะพี่ พ่อแม่เขาไม่ได้มีแค่เราเท่านั้น พ่อแม่ในอดีตชาติของเขาก็ไม่ใช่น้อย พ่อของเขาอาจจะนั่งดูดยาเส้นมวนใบตอง นั่งเอาผ้าขาวม้าพาดบ่า ดูลูกของเขาอยู่ที่เทวโลก ที่พรหมโลก หรือพระนิพพานแล้วก็ได้ หากเหนือบ่ากว่าแรงก็โทรไปบอกว่านี่ ลูกของฉันชาตินี้ เขาก็เคยเป็นลูกของท่านในอดีต หากสบายแล้วก็อย่าลืมลูกลืมเต้า ช่วยดูแลคุ้มครองให้ด้วย แม่ในอดีตเขาด้วย อย่ามัวช๊อปปิ้งดูแต่สวนดอกไม้ที่เทวโลก ลูกอีกเป็นโขยงที่หลงแม่มาเกิดเป็นมนุษย์อยู่นี่ ไงๆก็โอนสตางค์มาช่วยก็ยังดี เป็นแม่ด้วยอยู่เทวโลกด้วย อย่าปล่อยให้ลูกๆน้อยหน้าชาวบ้านเขา นั่นเบ่งซะด้วย นี่แหละหนาพี่บุญทรง คนเราเวลามันจนมุมขึ้นมา หาเรื่องได้แม้กระทั่งคนที่ตายไปแล้ว จะหาเรื่องซะอย่าง

    วันนี้เด็กเส้นของผมนี่เพิ่งตื่นนอนตอนเที่ยงวันนี่แหละ ให้แม่เล็กพาไปส่งอยู่เป็นเพื่อนแม่ใหญ่อยู่เวณเฝ้าวิหารน้ำน้อย นี่เส้นใหญ่มากสามารถใช้แม่ให้ตื่นแต่เช้าหุงข้าวทำงานบ้าน ทำอะไรแทบจะทุกอย่างให้ สามารถใช้พ่อต้มมาม่าแล้วต้องใส่ถ้วยให้พร้อมเอาไปให้ตอนก่อนนอนได้แทบทุกวัน ที่เขาอยู่บ้าน เขาบอกว่าเขาทำบุญมาดี ไม่เหมือนพ่อนี่ ที่ต้องทำเองหาเองทุกอย่าง พ่อน่ะหัดทำดีอย่างเขาซะมั่ง นี่ดูลูกเป็นตัวอย่าง นั่นฟังเด็กเส้นของหลวงพ่อเบ่ง ไอ้เราก็ต้องไปทำให้เขาง๊อกๆประสาคนที่ทำบุญมาน้อยสู้ชาวบ้านเขาไม่ได้ สู้บุญของลูกตัวเองก็ไม่ได้ เฮ้อ ไม่รู้พุทธภูมิประสาอะไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 เมษายน 2014
  2. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814



    :cool:({) เอ่สวัสดีครับคุณดาบหัก และพี่ๆน้องๆทุกๆท่าน การที่ ขนหินทรายนี่ ก็จำไม่ได้เหมือนกันว่า ทำมาเท่าไหร่ ที่ไหนกันบ้าง นี่น่าจะหลายที่หลายทางด้วยกันในชาตินี้ ก็ก่อพระเจดีย์ทราย ที่วัดท่าซุง คือทราย หลวงพ่อ หรือพระท่านนำมาไว้ ให้ ก่อพระเจดีย์ทราย ตอนสงกรานต์ ปีใหม่ของไทย และอีกหลายๆประเทศ ภูมิภาคนี้ ซึ่งท่าน ใครจะนำมาก่อ เจดีย์ จะได้อานิสงฆ์กัน ใครจะให้เงินหรือไม่ให้ ก็ไม่เป็นไร แต่ส่วนใหญ่ ก็บรรดาลูกศิษย์ ลูกหลาน ก็จะ ชำละหนี้สงฆ์กัน ที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้ก่อนหน้านี้ครับ


    ก็จะขอแจงเรื่อง บุญ ที่เคยทำไว้ ในพระพุทธศาสนา เรื่องหินดินทราย ที่วัดท่าซุง นี่ ทำมาหลายปี ตอนหลังๆไม่เอาแล้ว ไว้ให้เด็ก รุ่นหลังๆเขาทำกันเราไปทำที่อื่นๆ หรือ เรื่องอื่นๆต่อไปครับ เคยไปขนทรายในแม่น้ำ น่านที่หน้าเขื่อน ภูมิพล ไปก่อเจดีย์ทรายที่วัด สามเงา อ.สามเงา จ.ตาก นานมากแล้ว และตามวัดวาอาราม หลายสิบ คันรถ หลายวัด ยิ่งทาสี ที่วัด นี่ก็หลายวัดไม่ได้ คิดเงิน คิดทองเลย ทาเองด้วยตัวเอง ยิ่งทา สีพระหน้าตัก ๙ ศอกด้วยแล้ว ๓ สมัย เชียงแสน สุโขทัย อู่ทอง ทำอยู่ ตก ๒ เดือน สมัยรัตนโกสินทร์ นี่ ทำทามานับ สิบๆองค์ ไม่ได้คิดค่าจ้างอะไร



    ไม่ได้มาอวด แต่นำมาให้โมทนาสาธุกัน เพราะว่ามันผ่านมาแล้ว และทำได้แล้ว จึงนำมาบอกพูดให้ฟังและโมทนากัน บางคนเคยพูดเห็นที่อื่นๆมาหลายที่ สร้างแต่วัด ทำไม ไม่ช่วยเด็ก แจกของชาวบ้าน จึงบอกผ่าน แบบท่านพ่อ วัดท่าซุง ว่า การทำเช่นนั้น เราก็ทำ แต่ทำมากน้อยนั้นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก แต่ท่านพ่อ วัดท่าซุง ท่านทำกันเป็นปรกติ ตั้งธนาคาร ศูนย์สงเคราะ บอกไว้ชัดเจน เพียงแต่ผมก็เจริญตามรอยท่านบ้างได้นิดหน่อย ตามกำลังเราเท่านั้นเอง เคยแจกของ ชาวเขา บางหมู่บ้าน บอกบุญมา แจกเสื้อผ้า ขนมนมเนย ยาสีฟัน สบู่ โอ่งน้ำ ตุ่ม แท๊งค์น้ำ ผ้าป่า กฐิน ไปทอด ตามวัด กลางออกตก เหนือ ถึงจะไม่มาก แต่ก็ทำ ถึงอานิสงฆ์ ได้ไม่เท่าสร้างวัด เราก็ทำ



    แม้ให้อาหารสัตว์ เราก็ทำ หลายๆสิบครั้ง ทำสุดกำลังที่ทำได้ ถ้าว่า ล้างถ้วยชามนี่ วัดท่าซุง ล้างถ้วยชามมา ๓-๔ ปี เป็นภารโรงตก ๓ ปี ทำนา ๑ ปี ปลูกป่า หลายครั้ง ตอนหลังนี่ตก ครึ่งปี หวาดลานวัด ทาง นี่พร้อมๆกัน รวมๆเป็นปี ล้างส้วมนี่ บ่อยๆมากๆ ช่วยซ่อม ประปา เดินสายไฟ ในวัด ดันป่า ในวัด ฉีดยาหญ้า ตัดหญ้านี่ ทำเป็นปรกติ จำไม่ได้ ก็อีกเยอะในเมื่อเราไม่มีบุญ เราก็ทำตามท่าน พ่อ ท่านบอกว่า ในเมื่อเราไม่มีบูญ ก็สร้างใหม่ ทำไหม่ได้นี่ ไม่ต้องไปร้องบอกตระโกน บอกไม่มีบุญ ของมันสร้างทำกันไมหม่ได้ เดี๋ยวมันก็เป็นบุญเป็นกุศลขึ้นมาเอง ไม่ต้องไปรอบุญของผู้อื่น สร้างมันเอง เดี๋ยวจะบอกให้ฟัง อีตอน ตาย ที่เห็นบ่อยๆไปงานศพ เห็นคนเขาเอาข้างของไป ให้ พ่อแม่ พี่น้องที่ตายไป เคาะโลงศพ ดังเก๊าะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ พ่อแม่พี่น้องๆๆกินหาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไปบอกให้ลุกขึ้นมากิน ไม่เห็นมีใครลุกขึ้นมากินเลย ทีอีตอนมีชีวิตอยู่ เสือก ไม่ซื้อไม่เรียก ให้กิน ดันไปเรียกอีตอนตาย ฮ้ายๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :cool:
     
  3. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2014
  4. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814



    :cool:({) สวัสดีครับ พี่พี่ซีโอ พี่ๆน้องๆทุกๆท่าน การที่พี่ได้นำ คำพยากรณ์ ที่ท่านพ่อได้ พยากรณ์ไว้ อันผมนี้ ก็จำไม่ได้ ลืมไปนานแล้ว จำไม่ได้จริง ต้อง ขออนุโมทนาสาธุกับพี่ด้วย เป็นอย่างยิ่ง จริงๆแล้ว คนที่อยู่ ใกล้วัด หลวงพ่อ ด่าหลวง พ่อ ทั้งนั้น มีเพียงไม่กี่คน ที่เคารพท่าน ปัจจุบัน เปลี่ยนแปลงไปเยอะ ทำให้หลายๆคน หันมาเคารพหลวงพ่อ และพึ่งพาอาศัย หลวงพ่อกินและเลี้ยงชีวิต เมื่อก่อนที่ผมมา มีคนห่างจากวัดไปหลายกิโล มาวัดท่าซุง แต่คนใกล้จริงๆ มีไม่กี่คน ส่วนใหญ่แล้ว คนใกลๆทั้งนั้น เมื่อก่อน ดินแดนแห่งนี้ เป็นดินแดน ของโจร จี้ปล้น ขโมย แม้พระในสมัยนั้น ต้องอยู่เวรยาม รักษา สมบัติ พระศาสนา ไม่งั้น คงไม่เหลือไว้ให้เราๆท่านๆได้เห็นจนทุกวันนี้แน่นอนครับจนทุกวันนี้ เปรียบสมัยโบราณเสมือนหนึ่ง เมืองๆหนึ่งเลยแหละครับ :cool:
     
  5. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814



    :cool:({) สวัสดีครับพี่พีซีโอ อะไรๆพี่ก็พูดไปหมดแล้ว และขยายใจความไว้ดีแล้ว เป็นอย่างยิ่งไม่มีความจำเป็นอะไรที่ผม จะอธิบายอีก มันจะซ้ำกันเปล่าๆ จึงได้ขอขอบคุณ ในควมรู้ของพี่ ได้ให้ความรู้ แก่ใจ ได้สว่างขึ้น ตามลำดับ ที่รู้มา เป็นข้อสนับสนุน อันพึง ปราถนา ให้ผู้อื่นได้มีความรู้สุข และได้ให้ผู้ที่ไม่รู้ จะได้รู้ เต็มความสามารถ ผมก็คิดเช่นเดียวกันกับพี่ เพียงบางเรื่อง มันจะเป็นด้วย วิถี ลูก ที่อยู่กับพ่อแม่ เกียงงอนกันนิดหน่อย อันนี้ก็คิดให้อภัยเขา ซึ่งเขายังไร้เดียงสา ไม่รู้ ความในของเราถือว่าเป็นบุบพกรรมของเราเอง ขอบคุณอีกครั้งครับพี่:cool:
     
  6. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814





    :cool:({) สวัสดีครับพี่ ผมก็คิดเช่นนั้น ในสมัยของเราๆ เราต้องเสาะแสวงหา ที่พึ่ง หาความรู้ประสบการณ์ ต่างๆ หาครูบาอาจารย์ ต้องท่องเที่ยว ตระเวนหา ในสมัยนี้ เปรียบเหมือนเรา เอาขนม มาโยนทิ้ง ไว้ให้เขา จะกินหรือไม่กิน มันเรื่องของเขา ผมก็คิดคล้ายพี่ เขาทำบุญมาดี จึงไม่เป็นการยาก เสาะแสวงหาแบบยุคของเรา ต้องอดทนอดกลั้น หิวโหยทนทุกข์ ในทุกสถาณการณ์ อันพึงไม่ปราถนา มันคนละยุคสมัยไปแล้ว เราก็ต้องยอมรับโดยดุษดีภาพนะพี่ แต่ในยุคของครูอาจารย์ หนักกว่าเรา ท่านต้องเอาชีวิตเข้าแรก กว่าจะได้ ความรู้ ปัญญา ทั้งทางโลกและทางธรรมมาสอนพวกเรา ท่านต้องเอาชีวิตเข้าแรกด้วยกันทุกๆพระองค์เลยทีเดียว

    วันนี้วันพระ ก้เหมือนวันก่อนที่บอกมา ก็ได้ ให้ภรรเมียพาแม่ไปใส่บารต เช่นเคย ผมก็เลย ถือโอกาศ อดข้าว ล้างท้อง สัก ๓ วัน ฮ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 เมษายน 2014
  7. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    โมทนาสาธุอย่างยิ่งครับพี่ ที่แม่บ้านของพี่หาแม่ไปใส่บาตร ความดีแบบนี้สำหรับผมมันไม่มีโอกาสพาแม่ไปวัดอีกแล้ว เพราะแม่ไม่อยู่ให้ได้ทำดีอีกแล้ว ก็ต้องรอไปทำกันรอบใหม่ ก็ยังไม่รู้ว่าแม่คนต่อไปจะเป็นใคร นานอีกเท่าไหร่แม่เดิม จึงจะมีโอกาสกลับมาเป็นแม่เป็นลูกกันอีก ใครที่ยังมี พ่อ มีแม่ อยู่ให้เราได้มีโอกาสทำความดีสนองคุณท่านก็ถือว่ายังมีทรัพย์ ที่เป็นอริยะทรัพย์ประจำบ้าน เป็นมงคลอันประเสริฐ คนที่สิ้นพ่อ สิ้นแม่จะรู้ว่าเมื่อท่านไม่อยู่ให้เราได้ทำความ กตเวทิตาแล้ว มันวังเวง ได้ดีมีสุขอย่างไรเราก็ไม่มีคนที่สำคัญที่สุดคอยขื่นชมยินดีกับเรา
     
  8. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    :cool:






    :cool:({) สวัสดีครับพี่พีซีโอ พี่ๆน้องๆทุกๆท่าน วันนี้ก็แว๊บ เข้ามาตอบสักประเดี๋ยวหนึ่ง ก็อดไม่ได้ นี่ อดข้าวล้างท้อง ความดันขึ้น เพราะ กินน้ำ ผลไม้ ดีท๊อกช์ น้ำข้าวกล้องงอก หมุนเวียนกันไป ทุกๆชั่วโมง ล้างท้องด้วยกาแฟ ๔ ลิตรครึ่งรวม ๓ ครั้ง ที่กินยากที่สุด คือ น้ำมะนาวกับ น้ำมันมะกอก อย่างละ ๑๐๐ กว่า ซีๆๆ มันกระเดือก เข้าไปยากจริงๆครับพี่ ต้องฝืนใจมากๆ บางครั้ง กินไม่หมดคอตร์ พูดแล้ว ยาวๆ แต่ต้องทำ มันก็มีประโยชน์ พอควร ตอนก่อนทำ ผมปวด มากมาตก ครึ่ง เดือน เส้นหลังบวม เส้นแข็ง ตั้งแต่ หัวยัน นิ้ว ขา มือ ไม่มีส่วนไหน เพลาลงเลย ช่วงก่อนๆ พอได้ ให้ ทรงกับทรุด แต่นี่ มันทรมารสิ้นดี ไปหาหมอนวด พอใช้ เท้ากับมือ นวดรีดเส้น โดนตรงไหน ตรงนั้น เหมือน ไม้แหลมๆทิ่มแทง สดุ้ง โหยงๆๆๆ ปวด ทั่วทั้งตัว เรียกว่า แทบจะกระชาก จิต วิญญาณ ออกจากร่าง



    มาเรื่อง บุพการี พ่อตาย แพแตก แม่มีสามีใหม่ ถ่อหัก ตอนนั้นสัปสนวุ่นวาย น้องชายถูกยิง น้ำท่วมไร่ สวน หมด ปี ๒๖ น้ำทั่วประเทศเหมือนปี ๓๑ - ปี ๓๘ ปี ๔๘ -๔๙ และมาหนักที่สุด ก็ที่น้ำท่วม ๕๔ สาหัสเอาการ ฉนั้นตรงนี้ กว่าผมจะยอมรับเหตุการณ์ ต่างๆ ลงได้ ต้องใช้เวนานพอควร กว่าจะปรงตก และยอมรับทุก สถานะการณ์ ได้ เรื่องพ่อนี่ ก็ยังว่า ถึงไม่ได้เลี้ยงท่าน ตอนแก่ เพราะท่านตาย ไปขายถ่านก่อน อายุยังไม่มาก แค่ ๕๓ - ๕๔ ปี แต่ก็เคยช่วยทำงาน มาทุกๆอย่าง ตั้งแต่เด็ก อายุ ๓ ขวบกว่าๆ เลี้ยงน้อง เก็บข้าวตก เลี้ยง วัวควาย ก่อนเข้าโรงเรียน ไถนาทำนา เป็นหมด ไถวัวควาย ขุดดิน แทงล่องสวน ปลูก เกษตรสารพัด ซึ่ง ชาวบ้าน ทั้งหมู่บ้าน ไม่มีใครทำแบบบ้านเรา



    เป็นลูกจ้าง สารพัด หาปูปลา ตกปลา ลงข่าย ดักลอบ ตำหลุม ปักเป็ด สุ่มปลา ส่องปลา จับกบ เป่ากบ ด้วยก้อง เรียกว่า ใครๆในหมู่บ้านนี่ หาตัวจับยาก ในสมัยนั้น ปลาโลละ ๑บาท หก สลึง ๒-๓ บาท วันหนึ่งๆ หาปลาได้เงิน ถึง ร้อย ๆกว่า จนกระทั่งปลาโลละขึ้นมาถึง ๑๐ กว่าบาท จึงเลิก ปลาแห้ง บางวันเป็นกระบุง กระปิ ทำจากกุ้ง ปีหนึ่งๆ เป็นสิบๆไห ปลาร้า ทำไว้กินหน้าแล้ง ปีหนึ่งเป็นสิบไหเหมือนกัน นี่ เรื่อ ปานาติบารต นี่มันเยอะเชียวแหละพี่ เพื่อ หา ของ หาเนื้อสัตว์ มาช่วยพ่อแม่ เลี้ยง น้องๆ ซึ่ง ครอบครัวเรา มีหญิง ๔ ชาย ๔ นะพี่ ในสมัยนั้น ข้าวสารลูกหนึ่ง กระสอบป่าน กินไม่ถึง เดือน แค่ ๒๐ กว่าๆวัน ลูกละ ๑๐๐ โล ไม่ถึง ๑๐๐ บาท ยังมีอีกเยอะ ที่เขียนไม่หมดไม่จบ ถ้าเขียนให้ละเอียดนี่ หนังสือ ๕ เล่มใหญ่ๆ เลยนาพี่นี่ ต้อง ใข้เวลามาก เดี๋ยว พี่จะไม่มีเวลา อ่าน จึง ให้คนอื่นเขา มาตอบกันบ้างว่า คนรุ่นพี่ กับผม นี่ ยังรู้จัก กระปิ๊งปิดปิ ที่เป็น เงินนาค ที่หลารนรุ้งดาว เคยถามว่า มันคืออะไรไง ไม่เคยรู้กัน ฮ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :cool:

     
  9. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    คัดจากบางตอนจากหนังสือสุวรรณภูมิปกรณ์​

    ..... พ่อขุนแถนไทยมากมายหลายหลาก ต่างชื่อกันบ้างมีชื่อซ้ำกันบ้าง ได้ปกครองอาณาจักรแถนไทยสืบต่อกันมาต่างก็ได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองมากบ้างน้อยบ้าง ตามระบบแบบไทยตลอดมา ทั้งได้ติดต่อค้าขาย แลกเปลี่ยนความเจริญแก่กันและกัน อันเป็นสัมพันธไมตรี ตลอดถึงจัมปากรัฐจดถึงชมพูทวีปมัชฌิมชนบทหรือมัธยมประเทศตลอดด้วย

    ... โดยเฉพาะก็คือ การเรียนสือไทย หรือ ลายสือไทยได้มีการสอนกันมาก
    เรือนหลวง จวนลูกขุนมูลนาย วัง ได้ตั้งเป็นโรงเรียนขึ้นทุกแห่ง การเรียนจึงแพร่หลายให้รู้สือ อ่านออกเขียนได้ และได้ตั้งเป็นตำราไทยมีชื่อว่ารู้สือไทย

    ... พระโกนาคมน์สัมมาสัมพุทธองค์ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ณ มัชฌิมประเทศนั้น ได้เสด็จโปรดชาวโลกตลอดชมพูทวีป และ ถึงจัมปากรัฐ พระเจ้ากรุงจัมปาก ทรงพระนามว่า พระเจ้าธรรมราชาธิราช ก็ทรงเลื่อมใสได้ตรัสถึงเป็นสรณะด้วยความเคารพนับถือ ทั้งได้ส่งข่าว พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้พ่อขุนแถน ผู้บุรพสหายได้ทราบ

    ... พ่อขุนแถนไทยจึงได้เสด็จ จัมปากรัฐแล้วพากันไปเฝ้าถึงพระมหาวิหาร ต่อมา พระผู้มีพระภาคโคนาคมนก็ได้เสด็จโปรดถึงอาณาจักรแถนไทยด้วยในกาลก่อนสมัยพระพุทธกาลนั้น ณ ราชอาณาจักรจัมปากรัฐนั้นก็เป็นสมัยพระเจ้าธรรมราชาธิราชเจ้า ทรงครองราชสมบัติ พระองค์ทรงทศพิธราชธรรมอันเป็นมรดกตกทอดมาจากพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธองค์นั้นจึงทรงมีมิตรสัมพันธไมตรีตลอดทุกอาณาจักรประเทศ

    ... และก็ถึงอาณาจักรประเทศแถนไทยด้วย ก็ในกาลนี้ในอนาคตวงศ์มีเรื่องอันเป็นพระพุทธพจน์ตรัสเล่าแสดงแก่พระสารีบุตรเถระจึงเป็นเรื่องในสมัยพระพุทธกาลพระสมณโคดมของเรานี้มีว่าพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าตรัสเล่าว่าพระยาช้างนาฬาคีรีซึ่งเป็นบรมโพธิสัตว์นี้ได้ไปบังเกิดเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ของพระเจ้าธรรมราชาธิราชนั้นซึ่งมีนามชื่อว่าธรรมเสนกุมารเป็นที่ ๑ กับมีพระอนุชาอีก ๔ องค์ คือที่ ๒ มีนามว่าภัททกุมาร ที่ ๓ มีนามว่า รามกุมารที่๔ มีนามว่า ปมาทกุมาร ที่ ๕มีนามว่า ธัชชกุมาร

    ... ต่างได้ไปเรียนสำเร็จศิลปศาสตร์ในสำนักทิสาปาโมกขาจารย์ ณ ตักศิลาพร้อมกันพระธรรมเสนกุมารนั้นสำเร็จวิชา ทานศีลธรรมศาสตร์ พระภัททกุมารสำเร็จธนูศรพิษศิลปศาสตร์ พระรามกุมาร สำเร็จวิชาดอกไม้ไฟศิลปศาสตร์พระปมาทกุมารสำเร็จวิชาช่างทองศิลปศาสตร์ พระธัชชกุมารสำเร็จวิชาบำราบอสรพิษศิลปศาสตร์

    ... ครั้นสำเร็จแล้ว ก็กลับมาพร้อมกันและพร้อมกันเข้าเฝ้าจึงสำแดงศิลปศาสตร์ที่สำเร็จมานั้นให้ทอดพระเนตรเห็นประจักษ์แจ้งทุกพระองค์พระเจ้าธรรมราชาธิราชพระราชบิดาได้ตรัสสรรเสริญเป็นอันมากเมื่อจะยกราชสมบัติให้ครองนั้น ได้ทรงพระราชดำริแล้ว จึงตรัสสั่งทั้ง ๕ พระองค์ให้ไปแสดงศิลปศาสตร์ ณ เมืองถิ่นอื่น ใครได้ชมเชยมากก็จะยกให้ผู้นั้นได้ครองต่อไป ได้ทรงจัดเรือให้เสด็จรอนแรมไปตามห้วงมหาสมุทรใหญ่

    ... เรือใช้ใบแล่นไปถึงเวลาเที่ยงคืนละลอกน้ำเกิดเป็นประกายสีพรายเหมือนดอกไม้ไฟ เจ้ารามกุมารสำคัญว่าดอกไม้ไฟมีอยู่ใต้ท้องมหาสมุทร หวังจะได้จึงกระโจนลงไป ก็ถูกปลาใหญ่กัดกินตายไปเรือแล่นไปถึงเวลาเช้า เจ้าปมาทกุมารเห็นดวงอาทิตย์โผล่ขึ้น ณ ขอบฟ้าส่งแสงเป็นดวงปรากฎในท้องมหาสมุทร ก็สำคัญว่าทองคำเนื้อบริสุทธิ์ปราศจากราคีมีอยู่ในน้ำนั้น หวังจะได้จึงกระโจนลงไปในห้วงน้ำนั้นก็ถูกปลาใหญ่กัดกินตายไปอีก

    ... เรือแล่นไปถึงเมืองหนึ่ง ได้จอดพักเจ้าธัชชะกุมารได้ขึ้นไปเที่ยวดูชม ได้เข้าไปในที่ชุมนุมชน คิดหวังจะได้ชื่อเสียงจึงสำแดงศิลปศาสตร์แปลงกายเป็นอสรพิษเลื้อยไปในท่ามกลางมหาชนชุมนุมกันนั้น ชาวชนเห็นเข้าก็หวาดกลัว จึงคว้าจับท่อนไม้พลองเป็นอาวุธไล่ทุบตีจนตายไปจึงเหลือแต่ เจ้าธรรมเสนกุมาร องค์เดียวไม่เห็นกลับมา ก็ให้นำเรือกลับไปจัมปากบ้านเมืองเดิม สั่งแล้ว พระองค์เดียวได้เสด็จเที่ยวไปในเมืองนั้น

    ... ในกาลนั้นมีพระฤาษีประมาณ ๘๐,๐๐๐ องค์มาแต่ป่าหิมพานต์ เหาะลอยมาทางอากาศเวหา ลงมา ณ เมืองนั้นแล้วเข้าไปโคจรบิณฑบาตในท่ามกลางเมืองเจ้ากุมารธรรมเสนนั้นได้เห็นตลอดแล้วจึงคิดว่า ศิลปศาสตร์ที่สำเร็จมาล้วนเหาะเหินเดินอากาศไม่ได้ พระดาบสนี้เหาะลอยไปได้ทุกองค์ คิดหวังอยากจะเรียนวิชาเหาะนั้น จึงเข้าถามสมัครเป็นศิษย์ พระดาบสได้เอ็นดูกรุณารับแล้ว ได้แสดงอิทธิฤทธิ์พาเจ้าธรรมเสนกุมารนั้นเหาะไปยังป่าหิมพานต์ ให้บวชเป็นดาบสแล้วกระทำสมณบริกรรมภาวนาให้เจริญฌาน ยังอภิญญา๕ให้บังเกิดขึ้นแล้วคิดใคร่ไปแสดงแก่พระราชบิดา จึงลาพระอาจารย์เพื่อกลับไปจัมปากนครได้เหาะลอยลงตรงพระพักตร์ ให้พระราชบิดาทอดพระเนตรเห็น พระเจ้าธรรมราชาธิราชทรงโปรดปรานชื่นชมยิ่งนัก และยกราชสมบัติให้ครองสืบไป

    ... พระเจ้าธรรมเสนราชานั้น หมายว่าจะทรงบำเพ็ญปรมัตถบารมี สละลูกเมียและราชสมบัติ จึงรับราชสมบัตินั้น และอุปภิเษกให้เป็นพระเจ้าธรรมเสนราชา กับพระนางลัมภุสสราชเทวี ล่วงกาลมานาน ได้ประสูติพระราชโอรสองค์แรก นามว่าเจ้าธรรมสารกุมาร ต่อมาได้ประสูติพระราชธิดา นามว่า สาริณีกุมารี

    ... ฉะนี้ พระองค์พร้อมด้วยพระราชเทวี พระราชโอรสธิดา พร้อมด้วยพระราชบริพารทุกหมู่เหล่าได้ออกประพาสนอกพระนคร เพื่อลงสาครให้สุขสำราญ ครั้งนั้นมียักษ์ตนหนึ่งได้เห็นพระราชกุมารทั้งสองนั้น ก็มีความหิวกระหายจึงสำแดงกายให้ปรากฎ ได้ออกคำขอพระราชกุมารทั้ง ๒ นั้น เพื่อเป็นภักษาหาร

    ... ทรงสดับแล้วจึงตรัสว่า ยักษ์ ท่านกล่าวคำนี้เป็นการดียิ่ง จึงจับหัตถ์พระลูกทั้ง ๒ นั้นจูงไปพระราชทานแก่ยักษ์ ตรัสว่า เชิญท่านมารับเอาปิยบุตรทานของเรา แล้วจับพระเต้าทองหลั่งน้ำลง พร้อมตรัสประกาศว่า

    ... " ด้วยเดชผลทานที่สละราชกุมารทั้ง๒นี้ขอให้เกิดผลเป็นที่สุดถึงพระสัพพัญญูสรรเพชรดาญาณ ในอนาคตกาลเบื้องหน้าเถิด "

    ... พระองค์ตรัสประกาศแก่เทพยดาแล้วก็ดลดาลให้เกิดมหัศจรรย์ต่างๆ เป็นต้นว่าแผนดินไหวทั่วโลกธาตุ

    ... ส่วนยักษ์ได้รับแล้วก็กินกุมารทั้ง ๒ แล้วก็เข้าไปในป่าแดนของตน พระเจ้าธรรมเสน กับพระราชเทวี ได้ทรงกลับพระนคร เมื่อถึงประตูเมืองได้เห็นชายแก่คนหนึ่งนั่งเป็นทุกข์อยู่ จึงตรัสถามได้สดับว่าตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้ บุตรภรรยาหามีไม่ จึงนั่งเศร้าโศกอยู่ในที่นี้ ได้สดับแล้วตรัสว่า เราจะยกมเหสีให้เป็นทานบารมี แล้วทรงจับพระหัตถ์จูงพระนางลัมภุสสราชเทวี มอบให้แก่ชายชรานั้น ได้จับพระเต้าทองหลั่งน้ำให้แล้วตรัสว่า

    ... " เดชะผลทานที่ยกอัครมเหสีให้ครั้งนี้ จงเป็นปัจจัยแก่พระสรรเพชรดาญาณเถิด "

    ... ดังนี้แล้ว ก็เกิดมหัศจรรย์ต่างๆเหมือนครั้งแรก

    ... ชายแก่คนนั้นจึงกล่าวว่า เราแก่เฒ่า ทรัพย์สมบัติก็ไม่มี จะอยู่ได้อย่างไรจึงทรงยกพระราชสมบัติให้ กระทำพระราชพิธีราชาภิเษก สถาปนาพระนามชื่อว่าพระเจ้ามหาฉัตตธรรมราชา ให้ปกครองสืบต่อไปแล้วก็ตรัสประกาศเพื่อสำเร็จพระสัพพัญญุตตาญาณก็บังเกิดมหัศจรรย์ต่างๆเป็นครั้งที่ ๓

    ... ครั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงอธิษฐานเรียกบริขารทั้ง ๘ นั้นก็ได้เลื่อนลอยตกลงมาตรงพระพักตร์ ทรงครองบริขารนั้นสำเร็จเพศบรรพชาเป็นพระดาบสฤาษีแล้วทรงเจริญบริกรรมภาวนากระทำฌานสมาบัติ ๘ และอภิญญา๕ ให้เกิดขึ้นแล้วก็ทรงเหาะไปในอากาศ ยังป่าหิมพานต์ เข้าไปสู่สำนักพระฤาษีทั้งหลาย และอยู่ ณ ที่นั้น

    ... ในกาลนั้นพระอริยสาวกองค์หนึ่งของพระโคนาคมสัมมาสัมพุทธองค์ได้เข้าพักอยู่สุขสำราญในป่าหิมพานต์นั้น พระฤษีทั้งหลายได้พบเห็นพระอรหันต์แล้วก็มีความเชื่อและเลื่อมใส ได้เข้าไปกราบสักการบูชาพระอริย-สาวกนั้น นิมนต์ให้ยับยั้งอยู่ ๑ ราตรีครั้น รุ่งขึ้นเวลาเช้า พระอริยสาวกอรหันต์ ก็ได้พาพระดาบสธรรมเสนเหาะเข้าไปในสำนักพระมหาวิหาร และเข้าเฝ้า พระโคนาคมนสัมมาสัมพุทธองค์นั้น

    ... พระดาบสธรรมเสนได้เข้าไปกราบนมัสการแทบพระบาทมูลพระสัพพัญญูเจ้า ได้พิจารณาดูพระทวัตติงสมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ชัดเจนแล้ว ก็ได้เกิดปีติโสมนัสขึ้น จึงได้ทูลอาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้าให้แสดงพระสัทธรรมเทศนา สมเด็จพระโกนาคมน์สัมมาสัมพุทธองค์ ทรงพระกรุณาตรัสว่า

    ... " ดาบสธรรมเสนผู้เจริญ บัดนี้ตัวท่านสมควรจะพิจารณาซึ่งกิริยาที่จะให้ไปถึงเมืองแก้ว คือ พระอมตมหานครนิพพานจึงจะชอบแก่ตัวท่านด้วยตัวเองเถิด "

    ... พระดาบสบรมโพธิสัตว์ได้สดับพระพุทธฎีกาเป็นนัยเช่นนั้นก็บังเกิดความเชื่อเลื่อมใสขั้นสัทธาปสาทะเต็มเปี่ยมแล้ว ก็ได้อธิษฐานเล็บของพระองค์ให้คมดุจดาบ ได้ใช้ตัดเศียรเกล้าให้ขาดแล้ว ใช้พระหัตถ์ทั้งสองรับประคองยกขึ้นกระทำสักการะบูชาสมเด็จพระพุทธองค์ และได้กล่าวตั้งความปรารถนาว่า

    ... " พระองค์สมเด็จพระโคนาคมได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูผู้ประเสริฐถึงเมืองนิพพานก่อนแล้ว ข้าพระองค์ก็ปรารถนาสำเร็จเป็นพระศรีสรรเพชญ์สัมพุทธองค์พระองค์หนึ่ง

    ... อนึ่งพระองค์ได้เสด็จไปสู่เมืองแก้วก่อน ข้าพระองค์ขอสำเร็จพระนิพพานในเบื้องหน้า "

    ... ภายหลังได้กล่าวคาถาเป็นใจความ ๒ ข้อดังนี้แล้ว พระบรมโพธิสัตว์ธรรมเสนดาบสนั้นก็จุติเคลื่อนไปอุบัติ ณ ดุสิตสวรรค์

    ... แล้วส่วนพระเศียรเกล้าพระสรีระกายนั้นก็ลุกเป็นเพลิงเสมือนเทียนประทีปบูชามีกลิ่นหอมเป็นสุคนธ์ทิพบูชา ลุกเป็นประทีปต้นเฉพาะ ไม่ลุกลามไหม้ไปที่อื่นด้วยพระพุทธานุภาพ และด้วยอำนาจอธิษฐานบารมี กระทั่งหมดสิ้น

    ... และในกาลนั้น ราชอาณาจักรจัมปากรัฐติดต่อกับชมพูทวีป ในทางตะวันออกก็ติดต่อ และมีสัมพันธไมตรีชั้นเพื่อนเกลอกับราชอาณาจักรแถนไทย ณ รัชสมัยพระเจ้าธรรมราชาธิราชเจ้า ก็ทรงมีมิตรธรรมกับพระเจ้าแถนไทยแก้วฟ้า ระดับเพื่อนเกลอในกาลที่พระโกนาคมน์ตรัสรู้แล้ว ก็ได้ฟังธรรม แม้พระพุทธองค์และพระอรหันตสาวกก็เสด็จและมาโปรดเสมอ เพราะพระองค์และพระอรหันต์ก็ทรงทราบว่า พระเจ้าธรรมเสนราชาและพระเจ้าแถนไทยแก้วฟ้า ต่างได้ปรารถนาพระโพธิญาณ และทรงบำเพ็ญบารมีจึงมาโปรดเพื่อส่งเสริมเพิ่มให้เต็มตลอดไป

    ... ก็มีข่าวถึงกันอยู่เสมอกระทั่งกาลที่ถึงกำหนดแก่กล้า พระเจ้าธรรมเสนราชา สละพระลูกทั้ง ๒ สละพระราชเทวีสละราชสมบัติ ตลอดกระทั่งสละพระเศียรเกล้า และพระสรีระกายทั้งชีวิตเป็นพุทธบูชานั้น ซึ่งเป็นวาระกาลยอดสุดแล้ว พระดาบสได้ดับชีพไปแล้ว แต่พระราชอาณาจักรและพระมเหสียังอยู่เป็นปกติ พระเจ้าแถนไทยแก้วฟ้าได้ทรงทราบข่าวและก็ได้อนุโมทนาสาธุการแล้ว และ รีบด่วนเสด็จไปเยี่ยมเยียน และประสงค์จะดูแลและทรงอุปถัมภ์มเหสีเพื่อนเกลอนั้น

    ... ครั้นเสด็จถึงพระนางทรงพาบุรุษแก่เสด็จด้วยออกต้อนรับ และตรัสเล่าให้ฟังว่าพระราชสวามีทรงยกพระนางให้และทรงกระทำพิธีราชาภิเษกบุรุษเฒ่านี้เป็นพระราชาองค์ใหม่ พระมหาฉัตตธรรมราชาหรือบุรุษเฒ่านั้นครั้นได้พบและได้ฟังพระนางลัมภุสสราชเทวีตรัสเล่าแล้วจึงได้เปลี่ยนเพศเป็นเทพเจ้าผู้มีศักดิ์ใหญ่ ได้ทรงลอยขึ้นสู่เวหาสแล้วได้ประกาศกล่าวว่า

    ... " เรานี้ เมื่อก่อนกาลที่พระโกนาคมน์จะอุบัติขึ้นได้เกิดเป็นพระยาช้างใหญ่ สกุลฉัททันต์ จึงได้เป็นราชาเจ้าโขลงปกครองช้างสุกลเดียวกัน ๘หมื่น๔พัน ณ บริเวณสระฉัททันต์นั้น ซึ่งได้ปกครองให้อยู่เป็นสุขตลอดกาลนานจวบถึงกาลที่พระโกนาคมน์อุบัติครองเรือนอยู่ ๓,๐๐๐ ปี ได้เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์และได้ตรัสรู้เป็นพระโกนาคมน์สัมมาสัมพุทธองค์แล้ว ได้ล่วงมาถึงมัชฌิมโพธิกาล

    ... ในกาลนั้น ธรรมเสนราชานี้ ได้ไปบวชเป็นดาบสในสำนักดาบส ในป่าหิมพานต์ยังได้พบเห็นกัน แต่พูดกันด้วยปากไม่ได้ เพราะต่างชาติกำเนิดกัน กระนั้นก็พอรู้กันได้โดยเจโตปริยญาณ

    ... ในปลายมัชฌิมโพธิกาลนั้น ครั้งนั้นพระโกณฑัญญะเถรมหาขีณาสพพระสาวกของพระโคนาคมนพุทธองค์นั้น ได้ไปปรินิพพาน ณ ลานบริเวณสระฉัตรทันต์นั้น เราได้สละงาทั้งคู่อธิษฐานขอให้มีเลื่อยทิพยนต์ทำงาข้างหนึ่งเป็นโกศบรรจุพระสรีระศพ อีกข้างทำเป็นนกยูงเป็นเชิงรองตั้งโกศ เอาผมขน ณ ศีรษะทำเป็นไส้ประทีปเทียน ตามถวายสักการะบูชา

    ... กุญชรชาติฉัททันต์บริวาร ๘๔,๐๐๐ ประชุมกันแล้ว ใช้งวงประคองวางลงบนกระพองยังเพลิงให้ลุกขึ้นเผาไหม้อยู่ นกยูงเชิงรองตั้งโกศนั้นดุจมีวิญญาณได้โผผินบินไปในอากาศให้เพลิงไหม้หมดสิ้น แต่อัฐิธาตุทั้งหลายได้ตกเรี่ยรายบนแผ่นดินทวยเทพได้ตกแต่งเจดีย์บรรจุพระธาตุไว้แล้ว ในกาลประชุมเพลิงศพพระอรหันต์ครั้งนั้นเราได้กระทำความปรารถนาว่า

    ... " ด้วยเดชผลนี้ จงเป็นปัจจัยแก่พระสัพพัญญูสรรเพชรดาญาณเถิด "


    ... ก็เมื่อถึงกาล จึงจุติได้เคลื่อนขึ้นไปเกิดเป็นเทพเจ้าศักดิ์ใหญ่ ณ ดุสิตสวรรค์ แล้วได้คอยอยู่จนถึงกาลนี้ ก็ได้เห็นธรรมเสนได้สละลูกชายหญิงให้เป็นภักษาหารแก่ยักษ์ แล้วจึงได้มาคอยรอรับสละพระมเหสีและราชสมบัติให้สำเร็จผลบำเพ็ญปรมัตถทานบารมียอดสูงสุดนั้น ให้บริบูรณ์และก็ได้สำเร็จสมบูรณ์ทุกอย่างแล้ว

    ... พ่อขุนไทยแก้วฟ้าก็เป็นพวกเดียวกันทั้งเป็นเพื่อนเกลอของพระเจ้าธรรมเสนราชา ด้วยเราได้มาในฐานะศักดิ์มนุษย์ได้กระทำหน้าที่มนุษย์สำเร็จแล้วจึงหมดหน้าที่ ทั้งเป็นอมนุษย์ด้วย จึงไม่สมควรทุกประการ ฉะนี้ จึงขอมอบราชสมบัติ พร้อมกับพระนางเทวีแก่พระองค์ท่าน ได้โปรดอนุเคราะห์ปกครองให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข

    ... เราอมนุษย์เทพทั้ง ๒ พร้อมด้วยทวยเทพท้าวมนุษย์ทั้งหลาย ร่วมกันกระทำทั้งอินทราภิเษกและราชาภิเษกสถาปนา พระองค์ท่านเป็นนพรัตนธรรมราชา กับลัมภุสสราชเทวีก็พระราชเทวีนี้ ณ กาลครั้งที่เป็นมหาปนาทบรมจักรพรรดินั้นพระนางก็เป็นนางสนองพระโอษฐ์ของท่าน จึงให้ครองทั้ง๒ อาณาจักร กับทั้งพระนางใคร่มีพระราชโอรส ธิดา สืบสกุล ก็พระราชโอรส ธิดาทั้ง ๒ ซึ่งเป็นภักษาหารยักษ์ไปแล้ว ก็เป็นอันพ้น พันธกรณีจึงยังรอคอยกาลเวลาจะมาเกิดใหม่ได้

    ... ท่านจงกระทำปรามาส(ลูบคลำพระนาภี) ซึ่งพวกเรากระทำได้ตามธรรมนิยมของนิยตโพธิสัตว์ จงกระทำปรามาสเพื่อเป็นโอกาสจะได้เกิดเป็นคู่แฝดชายหญิง สพฺพโสตฺถี ภวนฺตุ เต ให้สำเร็จผลสมประสงค์จงทุกประการ "

    ... พระเทพเจ้าบรมโพธิสัตว์ธรรมเสนก็กล่าวปกาศิตว่า อิจฉิตํ ปฏฺฐิตํ ตุมหํ ขิปปเมว สมิชฺฌตุ สพฺเพ ปูเรนตุ สงฺกปฺปา จนฺโท ปณฺณรโส ยถา สิ่งที่ประสงค์ ที่ปรารถนา จงสำเร็จแก่ท่านฉับพลันเถิด ให้สรรพดำริจงเต็มเปี่ยมเหมือนจันทร์เพ็ญเต็มดวง ฉะนั้น เสร็จอินทราภิเษกแล้วต่างก็ได้กลับไปยังวิมาณของตน

    ... ขุนแถนไทยแก้วฟ้า จึงมีนามอีกชื่อหนึ่งว่าพระเจ้านพรัตนธรรมราชา ได้ปกครองทั้ง ๒ อาณาจักรนั้นได้ทรงกระทำอย่างเทพเจ้าศักดิ์ใหญ่สั่งไว้ ต่อมาไม่นานพระนางลัมภุสสราชเทวีทรงครรภ์ครบกำหนดแล้ว จึงได้ประสูติพระราชโอรสธิดาแฝดเป็นพระราชโอรส ๑ ได้ให้นามชื่อเดิมนั้นว่า เจ้าธรรมสารกุมาร เป็นพระราชธิดา ๑ ได้ให้นามชื่อเดิมว่า เจ้าหญิงสาริณี ต่างได้เจริญวัยจนบรรลุวัยรุ่น พระเจ้านพรัตนธรรมราชาทรงเห็นแม่ลูก เจริญตามรอยศีลวัตร และ ธรรมศาสนศาสตร์มาตลอดตามที่เทพเจ้าประกาสิตไว้ จึงทรงกระทำพระราชพิธีอินทราภิเษกพระนางลัมภุสสราชเทวีเป็น สมเด็จพระแม่เจ้าอยู่หัวบรมราชชนนีลัมภุสสราชเทวี

    ... ทรงราชาภิเษกพระธรรมสารราชกุมาร เป็น สมเด็จพระเจ้าธรรมสารราชาธิบดี และทรงอุปราชาภิเษกพระนางเจ้าสาริณีราชกุมารี เป็นสมเด็จพระนางเจ้าสาริณีอุปราชินีให้เสด็จสำเร็จสรรพราชการดำรงที่สมเด็จอภิประมุขมนตรี กับดำรงที่สมเด็จพระเจ้าธรรมสารราชาธิบดี และดำรงที่สมเด็จพระเจ้าอุปราชินี แห่งจัมปากรัฐราชอาณาจักรเอกราชเท่าเดิมพร้อมกับเป็นพระราชอาณาจักรมิตรสัมพันธไมตรีตามเดิมทั้งทรงรับร่วมกันคุ้มครองป้องกันตลอดกาลอีกด้วย

    ... ในอนาคตวงศ์เล่าถึงกาลพระกัสสปสัมมาสัมพุทธองค์นั้น ชมพูทวีป ก็ได้มีชื่อว่า ชมพูทวีปอย่างนั้น กับมีชื่อว่า มัชฌิมชนบท หรือ มัธยมประเทศ และ จัมปากรัฐ ดินแดนทอง หรือไทยทวาลาว ซึ่งท่านเขียนเป็นภาษามคธว่า ทวารวติ คือ กรุงเทพทวารวดี นั่นเองซึ่งเจริญรุ่งเรืองมาตามที่มีพระพุทธองค์เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ๒พระองค์

    ... ด้านอาณาจักรแถนไทย หลังกาลยุคมิคสัญญีแล้ว ได้เปลี่ยนชื่อจาก แถนเป็น แผนหรือแผนไทย หรือไทยแผน เมื่อมิคสัญญีอันเป็นกาลสิ้นสุดพุทธันดรที่ ๒ นั้นเริ่มพุทธันดรที่ ๓ อายุยืนยาวขึ้นไปถึงอสงไขย คือนับไม่ได้ก็เกิดประมาทขึ้นประพฤติอกุศลต่างๆ อายุลดลงกระทั่งถึง ๒๐,๐๐๐ ปีพระกัสสปสัมมาสัมพุทธองค์อุบัติ พระองค์ได้ครองฆราวาสอยู่ ๒พันปี จึงออกมหาภิเนษกรมณ์ ได้ทรงทำความเพียรแล้วได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธองค์

    ... ได้แสดงพระธรรมจักกัปปวัตตนสูตรปฐมเทศนาจบแล้ว มีพระอรหันต์สงฆ์เป็นบริวารครบพระรัตนไตรแล้ว ได้เสด็จจาริกโปรดเวไนยชนตลอดชมพูทวีปมัชฌิมชนบท ถึง จัมปากรัฐ และ แผนไทยชนบท

    ... เมืองไทย หรืออาณาจักรไทยแผนนั้น พ่อขุนแผนก็ได้ปกครองกันสืบๆ มา ผู้ที่ได้เป็นพ่อขุน ก็ขนานนามชื่อว่าขุนแผนเมืองฟ้า แม่หญิงใดที่ได้ขึ้นที่ขุนหญิง ก็มีชื่อว่า ดวงขวัญใจ ตลอดมา

    ... ในกาลนั้น ทางชมพูทวีปมัชฌิมชนบท พระกัสสปทศพลได้ตรัสรู้แล้ว พระกิตติคุณได้แพร่ไปตลอด จนมีพระพุทธพรรษาได้ ๑ หมื่น ๑ พันปี พระชนมายุได้ ๑ หมื่น ๔ พันปีแล้ว

    ... พระเจ้าพ่อขุนแผนเมืองฟ้า เห็นว่า ลูกทั้ง ๔ ตั้งอยู่ในหน้าที่ดีตลอด ทั้งประชาราษฎร์ก็ชื่นชมสาธุการทั่วกัน ไม่มัวเมาในอธรรมศักดิ์อับศรีไร้เกียรติคุณ และสดชื่นดีในยุติธรรม และทรงทศพิธราชธรรมตามที่พระกัสสปทศพลประกาศแล้ว ประชาชนได้ปฏิบัติรักษาศีล ประพฤติธรรมทั่วไป ได้ทราบชัดอย่างแน่แท้แล้ว

    ... จึงคิดว่าหลุดพ้นราชภารธุระแล้ว เพราะทรงตั้งปณิธานปรารถนาพระโพธิญาน และทรงบำเพ็ญพระบารมีทางทศพิธราชธรรม ครบมาแล้วตลอดกาลนั้น จึงคิดว่าจะออกไปเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อจะได้ฟังพุทธพยากรณ์ เช่นโพธิอำมาตย์นั้น

    ... ถึงกระนั้น ก็ได้ล่าช้า มิได้ฉับพลันเหมือนท่านอื่นๆ จึงชื่อว่ายังไม่พร้อมด้วยองค์คุณ ซึ่งกรรมบันดาลให้เป็นไปอย่างนั้น จึงพร้อมทุกประการไม่ได้

    ... ครั้นตระเตรียมพร้อมแล้ว จึงสละทั้งราชอาณาจักร และราชสมบัติถือผนวชครองขาวแล้วจึงเสด็จดำเนินไปถึงพระมหาวิหาร ได้เข้าเฝ้าและอาราธนาให้แสดงธรรมว่า

    ... " พระองค์พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สละราชสมบัติบุตรภรรยา ยศสมบัติครองเรือนทุกประการ เพื่อสำเร็จพระโพธิญาณในอนาคตขอพระองค์ได้โปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์เถิด "

    ... พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ... " น้องเราผู้พุทธางกูร ตถาคตรออยู่ ๑ หมื่นกับพันปีแล้ว หากกรรมบันดาลให้เป็นไปจึงมีเหตุให้เป็นไปอย่างนี้ จึงไม่มีองค์คุณยอดสุด คือ พระอรหันต์ผู้ออกจากนิโรธสมาบัติไม่มีในกาลนี้

    ... และในการเช่นนี้ผู้เป็นนิยตบรมโพธิสัตว์แล้วจึงยังไม่ลุถึงองค์คุณยอดสูงสุด

    ... น้องเราได้อธิษฐานสำเร็จเป็นเพศดาบสผนวชแล้ว ได้เจริญฌานสมาบัติให้เกิดขึ้นแล้ว จงอุปสมบทเป็นภิกขุในธรรมวินัยนี้แล้ว จงประพฤติวิสุทธิธรรม(คือ พระกรรมฐาน ๔๐ สติปัฏฐาน ๔ วิปัสสนาญาณ ๙)ให้บริสุทธิ์จะเป็นอุปนิสัยให้ลุถึงองค์คุณยอดสูงสุดนั้นพร้อมสมบูรณ์

    ... ในกาลว่างพระศาสนาระหว่างพุทธันดรนี้ กับพุทธันดรพระโคดมสัมมาสัมพุทธองค์

    ... ในกาลนั้น น้องเราจะได้เกิดเป็นนันทมาณพพาณิชเป็นพ่อค้าได้เที่ยวค้าขายได้ผลกำไรเป็นทรัพย์สมบัติมากแล้ว และยังเที่ยวค้าขายอยู่นั้น

    ... มีพระปัจเจกพุทธองค์ ๕๐๐ องค์ องค์หนึ่งได้ออกจากนิโรธสมาบัติแล้วคิดว่าจะไปโปรด จึงได้เดินเที่ยวบิณฑบาตมาตามทางนั้น

    ... ซึ่งนันทมาณพได้เห็นแล้วเกิดความเลื่อมใสขึ้นจึงยกผ้ากัมพลแดงผืนหนึ่งกับทองแสนตำลึง กระทำเป็นเครื่องไทยทานถวายแล้วจึงได้ตั้งปรารถนาพระโพธิญาณ

    ... พระปัจเจกพุทธองค์จะอนุโมทนา ทั้งจะมีกุมารีสาวคนหนึ่งจะถวายผ้าห่มแล้วปรารถนาร่วมด้วย ครั้งนั้นน้องเราจะได้ผลองค์คุณยอดสูงสุดครบบริบูรณ์

    ... บัดนี้ กาลยังไม่พร้อมจงบวชเป็นภิกขุเถิด จึงตรัสให้เป็นเอหิอุปสมบทเป็นเอหิภิกขุแล้ว

    ... ได้กระทำความเพียรทางวิสุทธิธรรม ๗ (วิปัสสนาญาณ ๙)ครั้นถึงสัจจานุโลกมิกญาณก็หยุดยั้งอยู่แค่นั้น

    ... เมื่อโชติปาลมาณพผู้มหาสัตว์(พระพุทธเจ้าองค์พระปัจจุบัน)บวชแล้ว ก็ได้ดำเนินธรรมปฏิบัติร่วมกัน ถึงอายุขัยแล้วต่างก็ไปเกิดตามคติวิสัยชั้นดุสิตภพ "
     
  10. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    โมทนาสาธุอย่างยิ่ง ที่คุณน้องธัมมะสามี นำเรื่องราวของอนาคตวงค์มาร่วมบันทึกไว้ หนังสือเล่มนี้ก็เป็นคัมภีร์ประจำใจ ประจำบ้าน แล้วแม้ในห้องที่ทำงานก็มีไว้อีกเล่มหนึ่ง เป็นสมบัติสุดล้ำค่าของผมเลย

    หนังสือเล่มนี้แต่งขึ้น เขียนขึ้น บันทึกเรื่องราวต่างๆตั้งแต่ต้นกัป เขียนจากมือ(ความจริงต้องพูดว่าจากฝีพระหัตถ์ของอดีตพระเจ้ามหาปนาทบรมจักพรรดิซึ่งพระองค์ประดิษย์ลายสือ คือตัวหนังสือ ปัจจุบันเราเรียกตัวอักษร ขึ้นเป็นพระองค์แรก นานมากหนักหนาแล้ว) ที่ในปัจจุบันสมัยพระองค์ท่านก็กลับมารวบรวมเรื่องราวบอกเล่าให้กับเหล่าลูกหลานของท่านในอดีต ได้รู้ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของมนุษย์ชาติ

    กราบระลึกนึกถึงพระองค์ท่าน

    นี่เป็นตำราอนาคตวงค์ที่ถ่ายเอกสารประจำอยู่ในห้องทำงานตลอดเวลา กันหลงทางครับ

    อีกเล่มหนึ่งประจำห้องพระ ช่วงปี2540 ปิดบ้านทิ้งไว้ไปทำงานสร้างโรงงาน ที่แหลมฉบังชลบุรี เมื่อกลับไปบ้านปรากฏว่าหนังสือ และตำหรับตำราทั้งหมด ที่เรียงไว้ในห้องถูกปลวกกินเจาะทะลุถึงกันหมดเหลืออยู่แค่สองสามเล่ม เสียดายตำราคาถาอาคมหลายอย่างที่ถูกปลวกกิน หนังสือเล่มนี้ก็ถูกปลวกกินเหมือนกันแต่ไม่เสียหายมากอย่างที่เห็นในรูปนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCN7009.jpg
      DSCN7009.jpg
      ขนาดไฟล์:
      63.9 KB
      เปิดดู:
      30
    • DSCN7010.jpg
      DSCN7010.jpg
      ขนาดไฟล์:
      125.9 KB
      เปิดดู:
      34
    • DSCN7011.jpg
      DSCN7011.jpg
      ขนาดไฟล์:
      86.3 KB
      เปิดดู:
      25
    • DSCN7023[1].JPG
      DSCN7023[1].JPG
      ขนาดไฟล์:
      6.6 MB
      เปิดดู:
      40
    • DSCN7014.jpg
      DSCN7014.jpg
      ขนาดไฟล์:
      83 KB
      เปิดดู:
      38
    • DSCN7017.jpg
      DSCN7017.jpg
      ขนาดไฟล์:
      85.2 KB
      เปิดดู:
      32
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 เมษายน 2014
  11. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,407
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,433
    ในหนังสือของหลวงปู๋อ่ำ

    1.มีประวัติพระเจ้าเหาด้วยนะครับ อยู่ประมาณหน้า 350 นะครับ

    2.พระโสณะ ได้พยากรณ์ว่า

    พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า ได้ทำนุบำรุงพระศาสนา ได้สุขหมื่นชาติ
    ได้เกิดเป็น องค์ภูมิพลเอกราชา กรุงเทพมหานคร เมื่อสุวรรณภูมิฟื้นชื่อ มีคนรู้ทั่ว
    อยู่ประมาณหน้า 493

    อ่านแล้วสนุกมากครับ ต้องลองไปอ่านดูครับ มีประวัติศาสตร์ การเทียบอักษรไทยกับภาษาต่างๆ ผมก็เคยอ่านคร่าวๆมาบ้าง จำได้เท่านี้ นะครับ

    ขอบคุณ พี่ PCO มากครับ ที่ได้ตามไปอนุโมทนาบุญของผมนะครับ

    ขอให้สุขสันต์วันสงกรานต์ มีความสุขมากๆนะครับ

    และขอให้สำเร็จพระพุทธเจ้า แบบวิริยะธิกะแบบพิเศษตามที่ตั้งใจนะครับ สาธุ สาธุ

    อีกทั้งขอฝากความระลึกถึงไปยังทุกท่านในกระทู้นี้ด้วยนะครับ
    ขอให้มีความสุขมากๆนะครับ และสมหวังความปรารถนาทุกประการในทุกคำอธิษฐาน
    จะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า นางแก้ว พระอัครสาวก หรือขอนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ ก็ขอให้ได้อย่างหวังหรือปรารถนาไว้นะครับ
    ขอบารมีพระสงเคราะห์ให้สำเร็จครับ สาธุ สาธุ

    สุดท้ายขอฝากเพลงนี้ ให้กับพี่ PCO และทุกคนในกระทู้ครับ

    ขอให้มีความสุขมากๆนะครับ

    ธรรมวิวัฒน์

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=rSWiRsD65RE]อสงไขย หญิง ธิติกานต์ - YouTube[/ame]
     
  12. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,407
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,433
    พุทธศาสนสุวัณภูมิปกรณ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย​


    พระราชกวี(หลวงปู่อ่ำ)วัดโสมนัสวิหาร
    หลวงปู่โสณ พยากรณ์ ปี 2508 พระธรรมวงศ์(อ่ำ)วัดโสมนัสวรวิหารกรุงเทพ จะอ่านอักษรจากกระเบื้องจารทำให้เรื่องราวที่ถูกปิดและขาดหายไปนานเมื่อ 6,800 กว่าปีได้รับการเปิดเผยออกมา บันทึกนี้เป็นส่วนหนึ่งที่อ่านจากกระเบื้องจารแผ่นที่ 177 ผู้บันทึก พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า แห่ง สุวัณภูมิ โอรส พระเจ้าตะวันอธิราช ปีพุทธศักราช 264 หลวงปู่โสณ หลวงปู่อุตร หลวงปู่มูนีย หลวงปู่ภูริย หลวงปู่ฌานีย คณะพระธรรมทูต แห่ง พระเจ้าอโศกมหาราช คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลก อยู่เมืองไทย 29 ปี ใกล้เข้านิพพานหลวงปู่โสณจึงให้ พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า บันทึก คำพยากรณ์ของหลวงปู่ตามลำดับดังนี้
    1. พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า ไปเกิดเป็นภูมิพล แห่งกรุงเทพมหานคร เมื่อนั้น สุวัณภูมิ จะมีคนรู้จักทั่ว
    2. พระพุทธศาสนาจะมีอายุครบ 5,000 ปี 1000 ปีแรก พระอรหันต์อยู่ครบทั้ง 4 พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ , พระอรหันต์อภิญญา 6,พระอรหันต์วิชชาสาม, พระอรหันต์สุขขวิปัสสโก, 2000 ปีต่อมาพระอรหันต์สุขขวิปัสสโก , 3000 ปีต่อมาพระอนาคามี , 4000 ปีต่อมาพระสกิทาคามี , 5000 ปีต่อมาพระโสดาบัน , พ้น 5000 ปีพระอริยหมด , 6000 ปีต่อมาหมดพระอริย , 9000 ปีต่อมาสิ้นพระภิกษุ และ สามเณร , 10000 ปีต่อมาสิ้นพุทธพจน์ปุถุชนประพฤติอยู่จนครบ 10000 ปี
    3. พระเจ้าเดือนเด่นฟ้าบันทึก กรุงศรีอยุธยาอยู่ 400 กว่าปี กรุงเทพมหานคร อยู่ 1550 ปีพระราชาผู้ครองล้วนมีธรรม ประชาชนล้วนเป็นพุทธศาสนิกชนตลอด
    4. พระเจ้าเดือนเด่นฟ้าบันทึก หลวงปู่โสณ เข้านิพพานวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 6 ปีพุทธกาล 264 เข้าวันแรม 8 ค่ำเดือน 6 พรรษา 78 อายุ 110 ปี หลวงปู่โสณสั่งไว้ให้ประชุมเพลิง เก็บพระธาตุหน้าพระพุทธรูปในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุแดนไทยลว้า(สุวัณภูมิ)
    5. มนขอมพิสนุ ผู้สร้างวัดมหาธาตุ สร้างพระพุทธรูปที่งดงามสมศิลป เนื่องจากเป็นองค์พระศรีอริยเมตตรัยมา และ ยังเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ผู้รจนาคัมภีร์วิสุทธิมรรค
    6. พระเจ้าเดือนเด่นฟ้าบันทึก หลวงปู่ฌานีย ป่วยอยู่หนึ่งเดือนเข้านิพพานเดือน 8 ขึ้น 1 ค่ำอายุ 89 ปีพุทธกาล 278 หลวงปู่อุตตรเก็บพระธาตุที่วัดพระศรีมหาธาตุ
    7. พระเจ้าตะวันอธิราช บันทึก หลวงปู่อุตตร พัสสา 56 อายุ 78 ปีป่วยหนัก 12 วันเข้านิพพานขึ้น 11 ค่ำเดือน 12 พุทธกาล 287 ประชุมเพลิงเดือนอ้าย ขึ้น 8 ค่ำหลวงปู่ภูริย หลวงปู่มูนีย เก็บพระธาตุไว้ที่วัดพระศรีมหาธาตุ
    8. พระเจ้าเดือนเด่นฟ้าบันทึก หลวงปู่ภูริย เข้านิพพาน ขึ้น 8 ค่ำเดือน 3 พุทธกาล 295 อายุ 95 ปีพัสสา 65 ประชุมเพลิงขึ้น 5 ค่ำเดือน 5 เก็บพระธาตุไว้ที่วัดพระศรีมหาธาตุ
    9. พระเจ้าเดือนเด่นฟ้าบันทึก หลวงปู่มูนีย ป่วยหนัก 11 วันเข้านิพพานเดือน 5 ขึ้น 4 ค่ำอายุ 86 ปีพัสสา 66 ประชุมเพลิง ขึ้น 12 ค่ำเดือนเก็บพระธาตุไว้ที่วัดมหาธาตุ

    เมื่อคณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร เข้านิพพานหมดแล้ว หน้าหลักจึงเป็นหน้าที่ของ หลวงปู่ทองดี (พระญาณจรณ)ต้นพระสงฆ์ของไทยที่เข้านิพพานแล้ว ที่พระเจ้าโลกลว้า พระบิดาแห่งพระเจ้าตะวันอธิราช แห่งสุวัณภูมิ ส่งเป็นศึกษาพระธรรมที่ประเทศอินเดีย หลวงปู่โสณ เป็นพระอุปัชฌาย์ แต่ปัจจุบันหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร ยังอยู่ดูแลรักษาพระพุทธศาสนาให้ครบ 5,000 ปีตามคำอธิษฐานอิทธิบาทสี่

    ต้นพระสงฆ์องค์แรกของพระพุทธศาสนาไทยคือ พระปุณณเถร พระสงฆ์ที่สมเด็จพระพุทธเจ้าเอหิภิกขุอุปสัมปทาให้คือ พระสุจจพรรณเถร แห่งเขาสัจจพรรณผู้เป็นฤาษีแต่เดิมขณะที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาเมืองไทยสุวัณณภูมิตามคำกราบทูลของ พระปุณณเถรองค์อรหันต์เสด็จประทับ ณ.ถ้ำพระพุทธ ถ้ำเขางู ราชบุรี พระปุณณเถร ได้สลักรูปสมด็จพระพุทธเจ้าไว้ที่ผนังถ้ำมีอยู่จนถึงปัจจุบันนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2014
  13. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ขอบคุณสำหรับเพลง ขอบคุณทุกอย่างในความปรารถนาดี แล้วก็ส่งต่อให้กับทุกท่านในกระทู้นี้ และโดยฉเพาะอย่างยิ่ง บุญทานกองการกุศลทั้งปวงที่คุณธรรมวิวัฒน์ได้บำเพ็ญมาแล้วตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน ผมเองก็เก็บหมดแบบที่หลวงพ่อบอก ประเภทเผื่อไว้ก่อนหากขบวนรถไฟด่วนพิเศษของผมเกิดยางรั่วยางแบนขึ้นมา ก็จะได้อาศัยโบกรถขบวนอื่นไปกันได้ นั่นก็หมายความว่าบุญในการปัตตานุโมทนามัย มันก็สามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้เหมือนกัน เพียงแต่ไม่ได้เป็นเจ้าของรถขับไปเอง แต่อาศัยรถคนอื่นไป การที่จะอาศัยขบวนอื่นไป มันก็ต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัว ต้องเรียบร้อยมันถึงจะไปกับเขาได้

    ก็อย่างพระแม่เจ้าพิมพาในอดีตท่านไม่เคยทำบุญด้วยองค์ท่านเองเลยโมทนากับองค์สมเด็จท่านมาตลอด ตอนท้ายพระองค์ท่านก็เข้าพระนิพพานชาติเดียวกันกับองค์สมเด็จท่าน

    ผมเองก็ไม่ได้ประมาท ทั้งสร้างรถเองด้วย แล้วก็ต้องแอบๆไปช่วยคนโน้นคนนี้ ทำอะไรไม่ได้มากก็ช่วยเช็ดลูกล้อให้เขาไว้ก่อนก็ยังดี นั่นก็คือการไปโมทนาสาธุยินดีอย่างยิ่งที่คนอื่นๆเขาสร้างบุญทานกองการกุศลกัน แล้วโดยฉะเพาะอย่างยิ่งก็ของคุณธรรมวิวัฒน์นี่แหละ อีกอย่างเป็นการดัดนิสัยการเย่อหยิ่ง ทนงตัว ให้อยู่ในขีดของคำว่าโสรัจจะให้ได้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 เมษายน 2014
  14. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    พรุ่งนี้วันสงกรานต์ปี2557พวกเราคณะเล็กๆ แต่ปรารถนายิ่งใหญ่มากวิริยาธิกะพิเศษ ก็ย้ำอีกครั้งพิเศษสำหรับพวกเราก็แล้วกัน จะพากันไปอัญเชิญสมเด็จองค์ปฐมที่ประดิษฐานที่ในห้องพระกรรมฐาน ของวิหารน้ำน้อย มาประดิษฐานที่หน้าพระวิหาร แล้วก็สงฆ์น้ำพระพุทธรูป แล้วก็เปลี่ยนผ้าอังสะ

    ก็ขอทุกท่านจงโมทนาร่วมกันนะครับ

    ก็ขอผลาอานิสงค์ที่พวกเราทำทั้งหมดนี้ ที่ร่วมกันสงค์น้ำพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม ด้วยน้ำสะอาดที่สุดเท่าที่พวกเราหาได้ ผสมน้ำหอม น้ำอบไทย และอื่นๆทั้งหมดนี้ จงส่งผลให้ทุกคนที่ทำนึ้และทุกๆท่านที่รู้ข่าว จงมีรูปร่างทรวดทรง หน้าตา สวยสดงดงาม ผิวพรรณดีเป็นเลิศทั้งชายหญิง ปรากฏกายขึ้นไม่ว่า ณ ที่ใดๆจงโดดเด่นเป็นสง่า ประดุจพระอาทิตย์เที่ยงวัน ที่ไม่มีแสงสว่างธรรมชาติใดๆจะมาเทียบเคียงได้เลย นับตั้งแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน เทริญ

    รูปชุดนี้ปีที่แล้วครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCN0561.jpg
      DSCN0561.jpg
      ขนาดไฟล์:
      145.1 KB
      เปิดดู:
      29
    • DSCN0554.jpg
      DSCN0554.jpg
      ขนาดไฟล์:
      130.2 KB
      เปิดดู:
      27
    • DSCN0558.jpg
      DSCN0558.jpg
      ขนาดไฟล์:
      169.9 KB
      เปิดดู:
      31
    • DSCN0563.jpg
      DSCN0563.jpg
      ขนาดไฟล์:
      151 KB
      เปิดดู:
      46
    • DSCN0564.jpg
      DSCN0564.jpg
      ขนาดไฟล์:
      142 KB
      เปิดดู:
      61
    • DSCN0560.jpg
      DSCN0560.jpg
      ขนาดไฟล์:
      132.4 KB
      เปิดดู:
      31
    • DSCN0578.jpg
      DSCN0578.jpg
      ขนาดไฟล์:
      122.1 KB
      เปิดดู:
      40
    • DSCN0577.jpg
      DSCN0577.jpg
      ขนาดไฟล์:
      98.9 KB
      เปิดดู:
      31
    • DSCN0575.jpg
      DSCN0575.jpg
      ขนาดไฟล์:
      137.2 KB
      เปิดดู:
      33
    • DSCN0574.jpg
      DSCN0574.jpg
      ขนาดไฟล์:
      128 KB
      เปิดดู:
      30
    • DSCN0573.jpg
      DSCN0573.jpg
      ขนาดไฟล์:
      143.5 KB
      เปิดดู:
      43
    • DSCN0571.jpg
      DSCN0571.jpg
      ขนาดไฟล์:
      120.4 KB
      เปิดดู:
      34
    • DSCN0572.jpg
      DSCN0572.jpg
      ขนาดไฟล์:
      147.8 KB
      เปิดดู:
      48
    • DSCN0569.jpg
      DSCN0569.jpg
      ขนาดไฟล์:
      121.2 KB
      เปิดดู:
      31
    • DSCN0568.jpg
      DSCN0568.jpg
      ขนาดไฟล์:
      105.6 KB
      เปิดดู:
      35
    • DSCN0567.jpg
      DSCN0567.jpg
      ขนาดไฟล์:
      105.5 KB
      เปิดดู:
      39
    • DSCN0566.jpg
      DSCN0566.jpg
      ขนาดไฟล์:
      102.3 KB
      เปิดดู:
      31
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 เมษายน 2014
  15. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    สาธุครับ ความปรารถนาดีใดๆ ขอจงย้อนกลับถึงคุณkittijitด้วยอำนาจของคุณพระรัตนไตร และตามพุทธประสงค์ขององค์สมเด็จพระชินสีห์จอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงพุทธประธานผ่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ส่งต่อให้กับคณะลูกหลาน ที่บูชาพระคาถา สัมปะจิตฉามิ คาถาสนองกลับ ก็ขอให้ณkittijitจงเข้าถึงพระพุทธประสงค์ด้วยเทริญ
     
  16. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    วันนี้วันสงกรานต์ปี2557พวกเรา ก็ได้พากันไปอัญเชิญพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมที่ประดิษฐานที่ในห้องพระกรรมฐาน ของวิหารน้ำน้อย มาประดิษฐานที่หน้าพระวิหาร แล้วก็สงฆ์น้ำพระพุทธรูป ปิดทอง แล้วก็เปลี่ยนผ้าอังสะ

    ทำความสะอาดพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมในห้องพระกรรมฐาน

    ทำความสะอาดพระพุทธรูปประธานในวิหารสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน

    พวงมาลัยระลึกถึงผู้มีพระคุณคุณยายกิมไล่ ชูโตชะนะ อดีตเจ้าของที่ดินที่ถวายให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อสร้างวิหาร

    ต่อท้ายด้วยการผูกผ้าห้าสีบูชาให้กับน้องสาวตะเคียนมารยาทเรียบร้อยข้างวิหาร

    ความเรียบร้อยของน้องตะเคียนในวันนี้ต้องบันทึกไว้ให้ลูกหลานรับรู้ เมื่อคราวกำลังสร้างวิหาร พวกเราก็คุยกันว่าเป็นห่วงต้นตะเคียนที่ติดกับคลองเกรงว่าจะล้มทับวิหารในอนาคต ก็หลังจากนั้นไม่กี่วันจำไม่ได้ ก็เกิดมีพายุลมแรงพัดจากทางทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก ลมแรงมากพัดเอาต้นตะเคียนหักกลางลำต้น แล้วส่วนปลายของต้นดูยังไงมันก็ต้องลอยไปกระแทกวิหาร แต่น้องสาวตะเคียน ที่กำลังวัยรุ่น ขนาดสองคนโอบ หักท่อนบนของตัวเองแล้วเหวี่ยงสวนกระแสลมไปลงในคลองหากเป็นเรื่องปกติดูยังไงก็เป็นไปไม่ได้ แรงขนาดพัดหลังคาชาวบ้านเขาปลิวหายๆไปหลายหลัง ป้ายข้างทางล้มระเนระนาด เสาไฟล้มก็แล้วกัน

    ก็ขอบันทึกขอบคุณน้องสาวตะเคียนเป็นอย่างมาก

    สองแก้วเขาเตรียมหาอุปกรณ์ต่างๆพร้อมทั้งดอกไม้บูชาพระตั้งแต่ตอนกลางคืน

    ก็ขอทุกท่านจงโมทนาร่วมกันนะครับ

    ก็ขอผลาอานิสงค์ที่พวกเราทำทั้งหมดนี้ ที่ร่วมกันสงค์น้ำพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม ด้วยน้ำสะอาดที่สุดเท่าที่พวกเราหาได้ ผสมน้ำหอม น้ำอบไทย และอื่นๆทั้งหมดนี้ จงส่งผลให้ทุกคนที่ทำนึ้และทุกๆท่านที่รู้ข่าว จงมีรูปร่างทรวดทรง หน้าตา สวยสดงดงาม ผิวพรรณดีเป็นเลิศทั้งชายหญิง ปรากฏกายขึ้นไม่ว่า ณ ที่ใดๆจงโดดเด่นเป็นสง่า ประดุจพระอาทิตย์เที่ยงวัน ที่ไม่มีแสงสว่างธรรมชาติใดๆจะมาเทียบเคียงได้เลย นับตั้งแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน เทรญ

    ปีนี้ส่วนมากชาวคณะไปวัดท่าซุงกันแทบทั้งหมด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCN7073.jpg
      DSCN7073.jpg
      ขนาดไฟล์:
      64.7 KB
      เปิดดู:
      27
    • DSCN7078.jpg
      DSCN7078.jpg
      ขนาดไฟล์:
      93.8 KB
      เปิดดู:
      39
    • DSCN7079.jpg
      DSCN7079.jpg
      ขนาดไฟล์:
      93.8 KB
      เปิดดู:
      32
    • DSCN7080.jpg
      DSCN7080.jpg
      ขนาดไฟล์:
      143.7 KB
      เปิดดู:
      48
    • DSCN7082.jpg
      DSCN7082.jpg
      ขนาดไฟล์:
      154.9 KB
      เปิดดู:
      36
    • DSCN7084.jpg
      DSCN7084.jpg
      ขนาดไฟล์:
      127.6 KB
      เปิดดู:
      26
    • DSCN7086.jpg
      DSCN7086.jpg
      ขนาดไฟล์:
      105.5 KB
      เปิดดู:
      23
    • DSCN7087.jpg
      DSCN7087.jpg
      ขนาดไฟล์:
      119.6 KB
      เปิดดู:
      28
    • DSCN7088.jpg
      DSCN7088.jpg
      ขนาดไฟล์:
      104.4 KB
      เปิดดู:
      25
    • DSCN7091.jpg
      DSCN7091.jpg
      ขนาดไฟล์:
      93.9 KB
      เปิดดู:
      29
    • DSCN7094.jpg
      DSCN7094.jpg
      ขนาดไฟล์:
      110.4 KB
      เปิดดู:
      30
    • DSCF2002.jpg
      DSCF2002.jpg
      ขนาดไฟล์:
      115 KB
      เปิดดู:
      34
    • DSCN7097.jpg
      DSCN7097.jpg
      ขนาดไฟล์:
      134.5 KB
      เปิดดู:
      38
    • DSCN7098.jpg
      DSCN7098.jpg
      ขนาดไฟล์:
      137.1 KB
      เปิดดู:
      29
    • DSCN7105.jpg
      DSCN7105.jpg
      ขนาดไฟล์:
      140.1 KB
      เปิดดู:
      28
    • DSCN7106.jpg
      DSCN7106.jpg
      ขนาดไฟล์:
      134 KB
      เปิดดู:
      28
    • DSCN7111.jpg
      DSCN7111.jpg
      ขนาดไฟล์:
      125.5 KB
      เปิดดู:
      24
    • DSCN7118.jpg
      DSCN7118.jpg
      ขนาดไฟล์:
      135.7 KB
      เปิดดู:
      20
    • DSCN7119.jpg
      DSCN7119.jpg
      ขนาดไฟล์:
      80.5 KB
      เปิดดู:
      29
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 พฤษภาคม 2014
  17. Armarmy

    Armarmy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +1,659

    โมทนาสาธุ กับ กุศลกรรม ของทุกท่านครับ

    คนมันเป็นอย่างนั้น ๆ คุณ บุญทรง ตอนไม่ตายนี่ไม่ใส่ใจ

    ตอนตายแล้วดันเห็นราคา นี่เป็นปกติวิสัยของพวกเขา

    คุณ บุญทรง จะย่องไปเป็นทองเป็นเพชรตอนตายรึเปล่าก็ไม่แน่

    ตอนนี้ก็เป็นตะกั่วไปก่อน คือ เห็นราคามั่งไม่เห็นมั่ง ไอ้ที่เห็นราคาเพราะยังใช้ได้อยู่

    ดีไม่ดีก็ต่อหน้ามะพลับลับหลังตะโก ก็ว่ากันไป ฮ่า ๆ ๆ ๆ

    เรื่องไกล้เกลือกินด่างนี่ผมว่าเป็นเรื่องน่าคิดอยู่เหมือนกัน เป็นเกือบทุกที่

    วัดท่าซุงนี่รอบวัดรัศมีเป็นกิโล ๆ ไม่มีใครเอาหลวงพ่อ

    พวกที่รู้ค่าเป็นพวกอยู่ไกลทั้งนั้น แต่อย่างว่านะครับ สังเกตุมานานว่าพระพุทธศาสนาจะลงหลักที่ใด

    ที่นั้นจะต้องเป็นแดนมิจฉาทิฐิเดิมมาก่อน เรียกว่ายุคต้นที่ลงเสาเข็มนี่ต้องเข้มจริง ๆ ไม่งั้นไม่ไหว

    เพราะต้องยันกับอารมณ์พวกมิจฉาทิฐิตลอด พวกเด็กรุ่นหลังสบายหน่อย

    จะว่าไปบุญเขาทำมาดีนั่นแหล่ะจึงไม่ต้องลำบากอะไรนัก

    พูดถึงเรื่องเด็กเส้นนี่ก็อีกแหล่ะครับ ผมว่าทุกท่านที่ทำกุศลมาดีแล้วน่ะ มีเส้นทั้งนั้น แต่จะเส้นเล็กหรือใหญ่ก็อีกเรื่อง

    อย่าง พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ท่านพ่อของพวกเรานี่ก็เต็มเหยียด

    ตอนสมัยท่านเด็ก ๆ ประวัติท่านเล่าไว้น่ะ ท้าวสักกะเทวราชมาเองเลย ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

    ตัวผมเคยเจออยู่คน เป็นคนของ สมเด็จฯ ใหญ่ แกเดินทางโลกนี่ เรียกว่าไม่ต่ำกว่าใครเลย เดินยังไงก็ขึ้นไปเรื่อย ๆ

    แต่อีตอนที่แกโดนเรียกใช้งานนี่ แกดื้อไม่ยอมมาทำตามสัจจะ โอ้โห . . . แกโดนจนหมดตัวเหลือแต่ตัวกับใจ แทบถือกะลา

    แถมตอนแกยังดื้ออยู่ เจอฟ้าผ่า ปัง ๆ เฉี่ยวไปเฉี่ยวมา ฟ้าผ่านี่ไม่ใช่มีความหมายซับซ้อนนะครับ คือ ฟ้าผ่าจริง ๆ ไล่ให้มาทำ

    สมบัติหายเรียบหมด นี่แหล่ะ เส้นใหญ่เท่าไหร่ ภาระมันก็ต้องมีใหญ่ตาม เสียสัจจะไม่ได้

    ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ายังไง เคยโดนเรียกเด็กเส้นอยู่ทีนึง แต่พอรู้กำลังใจกันจริง ๆ แกก็เลยหมดความคลางแคลงไป

    เรียกว่าชีวิตผมน่ะ เจอเด็กเส้นมาตลอด เคยทะเลาะกันก็ยังมี แล้วเรื่องลามไปยันพ่อเดิมของเขาน่ะมาเอาเรื่องด้วย

    เพราะผมไปเล่นงานลูกแกเอาเสียย่ำแย่ เรียกว่าเชือดแล้วเหยียบกันเลย เพราะ มันอวดดีเกินไป จนเดือนร้อนคนอื่นเขา

    เรื่องอื่น ๆ ผมไม่สนใจ จะทำอะไรทำไป แต่เส้นตายของผมมีเกณฑ์อยู่ว่า

    ถ้าหากมาเบียดทำให้ผู้คนที่ผมรักต้องบรรลัยไปด้วย อีตอนนี้ ชักจะไม่ค่อยดีเหมือนกัน

    เพราะ มันเป็นไปโดยอัตโนมัติเลย เรียกว่า ผีลงเต็มตัว ยามปกติ ตัวผมก็ลูกผีลูกคนไปตามเรื่อง

    แต่ถ้าเข้าเส้นตายเมื่อไหร่อีตอนนี้ ผีมา หน้าอินทร์ หน้าพรหม ลืมดูแล้วตอนนั้น ฮ่า ๆ ๆ ๆ

    พอเล่ามาถึงจุดนี้ก็ แหม . . . ฝันอีกแล้วล่ะตอนนี้ คนขี้ฝันเอาอีกแล้ว

    ฝันว่าพ่อเดิมของเขาน่ะเป็นผู้ใหญ่ทางทิศตะวันตก ลูกน้องมาเพียบเลยนะ นั่งเสลี่ยงมาเลย

    ตัวผมนี่ก็นั่งอยู่เห็นแล้วล่ะว่าพ่อแกมาเอาเรื่อง แต่ ท่านผู้ใหญ่ของผมก็นั่งอยู่ด้วย

    ท่านสั่งบอกเอ็งไม่ต้องสู้นะเฉย ๆ ไป เดี๋ยวท่านจัดการเอง แกเข้ามาได้ก็ไม่พูดพล่ามแล้วล่ะเดินมา ตบหน้าผมสิ

    ในใจผมตอนนั้นน่ะ รู้ตัวว่าไม่ใช่สู้ไม่ได้ ไม่ได้มีความรู้สึกกลัวเลย แต่ผู้ใหญ่ท่านสั่งไว้ให้ผมอยู่เฉย ๆ

    แต่ ท่านที่นั่งล้อมตัวผมไว้สิ มีท่านนึงท่านไม่ยอมเฉยด้วย พอแกตบหน้าผม ท่านนั้นก็ลุกขึ้นตีเลยเหมือนกัน

    สุดท้ายแกสู้ฝ่ายของผมไม่ได้ พอแกแพ้แล้ว ท่านผู้ใหญ่ ก็เลยคุยว่า เรื่องมันเป็นยังไงถึงได้เป็นแบบนี้

    ท่านก็คุยแบบผู้ใหญ่ ก็เลยจบไป เรื่องนี้คุยกันยาวมีเยอะ มันเป็นเรื่องแบบ คล้ายนิทาน นี่ทำนองนี้แหล่ะครับ

    ที่เล่าเรื่องพวกนี้ให้อ่านกันสนุก ๆ เพราะ จะได้รู้ว่าเด็กเส้นนี่คืออะไรกัน

    จะได้รู้ได้เห็นว่าเวลาทะเลาะกันแล้วมันลามไปยันผู้ใหญ่ที่มองไม่เห็นด้วย

    ฉะนั้นแล้ว การไม่ทะเลาะกันเป็นของดี ความสามัคคีในหมู่คณะก็เป็นของประเสริฐแท้จริง

    เดี๋ยวมาคุยด้วยใหม่นะครับ

    เจริญในธรรมทุกท่าน
     
  18. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    [​IMG]

    กราบสวัสดีปี ๒๕๕๗ ค่ะ ทุกๆท่าน

    รดน้ำดำหัว ขอขมา ขอพร ผู้ใหญ่ทุกๆท่านค่ะ
     
  19. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ขอบคุณมากครับกับการรดน้ำ ขอขมานั้นไม่มีอะไรที่ล่วงเกิน ก็มีแต่พรหลวงพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่ท่านให้ไว้ เป็นอมตะวาจา ตลอดกาลอวสานกับลูกหลานหมู่คณะของท่าน ผมก็ส่งต่อคุณrungdaoและทุกๆท่าน


    ความว่า ขอทุกท่านจงมีความเป็นอยู่คล่องตัว ขอจงมีความร่ำรวยมั่งคั่งสมบูรณ์บริบูรณ์ไปด้วยประการทั้งปวงโดยฉันพลันทันที จงมีความปลอดภัย ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระชินสีห์จอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรลุแล้ว ขอให้บรรดาพวกเราเหล่าสาวกของท่านทั้งหลาย จงได้บรรลุธรรมนั้นในชาติปัจจุบันนี้เถิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 เมษายน 2014
  20. Armarmy

    Armarmy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +1,659
    พระนางพิมพานางแก้วคู่บุญบารมีพระพุทธเจ้าทูลลาเข้านิพพาน



    วันหนึ่งขณะที่พิมพาภิกษุณีเจริญวิปัสสนากรรมฐานจนกระทั่งได้บรรลุพระอรหัตตผลญาณ

    ก็ทราบถึงวาระแห่งอายุสังขารจะสิ้นสุดลง เมื่อแจ้งประจักษ์ดังนั้น

    จึงเดินทางไปกราบพระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    แล้วก็ทอดพระเนตรมองพระพักตร์แห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    สมเด็จพระชินวรสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นพิมพาภิกษุณีอรหันต์

    มีอาการผิดแปลกไปเช่นนั้นก็ทรงทราบแจ่มแจ้งในพระสัพพัญญูว่า

    ถึงกาลแล้วที่พิมพาภิกษุณีจะสิ้นชนมายุสังขาร จะมาลาตถาคตดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพาน

    สมเด็จพระมิ่งมงกุฏบรมศาสดาจึงทรงเปล่งพระฉัพพรรณรังสีแห่งพระวรกายให้แก่พระพิมพาภิกษุณีได้เห็นเป็นวาระสุดท้าย

    “ข้าแต่พระผู้ทรงพระภาคอันงามประดับไปด้วยรัศมี

    พระองค์ได้ทรงเป็นสวามีแห่งข้าพระบาทนี้นับพระชาติไม่ถ้วนตลอดมาแต่นี้ไปจักไม่มีโอกาสได้เห็นพระองค์ผู้เคยเป็นพระภัสดาอีกแล้ว”

    “ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าพระบาทพิมพามีวาสนาสิ้นสุด

    จักขอพระบรมพุทธานุญาตทูลลาดับขันธ์เข้าสู่นิพพาน

    เพราะสิ้นชนมายุสังขารในวันนี้แล้วพระเจ้าข้า”

    พิมพาภิกษุณีกล่าว

    “ดูกร เจ้าพิมพาที่เคยมีคุณแก่ตถาคตเอ๋ย หากเจ้ากำหนดกาลอันควรแล้ว

    ก็จงเคลื่อนแคล้วดับขันธ์ เข้าสู่ปรินิพพานอันเป็นอมตสุขเถิด เราอนุญาต”

    “ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระภาคอันงาม

    กาลเมื่อพระองค์ทรงสร้างพระพุทธบารมีเพื่อพระโพธิญาณ

    ท่องเที่ยวอยู่ในกระแสวัฏฏสงสารกับพิมพาข้าพระบาทนี้ด้วยกัน

    มาตั้งแต่ครั้งศาสนา สมเด็จพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า จนถึงกาลปัจฉิมชาตินี้

    จะขาดไมตรีสักชาติก็หาไม่ พระองค์เสวยพระชาติเป็นอะไรพิมพาข้าพระบาทนี้ก็เสวยชาติเป็นเช่นนั้นด้วย

    เมื่อเป็นเช่นนี้ จะเป็นการสมควรที่พิมพาข้าพระบาทจักถือโอกาสขอขมาโทษานุโทษต่อพระองค์เสียในครั้งนี้

    ขอพระองค์ทรงพระกรุณารับขอขมาโทษ อันพิมพาข้าพระบาทนี้

    ได้เคยมีความผิดต่อพระองค์มาแต่บุพชาติที่แล้วมาด้วยเถิดพระเจ้าข้า”

    ชาติหนึ่ง “ข้าแต่พระองค์ ครั้งศาสนาพระพรหมเทวสัมมาสัมพุทธเจ้า

    พระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเกิดในตระกูลทุคตะเข็ญใจ

    มีนามว่า “อติทุกขมาณพ” ข้าพระบาทนี้ก็ได้เกิดเป็นกุมารี

    รักใคร่เป็นสามีภรรยาอยู่ในชนบทตามประสายาก

    กาลวันหนึ่ง “อติทุกขมาณพ” เข้าป่าเพื่อตัดฟืนมาขาย

    ได้พบพระอัครสาวกแห่งพระพรหมเทวสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่งอยู่ใต้ต้นไม้แห่งหนึ่ง

    จึงเกิดยินดีเป็นหนักหนา รีบกลับมาบ้านเรียกข้าพระบาท ซึ่งเป็นภรรยามาปรึกษา

    พร้อมในกันแล้ว ก็นำข้าพระบาทไปขายฝากไว้ได้ทรัพย์มาไปซื้อไม้และเสาทั้งอุปกรณ์อื่นๆไปปลูกสร้างกุฏิถวาย

    พระอัครสาวกนั้นด้วยน้ำใจเลื่อมใสศรัทธา เดชะผลานิสงส์ครั้งนั้นจึงบันดาลให้”อติทุกขมาณพ”มีโชค ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี

    ฝ่ายข้าพระบาทผู้เป็นภรรยาก็ดีอกดีใจตั้งตนเป็นใหญ่ ทรัพย์สมบัติทั้งหลายเกิดขึ้นได้เพราะบุญของข้า

    เหตุว่านำข้าไปขายจึงได้ทรัพย์มาทำกุฏิถวาย จนได้เป็นเศรษฐี

    “ข้าแต่พระองค์ โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาท

    จงทรงกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้เสียเถิดพระเจ้าข้า”

    “ข้าแต่พระองค์ ครั้งศาสนาพระพรหมเทวสัมมาสัมพุทธเจ้าเช่นกัน

    กาลครั้งนั้นพระองค์เสวยพระชาติเป็น “พระเจ้านันทราช”

    ส่วนข้าพระบาทเป็นอัครมเหสีมีนามว่า”พระนางสุนันทาเทวี”

    กาลวันหนึ่งขณะเสด็จพระราชดำเนินไปชมสวนอุทยานครั้งนั้น

    ข้าพระบาทเห็นดอกรังงามตระการตาจึงปรารถนาจะได้ดอกรังมาเชยชม

    แต่ข้าพระบาทจะสั่งหมู่อำมาตย์ราชเสนาผู้หนึ่งผู้ใดก็มิได้

    กลับเจาะจงกราบทูลขอให้พระองค์ผู้เป็นสวามีเสด็จขึ้นต้นรังเลือกเก็บเอาดอกรังลงมาพระราชทานให้แก่ข้าพระบาทได้ชมเล่น

    ในกาลบัดนั้นพระองค์ซึ่งเป็นพระเจ้านันทราชนั้นทรงมีความเสน่หารักใคร่ในพระมเหสีเป็นนักหนา มิได้รอช้า

    ทรงรีบป่ายปีนขึ้นไปบนต้นรังตามที่ผู้เป็นที่รักปรารถนา

    “ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเคยเป็นสวามี โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทในกาลครั้งนั้น

    โดยใช้พระองค์ขึ้นไปนำดอกรัง ซึ่งเป็นการลำบากพระองค์แล้วไซร้ขอจงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้เสียเถิดพระเจ้าข้า”

    มาครั้งในศาสนาพระสยัมภูสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็น”ฤๅษี”

    ส่วนข้าพระบาทเป็นหญิงสาวชาวบ้าน นามว่า “นาคีกุมารี”

    กาลวันหนึ่ง พระองค์ผู้ทรงเป็นฤๅษี ผู้มีฌานแก่กล้าได้เหาะมาในเวหาอากาศ

    มาพบข้าพระบาทในกาลครั้งนั้นกำลังเก็บผักหักฟืนและร้องรำทำเพลงไปตามประสา

    ฤๅษีเกิดความรักใคร่ในสาวแรกรุ่นดรุณี ฌานที่เคยแก่กล้าก็เสื่อมถอยลงทันที

    ทำให้ตกลงมาตรงหน้า”นางนาคีกุมารี”

    พอดี กำเริบรักที่มีต่อนางเพิ่มทวีขึ้นเป็นทวีคูณ แล้วก็เอ่ยวาจาขอผูกพัน

    จนได้เป็นสามีภรรยากันในชาตินั้น

    “ข้าแต่พระองค์ โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทนี้หากจักพึงมีในชาตินั้น

    โดยการทำลายพระองค์ผู้ทรงเป็นฤๅษีให้เสื่อมจากฌานสมาบัติแล้วไซร้

    ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้เสียเถิดพระเจ้าข้า”

    “ข้าแต่พระองค์ ผู้ทรงเป็นที่พึ่งแห่งสัตว์ทั้งหลาย ครั้งศาสนาสมเด็จพระสุมนสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น

    พระองค์เสวยพระชาติเป็น “พญาปลาดุก” ฝ่ายข้าพระบาทนี้เกิดเป็นปลาดุกตัวเมีย

    ได้สมัครรักใคร่ผูกพันเป็นสามีภรรยากัน กาลวันหนึ่งเมื่อฝนตกใหญ่

    นางพญาปลาดุกก็ถึงคราวมีครรภ์ให้มีความอยากกินหญ้าอ่อนๆเขียวขจี

    พญาปลาดุกผู้เป็นสามีด้วยความรักใคร่ภรรยา ก็อุตส่าห์เที่ยวแสวงหาไปในที่ต่างๆ

    จนมาถึงแดนมนุษย์พวกเด็กเลี้ยงควายทั้งหลายเห็นเข้าก็ชวนกันไล่ตีด้วยไม้ใคร่จะได้เป็นอาหาร

    พญาปลาดุก นั้นถูกตีหางจนขาด โลหิตไหล ได้รับความทุกขเวทนาแสนสาหัส

    แต่ก็อดทนคาบหญ้าอ่อนมาให้ภรรยาจนได้ แต่เพราะบาดแผลฉกรรจ์นัก

    พญาปลาดุกทนไม่ไหว ก็ถึงแก่ความตายในเวลานั้น

    “ข้าแต่พระองค์ โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทนี้

    โดยทำความลำบากยากเย็นเป็นสาหัสให้เกิดแก่พระองค์เพียงประสงค์จะได้กินหญ้าอ่อนในขณะตั้งครรภ์

    ขอพระองค์ จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพาน ในกาลวันนี้เสียเถิดพระเจ้าข้า

    “ครั้งศาสนาของสมเด็จพระนารทสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เสวยพระชาติเป็น “ชฏิลเศรษฐี” มีทรัพย์

    พิมพาข้าพระบาทนี้ก็ได้เป็นภรรยาของเศรษฐีนั้น มีนามว่า “อนิมิตตา”

    เศรษฐีครองสมบัติเป็นความสุขตลอดมา วันหนึ่ง ชฏิลเศรษฐี สามีเกิดปัญญาเห็นความสุขนี้ไม่เที่ยงแท้

    จึงออกบวชเป็นดาบสประพฤติพรหมจรรย์อยู่ในป่า

    นางอนิมิตตาผู้เป็นภรรยาก็ติดตามไปคอยปฏิบัติรับใช้นำเอาอาหารไปถวายแด่พระดาบสผู้สามีมิให้ลำบาก ด้วยปัจจัยสี่

    โดยตั้งใจจะสนับสนุนเกื้อกูลให้ท่านดาบสรีบเร่งบำเพ็ญให้สำเร็จโดยไว

    กาลครั้งหนึ่งยังมีนางกินรีตนหนึ่งเกิดความเลื่อมใสในองค์ดาบสจึงมาถวายนมัสการซึ่งบาทแห่งดาบส

    บังเอิญนางอนิมิตตามาเห็นเข้าก็เกิดเข้าใจผิดน้อยใจตัดพ้อสามีไปต่างๆนานา

    โดยไม่ยอมฟังคำชี้แจงของดาบสผู้สามีเลยแม้แต่น้อย

    ตั้งแต่นั้นมานางก็ไม่นำพาสามีอีกเลย ปล่อยให้อดๆอยากๆด้วยขาดปัจจัยสี่

    “ข้าแต่พระองค์ โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทนี้

    ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้เสียเถิดพระเจ้าข้า”

    ข้าแต่พระองค์ ยังมีชาติหนึ่ง ครั้งศาสนาแห่ง พระปทุมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

    พระองค์ผู้ทรงเป็นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติ เป็นมาณพหนุ่ม รูปงามนามว่า “อัคคุตรมาณพ”

    ฝ่ายพิมพาข้าพระบาทนี้เกิดเป็นกุมารี นักเต้นรำ นามว่า “ปทุมากุมารี”

    ต่อมาเราทั้งสองได้ผูกสมัครรักใคร่เป็นสามีภรรยากัน

    อยู่มาวันหนึ่ง สมเด็จพระเจ้าสังคราชบพิตร รับสั่งให้มีการเล่นมหรสพขึ้นท่ามกลางพระมหานคร

    เจ้าปทุมากุมารี ก็สมัครเข้าไปเล่นเต้นรำตามอัธยาศัยครั้น

    อังคุตรมาณพ ผู้เป็นสามีตามฝูงชนเข้าไปดูคนทั้งหลายซึ่งอยู่ในที่นั้นต่างพากันล้อเลียนเย้ยหยันว่า

    บุรุษผู้นี้เป็นสามีของนางบำเรอผู้นี้แล้วก็ร้องบอกต่อกันไป

    ทำให้ อังคุตระ ผู้เป็นสามีได้รับความอับอายเป็นอันมาก

    “ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเคยเป็นสวามีโทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทในกาลครั้งนั้น

    ทำให้พระองค์ได้รับความอับอายต่อหน้ามหาชนขอจงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้เสียเถิดพระเจ้าข้า”

    ครั้งศาสนา พระตัณหังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า

    พระองค์เสวยพระชาติเป็น พญาวานร

    ฝ่ายพิมพาข้าพระบาทนั้นเกิดเป็น วานรตัวเมียและเป็นสามีภรรยากันกับพญาวานร

    อาศัยอยู่ในป่าใหญ่แห่งหนึ่ง

    กาลวันหนึ่ง ข้าพระบาทนางพญาวานรอยากกินผลมะเดื่อสุกเป็นยิ่งนัก

    ด้วยความรักในภรรยาพญาวานรก็อุตสาหะไปเที่ยวเสาะแสวงหาผลมะเดื่อสุกในที่สุดได้พบต้นมะเดื่อต้นหนึ่ง

    จึงปีนขึ้นไปเก็บผลมะเดื่อฝากภรรยาทันที่ ครั้งนั้นยังมีเสือโคร่งตัวหนึ่งแอบซุ่มอยู่ที่พงหญ้าใกล้ต้นมะเดื่อ

    มีพญาวานรไต่ลงมาก็ถูกเสือร้ายตะปบจนถึงแก่ความตายภายในเวลานั้น

    ฝ่ายภรรยาก็เฝ้ารอคอยจนตะวันตกดินสามีก็ยังไม่กลับมาก็ออกตามหาตลอดทั้งคืนก็ไม่พบ

    ในใจก็คิดหวาดระแวงว่าสามีคงพบกับนางวานรสาวตัวใหม่แล้วก็พากันไปสู่ที่สำราญสบาย

    ปล่อยให้นางระทมทุกขเวทนา ภรรยาวานรร้องไห้คร่ำครวญอยู่เป็นเวลาเนิ่นนานจนขาดใจตายไป ณ ที่นั้น

    “ข้าแต่พระองค์โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทนี้

    โดยทำให้พระองค์ต้องถึงแก่ความตายเพราะเสือร้าย

    อีกทั้งยังคิดระแวงต่างๆนานา

    ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้เสียเถิดพระเจ้าข้า”

    “ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นที่พึ่งแห่งสัตว์โลกทั้งหลาย

    ครั้งศาสนา พระตัณหังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ เสวยพระชาติเป็นกุมารหนุ่มน้อย

    ได้บรรพชาเป็นสามเณรในบวรพุทธศาสนา นามว่า”เจ้าธรรมรักขิตสามเณร”

    ฝ่ายตัวพิมพาข้าพระบาทนั้นเกิดเป็นกุมารีที่หมู่บ้านใกล้อาราม มีนามว่า “ปัญญากุมารี”

    วันหนึ่งที่วัดมีการบำเพ็ญเนื่องในงานเทศกาลสงกรานต์

    ชาวบ้านทั้งปวงล้วนแต่เป็นพุทธศาสนิกชนจึงชวนกันไปบำเพ็ญกองการกุศล

    คือ สรงน้ำพระพุทธปฏิมากรและพระเจดีย์พระศรีมหาโพธิ์ตลอดจนสรงน้ำพระสงฆ์ สามเณร

    ด้วยเลื่อมใสศรัทธา”เจ้าปัญญากุมารี” มีความรักใคร่ใน “เจ้าธรรมรักขิตสามเณร” มานาน

    จึงกระทำมายาให้สามเณรรู้ว่าตนเสน่หาถือขันน้ำเจาะจงสรงน้ำสามเณรผู้เป็นที่รักเจ้า

    ธรรมรักขิตสามเณรก็จับมือนางด้วยความยินดีรักใคร่

    เป็นเหตุให้ถูกจับสึกในวันนั้นแล้วก็มาอยู่กินกันเป็นสามีภรรยาได้เจ็ดวัน

    ก็กลับไปบวชเป็นภิกษุได้หนึ่งพรรษาครั้งปวารณาแล้วก็กรีบสึกออกมาครองเรือนเป็นสามีภรรยากับปัญญากุมารี

    ด้วยอานุภาพแห่งความรัก

    “ข้าแต่พระองค์ โทษผิดแต่การทำลายพระองค์ให้ขาดจากเพศบรรพชิต

    ไม่มีโอกาสได้ประพฤติพรหมจรรย์ในครั้งนั้น

    ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้เสียเถิดพระเจ้าข้า”

    ในอดีตชาติล่วงแล้วแต่ครั้งพระศาสนาพระโกณฑัญญสัมมาสัมพุทธเจ้า

    พระองค์เสวยพระชาติเป็น”พญานกดุเหว่า”

    ฝ่ายพิมพาข้าพระบาทก็ได้เกิดเป็น นางนกดุเหว่า

    มีความรักใคร่เป็นสามีภรรยากัน มีความสุขสำราญตามวิสัยเดรัจฉานมาวันหนึ่ง

    พญานกดุเหว่าผู้ภัสดาไปเที่ยวหาอาหาร ได้ไปพบผลมะม่วงสุกเหลือเดนกากินอยู่ครึ่งลูก

    ก็อุตส่าห์คาบมาสู่รังเพื่อให้นางนกที่เป็นภรรยาด้วยความรักใคร่

    ฝ่ายนางนกที่เป็นภรรยาเมื่อเห็นสามีคาบมะม่วงที่เหลือครึ่งลูกดังนั้นก็โกรธ

    มิทันได้ไต่ถามให้แจ้งในความเป็นไปก็จิกหัวสามีด้วยจะงอยปากทันที

    ยังไม่หน่ำใจเอาเท้าตีที่หน้าอกของพญานกดุเหว่าสามีอีกสองสามที

    แต่พระองค์ก็หาได้โกรธเคืองภรรยาแม้แต่สักนิด

    “ข้าแต่พระองค์ โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทนี้ที่ลุแก่โทสะทำร้ายพระองค์ซึ่งทรงพระกรุณา

    ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้เสียเถิดพระเจ้าข้า”

    ย้อนไปในชาติครั้งศาสนาพระธรรมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า

    พระองค์เสวยพระชาติเป็นพระบรมกษัตริย์แห่งพระนครกุมภวดี ทรงพระนามว่า”สมเด็จพระเจ้าวังคราช”

    ฝ่ายข้าพระบาทถือกำเนิดเป็น นางกินรี อยู่ที่สุวรรณคูหา ถ้ำทองอันประเสริฐ ณ หิมวันตประเทศ

    กาลวันหนึ่งเจ้ากินรีสาวโสภาออกไปท่องเที่ยวเก็บดอกไม้ บังเอิญไปหลงติดอยู่ในตาข่ายที่นายพรานดักไว้

    วันนั้นสมเด็จพระเจ้าวังคราชเสด็จประพาสป่ามาเจอเข้าพระองค์จึงทรงเข้าช่วยทำลายตาข่ายนั้นจนหลุดออกมาได้

    แล้วทั้งสองก็ผูกสมัครรักใคร่ด้วยอำนาจแห่งบุพเพสันวิวาสพระองค์พานางกินรีไปพระนคร

    แล้วทรงแต่งตั้งเป็น อัครมเหสี สร้างตำหนักให้อยู่ในอุทยานอันเต็มไปด้วยพฤกษานานาพรรณมีทั้ง ดอกไม้ ใบไม้

    แล้วยังมีพระราชโองการให้นำดอกไม้ไปถวาย มเหสีทุกวันอย่าให้ขาดจนดอกไม้ในพระนครหมดสิ้น

    พระองค์จึงตัดสินพระทัยสละราชสมบัติพานางกินรีกลับสู่หิมวันตประเทศอยู่กินกับนางตราบเท่าถึงกาลสิ้นชนมายุสังขาร

    “ข้าแต่พระองค์ โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทนี้ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้ด้วยเถิด พระเจ้าข้า”

    มีอยู่ชาติหนึ่ง ในศาสนา พระสุมนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    พระองค์ผู้ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ เสวยพระชาติ เป็นนาคาธิบดี มีนามว่า “พญาอดุลนาคราช”

    ฝ่ายข้าพระบาทได้เกิดเป็นมเหสีสุดที่รักของพระองค์ นามว่า วิมลาเทวี

    กาลวันหนึ่ง สมเด็จพระมิ่งมงกุฏสุมนสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงพระสัทธรรมเทศนากึกก้องกังวานแผ่ไปไกลได้ยินจนถึงนาคพิภพ

    พญาอดุลนาคราชทรงเลื่อมใสศรัทธายิ่งนักจึงชวนเจ้าวิมลาเทวีขึ้นมายังโลกมนุษย์เข้าสู่สำนักสมเด็จพระสุมนสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ถวายนมัสการแล้วสักการะบูชาด้วยข้าวตอกดอกไม้พร้อมตั้งใจที่จะสมาทานเบญจศีลไปจนตราบเท่าชั่วอายุขัย

    สมเด็จพระสุมนสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงมีพุทธฎีกา พยากรณ์ว่า

    พระอดุลนาคาธิบดีจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่งในอนาคต

    ได้ฟังดังนั้นพญานาคาก็พระทัยโสมนัสยิ่งนักฝ่ายเจ้าวิมลาเทวีอัครมเหสีก็เกิดปิติยินดี ในพุทธฎีกา

    ถึงกับคายพิษแห่งนาคาออกมาจนสิ้นแล้วก็กรายร่ายรำเพื่อกระทำสักการะบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามวิสัยนาคี

    ขณะฟ้อนรำถวายอยู่นั้น บังเอิญนิ้วพระหัตถ์ของพระนางไปโดนพระเศียรแห่งพญาอดุลนาคราชผู้สวามีเข้าหน่อยหนึ่ง

    “ข้าแต่พระองค์โทษผิดแห่งพิมพาข้าพระบาทนี้โดยความประมาท

    ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้ด้วยเถิด พระเจ้าข้า”

    แล้วครั้งศาสนาพระพุทธรังสีสัมมาสัมพุทธเจ้า

    พระองค์เสวยพระชาติเป็น มาณพหนุ่ม ผู้ปรารถนาจะประพฤติ พรหมจรรย์

    จึงกล่าวคำขออนุญาตภรรยาซึ่งชื่อว่า “กัลยาณีกุมารี”

    ออกบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนามีนามปรากฏว่า “พระอัญญาโกณฑัญญภิกขุ”

    ข้าพระบาทซึ่งเป็นภรรยาก็จำใจอนุญาตแล้วนึกโทมนัสขัดเคืองระคนน้อยใจในสามีเป็นนักหนา

    โดยคิดว่าสามีเป็นคนเห็นแก่ความสบายไม่นึกถึงความรักใคร่ ปล่อยภรรยาว้าเหว่เป็นดังนี้

    จนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตวันหนึ่งเป็นยามราตรีมีฝนตกพรำๆ

    ภิกษุหนุ่มสาวกแห่งองค์พระพุทธรังสีสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ยินเสียงร้องครวญครางแปลกประหลาด

    เปิดกุฏิออกไปก็ได้เห็น เปรต รูปร่างแสนทุเรศ และก็ได้ทราบว่า

    เปรตผู้นี้คือภรรยาตนก็เกิดความสงสารจับใจแต่ก็รู้ดีว่านางยังมีผลทานผลศีลเมื่อครั้งนำจีวรและสิ่งอื่นๆอันควรแก่สมณะ

    ทูนเหนือศีรษะมาถวายเป็นอันมาก จึงทรงบอกนางให้ระลึกถึงผลทานเหล่านั้น

    เมื่อ กัลยาณีกุมารีเปรตได้ฟังก็เกิดมหากุศลบันดาลให้อุบัติเป็นเทพนารี ณ ดาวดึงส์เทวโลกฉับพลันทันใด

    “ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า”

    ในศาสนาแห่ง พระโสภิตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ครานั้นพระองค์ทรงเป็นมาณพหนุ่มรูปงามนามว่า อทุฏฐมาณพ

    ส่วนข้าพระบาทเกิดเป็นบุตรีของชาวชนบทชายแดนนามว่า จันทมาลากุมารี

    กาลวันหนึ่ง มีข้าศึกมาล้อมพระนคร เที่ยวไล่ฆ่าฟันผู้คนชาวพระนครเป็นจำนวนมาก

    เจ้าอทุฏฐมาณพ เห็นว่าเหลือกำลังที่จะสู้ข้าศึกได้

    จึงหลบหนีออกจากเมืองเดินทางมาถึงปัจจันตชนบทชายแดนชั่วคราวตั้งจิตว่า

    เมื่อรวบรวมผู้คนได้มากพอก็จะกลับพระนครอีกด้วยอำนาจแห่งบุพเพสันนิวาส

    คนสองคนก็ได้พบกันและผูกสมัครรักใคร่กันเป็นสามีภรรยาในที่สุด

    บัดนี้ความคิดที่จะกลับสู่พระนครของอทุฏฐมาณพก็ล้มเลิก

    เป็นเพราะความรักความเสน่หา นางจันทมาลา ผู้ภรรยามีมากเกินจะละทิ้งนางไปได้

    จึงมีชีวิตอยู่ในชนบทชายแดนนั้นจนตาย

    “ข้าแต่พระองค์ โทษผิดที่ข้าพระบาทเป็นเหตุให้พระองค์ต้องหลงใหลอยู่ปัจจันตชนบจนสิ้นอายุขัย

    ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า”

    โทษผิดอีกครั้งหนึ่งในศาสนาแห่งพระธรรมปาลสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ครั้งนั้นพระองค์เสวยพระชาติเป็นกษัตริย์ครองแผ่นดิน ณ คีรีบูรณมหานคร

    พระนามว่า สมเด็จพระอภินันทรัฐราชาธิบดี ฝ่ายพิมพาข้าพระบาทก็ได้มาเป็นอัครมเหสีของพระองค์พระนามว่า นางมงคลเทวี

    กาลวันหนึ่ง สมเด็จพระอภินันทรัฐราชาธิบดีได้ฟังพระสัทธรรมเทศนาของสมเด็จพระชินสีห์พุทธธรรมปาลสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เกิดความโสมนัสยินดีในรสพระธรรมจึงขอยกพระอัครมเหสีที่รักให้เป็นทาน แล้ว

    ทรงสละราชสมบัติเป็นการชั่วคราวขออุปสมบทเป็นพระภิกษุ

    ฝ่ายพระอัครมเหสีก็ทรงเลื่อมใสศรัทธาอุตสาหะนำเอาปัจจัยมาถวายแด่พระภิกษุผู้เป็นสวามีทุกวันมิขาด

    มีอยู่ครั้งหนึ่งมีนางทาสีของคหบดีคนหนึ่งหนีนายมาหลบซ่อนอยู่ใต้กุฏิของพระภิกษุราชาธิบดี

    เมื่อนางมงคลเทวีมาเจอเข้าก็เกิดความหึงหวงและโกรธเคือง

    ขึ้นไปต่อว่าพระภิกษุผู้เป็นสามีด้วยความเข้าใจผิดอาละวาดดึงจีวรขาดจนหาชิ้นดีมิได้

    เมื่อหนำใจแล้วก็กลับสู่พระบรมราชวังด้วยความคลั่งแค้นไม่ยอมเสวยพระกระยาหาร แต่อย่างใด

    ไม่ช้านางมงคลเทวีก็สิ้นพระชนม์ แล้วพลันไปเกิดเป็นสัตว์นรกเสวยทุกขเวทนาในนิรยภูมิ

    “ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า”

    ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นที่พึ่งแห่งสัตว์โลกทั้งหลาย ครั้งศาสนา พระกัสสปพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    พระองค์เสวยพระชาติ เป็นพญาหงส์ทอง ส่วนข้าพระบาทเกิดเป็น นางหงส์

    ภรรยาของพญาหงส์อาศัยอยู่กับฝูงหงส์บริวารในป่าใหญ่แห่งหนึ่ง

    สมัยนั้น สมเด็จพระราชินี เขมเทวี เป็นนางกษัตริย์ในมหานครนั้น

    โปรดเสด็จประพาสป่าอยู่เนื่องๆได้พบสระน้ำใหญ่จึงสั่งให้ปลูกดอกไม้รอบๆสระและแต่งตั้งนายพรานคอยดูแลมิให้สิงห์สัตว์นกเนื้อทั้งหลายกล้ำกราย

    ฝ่ายพญาหงส์ทองอยากเห็นสระของนางเขมเทวีว่าจะงดงามขนาดไหนจึงพาภรรยาพร้อมเหล่าบริวารมุ่งหน้าสู่สระนั้น

    เคราะห์ร้าย พญาหงส์ทอง ติดบ่วงของนายพรานไม่สามารถหนีไปได้จึงร้องบอกให้ภรรยาและบริวารหงส์ทั้งหลายให้รีบหนีไปโดยเร็ว นางพญาหงส์ทองไม่ทันได้พิจารณาพากันบินหนีอย่างรวดเร็วปล่อยให้พญาหงส์ทองทุกข์ทรมานอยู่เบื้องหลัง

    ความผิดหนนั้นที่บินหนีไม่ยอมดูแลพระองค์ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า

    ครั้งที่พระองค์เสวยพระชาติเป็นพญาสกุณา ในศาสนาแห่งพระเรวัตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ข้าพระบาทเกิดเป็น นางพญาสกุณี อาศัยอยู่ที่หิมวันตประเทศ

    วันหนึ่งเกิดอาเพศบันดาลให้ นางพญาสกุณี มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะดื่มน้ำในสระอโนดาตที่นำมาโดยจะงอยปากของพญานกผู้สามี

    หาไม่แล้วตนจะต้องวายชีพลงเป็นแน่แท้ ด้วยความรักที่มีต่อภรรยาพญานกผู้เป็นสามีก็รีบมุ่งหน้าไปยังสระอโนดาตที่แสนไกล

    ครั้นได้เอาจะงอยปากอมน้ำเอาไว้แล้วรีบบินกลับยังไม่ทันถึงรัง น้ำก็แห้งหายไปหมดสิ้น

    พญานกก็ต้องบินกลับไปอมน้ำมาใหม่น้ำก็ยังแห้งหายไปหมดเหมือนเดิมทำอยู่เจ็ดครั้งก็ยังไม่สำเร็จ

    จึงกลับไปเล่าให้ภรรยาฟังนางเกิดโทสะด่าว่าจิกตีสามี หาว่ามีใจหลงสกุณาตัวอื่นแล้วจะแกล้งให้ตนตายแต่พญาสกุณาหาได้โกรธไม่ด้วยความรักที่มีต่อนาง

    “ความผิดของข้าพเจ้ามากมายนักขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า”

    “เมื่อถึงชาติสุดท้าย ขณะที่พระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญพุทธบารมีใกล้จักสมบูรณ์ เสวยพระชาติเป็น พระเวสสันดร

    ฝ่ายข้าพระบาทเป็นอัครมเหสี นามว่า พระนางมัทรี มีราชบุตรราชธิดาแสนน่ารัก ทรงพระนามว่า ชาลีและ กัณหา

    กาลครั้งนั้นพระองค์ทรงบริจาคทานเป็นช้างเผือกให้แก่พราหมณ์ เมืองกลิงคะ จึงถูกชาวพระนครขับไล่ออกจากเมือง

    พวกเราพ่อแม่ลูกไปทรงพรต ณ เขาวงกตแห่งห้องหิมเวศ ต่อมามีพราหมณ์ ชื่อว่า ชูชก มาทูลขอเจ้ากัณหาและชาลีไปเป็นคนรับใช้

    พอพระองค์ทรงประทานบริจาคเจ้าชูชกก็เร่งรีบนำสองกุมารไปโดยเร็วกลัวว่าพระนางมัทรีกลับมาทันขัดขวาง

    เมื่อพระนางกลับมาจากหาผลไม้ในป่าและไม่เห็นกุมารทั้งสอง ก็ให้ระทดพระทัยมีความเศร้าโสกาออกตามหาสองกุมารทั้งคืนพร้อมกับกรรแสงตลอด

    จนเช้าวันรุ่งขึ้นก็สิ้นกำลังสลบไปพระเวสสันดรทรงตกตะลึงรีบไปปฐมพยาบาลแล้วก็เล่าเหตุการณ์ต่างๆและเหตุผลให้มเหสีฟัง

    องค์อินทราธิราชเจ้าบนเทวโลกทรงมองเห็นเรื่องราวทั้งหมด จึงมีพระดำริว่าหากมีใครมาขอพระนางมัทรีพระเวสสันดรจะอยู่อย่างไรถ้าปราศจากพระนางมัทรี

    คอยปรนนิบัติดูแล จึงแสร้งแปลงกายเป็นพราหมณ์เฒ่า ไปขอนางมัทรีไปเป็นข้ารับใช้พระนางก็ได้ฟังก็ไม่หวั่นไหวด้วยทรงเข้าพระทัยดี

    ว่าการยินยอมพร้อมใจในครั้งนี้จะช่วยให้พระสวามีสำเร็จพระโพธิญาณในภายภาคหน้า ท้ายที่สุดพระอินทราธิราช

    ก็จำแลงแสดงตนพร้อมคำอำนวยพรแล้วเสด็จกลับดาวดึวส์เทวโลก

    “ข้าแต่พระองค์ ความผิดที่ข้าพระบาททำให้พระองค์มิอาจกำหนดว่าตนเป็นบรรพชิต วิ่งมาปฐมพยาบาลทำให้พรหมจรรย์ของพระองค์เศร้าหมอง

    ขอพระองค์จงทรงพระกรุณางดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าผู้ซึ่งจะดับขันธ์เข้าสู่นิพพานในกาลวันนี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า”

    สมเด็จพระนางพิมพาภิกษุณีรำลึกอดีตชาติหนหลังที่ตนเคยพลั้งพลาดอาจมีโทษผิดต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    “พ่อราหุล มารดานี้จะเห็นหน้าลูกเป็นปัจฉิมสุดท้ายแล้วในวันนี้ โทษใดที่มารดาเคยทำให้ลูกโกรธเคืองเจ้าจงอภัยให้แก่มารดาในวันนี้เถิด”

    พระนางกล่าวกับพระราหุลพุทธปิโยรส

    พระราหุลค่อยๆก้มลงกราบ “อันพระเดชพระคุณที่มารดามีต่อราหุลนี้มีมากมายอุ้มท้องประคองเลี้ยงรักษามาจนเติบใหญ่

    บางครั้งก็ตบศีรษะตบปากบ้าง หากโทษผิดเหล่านั้นจะบังเกิดแก่ลูก ขอโปรดประทานอภัยด้วยเถิด”

    “ดูกร เจ้าพิมพา อันตัวเจ้านี้มีคุณแก่เราตถาคตมาแต่กาลก่อนเราจักได้สำเร็จแก่พระบวรสัมโพธิญาณก็เพราะเจ้าเป็นสำคัญ

    เราทั้งสองเคยร่วมสุขร่วมทุกข์กันมาโทษผิดที่เจ้ามีต่อเราตถาคตในแต่ปางก่อน วันนี้เราขอยกโทษให้แก่เจ้าจนหมดสิ้น

    อนึ่งโทษานุโทษอันใดที่เราได้ล่วงเกินเจ้าในชาติที่ผ่านมา ตลอดจนถึงชาติปัจจุบัน ขอเจ้ายกโทษให้แก่เราตถาคตเสียให้สิ้น

    แล้วจงดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานอันเป็นเอกัตคตาบรมสุขไปก่อนเถิดนะ เจ้าพิมพา”

    แล้วพระองค์ทรงตรัสโอวาทแก่เหล่าภิกษุเพื่อรำลึกถึงพระนางเป็นครั้งสุดท้าย

    “ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ตลอดเวลาอันยาวนานของการบำเพ็ญบารมีสะสมความดีเพื่อตรัสรู้ พระนางพิมพายโสธราเถรีซึ่งเป็นคู่รักเพื่อนชีวิต

    ในอดีตชาติได้เสียสละทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือ การสั่งสมบารมีของเรา เธอยอมสละแม้กระทั่งความสุขความสบายส่วนตน

    จนกระทั่งเราได้มาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในชาตินี้ อันเป็นชาติสุดท้ายของเราทั้งสอง อันเป็นประโยชน์ที่จะได้เผยแผ่สัจธรรมสู่มวลมนุษย์

    เพื่อการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง จักมีใครที่สร้างคุณอยู่เบื้องหลังการบรรลุธรรมเทียบเท่ากับเธอเช่นนั้นแล้วไม่มีอีกแล้ว”


    อรรถกถา “จันทกินนรชาดก” ว่าด้วย “นางจันทกินนรี”

    พระศาสดา เมื่อทรงอาศัยกรุงกบิลพัสดุ์ ประทับอยู่ ณ นิโครธาราม ทรงพระปรารภพระมารดาของพระราหุล ตรัสเรื่องนี้ในพระราชนิเวศน์ มีคำเริ่มต้นว่า อุปนียติทํ มญฺเญ ดังนี้.

    ที่จริงชาดกนี้ควรจะกล่าวตั้งแต่”ทูเรนิทาน” ก็แต่นิทานกถานี้นั้น จนถึงพระอุรุเวลกัสสปบันลือสีหนาทในลัฏฐิวัน

    กล่าวไว้ใน “อปัณณกชาดก” ต่อจากนั้นจนถึงเสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ จักแจ้งใน เวสสันดรชาดก. ก็แล

    พระศาสดาประทับนั่งในพระนิเวศน์ของพุทธบิดา ในเวลากำลังเสวย ตรัส “มหาธัมมปาลชาดก” เสวยเสร็จทรงดำริว่า

    เราจักนั่งในนิเวศน์ของมารดาราหุล กล่าวถึงคุณของเธอ แสดง”จันทกินนรชาดก”

    ให้พระราชาทรงถือบาตรเสด็จไปที่ประทับแห่ง พระมารดาของพระราหุล กับพระอัครสาวกทั้งสอง.

    ครั้งนั้น นางระบำ ๔๐,๐๐๐ ของพระนางพากันอยู่พร้อมหน้า. บรรดานางทั้งนั้นที่เป็นขัตติกัญญาถึง ๑,๐๙๐ นาง.

    พระนางทรงทราบว่าพระตถาคตเสด็จมา ตรัสบอกแก่นางเหล่านั้นว่า จงพากันนุ่งผ้าย้อมน้ำฝาดทั่วกันทีเดียว.

    นางเหล่านั้นพากันกระทำอย่างนั้น พระศาสดาเสด็จมาประทับนั่งเหนือพระแท่นที่เตรียมไว้.

    ครั้งนั้น พวกนางเหล่านั้นทั้งหมดก็พากันร้องไห้ประดังขึ้นเป็นเสียงเดียวกันอื้ออึงไป เสียงร่ำให้ขนาดหนักได้มีแล้ว

    ฝ่ายพระมารดาของพระราหุลเล่าก็ทรงกันแสง ครั้นทรงบรรเทาความโศกได้ ก็ถวายบังคมพระศาสดา ประทับนั่งด้วยความนับถือมาก

    เป็นไปกับความเคารพอันมีในพระราชา.

    ครั้งนั้น พระราชาทรงพระปรารภคุณกถาของพระนาง ได้ตรัสเล่าพรรณนาคุณของพระนางด้วประการต่างๆ

    เช่น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สะใภ้ของโยม ฟังว่าพระองค์ทรงนุ่งกาสาวพัสตร์ ก็นุ่งกาสาวพัสตร์เหมือนกัน

    ฟังว่า พระองค์เลิกทรงมาลาเป็นต้น ก็เลิกทรงมาลาเป็นต้น ฟังว่า ทรงเลิกบรรทมเหนือพระยี่ภูอันสูงอันใหญ่

    ก็บรรทมเหนือพื้นเหมือนกัน ในระยะกาลที่พระองค์ทรงผนวชแล้ว นางยอมเป็นหญิงหม้าย

    มิได้รับบรรณาการที่พระราชาอื่นๆ ส่งมาให้เลย นางมีจิตมิได้เปลี่ยนแปลงในพระองค์ถึงเพียงนี้.

    พระศาสดาตรัสว่า มหาบพิตร ไม่น่าอัศจรรย์เลย ที่นางมีความรักไม่เปลี่ยนแปลงในอาตมภาพอย่างไม่ไยดีในผู้อื่นเลย

    ในอัตภาพสุดท้ายของอาตมภาพครั้งนี้ แม้บังเกิดในกำเนิดดิรัจฉาน ก็ยังได้มีจิตไม่เปลี่ยนแปลงในอาตมภาพอย่างไม่ไยดีในผู้อื่นเลย

    แล้วทรงรับอาราธนานำอดีตนิทานมาดังต่อไปนี้.


    ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดกินนรในหิมวันตประเทศ

    ภรรยาของเธอนามว่า จันทา ทั้งคู่เล่าก็อยู่ที่ภูเขาเงินชื่อว่า จันทบรรพต

    ครั้งนั้น พระเจ้าพาราณสีมอบราชสมบัติแก่หมู่อำมาตย์ ทรงผ้าย้อมฝาดสองผืน ทรงสอดพระเบญจาวุธ

    เข้าสู่ป่าหิมพานต์ลำพังพระองค์เดียวเท่านั้น ท้าวเธอเสวยเนื้อที่ทรงล่าได้เป็นกระยาหารเสด็จท่องเที่ยวไปถึงลำน้ำน้อย ๆ

    สายหนึ่งโดยลำดับ ก็เสด็จขึ้นไปถึงต้นสาย ฝูงกินนรที่อยู่ ณ จันทบรรพต เวลาฤดูฝนก็ไม่ลงมา พากันอยู่ที่ภูเขานั่นแหละ ถึงฤดูแล้งจึงพากันลงมา.

    ครั้งนั้น จันทกินนรลงมากับภรรยาของตน เที่ยวเก็บเล็มของหอมในที่นั้นๆ กินเกษรดอกไม้ นุ่งห่มด้วยสาหร่ายดอกไม้

    เหนี่ยวเถาชิงช้าเป็นต้น เล่นพลางขับร้องไปพลาง ด้วยเสียงจะแจ้วเจื้อยจนถึงลำน้ำน้อยสายนั้น หยุดลงตรงที่เป็นคุ้งแห่งหนึ่ง

    โปรยปรายดอกไม้ลงในน้ำ ลงเล่นน้ำแล้วนุ่งห่มสาหร่ายดอกไม้ จัดแจงแต่งที่นอนด้วยดอกไม้

    เหนือหาดทรายซึ่งมีสีเพียงแผ่นเงิน ถือขลุ่ยเลาหนึ่ง นั่งเหนือที่นอน.

    ต่อจากนั้น จันทกินนรก็เป่าขลุ่ยขับร้องด้วยเสียงอันหวานฉ่ำ จันทกินรีก็ฟ้อนหัตถ์อันอ่อนยืนอยู่ในที่ใกล้สามีฟ้อนไปบ้าง ขับร้องไปบ้าง.

    พระราชานั้นทรงสดับเสียงของกินนรกินรีนั้น ก็ทรงย่องเข้าไปค่อยๆ ยืนแอบในที่กำบัง

    ทรงทอดพระเนตรกินนรเหล่านั้น ก็ทรงมีจิตปฏิพัทธ์ในกินรี ทรงดำริว่า จักยิงกินนรนั้นเสียให้ถึงสิ้นชีวิต

    ถึงสำเร็จการอยู่ร่วมกินรีนี้ แล้วทรงยิงจันทกินนร.

    เธอเจ็บปวดรำพันกล่าวคาถา ๔ คาถาว่า

    ดูก่อนนางจันทา ชีวิตของพี่ใกล้จะขาดอยู่แล้ว พี่กำลังเมาเลือด จันทาเอ๋ย พี่เห็นจะละชีวิตไปแม้ในวันนี้ ลมปราณของพี่กำลังจะดับ

    ชีวิตของพี่กำลังจะจม ความทุกข์กำลังเผาผลาญหัวใจพี่ พี่ลำบากยิ่งนัก ความโศกของพี่ครั้งนี้ เป็นความโศกยิ่งใหญ่กว่าความโศกเหล่าอื่น

    เพราะเหตุแห่งเจ้าจันทาผู้จะเศร้าโศกถึงพี่โดยแท้ พี่จะเหี่ยวแห้งเหมือนต้นหญ้าที่ถูกทิ้งไว้บนแผ่นหินร้อน เหมือนต้นไม้มีรากอันขาด

    พี่จะเหือดหายเหมือนแม่น้ำที่ขาดห้วง ความโศกของพี่ครั้งนี้เป็นความโศกยิ่งใหญ่กว่าความโศกเหล่าอื่น

    เพราะเหตุแห่งเจ้าจันทาผู้จะเศร้าโศกถึงพี่โดยแท้ น้ำตาของพี่ไหลออกเรื่อยๆ เหมือนน้ำฝนที่ตกลงที่เชิงบรรพตไหลไปไม่ขาดสายฉะนั้น

    ความโศกของพี่ครั้งนี้เป็นความโศกยิ่งใหญ่กว่าความโศกเหล่าอื่น เพราะเหตุแห่งเจ้าจันทาผู้จะเศร้าโศกถึงพี่โดยแท้.

    บรรดาบทเหล่านั้น

    บทว่า อุปนียติ ความว่า ชีวิตของพี่ใกล้จะขาดอยู่แล้ว.

    บทว่า อิทํ ได้แก่ ชีวิต. บทว่า ปาณา ความว่า

    ดูก่อนจันทา ลมปราณคือชีวิตของพี่ย่อมจะดับ.

    บทว่า โอสธิ เม ความว่า ชีวิตของพี่ย่อมจะจมลง.

    บทว่า นิตมานิ แปลว่า พี่ย่อมลำบากอย่างยิ่ง.

    บทว่า ตว จนฺทิยา ความว่า นี้เป็นความทุกข์ของพี่.

    บทว่า น นํ อญฺเญหิ โสเกหิ ความว่า โดยที่แท้นี้เป็นเหตุแห่งความโศกของเธอผู้ชื่อว่าจันที

    เมื่อกำลังเศร้าโศกอยู่ เพราะเหตุที่เธอเศร้าโศก เพราะความพลัดพรากของเรา.

    ด้วยบทว่า ติณมิว มิลายามิ เธอกล่าวว่า ข้าจะเหี่ยวเฉา เหมือนต้นหญ้าที่ถูกทอดทิ้งบนแผ่นหินอันร้อน

    เหมือนป่าไม้ที่ถูกตัดรากฉะนั้น.

    บทว่า สเร ปาเท ความว่า เหมือนสายฝนที่ตกบนเชิงเขาไหลซ่านไปไม่ขาดสายฉะนั้น.

    พระมหาสัตว์คร่ำครวญด้วยคาถาสี่เหล่านี้ นอนเหนือที่นอนดอกไม้นั่นเอง ชักดิ้นสิ้นสติ.ฝ่ายพระราชายังคงยืนอยู่.

    จันทากินรี เมื่อพระมหาสัตว์รำพัน กำลังเพลิดเพลินเสียด้วยความรื่นเริงของตน มิได้รู้ว่าเธอถูกยิง แต่ครั้นเห็นเธอไร้สัญญานอนดิ้นไป

    ก็ใคร่ครวญว่า ทุกข์ของสามีเราเป็นอย่างไรหนอ พอเห็นเลือดไหลออกจากปากแผล ก็ไม่อาจสะกดกลั้นความโศกอันมีกำลังที่เกิดขึ้นในสามีที่รักไว้ได้

    ร่ำไห้ด้วยเสียงดัง. พระราชาทรงดำริว่า กินนรคงตายแล้ว ปรากฏพระองค์ออกมา

    จันทาเห็นท้าวเธอหวั่นใจว่าโจรผู้นี้คงยิงสามีที่รักของเราจึงหนีไปอยู่บนยอดเขา พลางบริภาษพระราชา ได้กล่าวคาถา ๕ คาถา ดังนี้

    พระราชบุตรใด ยิงสามีผู้เป็นที่ปรารถนาของเรา เพื่อให้เป็นหม้ายที่ชายป่า พระราชบุตรนั้นเป็นคนเลวทรามแท้

    สามีของเรานั้นถูกยิงแล้วนอนอยู่ที่พื้นดิน พระราชบุตรเอ๋ย มารดาของท่านจงได้รับสนองความโศกในดวงหทัยของข้าผู้เพ่งมองดูกินนรผู้สามีนี้

    ชายาของท่านจงได้รับสนองความโศกในดวงหทัยของข้าผู้เพ่งมองดูกินนรผู้สามีนี้

    พระราชบุตรเอ๋ย ท่านได้ฆ่ากินนรผู้ไม่ประทุษร้าย เพราะความรักใคร่ในเรา ขอมารดาของท่านอย่าได้พบเห็นบุตรและสามีเลย

    ท่านได้ฆ่ากินนรีผู้ไม่ประทุษร้าย เพราะความรักใคร่ในเรา ขอชายาของท่านจงอย่าได้พบเห็นบุตรและสามีเลย.

    บรรดาบทเหล่านั้น

    บทว่า วรากิยา แปลว่า ผู้กำพร้า.

    บทว่า ปฏิมุจฺจตุ ได้แก่ จงกลับได้ คือถูกต้องบรรลุ.

    บทว่า มยฺหํ กามาหิ ได้แก่ เพราะความรักใคร่ในฉัน.

    พระราชา เมื่อจะตรัสปลอบนางผู้ยืนร่ำไห้เหนือยอดภูเขาด้วย ๕ คาถา จึงตรัสคาถาว่า ดูก่อนนางจันทา ผู้มีนัยน์ตาเบิกบานดังดอกไม้ในป่า

    เธออย่าร้องไห้ไปเลย เธอจักได้เป็นอัครมเหสีของฉันมีเหล่านารีในราชสกุลบูชา.

    บรรดาบทเหล่านั้น

    บทว่า จนฺเท ความว่า เพราะได้สดับชื่อของพระโพธิสัตว์เวลาคร่ำครวญ จึงได้ตรัสอย่างนั้น.

    บทว่า วนติมิรมตฺตกฺขิ แปลว่า ผู้มีนัยน์ตาเสมอด้วยดอกไม้ที่มืดมัวในป่า.

    บทว่า ปูชิตา ความว่า

    เธอจะได้เป็นอัครมเหสีผู้เป็นหัวหน้าของบรรดาหญิง ๑๖,๐๐๐ คน.

    นางจันทากินรีฟังคำของท้าวเธอแล้วกล่าวว่า ท่านพูดอะไร เมื่อจะบันลือสีหนาท จึงกล่าวคาถาต่อไปว่า

    ถึงแม้ว่าเราจักต้องตาย แต่เราจักไม่ขอยอมเป็นของท่านผู้ฆ่ากินนรสามีของเรา ผู้มิได้ประทุษร้าย เพราะความรักใคร่ในเรา.

    บรรดาบทเหล่านั้น

    บทว่า อปิ นูนาหํ ความว่า ถึงแม้เราจักต้องตายอย่างแน่นอนทีเดียว. ท้าวเธอฟังคำของนางแล้วหมดความรักใคร่

    ตรัสคาถาต่อไปว่า แน่ะนางกินรีผู้ขี้ขลาด มีความรักใคร่ต่อชีวิต เจ้าจงไปสู่ป่าหิมพานต์เถิด มฤคอื่นๆ ที่บริโภคกฤษณาและกระลำพัก จักยังรักใคร่ยินดีต่อเจ้า.

    บรรดาบทเหล่านั้น

    บทว่า อปิ ภีรุเก แปลว่า ผู้มีชาติขลาดเป็นอย่างยิ่ง.

    บทว่า ตาลิสตคฺครโภชนา ความว่า

    มฤคอื่นๆ ที่บริโภคใบกฤษณาและใบกระลำพัก จักยังรักษาความยินดีต่อเจ้า.

    ท้าวเธอได้กล่าวกะนางว่า เธอจงอย่าไปจากความลับในราชตระกูล. ก็แลครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว ก็เสด็จหลีกไปอย่างหมดเยื่อใย.

    นางทราบว่าท้าวเธอไปแล้ว ก็ลงมากอดพระมหาสัตว์ อุ้มขึ้นสู่ยอดภูเขา ให้นอนเหนือยอดภูเขา

    ยกศีรษะวางไว้เหนือขาของตน พลางพร่ำไห้เป็นกำลัง จึงกล่าวคาถา ๑๒ คาถาว่า

    ข้าแต่กินนร ภูเขาเหล่านั้น ซอกเขาเหล่านั้นและถ้ำเหล่านั้นตั้งอยู่ ณ ที่นั้น ฉันไม่เห็นท่านในที่นั้นๆ จะกระทำอย่างไร

    ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่เทือกเขาซึ่งเราเคยร่วมอภิรมย์กัน จะกระทำอย่างไร

    ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่แผ่นผาอันลาดด้วยใบไม้เป็นที่น่ารื่นรมย์ พวกมฤคร้ายกล้ำกลาย จะทำอย่างไร

    ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่แผ่นผาอันลาดด้วยดอกไม้ เป็นที่น่ารื่นรมย์ พวกมฤคร้ายกล้ำกลาย จะทำอย่างไร

    ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่ลำธารอันมีน้ำใสไหลอยู่เรื่อยๆ มีกระแสเกลื่อนกล่นไปด้วยดอกโกสุม จะกระทำอย่างไร

    ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่ยอดเขาหิมพานต์อันมีสีเขียว น่าดูน่าชม จะกระทำอย่างไร

    ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่ยอดเขาหิมพานต์มีสีเหลืองอร่าม น่าดูน่าชม จะกระทำอย่างไร

    ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่ยอดเขาหิมพานต์อันมีสีแดง น่าดูน่าชม จะกระทำอย่างไร

    ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่ยอดเขาหิมพานต์อันสูงตระหง่าน น่าดูน่าชม จะกระทำอย่างไร

    ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่ยอดเขาหิมพานต์อันมีสีขาว น่าดูน่าชม จะกระทำอย่างไร

    ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่ยอดเขาหิมพานต์อันงามวิจิตร น่าดูน่าชม จะกระทำอย่างไร

    ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่เขาคันธมาทน์ อันดารดาษไปด้วยยาต่างๆ เป็นถิ่นที่อยู่ของหมู่เทพเจ้า จะกระทำอย่างไร

    ข้าแต่กินนร เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่ภูเขาคันธมาทน์ อันดารดาษไปด้วยโอสถทั้งหลาย จะกระทำอย่างไร.

    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เต ปพฺพตา ความว่า ภูเขาเหล่านั้น ซอกเขาเหล่านั้นและถ้ำเขาเหล่านั้นที่เราเคยขึ้นร่วมอภิรมย์ ตั้งอยู่

    ณที่นั้นนั่นแล บัดนี้ เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่เทือกเขานั้น เราจะทำอย่างไรเล่า เมื่อฉันไม่เห็นท่านที่แผ่นผาลาดอันงดงามไปด้วยใบไม้ดอกและผลเป็นต้น

    ร่ำไรอยู่ว่าเราจะอดกลั้นได้อย่างไร.

    บทว่า ปณฺณสณฺฐตา ความว่า ดารดาษด้วยกลิ่นและใบ ของใบกฤษณาเป็นต้น.

    บทว่า อจฺฉา ได้แก่ มีน้ำใสสะอาด.

    บทว่า นีลานิ ได้แก่ สำเร็จด้วยแก้วมณี.

    บทว่า ปีตานิ ได้แก่ สำเร็จด้วยทองคำ.

    บทว่า ตมฺพานิ ได้แก่ สำเร็จด้วยมโนศิลา.

    บทว่า ตุงฺคานิ ความว่า มีปลายคมสูง.

    บทว่า เสตานิ ได้แก่ สำเร็จด้วยเงิน.

    บทว่า จตฺรานิ ได้แก่ เจือด้วยรัตนะ ๗ ประการ.

    บทว่า ยกฺขคณเสวิเต ความว่า อันภุมเทวดาเสพแล้ว.

    นางร่ำไห้ด้วยคาถาสิบสองบทด้วยประการฉะนี้แล้ว วางมือลงตรงอุระพระมหาสัตว์ รู้ว่ายังอุ่นอยู่

    ก็คิดว่า พี่จันท์ยังมีชีวิตเป็นแน่ เราต้องกระทำการเพ่งโทษเทวดา ให้ชีวิตของเธอคืนมาเถิด.

    แล้วได้กระทำการเพ่งโทษเทวดาว่า เทพเจ้าที่ได้นามว่าท้าวโลกบาลน่ะไม่มีเสียหรือไรเล่า หรือหลบไปเสียหมดแล้ว

    หรือตายหมดแล้ว ช่างไม่ดูแลผัวรักของข้าเสียเลย. ด้วยแรงโศกของนาง พิภพท้าวสักกะเกิดร้อน.

    ท้าวสักกะทรงดำริทราบเหตุนั้น แปลงเป็นพราหมณ์ถือกุณฑีน้ำมาหลั่งรดพระมหาสัตว์.

    ทันใดนั้นเองพิษก็หายสิ้น แผลก็เต็ม แม้แต่รอยที่ว่าถูกยิงตรงนี้ก็มิได้ปรากฏ. พระมหาสัตว์สบายลุกขึ้นได้

    จันทาเห็นสามีที่รักหายโรค แสนจะดีใจ ไหว้แทบเท้าของท้าวสักกะ กล่าวคาถาเป็นลำดับว่า

    ข้าแต่ท่านพราหมณ์ผู้เป็นเจ้า ฉันขอไหว้เท้าทั้งสองของท่านผู้มีความเห็นดู มารดาสามีผู้ที่ดิฉันซึ่งเป็นกำพร้าปรารถนายิ่งนักด้วยน้ำอมฤต

    ดิฉันได้ชื่อว่าเป็นผู้พร้อมเพรียงด้วยสามีผู้เป็นที่รักยิ่งแล้ว. บรรดาบทเหล่านั้น

    บทว่า อมเตน ความว่า นางจันทากินรีสำคัญว่า เป็นน้ำอมฤตจึงกล่าวอย่างนั้น.

    บทว่า ปิยตเมน แปลว่า น่ารักกว่า บาลีก็อย่างนั้นเหมือนกัน.

    ท้าวสักกะได้ประทานโอวาทแก่กินนรทั้งคู่นั้นว่า ตั้งแต่บัดนี้ เธอทั้งสองอย่าลงจากจันทบรรพตไปสู่ถิ่นมนุษย์เลย

    จงพากันอยู่ที่นี้เท่านั้นนะ ครั้นแล้วก็เสด็จไปสู่สถานที่ของท้าวเธอ. ฝ่ายจันทากินรีก็กล่าวว่า

    พี่เจ้าเอ๋ย เราจะต้องการอะไรด้วยสถานที่อันมีภัยรอบด้านนี้เล่า มาเถิดค่ะ

    เราพากันไปสู่จันทบรรพตเลยเถิดคะ แล้วกล่าวคาถาสุดท้ายว่า

    บัดนี้ เราทั้งสองจักเที่ยวไปสู่ลำธารอันมีกระแสสินธุ์อันเกลื่อนกล่นด้วยดอกโกสุม

    ดารดาษไปด้วยบุบผชาติต่างๆ เราทั้งสองจะกล่าววาจาเป็นที่รักแก่กันและกัน.

    พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น

    แม้ในครั้งก่อนนางก็ไม่ได้เอาใจออกห่างเรา มิใช่หญิงที่ผู้อื่นจะนำไปได้เหมือนกัน

    ทรงประชุมชาดกว่า

    พระราชาในครั้งนั้น ได้มาเป็น เทวทัต

    ท้าวสักกะได้มาเป็น อนุรุทธะ

    จันทากินรีได้มาเป็น มารดาเจ้าราหุล

    ส่วนจันทกินนรได้มาเป็น เราตถาคต แล.

    พระบรมศาสดาตรัสพระธรรมเทศนานี้ ทรงแสดงถึงความจงรักภักดีของจันทากินนรีที่มีต่อจันทกินนร

    คราวนั้นพระนางพิมพาจึงบรรลุโสดาปัตติผล ณ ที่นั้นเอง จากนั้นพระพุทธองค์ก็เสด็จกลับไปพระวิหาร

    พระนางภัททากัจจานาเถรีนิพพานในพรรษาที่ ๔๓ แห่งพระผู้มีพระภาค มีพระชนมายุได้ ๗๘ พรรษา


    อ้างอิงจาก http://www.sujipuli.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539241829
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2014

แชร์หน้านี้

Loading...