ความรู้สึกของผู้ปรารถนาพุทธภูมิที่มีต่อนางแก้ว

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ฟ้าพราว, 23 กรกฎาคม 2014.

  1. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,024
    ค่าพลัง:
    +70,068
    "เรือที่ตั้งเป้าการเดินทางสู่พระนิพพานแต่ละลำ มีพันธะสัญญา และรายละเอียดการเดินทางไม่เหมือนกัน


    ...แม้มีเป้าหมายที่เดียวกัน แต่เรือลำอื่น อาจต้องแวะรับผู้โดยสารที่มีพันธะต่อกัน ไปในเส้นทางอื่นๆ มีพันธะมาก ก็ต้องแวะรับมาก มีรายละเอียดที่ต้องปฏิบัติต่อลูกเรือของตนมาก


    ...เรือลำอื่น ก็ต้องดูแลตน ให้วิ่งในเส้นทางของตน รักษาเป้าหมายหลักไว้ และระวังคลื่นใต้น้ำ หินใต้น้ำ พายุ สัตว์ร้ายในทะเล ฯลฯ และระวังไม่ให้เรือ มาชนกันเอง
     
  2. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ใช่ครับมันต้องถึงดี ที่พอดี ในระดับของมัน ดีเป็นขั้นเป็นตอนไป ดีอย่างคนปรารถนาพระโพธิญาณ กับดีของคนปรารถนาสาวกมันคนละแบบ ดีอย่างผู้ปรารถนาพระโพธิญาณก็ยังมีสามแบบ

    ปัญญาธิกะ ท่านก็ดีแบบปัญญาธิกะ
    ศรัธาธิกะ ท่านก็ดีแบบศรัธาธิกะ
    วิริยาธิกะ ท่านก็ดีแบบวิยาธิกะ

    การที่มีทรัพย์สินมีทุกอย่างมากมันก็ต้องดีอย่างคนที่มีมาก
    การที่มีไม่มากมันก็ต้องดีอย่างคนที่มีไม่มาก แต่ที่ต้องมีต้องเหมือนคือคำว่าดี

    คำว่าดีนั้น ดีของใคร หากเรายังเรียนไม่จบเรายังรู้เองไม่หมดนั่นก็หมายความว่าดีในระดับของเรา ซึ่งมันจะถึงดีในระดับมาตรฐานหรือเปล่าไม่มีใครกล้ายืนยัน

    หากว่าเราเรียนจบแล้วหากสาวกก็บรรลุอรหัตผลแล้ว
    หรือบรรลุอภิเษกพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว อย่างนี้รู้จริงรับรองยืนยันได้ว่าดีจริง นี่คือดีในระดับมาตรฐาน

    สำหรับผมเองไม่ได้เรียกว่าดี เรียกว่ากำลังเรียนรู้เพื่อจะดี ใช้อะไรเป็นเครื่องวัด ใช้อะไรเป็นหลักปฏิบัติ

    พื้นฐานคือบารมีสิบต้องเรียน เรียนถึงใหนแล้วอันนี้ไม่รู้ ต้องถามครูบาอาจารย์คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ไตรสรคม เป็นประทีปแก้วนำทาง เป็นหลักปฏิบัติ
    ขันติ โสรัจจ ข่มใจ สกดใจ ให้ยอมรับนับถือทั้งกฏแห่งกรรม อดทนอดกลั้น ทั้งต้องรักษากำลังใจให้เข้มให้แข็งที่เรียกว่าต้องทำหน้าชื่น แม้อกต้องตรมกลัดหนอง เพราะมันต้องทำหน้าที่ หน้าชื่นเป็นการรักษากำลังใจของหมู่คณะ

    เจ็บปวดแทบตาย หรือถึงตายก็ยังหน้าชื่นบอกหมู่คณะว่าไม่เป็นไร ตัวเองไม่มีแรงแม้แต่จะขยับตัว หรือยกมือปาดน้ำตาตัวเอง แต่รวมรวมกำลังแรงกายใจปาดน้ำตาให้ผู้อื่น ปาดน้ำตาให้หมู่ญาติ ปาดน้ำตาให้นางแก้ว นี่ที่เรียกว่าขันติ แล้วก็เรียกว่าโสรัจจะปฏิบัติ
    สังโยชน์สิบเอาไว้เทียบเคียง ด้านธัมมะปฏิบัติ

    ทุนของผมมีเท่านี้
     
  3. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    คุณลุงคะ อิฉันขอประทานโทษด้วยค่ะ ที่เมื่อวานพูดจาไม่ค่อยจะดี.อิๆ.
    ปล.วันนี้เข้ามาเจอข้อความของคุณลุง..อ่านแล้ว รู้สึกเสียใจอ่ะค่ะ:'(
    (โพสสุดท้าย อ่านแล้วเสียใจมากที่สุดค่ะ เมื่อวาน.ไม่น่าพูดจากับคุณลุงแบบนั้นเลย..ขอโทษค่ะ ขอโทษๆๆ)
    ................................................
    จริงๆแล้วอิฉันก็พอจะทราบค่ะว่า..เส้นทางชีวิตของใครก็ของคนนั้น ย่อมไม่มีใครเหมือนใคร.. ทุกอย่างกรรมเป็นผู้จัดสรรจำแนกแจกจ่าย.เรานั่นแหล่ะเป็นผู้กระทำกันมา. พบอะไร? เจออะไร? ก็มีเหตุและปัจจัยที่ต้องเจอ ต้องพบทั้งนั้นล่ะค่ะ.เพราะฉะนั้น.เราไม่มีสิทธิ์ไปตำหนิชีวิตของใคร เพียงแค่เขาคิดและทำไม่เหมือนเรา.:'(

    สรุปว่า คุณลุงPCOเป็นคนดีนนะคะ..ขอบอก อิๆ.สู้ๆค่ะ..:cool:
    (แต่ถ้าจะให้ดี. ต่อไปเจอน้องนางไหน?.ก็เอามาเลี่้ยงแบบท่านพงศ์ภูพานดีกว่าไหมคะ? ฮ่าๆๆ..)
     
  4. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,024
    ค่าพลัง:
    +70,068
    ในเส้นทางการสร้างบารมี


    ...ระหว่างทางที่เดิน เป็นธรรมดา ที่คนอื่นๆไกลตัวเรา มักจะไม่เข้าใจและคิดต่างๆนานา

    ต่อว่าต่างๆนานา

    ... ตัวเราเองอาจวางใจไม่ให้ว้าวุ่นได้ง่าย เพราะอาจไม่ได้เจอหน้า หรือใกล้ชิดกันกับคนเหล่านั้น





    ....สำหรับคนที่ใกล้ตัว ใกล้ใจ แต่ทำเหมือนไม่รู้จักธาตุแท้ และ ความเป็นตัวเรา

    กลับมาสร้างกรรมด้วยกาย วาจา ใจ ในทางปะทะ ขัดขวาง ส่อเสียด ในการบำเพ็ญ

    บุญกุศลความดี นั้นสิ น่าทำให้ใจหวั่นไหวในโลกธรรม( เพราะใจเราให้ความสำคัญกับชีวิตที่ใกล้ตัวใกล้ใจ
    มากกว่าชีวิตอื่น??? หรือ เพราะใจคาดหวังไว้มากไปในปฏิกิริยาตอบสนองจากคนใกล้ชิด???)



    ............จุดที่บำเพ็ญจนน่าพอใจ ตามที่ผมจะต้องก้าวไปให้ถึงอย่างเต็มภาคภูมิ
    คือ ไม่ว่าใครก็ตาม ไม่ว่าคนใกล้ คนไกล ญาติสนิทมิตรสหาย คนรัก บริวาร ฯลฯ
    มีอคติ มีทัศนะที่เลวร้าย หรือไม่เข้าใจในสิ่งดีที่เราทำไป เราจะเป็นผู้ไม่หวั่น ไม่ไหว
    มีปกติดื่มด่ำในความดีที่ได้บำเพ็ญไปแล้ว

    ....และ เราจะไม่เป็นศัตรูขัดขวางตนเอง บนเส้นทางที่ต้องเดินไป เสียเอง.........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 กรกฎาคม 2014
  5. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    การที่บอกว่าเป็นคนดีนี้ยังรับไว้ไม่ได้ เอาไว้บรรลุมรรคผลเข้าถึงซึ่งพระนิพพานกันก่อนจึงจะยอมรับว่าดี

    ในวันนี้ต้องบอกว่าเข้าใจทุกคนที่พูดที่โพสนั่นแหละ เข้าใจแบบคนที่ฟังภาษาอังกฤษรู้เรื่อง จะพูดมาแบบใหนก็เข้าใจ เพียงแต่ไม่พูดอังกฤษกลับไปเท่านั้น เอาเป็นว่าผมเข้าใจ ไม่มีเวรภัยกับใคร หากไม่เข้าใจก็เพียงบอกเล่าให้ฟังด้วยภาษาไทยลูกทุ่ง เพราะมันเป็นภาษากลางภาคใหนๆก็ฟังเข้าใจ

    การที่ได้เจอน้องนางทั้งในอดีต และจะพบเจอในอนาคต มันแล้วแต่เขา มันไม่ใช่ที่ผม หากวิสัยเขาจะเป็นคู่ครองก็คู่ครอง วิสัยน้องสาวก็น้องสาว วิสัยลูกสาวก็ลูกสาว กำลังใจของคนที่เขาจะเข้ามาช่วยเหลือ เข้ามาร่วมขบวนด่วนพิเศษ มันมีทุกที่นั่ง สุดแต่เขาจะจองตั๋ว จองที่นั่งแบบใหน ไม่ต้องเป็นห่วง คำว่าลูกผู้ชายไม่มีรังแกใคร หากจะมีก็แค่ป้องกันตัว อย่างมากก็สั่งสอนตักเตือน แต่ก็มีที่เตือนระดับพิเศษ


    คนที่ได้ชื๋อว่าลูกผู้ชายหนึ่ง
    นักเลงหรือคนที่ถูกเรียกว่าเสือที่แปลว่าคนดุหนึ่ง
    ชายชาติทหารหนึ่ง
    นักบวชเพื่อมรรคผลหนึ่ง
    พระที่ท่านบรรลุมรรคลแล้วหนึ่ง เช่นท่านพระอานนท์ กับท่านโกกิลา
    ไว้วางใจได้เรื่องศีลธรรม สี่ประเภทแรกแม้จะตัดกามฉันทะไม่ได้ แต่ก็แกร่งพอที่รักษากำลังใจตัวเอง อยู่ลำพังกับสาวใหนนานเท่าไรก็ไว้วางใจได้ ไม่มีที่จะทำอะไร ทหารมีวินัยพอ หากว่าชาติทหารจริง

    ชายชาติทหารหากไว้วางใจไม่ได้ คงไม่ถูกมอบหมายให้เป็นขุนพลแก้ว เพื่อคุ้มกันนางแก้วพาน้องๆแก้วไปเล่นน้ำที่แม่น้ำเป็นแน่

    นักเลง หรือลูกผู้ชายแม้นักบวช พวกนี้ทำดีไม่ได้แค่โชว์สาว ที่วางใจได้เพราะคนพวกนี้ทำโชว์เทวดา ทำโชว์พรหม โชว์เทพเจ้าเหล่าเทวา สาวเจ้าทำเสื้อหลุด ยังถอดเสื้อตัวเองไปสวมให้หน้าตาเฉย ใส่เสื้อให้แล้วก็หันไปมองแม่ย่า ที่บ้านของย่าแปะต้นมะขามใหญ่คู่ ใครไม่เห็นแต่ย่าเห็น น้องนางเห็น หาบน้ำบนบ่าทำผ้าถุงหลุด ลูกผู้ชายก็ยังเดินไปดึงผ้าถุงขึ้นมานุ่งให้ อายแสนอายยังไง คนที่เป็นลูกผู้ชายก็ลูบหัวลูบหลังให้เบาใจกลบเกลื่อนความอายให้ เพราะแบบนี้เลยกลายเป็นว่าสาวน้อย แล้วก็สาวไม่น้อย พากันซุบซิบแอบมอง ก็เพราะแบบนี้แหละที่สาวเจ้าเข้าใกล้แทบจะนั่งตัก ใกลัเอาซะจนเสือจะกลายเป็นแมวไป

    ก็เคยมี ที่สาวเจ้าเย่อหยิ่งยโส ร้อยเอ็ด แล้วก็ชักจะเลยไปศรีษะเกษ จึงต้องอุ้มสั่งสอน เอาไปนอนให้กลัวผีเล่นใต้ต้นไม้ใหญ่ยามค่ำคืน ตื่นขึ้นมานี่แทบจะเป็นไข้ก็จะสั่งสอนแค่นี้

    อย่างกับท่านภิกษุณีท่านหนึ่ง เข้าเฝ้าฟังธรรมต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ท่านมองดูองค์สมเด็จท่านก็คิดระลึกย้อนหลัง ว่าเคยได้เกี่ยวเนื่องอะไรมาบ้างหนอกับมหาบุรุษท่านนี้ ท่านระลึกได้ ก็หัวเราะ เสร็จแล้วก็ร้องไห้ ที่หัวเราะเพราะเคยเป็นภรรยามาในอดีต ที่ร้องไห้เพราะเคยถึงกับจ้างคนมาฆ่าองค์สมเด็จสมัยเสวยพระชาติเป็นพยาช้างฉัตรทัน มันก็ไม่แน่นักในอนาคต คนที่น้องนางบางคนอาจจะดูหมิ่นปรามาสในวันนี้ วันข้างหน้าก็ไม่แน่อาจโคจรไปพบเข้าในอีกฐานะหนึ่ง ไม่ว่าจะมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก หรือเมื่อเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน เมื่อต้องพบกันอีกจะเอาแบบเฉยๆแค่เคยพบในอดีต เอาแบบร้องไห้ หรือเอาแบบหัวเราะ อยู่ที่เราทั้งหมดไม่ได้อยู่ที่ใคร

    สำหรับผมแล้วไม่ต้องห่วงว่าจะรับใครขึ้น ด่วนขบวนพิเศษ แล้วเอาไปเลี้ยงส่งเดช หากมีเชื้อที่รักษาไม่หาย รักษาไม่ได้ ไปไม่ได้ ที่นั่งที่บนด่วนขบวนพิเศษแม้แต่บันไดขั้นแรกเขาปูพรม หนานุ่มอย่างดีแค่รองเท้าไปเหยียบสิ่งปฏิกูลมาไม่ได้ล้างซะก่อนไปไม่ได้ ขึ้นไม่ได้ ผมเป็นเจ้าของขบวนก็จริงแหล่ ต้องการให้ขึ้นคนที่ต้องการจะโดยสารไปด้วยขึ้นไป แต่หากเมื่อขึ้นไปด้วยแล้วยังมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ มันก็สร้างความเดือดร้อนรำคารน่ารังเกียจให้กับคนที่เขานั่งเขานอน อยู่ก่อนแล้ว แล้วหากว่ารับเอาโจรขึ้นไปด้วย มันก็เข้าตำราชาวนากับงูเห่า ไม่มีอะไรเป็นคุณ มีแต่โทษ เมื่ออบอุ่นดีเมื่อไรก็กัดชาวนาตาย ด่วนขบวนพิเศษของผมไม่จำเป็นต้องมีผู้โดยสารมาก หากจะมากเป็นเพราะมันน่าโดยสารไปด้วย อันนี้ยินดีต้อนรับ ไปใช่ผมจะไปยื้อยุดฉุดกระชาก ลากถูใคร ผมแต่งขบวนรถของผมด้วยวัสดุอย่างดีที่สุด เท่าที่จะหามาได้ ผมเป็นช่างโดยพื้นฐานสันดานมาแต่เดิม ผมจะสร้างรถประดับประดารถของผมอย่างไรก็ได้ จะติดเครื่องเสียงแบบใหนก็ได้ไว้เปิดเพลงลาวดวงเดือนระนาดเอกเบาๆให้ผู้โดยสารของผม

    ในปัจจุบันผมอบรมพนักงาน ก่อนลงมือปฏิบัติงานแทบทุกวัน คำหนึ่งที่ย้ำเตือนหัวหน้างานของผมอยู่บ่อยๆ อย่าไปฝืนธรรมชาติเอาลา มาฝึก มาหัด แล้วเอาไปวิ่งแข่งกับม้าเทศ แค่ยืนคู่กันมันก็น่าอายเขาแล้ว มันไม่มีวันฝึกให้วิ่งสู้กันได้ เพราะฉะนั้นมันต้องคัดเลือกกันตั้งแต่สายพันธุ์ที่จะเอามาเลี้ยง เอามาฝึก ลาก็ฝึกแบบลามีงานให้เหมาะกับลา ม้าเทศสำหรับแข่งขันก็ฝึกแบบม้าเทศ มันถึงจะสู้เขาได้

    ตามหลักพระสัทธรรมคำสอนท่านก็จำแนกแยกแยะบุคคลไว้สี่จำพวก พวกที่สามยังพอเอาไปเลี้ยงไปฝึกได้ พวกที่สี่ ปทะปรมะ พวกนี้แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านยังหลีกไม่สอนไม่มีประโยชน์ ผมเองก็รับคำสอนมาแล้วก็ทำตามคำสอน ไม่ไปเอาใครมาเลี้ยงส่งเดช หากไม่ดูให็รู้ซะก่อนว่า ลาหรือม้า

    น้องนางบ้านนาของผมส่วนมาก เป็นสาวไทยนิสัยเรียบร้อย จริยาดี นุ่มนวล รักนวลสงวนตัวทั้งชุดเพราะเขาถูกอบรมบ่มนิสัยมาด้วย ศีล ด้วยสมาธิ แล้วก็ด้วยปัญญา กับเขาเหมือนกัน แต่เป็นปัญญาของวิริยาธิกะ ที่รู้ทันชาวบ้านเขาทุกประการ เพราะนิสัยสาวชนบท ไม่เอารัดเอาเปรียบชาวบ้านจนเป็นนิสัย จะนั่งจะยืนตรงใหน หลบทางหลีกทาง พูดจาอะไรแต่ละนางเขาพูดในขอบเขตของสังคห ปิยวาจา นั่งอยู่ในมุมที่นั่งแล้วไม่ต้องขยับอีกบ่อยๆ เรียกว่านั่งอย่างเป็นสุข มีหน้าการงานอะไร จะลงมือทำก่อนเพราะรู้แล้ว ไม่ต้องมีใครมาบอกมาสกิด เมื่อรู้แล้วก็ลงมือทำไปด้วย แก้วของผมส่วนมากเป็นแบบนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 สิงหาคม 2014
  6. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,024
    ค่าพลัง:
    +70,068
    ครั้งหนึ่ง ที่พระมหาโพธิสัตว์(องค์ปัจจุบัน)เสวยพระชาติเป็นพญาช้าง

    ท่านไม่ได้มีเจตนา หรือลำเอียง ในความรักที่มีต่อนางช้างบริวารทั้งหลาย

    เพียงแค่เด็ดดอกให้อีกนาง แต่อีกนางไม่ได้ แถมมีรังมดตกใส่ ทำให้นางช้างบริวารอีกนางน้อยใจ เคืองแค้น กลั้นใจตายไปเกิดเป็นเจ้าหญิง สั่งคนมาฆ่า ด้วยกำลังของพระมหาสัตว์ ท่านจะตอบโต้หรือฆ่าคนๆนั้นได้ง่ายแสนง่าย

    แต่พอพระมหาโพธิสัตว์ทราบความจริงจากคนที่จะมาฆ่า ท่านกลับคว้าเลื่อยจากคนนั้นมาเลื่อยงาท่านยกให้ไปเสียเอง และเสียชีวิต เพราะพิษบาดแผล
    ให้ทุกอย่างจบลงที่ตัวท่าน


    .........จากชาดกเรือ่งนี้ เป็นตัวอย่างที่ให้เราตระหนักว่า สักวันเราต้องได้เจอ และเจอแล้วเราจะมั่นคงพอที่จะรักษาความดีในใจไม่ให้ถอยหลังได้หรือไม่ นั่นคือ สิ่งที่ต้องสอบให้ผ่าน ไม่เสียเวลาให้ตัวผมเอง จนเป็นความอ่อนแอที่เก็บซ่อนไว้
    และขอเป็นกำลังใจ ให้ทุกท่านผ่านไปได้ อย่างงดงามเช่นกัน

    สำหรับท่านที่สอบผ่านแล้ว ขออนุโมทนา และ คงดีถ้ามีใครมาเล่าให้เป็นทาน เป็นกำลังใจต่อเพื่อนร่วมทาง


    *******************************



    จาก ที่โพสมา ทั้งหมดในกระทู้นี้ ...........แล้วเกี่ยวอะไร กับชื่อกระทู้หละ


    ผมก็จะขอตอบว่า "ผมไม่ได้ให้ความสำคัญต่อนางแก้ว มากไปกว่า ชีวิตอื่นๆ" แต่ก็ตระหนักใน

    ความดีอันยากที่ใครจะทำได้ ในหน้าที่และปณิธานที่เธอได้กระทำบำเพ็ญ และซึ้งในบุญคุณนั้นอย่างมาก



    ชีวิต เพื่อเป้าหมายใหญ่ที่ฝังรากแก้วลึกในใจ



    พยายามทำใจให้มีความรู้สึกสม่ำเสมอ กับชีวิตต่างๆ

    ด้วยการเห็นเป็นชีวิตที่ต่างมีทุกข์ ต้องการอะไร เป็นยังไง และรอเวลาการดับทุกข์ได้ถาวร



    ไม่ใช่ แค่ ท่องบาลี หรือนึกเป็นพิธีกรรมว่า อัปปมัญญาต้องท่องอย่างนี้ ตั้งท่าแผ่สมาธิไปอย่างนั้นอย่างนี้


    ผมพยายาม เรียนรู้ที่จะทำให้ใจ มีความรู้สึกเป้นพรหมวิหารด้วยใจที่เป็นเองแบบธรรมชาติง่ายๆ


    ด้วยการพิจารณา หาให้ได้ว่า อะไรทำให้เราคิดต่อชีวิตอื่นอย่างไม่เท่าเทียมกัน


    แล้ว เข้าใจและทำได้อย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องตั้งท่าทำสมาธิ ความเป็นอัปปมัญญญา จะได้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 กรกฎาคม 2014
  7. scorpion03

    scorpion03 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2012
    โพสต์:
    161
    ค่าพลัง:
    +816
    สวัสดีท่านทั้งหลาย

    เข้ามาคุยต่อสักเล็กน้อยนะ

    ประเด็นมีอยู่ว่า คนเราทุกคน เกิดมาบนโลกนี้เท่าไร มันก็ต้องตายจากกันไปด้วยกันทั้งหมดเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว อยากจะบอกว่า เวลาแต่ละวันบนโลก มีค่ายิ่งนัก หมายถึง ทุกคนต่างก็ใกล้ความตายกันไปทุกที

    เมื่อตายไปแล้ว ก็ไม่เหลืออะไร ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ต่างเป็นเรื่องสมมุติทั้งนั้น ไม่มีตัวตน เราเขา อะไรที่ไหนหรอกนะ ความจริงในเรื่องนี้ เราคิดว่าทุกท่านก็คงจะทราบกันดีอยู่แล้ว เมื่อทราบกันดีอยู่แล้ว ก็อย่ามัวเสียเวลากับเรื่องที่ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยนะ

    ถ้าหากท่านผู้ใด มุ่งสู่สาวกภูมิ ก็ควรที่จะเร่งบำเพ็ญเพียร เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้งโดยเร็ววัน

    ถ้าหากท่านผู้ใด มุ่งสู่พุทธภูมิ ท่านก็บำเพ็ญบารมีไปในแนวทางของท่าน

    หรือหากท่านผู้ใด ยังไม่ตั้งความปรารถนาอะไร ก็หายใจอยู่ไปวัน ๆ นะ ไม่มีอะไรมากเลย ต่างคนก็ต่างเลือกในเส้นทางของตนเอง

    ความสำคัญมันอยู่ตรงที่ว่า ตัวของท่านเองนั้น ถามใจตัวเองแล้วหรือยังว่า ตกลง ตัวของท่านเองนั้น มีแนวทางที่ดำเนินชีวิต ไปในแนวทางไหน เมื่อได้คำตอบที่ชัดเจน ของตัวเองแล้ว ก็เดินไปเถิดนะ เวลาของแต่ละคนเหลือไม่มากนัก

    สำหรับตัวของเราแล้ว มันชัดเจนเลยว่า ยังมีความเลวจัด อยู่เต็มจิตใจนะ กิเลส และตัญหา ตลอดจนอุปาทานต่าง ๆ มันยังมีอยู่อย่างครบถ้วน เพียงแต่ว่า เราพอได้ยิน ได้ฟัง ความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ มาจากท่านผู้รู้ และพอจะทำความเข้าใจได้บ้าง ก็มาคุยกันฉันท์มิตร มันก็เท่านั้นเอง

    ท่านทั้งหลาย ถ้าหากว่าท่านมีความรู้พิเศษ สามารถ มองเห็น เทวโลก พรหมโลก ตลอดจน อบายภูมิ อันมี นรกภูมิ เปรต อสุรกาย คือถ้าท่านสามารถมองเห็น ภพภูมิต่าง ๆ ที่ดวงจิต เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว จะต้องเดินทางไปยังภพภูมินั้น ๆ

    ท่านจะเข้าใจได้นะว่า ชีวิตบนโลกมันสั้นมากจริง ๆ นะ แล้วท่านก็จะรู้ว่า ท่านควรจะดำเนินชีวิตไปในเส้นทางใด เมื่อได้รู้ที่มาของชีวิต คือว่า คนเรานั้น ก่อนที่จะมาเกิดในชาตินี้ เมื่อก่อน หรือว่าชาติก่อน ตัวของท่านเป็นอย่างไร และก็ เมื่อท่าน ต้องตายจากชาตินี้ไป ตัวของท่าน จะต้องไปอยู่ ณ ที่แห่งใด

    ถ้าท่านทราบได้ตามนี้ เราคิดว่า ท่านทั้งหลาย จะไม่มามัวเสียเวลา กับเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ตามที่กล่าวมาเลย
     
  8. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,456
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,024
    ค่าพลัง:
    +70,068
    ^^ ต้องขอบคุณ คุณโบล่า ( ที่ทำงานมีผู้หญิงเยอะ พูดอี ไม่ได้ )

    ที่มาเตือนสติว่า เราตายกันได้ง่ายมาก แถมตายแล้ว ก็ง่ายต่อการเกิดในทุคติ

    ย่อมต้องเสียเวลา อีกนาน


    กว่าจะมาเกิดเป็นคน คิดสร้างบารมีต่อได้ ก็มึนงง ปล่อยใจไหลไปในกระแสโลกอีกนานแน่ๆ
     
  9. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ฝากชาดกเรื่องนี้ ให้น้องนางทั้งหลาย
    พระเจ้ากุสราช

    เจ้าหญิงประภาวดี

    ด้วยจิตคิดเกลียดชัง

    สุมิตตาพราหมณีมีศรัทธา ตั้งจิตปรารถนาจะเป็นคู่ครองช่วยสุเมธดาบสสร้างสมบุญบารมี แต่สังสารวัฏฏ์นี้กว้างใหญ่ ยาวไกล หาความแน่นอนไม่ได้ คนสองคนเพียงอธิษฐานแล้วหวังว่าจะได้เกิดมาพบกันง่ายๆ นั้นอย่าพึงหวัง คนสองคนหากจะได้เกิดมาพบกันอย่างน้อยต้องเคยได้ทำบุญหรือทำกรรมร่วมกัน มีศีลหรือไร้ศีลเสมอกัน มีปัญญาหรือความศรัทธาไปทางเดียวกัน แต่ในระยะแรกนั้นสุมิตตาพราหมณีกับสุเมธดาบสยังมีศีลมีปัญญาไม่เสมอกัน ต่างฝ่ายจึงต่างเวียนเกิดเวียนตายไปตามบุญกรรมของแต่ละคน ไม่ได้เกิดมาพบกันอีกเลยนานแสนนาน จนเมื่อมีศีลและปัญญาใกล้เคียงกัน แรงอธิษฐานจึงหนุนนำให้ทั้งสองได้เกิดมาพบกันอีกครั้ง

    สมัยนั้นสุมิตตาพราหมณีเกิดเป็นหญิงในปัจจันตประเทศ เมื่อเจริญวัยขึ้นได้ออกเรือนไปอยู่กับสามีที่เป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงกัน ในเรือนนั้นมีพ่อแม่และน้องสามีอีกคนหนึ่ง หญิงผู้เป็นพี่สะใภ้ให้ความเอ็นดูน้องสามีเหมือนน้องชายตน เหตุเพราะเห็นและเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก และน้องสามีผู้นี้คือสุเมธดาบสที่ตนเองมีศรัทธาให้ในอดีตชาตินั่นเอง วันหนึ่งน้องสามีไปป่า พี่สะใภ้อยู่ทางบ้านได้ทอดขนมอร่อยชนิดหนึ่ง แล้วแบ่งปันบริโภคกันจนครบทุกคน และไม่ลืมแบ่งเก็บไว้ให้น้องสามีด้วย

    ขณะนั้น มีพระปัจเจกพุทธเจ้ามาบิณฑบาตที่หน้าเรือน พี่สะใภ้จึงนำขนมที่เก็บไว้ให้น้องสามีมาใส่บาตร คิดว่าเดี๋ยวค่อยทำให้ใหม่ แต่พอพระปัจเจกพุทธเจ้าปิดบาตรเดินจากไปไม่ทันพ้นสายตาน้องสามีก็กลับมาจากป่าพอดี พี่สะใภ้จึงบอกกับน้องสามีด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า

    “น้องชายเอ๋ย จงทำจิตใจให้ผ่องใสเถิด พี่ทำขนมอร่อยไว้เผื่อเธอ แต่มีพระสมณะรูปหนึ่งมาบิณฑบาต พี่จึงนำขนมของเธอใส่บาตรพระสมณะรูปนั้นไปหมดแล้ว เธอจงอนุโมทนาบุญเถิด เดี๋ยวพี่จะทำขนมให้เธอใหม่” น้องสามีกำลังหิวจึงต่อว่าพี่สะใภ้ด้วยความโกรธ “ชิชะนางตัวดี เจ้ากินขนมส่วนของเจ้าอิ่มหนำสำราญแล้วนี่จึงไม่เป็นห่วงใคร เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าไปป่ากลับมาจะต้องหิว แต่เจ้ากลับเอาขนมส่วนของข้าไปใส่บาตรจนหมด ข้าจะไปทวงขนมของข้าคืน”แล้วน้องสามีก็ผลุนผลันวิ่งตามพระปัจเจกพุทธเจ้าไป บอกให้พระปัจเจกพุทธเจ้าหยุดแล้วทวงขนมทอดในบาตรกลับคืนมา

    พี่สะใภ้เห็นการกระทำน่ารังเกียจของน้องสามี จึงรีบกลับไปเรือนมารดาที่อยู่ติดกัน เอาเนยใสสดใหม่สีเหลืองคล้ายดอกจำปามาใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้าแทนขนมทอดจนเต็มบาตร เมื่อเธอเห็นเนยใสแผ่รัศมีอยู่ในบาตร จึงได้ตั้งความปรารถนาว่า

    “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ด้วยอานิสงส์แห่งบิณฑบาตนี้ เมื่อดิฉันได้เกิดในที่ใดในกาลเบื้องหน้า ขอให้ดิฉันมีร่างกายงดงาม ขอให้ผิวกายของดิฉันมีรัศมีเปล่งปลั่งดังรัศมีของเนยใสนี้ด้วยเถิด”ครั้นหันกลับมามองน้องสามีที่ยังยืนอยู่ใกล้ๆ เธอก็อธิษฐานต่อด้วยความขัดเคืองว่า“อนึ่ง น้องสามีของดิฉันผู้นี้เป็นอสัตบุรุษ ขออย่าให้ดิฉันต้องอยู่ร่วมกับเขาในที่แห่งเดียวกันอีกเลย”ฝ่ายน้องสามีที่บัดนี้มีใจสงบเยือกเย็นลงแล้ว พิจารณาดูพระปัจเจกพุทธเจ้าก็มีความศรัทธาอยากจะทำบุญด้วย เมื่อได้ยินพี่สะใภ้ตั้งความปรารถนาดังนั้น จึงเอาขนมทอดของตนใส่ลงในบาตรที่เต็มด้วยเนยใส และตั้งความปรารถนาว่า

    “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ด้วยอานิสงส์ของบิณฑบาตนี้ พี่สะใภ้ของข้าพเจ้าผู้นี้ แม้จะอยู่ในที่ไกลแสนไกลร้อยโยชน์พันโยชน์ก็ตาม ขอให้ข้าพเจ้ามีความสามารถไปนำเธอมาเป็นบาทบริจาริกาของข้าพเจ้าให้จงได้ และขอให้เธอหายขัดเคืองใจข้าพเจ้าด้วยเถิด”น้องสามีใส่บาตรเสร็จแล้วก็หยอกล้อพี่สะใภ้ให้หายโกรธ กลับมาคืนดีกันดังเดิม ทำบุญกรรมร่วมกันในชาตินั้นแล้วต่างก็ไปตามกรรมของตนเมื่อถึงกาล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 กรกฎาคม 2014
  10. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    กาลเวลาล่วงมาถึงสมัยหนึ่ง สุมิตตาพราหมณีหรือหญิงพี่สะใภ้มาเกิดเป็น เจ้าหญิงประภาวดี ราชธิดาองค์โตของพระเจ้ามัททราช เมืองสาคละ แคว้นมัททะ มีกนิษฐาอีก ๗ องค์ พระธิดาทุกองค์ล้วนเป็นเจ้าหญิงสวยโสภา แต่เจ้าหญิงประภาวดีมีสิริโฉมงดงามเป็นเลิศกว่ากนิษฐาทั้งหมด เพราะกุศลกรรมจากการใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยเนยใส ทำให้พระธิดามีพระฉวีเป็นนวลสวยสีคล้ายแสงอาทิตย์อ่อน เปล่งปลั่งคล้ายมีรัศมีแผ่ซ่านออกจากกาย ความงามของเจ้าหญิงประภาวดีร่ำลือไปทั้งชมพูทวีป เป็นที่ต้องใจของบุรุษเพศทุกคน โดยเฉพาะเจ้าชาย ๗ นคร

    ชมพูทวีปในครั้งนั้นมีนครใหญ่นครหนึ่งนามว่า กุสาวดี มีพระราชาพระนามว่า พระเจ้าโอกกากราช อัครมเหสีพระนามว่า สีลวดี มีสนมนางในแวดล้อมอีกหมื่นหกพันนาง แต่พระเจ้าโอกกากราชไม่มีโอรสหรือธิดาเลย ชาวเมืองเกรงว่ากุสาวดีจะขาดรัชทายาทสืบทอดราชบัลลังก์ จึงถวายฎีกาขอให้พระเจ้าโอกกากราชทรงปล่อยพระสนมไปเป็นนางฟ้อนโดยธรรมเจ็ดวัน ให้พระสนมไปอยู่กับชายอื่นจะได้มีโอรส ซึ่งพระเจ้าโอกกากราชก็ทรงยินยอมตามฎีกาของชาวเมือง แต่ก็ไม่มีพระสนมองค์ใดให้โอรส

    ชาวเมืองกราบทูลว่าพระสนมเหล่านั้นไม่มีบุญจึงไม่มีโอรส แต่พระมเหสีสีลวดีนั้นทรงรักษาศีล เป็นผู้มีบุญ ขอให้พระราชาปล่อยพระนางไปเป็นนางฟ้อนโดยธรรม คงจะได้พระโอรสเป็นแน่แท้
    พระเจ้าโอกกากราชทรงยินยอมตามคำขอของชาวเมือง รับสั่งให้ตีกลองประกาศว่าพระองค์จะปล่อยพระนางเจ้าสีลวดีให้เป็นนางฟ้อนโดยธรรม ๗ วัน เพื่อให้ได้โอรส ให้ผู้ชายทั้งแก่และหนุ่มมาประชุมกันที่หน้าประตูพระนครเพื่อให้พระนางสีลวดีทรงเลือก

    ชาวเมืองจำนวนมากที่เป็นชาย ทั้งแก่และหนุ่ม เมื่อได้ยินประกาศจึงมาชุมนุมกันที่หน้าประตูพระนคร เมื่อพระมเหสีเสด็จออกมาเพื่อทรงเลือก ก็มีพราหมณ์แก่คนหนึ่งเดินงกเงิ่นออกมายืนด้านหน้า ชายหนุ่มคนอื่นพยายามจะฉุดพราหมณ์แก่ให้กลับมาอยู่ด้านหลังก็ไม่เป็นผล พยายามจะเบียดแทรกมายืนบังข้างหน้าก็ทำไม่ได้ กลับเป็นพราหมณ์แก่คนนั้นที่ยืนบังบุรุษอื่นจนหมดสิ้น แล้วจูงหัตถ์พระนางสีลวดีไป พระเจ้าโอกกากราชและชาวเมืองเห็นพระนางสีลวดีไปกับพราหมณ์แก่ พากันเสียใจว่าพระนางสีลวดีได้พราหมณ์ที่ไม่คู่ควร แต่ก็ไม่อาจจะแก้ไขประการใดได้
    พราหมณ์แก่คนนั้นแท้จริงคือท้าวสักกเทวราชจำแลงองค์มา พระองค์ทรงพาพระนางสีลวดีไปยังวิมานในเทวโลก แล้วตรัสให้พรพระนางข้อหนึ่งตามแต่จะขอ

    พระนางสีลวดีจึงทูลขอพระโอรส ๑ องค์ท้าวสักกะตรัสว่าจะให้ ๒ องค์ โดยองค์หนึ่งมีปัญญามากแต่รูปไม่งาม กับอีกองค์หนึ่งรูปงามแต่ปัญญาน้อยกว่า พระนางจะเลือกองค์ไหนให้ไปประสูติก่อนพระนางสีลวดีทรงเลือกโอรสที่มีปัญญาก่อนท้าวสักกะตรัสให้พรตามที่ขอแล้วประทานสิ่งของ ๕ อย่างแก่พระนางสีลวดี คือ หญ้าคา ผ้าทิพย์ จันทน์ทิพย์ ดอกปาริฉัตต์ทิพย์ และพิณ แล้วพาพระนางกลับไปส่งคืนในห้องบรรทม ทรงลูบอุทรพระมเหสีก่อนเสด็จกลับเพื่อให้กำเนิดโอรส เมื่อพระเจ้าโอกกากราชตื่นบรรทมทอดพระเนตรเห็นพระนางสีลวดีจึงตรัสถาม พระมเหสีเล่าเรื่องที่ได้รับพรจากท้าวสักกะให้ฟังและนำสิ่งของ ๕ อย่างให้พระราชาทอดพระเนตรดู พระเจ้าโอกกากราชจึงทรงเชื่อว่าพระมเหสีได้รับพรจากท้าวสักกเทวราชจริง

    กาลต่อมาพระนางสีลวดีก็ประสูติราชโอรส ๒ องค์ พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระโอรสองค์โตมีนามว่า กุสติณ ส่วนองค์เล็กมีนามว่า ชยัมบดีกุสติณราชกุมารนั้น เมื่อเจริญวัยขึ้นเป็นผู้มีปัญญามาก พระองค์เชี่ยวชาญในศิลปศาสตร์ทุกอย่างโดยไม่ต้องมีอาจารย์ แต่ด้วยอกุศลกรรมจากชาติที่ไปทวงขนมคืนจากบาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า พระองค์จึงมีรูปอัปลักษณ์ ต่างจากชยัมบดีพระอนุชาที่มีรูปงามยิ่งนัก

    เมื่อกุสติณกุมารอายุได้ ๑๖ ชันษา พระเจ้าโอกกากราชจะให้อภิเษกสมรส แต่กุสติณกุมารดำริว่าตนเองมีรูปอัปลักษณ์ แม้ได้พระธิดาที่รูปสวยมาเป็นชายา นางก็คงจะหนีไป พระองค์จึงปฏิเสธกราบทูลว่าวันหน้าเมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้วพระองค์จะบวช กุสติณกุมารปฏิเสธทำนองนี้ไป ๓ ครั้ง ต่อมาครั้งที่ ๔ ดำริว่าตนเองเป็นโอรสการปฏิเสธบิดามารดาเช่นนี้เป็นการไม่สมควร พระองค์จึงคิดอุบายขึ้นอย่างหนึ่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 กรกฎาคม 2014
  11. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    กุสติณกุมารนำทองคำมาปั้นเป็นรูปหญิงสาว ด้วยอำนาจบารมีแห่งพระโพธิสัตว์ ทองคำนั้นก็เป็นรูปหญิงสาวสวยงามปานเทพอัปสรในสรวงสวรรค์ มีผิวพรรณเปล่งปลั่งดั่งมีชีวิตจริง จนแม้แต่ช่างทองฝีมือดีที่สุดได้เห็นยังเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเทพธิดาจริงๆ เมื่อตบแต่งรูปทองด้วยอาภรณ์และเครื่องประดับแล้วจึงให้ช่างทองนำไปถวายพระราชบิดา กราบทูลว่าพระองค์จะครองเรือนและรับราชสมบัติหากได้อภิเษกกับหญิงงามเหมือนรูปปั้นทองนี้

    พระเจ้าโอกกากราชจึงรับสั่งให้อำมาตย์แห่รูปทองไปตามเมืองต่างๆ เพื่อเสาะหาหญิงสาวที่งามเหมือนรูปทองนั้น อำมาตย์พร้อมขบวนบริวารจึงนำรูปปั้นทองขึ้นตั้งบนยาน เที่ยวเสาะหาหญิงงามไปทั่วชมพูทวีป เมื่อขบวนไปถึงที่ชุมนุมชนใด อำมาตย์ก็จะปล่อยยานทิ้งไว้ และคอยสดับฟังมหาชนว่าเขาจะพูดอย่างไรเกี่ยวกับรูปทองบ้างมหาชนทั้งหลายเมื่อเห็นรูปทองก็เข้าใจว่าเป็นหญิงสาวจริงๆ พากันมามุงดูและพูดกันว่าเธอผู้นี้เป็นใครมาจากเมืองไหนกันหนอ ช่างงามดุจเทพธิดา หญิงงามปานนางฟ้านี้เมืองเราไม่มีเลยเมื่อได้ยินว่าเมืองนี้ไม่มีหญิงใดงามเท่ารูปทอง อำมาตย์ก็จะเคลื่อนขบวนไปเมืองอื่นเรื่อยไป จนกระทั่งไปถึงเมืองสาคละ จอดยานที่มีรูปทองไว้ที่ท่าน้ำแล้วคอยสังเกตการณ์อยู่

    วันนั้นนางทาสี ๘ คน ไปตักน้ำที่ท่าน้ำเพื่อให้พระธิดาประภาวดีใช้สรงสนาน แต่นางทาสีหายไปนานกว่าปกติ พระธิดาจึงรับสั่งให้นางค่อมหญิงพี่เลี้ยงออกไปดู นางค่อมออกไปตามหานางทาสีที่ท่าน้ำเห็นรูปทองคำตั้งอยู่บนยานริมทางเข้าใจว่าเป็นเจ้าหญิงประภาวดีจึงเข้าไปหาทูลว่า พระธิดารับสั่งให้หม่อมฉันออกมาตามนางทาสี แล้วเหตุใดพระธิดาจึงเสด็จมาเองเพคะ ถ้าพระราชาทรงทราบหม่อมฉันและนางทาสีจะเดือดร้อน ทูลแล้วก็เอามือแตะหัตถ์จะพาพระธิดากลับเข้าวัง พอสัมผัสจึงรู้ว่าเป็นรูปทองไม่ใช่เจ้าหญิงประภาวดี นางค่อมจึงยืนพิศดูด้วยความสงสัย

    อำมาตย์ที่ยืนสังเกตการณ์อยู่เข้ามาสอบถามนางค่อม พอรู้ว่ารูปทองนี้งามคล้ายเจ้าหญิงประภาวดี จึงพากันเข้าไปเฝ้าพระเจ้ามัททราช ถวายรูปทองคำและเครื่องราชบรรณาการ กราบทูลว่าพระเจ้าโอกกากราชแห่งกุสาวดีประสงค์จะสู่ขอพระธิดาประภาวดีให้อภิเษกสมรสกับเจ้าชายกุสติณพระโอรสองค์โต พระเจ้ามัททราชก็ทรงรับด้วยความยินดีพระเจ้าโอกกากราชและพระนางสีลวดีเสด็จไปรับเจ้าหญิงประภาวดี ทรงยินดีที่ได้พระสุนิสาที่งามเลิศเป็นศรีศักดิ์ให้กุสาวดี แต่พระนางสีลวดีดำริว่าพระสุนิสาของตนนั้นงามปานเทพธิดา

    หากเธอได้เห็นพักตร์พระโอรสกุสติณเต็มตาก็คงรังเกียจและหนีไป ระหว่างที่ประทับมาในขบวนเสด็จกลับกุสาวดีพระนางจึงออกอุบายลวงเจ้าหญิงประภาวดีว่า“ลูกหญิง แม่ไม่เคยเห็นหญิงใดเลยในชมพูทวีปนี้ที่จะมีความงดงามปานเทพธิดาเหมือนอย่างเธอ หากกุสติณได้เห็นหน้าเธอคงลุ่มหลงจนทิ้งงานราชการเป็นผลเสียแก่กุสาวดี แม่จึงขอว่าเมื่ออภิเษกสมรสกันแล้วเธอทั้งสองอย่าเพิ่งเห็นหน้ากันในเวลากลางวันเลย ให้รอจนกว่าเธอจะมีครรภ์เสียก่อน”เจ้าหญิงประภาวดีไม่รู้ว่าเป็นอุบายจึงทรงรับปฏิบัติตาม

    พระเจ้าโอกกากราชอภิเษกเจ้าชายกุสติณเป็นพระเจ้ากุสราช และอภิเษกเจ้าหญิงประภาวดีเป็นมเหสี ทั้งสองอยู่ร่วมกันเฉพาะในเวลากลางคืน แต่ไม่เคยเห็นหน้ากันเลยในเวลากลางวัน พระนางประภาวดีจึงไม่รู้ว่าพระสวามีอัปลักษณ์พิธีสยุมพรผ่านไปได้เพียง ๒-๓ วัน พระเจ้ากุสราชก็อ้อนวอนพระมารดาว่าอยากเห็นหน้าพระชายา พระมารดาตรัสให้รอก่อน แต่เมื่ออ้อนวอนหนักเข้าพระมารดาก็พระทัยอ่อนออกอุบายให้พระเจ้ากุสราชทำตัวเป็นคนเลี้ยงช้างไปรออยู่ที่โรงช้าง

    พระมารดาพาพระนางประภาวดีประพาสโรงช้าง พระเจ้ากุสราชอยากจะเห็นหน้าชายาจึงหยิบมูลช้างก้อนหนึ่งขว้างไปที่หลังเพื่อให้พระนางหันมา พระนางประภาวดีกริ้วคนเลี้ยงช้างเป็นอย่างมากทูลขอให้พระมารดาลงโทษ แต่พระมารดาทรงปลอบประโลมให้หายกริ้วว่าอย่าไปเอาความคนเลี้ยงช้างเลยต่อมาพระเจ้ากุสราชอยากเห็นหน้าพระชายาอีก พระมารดาจึงออกอุบายพาพระนางประภาวดีเสด็จไปโรงม้า ครั้งนี้พระเจ้ากุสราชทรงขว้างด้วยมูลม้า พระนางประภาวดีกริ้วคนเลี้ยงม้ามาก แต่พระมารดาก็ทรงปลอบประโลมให้หายกริ้วเหมือนเดิม

    วันต่อมา พระชายาประภาวดีทรงใคร่จะได้เห็นหน้าพระสวามีบ้าง จึงทูลขอพระมารดา พระนางสีลวดีตรัสให้พระสุนิสารอไปก่อน แต่เมื่อถูกรบเร้าหนักเข้าพระมารดาจึงบอกว่าพรุ่งนี้พระเจ้ากุสราชจะเสด็จเลียบพระนคร ให้พระชายาประภาวดีไปแอบดูเอาเองวันรุ่งขึ้น พระมารดารับสั่งให้ ชยัมบดีอนุชา ทรงเครื่องต้นอย่างกษัตริย์ ประทับนั่งบนหลังช้าง ให้พระเจ้ากุสราชประทับนั่งบนอาสนะข้างหลัง แล้วพระมารดาก็พาพระชายาประภาวดีไปประทับทอดพระเนตรจากสีหบัญชร พระชายาประภาวดีสำคัญผิดว่าชยัมบดีอนุชาคือพระเจ้ากุสราช ก็มีพระทัยโสมนัสว่าเราได้พระสวามีที่มีความงามคู่ควรกัน

    ฝ่ายพระเจ้ากุสราช เมื่อทอดพระเนตรขึ้นมาเห็นพระชายา พระองค์ก็แสดงอาการยั่วเย้า พระชายาประภาวดีไม่พอพระทัย ทูลขอพระมารดาให้ลงโทษ แต่พระมารดาก็ตรัสแก้ต่างให้อีก พระชายาประภาวดีจึงเริ่มสงสัยว่า ชรอยนายควาญช้างคนนี้อาจจะเป็นพระเจ้ากุสราช แต่เพราะพระองค์มีหน้าตาน่าเกลียดอัปลักษณ์จึงไม่ยอมแสดงองค์พระชายาประภาวดีจึงกระซิบสั่งนางค่อมพี่เลี้ยง ให้ตามไปดูว่าองค์ไหนคือพระเจ้ากุสราช โดยหากเป็นพระเจ้ากุสราช พระองค์จะต้องเสด็จลงจากหลังช้างก่อน

    นางค่อมตามไปดูรู้ว่าพระเจ้ากุสราชคือองค์ที่ประทับด้านหลัง แต่พระเจ้ากุสราชทอดพระเนตรเห็นนางค่อมเสียก่อน รู้ว่านางมาแอบดูจึงรับสั่งให้เรียกนางค่อมมาเฝ้า ตรัสกำชับว่าห้ามนางบอกเรื่องนี้แก่พระชายาประภาวดีเด็ดขาด นางค่อมจึงกลับไปทูลพระชายาประภาวดีว่าผู้ประทับอยู่ข้างหน้าเสด็จลงก่อน พระชายาประภาวดีก็ทรงหลงเชื่อถ้อยคำของนางค่อม

    วันต่อมา พระเจ้ากุสราช ประสงค์จะทอดพระเนตรพักตร์พระชายาอีก จึงทูลอ้อนวอนพระราชมารดา พระมารดาจึงพาพระชายาประภาวดีเสด็จประพาสอุทยาน ส่วนพระเจ้ากุสราชลงไปอยู่ในสระบัว เอาใบบัวกำบังไว้แอบดูพระชายาพระชายาประภาวดีเห็นสระโบกขรณีดารดาษไปด้วยดอกบัวสีสวย จึงเสด็จลงสรงน้ำพร้อมด้วยเหล่านางบริจาริกา ทรงแหวกว่ายธาราเข้าไปชมดอกบัว ครั้นทอดพระเนตรเห็นบัวดอกใหญ่ที่พระเจ้ากุสราชทรงถืออยู่ก็นึกอยากได้ จึงเอื้อมพระหัตถ์ออกไป

    ทันใดนั้น พระเจ้ากุสราช ก็เผยพระองค์ออกจากใบบัว แล้วคว้าพระชายาด้วยพระหัตถ์พลางร้องว่า เราคือพระเจ้ากุสราชเมื่อพระชายาประภาวดีเห็นพระพักตร์ของพระสวามีเต็มตาก็ตกใจ เข้าใจว่าเป็นยักษ์ ทรงกรีดร้องและถึงวิสัญญีภาพไปทันที พระเจ้ากุสราชทรงอุ้มพระชายาขึ้นจากสระบัว ให้สนมกำนัลดูแล แล้วพระองค์ก็เสด็จหลีกไปเมื่อพระชายาประภาวดีรู้สึกพระองค์ ก็ทรงเสียพระทัยคร่ำครวญว่า

    “คนอัปลักษณ์ที่เอามูลช้างขว้างเราที่โรงช้าง คือพระเจ้ากุสราช…
    คนอัปลักษณ์ที่เอามูลม้าขว้างเราที่โรงม้า คือพระเจ้ากุสราช…
    คนอัปลักษณ์ที่หยอกล้อเราบนหลังช้าง คือพระเจ้ากุสราช…
    คนอัปลักษณ์ที่จับมือเราในกอบัว คือพระเจ้ากุสราช…
    เราไม่ต้องการพระสวามีที่อัปลักษณ์เช่นนี้ เราจะทิ้งพระองค์ไป”

    พระชายาประภาวดีตัดสินพระทัยเสด็จกลับสาคละ รับสั่งให้อำมาตย์ที่ตามเสด็จมาจากสาคละจัดเตรียมพาหนะ อำมาตย์เหล่านั้นจึงไปกราบทูลให้พระเจ้ากุสราชทรงทราบพระเจ้ากุสราชดำริว่าเวลานี้พระชายากำลังเสียพระทัย หากเธอไม่ได้เสด็จกลับสาคละวันนี้ ดวงหทัยของเธอคงจะแตกเป็นแน่ จึงควรปล่อยให้พระชายาเสด็จกลับไปก่อน แล้วพระองค์จึงค่อยไปรับเธอกลับมาในภายหลัง ดำริแล้วจึงทรงอนุญาตให้อำมาตย์พาพระชายาประภาวดีเสด็จกลับไปได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 กรกฎาคม 2014
  12. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    เมื่อพระชายาประภาวดีเสด็จไปจากกุสาวดีแล้ว พระเจ้ากุสราชก็ทรงเศร้าโศกเสียพระทัย เฝ้ารำพึงคิดถึงพระชายาด้วยความรัก ไม่ทรงมีพระทัยให้พระสนมอื่นเลยแม้แต่นางเดียว ความเงียบเหงาหดหู่ของพระองค์นั้นพลอยทำให้พระราชนิเวศน์ที่เคยรุ่งเรืองเกลื่อนกล่นด้วยเสนาะสำเนียง บัดนี้กลับเงียบเหงาวังเวงคล้ายดังไม่มีใครอยู่

    หลายวันผ่านไป พระเจ้ากุสราชคะเนว่าพระชายาประภาวดีคงกลับถึงสาคละแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระมารดากราบทูลว่าพระองค์จะไปรับพระนางประภาวดีอันเป็นที่รักกลับคืนมา กราบทูลลาแล้วพระเจ้ากุสราชก็เหน็บพระแสงอาวุธห้าอย่าง กหาปณะพันหนึ่ง พร้อมทั้งถือพิณเสด็จออกจากพระนคร ด้วยพละกำลังของพระองค์ เพียงสองวันก็เสด็จถึงสาคลนคร

    พระเจ้ากุสราชถือพิณเสด็จไปใกล้โรงช้างต้นใกล้ตำหนัก ทรงบรรเลงเพลงพิณให้พระชายาได้ยิน พระนางประภาวดีพอสดับเสียงเพลงพิณล่องลอยมาก็รู้ว่าพระเจ้ากุสราชเสด็จตามมา พระนางจึงเก็บองค์ไม่ยอมออกมาพบหน้า อีกทั้งไม่บอกใครให้รู้ด้วยว่าพระเจ้ากุสราชเสด็จมา พระเจ้ากุสราชบรรเลงเพลงพิณจบเห็นพระชายาปิดตำหนักดำริว่าวิธีนี้คงไม่ได้ผลจึงนำพิณไปเก็บ

    วันรุ่งขึ้น พระเจ้ากุสราชเสด็จไปบ้านนายช่างหม้อ ขอฝากตัวเป็นศิษย์ วันนั้นพระองค์ไปขนดินมาเต็มเรือน ปั้นภาชนะเล็กบ้างใหญ่บ้างมากมายหลายชนิด และทรงปั้นภาชนะใบเล็กที่มีรูปลายละเอียดประณีตสวยงาม ทรงหมายพระทัยให้พระชายาทอดพระเนตรเห็นพักตร์ของพระองค์ที่ซ่อนอยู่ในลวดลายนั้น เมื่อเผาภาชนะนั้นแล้วนายช่างหม้อได้นำไปถวายพระราชา พระเจ้ามัททราชทอดพระเนตรแล้วตรัสถามว่าเป็นฝีมือของใคร นายช่างหม้อกราบทูลว่าเป็นฝีมือของลูกศิษย์คนใหม่ พระราชาตรัสว่าฝีมือประณีตปานนี้ควรที่เจ้าจะสมัครเป็นศิษย์เขามากกว่า แล้วพระเจ้ามัททราชก็รับสั่งให้ช่างหม้อนำภาชนะใบเล็กไปถวายพระธิดา

    เมื่อพระนางประภาวดีทรงรับภาชนะที่พระเจ้ากุสราชทำขึ้นให้โดยเฉพาะ ก็เห็นรูปพระเจ้ากุสราชบนภาชนะ พระนางจึงขว้างภาชนะนั้นทิ้งลงบนพื้นจนแตกกระจายไม่ใยดีพระเจ้ากุสราชดำริว่าหากพระองค์ยังอยู่เรือนช่างปั้นหม้อ ก็คงไม่มีโอกาสได้พบหน้าพระชายา พระองค์จึงเสด็จไปขอเป็นศิษย์นายช่างสาน นำใบตาลมาประดิษฐ์เป็นของใช้ให้พระนางประภาวดีพระนางประภาวดีได้เห็นรูปพระเจ้ากุสราชอีก ทรงกริ้วและขว้างเครื่องสานลงบนพื้น ตรัสว่าใครอยากได้ก็เอาไปเถิด เราไม่ปรารถนาของแบบนี้

    พระเจ้ากุสราชจึงไปยังสำนักของนายช่างร้อยดอกไม้ ทรงร้อยพวงมาลาที่สวยงามถวายพระนางประภาวดี ก็ถูกพระนางประภาวดีจับขว้างทิ้งลงพื้นอีกพระเจ้ากุสราชจึงไปขอทำงานในห้องต้นเครื่องพระราชา พระราชาทรงพอพระทัยฝีมือการปรุงอาหาร รับสั่งให้พระเจ้ากุสราชเป็นพ่อครัวทำเครื่องเสวยประจำพระองค์ วันรุ่งขึ้น หลังจากจัดแจงเครื่องเสวยถวายพระราชาเสร็จแล้ว พระเจ้ากุสราชก็จัดเครื่องเสวยอีกชุดหนึ่งใส่หาบ เสด็จไปยังตำหนักของพระนางประภาวดี

    พระนางประภาวดีไม่ยอมเปิดพระทวารรับ ตรัสว่านางไม่ปรารถนาผู้มีผิวพรรณชั่วเช่นพระเจ้ากุสราช ขอให้พระองค์เสด็จกับกุสาวดี ไปหานางยักษ์ที่มีรูปชั่วเสมอกันมาเป็นมเหสีเถิดพระนางประภาวดีไม่ยอมแตะต้องอาหารที่พระเจ้ากุสราชปรุงถวายเลยแม้แต่น้อย ทรงแลกกับอาหารผักต้มของนางค่อมด้วยความชัง และกำชับนางค่อมไม่ให้ปริปากบอกใครด้วยว่าพระเจ้ากุสราชเสด็จตามมา

    หลายวันผ่านไป พระเจ้ากุสราชอยากรู้ว่าพระชายาประภาวดีมีความเสน่หาอาลัยในพระองค์บ้างหรือไม่ เมื่อหาบเครื่องเสวยผ่านหน้าตำหนักพระชายา พระองค์จึงแกล้งกระทืบบาทเสียงดัง แล้วทำทีเป็นสลบล้มลงอยู่หน้าทวารพระนางประภาวดีเปิดทวารออกมาดู เห็นพระเจ้ากุสราชสิ้นสติอยู่จึงเข้าไปช้อนพระเศียรตรวจดูลมหายใจ พระเจ้ากุสราชได้ทีถ่มน้ำลายถูกตัวนาง ทำให้พระนางประภาวดีกริ้ว ทรงบริภาษพระสวามีอย่างรุนแรงแล้วเสด็จหนีกลับเข้าตำหนัก แม้พระเจ้ากุสราชจะพูดง้องอนอย่างไรพระนางก็ไม่หายโกรธ

    ฝ่ายนางค่อมเห็นพระเจ้ากุสราชพยายามง้อขอคืนดีพระชายา จึงได้ช่วยพูดเกลี้ยกล่อมอีกแรงหนึ่ง กราบทูลว่าพระธิดาไม่ควรมองพระเจ้ากุสราชเพียงแค่รูปกาย แต่ควรมองที่ความดีและพระปรีชาสามารถของพระองค์ ทั่วทั้งชมพูทวีปนี้จะหาใครมีพระปรีชาสามารถเสมอพระสวามีของพระธิดาไม่มีอีกแล้ว แต่พระนางประภาวดีไม่ฟัง

    เวลาผ่านไป ๗ เดือน พระเจ้ากุสราชทรงท้อพระทัยที่ไม่ได้เห็นหน้าพระชายาของพระองค์เลย และทรงเป็นห่วงบ้านเมืองจึงคิดจะเสด็จกลับกุสาวดีขณะนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงทราบว่าพระเจ้ากุสราชทรงเบื่อระอา ดำริว่าจะต้องช่วยให้พระองค์สมประสงค์ จึงเนรมิตทูต ๗ คน ส่งสาส์นไปยังกษัตริย์ ๗ นคร บอกข่าวว่าพระนางประภาวดีทรงทิ้งพระเจ้ากุสราชกลับสาคลนครแล้ว ถ้าพระราชาองค์ใดมีพระประสงค์ในพระนาง ก็เสด็จมารับพระนางประภาวดีไปเถิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 กรกฎาคม 2014
  13. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    พระราชาทั้ง ๗ นคร ต่างองค์ต่างนำขบวนมารับพระนางประภาวดี เมื่อมาถึงสาคละ ขบวนของพระราชาทั้ง ๗ นครก็ได้มาพบกัน ต่างองค์ต่างพิโรธว่าพระเจ้ามัททราชดูถูกที่ยกธิดาองค์เดียวให้กับกษัตริย์ถึง ๗ องค์ พระราชาทั้ง ๗ จึงพร้อมใจกันยกพลล้อมสาคละไว้ แล้วส่งสาส์นไปหาพระเจ้ามัททราชให้ออกมารบ หรือไม่ก็ส่งพระนางประภาวดีออกมา

    พระเจ้ามัททราชเมื่อได้รับสาส์นก็กริ้วพระธิดาที่เป็นเหตุให้มีศึกมาประชิดพระนคร ทรงบริภาษพระธิดาว่ามีพระสวามีเลิศที่สุดในชมพูทวีปแล้วยังทิ้งมาได้เพียงเพราะรังเกียจรูปโฉมภายนอกของพระสวามี บัดนี้บ้านเมืองถึงคราวคับขันหาใครมาช่วยเหลือการศึกไม่ได้ พระองค์จำเป็นต้องตัดร่างพระธิดาเป็น ๗ ท่อน ส่งไปให้พระราชา ๗ นครเพื่อสงบศึก

    พระนางประภาวดีสดับแล้วตกพระทัยกลัว รีบเสด็จไปหาพระมารดากรรแสงไห้คร่ำครวญทูลขอให้พระมารดาช่วย พระมารดาสงสารพระธิดาจึงเสด็จไปเฝ้าพระเจ้ามัททราชขอให้ทรงปรานี แต่พระเจ้ามัททราชตรัสว่าธิดาของเราไม่ทำตามคำของบิดามารดาละทิ้งพระสวามีมาจนทำให้มีศึกมาติดพระนคร เมื่อเธอเป็นต้นเหตุทำให้บ้านเมืองเดือดร้อนก็ต้องลงโทษเธอ

    พระมารดาหมดทางช่วยจึงกลับมาหาพระธิดาประภาวดี ตรัสว่า พระเจ้ากุสราชสวามีของลูกเป็นกษัตริย์นครใหญ่และทรงพระปรีชาสามารถ กษัตริย์เมืองอื่นทั่วชมพูทวีปไม่มีใครหาญกล้าสู้พระองค์ได้ หากลูกไม่หลงมัวเมาในรูปโฉมละทิ้งพระองค์มา วันนี้พระเจ้ากุสราชคงจะประทับอยู่ที่นี่และช่วยขับไล่กองทัพของกษัตริย์ ๗ นครนี้ไปได้ พระนางประภาวดีหมดหนทางจึงกราบทูลความจริงว่า พระเจ้ากุสราชนั้นประทับอยู่ในนครนี้แล้วถึง ๗ เดือน แต่พระมารดาไม่เชื่อ ถ้าพระเจ้ากุสราชเสด็จมาจริงแล้วพระองค์ประทับอยู่ที่ไหน พระนางประภาวดีจึงเปิดบานพระแกลชี้ให้พระมารดาทอดพระเนตรดูพนักงานต้นเครื่องที่กำลังก้มทำงานล้างหม้ออยู่ ทูลว่าชายคนนั้นคือพระเจ้ากุสราช พระมารดาทอดพระเนตรดู พิเคราะห์แล้วว่าเป็นพระเจ้ากุสราชจริงๆ จึงตรัสเตือนสติพระธิดาว่า

    “พระเจ้ากุสราชเป็นถึงพระราชานครใหญ่ พระเกียรติยศร่ำลือไปทั้งชมพูทวีป พระราชาองค์ไหนๆ ล้วนต้องยอมศิโรราบแก่พระองค์ แต่ลูกหญิงจงมองดูว่าเหตุใดพระองค์จึงยอมทนทำงานเป็นต้นเครื่องอยู่นี่ถึง ๗ เดือน ลูกหญิงมีชายที่รักและอดทนเพื่อความรักได้มากถึงเพียงนี้จะยังปรารถนาอะไรอีกเล่า”พระนางประภาวดีทอดพระเนตรดูพระเจ้ากุสราช ทรงได้สติรู้สึกองค์ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นพระนางมองแต่ว่าพระสวามีอัปลักษณ์ ไม่เคยมองเลยว่าพระเจ้ากุสราชนั้นทรงปรีชาสามารถและยอมทำทุกอย่างเพื่อพระนาง แม้แต่ศักดิ์ศรีความเป็นชายและเกียรติยศของพระราชาผู้ยิ่งใหญ่พระเจ้ากุสราชก็นำมาทิ้งไว้ที่นี่เพื่องอนง้อพระนาง ดำริแล้วก็เศร้าพระทัยทรุดนั่งอยู่ใกล้พระแกล

    พระมารดาเมื่อรู้ว่าพระเจ้ากุสราชประทับอยู่ที่นี่แล้ว จึงรีบไปกราบทูลให้พระเจ้ามัททราชทรงทราบ พระเจ้ามัททราชรีบเสด็จไปหาพระเจ้ากุสราชและรับสั่งให้ตามพระธิดามาขอขมาพระเจ้ากุสราชต้องการจะขจัดมานะของพระชายา จึงตักน้ำราดพื้นรอบองค์จนพื้นเละเป็นโคลน พระชายาประภาวดีเสด็จมาถึงด้วยความสำนึกผิด ทรงทิ้งมานะธิดากษัตริย์ผู้สูงศักดิ์เสียสิ้น หมอบกราบขอขมาโทษบนพื้นโคลนที่แทบพระบาทพระเจ้ากุสราช กราบทูลว่า“เสด็จพี่กุสราชหม่อมฉันหลงมัวเมามองความงามของคนเพียงแค่รูปกาย

    ไม่ได้มองความงามแท้จริงที่อยู่ภายใน จึงทอดทิ้งพระองค์มา ขอเสด็จพี่ประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเถิด บัดนี้หม่อมฉันเป็นต้นเหตุให้เกิดศึกแก่สาคละ หากแม้นพระองค์ยังทรงมีไมตรีให้หม่อมฉันผู้สำนึกผิด ก็ขอได้โปรดช่วยหม่อมฉันด้วย แต่หากแม้นพระองค์ยังคงถือโทษโกรธหม่อมฉันอยู่ หม่อมฉันก็ขอยอมตายถวายชีวิตให้ ขอเพียงพระองค์ทรงช่วยสาคละให้พ้นภัยด้วยเถิด”

    พระเจ้ากุสราชทรงเห็นว่าพระชายาทรงละมานะแล้ว จึงทรุดกายลงตรัสว่า
    “น้องหญิงอย่ากังวลไปเลย ที่พี่ทิ้งกุสาวดีติดตามน้องหญิงมาถึงสาคลนครเพียงผู้เดียวก็ด้วยความรัก พี่ทนทำงานหนักไร้เกียรติและยศศักดิ์อยู่ที่นี่ ไม่ใช้กำลังหาญหักทำลายสาคลนครให้ราบคาบแล้วฉุดคร่าพาน้องหญิงกลับคืนไป ก็เพราะความรัก ดวงหทัยของพี่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักที่มีให้น้องหญิงตั้งแต่แรกเห็นจนไม่มีส่วนเหลือไว้โกรธเคืองหรือเกลียดชังเลยแม้เพียงนิด

    ศึกของสาคละครั้งนี้ อย่าว่าแต่กองทัพเพียง ๗ นครเท่านี้เลย ต่อให้มากันเป็นร้อยนครพี่ก็จะไม่ยอมให้ใครมาย่ำยีน้องหญิงของพี่เป็นอันขาด”พระเจ้ากุสราชโอบประคองพระชายาประภาวดีให้ลุกขึ้น ทั้งสองพระองค์ทรงชำระล้างและทรงฉลองพระองค์ใหม่ แล้วพระเจ้ากุสราชก็กราบทูลให้พระเจ้ามัททราชพาพระมเหสีและพระนางประภาวดีเสด็จขึ้นไปประทับดูการศึกบนพระตำหนัก ส่วนพระองค์จะนำทัพเสด็จออกไปจับกษัตริย์ทั้ง ๗ นครพระเจ้ากุสราชยกทัพออกจากประตูเมืองสาคลนคร ทรงเปล่งพระสุรเสียงดุจราชสีห์ กัมปนาทกึกก้องไปทั้งชมพูทวีป ประกาศว่า

    “เราคือพระเจ้ากุสราช ใครรักชีวิต ก็จงอ่อนน้อมกับเราเสียเถิด”

    กองทัพกษัตริย์ ๗ นคร พอได้ยินสีหนาทของพระเจ้ากุสราชก็ตกใจกลัวจนขวัญหาย เมื่อเห็นพระเจ้ากุสราชประทับราชรถออกมาก็ยิ่งกลัวพระบารมีพากันวิ่งหนี กองทัพแตกกระจายสภาพไม่ต่างจากฝูงเนื้อแตกหนีราชสีห์พระเจ้ากุสราชจับกษัตริย์ทั้ง ๗ นครไว้ได้โดยง่าย ท้าวสักกเทวราชเสด็จมาอวยชัยและประทานแก้วมณีให้ดวงหนึ่ง จากนั้นพระเจ้ากุสราชก็นำกษัตริย์ ๗ นครมาถวายพระเจ้ามัททราชเพื่อลงพระอาญา พระเจ้ามัททราชตรัสว่ากษัตริย์ ๗ นครนี้ไม่ได้เป็นศัตรูของพระองค์ แต่เป็นศัตรูของพระเจ้ากุสราชโดยตรง ขอให้พระเจ้ากุสราชเป็นผู้ตัดสินพระทัยเอง

    พระเจ้ากุสราชจึงกราบทูลว่า กษัตริย์ ๗ นครนี้เป็นขัตติยชาติ มีความองอาจห้าวหาญไม่แพ้ใครในชมพูทวีป หากพระองค์ประทานพระธิดาอีก ๗ องค์ให้แก่กษัตริย์เหล่านี้ก็จะเป็นการผูกสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน ซึ่งพระเจ้ามัททราชก็ตกลงและจัดพิธีอภิเษกสมรสให้

    หลังพิธีอภิเษกสมรสกษัตริย์ ๗ นครกับพระธิดาทั้งหลายแล้ว พระเจ้ากุสราชจึงพาพระนางประภาวดีเสด็จกลับกุสาวดี ทั้งสองพระองค์ประทับนั่งเคียงข้างกันบนราชรถ และด้วยอานุภาพของแก้วมณีขององค์อัมรินทร์ พระรูปโฉมของพระเจ้ากุสราชก็หายอัปลักษณ์ แต่กลับงดงามดังเทพบุตร เหมาะสมกับพระสิริโฉมอันงดงามของพระนางประภาวดีผู้เป็นพระชายายิ่งนัก

    เมื่อพระเจ้ากุสราชและพระนางประภาวดีเสด็จกลับถึงกุสาวดีนครแล้ว ก็ได้จัดงานเฉลิมฉลองตลอด ๗ วัน แล้วทั้งสองพระองค์ก็ร่วมกันปกครองกุสาวดีให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปอีก ทรงให้ทาน รักษาศีล บำรุงสมณะชีพราหมณ์ ช่วยกันสร้างสมกองกุศลด้วยความศรัทธาเสมอกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 กรกฎาคม 2014
  14. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    พระสูตรเรื่องนี้ เป็นแบบอย่างสอนใจหลายเรื่องเป็นอย่างดี ผมเองก็เคยประดาบดวลกระบี่ กับน้องนางที่ว่าอวดดี หากไม่เกรงใจกฏแห่งกรรม จะตวัดปลายกระบี่ตัดหางเปียทิ้ง สั่งสอนคนที่มีมานะถือตัวจัดให้ไปตลาดไม่ได้ไปนาน แต่ก็อย่างที่บอก ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ไม่ได้ทำโชว์สาว ทำบูชาครูบาอาจารย์ นั่นก็หมายความว่า หากจะทำอะไรที่เป็นความดี เป็นการทำเพื่อบูชาพระคุณของครู เพราะฉะนั้นแม้จะสะพายดาบ สะพายกระบี่ มันมีไว้สำหรับคุ้มกันนางแก้วของตัวเอง น้องนางอื่นๆไม่จำเป็นต้องเดินหลบทางไม่ได้ดุร้ายอย่างที่บางคนเข้าใจ ผ้าถุงหลุดกองกับพื้น ยังเคยตวัดกระบี่เอาผ้าไปคลุมให้มาแล้ว เมื่อคลุมให้เสร็จไม่หันไปมองด้วยซ้ำ เพราะที่ทำนั้นทำถวายครูบาอาจารย์ ไม่ได้ทำให้แค่น้องนาง การที่ทำแบบนี้ มันก็ต้องมีสักวันที่เมื่อต้องคับขันจนมุมขึ้นมาจริงๆไม่ว่าเรื่องใด เทพเจ้าเหล่าเทวาทั้งหลายก็ได้รับรู้และเห็นมาแล้ว ทีนี้ที่เหลือก็เป็นเรื่องของท่านไม่ใช่เรื่องของผม

    จะเก่งกล้าท้าทายยังไงก็ต้อง เผื่อถอยไว้บ้าง หากไปเจอเอานักเลงจริงเข้าไม่มีทาง และไม่มีวันสู้เขาได้เลยเพียงเขาจะทำหรือปล่าวเท่านั้น

    กลับดึกอีกแล้วสองแก้วต้องมาส่งข้าว แล้วก็รับกลับบ้าน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF4097.jpg
      DSCF4097.jpg
      ขนาดไฟล์:
      65.7 KB
      เปิดดู:
      87
    • DSCF4098.jpg
      DSCF4098.jpg
      ขนาดไฟล์:
      64.2 KB
      เปิดดู:
      75
    • DSCF4101.jpg
      DSCF4101.jpg
      ขนาดไฟล์:
      66.4 KB
      เปิดดู:
      72
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 สิงหาคม 2014
  15. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    เดี๋ยวพอมีเวลาจะมาต่อเรื่องมีมานะถือตัวถือตน อย่างที่พี่ว่า คงไม่ต้องละมานะขนาดถือชามข้าว เอาช้อนซ่อมทิ้งไป เอาไปวางหน้าบ้าน เคาะชามข้าวแก๊งๆเป็นสัญญาณให้พี่หมามารัปทานข้าว แล้วเราก็ฟัดน้ำข้าวรางเดียวกับพี่หมา มันก็ต้องเหลือไว้บ้างแค่ไว้ป้องกันตัว ป้องกันหมู่คณะนั่นแหละพี่ ฟัดน้ำข้าวรางเดียวกับพี่หมา เราไม่อายใคร ไม่รังเกียจ แต่หมู่ญาติ พรรคพวก แม้น้องนางแก้วนี่อายชาวบ้านเขา

    รางน้ำข้าวหมามันหาดูยากสมัยนี้ ต้องชนบทจริงๆจึงพอหาได้ ก็ดูของน้องแมวผมไปพรางๆก็แล้วกัน รางอาหารน้องแมวผลิตจากท่อสแตนเลส เกรดพิเศษที่ใช้กับท่อก๊าสแรงดันสูง Stainless Duplex 23 โครเมี่ยม มีMaterial certificate และเชื่อมโดย Hight qualified welder คนเดียวกันกับที่เชื่อมท่อในอ่าวไทย นั่นเอาเข้านั่น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCN7598.JPG
      DSCN7598.JPG
      ขนาดไฟล์:
      6.2 MB
      เปิดดู:
      70
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 สิงหาคม 2014
  16. Armarmy

    Armarmy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +1,659
    ตัวผมน่ะ เคยไปกินข้าวที่โรงทาน วัดท่าซุงนี่แหล่ะครับ ครั้งแรก

    ที่ผมบอกว่าไม่อยากขุดคุ้ย เพราะผมน่ะเกรงจะเสียกำลังใจของผู้ที่เขาทำบุญจุดนี้

    และ ผมเองก็ไม่ได้ติดใจอะไรกับเรื่องนี้ เพราะเข้าใจเต็มที่กับเรื่องนี้

    แต่ไหน ๆ ก็เล่าถึงตัว มานะ แล้วก็คงต้องเล่าให้ลองพิจารณากันดู

    โรงทานวัดท่าซุงอาหารเขาดีมาก เรียกว่า มีใช้บริการไม่ขาดสายทีเดียว

    ผมเองก็ไปลองดูว่าเป็นไง ไม่เคยไปกินสักที เคยแต่เดินผ่านไปผ่านมา

    ปกติผมก็ซื้อกินเองและก็มีผู้เลี้ยงอยู่เสมอ

    วันนั้นไปกิน แล้วก็กลับมาพัก เสียงลอยมาเลยครับ

    "เอ็งอยากเป็นขอทานหรือ จึงไปนั่งกินโรงทาน"

    ผมก็ตกใจตอบไปว่า "ที่ไปกินเพราะอยากทราบว่าโรงทานของวัดเป็นยังไงครับ"

    "แล้วเอ็งไม่มีกินหรือจึงต้องไปกินโรงทาน โรงทานเขามีไว้สำหรับคนไม่มี ถ้าเอ็งอยากเป็นขอทาน ก็ไปนั่งกินต่อไป"

    ผมนั่งเงียบ จำนน ด้วยเหตุผล ก็ลองพิจารณากันดูนะครับ

    ว่าเรื่องเพียงเท่านี้ ยังมีจุดให้ท่านผู้ใหญ่ตำหนิมาถึงเพียงนี้

    ทั้ง ๆ ที่ ปกติส่วนใหญ่คนที่ไปวัด เขาก็นั่งกินกันเป็นปกติ แล้วทำไมผมทำแบบเขาไม่ได้ ทำแล้วโดนด่าเช็ดเลย

    เรื่องบางอย่าง ถ้าเราไม่ละเอียดละออ จริง ๆ อย่าไปชี้วัดเลยครับ

    ผมทำแบบนั้นก็เหมือนไม่เห็นแก่ผู้ใหญ่ เพราะท่านสั่งให้ผมไปอยู่วัดตอนนั้น

    และท่านก็บอกว่า เรื่องทุกอย่างเป็นธุระของท่านเองสั่งกระทั่งว่า ไปกินข้าวที่ไหน นอนที่ไหน

    เรื่องของผมนี่ เหมือนโดนจัดให้ทุกอย่าง ทางสะดวก ไม่มีใครขัดคอเลย

    (ขอวงเล็บว่า ท่านผู้ใหญ่ที่ว่า ไม่ใช่คน และถ้าท่านรู้จักพระอินทร์ ก็ควรจะรู้จักผู้ใหญ่ท่านนี้เป็นอย่างดี)

    ลองพิจารณากันดูว่า เรื่องนี้มองหยาบ ๆ ก็ มานะ ถือตัวจัดชัด ๆ ถึงขนาดไม่ให้ไปรับประทานอาหารที่โรงทาน

    แต่ลองมองละเอียด ๆ ท่านจะเห็นตัว เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เหมือนกัน


    เจริญในธรรมทุกท่านครับ
     
  17. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ก็ปล่อยให้พี่Amarmyนั่งกินข้าวราดแกงที่โรงทานวัดท่าซุงไปพรางๆก่อน เดี๋ยวผมขอเวลาไปเข้าแถวรับข้าวแกงพร้อมน้ำหนึ่งแก้วแล้วมานั่งคุยต่อนะพี่ ผมเองไม่ค่อยเคยโดนย่า หรือยาย ดุเอาเท่าไร เพราะได้ไปช่วยงานเขาที่โรงทานก่อนแล้ว ก็ช่วยเขาทั้งตั้งเสากางเต๊นเก็บกวาดล้างเช็ดถู ทั้งตั้งตู้ใส่สตางค์เผื่อว่าคนที่เขามีสตางค์เขาก็จะได้ใส่ตู้ เป็นค่าอาหารตามแต่กำลังของเขา เพื่ออานิสงค์ของทาน เผื่อว่าโชคดีบังเอิญฆราวาสที่รับอาหารในโรงทาน ท่านเป็นพระอริยะเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป จนถึงพระอนาคามี ทานนั้นจะมีอานิสงค์แก่เจ้าของทานเป็นอย่างมาก

    ผมเองนั้นเคยเป็นทั้งเจ้าของทาน และผู้รับทาน เจ้าของทานคือ มีข้าวสารอาหารแห้งอะไรก็ตามแต่ ที่เรียกว่าได้มาประสายากผมก็นำเอาไปช่วยที่โรงครัว
    กินข้าวกินน้ำของโรงทานแล้วก็เอาสตางค์ใส่ไปในตู้กองทุนค่าอาหาร เกินกว่าราคาอาหาร เสร็จแล้วก็มองหลวงพ่อ หลวงพ่อก็บอกว่าอานิสงค์ที่ทำแบบนี้น่ะก็แบบท่านวิสาขา คือจะได้ จะมีอะไร ที่เกินกว่าต้องการเสมอ

    ตอนที่ท่านวิสาขาแต่งงาน ท่านพ่อของท่านให้ ช้าง ม้า วัว ควาย ข้าทาษบริวาร ไปเป็นทุนอย่างละห้าร้อย เมื่อไปเข้าจริงๆ ปรากฏว่าวัวควายที่ยังเหลืออยู่ พากันปีนคอก กระโดดออกไปจากคอกติดตามเพิ่มเติมตามไปอีกเป็นจำนวนมาก นี่คืออานิสงค์พิเศษ ของท่านวิสาขา

    ความเป็นพิเศษหากว่าเราไม่ฉลาดเกินไปเราก็จะเห็นว่ามีอยู่ทั่วไป หลวงพ่อท่านพูดถึงความเป็นพิเศษบ่อยมาก

    ก็เป็นห่วงคนที่แสลงกับคำว่าพิเศษ อย่าไปเผลออยากได้ทีหลังก็แล้วกันมันจะอายเขา พี่Armarmy เราก็ปรารถนามันส่งเดชไปก่อน ไปถึงหรือไม่ถึงค่อยว่ากันทีหลัง ตอนนี้ผมก็เห็นว่ามีหลายคนแล้วที่ต้องการความดีกันในระดับพิเศษ เราตั้งใจกันไว้แบบนี้ ผมเองก็โมทนาสาธุการยินดีเป็นอย่างยิ่งกับทุกท่าน ไม่ได้เคยคิดว่าเขาจะดีกว่าเหนือกว่า แล้วอายเขาอิจฉาเขาอันนี้ไม่มี ใครเขาดี ก็ยินดีอย่างยิ่งจะได้เอาเป็นแบบเอาเป็นเยี่ยงอย่าง

    อานิสงค์ของผมก็ส่งผลปัจจุบันเหมือนกัน ขอน้องนางแก้ว จากหลวงพ่อหนึ่งแก้ว แต่เมื่อมีแก้วนี้มาแล้ว แก้วอื่นๆก็ตามมาเองทีหลัง หลวงพ่อบอกขอได้เอาไปได้พ่อไม่ว่า แต่ห้ามเอามาคืน เอามาคืนเมื่อไรเป็นโดนฟาดกบาล

    ก็มีหลายนางจนผมจำไม่ได้ที่ผมถวายสังฆทานทับตามหลังเขา ที่วัดท่าซุงนี่แหละ ไอ้น้องนางที่บางคนอวดมานะถือตัวจัดนี่ผมขอจะเอาไปดัดนิสัยให้กวาดอยากเยื่ออยากไย่ หาบน้ำตำข้าว ลดความมานะทิฐิลงเอง ก็เล่นเอาเจ้าตัวร้องลั่นแงๆไปหลายคน ขอยอมซะตั้งแต่ยังไม่ต้องส่งไม้กวาดให้

    ผมเองเมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อบอกมาอย่างนี้ ก็เลยเป็นทั้งเจ้าของทาน แล้วก็ไปต่อท้ายแถวเขาเพื่อรับบริจาคทาน แหมแต่ทุกเที่ยวไม่เคยมีใครเอานางแก้วมาบริจาคสักครั้งเดียว ต้องไปขอกับหลวงพ่อเอาเองถึงได้มาซะจนไม่มีปัญญาดูแลเขา ต้องกลายเป็นพวกเขาดูแลผม แถออกไปเรื่องนางแก้วอีกแล้ว

    กลับมาเรื่องมานะทิฐิ การถือตัวถือตนเกินพอดีตามหลักสังโยชน์

    นี่ไปยืมรูปเขามา การหาบน้ำ แล้วก็ตำข้าว คนจนสมัยก่อนกว่าจะได้ข้าวเปลือก ไปทำเป็นข้าวสาร จากข้าวสารไปหุงเป็นข้าวสุก มันไม่ง่าย มันไม่มีเซเว่นอย่างในปัจปัน น้ำดื่มน้ำใช้ ไม่ได้เปิดก๊อก แล้วมีน้ำอุ่นน้ำร้อนอาบอย่างปัจจุบัน นางแก้วสมัยก่อนของผมเขาจึงเสงี่ยม เจียมตัว สมถะมักน้อย

    เดี๋ยวมาต่อนะพี่ ขอทำงานใช้หนี้ค่าข้าวเขาก่อน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • vung43.jpg
      vung43.jpg
      ขนาดไฟล์:
      89.3 KB
      เปิดดู:
      196
    • DSC02791.jpg
      DSC02791.jpg
      ขนาดไฟล์:
      80.5 KB
      เปิดดู:
      98
    • Image.jpg
      Image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29.7 KB
      เปิดดู:
      113
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 สิงหาคม 2014
  18. 26

    26 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +374
    เห็นเเต่ละคนพูดถึงเเต่นางเเก้ว ก็กระทู้นางเเก้วนี่เนาะ ลุงpco นางเเก้วสอง
    โพธิสัติอยากมีเมียนี่นะ ได้ความรู้เรื่องนี้ไปละ ผม31ละยังไม่เจอเลยนางเเก้ว จะเจอทีไรเหมือนมีคนกันออกซะงั้น ไม่งั้นมีคนมาขอ ไอ้มาขอถ้าไม่หล่อสุดสุดก็รวยมากสู้ไม่ได้ตอนนั้น ล่าสุดตัดสินใจคนนี้ละ ท่านย่ามาเลยมาเข้าฝันบอกเขามีลูกเเล้วนะจะเอาเหรอ มาบอกสองครั้งทำรูปลูกชายเค้าให้ดูด้วย เรานึกว่ากุมารทองตื่นมาเจ็ดโมงเช้า โทรถามผู้หญิงตอนเดี๋ยวนั้นเลย เขาก็ไม่ยอมรับว่ามีลูกเค้าบอกไม่เคยมีเเฟน วันนึงโทรไปหาผู้หญิงเเต่เด็กรับเเละบอกเป็นลูก เเล้วเด็กที่บ้านบอกเป็นลูกนั่นใครฟะ เด็กยังบอกอีกเเม่เลิกกับพ่อหลายปีเเล้ว ช้ำใจไปอีกห้าเดือนมโนมีไม่ใช้ดูสม ท่านย่าเเน่นอนจริงจริงความรู้สึกบอกเป็นท่านเเม่มากกว่า หลายครั้งที่ท่านมาบอกข้างหูเลยไม่ฝัน ถ้าไม่เชื่อนี่เจ็บเลย อย่างของจะหายท่านจะบอกก่อนจะมีคนมาลักให้เก็บให้ดีดีถ้าไม่เชื่อไม่เก็บนี่หายเเน่ ความจริงถามท่านนะเรื่องคู่ทำไมให้รอนานจัง เเต่ท่านก็บอกถ้าได้น้องให้ดูเเลดีดีเเต่ให้รอก่อน
    ปีหน้า น่าจะรวยคงได้เจอกันอีกไม่นาน สงสัยอยู่ที่ผมเอง ไม่รวยไม่ได้เจอดูท่าน้องคนนี้พ่อเเม่คงดูเเลดี ก็เเปลกคนธรรมดาเอาไม่ได้ท่านย่ากันไว้ต้องน้องคนนี้เท่านั้น
     
  19. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ก็ถือซะว่าไม่แปลกที่น้องหญิงที่คุณน้อง26จะผ่านการแต่งงานมาแล้ว เราก็มองย้อนอดีตพระเจ้าแม่พิมพา ก่อนเสวยพระชาติเป็นพระนางเจ้าสุภาวดี ท่านเป็นพี่สะไภ้มาก่อน เพราะเหตุที่นำขนมของน้องชายสามีไปถวายพระปัจเจกะพุทธเจ้า จึงเป็นเหตุให้ท่านกลายมาเป็นพระนางแก้วคู่พระบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธพระองค์ปัจจุบัน หลังจากชาตินั้นมาจนอวสาน

    ที่ผมพูดกับเขาเรื่องนางแก้วก็เพราะว่า มีส่วนที่ต้องเกี่ยวข้องกับน้องนางที่เรียกกันว่านางแก้ว ทั้งแก้วในระดับคู่บารมีพระโพธิสัตว์ แล้วแก้วระดับทั่วไป เรียกว่าแก้วฉะเพาะกิจก็ยังได้ แม่ดีเราเรียกแม่แก้ว พ่อดีเรียกพ่อแก้ว ลูกดีเรียกลูกแก้ว เพื่อนดีเรียกเพื่อนแก้ว เมียที่ดีเรียกว่าเมียแก้ว แก้วแปลว่าดี แปลว่าประเสริฐ ในส่วนตัวของผม ผมก็ต้องการหนีความชั่ว ละเว้นความไม่ดีเท่าที่จะทำได้ แล้วเข้าหาดี เข้าหาความดีกับเขา ในเมื่อคนอื่นมีดี มีแก้วได้ ผมเองมันก็ไม่ใช่ตัวคนเดียว มันมีหมู่คณะญาติมิตร ส่วนตัวแค่พอมีกินไปวันๆ แล้วก็รอวันที่จะตายจากโลกนี้ไป มันก็มีความรู้สึกไม่เดือดร้อนอะไร แต่เพราะมีหมู่ญาติ มีคณะคนที่เกี่ยวข้องไม่น้อย มันทำให้ต้องมีหน้าที่ เมื่อมีหน้าที่มันก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วยิ่งคนที่ปรารถนาพระโพธิญาณ หน้าที่มันก็ยิ่งมาก คำว่าดีระดับแก้วสำหรับผมเองผมก็ต้องเข้าหา แต่เมื่อเวลาที่ผมพูดผมจะพูดแค่แก้วของผม ใครเขาดีต่อผมเขาก็เป็นแก้วสำหรับผม

    เรื่องนางแก้วระดับคู่บารมีพระโพธิสัตว์ ในเว๊ปพลังจิตนี่ก็มีคนพูดถึงกันมากในหลายๆกระทู้ เท่าสังเกต ก็พูดกันในเขต ปริยัติ พูดในแง่ทษฎีเป็นส่วนมาก พูดกันแบบวิชาการซะมาก คนที่่ปรารถนานางแก้วก็ไม่น้อยที่ประกาศตัวในเว็ปนี้ ทีนี้ธรรมดานั้นไม่ว่าเรื่องอะไร มันจะเกิดผลขึ้นมาได้ มันก็ต้องลงมือประพฤติปฏบัติ จึงจะมีผลเรียกว่าผลของการปฏิบัติ มันต้องวัดกำลังใจกันเมื่อเจอของจริง


    บางคนนั้นแค่ตั้งความปรารถนา ก็ตั้งกำลังใจไว้แล้วว่าจะต้องเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้นจึงจะได้ จึงจะใช่ จึงจะถูก จึงจะเป็น เมื่อกำลังตั้งไว้แล้วแบบนี้ จะเป็นแก้วใหญ่คู่บารมีได้อย่างไร แม้เป็นแก้วรองๆก็ลำบาก แก้วท้ายสุดก็ลำบาก หากว่าชาติใดชาติหนึ่งต้องไปเป็นกษัตริย์ เป็นผู้นำมวลชน หากใครนำลูกหลานมาถวายเป็นบาทจาริกา สวามิภักดิ์ เมื่อพ่อแม่เขากลับไป คงลงมือฆ่าบาทจาริกาเหล่านั้นหมด หรือไม่ก็น้อยใจ กลายเป็นเป็นชิงชังแล้วก็ฆ่าสามีในที่สุด องค์สมเด็จพระองค์ปัจจุบันสมัยเสวยพระชาติเป็นพยาช้างฉัตรทัน ก็ต้องตายและก่อนตายก็ให้อภัย ทั้งยังสละงาทั้งคู่ให้กับเมียที่ส่งคนให้มาฆ่า พระองค์ก็ต้องตายลงจากหมู่โขลงช้างถึงแปดหมื่นสี่พันเชือก พร้อมทั้งต้องจากแม่ใหญ่พระนางเจ้าพิมพาราชเทวีที่ดวงหทัยแทบแหลกสลาย ต้องอยู่ดูแลโขลงเพียงลำพัง ตัวอย่างก็มีมาแล้ว น้องนางใหนก็อย่าเดินซ้ำรอยที่จะไปสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวให้ใคร หากใจไม่ถึง ก็ทำอย่างอื่นได้เป็นอย่างอื่นได้

    สำหรับผมไม่เคยกลัวว่าเมียตัวเองจะฆ่าทิ้ง วันหนึ่งหากกฏแห่งกรรมมันบันดานก็เต็มใจ บันทึกฝากไว้ให้โลกรู้ให้ทุกนางแก้วของผมรู้ ต่อให้มีมากกว่านี้อีกเป็นแสนเท่า เป็นโกฏเท่าก็บอกไม่ได้ว่ารักคนใหนมากกว่าคนใหน ความรักเมตตาเอ็นดู รวมทั้งในแบบพรหมวิหาร มันรักในคุณธรรมความดี จริยาดี กิริยามารยาทดี ความประพฤติปฏิบัติ ที่มันดูงามดูดี ดูเรียบร้อยงดงามจึงรัก ไม่ได้กับแค่รูปร่างหน้าตาแล้วจะสนใจ ประเภทสวยแต่รูป กลิ่นไม่หอมหวลเย็นใจแบบดอกมะลิ แม้วางอยู่ข้างๆก็คงไม่หยิบขึ้นมา อย่าลืมกันว่าคนเรา ที่ระดับปรารถนาพระโพธิญาณนั้น มีดีพอที่เรียกว่าดอกฟ้ายังต้องโน้มกิ่งลงมาแม้แค่เดินผ่าน ผมเองบุญพิเศษฉะเพาะแบบนี้ก็ทำไว้ไม่น้อย เอาไว้ดัดนิสัย คนที่จะเกเร ข่มเหง หมู่คณะ เอาไว้ปราบลูกศิษย์ในฐานะคนที่เรียนวิชาครู
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 สิงหาคม 2014
  20. pco-

    pco- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2010
    โพสต์:
    2,162
    ค่าพลัง:
    +12,252
    ต่อเรื่องนางแก้ว

    สำหรับผมจะขอบันทึกฝากไว้เป็นลายลักษอักษรอีกครั้งผมเองไม่ถือว่าตัวเองเป็นพระโพธิสัตว์ เพราะดูแล้วความดีต่างๆที่สะสมมามันยังไม่ดีพอ จะถือว่าตัวผมเองเป็นเพียงแค่คนที่ปรารถนาพระโพธิญาณในแบบวิริยาธิกะพิเศษเท่านั้น มันทำให้ผมค่อยหายใจสะดวกหน่อย ฉะนั้นใครก็ตามอย่าเอาผมไปวัดความดีกับใคร ผมเองไม่วัดกับใคร ทำตามตำราคำสอนสถานเดียว ที่เป็นสมบัติพ่อให้ ส่วนจะได้จะถึงแค่ใหนพ่อคนเดียวเท่านั้นที่รู้

    ก็มาเรื่องนางแก้วกันต่อ ในส่วนของผมมันเป็นแก้วในระดับปฏิบัติ ก็เลยคุยกับคนอื่นเขาแบบคนที่กำลังปฏิบัติ พอเอานางแก้วของผมหลายๆนางมาเล่าให้ฟังตามตำราก็ปรากฏว่านักตำราทั้งหลายที่อ่านตำรา มาแค่ส่วนเดียวทำท่าพะอืดพะอม จะคายของเก่า กลับไปศึกษาอ่านตำรานางแก้วกันให้ดีก่อน ผมเองอ่านตำราพุทธภูมิผมก็ทำตามแนวทางพุทธภูมิ

    คนที่ปรารถนานางแก้วระดับคู่บารมีพุทธภูมิแล้วก็เป็นแก้วดวงเอก คนอื่นเป็นอย่างไรผมไม่รู้

    แต่แก้วของผมเขาอ่าน เขาศึกษาคุณสมบัตินางแก้วคู่บารมีระดับแก้วดวงเอก แก้วดวงรอง แก้วอื่นๆที่เขาปรารถนาของเขา หากเขาต้องการระดับเอก เขาก็พอใจในการสั่งสมฝึกฝนกำลังใจระดับเอก หากเขาพอใจระดับรองเขาก็ฝึกฝนใจสั่งสมบุญทานกองการกุศลระดับรองของเขาเองไม่ใช่ผมจะเป็นคนไปจัดอันดับ ใจ ภาระหน้าที่เป็นตัวจัดอันดับ ก่อนจะไปเรื่องอื่นขอนำภาระหน้าที่บางเรื่องบางอย่างของแก้วใหญ่มาลงรูปให้ดูในกระทู้นี้อีกครั้ง

    อันดับแรกกำลังใจนางแก้วจะว่าไงอยู่ๆเพื่อนรักของตัวเองมาจับมือจ้องหน้านิ่ง นั่งข้างล่างกับพื้นขออยู่ในฐานะเมียร่วมสามีด้วยคนของเป็นแค่รอง กำลังใจคนที่เป็นแก้วใหญ่จะว่าไง คนอื่นนี่ผมไม่รู้ แก้วของผมยิ้มรอผมกลับมาจากทำงานแล้วเล่าเรื่องราวให้ฟัง แล้วก็ถามเขาต่อหน้ากัน เขาบอกว่าแล้วแต่พ่อ ผมก็โยนกลับแล้วแต่เขาสองคนก็แล้วกัน รองอันดับหนึ่งนี่ตอนนี้อยู่ในกรุงเทพนี่แหละ ขออย่าลงรูปเขา อาจจะนั่งเล่นข้างๆใครก็ได้ที่บ้านซอยสายลม หรือที่วัดท่าซุง น้องนางนี้จีนทั้งพ่อทั้งแม่

    ไล่มาจนแก้วเล็กที่เขาพอใจในความเป็นแก้วเล็กของเขา พอใจในหน้าที่ของเขา ให้ทำหน้าที่ระดับแก้วใหญ่เขาก็ไม่เอา เป็นน้องดีกว่าไม่ต้องภาระมากอย่างพี่ใหญ่

    แต่สำหรับผมเองแค่คนใดคนหนึ่งก็พอใจมากแล้ว ความดีของพวกเขา หัวของผม ดวงตา แม้ดวงใจก็ให้พวกเขาได้ คนเราจะรู้กันได้มันต้องคลุกกันด้วยของจริง สัมผัสกันด้วยการปฏิบัติ นางแก้วของผมแต่ละนางแก้ว เมื่อจะดวลกระบี่กับใครเขาก็พร้อม ไม่ใช่แก้วประเภทบอกว่าไม่กลัวอะไร ไม่กลัวตายไม่กลัวความยากลำบาก แต่พอคู่ต่อสู้แทนที่จะดึงกระบี่ออกมาดวล คู่ต่อสู้แค่จับหางจิ้งเหลนดึงออกมา คนที่ประลองกระบี่เห็นเข้า ก็ทำท่ามือไม้อ่อน ยิ่งคู่ต่อสู้ทำท่า ว่าจะโยนจิ้งเหลนใส่ก็เป็นลมไปก่อนที่จะดวลกระบี่ โถ จอมยุทธหญิง ลมใส่ไปแล้วตั้งแต่เห็นจิ้งเหลน โชคดีที่แก้วของผมส่วนมาก เป็นเด็กบ้านนอกลูกชาวไร่ ชาวนา ลูกกรรมกร แล้วเข้าไปเรียนในเมือง แล้วไม่หลงแสงสีในเมือง เขาเลยไม่ค่อยกลัว จิ้งจกตุ๊กแก แมลงสาป หรือจิ้งเหลน เขารู้ว่าจะทำอย่างไร หากประจัญหน้าแมลงสาบชนิดระยะเผาขน

    เสียดายที่รูปเก่าๆสมัยใช้ฟีลมมันเสียหายไปมาก ไม่อยู่บ้านปีกว่าทั้งตำราต่างๆทั้งรูปถ่ายทั้งฟีลมถูกปลวกมันแทะเล่น ก็ขอจำภาพเหล่านั้นไว้ในดวงใจ

    มีไม่มากรูปที่คนเป็นแก้วใหญ่ต้องทำหน้าที่ เอาแค่ดูแลลูกๆของแม่อื่นก็แล้วกัน แก้วใหญ่จะต้องกำลังใจแบบใหน ทำไมบางคนพอจะต้องแบกภาระแบบพี่ใหญ่ เห็นงานของพี่ใหญ่เข้าจริงๆ ร้องโอยขอเป็นน้องดีกว่า ไม่ต้องตื่นนอนตั้งแต่ตีสี่ตีห้า รีบลุกขึ้นหุงข้าวทำกับข้าว เตรียมให้ทุกคน เตรียมทั้งใส่บาตรพระเสร็จงานนี้ตั้งพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น คนบ้านนอกจะซึมซับเรื่องพวกนี้ได้ดี

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 สิงหาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...