การปราถนานิพพาน ทำให้ทรัพย์สินเราในปัจจุบันหมดลงไปด้วยหรือไม่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย nongnewinbkk, 8 สิงหาคม 2014.

  1. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    การที่เราปราถนานิพพาน เวลาที่เราปฏิบัติธรรม สวดมนต์ภาวนา ขอให้เราได้ไปนิพพานนั้น ท่านคิดว่า มีส่วนทำให้ทรัพย์ที่เรามีอยู่นั้น หมดไปด้วยหรือไม่คะ ไปอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่ง บอกไว้ว่า เวลาที่เรา สวดมนต์ ขอพรให้ได้เข้าสู่นิพพาน หากขอพรเช่นนี้ ทรัพย์ที่เรามีอยู่ก็จะหมดลง ซึ่งอ่านดูแล้วก็แปลกๆ ไม่ค่อยเชื่อนัก แต่เมื่อได้ปฏิบัติธรรม เคยพูดไว้ว่า ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าสู่นิพพานด้วยเทอญ

    หลังๆมานี้ ทรัพย์มีเท่าไหร่ ก็ต้องหมดไปจริงๆคะ เงินเดือนออก ก็มีเรื่องให้ต้องได้จ่ายเงินนั้นจนหมดเกลี้ยงเลยคะ

    บางครั้งก็ต้องอยู่อย่าง อดๆ ไม่มีจะกินเลย ก็เจอมาแล้วคะ

    เคยแม้กระทั้ง มีแค่ข้าวสารเก่าๆ ที่มอดเจาะแล้ว เป็นเศษข้าวสารที่เราเก็บไว้ เพราะไม่อยากทิ้ง เผื่อไว้ได้เอาไปให้นก ให้ไก่ ไม่น่าเชื่อว่า เราจะต้องได้เอาข้าวสารถุงนี้ มาต้มใส่น้ำเยอะๆ เพื่อกินประทังความหิว เพื่อรอเงินเดือนที่ออกในงวดต่อไป

    ทั้งๆที่เรา ไม่ได้ใช้เงินแบบสุรุ่ยสุร่าย ใช้เงินแบบประหยัดมาก แต่ท้ายที่สุด ก็มีเรื่องให้ต้องได้จ่ายเงินนั้นไป ด้วยความจำเป็น และเราก็ต้องอดเอาอย่างนี้

    มันเลยทำให้ชักไม่แน่ใจคะว่า เวลาที่เรา สวดมนต์ ภาวนา ขอพรให้เราได้พบนิพพาน จะทำให้เราไม่มี หรือ ไม่เหลือทัพย์เลยเช่นนี้หรอคะ
     
  2. yooyut

    yooyut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +1,154
    เท่าที่เคยพบ ในท่านที่ปรารถนานิพพาน ก็มีเหมือนกันที่ท่านจะบำเพ็ญกรรมฐานในข้อ "จาคานุสติกรรมฐาน" (กรรมฐาน ๑ ในกรรมฐาน ๔๐ กองที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแนะนำไว้) อย่างเคร่งครัด ก็จะทำให้ท่านมีความตั้งใจบริจาคทรัพย์ของท่านเพื่อการกุศล อย่างนี้ก็มีผลทำให้ทรัพย์ของท่านผู้ปรารถนานิพพานนั้น ร่อยหรอลงได้

    นอกจากนี้ ยังไม่เห็นความเกี่ยวเนื่องอย่างชัดๆ ในประเด็นนี้ นอกเสียจากว่า คุณจะมีกรรมผูกพันมาแต่อดีต ที่ทำให้ต้องเสียทรัพย์ ก็อาจมีผลทำให้ทรัพย์ของคุณ ร่อยหรอลงได้เช่นเดียวกัน

    เรื่องกรรม เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ลึกซึ้ง กรรมแต่ละอย่างล้วนถักทอประสานกันจนยากจะแยกแยะว่าอะไรเป็นอะไร ดังนั้น ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ที่ควรต้องกล่าวถึงไว้ ส่วนทางแก้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการไม่พยายามสร้างกรรมใหม่ ให้เพิ่มมากขึ้น นั่นเอง

    ในส่วนของทรัพย์ในปัจจุบัน เสนอว่าควรยึดหลักการจัดการทรัพย์ ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้สอนไว้ คือตามหลัก โภควิภาค ๔ ซึ่งเป็นหลักการจัดการทรัพย์ที่ได้มาโดยชอบ โดยถือหลักการ แบ่งทรัพย์ที่ได้มา ออกเป็น ๔ ส่วน ดังนี้

    ๑) ๑ ส่วนใช้จ่ายเลี้ยงตน เลี้ยงคนที่ควรบำรุงเลี้ยง และทำประโยชน์
    ๒) ๒ ส่วนใช้เป็นทุนประกอบการงาน
    ๓) อีก ๑ ส่วนเก็บไว้ใช้ในคราวจำเป็น

    หากทำได้ตามนี้ ย่อมยังประโยชน์ในปัจจุบันให้คุณเจ้าของกระทู้ ได้ดำรงชีพอยู่ได้อย่างไม่ลำบากมากเกินไปนักนะครับ

    ขอฝากไว้ให้พิจารณาต่อไปครับ
     
  3. ZIGOVILLE

    ZIGOVILLE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +792
    ท่านอาจารย์ yooyut ได้อธิบายไว้ดีแล้วในเรื่องหลักธรรม...ว่ากันไปตามนั้น
    ส่วนทางโลกลองอ่าน "บริหารเงินให้เป็น" ได้ที่ลิงค์นี่ครับเผื่อได้ไอเดียดีๆhttp://www.moneymartthai.com/file/seminar1-2.pdf
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2014
  4. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    พอดีไปเจอบทความนี้เข้าคะ คงมีส่วน

    อาการที่เรียกกันว่า “ กระเป๋ารั่วเก็บเงินไม่อยู่” เข้ามือซ้ายออกมือขวานั้น เชื่อว่าหลายท่านคงจะประสบปัญหานี้ทั้งๆ ที่บางคนมีอุปนิสัยในการใช้จ่ายเงินอย่างประหยัด แต่เงินกลับไม่ค่อยเหลือมีเหตุสุดวิสัยให้ต้องจ่ายเงินออกไปอยู่ตลอดนั้น พบเห็นกันมากมาย ซึ่งขอให้พิจารณาจากกรรมเก่าและกรรมใหม่เป็นลำดับขั้นดังนี้

    เหตุจากกรรมเก่า
    กรรมในลักษณะนี้อาจเป็นเพราะในอดีตชาติหรือแม้แต่ภพชาติปัจจุบัน ต้องเคยไปหยิบยืมเงินใครมา แล้วไม่ยอมใช้คืนทำให้เจ้าของเขาเป็นทุกข์ร้อนและอาฆาตพยาบาทด้วยเหตุที่ยืมเงินแล้วไม่ยอมใช้คืน หรือ เคยทุจริตเงินทองของคนอื่น เช่นไปหลอกลวงเขา หรือให้เขาเสียผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งที่เขาควรจะได้ก็แอบไปเบียดบังมา เอาทรัพย์นั้นมาเป็นของตนโดยไม่ขออนุญาตเขาเสียก่อน คนที่ทำงานราชการจะเป็นกันมากที่ชอบเอาของหลวง อย่างพวกที่ทำงานโรงพยาบาลที่เอาสำลี ยามาใช้ที่บ้านหรือใช้น้ำมันหลวงมาใช้ส่วนตัว

    หรือชอบโกงเวลานายจ้าง งานเข้า 8 โมงก็มา 8โมงครึ่งแบบตั้งใจมาสายโดยไม่มีเหตุอันควร เวลาเลิกงาน 5 โมง แค่เกินมา 1 นาทีก็ไม่ได้ต้องรีบออกมาก่อน แอบเล่นอินเตอร์เน็ต แอบเล่นโปรแกรมต่างๆ เช่นพวกทวิสเตอร์ เฟซบุ๊ค ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับงานเลย เมื่อมีคนอื่นเห็นก็รีบปิดหน้าจอ ทำเป็นแกล้งทำงานอยู่

    แอบใช้เวลาทำงานไปทำธุระส่วนตัวแล้วอ้างว่าไปทำงานให้บริษัท ทำทุกอย่างเพื่อเอาเปรียบนายจ้างทั้งๆ ที่เขาให้โอกาสให้เงินเลี้ยงชีวิต ซึ่งส่วนมากจะตอบว่า ฉันไม่ได้เงินมาฟรีๆ แต่ฉันทำงานแลกเปลี่ยน เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง แต่อย่าถามหน่อยว่า เราทำงานคุ้มค่ากับเงินที่นายจ้างให้หรือไม่ พิจารณาให้ดีในข้อนี้ถ้าไม่อยากสร้างกรรมมาหน่วงตัวเองไว้ไม่ให้เจริญหรือไม่มีเงินจะใช้จ่ายแบบที่ต้องการ แม้แต่ทางโลก คนที่มีนิสัยเอาเปรียบแบบนี้คงยากที่จะได้รับการส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้าได้

    บางคนแอบหลอกเบิกเงินเจ้านายเกินจริงหรือคดโกงเงินส่วนรวม ยิ่งเป็นเงินของแผ่นดิน บอกได้คำเดียวว่า ต่อให้มีเงินพันล้านก็หมดพันล้านหรืออาจจะหมดมากกว่านั้นเพราะเป็นดอกเบี้ยกรรม อย่างอดีตรัฐมนตรีท่านหนึ่งที่วันนี้เข้าใจในธรรม เข้าใจในเรื่องของกรรมและรู้ตัวสำนึกผิดแล้ว ออกมาเปิดเผยว่าเคยสร้างกรรมของแผ่นดินไว้มากมายหากินกับโครงการต่างๆ แม้ทำให้มีเงินมาก แต่สุดท้ายเก็บเงินบาปนั้นไม่อยู่ ไม่ว่าจะเอาไปซ่อนไปแอบที่ไหนตำรวจก็ตามไปเจอยืดกลับมาได้ สุดท้ายต้องถูกจับติดคุก พ้นคุกออกมาแล้วก็สำนึกผิดบวชกินข้าวแค่มื้อเดียว เดินตามรอยพระพุทธองค์ ที่เป็นทางสว่างแห่งแท้จริง

    หรือเด็กบางคนที่มีนิสัยชอบโกหกพ่อแม่ บอกขอเงินจะเอาไปทำอย่างหนึ่งแต่กลับไปใช้อีกอย่างหนึ่งเช่น ขอเงินพ่อแม่ไปจ่ายค่าเทอมแต่ขอมากกว่าค่าเทอมจริง ตั้งใจหลอกพ่อแม่ผู้ปกครองเพื่อเอาส่วนที่เหลือไปเที่ยวเล่นหรือใช้จ่ายส่วนตัว หรือเอ่ยปากขอยืมรถของพ่อแม่ไป บอกท่านว่าจะเอาขับไปเรียนหนังสือแต่ ถึงเวลากลับไม่เรียนขับรถหนีเที่ยว แบบนี้ก็เป็นทุจริตกรรม ย่อมมีผลให้ชาตินี้ทำให้ปัจจุบันนี้เราจึงมีปัญหาเรื่องเงินทอง เก็บเงินไม่อยู่ เป็นหนี้สิน หากเป็นกรรมที่หนักมาก ๆ ก็อาจล้มละลาย ถูกหลอก ถูกโกง ถูกเอาเปรียบเรื่องเงิน เสียผู้เสียคนยิ่งมีกรรมด้านอื่นด้วยแล้ว จะยิ่งหนักอีกหลายเท่า

    หรือในอดีตเคยทำแท้งหรือมีส่วนร่วมในการทำแท้งคือ ให้เงินคนอื่นไปทำแท้งทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ถ้ารู้แล้วยังให้เงินไปอีก รับรองว่ากรรมทางการเงินจะหนักมากเพราะ ถือเป็นการสนับสนุนการฆ่าสิ่งมีชีวิตที่ประเสริฐอย่างเด็กทารก ทำให้วิญญาณนั้นตามอาฆาตทำให้ต้องเดือดร้อนที่เหตุก็คือ เมื่อใช้ทรัพย์เพื่อฆ่าผู้อื่นตนเองก็ต้องเดือดร้อนเพราะทรัพย์คือหามาเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถเก็บทรัพย์ได้มีเหตุให้ต้องจ่ายทรัพย์หรือเสียเงินตลอดเวลา แม้ว่าในชาตินี้ไม่เคยทำแท้งหรือมีส่วนร่วมใดๆ แต่กรรมนั้นอาจจะมาจากในอดีตชาติที่เราไม่สามารถระลึกได้ จึงควรทำการแก้ไขเสียอย่าประมาท

    เหตุจากกรรมใหม่
    กรรมใหม่นั้นยังพอที่จะหาสาเหตุได้ง่ายกว่ากรรมเก่าในเรื่องของกรรมที่ทำให้เก็บเงินไม่เคยอยู่นี้ โดยขอกล่าวถึงในแง่นิสัยส่วนตัวเสียก่อน บางคนเก็บเงินไม่อยู่เองก็เพราะนิสัยชอบใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายได้เงินมาก็เอาไปใช้หมดเพื่อสนองปรนเปรอกิเลสตนเอง ถือความปรารถนาตนเองเป็นที่ตั้งเสมอเนื่องจากในวัยเด็กอาจถูกเลี้ยงดูมาจนเคยตัว พ่อแม่ตามใจจึงไม่ค่อยเห็นคุณค่าของเงิน ไม่รู้จักการเก็บออม

    วิธีแก้ไขในทางโลก
    การแก้ไขเรื่องนี้ต้องฝึกและแก้ที่ “ใจ” ก่อนอื่น เพราะใจที่หมกมุ่นในวัตถุภายนอกทำให้เกิดปัญหา โดยฝึกระงับความต้องการและต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ยกตัวอย่างเช่น เมื่อก่อนเคยชอบที่จะออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านเป็นประจำ ข้าวที่บ้านวัน ๆไม่เคยแตะ ก็ลองเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหันมาประหยัดขึ้น ลองซื้อมาทำเองปรุงเองที่บ้านและรับประทานพร้อมหน้าพร้อมตากัน หากลองทำบัญชีรับจ่ายในครอบครัวหรือบัญชีส่วนตัวก็จะพบว่าเงินที่เคยเสียไปกับเรื่องค่าอาหารนอกบ้านในแต่ละเดือนนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับการทำอาหารกินเองจะประหยัดและมีเงินเหลือมากแค่ไหน นี่กรณีของการฝึกประหยัดและเก็บเงินระมัดระวังเงินไม่ให้รั่วไหลทางหนึ่ง และยังได้สร้างความรักความเข้าใจในครอบครัวมากขึ้น

    แต่ทว่าบางคนแม้จะกระทำแล้วก็พบว่า ประหยัดรายจ่ายขึ้นมาได้ไม่มากนักเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นแม้จะได้ลาภมาอย่างเช่น ถูกหวยหรือบางคนเคยมาถึงเวลาที่บุญนั้นส่งผล ถูกหวยรางวัลใหญ่ๆ หรือมีโชคจากการทำงานมีลาภก้อนใหญ่ก็ยังไม่สามารถเก็บเงินได้ ก็ขอให้ลองเปลี่ยนวิธีเก็บเสียใหม่

    เช่น ขอให้เอาเงินที่ได้มาไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ เช่นบ้าน ที่ดิน เก็บไว้ เรียกว่าโยกย้าย แปรรูปทรัพย์ให้เป็นทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้แทน ซึ่งวิธีนี้เป็นการช่วยลดรอยรั่วของเงินที่จะสูญเสียไปได้มากทางหนึ่งหรือถ้าหากทำไม่ได้จริง ก็ขอให้คนอื่นที่ไว้ใจเก็บเงินแทนเรา เพราะเขาผู้นั้นมีพลังบุญบารมีเรื่องนี้มากกว่าคือเป็นคนที่ไม่เคยทำกรรมที่ทำให้ผู้อื่นเสียเงินมาก่อน ซึ่งเป็นวิธีอีกหนึ่งวิธีในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ บางครอบครัวให้สามีหรือภรรยาเป็นผู้เก็บเงินแทน เพราะจะได้ไม่รั่วไหลง่าย

    วิธีแก้ไขในทางธรรม
    การแก้ไขในทางธรรมนั้นต้องทำควบคู่กันและควรจะทำให้เป็นประจำอย่างเข้มข้นคือให้หมั่นออกไปทำทานตามกำลังทรัพย์ที่มี ขอเน้นอีกครั้งว่า ให้ทำทานตามกำลังทรัพย์ที่มี โปรดอย่าไปคิดว่าต้องทำทานด้วยเงินมากๆ แล้วจะได้ผลเร็วๆ เช่น เมื่อเรามีโอกาสไปทำบุญที่วัด ก็เอาเงินหยอดใส่ตู้บริจาคที่วัด จะเป็นเงินมากน้อยไม่สำคัญ อยู่ที่เงินบริสุทธิ์ ใจที่ศรัทธาบริสุทธิ์ แม้นว่าหน้าตู้จะเขียนว่านำไปทำประโยชน์อย่างอื่น ก็ให้อธิษฐานขอให้เงินที่บริจาคไปนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ให้เป็นประโยชน์ของสงฆ์ทั้งปวง หรือทำทานช่วยเหลือแก่ผู้ด้อยโอกาสทั้งหลายพยายามทำให้บ่อยครั้งขึ้นกว่าเดิม

    หรือจะทำบุญถวายสังฆทานที่วัดก็ได้ โดยขอให้ทำให้บ่อยครั้งที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยที่ไม่บังคับหรือฝืนฐานะของตัวเองที่จะสังฆทานในแต่ละครั้ง การทำสังฆทานที่วัดนั้นสำหรับคนที่เคยทำแท้งหรือมีส่วนร่วมนั้น ควรถวายบ้านหลังเล็กๆ และเสื้อผ้า ขวดนมของเล่นเด็กไปให้ลูกที่ตายด้วย เพื่อให้เขาได้รับเป็นของทิพย์ได้ใช้ในภพภูมิของเขาและให้อโหสิกรรมให้กับเรา และถอนตัวจากอุปสรรคต่างๆ ที่เขาขวางเอาไว้ช่วยเปิดทางให้เงินทองความสุขความเจริญไหลเข้าสู่ชีวิตตามบุญที่เราทำมา

    ภายหลังการทำทานในแต่ละครั้งแล้ว ก็ขอให้ตั้งจิตเป็นกุศลนึกถึงบุญที่ทำมาทั้งหมด ยิ่งนึกถึงได้มากก็ยิ่งดี แล้วอธิษฐานจิตว่า

    “หากข้าพเจ้าเคยมีกรรมเกี่ยวกับเรื่อง เงินทอง กับผู้ใด หรือ เคยทำทุจริต นำเงินทองใครมาโดยไม่ชอบธรรมในอดีตที่ผ่านมาทั้งที่ข้าพเจ้าจำได้หรือจำไม่ได้ก็ดี ทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ดี ด้วยผลแห่งทานที่ข้าพเจ้าได้กระทำแล้วในครั้งนี้ ขอให้หมดเวรหมดกรรมเรื่องเงินทองตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเถิด”

    เคล็ดลับสำคัญมากอีกประการหนึ่งที่จะช่วยเหลือเราให้พ้นจากเหตุเรื่องเสียเงินเก็บเงินไม่อยู่นี้มากก็คือ เรื่องของการรักษาศีลให้ครบทุกข้อโดยเฉพาะศีลข้อที่ 2 และศีลข้อที่ 4 เพราะเป็นต้นเหตุที่จะทำให้เราเสียทรัพย์และความน่าเชื่อถือ

    โดยเฉพาะข้อที่ 4 เรื่องการพูดโกหกเพื่อให้ได้ทรัพย์หรือพูดฉ้อฉลเพื่อให้ได้ประโยชน์ส่วนตนมากที่สุด เป็นสิ่งที่ต้องเลิกกระทำทันที นอกจากจะเป็นการป้องกันไม่ให้เราเสียทรัพย์เพิ่มแล้วยังเป็นทางมาแห่งทรัพย์เพิ่มขึ้นอีกด้วย การรักษาสัจจะ รักษาคำพูดนั้นจะเป็นการสร้างบารมีให้กับตนเองที่ดีที่สุด เป็นการสร้างเครดิตให้กับตัวเองด้วยการกระทำที่ถูกต้องที่สุด

    สำหรับคนที่ทำมาค้าขาย เรื่องของการมุสา การโกหกนั้นต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะเราไม่รู้คิดว่าไม่เป็นอะไรแต่ที่จริงกรรมทางวาจานั้นจะไปขวางไม่ให้ทำการค้าเจริญ อย่างเช่น มีลูกค้าถามว่าลดราคาอีกได้ไหม เราก็โกหกไปว่าลดราคาไม่ได้แล้ว เท่านี้ก็ขายขาดทุนแล้วหรือต้นทุนมันสูงได้กำไรหน่อยเดียว หรือซื้อมาเท่านั้นเท่านี้ ทั้งๆ ที่ไม่จริงเรารู้อยู่แก่ใจ แต่โกหกเพื่ออยากจะได้กำไรมากๆ ให้เปลี่ยนวิธีพูดเสียใหม่ว่า ลดได้เท่านี้จริงๆ ขายพอมีกำไรเลี้ยงครอบครัวได้ ไม่จำเป็นต้องบอกจำนวนหรอกว่าเรามีกำไรเท่าไร แต่ถ้าลดได้ไม่เดือดร้อนก็ลดไปเถอะ ยิ่งทำให้ลูกค้ามีความพอใจมีความผูกพันกัน

    มีเคล็ดอยู่ข้อหนึ่งที่จะทำให้เงินทองหลั่งไหลมาสู่กิจการค้าขายตลอดเวลา เราตั้งใจลดราคาให้ลูกค้าทุกครั้งโดยที่ลูกค้าไม่ต้องมาต่อรองราคาเลย เพื่อสร้างบุญก็จงทำเถิด เพราะจะเกิดผลดีมาก เช่น เราขายเสื้อตัวละ 200บาท แต่เราอยากทำบุญกับลูกค้าอยากทำบุญกับอาชีพของเราเอง เราก็ลดให้อีก 5 บาททุกตัวเป็นเหลือ 195 บาท มีคนลองเอาไปทำแล้วกิจการเจริญแบบผิดหูผิดตาทันตาเห็นเลย

    สำหรับน้องๆ ลูกหลานๆ หรือคนที่ในอดีตเคยโกหกพ่อแม่เรื่องเงินทอง พ่อบอกให้เอาไปใช้เรื่องนี้แต่กลับไปใช้อีกอย่างหนึ่ง ก็ขอให้เปลี่ยนพฤติกรรมการพูดและหัดซื่อตรงให้มากขึ้น เมื่อมีความซื่อสัตย์ทั้งในคำพูดและการกระทำ ผู้ที่มีบุญบารมีมากกว่า หรือเป็นผู้ใหญ่กว่าก็จะให้ความเอ็นดูช่วยเหลือยิ่งขึ้นด้วย และจากที่เคยต้องจ่ายเงินเพื่อการใดการหนึ่งมาก เมื่อมีคนมาช่วยก็จะทำให้ลดภาระรายจ่ายไปได้ อย่างนี้เป็นต้น

    สุดท้ายคือการหมั่นเจริญภาวนาอุทิศส่วนบุญกุศลไปให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตอยู่ให้บ่อยที่สุดจากนั้นให้อุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่เหล่าเจ้ากรรมนายเวรด้วยบทอธิษฐานอุทิศส่วนบุญกุศลและแผ่เมตตาอยู่เป็นประจำ ก่อนที่จะแผ่เมตตาให้กับคนอื่น ต้องเผยเมตตาให้ตนเองด้วย จะได้มีพลังมากขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่เคยมีส่วนร่วมหรือเคยไปทำแท้งมา ซึ่งควรกระทำบ่อยๆ ส่วนจะหมดเวรหมดกรรมเมื่อไหร่นั้น ก็ดูที่ผลแห่งวิบากกรรมนั้นจะหนักหนาแค่ไหน คือดูจากความยากลำบากในชีวิตปัจจุบัน

    ถ้าปัจจุบันยังลำบากมากก็คือกรรมยังหนักอยู่มาก ก็อาจต้องทำบ่อยมากขึ้นอย่าท้อถอย ขอให้เชื่อในพลังแห่งบุญ ที่ยังลำบากอยู่ก็เพราะวิญญาณอาฆาตของเจ้ากรรมนายเวรนั้นยังคงมีอยู่และมีความรุนแรง แต่เมื่อใดก็ตามที่เราได้สร้างบุญอยู่เป็นประจำเช่นนี้แล้วจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด บุญของตัวเราก็จะเพิ่มขึ้น ความเดือดร้อนต่างๆ จะบรรเทาเบาบางลง เงินทองเริ่มเก็บได้เป็นกอบเป็นกำ เมื่อรู้สึกได้เช่นนี้แล้วแสดงว่า เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายอาจจะผ่อนปรนให้อภัยแล้ว แต่ก็ต้องกระทำบุญส่งบุญต่อไปให้ต่อเนื่องเป็นประจำเพราะเจ้ากรรมนายเวรของเรานั้นมีมากมาย เราอาจพลั้งเผลอไปสร้างเจ้ากรรมนายเวรขึ้นมาใหม่ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ

    การจะทำชีวิตให้ดีนั้นต้อง”ซ่อม”และ ”สร้าง” ไปพร้อมๆ กัน
     
  5. vitcho

    vitcho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +748
    ไม่เกี่ยวเลยครับ..

    การอธิษฐาน ขอ ให้ได้พระนิพพาน..นั้น เป็นการ อธิษฐานได้ ตาม แ่กำลังใจ ที่มีเกิดความศรัทธาครับ แต่การหมดไป ของ ทรัพย์สิน..นั้นมีเหตุหลายๆอย่างไม่เกี่ยวกับการ ปรารถนา นิพพานครับ..เราต้องดำรง ชีพ ตาม สมควรแก่ ชีวิตเรา..

    เงินในมือเรา เรา ใช้จ่ายตามสมควรแก่เหตุหรือไม่ หากสมควรแก่เหตุ ก็ต้องจ่ายไป หาก เรา หาเงินได้น้อยเกินไป ไม่สมแก่ การ ดำรง ชีพ เราก็ ต้องขยันให้มากขึ้น หา หนทางทำมาหากินเพิ่ม..

    แล้วเมื่อ การใช้ชีวิตเราลงตัวพอแล้ว เรา สันโดษ พอ กับ ตัวเราแล้ว..ก็มาสร้างเหตุ แห่งการ นิพพาน ต่อไป...

    อธิษฐานขอเอาเฉยๆ ไม่มีวันได้หรอกครับ...และ นิพพานไม่ใช่ สิ่ง ชั่วร้ายที่ไปทำลาย ความไม่มี กิน ไม่มีอยู่ของใครครับ

    นิพพาน เป็นสภาวะ ของการอยู่เหนือ กิเลส อยู่เหนือ ความคิด อยู่เหนือ ความปรุงแต่งทั้งปวง
     
  6. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    จริงครับ ถ้าพระนิพพานแปลว่า การหลุดพ้นจากสมมุติทั้งปวง

    พระนิพพาน คือ ดับ เย็น พ้นจากสมมุติทั้งปวง แล้วล่ะก็ มันก็จะเป็นตามนั้นครับ
    หรือพระนิพพานแปลว่า กลาง เป็นกลาง กลางของทุกสิ่งคือ จุดศูนย์กลาง กลางของสมมุติทั้งหลาย คือ ศูนย์ มีคือ +1+2+3 ไม่มีคือติดลบ คือ-1-2-3
    กลางคือ 0 หรือกลางที่แปลว่า พ้นจากการมีและไม่มี ก็คือ หลุดพ้นจากสมมุติทั้งปวง คุณเห็นภาพ วงกลมปาเป้า ลูกดอกมั้ยครับ ตรงกลางคือ ศูนย์

    มันเป็น ระบบของมันครับ เพราะ ใครหวังพระนิพพานก็คือ เป็นการทำลายสมมุติทั้งหลายออกจากตนเอง นั่นแหล่ะครับ

    ตกลง มันดีนะครับ อย่าเข้าใจผิดว่ามันไม่ดี

    ระบบการชำระกิเลสก็คือ การทำลายกิเลสออก เอาตัวสร้างกิเลสออก ทำลายต้นเหตุของกิเลสออก
     
  7. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    มันจะหยุดการทำลาย ก็ต่อเมื่อคุณเข้าใจได้ นั่นแหล่ะครับ
    เพราะ มันต้องทำให้คุณเข้าถึงและเข้าใจมันให้ได้
    และไม่ไช่แค่ ทรัพย์สินหรอกนะครับ สมมุติทุกอย่างที่เป็นของคุณที่เกี่ยวข้องกับคุณ มันเอาออกหมด ประมาณว่า จนเหลือแต่ตัวคุณเพียงคนเดียว แต่นี่ก็ยังไม่หยุดนะครับ

    มันจะทำลาย อัตตาตัวตนความคิดความเชื่อ ทั้งมวลในจิตคุณ จนเข้าถึง ความไม่มีอะไร เข้าถึงความสะอาดบริสุทธ์ดุจ คำว่า ประภัสสร นั่นแหล่ะครับ
    สรุปง่าย เหมือนคนตายที่หมดประโยชน์ใดใด นั่นแหล่ะ เทียบได้กับคำว่า ไร้คุณค่า หรือ ไร้ตัวตน หรือ ไม่มีตัวตนอะไรเหลือเลยนั่นแหล่ะครับ

    เพราะ พระนิพพาน มันบริสุทธิ์ไร้มลทินใดใด จริงๆ ครับ

    พูดอีกคำก็คือ ไม่มีคุณในโลกใบนี้ นั่นเอง ไม่มีใครเอาคุณ เพราะคุณเป็นคนที่ หมดสิ้่น ความสำคัญหมดสิ้นคุณค่า กับโลกนี้แล้ว นั่นแหล่ะ นิพพาน
     
  8. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    มันไม่ทำร้าย ญาติพี่น้องคุณหรอกนะ
    แต่มันจะทำให้ญาติพี่น้อง คนในครอบครัว สามีภรรยาและลูกๆ ของคุณทิ้งคุณไป เพราะเขาไม่เห็นคุณค่าของคุณเลย อันนี้ ต้องยอมรับนะครับว่า ต้องเจอแน่นอน
     
  9. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    โลกแบบปัจจุบันนี้ จะมีสักกี่คนที่ได้ไปนิพพานกันนะ

    เพราะนิพพาน อยู่เหนือกิเลส กิเลส คือ เครื่องทำให้เกิดความเศร้าหมอง
     
  10. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    ทีนี้คุณก็รู้ ว่านิพพานคืออะไร ที่เหลือก็เพียงแค่ เข้าให้ถึงมัน
    คุณรู้ว่านิพพานอยู่เหนือกิเลส แต่จะพูดให้ถูกกว่าก็คือ นิพพานก็อยู่รวมกันกับเหล่ากิเลสนี่แหล่ะ แต่กิเลสเข้าไปเจือปนนิพพานไม่ได้อีกแล้ว
     
  11. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    นิพพานคือที่สุดแห่งวิวัฒนาการของสรรพชีวิตทั้งหลาย ย่อมเป็นความปรารถนาลึกๆที่แฝงอยู่ในกุศลจิตของทุกชีวิตทั้งหลายอยู่แล้ว..
    ฉะนั้นเรื่องปรารถนานิพพาน กับ ทรัพย์สินเงินทองปัจจุบันที่มีอยุ่นั้น แทบจะไม่เกี่ยวเนื่องกันเลย การให้ทานหรือบริจาคสิ่งของเงินทองนั้นย่อมเป็นกุศลบุญอันนำไปสู่ความมั่งมีร่ำรวยได้ในภายภาคหน้า ซึ่งหากจิตนี้ปรารถนานิพพานก็ต้องหมั่นนั่งสมาธิกรรมฐานเจริญปัญญา อันเป็นหลักการที่ไม่ต้องเกี่ยวเนื่องด้วยวัตถุทรัพย์สินเงินทองของนอกกายแต่ประการใดเลย อยู่ที่จิตใจเป็นสำคัญ...
    *โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน* ^__^
     
  12. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    เรื่องของทรัพย์ เป็นของนอกกายนั้น มันก็จริงอยู่

    แต่มันคือปัจจัย เพื่อ บำรุงกายนะซิ

    ไม่ได้อยากให้มีมาก หรือต้องร่ำรวยอะไร แต่ขอแค่มีให้พอกับการบำรุงกาย นั่น คือ พอในการซื้อหา อาหาร ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห้ม ที่อยู่อาศัย เป็นพอ

    แต่วิบากกรรม ของดิฉัน มันก็เหลือเกินจริงๆ

    เหลือเกินยังไงนะหรือคะ

    ขอเล่าให้เป็นอุทาหรณ์นิดหนึ่งคะ หรือ แค่คิดว่า เล่าสู่กันฟังเฉยๆ

    ก่อนเริ่มปฏิบัติธรรม ชีวิตดิฉันยุ่งเหยิง อยู่กับเพื่องฝูงมากมาย เดี๋ยวเพื่อนคนนี้พาไปเลี้ยง อาหาร เหล้า มากมาย กินจนอิ่ม ภาษาชาวบ้านเรียก กินเมาแอ๋ อ๊วกแตกอ๊วกแตน กินฟรีตลอด เดี๋ยวคนนั้นเลี้ยง เดี๋ยวคนนี้เลี้ยง

    เงินใช้สอย ก็มีคนใจดีแบ่งปันให้ ก็เพื่อนอีกนั้นแหละ ถามเราว่ามีตังค์ใช้ปาว ถ้าไม่มีเดี๋ยวให้ ไอ้เราก็เงินรายได้น้อย ก็เลยมักได้รับการแบ่งปันจากเพื่อนมาเล็กๆน้อยๆ ทำให้เงินเดือนเราก็มีเหลือ

    ยามเดือดร้อนอะไร ก็มีคนช่วยเหลือ

    ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานอยู่สักพัก ก็เริ่มเบื่อหน่าย เริ่มรู้สึกอยู่แบบไม่มีคุณค่า ไร้ประโยชน์ รู้สึกขึ้นมาดื้อๆ

    เพื่อนโทรมาหา เริ่มไม่รับสาย เริ่มไม่อยากคุยกับใคร

    เพื่อนชวนไปกิน ไปเที่ยว เริ่มปฏิเสธ เริ่มไม่อยากไปใหนกับเพื่อนๆ

    แล้ววันหนึ่ง ก็ตัดสินใจ ไปบวชเนกขัมมะ อยู่ที่วัด

    แล้วก็หันมาสวดมนต์ นั่ง สมาธิ รักษาศีล5

    นี่คือเริ่มปฏิบัติธรรม

    แต่ก็ยังไม่ได้ตัดขาดจาก เพื่อนฝูง ซะทีเดียว

    แต่ก็ยังโทรหากันบ้าง พูดคุย เจอะเจอกันบ้างบางโอกาส

    งานวันเกิดเพื่อน เราไป แต่เรา ไม่กินเหล้า เพราะบอกเพื่อนว่า เรารักษาศีล5 เพื่อนก็ให้กินน้ำอัดลมแทน

    วันใหนที่เรากินเจ ช่วงวันพระ เราก็บอกเพื่อนว่าเรากินเจ งานเลี่ยง อาหารที่เป็นเนื้อสัตว์เราไม่กิน เพื่อนก็สั่งแบบเจมาให้ มีแต่ผักล้วนๆ เพื่อนๆ ก็วิจารณ์กันใหญ่

    การพูดคุยระหว่างกับเพื่อนๆ เราเองก็สำรวมขึ้น ไม่พูดจาหยาบ พูดคุยแทรกธรรมมะบ้างนิดๆหน่อยๆ คงไม่สนุกเหมือนแต่ก่อน

    และแล้ว ก็มาถึงจุดๆ หนึ่ง

    - เพื่อนสนิท ที่เคยกิน เคยเที่ยว หนีหายกันหมด เจอก็ไม่ได้เจอ โทรมาก็ไม่มีใครโทรมาเลย ไร้เพื่อน แต่ ทางกลับกันจะได้เพื่อนที่ไปบวชอยู่วัด ได้รู้จักกัน ได้พูดคุยเรื่องธรรมกันบ้าง แต่ก็ไม่ได้สนิทอะไร เพราะเจอกันที่วัด หลังจากลาบวชเสร็จ ก็แยกย้ายกันไป

    - เมื่อมีเหตุจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินเป็นก้อน การที่จะบอกกล่าวแก่เพื่อนๆ เหมือนเคย ก็ไม่สะดวกดังเช่นแต่ก่อนแล้ว

    เลยตัดสินใจกู้เงินนอกระบบ จำนวนหนึ่ง ซึ่งดอกเบี้ยก็แพงเหลือเกิน นี่เป็นจุกเริ่มต้น ที่ทำให้ประสบปัญหาการเงิน เริ่มพอกพูน เพราะพลาดตกหลุมเสียแล้ว

    - ทรัพย์ ก็เริ่มหมดไป หมดชนิดที่ว่า 1 บาท ก็ยังไม่มีเลย ว่างเปล่าจริงๆ

    - โชค ลาภ ใดๆ ก็ไม่มีเลยเช่นกัน เมื่อก่อน ถูกหวยบ่อย ซื้อแค่ 20 บาท ก็ยังถูก ถูกบ่อยๆ เรียกว่าบ่อยมาก ซื้อมั่วๆ ก็ยังถูกเฉยเลย แต่ทุกวันนี้ 20 ก็ไม่มีถูก ซื้อไป 100 ก็ไม่มีถูก ไม่มีอะไรเลย เบื่อ ก็เลยไม่ซื้อเลย แม้แต่โชคลาภเล็กๆน้อยๆ ก็ยังหายไป

    แอ๊ะ ชีวิตอะไรกันนักกันหนา ทำไม อะไรๆ ก็หายไปพร้อมๆกันแบบนี้

    เมื่อไปอ่านเจอหนังสือเล่มหนึ่ง กล่าวไว้ว่า ถ้าเราทำบุญ ทำทาน ปฏิบัติธรรมแล้ว อธิฐานขอให้เราได้ไปนิพพานเมื่อใด สิ่งต่างๆ แม้แต่ทรัพย์สินของเราก็จะค่อยๆหมดไป ฉนั้น ห้ามอธิฐานขอนิพพานตอนนี้เด็ดขาด ถ้าเราปฏิบัติดีแล้ว จะได้ไปนิพพาน ก็จะได้ไปเองนั้นแหละ

    ซึ่งตัวดิฉันเองก็ไม่ได้เชื่อเท่าใดนัก

    แต่เกิดเหตุการณ์แบบที่ดิฉันเล่ามาแล้ว เลยอดสงสัยว่า มันเกี่ยวพันกันหรือไม่เท่านั้นเอง

    ในเมื่อไม่เกี่ยว ก็ไม่เกี่ยว ไม่ได้ติดขัดอะไรหรอก

    ถึงแม้จะปฏิบัติธรรมแล้ว ไม่มีอะไรเหลือเลย ก็ตาม หรือแม้แต่กายนี่จะดับไปจะไม่เหลือ ก็ไม่ได้กลัวอะไร เพราะทุกวันนี้ ก็ยังปฏิบัติธรรมอยู่คะ หมดก็ให้มันหมด จะได้จบในกองทุกข์นี่เสียที
     
  13. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    ผมว่าถึงเวลาแล้วที่ท่านจะต้อง ฝึกสติปัฏฐานสี่ อย่างจริงจังเสียที เพื่อแก้่ไข ในสิ่งที่เป็นอยู่ ก็คือ เอานิพพานให้ได้ ในชาตินี้เลย มันจะได้ ไม่ทำให้ท่าน ต้องอยู่ในสภาพแบบนี้นะ ต้องลอง
     
  14. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819

    ไม่เกี่ยวมั้ง ไม่งั้น พระสมัยพระพุทธเจ้า หรือ อุบาสก อุบาสิกา ไม่กลายเป็นคนจน กันหมดหรอครับ
     
  15. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    แนะนำว่า ภาวนา คาถาเงินล้าน วัดท่าซุง นะครับ จขกท.




    เคล็ดการสวดคาถาเงินล้าน จากหลวงพี่เล็ก วัดท่าขนุน ที่ท่านเมตตาแนะนำไว้มาฝากครับ

    เมื่อปี๒๕๒๘พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านได้ขอให้บรรดาลูกหลานใช้พระคาถาเงินล้านเพื่อเสริมสร้างความคล่องตัวในการดำเนินชีวิตพระท่านก็อนุญาตให้เราจะสังเกตได้ว่าใครก็ตามที่ทำพระคาถาเงินล้านเป็นกรรมฐานอย่างสม่ำเสมอความคล่องขัดในการดำเนินชีวิตจะมีน้อยกว่าคนอื่นเขาขอยืนยันคำว่าจริงจังและสม่ำเสมอเพราะว่าเรื่องคาถาเป็นพื้นฐานของอภิญญาคนจะเป็นอภิญญาได้จะต้องมีความจริงจังและสม่ำเสมอ ไม่ใช่ทำ ๆ ทิ้งเมื่อท่านทั้งหลายได้ทำจริงจังและสม่ำเสมอ โดยเฉพาะทำในจำนวนที่มาก อย่างเช่นว่าอาจจะภาวนาวันละ ๑๐๘ จบ เป็นต้นก็จะมีความสะดวกคล่องตัวกว่าคนอื่นเขา
    โดยเฉพาะอาตมานั้น ตั้งแต่ท่านบอกมา ใช้การภาวนาจากที่เคยใช้อยู่ ๙ จบก็เพิ่มมาเป็น ๓๐ จบ....
    จากที่ใช้ ๓๐ จบ แล้วรู้ว่าเวลามันเหลืออีกเยอะ ก็เพิ่มเป็น ๓๐๐จบ.......
    ไล่มากเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ เป็น ๓๖๐ จบ เป็น ๖๐๐ จบ เป็น ๙๐๐ จบเป็น,๒๐๐ จบ เป็นต้น
    การท่องใช้วิธีท่องอย่างช้า ๆ โดยจับลมหายใจภาวนาไปด้วย เป็นการเน้นคุณภาพไม่ใช่จ้ำ ๆ ให้จบไป สักแต่ว่าเอาปริมาณ เรื่องของคาถาถ้าทำด้วยความเคารพจริงจังและสม่ำเสมอแล้ว ไม่เกิน ๒เดือนผลก็จะเกิดขึ้น credit:


    พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านมาโปรด ท่านบอกว่า "ถ้าภาวนาคาถาเงินล้านเป็นกรรมฐาน ทรงอารมณ์โดยไม่เคลื่อนเลยวันละ ๑ ชั่วโมงจะสร้างโบสถ์กี่หลังก็ทำได้"

    ญาติโยมทั้งหลายนั้นแม้จะทราบว่าคาถาเงินล้านเป็นของดีแต่ไม่ค่อยจะทำอย่างสม่ำเสมอ ไม่ค่อยต่อเนื่องบางคนก็มาบ่น บอกว่ามีความลำบากในการทำมาหากินมาก อาตมาก็บอกคาถาเงินล้านให้ไปใช้เขาบอกว่าเขาภาวนาเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว ถามว่า "โยมภาวนาวันละกี่จบ ?"โยมบอกว่า"๑ จบ"อาตมาก็อยากจะบอกว่า"จบเห่"คนอยากรวยทำงานวันละ ๑ นาที ขนาด ๒๔ ชั่วโมงทำ ๘ ชั่วโมงยังไม่ค่อยจะพอกินเลย จึงได้บอกให้ญาติโยมทั้งหลายไปเพิ่มจำนวนขึ้นทำให้จริงจังและสม่ำเสมอ โดยให้ยึดที่ ๑๐๘ จบ เป็นหลักเพราะว่าภาวะเศรษฐกิจไม่ใช่แต่บ้านเราเท่านั้น เศรษฐกิจโลกก็พลอยแย่ไปด้วยถ้าหากว่าเราอาศัยบารมีพระยึดท่านเป็นที่พึ่งสุดท้ายจริง ๆ ทำแบบมอบหมายถวายชีวิตจริง ๆขอยืนยันว่าทุกอย่างก็จะเป็นจริงไปด้วย

    ท่านให้ภาวนาคาถาเงินล้านอย่างเดียว ตอนที่ภาวนาตามที่ท่านสั่ง ทำไป ๆเหมือนกับตัวเองดิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆจนในที่สุดลมหายใจมันก็ลึกหมือนกับเหวที่ไม่มีก้นญาติโยมทั้งหลายจำตรงนี้ไว้ให้แม่น ๆหากว่าภาวนาจับลงที่ศูนย์กลางกายถ้าตรงจุดพอเหมาะพอดีมันจะลึกลงไปเรื่อย ๆ เหมือนเหวที่ไม่มีก้นแบบที่หลวงปู่สดท่านบอกว่าให้หยุดลงตรงกลาง....ตรงกลางลงไป...ตรงกลางลงไปก็จะไปได้เรื่อย ๆ อาตมาเองมีประสบการณ์หลายครั้งแล้วว่าไม่ว่าภาวนาคาถาบทไหนก็ตาม ถ้าหากว่ามาถึงตรงจุดนี้คาถาบทนั้นจะมีผลมาก เพราะฉะนั้นพวกเราทุกคนทำให้ถูกตรงนี้ถ้าทำถูกไม่ต้องไปท่องเป็นร้อยเป็นพันจบก็ได้เพราะว่าอารมณ์เต็มที่มันก็จะไม่เกินนั้น
    **
    องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าต้องการให้พวกเราทุกคนเข้าใจถึงวิธีในการเจริญภาวนาคาถาเงินล้านเพื่อให้เกิดผลสูงสุดที่จะพึงมีพึงได้ตามวาสนาบารมีของแต่ละคนดังนั้นขอให้ทุกท่านตั้งกายให้ตรง แต่ไม่ใช่เกร็งเวลาหายใจเข้า นึกถึงคาถาเงินล้านที่เราภาวนา ไหลตามลมหายใจเข้าไปจนสุดลมหายใจของเรา ให้อยู่ตรงนั้น นั่นคือศูนย์กลางกาย
    ให้ทุกคนขยับโยกหน้าโยกหลัง หาความตรงพอดี ๆ ให้เป็นศูนย์กลางของเราเสร็จแล้วคำภาวนาทั้งหมดของเรา ให้กำหนดจดจ่อลงตรงนั้น โดยใช้สมาธิเพียงเบา ๆท่านที่ทรงสมาธิในระดับใช้งานได้จะเข้าใจตรงจุดนี้เลยแต่ถ้าหากว่าท่านที่ยังไม่เข้าใจ ให้รู้สึกเหมือนลมหายใจแตะแผ่ว ๆอยู่ตรงศูนย์กลางกาย แล้วภาวนาคาถาเงินล้านของเราไปเรื่อย ๆ
    องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่าถ้าใครสามารถทำอย่างนี้ได้ต่อเนื่องกัน วันละประมาณ ๑ ชั่วโมงจะมีความคล่องตัวมาก จะทำงานใหญ่ขนาดไหน เงินทองก็จะไม่ขาดมือยิ่งถ้าเป็นบุคคลที่เริ่มด้วยทานบารมีมาตั้งแต่อดีตทรัพย์สินเงินทองจะไหลมาเทมามากเป็นพิเศษ
    ดังนั้น..ให้ทุกคนขยับหาจุดกึ่งกลางของเราที่พอดีโดยไม่ต้องเกร็งตัวเอง กำหนดความรู้สึกทั้งหมด พร้อมลมหายใจและคาถาเงินล้านของเราให้ลงไปที่กึ่งกลาง ให้ออกมาจากกึ่งกลาง โดยให้สัมผัสเพียงเบา ๆ เท่านั้นให้รักษาอารมณ์ใจอย่างนี้ไว้จนกว่าจะได้ยินเสียงสัญญาณบอกหมดเวลา
    credit: พลังจิต
    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=srt-student&month=10-07-2012&group=37&gblog=4



    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2014
  16. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    ปราถนาพระนิพพานได้ แต่อธิฐานให้ได้นิพพานนั้นไม่มีทางได้ถ้าไม่สร้างเหตุ
     
  17. teww

    teww เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    604
    ค่าพลัง:
    +1,534
    เค้าเรียกบุญหมด ทรัพย์เลยหนี เพราะไม่มีบุญรักษาทรัพย์
    มักพบเสมอกับคนที่หลงคำโฆษณาไปวัดแถวหลองหลวงปทุมธานี

    มารดูดพลังบุญไปหมด เลยไม่มีบุญที่จะรักษาทรัพย์
    ทั้งทรัพย์ทั้งโชคทั้งเพื่อนฝูงญาติพี่น้องเลยหายหมด เหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก
    ไม่มีใครช่วยเหลือ

    ไปที่นั่น มารเขาเอาสมบัติและโชคคือบุญไปหมด
    แล้วเขาก็สวมสมบัติผีสมบัติเปรตมาให้

    นี่ดีนะยังมีเงินเดือน เลยได้กินข้าวต้มใส่น้ำเยอะๆ ไม่งั้นคงได้ไปเก็บของเน่าเสียที่เขาทิ้งมากิน นี้คือสมบัติผีสมบัติเปรต เพราะพวกผีเปรตไม่มีใครให้อะไรกิน ต้องไปคุ้ยของที่เขาทิ้งมากิน

    วิธีแก้ คือ ต้องไปนั่งสมาธิชำระธาตุธรรมที่วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ราชบุรี กลับถึงบ้านก็หมั่นใส่บาตรทุกเช้า แล้วชีวิตจะค่อยๆกลับมาดีขึ้น

    ถ้าไม่ไปชำระธาตุธรรมที่วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ราชบุรี ก็จะอับจนอยู่อย่างนี้แหละจนวันตาย แล้วตายไปก็จิตเศ้าหมองอีกเพราะไม่มีอะไรจะกิน ไร้ญาตืขาดมิตร ตายไปก็ไปเป็นผีเปรต เพราะมารเขาสวมสมบัติผีเปรตมาให้ ต้องถอดสมบัติผีเปรตนี่ออก

    ข้างบนนี่ไม่ได้ให้ร้ายใคร แต่บอกเล่าจากประสบการณ์ของคนที่เคยไปที่วัดนั่น แล้วเขามาเล่าให้ฟัง อาการเดียวกับคุณเป๊ะเลย แล้วเขาแก้ไขด้วยวิธีอย่างที่บอกข้างต้น
     
  18. Jan2014

    Jan2014 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2014
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +143
    ถ้ายินดีจะทิ้ง มันก็หมด
    ถ้ายินดีจะถือ มันก็มี
     
  19. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    ก็เริ่มทิ้งไปแล้ว แต่ทิ้งยังไม่หมด ตั้งใจจะทิ้งให้หมด

    ที่ถืออยู่ จะถือศีล ก็พอ
     
  20. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    ขอบคุณ คุณSaber เป็นอย่างยิ่งคะ ทีมาแนะนำ เริ่มสวดคาถาเงินล้าน ของวัดท่าซุงมาได้สักพักแล้วคะ สวดก่อนนั่งสมาธิคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...