ฝันเห็นพระพุทธเจ้า - ทำไมพระอรหันต์ในสมัยนี้ถึงมีน้อย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย peacedev, 7 กันยายน 2014.

  1. peacedev

    peacedev Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +49
    สวัสดีครับ จริง ๆ แล้วต้องขอออกตัวก่อนเล็กน้อยว่าคิดอยู่นานเหมือนกันว่าจะเล่าเรื่องนี้ดีหรือไม่ เพราะในสมัยนี้ถ้าพูดถึงเรื่องนี้ไปก็กลัวว่าคนส่วนมากที่ไม่ได้มีความศรัทธาในเรื่องนี้ จะมองว่าแปลกคน หรือกระทั่งเพี้ยนเอาได้ แต่พอมาคิดทบทวนดูอีกทีเรื่องนี้อาจจะมีประโยชน์กับคนอีกกลุ่มก็ได้ ชั่งน้ำหนักดูแล้วน่าจะเป็นผลดีมากกว่าผลเสีย เลยตัดสินใจเขียนเล่าครับ

    ผมคิดว่าพุทธศาสนิกชนทั้งหลายในยุคนี้ หลังจากที่ได้ศึกษาพุทธประวัติมาได้ซักพัก ก็น่าจะมีคำถามคล้าย ๆ กันกับผม ว่าเหตุใดในยุคพุทธกาลจึงมีพระอรหันต์เกิดขึ้นได้เยอะมากเทียบกับในยุคนี้
    แล้วในสมัยนั้นเท่าที่ศึกษาดู ก็ดูเหมือนว่าหลาย ๆ ท่านบรรลุอรหันต์ได้เร็วจนเหมือนเป็นเรื่องง่ายกว่าในยุคนี้เยอะเลย

    ผมก็ได้แต่หาคำตอบด้วยการคิดด้วยตัวเอง ว่าอาจเป็นเพราะคนในยุคพุทธกาลทำกุศลที่ดีมามากจึงได้ไปเกิดในพุทธกาล และ ได้พบกับพระพุทธเจ้า ผมไม่อาจรู้ได้ว่าคำตอบนี้เป็นคำตอบที่ถูกจริง ๆ หรือไม่ แต่ก็คิดอยู่เรื่อยมาว่านั่นยังไม่ใช่คำตอบที่น่าพอใจ มีบางอย่างที่ยังขาดไป


    แต่แล้วเมื่อคืนนี้ซึ่งเป็นเวลาประมาณช่วงเช้ามืด จู่ ๆ จากที่ผมไม่เคยได้ฝันถึงพระถึงเจ้าเลยเท่าที่จำได้ จู่ ๆ ผมก็ได้เห็น "พระพุทธเจ้า" เดินอยู่ข้างหน้าผม ในระยะห่างพอที่จะเห็นได้ทั้งองค์
    โดยเห็นเป็น บุรุษห่มจีวรสีฝาด จากด้านหลัง ในท่าทางสงบเหมือนอุ้มบาตรเดินจงกรมไปข้างหน้าเรื่อย ๆ เห็นแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นพระพุทธเจ้า ท่านมีสัดส่วนของพระวรกายที่ต่างจากคนปกติทั่วไป ตามตำรามหาบุรุษว่าไว้ ดูจากข้างหลังก็เห็นรูปร่างที่สูงโปร่ง แขนเรียวยาว ท่อนล่างดูมีสัดส่วนที่เรียวยาว ดูสง่างาม และ สงบสำรวม
    ผมฝันว่าผมเดินตามพระพุทธเจ้าอยู่ จู่ ๆ ก็มีคำถามในใจเหมือนกำลังจะถามออกไปว่า

    "เหตุใดพระอรหันต์ในยุคนี้จึงมีคนเป็นกันได้น้อย ต่างจากในยุคพุทธกาล"

    ทันใดนั้นก็มีเสียงตอบเข้ามา เป็นเสียงที่ดังก้องกังวาลเข้ามาในหัว ไม่ได้มีตำแหน่งชัดเจนเหมือนกับเสียงที่พูดออกมาจากปาก
    เสียงนั้นตอบว่า

    "ในสมัยนี้ ไม่เคยมีใครได้เห็นพระบารมีของพระพุทธเจ้าด้วยดวงตาของตน จึงเป็นพระอรหันต์กันได้ยากกว่า ช้ากว่า และ น้อยกว่า ในพุทธกาล เพราะพวกเขามีศรัทธาน้อยกว่า"

    ทำให้ผมได้รับความกระจ่างใจ ถ้าใช้คำเปรียบเทียบแบบในพระไตรปิฏกก็ เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิดออกมา

    ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ น้ำตาก็ไหลออกมานองหน้าเต็มไปหมด ผมจำความรู้สึกนั้นได้ชัดเจนแม้ตอนตื่นขึ้นมา เป็นความรู้สึกหลายอย่างที่ถ่าโถมเข้ามาเกือบจะพร้อม ๆ กัน มีทั้งความรู้สึกตื้นตันใจอย่างหาประมาณไม่ได้ ความรู้สึกอบอุ่นอย่างหาประมาณไม่ได้ ความรู้สึกเสียดายอย่างหาประมาณไม่ได้ ที่ไม่ได้เกิดมาในพุทธกาล และ ไม่ได้มีโอกาสได้เห็นพระบารมีของพระพุทธเจ้าด้วยดวงตาของตน

    จากนั้นเสียงนั้นก็ตอบเข้ามาอีก แต่เป็นเรื่องส่วนตัวที่เกี่ยวกับตัวผมเอง ซึ่งผมไตร่ตรองแล้วว่าไม่ควรเล่าออกไปให้ใครทราบ สมควรแล้วที่จะเก็บไว้กับตัวเป็นปัจจัตตังมากกว่า


    หลังจากฝันนี้ไม่นานนักผมก็ตื่นขึ้นมา ยังจำฝันนี้ได้ชัดเจนมาก และจำความรู้สึกในตอนที่มีน้ำตานองหน้าได้อย่างชัดเจน เมื่อนึกไปถึงเรื่องนี้ ก็ยังมีน้ำตาซึม ๆ ออกมาคลอ ๆ อยู่บ้าง แต่ไม่ได้ปล่อยให้ไหลออกมานองหน้าเหมือนครั้งแรกในตอนที่ฝัน


    แปลกแต่จริงเป็นคำตอบที่ผมเคยขบคิดอยู่ตั้งนานก็ไม่ได้คำตอบที่รู้สึกว่ากระจ่างแบบนี้ซักที

    เมื่อไตร่ตรองดูอีกหลายรอบตอนที่ตื่นขึ้นมาแล้ว มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ก็เห็นว่าคำตอบที่ได้จากฝันนี้เป็นเหตุเป็นผลอย่างยิ่ง

    เนื่องด้วยเวลาที่ห่างจากพุทธกาลถึงกว่า 2,500 ปี หลายคนในขณะนี้ถึงกับคิดไปว่าพระพุทธเจ้าเป็นเพียงเรื่องแต่งขึ้นที่เล่าขานกันมาก็มี
    หลายคนรวมทั้งตัวผมเองแม้จะมีศรัทธาจากคำสอนของพระพุทธองค์ที่มากถึงเพียงไหน ก็ยังไม่มากเท่าบุคคลได้เห็นพระบารมีของพระพุทธเจ้าด้วยดวงตาของตน
    ยังมีความสงสัยในเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่บ้าง(เรื่องอื่น ๆ ที่ไม่ใช่คำสอนโดยตรง) เพราะยังไม่ได้เห็นได้พบกับตนเอง

    แต่อย่างน้อยเรายังโชคดีที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ยังมีพระธรรมให้ศึกษาปฎิบัติ และ พระสงฆ์คอยชี้นำแนวทาง :)



    มีแถมท้ายนิดหน่อยครับ ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับความฝันหรือเปล่า แต่ช่วงหลัง ๆ มานี้ผมเริ่มจะพยายามหาเวลามานั่งสมาธิให้ได้เกือบทุกวัน และกำหนดไว้ว่าควรถึง ฌาน 4 เป็นอย่างน้อยในแต่ละครั้งครับ




    คัดลอกมาจาก blog ของผมเองครับ ฝันเห็นพระพุทธเจ้า | Peacedev's Blog
     
  2. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    ดีแล้วครับ เป็นบุญของคุณแล้ว
    ขอให้สำเร็จในสิ่งที่ปราถนา

    ว่าแต่พระพุทธเจ้าที่คุณเห็น เขาโกนหัวเหมือนพระทั่วไปไหม หรือเป็นอย่างพระพุทธรูปที่ปั้น ๆ กัน
    ถามแค่อยากรู้นะครับ ไม่ได้อะไร
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,046
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,092
    ค่าพลัง:
    +70,364
    การได้เกิดทันเห็นกายเนื้อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นตัวผล ของการทำเหตุไว้ดีแล้วประการหนึ่ง

    ซึ่ง เป็นเหตุหนึ่ง ที่เปิดโอกาสให้ตนผุ้บำเพ็ญเหตุมา ได้ใช้ความใกล้ชิดกายเนื้อพระพุทธองค์ ใช้ความใกล้ชิดอริยะสาวกองค์อื่น ใช้เหตุที่ได้พบเห็นสารพัดอันเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธองค์ เพื่อน้อมไปสู่อริยะทรัพย์ข้อแรกคือศรัทธา เพื่อให้ได้มาซึ่งอริยะทรัพย์ประการอื่นอีกหกประการ อันเป็นสิ่งที่ต้องกระทำบำเพ็ญต่อจึงจะสำเร็จมรรคผล นั่นคือ...

    ..ศีล หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ จาคะ ปัญญา


    .........การที่บอกว่า สมัยนี้ มีผุ้สำเร็จอรหันต์น้อยกว่าในสมัยพุทธกาล

    ไม่ใช่เพราะ การไม่ได้ใกล้กายเนื้อของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเหตุต้นๆ

    ....แต่ เพราะไม่ได้สร้างบารมีสิบประการ (แยกย่อยเป็นต้น กลาง ปรมัติ รวมเป็นสามสิบ)ไว้อย่างพอเพียง ไม่ได้เจริญอริยมรรคมีองค์แปดอย่างพอเพียง ไม่ได้เจริญสัมโพชฌงค์เจ็ดอย่างพอเพียง รวมเบ็ดเสร็จคือ ไม่ได้เจริญโพธิปักขิยธรรมสามสิบเจ็ดไว้อย่างครบถ้วน พอที่จะได้เกิดใกล้พระพุทธองค์ทั้งกายเนื้อและกายธรรม....นี่คือเหตุต้น ต้นเหตุ ที่แท้จริง


    ------อย่าลืมว่า หลายท่านเกิดมาทันพบกายเนื้อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมัยพุทธกาล แต่ไม่น้อมธรรมสัมมาทิฐิมาปฏิบัติจนแจ้งชัด แต่ทำกรรมชั่ว แม้เป็นพระญาติของพระพุทธอ่งค์ ก็ยังต้องลงอเวจีมหานรก

    ดังนั้น การเห็นกายเนื้อและการได้เห็นปาฏิหาริย์แห่งพระองค์ การได้เห็นสารพัดอัศจรรย์จากพระองค์ ใช่ว่าจะทำให้พ้นทุกข์เป็นอรหันต็ ถ้าเห็นแล้วไม่ทำให้กิเลสอาสวะ ตัณหา อวิชชา ฯลฯขาดสะบั้นลง

    ...แต่การเห็นอริยสัจจ์สี่ โดยเฉพาะ เมื่อเห็นสภาวะที่ทุกข์ดับเพราะสมุทัยดับ ทำให้ผู้บำเพ็ญนั้น เข้าใกล้พระพุทธองค์อย่างใกล้ชิดแท้จริง ..


    สรุป เหตุ และ ผล ของทุกข์ และการพ้นทุกข์ เริ่มที่ตน และ จบลงที่ตน เป็นใหญ่ (อัตตาหิ อัตโน นาโถ)

    ปัจจัยภายนอกที่อำนวยโอกาส คือ เหตุและผล รองลงมา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 กันยายน 2014
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,046
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,092
    ค่าพลัง:
    +70,364
    นโม ตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

    ขอความนอบน้อมจงมีแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น




    อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ปัญจกนิบาต
    ๘. วักกลิเถรคาถา อรรถกถาวักกลิเถรคาถาที่ ๘
    คาถาของท่านพระวักกลิเถระ มีคำเริ่มต้นว่า วาตโรคาภินีโต ดังนี้เป็นต้น.
    เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?
    พระเถระแม้นี้ได้ทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน สั่งสมบุญไว้ในภพนั้นๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ บังเกิดในเรือนมีตระกูล ในหังสวดีนคร ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว ไปยังวิหารกับอุบาสกทั้งหลายผู้ไปยังสำนักพระศาสดา ยืนอยู่ท้ายบริษัท ฟังธรรมอยู่ เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุผู้น้อมไปในศรัทธา แม้ตนเองก็ปรารถนาตำแหน่งนั้น จึงถวายทานตลอด ๗ วันได้ตั้งความปรารถนาไว้.
    พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นความปรารถนานั้นไม่มีอันตราย จึงได้ทรงพยากรณ์.
    แม้ท่านกระทำกุศลตลอดชีวิต ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ในกาลแห่งพระศาสดาของเราทั้งหลาย บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกรุงสาวัตถี. ญาติทั้งหลายได้ตั้งชื่อท่านว่าวักกลิ.
    ท่านเจริญวัยแล้วเรียนเวท ๓ ถึงความสำเร็จในศิลปะแห่งพราหมณ์ เห็นพระศาสดาแล้วไม่อิ่มเพราะเห็นสมบัติพระรูปกาย จึงเที่ยวไปกับพระศาสดาเท่านั้น. คิดว่า เมื่อเราอยู่ในท่ามกลางเรือนจักไม่ได้เห็นพระศาสดาตลอดกาลเป็นนิจ จึงบวชในสำนักพระศาสดา ยืนอยู่ในที่ๆ ตนสามารถเห็นพระทศพล ในเวลาที่เหลือ เว้นเวลาฉันอาหารและเวลาทำกิจด้วยสรีระ จึงละกิจอย่างอื่น เที่ยวแลดูแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้น.
    พระศาสดาทรงรอความแก่กล้าแห่งญาณของเธอ เมื่อเธอเที่ยวไปด้วยการดูพระรูปเท่านั้นสิ้นกาลมากมาย ไม่ได้ตรัสอะไรๆ.
    รุ่งขึ้นวันหนึ่งจึงตรัสว่า
    วักกลิ จะประโยชน์อะไรด้วยการที่เธอเห็นกายที่เปื่อยเน่านี้ วักกลิ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเรา วักกลิ ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม วักกลิ เพราะเมื่อบุคคลเห็นธรรมชื่อว่าเห็นเรา เมื่อบุคคลเห็นเราชื่อว่าเห็นธรรม ดังนี้. เมื่อพระศาสดาแม้ตรัสอยู่อย่างนั้น ท่านก็ไม่สามารถจะละการดูพระศาสดาไปในที่อื่นได้.
    ลำดับนั้น พระศาสดาทรงพระดำริว่า ภิกษุนี้ไม่ได้ความสังเวชจักไม่ตรัสรู้ ดังนี้ ในวันเข้าพรรษาจึงขับไล่พระเถระ ด้วยตรัสว่า หลีกไป วักกลิ.
    พระเถระถูกพระศาสดาทรงขับไล่ จึงไม่อาจจะอยู่ในที่พร้อมพระพักตร์ได้ จึงคิดว่าจะประโยชน์อะไรด้วยความเป็นอยู่ของเราที่จะไม่เห็นพระศาสดา ดังนี้แล้วจึงขึ้นสู่ที่เหวที่ภูเขาคิชฌกูฏ.
    พระศาสดาทรงทราบเรื่องนั้นของเธอ จึงทรงพระดำริว่า ภิกษุนี้เมื่อไม่ได้ความเบาใจจากสำนักเรา จะพึงยังธรรมอันเป็นอุปนิสัยแห่งมรรคและผลให้พินาศไป.
    เมื่อจะทรงฉายพระรัศมีเพื่อแสดงพระองค์ จึงตรัสพระคาถาว่า
    ภิกษุผู้มากไปด้วยปราโมทย์ เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
    พึงบรรลุบทอันสงบ เป็นที่เข้าไปสงบแห่งสังขารเป็นสุข ดังนี้.
    แล้วทรงเหยียดพระหัตถ์ตรัสว่า มาเถิด วักกลิ.
    พระเถระคิดว่า เราเห็นพระทศพลแล้ว แม้การตรัสเรียกว่า จงมา เราก็ได้แล้ว ดังนี้แล้วเกิดปีติและโสมนัสมีกำลัง ไม่รู้การไปของตนว่ามาจากไหน จึงแล่นไปในอากาศ ในที่พร้อมพระพักตร์ของพระศาสดา ยืนอยู่บนเขาด้วยก้าวเท้าแรก รำพึงถึงคาถาที่พระศาสดาตรัส ข่มปีติในอากาศนั่นเอง บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาดังนี้
    เรื่องนี้มาแล้วในอรรถกถาอังคุตตรนิกาย และอรรถกถาแห่งธรรมบท.
    ก็ในที่นี้ อาจารย์บางพวกกล่าวไว้อย่างนี้ว่า ท่านพระวักกลิเถระอันพระศาสดาทรงโอวาทโดยนัยมีอาทิว่า เธอจะประโยชน์อะไร วักกลิดังนี้ อยู่บนภูเขา เริ่มตั้งวิปัสสนา เพราะท่านมีศรัทธาเป็นกำลังนั่นเอง วิปัสสนาจึงไม่ลงสู่วิถี.
    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบดังนั้น จึงได้ให้เธอชำระกรรมฐานให้หมดจดประทานให้ เธอไม่สามารถจะให้วิปัสสนาถึงที่สุดได้อีก.





    ลำดับนั้น โรคลมเพราะความบกพร่องอาหารได้เกิดขึ้นแก่ท่าน.
    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่าท่านถูกโรคลมเบียดเบียนจึงเสด็จไปในที่นั้น
    เมื่อจะตรัสถาม จึงตรัสว่า


    ดูก่อนภิกษุ เมื่อเธออยู่ในป่าใหญ่ซึ่งเป็นที่ปราศจากโคจร
    เป็นที่เศร้าหมอง ถูกโรคลมครอบงำ จักทำอย่างไร

    พระเถระได้ฟังดังนั้นจึงได้กล่าว ๔ คาถาว่า


    ข้าพระองค์จะยังปีติและความสุขอันไพบูลย์ให้แผ่ไปสู่
    ร่างกาย ครอบงำปัจจัยอันเศร้าหมองอยู่ในป่าใหญ่ จัก
    เจริญสติปัฏฐาน ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ และโพชฌงค์ ๗
    อยู่ในป่าใหญ่ เพราะได้เห็นภิกษุทั้งหลายผู้ปรารภความ
    เพียร มีใจเด็ดเดี่ยว มีความบากบั่นมั่นเป็นนิตย์ มีความ
    พร้อมเพรียงกัน มีความเห็นร่วมกัน ข้าพระองค์จึงจักอยู่
    ในป่าใหญ่ เมื่อข้าพระองค์ระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้มีพระ
    องค์อันฝึกแล้ว มีพระหฤทัยตั้งมั่น จึงเป็นผู้ไม่เกียจคร้าน
    ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันอยู่ในป่าใหญ่.
    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วาตโรคาภินีโต ความว่า ถูกโรคลมครอบงำ นำให้ถึงความไม่มีเสรีภาพ คือถูกพยาธิอันเกิดจากลมครอบงำ.



    พระองค์เรียกพระเถระว่า ตวํ.
    บทว่า วิหรํ ความว่า อยู่ด้วยอิริยาบถวิหารนั้น.
    บทว่า กานเน วเน ความว่า ในป่าอันเป็นดงอธิบายว่าในป่าใหญ่.
    บทว่า ปวิฏฺฐโคจเร แปลว่า เป็นที่ปราศจากโคจร คือเป็นที่หาปัจจัยได้ยาก. ชื่อว่าเศร้าหมอง คือเป็นที่เศร้าหมอง เพราะไม่มีเภสัชมีเนยใสเป็นต้น อันเป็นสัปปายะของโรคลมและเพราะเป็นภูมิภาคมีดินเค็ม.


    บทว่า กถํ ภิกฺขุ กริสฺสสิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ภิกษุ เธอจักทำอย่างไร?
    พระเถระได้ฟังดังนั้น เมื่อจะประกาศการอยู่เป็นสุขแห่งตนด้วยปีติและโสมนัสปราศจากอามิสดังนี้ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ปีติ สุเขน ด้วยปีติและสุข.
    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปีติ สุเขน ความว่า ด้วยปีติอันมีความโลดลอยเป็นลักษณะ และมีการแผ่ซาบซ่านเป็นลักษณะ และด้วยสุขอันสัมปยุตด้วยปีตินั้น.
    บทว่า ผรมาโน สมุสฺสยํ ความว่า ข้าพระองค์จะยังรูปอันประณีต อันเกิดจากปีติและสุขตามที่กล่าวแล้ว ให้แผ่ซ่านเข้าร่างกายทั้งสิ้น คือกระทำให้รูปถูกต้องไม่ขาดสาย.
    บทว่า ลูขมฺปิ อภิสมฺโภนฺโต ความว่า ครอบงำ คือท่วมทับปัจจัยอันเศร้าหมองแม้อดกลั้นได้ยาก อันเป็นเหตุเป็นไปโดยความขัดเกลาซึ่งเกิดแต่การอยู่ป่า.
    บทว่า วิหริสฺสามิ กานเน ความว่า ข้าพระองค์จักอยู่ในราวป่า ด้วยสุขอันเกิดแต่ฌานและสุขอันเกิดแต่วิปัสสนา.
    ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า และข้าพระองค์เสวยสุขด้วยกาย (นามกาย) และว่า
    บุคคลพิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและดับไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย
    ในกาลใดๆ ในกาลนั้นๆ เขาย่อมได้ปีติและปราโมช นั้นเป็น
    อมตะของบุคคลผู้รู้อยู่.



    บทว่า ภาเวนฺโต สติปฏฺฐาเน ความว่า ยังสติปัฏฐาน ๔ มีกายานุปัสสนาเป็นต้นอันนับเนื่องในมรรค ให้เกิดและให้เจริญ.
    บทว่า อินฺทฺริยานิ ได้แก่ อินทรีย์ ๕ มีสัทธินทรีย์เป็นต้นอันนับเนื่องในมรรคนั้นเอง.
    บทว่า พลานิ ได้แก่ พละ ๕ มีศรัทธาเป็นต้นก็เหมือนกัน.
    บทว่า โพชฺฌงฺคานิ ได้แก่ โพชฌงค์ ๗ มีสติสัมโพชฌงค์เป็นต้นก็เหมือนกัน.
    ด้วย จ ศัพท์ ท่านสงเคราะห์ สัมมัปปธาน อิทธิบาท และองค์มรรค.
    จริงอยู่ การคำนวณธรรมเหล่านั้น ย่อมมีโดยการจัดธรรมเหล่านั้นนั่นเอง เพราะไม่มีการเว้นธรรมเหล่านั้น.
    บทว่า วิหริสฺสามิ ความว่า ข้าพระองค์ เมื่อเจริญโพธิปักขิยธรรมตามที่กล่าวแล้ว จักอยู่ด้วยสุขอันเกิดแต่มรรค สุขอันเกิดแต่ผลอันสำเร็จมาแต่การบรรลุมรรคนั้น และสุขอันเกิดแต่พระนิพพาน.
    บทว่า อารทฺธวีริเย ความว่า ผู้ประกอบความเพียร ด้วยสามารถแห่งสัมมัปปธาน ๔.
    บทว่า ปหิตตฺเต ได้แก่ ผู้มีจิตส่งไปเฉพาะแล้วสู่พระนิพพาน.
    บทว่า นิจฺจํ ทฬฺหปรกฺกเม ได้แก่ ผู้มีความเพียรไม่ย่อหย่อนตลอดกาล.


    ชื่อว่าผู้มีความพร้อมเพรียง ด้วยอำนาจไม่วิวาทกันและด้วยอำนาจการให้กายสามัคคี. เพราะเห็นเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลายผู้ประกอบด้วยความเป็นผู้เสมอกันด้วยทิฏฐิและศีล.
    ด้วยคำนั้นท่านแสดงถึงความเพียบพร้อมด้วยกัลยาณมิตร.



    บทว่า อนุสรนฺโต สมฺพุทฺธํ ความว่า ไม่เกียจคร้าน ระลึกถึงพระองค์ผู้ชื่อว่า สัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะตรัสรู้ธรรมทั้งปวงโดยชอบและด้วยพระองค์เอง ชื่อว่าผู้เลิศ เพราะเป็นผู้สูงสุดกว่าสัตว์ทั้งปวง ชื่อว่าฝึกตนแล้วด้วยการฝึกอันสูงสุด ชื่อว่าผู้มีจิตตั้งมั่นด้วยสมาธิอันยอดเยี่ยม โดยนัยมีอาทิว่า แม้เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นพระอรหันต์ดังนี้ ทั้งกลางคืนและกลางวันทุกเวลาอยู่. ด้วยคำนี้ ท่านจึงกล่าวการประกอบพระกรรมฐานในที่ทั้งปวง เพราะแสดงถึงอาการประกอบในการเจริญพุทธานุสสติ กล่าวถึงการประกอบปาริหาริยกรรมฐาน ด้วยคำต้น.
    ก็พระเถระครั้นกล่าวอย่างนี้แลจึงบำเพ็ญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัต.



    เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า๑-
    สมเด็จพระผู้นำมีพระนามอันรุ่งเรือง มีพระคุณนับไม่ได้ พระนามว่าปทุมุตตระ เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในแสนกัปแต่ภัทรกัปนี้ พระองค์ทรงพระนามว่าปทุมุตตระ ก็เพราะมีพระพักตร์เหมือนดอกปทุม มีพระฉวีวรรณงาม ไม่มีมลทินเหมือนดอกปทุม ไม่เปื้อนด้วยโลกเหมือนดอกปทุมไม่เปื้อนด้วยน้ำฉะนั้น เป็นนักปราชญ์ มีพระอินทรีย์ดังใบปทุมและน่ารักเหมือนดอกปทุม ทั้งมีพระโอษฐ์มีกลิ่นอุดมเหมือนกลิ่นในกลีบของดอกปทุม เพราะฉะนั้น พระองค์จึงทรงพระนามว่าปทุมุตตระ
    พระองค์เป็นผู้เจริญกว่าโลก ไม่ทรงถือพระองค์ เปรียบเสมือนเป็นนัยน์ตาให้คนตาบอด มีพระอิริยาบถสงบ เป็นที่เก็บพระคุณ เป็นที่รองรับกรุณาและมติ ถึงในครั้งไหนๆ พระมหาวีรเจ้าพระองค์นั้นก็เป็นผู้อันพรหม อสูรและเทวดาบูชา เป็นพระชินะผู้สูงสุดในท่ามกลางหมู่ชนและเกลื่อนกล่นไปทั้งเทวดาและมนุษย์ เพื่อจะยังบริษัททั้งปวงให้ยินดีด้วยพระสำเนียงอันเสนาะและด้วยพระธรรมเทศนาอันเพราะพริ้ง จึงได้ชมสาวกของพระองค์ว่า ภิกษุอื่นที่พ้นกิเลสด้วยศรัทธามีมติดี ขวนขวายในการดูเราเช่นกับวักกลิภิกษุนี้ ไม่มีเลย
    ครั้งนั้น เราเป็นบุตรของพราหมณ์ในพระนครหังสาวดี ได้สดับพระพุทธสุภาษิตนั้น จึงชอบใจฐานันดรนั้น ครั้งนั้นเราได้นิมนต์พระตถาคตผู้ปราศจากมลทินพระองค์นั้นพร้อมด้วยพระสาวก ให้เสวยตลอด ๗ วันแล้วให้ครองผ้า เราหมอบศีรษะลงแล้ว จบลงในสาครคืออนันตคุณของพระศาสดาพระองค์นั้น เต็มเปี่ยมไปด้วยปีติ ได้กราบทูลดังนี้ว่า
    ข้าแต่พระมหามุนี ขอให้ข้าพระองค์ได้เป็นเช่นกันกับภิกษุผู้ศรัทธาธิมุตติที่พระองค์ทรงชมเชยว่าเป็นเลิศกว่าภิกษุมีศรัทธาในพระศาสนานี้เถิด.
    เมื่อเราได้กราบทูลดังนี้แล้ว พระมหามุนีผู้มีความเพียรใหญ่ มีพระทัสสนะมิได้มีเครื่องกีดกัน ได้ตรัสพระดำรัสนี้ในท่ามกลางบริษัทว่า
    จงดูมาณพผู้นี้ ผู้นุ่งผ้าเนื้อเกลี้ยงสีเหลือง มีอวัยวะอันบุญสร้างสมให้คล้ายทองคำ ดูดดื่มตาและใจของหมู่ชน ในอนาคตกาล มาณพผู้นี้จักได้เป็นพระสาวกของพระโคดมผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ เป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่ายศรัทธาธิมุตติ
    เขาเป็นเทวดาหรือมนุษย์ก็ตามจักเป็นผู้เว้นจากความเดือดร้อนทั้งปวง รวบรวมโภคทรัพย์ทุกอย่าง มีความสุขท่องเที่ยวไป
    ในที่แสนกัปแต่กัปนี้ พระศาสดามีพระนามว่าโคดม ทรงสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก มาณพผู้นี้จักเป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น จักเป็นโอรสอันธรรมเนรมิต จักเป็นสาวกของพระศาสดา มีนามว่าวักกลิ
    เพราะผลกรรมที่เหลือนั้นและเพราะตั้งเจตจำนงไว้ เราละร่างมนุษย์แล้วได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เรามีความสุขในที่ทุกสถาน ท่องเที่ยวไปในภพน้อยใหญ่ ได้เกิดในตระกูลหนึ่งในพระนครสาวัตถี
    มารดาของเราถูกภัยแต่ปิศาจคุกคาม มีใจหวาดกลัวจึงให้เราผู้ละเอียดอ่อนเหมือนเนยข้น นุ่มนิ่มเหมือนใบไม้อ่อนๆ ซึ่งยังนอนหงายให้นอนลงแทบบาทมูลของพระผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ กราบทูลว่า
    ข้าแต่พระโลกนาถ หม่อมฉันขอถวายทารกนี้แด่พระองค์ ข้าแต่พระโลกนายก ขอพระองค์จงทรงเป็นที่พึ่งของเขาด้วยเถิด
    ครั้งนั้น สมเด็จพระมุนีผู้เป็นที่พึ่งของหมู่สัตว์ผู้หวาดกลัว พระองค์ได้ทรงรับเราด้วยฝ่าพระหัตถ์อันอ่อนนุ่มมีตาข่าย อันท่านกำหนดด้วยจักรตั้งแต่นั้นมา.


    เราก็เป็นผู้ถูกรักษาโดยพระพุทธเจ้า จึงเป็นผู้พ้นจากความป่วยไข้ทุกอย่าง อยู่โดยสุขสำราญ เราเว้นจากสุคตเสียเพียงครู่เดียวก็รำคาญใจ พออายุได้ ๗ ขวบเราก็ออกบวชเป็นบรรพชิต เราเป็นผู้ไม่อิ่มด้วยการดูพระรูปอันประเสริฐเกิดเพราะบารมีทุกอย่าง มีดวงพระเนตรสีนิล ล้วนเกลื่อนกล่นไปด้วยวรรณสัณฐานอันงดงาม
    ครั้งนั้น พระศาสดาทรงทราบว่าเรายินดีในพระพุทธรูป จึงได้ตรัสสอนเราว่า อย่าเลยวักกลิ ประโยชน์อะไรในรูปที่น่าเกลียด ซึ่งคนพาลชอบเล่า ก็บัณฑิตใดเห็นสัทธรรม บัณฑิตนั้นชื่อว่าเห็นเรา. ผู้ไม่เห็นสัทธรรมถึงจะเห็นเราก็ชื่อว่าไม่เห็น. กายมีโทษไม่สิ้นสุด เปรียบเสมอด้วยต้นไม้มีพิษ เป็นที่อยู่ของโรคทุกอย่างล้วนเป็นที่ประชุมของทุกข์ เพราะฉะนั้น ท่านจงเบื่อหน่ายในรูป พิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย จักถึงที่สุดแห่งสรรพกิเลสได้โดยง่าย.
    เราอันสมเด็จพระโลกนายกผู้แสวงหาประโยชน์พระองค์นั้น ทรงพร่ำสอนอย่างนี้ ได้ขึ้นภูเขาคิชฌกูฏ เพ่งดูอยู่ที่ซอกเขา.
    พระพิชิตมารผู้มหามุนีประทับยืนอยู่ที่เชิงเขา เพื่อจะทรงปลอบโยนเราได้ตรัสเรียกว่า วักกลิ เราได้ฟังพระดำรัสนั้นเข้าก็เบิกบาน ครั้งนั้นเราวิ่งลงไปที่เงื้อมเขาสูงหลายร้อยชั่วบุรุษ แต่ถึงแผ่นดินได้โดยสะดวกทีเดียวด้วยพุทธานุภาพ.
    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนา คือความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลายอีก เรารู้ธรรมนั้นทั่วถึงแล้ว จึงได้บรรลุอรหัต
    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้มีพระปรีชาใหญ่ ทรงถึงที่สุดแห่งจรณะ ทรงประกาศในท่ามกลางแห่งมหาบริษัทแห่งสัตบุรุษว่า เราเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่ายศรัทธาธิมุตติ
    ในที่แสนกัปแต่กัปนี้ เราได้ทำกรรมใดไว้ในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... ฯลฯ ... พระพุทธศาสนา เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
    ____________________________
    ๑- ขุ. อ. เล่ม ๓๓/ข้อ ๑๒๒

    ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว แม้เมื่อพยากรณ์พระอรหัตผล ก็ได้กล่าวคาถานี้เหมือนกัน.
    ลำดับนั้น พระศาสดาประทับนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ จึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุผู้น้อมไปในศรัทธาฉะนี้แล.

    จบอรรถกถาวักกลิเถรคาถาที่ ๘
    -----------------------------------------------------
    .. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ปัญจกนิบาต ๘. วักกลิเถรคาถา จบ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 กันยายน 2014
  5. btme

    btme เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +319
    ดีจัง โมทนาสาธุกับเจ้าของกระทู้ด้วยครับ
    ผมเองก็เคยฝันถึงพระพุทธเจ้าเหมือนกัน มีครั้งนึงฝันเห็นทั้ง 5 พระองค์ของภัทรกัปนี้ สำหรับผมถึงจะเป็นฝันแต่ก็ปีติ คิดเข้าข้างตัวเองว่าเรายังพอมีบุญอยู่บ้างครับ
     
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,046
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,092
    ค่าพลัง:
    +70,364

    .....พอถึงฌาณสี่แล้ว ท่านเจ้าของกระทู้ปฏิบัติเช่นไรต่อครับ

    วางแผนปฏิบัติต่ออย่างไร ครูบาอาจารย์ที่ควบคุมวาระจิต ควบคุมกรรมฐาน

    หรือ อาศัยเป็นที่ปรีกษาประจำ เป็นท่านใดครับ...
     
  7. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    โลกมันพัฒนา กิเลสก็เลยเกิดง่าย และมากขึ้น น้ำใจที่เคยมีมันก็เลยเสื่อมลง อะไรอะไรก็มองเป็นเงินเป็นทอง แสวงหาวัตถุนิยม จะให้อรหันต์นั้นไม่ยาก แต่ตัดกิเลสหนาๆนั้นทำยาก คนสมัยก่อนมีสิ่งยั่วยุน้อย มีอะไรก็แบ่งปัน เห็นอกเห็นใจกัน

    แต่เกิดมาในยุคโลกาภิวัฒิ แต่ก็ยังถือว่าโชคดีที่มี พระธรรม ยังมีคำสอนเหลือไว้บ้าง ซึ่งคำสอนนั้นสามารถนำไปนิพพานได้อยู่มไม่แตกต่างจากสมัยพุทธกาล อรหันต์สมัยนี้ยังมี เพราะเรื่องของกิเลสนั้นสมัยนี้ตัดยาก แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีใครตัดได้

    ใครจะอรหันต์ จะมีมากมีน้อย สมัยก่อนสมัยนี้ ก็ไม่สำคัญเท่าทำตัวเองให้อรหันต์ให้จงได้ครับ

    ได้พบความฝันที่น่ายินดี เสริมศรัทธาได้มาก ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีครับ
     
  8. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    (จิต) คิด คิด คิด ถึงเรื่องอะไรก็มักฝันถึงเรื่องนั้น (หลับสนิทจะไม่ฝัน จะฝันต่อเมื่ออยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น เรียกตามภาษาทางธรรมว่า จิตจะขึ้นสู่วิถี)
     
  9. peacedev

    peacedev Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +49
    อาจจะฟังดูแปลก ถึงคนอื่นไม่เห็นแต่ผมรู้ว่าในบรรดาท่านที่มาเมนต์ตอบในกระทู้ของผมนี้
    ท่านเป็นผู้ที่มีปัญญามากที่สุด ถึงท่านกำลังจะออกตัวว่าไม่ได้ปฎิบัติมาเยอะก็ตามที
    ขอบคุณที่มาเม้นต์ตอบในกระทู้ผมครับ

    ตอบคำถามนะครับ
    ผมเคยสงสัยเลยได้สืบค้นมาพบว่า พระพุทธเจ้า น่าจะโกนพระเกศา
    แต่ที่ผมเห็น ไม่ได้เป็นปางที่โกนพระเกศา และไม่เหมือนกับพระพุทธรูปเลยครับ
    เห็นจากระยะห่างพอสมควรเลยไม่เห็นว่าขดเป็นก้นหอย เห็นเป็นพระเกศาสีดำสนิท และ ที่รวบไว้ข้างบนเป็นจุกใหญ่กว่าในพระพุทธรูปเยอะครับ ไม่ได้แหลมเหมือนยอดเจดีย์
    อีกทั้งสัดส่วนพระวรกายที่เห็นก็ดูต่างจากพระพุทธรูปเยอะเลยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2014
  10. peacedev

    peacedev Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +49
    โมทนาด้วยนะครับ
    ยังไงถ้าไม่รังเกียจ ขอให้เล่าสู่กันฟัง ถึงรายละเอียดในฝันหน่อยสิครับ
     
  11. peacedev

    peacedev Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +49
    หากท่านมีประสงค์จะแนะนำอะไร ก็ขอให้กำหนดจิตอ่านใจผมเอาเถิดครับ
    อย่าได้ถามออกมาเลยครับ :)
     
  12. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    การจะมาเกิดร่วมชาติกับพระสัมมาสัมโพธิญาณพระองค์ใดพระองค์หนึ่งขณะยังทรงพระชนม์
    ก็คงต้องมีความตั้งใจมั่น มาอย่างเป็นเวลาไม่น้อย
     
  13. banana603

    banana603 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +17
    หลายคนรวมทั้งตัวผมเองแม้จะมีศรัทธาจากคำสอนของพระพุทธองค์ที่มากถึงเพียงไหน ก็ยังไม่มากเท่าบุคคลได้เห็นพระบารมีของพระพุทธเจ้าด้วยดวงตาของตน

    เห็นด้วยตาก็มิเท่ากับการเห็นธรรมนะเนี่ย สัทฺธา ที่มั่นคงย่อมแน่นอนกว่า สัทฺธา ปุถุชนที่มักจะเลื่อนลอยหวังผล และ มักจะมีความกังขาลังเลอยู่เสมอ แต่ก็ยังจะดีกว่าผู้ที่ไม่มีแม้แต่ สัทฺธา น้อ

    เหตุจากฝันนี้ หากแต่ถ้าเป็นประโยชน์ต่อการละทุกข์ โทษ กิเลส ของเจ้าตัวได้บ้างก็นับว่าเป็นประโยชน์นะ แต่ถ้าเอาไว้คุยฟุ้งมาก ๆ มันก็กลับเป็นภัยต่อเจ้าของเนาะ...

    ว่าแต่ชื่อ dev นี่ใช่ผู้เดียวกับบอร์ดวัดเกาะรึป่าวหนะ...
     
  14. peacedev

    peacedev Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +49
    ขออำลาทุกท่านไปก่อนนะครับ

    หากมีคำถามใด ๆ ผมอาจจะไม่ได้กลับมาตอบซักระยะใหญ่ หรือ ไม่ก็อาจจะไม่กลับมาอีกเลยก็ได้ครับ
    ทีแรกผมเข้าใจว่าถ้ามาที่นี่แล้วจิตจะสงบขึ้น เกิดปัญญาได้มากขึ้น
    แต่กลายเป็นว่า จิตเริ่มฟุ้งขุ่นมัวไปซะอย่างนั้น สงสัยยังฝึกมาไม่พอ หรือไม่ก็ยังไม่เจอที่ ๆ เข้ากับจริตก็เป็นได้

    อนุโมทนากับทุกท่านที่เข้ามาด้วยกุศลจิตครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กันยายน 2014
  15. โ

    Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2014
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +62
    คุณครับ ผมอ่านเรื่องของคุณผมรู้สึกยินดีด้วยครับ แต่ผมก็รู้ว่าเดี๋ยวจะมีพวกเจ้าพ่อ พวก "รู้มาก" มาโพสต์แน่นอนครับ ไม่ต้องไปอ่านความเห็นหรอกครับโพสต์แล้วก็ไป
     
  16. เพียงเงา

    เพียงเงา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +37

    แค่นี้ก็จิตก้เสียศูนย์ ซะละ จะมีชีวิตแค่ในโลกความฝันเหรอ
     
  17. saibua

    saibua สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2014
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +8
    พอได้อ่านเรื่องของเจ้าของกระทู้ แล้วหวนให้นึกถึงความฟันของตัวเองเมื่อสี่ปีที่แล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณสี่ปีแล้วหลังจากปฎิบัติธรรม เมื่อหลายปีก่อนได้ไปปฎิบัติธรรมที่วัดป่าแห่งหนึ่ง เป็นระยะเวลาเกือบสองเดือน ตอนแรกกะไปสิบวันแต่อยู่ไปอยู่มาเกือบสองเดือนเพราะพระที่ท่านเมตตาสอนกรรมฐานให้ท่ายังไม่อยากให้ออกจากวัดเพราะกรรมฐานที่ฝึกอยู่กำลังหมุนเร็วมากท่านว่าถ้าเราพลาดโอกาสตรงนี้ไปแล้วกว่าที่บารมีมันจะเต็มอีกไม่รู้เมื่อไร่ ตอนนั้นเราไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับการปฎิบัติธรรมท่านบอกให้อยู่เราก็อยู่ โดยที่ทิ้งหน้าที่การงานไปเลยตอนที่เราจะไปวัดได้สมัครงานไว้และสัมภาษแล้วเขาบอกให้โทรติดต่อกลับไปเพราะมันเป็นงานระหว่างประเทศต้องสัมภาษกับเจ้าของที่มาเลย์เชียตอนนั้นคิดอยู่ตั้งหลายชั่วโมงเลยตัดสินใจเอาไงเอากันถ้าเรามีบุญบารมีพอที่จะรู้ธรรมเห็นธรรมในชาตินี้ก็ขอให้มีปฎิหารอะไรบางอย่างให้เรารู้เราเห็น ก็ดี พอไปนั่งสมาธิหลังจากที่ได้ตัดสินใจแล้วก็เกิดปฎิหารทันที ตอนนี้ขอไม่เล่านะเพราะจะยาวเกินไป พอประจักษ์กับตัวเองแล้วก็ได้ฝึกปฎิบัติแบบเอาเป็นเอาตายเลยจนมีวันหนึ่งพระอาจารย์ถึงสองรูปท่านได้พูดว่าโยมสามารถออกจากวัดได้แล้วพระกรรมฐานยอมไม่ลงไปกว่านี้แล้วมีปัญยาพอเอาตัวรอดได้แล้ว ตอนนั้นก็ยังไม่เข้าใจอะไรมากแต่ก็ทำตามเลยตัดสินใจออกจากวัดหลังจานั้นสองสามวัน

    พอมาถึงตรงนี้ก็กลับมาบ้านแล้วแต่ยังปฎิบัติเหมือนเดิมอยู่่ วันแรกที่กลับมาบ้านก่อนนอนได้นึกว่าเราติดขัด อะไรที่ทำให้การงานไปไม่ไกลเท่าที่ควร และจะจบในชาตินี้หรือเปล่า แล้วก็หลับพร้อมพิจารณา หลังจากนั้นไม่นานก็ฝันเห็นพระเดินอุ้มบาตรมาพร้อมกับพระบริวารอีกมากมาย ในใจเราคิดอยู่อย่างเดียวคือนี้คือพระพุทธเจ้าเราเลยเดินไปหาท่านพร้อมอาหารในมือเพื่อใส่บาตรท่าน ในความฝันเรามีอาหารเพียงน้อยนิดและไม่ละเอียดปราณีตเท่าไร่ เลยนึกในใจว่าท่านจะรับไหมหนอแล้วก็ได้ยินคำตอบว่าอย่าประมาทในการให้ทานจะมากจะน้อยไม่ได้อยู่ที่ตัววัตถุแต่อยู่ที่ใจ และควรมั่นให้ทานบ่อยสิ่งที่โยมติดอยู่จะดีขึ้น ในความฝันเหมือนจริงมากเพราะสถานที่มันคือหน้าบ้านเราเองปัจจุบันมันเป็นอย่างไรความฝันก็เป็นแบบนั้นเลย นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเราเลยทำทานแหลกลานเลยจนประมาณปีที่แล้วเรามีความรู้สึกว่ามันจะทำอะไรก็สดวกไปหมดไม่เหมือนก่อนหน้านั้น

    เล่าอีกหน่อยตอนที่เราเห็นพระพุทธเจ้าพร้อมบริวารเราเห็นประมาณว่ามีพระสองรูปเดินตามท่านทั้งซ้ายขวา และแถวถัดไปมีอีกห้ารูป และแถวถัดไปมีทั้งพระ เณร ฆราวาส ทั้งหญิงชายเราเลยนึกว่าอยากจะเข้าไปอยู่ในแถวนั้น ท่านก็ยิ้ม และก็ตื่นขึ้นมาพร้อมนาฬิกาปลุกเหมือนจริงมาก ความฝันนี้ไม่เคยเลือนเลยแม้จะผ่านมานานมากแล้วก็ตาม

    โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนยึดหลักของเหตุและผลมากเพราะชอบวิทยาศาสตร์ไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้เลยพอได้ประจักษ์กับตัวเองแล้วรู้ว่ามีอยู่จริง ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าอย่าละศรัทธานะโยมแล้วโยมจะรู้ได้ด้วยตัวเอง ตอนออกวัดมาใหม่ก็ยังไม่รู้อะไรมากแต่ไม่ละความเพียรทำไปเบื่อก็ทำขี้เกรียจก็ทำไม่มีเวลาก็ทำทำมันไปและก็ไม่ได้คาดหวังผลอะไรมาก

    เล่าเพื่อความสนุกขอให้เจริญในธรรมทุกคนสาธุ
     
  18. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    เอาในแง่พระสัทธรรมนะครับ ต้องบอกว่ารุ่งเรืองมากในยุคเรา อยากจะศึกษาเรื่องอะไร เข้า
    อินเตอร์เน็ต เดี๋ยวพระสูตรก็ออกมาเอง สมัยพุทธกาลซะอีก แม้จะเกิดช่วงเวลาเดียวกับสมัยพระพุทธองค์ ทรงพระชนม์ชีพอยู่ แต่อยู่คนละประเทศ ก็ไม่มีโอกาสได้ฟังพระสัทธรรมแม้แต่บทเดียว ฉะนั้นข้อนี้ยุคเราได้เปรียบมาก


    ส่วนไอ้ที่เสียเปรียบก็คือ คนยุคเรา "จิตมันไม่ตั้งมั่น" จิตมันสอดส่ายหาอารมณ์ แล้วเข้าไปติด สร้างอนุสัย สร้างภพ กันไม่หยุด "ทีวี"นี่เรียกว่า "ตู้ดึงวิญญาณ" ทีวีนี่ไม่เท่าไหร่ มันเฉพาะในบ้าน พออกนอกบ้านแล้ว ก็แล้วกัน แต่ตอนนี้ก็มี "มือถือ" อีก คราวนี้มันไปกับเราทุกที่ ว่างๆต้องหยิบ ขึ้นมาเสพเพลินมันซะที เปิด Facebook ปั๊บ เวทนา ตัณหา อุปาทาน มาเป็นพรวน สร้างภพไม่หยุด แบบนี้ไอ้คนยุคเราไม่ได้เจริญมรรคแปดเลย ฉะนั้นของพวกนี้ต้องเนกขัมมะออกมา ถ้าจะเอานิพพานกันชาตินี้ ก็ต้องรู้จักหลีกออกมา ไม่ให้จิตเข้าไปเสพติด คนยุคเราเลย เข้าถึงมรรคผลกันน้อย และในยุครุ่นลูก รุ่นหลานเราก็คงยิ่งกว่านี้


    "จิตที่มันไม่ตั้งมั่น" นั่นแหละ แม้จะได้ฟัง พระสัทธรรมกรอกหูอยู่ทั้งวัน ก็ไม่มีทางเห็นแจ้ง แต่ถ้าจิตตั้งมั่นนะ บางทีฟังครั้งเดียว ก็เห็นแจ้งขึ้นมาได้ อันนี้แง่ของการฟังธรรม พอมาดูในขั้นการปฏิบัติ ผมว่า ในยุคเราก็เฟืองฟูพอสมควร จะเห็นคนนุ่งผ้าขาวเข้าปฏิบัติธรรมตามวัดต่างๆ ไม่ได้เว้น แต่ทำไมถึงไม่เห็นแจ้งธรรม ก็ต้องบอกตรงๆ ว่า ไปติดวิธีการ ระเบียบ ที่ทำสืบๆกันมา โดยที่ไม่รู้ว่าทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร แต่ก็ทำตามไป ซักแต่ว่าทำตามครู อันนี้ผมเห็นเยอะ คนยุคนี้บางคนยังไม่รู้เลยว่านั่งสมาธิไปเพื่ออะไร พระพุทธองค์มุ่งหมายอะไร


    พระอรหันต์จึงมีน้อย แต่ใช่ว่าจะไม่มีนะครับ ส่วนจขกท.ฝันเห็นพระพุทธเจ้า อันนี้ก็อนุโมทนาด้วยครับ ถือเอาเป็นกำลังใจในการปฏิบัติได้ครับ แต่อย่าไปยึดกับความฝันมากนักครับ ผมก็ฝันถึงบ่อย แต่ไม่ได้เอามาเป็นส่วนสำคัญ ที่สำคัญจริงๆก็มรรคแปดน่ะครับ ปฏิบัติไปเถอะครับเดี๋ยวเห็นพระพุทธเจ้าได้จริงๆ ไม่ได้เห็นด้วยตาเนื้อนะครับ แต่เห็นธรรม ที่พระพุทธองค์ ทรงบอกทางเอาไว้ ให้สัตว์ได้ออกจากทุกข์ พ้นจากทุกข์ที่มันหาจุดจบไม่ได้
     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,046
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,092
    ค่าพลัง:
    +70,364


    ผมถาม เผื่อท่านเจ้าของกระทู้จะให้เกียรติตอบ

    เพื่อการสนทนาของเรา จะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย

    ไม่ต้องคิดมากว่า อะไรผิด อะไรถูก จากคำพูด คำวิจารณ์

    เพราะยังไม่อาจตัดสินได้เด็ดขาดจากการสนทนาในบอร์ด


    แต่ ถือเสียว่า เป็นการสนทนาธรรมตามกาล เป็นมงคลอย่างยิ่งประการหนึ่ง
     
  20. mesus

    mesus Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2014
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +35
    ผมสมาชิกใหม่ เพิ่งจะรู้ว่าในบอร์ดห้องอภิญญา-สมาธิ ในเว็บพลังจิตนี้ มี "เจ้าพ่อ" ให้การดูแลเว็บบอร์ดกันด้วย

    แล้วอย่างนี้จะต้องทำการบูชา บวงสรวงแด่สมาชิกบอร์ด ที่เป็น "เจ้าพ่อ" ประจำบอร์ด ที่ได้คอยดูแลให้พวกเรา อยู่เย็นเป็นสุขในบอร์ด ยังไงบ้างครับ ขอช่วยบอกกรรมวิธีการบวงสรวงบูชา แด่สมาชิกบอร์ดที่เป็นเจ้าพ่อประจำบอร์ด ให้สมาชิกใหม่อย่างผมได้ทราบด้วย จะได้ปฏิบัติตัวให้ถูกต้องตามธรรมเนียมปฏิบัติต่อไป ขอขอบคุณครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...