ไม่มีศีลข้อไหนที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า รับเงินทอง จับเงิน จับทอง แล้ว ปาราชิก ขาดจากความเป็นพระ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Saber, 16 มิถุนายน 2015.

  1. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๕ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕
    มหาวรรค ภาค ๒





    เรื่องเมณฑกะคหบดี
    [๘๓] ก็โดยสมัยนั้นแล เมณฑกะคหบดีตั้งบ้านเรือนอยู่ในพระนครภัททิยะ ท่านมี
    อิทธานุภาพเห็นปานฉะนี้ คือ ท่านสระเกล้า แล้วให้กวาดฉางข้าวนั่งอยู่นอกประตู ท่อธารข้าว
    เปลือกตกจากอากาศเต็มฉาง ภริยามีอิทธานุภาพเห็นปานฉะนี้ คือ นางนั่งใกล้กระถางข้าวสุกขนาด
    จุน้ำหนึ่งอาฬหกใบเดียวเท่านั้น และหม้อแกงหม้อหนึ่ง เลี้ยงอาหารแก่บุรุษที่เป็นทาสและกรรมกร
    อาหารนั้นไม่หมดสิ้นตลอดเวลาที่นางยังไม่ลุกไปจากที่ บุตรมีอิทธานุภาพเห็นปานฉะนี้ คือ
    เขาถือถุงจุเงินพันหนึ่ง ถุงเดียวเท่านั้น แล้วแจกเบี้ยหวัดกลางปีแก่บุรุษที่เป็นทาสและกรรมกร
    เงินนั้นไม่หมดสิ้น ตลอดเวลาที่ถุงเงินยังอยู่ในมือของเขา สะใภ้มีอิทธานุภาพเห็นปานฉะนี้ คือ
    นางนั่งใกล้กระเฌอจุข้าว ๔ ทะนานใบเดียวเท่านั้น แล้วแจกข้าวกลางปีแก่บุรุษที่เป็นทาสและ
    กรรมกร ข้าวนั้นมิได้หมดสิ้นตลอดเวลาที่นางยังไม่ลุกไปจากที่ ทาสมีอิทธานุภาพเห็นปานฉะนี้
    คือเมื่อเขาไถนาด้วยไถคันเดียว มีรอยไถถึง ๗ รอย.
    พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชได้ทรงสดับข่าวว่า เมณฑกะคหบดีตั้งบ้านเรือน
    อยู่ในพระนครภัททิยะแคว้นของพระองค์ เธอมีอิทธานุภาพเห็นปานฉะนี้ คือ เธอสระเกล้าแล้ว
    ให้กวาดฉางข้าว นั่งอยู่นอกประตู ท่อธารข้าวเปลือกตกจากอากาศเต็มฉาง ภริยามีอิทธานุภาพ
    เห็นปานฉะนี้ คือ นางนั่งใกล้กระถางข้าวสุกขนาดจุน้ำหนึ่งอาฬหกใบเดียวเท่านั้น และหม้อแกง
    หม้อหนึ่ง เลี้ยงอาหารแก่บุรุษที่เป็นทาสและกรรมกร อาหารนั้นไม่หมดสิ้นตลอดเวลาที่นางยัง
    ไม่ลุกไปจากที่ บุตรมีอิทธานุภาพเห็นปานฉะนี้ คือ เขาถือถุงจุเงินพันหนึ่งถุงเดียวเท่านั้น
    แล้วแจกเบี้ยหวัดกลางปีแก่บุรุษที่เป็นทาสและกรรมกร เงินนั้นไม่หมดสิ้น ตลอดเวลาที่ถุงเงิน
    ยังอยู่ในมือของเขา สะใภ้มีอิทธานุภาพเห็นปานฉะนี้ คือ นางนั่งใกล้กระเฌอจุข้าว ๔ ทะนาน
    ใบเดียวเท่านั้น แล้วแจกข้าวกลางปีแก่บุรุษที่เป็นทาสและกรรมกร ข้าวนั้นมิได้หมดสิ้นตลอด
    เวลาที่นางยังไม่ลุกไปจากที่ ทาสมีอิทธานุภาพเห็นปานฉะนี้ คือ เมื่อเขาไถนาด้วยไถคันเดียว
    มีรอยไถถึง ๗ รอย.
    ครั้งนั้น พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช ได้ตรัสเรียกมหาอำมาตย์ผู้สำเร็จราชการ
    มารับสั่งว่า ข่าวว่าเมณฑกะคหบดีตั้งบ้านเรือนอยู่ในพระนครภัททิยะแคว้นของเรา เธอมี
    อิทธานุภาพเห็นปานฉะนี้ คือ เธอสระเกล้าแล้วให้กวาดฉางข้าวนั่งอยู่นอกประตู ท่อธารข้าวเปลือก
    ตกจากอากาศเต็มฉาง ภริยามีอิทธานุภาพเห็นปานฉะนี้ คือ นางนั่งใกล้กระถางข้าวสุกขนาดจุน้ำ
    หนึ่งอาฬหกใบเดียวเท่านั้น และหม้อแกงใบหนึ่ง เลี้ยงอาหารแก่บุรุษที่เป็นทาสและกรรมกร
    อาหารนั้นไม่หมดสิ้นตลอดเวลาที่นางยังไม่ลุกไปจากที่ บุตรมีอิทธานุภาพเห็นปานฉะนี้ คือ เขา
    ถือถุงจุเงินพันหนึ่งถุงเดียวเท่านั้น แล้วแจกเบี้ยหวัดกลางปีแก่บุรุษที่เป็นทาสและกรรมกร เงิน
    นั้นไม่หมดสิ้นตลอดเวลาที่ถุงเงินยังอยู่ในมือของเขา สะใภ้มีอิทธานุภาพเห็นปานฉะนี้ คือ
    นางนั่งใกล้กระเฌอจุข้าว ๔ ทะนานใบเดียวเท่านั้น แล้วแจกข้าวกลางปีแก่บุรุษที่เป็นทาสและ
    กรรมกร ข้าวนั้นมิได้หมดสิ้นตลอดเวลาที่นางยังไม่ลุกไปจากที่ ทาสมีอิทธานุภาพเห็นปานฉะนี้
    คือ เมื่อเขาไถนาด้วยไถคันเดียว มีรอยไถถึง ๗ รอย พนาย เธอจงไปดูให้รู้เห็นเหมือนอย่างเรา
    ได้เห็นด้วยตนเอง.
    ท่านมหาอำมาตย์รับพระบรมราชโองการของพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชว่า เป็น
    ดังพระราชประสงค์ พระพุทธเจ้าข้า แล้วพร้อมด้วยเสนา ๔ เหล่า เดินทางไปยังภัททิยะนคร
    บทจรไปโดยลำดับจนถึงเมืองภัททิยะ เข้าไปหาเมณฑกะคหบดี ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้กะเมณฑกะ-
    *คหบดีว่า ท่านคหบดี ความจริงข้าพเจ้ามาโดยมีพระบรมราชโองการว่า พนาย ข่าวว่าเมณฑกะ-
    *คหบดีตั้งบ้านเรือนอยู่ในพระนครภัททิยะแคว้นของเรา ครอบครัวของเธอมีอิทธานุภาพเห็น
    ปานฉะนี้ คือ เธอสระเกล้าแล้วให้กวาดฉางข้าว นั่งอยู่นอกประตู ท่อธารข้าวเปลือกตกจากอากาศ
    เต็มฉาง ภริยามีอิทธานุภาพเห็นปานฉะนี้ คือ นางนั่งใกล้กระถางข้าวสุกขนาดจุน้ำหนึ่งอาฬ
    หกใบเดียวเท่านั้น และหม้อแกงหม้อหนึ่ง เลี้ยงอาหารแก่บุรุษที่เป็นทาสและกรรมกร อาหารนั้น
    ไม่หมดสิ้นตลอดเวลาที่นางยังไม่ลุกไปจากที่ บุตรมีอิทธานุภาพเห็นปานฉะนี้ คือ เขาถือถุงจุเงิน
    พันหนึ่งถุงเดียวเท่านั้น แล้วแจกเบี้ยหวัดกลางปีแก่บุรุษที่เป็นทาสและกรรมกร เงินนั้นไม่
    หมดสิ้นตลอดเวลาที่ถุงเงินยังอยู่ในมือของเขา สะใภ้มีอิทธานุภาพเห็นปานฉะนี้ คือนางนั่งใกล้
    กระเฌอจุข้าว ๔ ทะนานใบเดียวเท่านั้น แล้วแจกข้าวกลางปีแก่บุรุษที่เป็นทาสและกรรมกร
    ข้าวนั้นมิได้หมดสิ้นตลอดเวลาที่นางยังไม่ลุกไปจากที่ ทาสมีอิทธานุภาพเห็นปานฉะนี้ คือ เมื่อ
    เขาไถนาด้วยไถคันเดียว มีรอยไถถึง ๗ รอย พนาย เธอจงไปดูให้รู้เห็นเหมือนอย่างเรา ได้เห็น
    ด้วยตนเอง ท่านคหบดี ข้าพเจ้าขอชมอิทธานุภาพของท่าน.
    จึงเมณฑกะคหบดีสระเกล้าแล้ว ให้กวาดฉางข้าว นั่งอยู่นอกประตู ท่อธารข้าวเปลือก
    ตกลงมาจากอากาศเต็มฉาง
    มหาอำมาตย์สรรเสริญว่า ท่านคหบดี อิทธานุภาพของท่าน ข้าพเจ้าได้เห็นแล้ว ขอชม
    อิทธานุภาพของภรรยาท่าน
    เมณฑกะคหบดีสั่งภรรยาในทันใดว่า ถ้าเช่นนั้น เธอจงเลี้ยงอาหารแก่เสนา ๔ เหล่า
    ขณะนั้น ภรรยาท่านเมณฑกะคหบดีได้นั่งใกล้กระถางข้าวสุกขนาดจุน้ำหนึ่งอาฬหกใบ
    เดียวเท่านั้น กับหม้อแกงหม้อหนึ่ง แล้วเลี้ยงอาหารแก่เสนา ๔ เหล่า อาหารนั้นมิได้หมดสิ้นไป
    ตลอดเวลาที่นางยังไม่ลุกไปจากที่
    มหาอำมาตย์สรรเสริญว่า ท่านคหบดี อิทธานุภาพของภรรยาท่าน ข้าพเจ้าได้เห็นแล้ว
    ขอชมอิทธานุภาพของบุตรท่าน
    จึงเมณฑกะคหบดีสั่งบุตรว่า ถ้าเช่นนั้น พ่อจงแจกเบี้ยหวัดกลางปีแก่เสนา ๔ เหล่า
    ขณะนั้น บุตรของท่านเมณฑกะคหบดีถือถุงจุเงินพันหนึ่ง ถุงเดียวเท่านั้น แล้วได้แจก
    เบี้ยหวัดกลางปีแก่เสนา ๔ เหล่า เงินนั้นมิได้หมดสิ้นไป ตลอดเวลาที่ถุงเงินยังอยู่ในมือของเขา
    ท่านมหาอำมาตย์สรรเสริญว่า ท่านคหบดี อิทธานุภาพของบุตรท่าน ข้าพเจ้าได้เห็นแล้ว
    ขอชมอิทธานุภาพของสะใภ้ท่าน
    เมณฑกะคหบดีสั่งสะใภ้ทันทีว่า ถ้าเช่นนั้น แม่จงแจกข้าวกลางปีแก่เสนา ๔ เหล่า
    ขณะนั้น สะใภ้ของเมณฑกะคหบดีได้นั่งใกล้กระเฌอจุข้าว ๔ ทะนานใบเดียวเท่านั้น
    แล้วได้แจกข้าวกลางปีแก่เสนา ๔ เหล่า ข้าวนั้นมิได้หมดสิ้นไปตลอดเวลาที่นางยังไม่ลุกไป
    จากที่
    มหาอำมาตย์สรรเสริญว่า ท่านคหบดี อิทธานุภาพของสะใภ้ท่าน ข้าพเจ้าได้เห็นแล้ว
    ขอชมอิทธานุภาพของทาสท่าน
    เมณ. อิทธานุภาพของทาสข้าเจ้า ท่านต้องชมที่นา ขอรับ.
    ม. ไม่ต้องละท่านคหบดี แม้อิทธานุภาพของทาสท่าน ก็เป็นอันข้าพเจ้าได้เห็นแล้ว
    ครั้นเสร็จราชการนั้นแล้ว ท่านมหาอำมาตย์นั้นพร้อมด้วยเสนา ๔ เหล่า ก็เดินทางกลับพระนคร
    ราชคฤห์ เข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชกราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบทุกประการ.
    [๘๔] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในพระนครเวสาลีตามพระพุทธาภิรมย์ แล้ว
    เสด็จจาริกทางพระนครภัททิยะ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป เสด็จจาริก
    โดยลำดับ ได้เสด็จถึงพระนครภัททิยะแล้วทราบว่า พระองค์ประทับอยู่ ณ ชาติยาวัน เขต
    พระนครภัททิยะนั้น.
    พระพุทธคุณ

    เมณฑกะคหบดีได้สดับข่าวถนัดแน่ว่า ท่านผู้เจริญ พระสมณะโคดมศากยบุตร ทรง
    ผนวชจากศากยตระกูล เสด็จโดยลำดับถึงพระนครภัททิยะ ประทับอยู่ ณ ชาติยาวัน เขตพระนคร
    ภัททิยะ ก็พระกิตติศัพท์อันงามของท่านพระโคดมพระองค์นั้น ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะ
    เหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นทรงเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงบรรลุวิชชา
    และจรณะ เสด็จไปดีแล้วทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดา
    ของทวยเทพและมนุษย์ เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม พระองค์ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้ง
    เทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง แล้วทรงสอน
    หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ ทวยเทพและมนุษย์ให้รู้ ทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น
    งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะครบบริบูรณ์
    บริสุทธิ์ อนึ่ง การเห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็นปานนั้น เป็นความดี
    หลังจากนั้น เมณฑกะคหบดีให้จัดแจงยวดยานที่งามๆ แล้วขึ้นสู่ยวดยานที่งามๆ มี
    ยวดยานที่งามๆ หลายคันแล่นออกจากพระนครภัททิยะไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค.
    พวกเดียรถีย์เป็นอันมาก ได้เห็นเมณฑกะคหบดีกำลังมาแต่ไกลเทียว ครั้นแล้วได้
    ทักถามเมณฑกะคหบดีว่า ท่านคหบดี ท่านจะไปที่ไหน?
    เมณ. ข้าพเจ้าจะไปเฝ้าพระสมณะโคดม เจ้าข้า.
    ด. คหบดี ก็ท่านเป็นกิริยวาท จะไปเฝ้าสมณะโคดมผู้เป็นอกิริยวาททำไม เพราะ
    พระสมณะโคดมเป็นอกิริยวาท แสดงธรรมเพื่อความไม่ทำ และแนะนำสาวกตามแนวนั้น
    ลำดับนั้น เมณฑกะคหบดีคิดว่า พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น จักเป็นพระอรหันต-
    *สัมมาสัมพุทธเจ้าแน่แท้ไม่ต้องสงสัย เพราะฉะนั้น เดียรถีย์พวกนี้จึงพากันริษยา แล้วไปด้วย
    ยวดยานตลอดภูมิภาคที่ยวดยานจะไปได้ ลงจากยวดยานแล้ว เดินเข้าไปในพุทธสำนัก ถวาย
    บังคมพระผู้มีพระภาค นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
    ทรงแสดงธรรมโปรด

    พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงอนุปุพพพิกถาแก่เมณฑกะคหบดี ผู้นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วน
    ข้างหนึ่ง คือ ทรงประกาศทานกถา ศีลกถา สัคคกถา โทษ ความต่ำทราม ความเศร้าหมอง
    ของกามทั้งหลาย และอานิสงส์ในความออกจากกาม ขณะเมื่อพระองค์ทรงทราบว่า ท่าน
    เมณฑกะคหบดีมีจิตคล่อง มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว
    จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์
    สมุทัย นิโรธ มรรค ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดแก่ท่านเมณฑกะ-
    *คหบดี ณ สถานที่นั่งนั้นแลว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับ
    เป็นธรรมดา ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทิน ควรรับน้ำย้อมด้วยดีฉะนั้น.
    แสดงตนเป็นอุบาสก

    ครั้นเมณฑกะคหบดีเห็นธรรมแล้ว บรรลุธรรมแล้ว รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว หยั่งลงสู่ธรรม
    แล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัยถึงความเป็นผู้องอาจ ไม่ต้อง
    เชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า ภาษิตของพระองค์
    แจ่มแจ้งนัก พระพุทธเจ้าข้า ภาษิตของพระองค์ไพเราะนัก พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ทรง
    ประกาศธรรมโดยอเนกปริยายอย่างนี้เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิดบอกทาง
    แก่คนหลงทางหรือส่งประทีปในที่มืด ด้วยประสงค์ว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปฉะนั้น ข้าพระพุทธเจ้า
    นี้ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรมและพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระองค์โปรดทรงจำข้าพระพุทธ-
    *เจ้าว่า เป็นอุบาสกผู้มอบชีวิตถึงสรณะ จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป และขอพระองค์พร้อมกับ
    ภิกษุสงฆ์ จงทรงพระกรุณาโปรดรับภัตตาหารของข้าพระพุทธเจ้า เพื่อเจริญบุญกุศลและปิติ
    ปราโมทย์ในวันพรุ่งนี้ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคทรงรับอาราธนาด้วยดุษณีภาพ
    ครั้นเมณฑกะคหบดีทราบการรับอาราธนาของพระผู้มีพระภาคแล้ว ลุกจากที่นั่ง ถวายบังคมทำ
    ประทักษิณกลับไป แล้วสั่งให้ตกแต่งของเคี้ยวของฉันอันประณีตโดยผ่านราตรีนั้น แล้วให้
    เจ้าหน้าที่ไปกราบทูลภัตกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่า ถึงเวลาแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ภัตตาหาร
    เสร็จแล้ว.
    ครั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสก ถือบาตรจีวรเสด็จพระพุทธดำเนิน
    เข้าไปทางนิเวศน์ของเมณฑกะคหบดี ครั้นถึงแล้วประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ที่จัดไว้ พร้อมด้วย
    ภิกษุสงฆ์
    ขณะนั้น ภรรยา บุตร สะใภ้ และทาส ของเมณฑกะคหบดีได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค
    ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอนุปุพพิกถาแก่เขาทั้งหลาย
    คือ ทรงประกาศทานกถา ศีลกถา สัคคกถา โทษ ความต่ำทราม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย
    และอานิสงส์ในความออกจากกาม เมื่อพระองค์ทรงทราบว่า ชนเหล่านั้นมีจิตคล่อง มีจิตอ่อน
    มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้า
    ทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ดวงตาเห็นธรรม
    ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดแก่เขาทั้งหลาย ณ สถานที่นั่งนั้นแลว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมี
    ความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา ดุจผ้าที่สะอาด ปราศจากมลทิน
    ควรรับน้ำย้อมด้วยดี ฉะนั้น.
    ครั้นชนเหล่านั้นเห็นธรรมแล้ว บรรลุธรรมแล้ว รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้วหยั่งลงสู่ธรรมแล้ว
    ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัยแล้ว ถึงความเป็นผู้องอาจ ไม่ต้องเชื่อ
    ผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้ง
    นัก พระพุทธเจ้าข้า ภาษิตของพระองค์ไพเราะนัก พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ทรงประกาศธรรม
    โดยอเนกปริยายอย่างนี้ เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง
    หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยประสงค์ว่า คนมีจักษุจะเห็นรูปฉะนั้น ข้าพระพุทธเจ้าเหล่านี้ ขอถึง
    พระผู้มีพระภาค พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ ขอพระองค์โปรดทรงจำข้าพระพุทธเจ้า
    ทั้งหลายว่า เป็นอุบาสกอุบาสิกาผู้มอบชีวิตถึงสรณะ จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป.
    ครั้นเมณฑกะคหบดีอังคาสภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยขาทนียโภชนียาหาร
    อันประณีต ด้วยมือของตนจนยังพระผู้มีพระภาคผู้เสวยเสร็จ ทรงนำพระหัตถ์จากบาตรให้ห้าม
    ภัตรแล้วจึงนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบทูลปวารณาแด่พระผู้มีพระภาคว่า ตราบใดที่
    พระองค์ยังประทับอยู่ ณ พระนครภัททิยะ ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายภัตตาหารเป็นประจำแก่ภิกษุสงฆ์
    มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข.
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เมณฑกะคหบดีเห็นแจ้งสมาทาน อาจหาญ ร่าเริง
    ด้วยธรรมีกถา แล้วทรงลุกจากที่ประทับเสด็จกลับไป.
    เมณฑกคหบดีอังคาสพระสงฆ์

    [๘๕] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในพระนครภัททิยะตามพระพุทธาภิรมย์ แล้ว
    ไม่ได้ทรงลาเมณฑกะคหบดี เสด็จพระพุทธดำเนินไปทางชนบทอังคุตตราปะ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์
    หมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป เมณฑกะคหบดีได้ทราบข่าวแน่ชัดว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จพระ
    พุทธดำเนินไปทางชนบทอังคุตตราปะ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป จึงสั่ง
    ทาสและกรรมกรว่า พนายทั้งหลาย ถ้ากระนั้น พวกเจ้าจงบรรทุกเกลือบ้าง น้ำมันบ้าง ข้าวสาร
    บ้าง ของขบฉันบ้าง ลงในเกวียนให้มากๆ และคนเลี้ยงโค ๑,๒๕๐ คน จงพาแม่โคนม ๑,๒๕๐ ตัว
    มาด้วย เราจักเลี้ยงพระสงฆ์ด้วยน้ำนมสดอันรีดใหม่ที่มีน้ำยังอุ่นๆ ณ สถานที่ๆ เราได้พบ
    พระผู้มีพระภาค ครั้นเมณฑกะคหบดีตามไปพบพระผู้มีพระภาค ณ ระหว่างทางกันดาร จึงเข้าเฝ้า
    พระผู้มีพระภาค ถวายบังคมยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลอาราธนาว่า พระพุทธเจ้าข้า
    ขอพระผู้มีพระภาคพร้อมกับภิกษุสงฆ์ จงทรงพระกรุณาโปรดรับภัตตาหารของข้าพระพุทธเจ้า
    เพื่อเจริญบุญกุศลและปิติปราโมทย์ในวันพรุ่งนี้ด้วยเถิด พระผู้มีพระภาคทรงรับอาราธนาโดย
    ดุษณีภาพ ครั้นเมณฑกะคหบดี ทราบการทรงรับอาราธนาของพระผู้มีพระภาคแล้ว ลุกจากที่นั่ง
    ถวายบังคมทำประทักษิณกลับไป แล้วสั่งให้ตกแต่งของเคี้ยวของฉันอันประณีต โดยผ่านราตรีนั้น
    แล้วให้คนไปกราบทูลภัตกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่า ถึงเวลาแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ภัตตาหาร
    เสร็จแล้ว.
    ครั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวรเสด็จพระพุทธ-
    *ดำเนินเข้าสถานที่อังคาสของเมณฑกะคหบดี ครั้นแล้วประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ที่เขาปูลาดถวาย
    พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จึงเมณฑกะคหบดีสั่งคนเลี้ยงโค ๑,๒๕๐ คนว่า พนายทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น
    จงช่วยกันจับแม่โคนมคนละตัว แล้วยืนใกล้ๆ ภิกษุรูปละคนๆ เราจักเลี้ยงพระด้วยน้ำนมสด
    อันรีดใหม่ที่มีน้ำยังอุ่นๆ ครั้นแล้วได้อังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยขาทนีย-
    *โภชนียาหารอันประณีต และด้วยน้ำนมสดอันรีดใหม่ด้วยมือของตน จนให้ห้ามภัตรแล้ว ภิกษุ
    ทั้งหลายรังเกียจ ไม่ยอมรับประเคนน้ำนมสด พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    จงรับประเคนฉันเถิด.
    เมื่อเมณฑกะคหบดีอังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยขาทนียโภชนียาหาร
    อันประณีต และด้วยน้ำนมสดรีดใหม่ด้วยมือของตนจนยังพระผู้มีพระภาคผู้เสวยเสร็จ ทรงนำ
    พระหัตถ์ออกจากบาตรให้ห้ามภัตรแล้ว ได้นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมณฑกะคหบดีนั่งอยู่
    ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า มีอยู่ พระพุทธเจ้าข้า หนทาง
    กันดารอัตคัดน้ำ อัตคัดอาหาร ภิกษุไม่มีเสบียงจะเดินทางไป ทำไม่ได้ง่าย ขอประทานพระ
    วโรกาส ขอพระองค์โปรดทรงอนุญาตเสบียงเดินทางแก่ภิกษุทั้งหลายด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า.
    เมณฑกานุญาต
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เมณฑกะคหบดีเห็นแจ้งสมาทาน อาจหาญ ร่าเริง
    ด้วยธรรมีกถาแล้ว ทรงลุกจากที่ประทับเสด็จกลับไป หลังจากนั้นพระองค์ทรงทำธรรมีกถา
    ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตโครส ๕ คือ นมสด นมส้ม เปรียง เนยข้น เนยใส.
    มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย หนทางกันดารอัตคัดน้ำ อัตคัดอาหาร ภิกษุไม่มีเสบียงจะเดินทางไป
    ทำไม่ได้ง่าย เราอนุญาตให้แสวงหาเสบียงได้ คือ ภิกษุต้องการข้าวสาร พึงแสวงหาข้าวสาร
    ต้องการถั่วเขียว พึงแสวงหาถั่วเขียว ต้องการถั่วราชมาส พึงแสวงหาถั่วราชมาส ต้องการเกลือ
    พึงแสวงหาเกลือ ต้องการน้ำอ้อย พึงแสวงหาน้ำอ้อย ต้องการน้ำมัน พึงแสวงหาน้ำมัน
    ต้องการเนยใส ก็พึงแสวงหาเนยใส.
    มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย ชาวบ้านที่มีศรัทธาเลื่อมใส เขามอบเงินทองไว้ในมือกัปปิยการก
    สั่งว่า สิ่งใดควรแก่พระผู้เป็นเจ้า ขอท่านจงถวายสิ่งนั้นด้วยกัปปิยภัณฑ์นี้.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ยินดีของอันเป็นกัปปิยะจากกัปปิยภัณฑ์นั้นได้ แต่เรา
    มิได้กล่าวว่า พึงยินดี พึงแสวงหาทองและเงินโดยปริยายไรๆ เลย.

    เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๕ บรรทัดที่ ๒๑๖๙ - ๒๓๖๓. หน้าที่ ๘๘ - ๙๖.
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka...63&pagebreak=0
     
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    เรื่องเมณฑกะคหบดี ขออนุญาติ พระพุทธเจ้า

    ให้พระภิกษุ รับเงินทอง จากชาวบ้านที่มีศรัทธาเลื่อมใส เขามอบเงินทอง

    พระพุทธเจ้า อนุญาติ ให้รับได้


    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๕ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕
    มหาวรรค ภาค ๒
    เรื่องเมณฑกะคหบดี​
     
  3. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ภิกษุทั้งหลาย ชาวบ้านที่มีศรัทธาเลื่อมใส เขามอบเงินทองไว้ในมือกัปปิยการก
    สั่งว่า สิ่งใดควรแก่พระผู้เป็นเจ้า ขอท่านจงถวายสิ่งนั้นด้วยกัปปิยภัณฑ์นี้.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ยินดีของอันเป็นกัปปิยะจากกัปปิยภัณฑ์นั้นได้


    เมณฑกานุญาต
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เมณฑกะคหบดีเห็นแจ้งสมาทาน อาจหาญ ร่าเริง
    ด้วยธรรมีกถาแล้ว ทรงลุกจากที่ประทับเสด็จกลับไป หลังจากนั้นพระองค์ทรงทำธรรมีกถา
    ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตโครส ๕ คือ นมสด นมส้ม เปรียง เนยข้น เนยใส.
    มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย หนทางกันดารอัตคัดน้ำ อัตคัดอาหาร ภิกษุไม่มีเสบียงจะเดินทางไป
    ทำไม่ได้ง่าย เราอนุญาตให้แสวงหาเสบียงได้ คือ ภิกษุต้องการข้าวสาร พึงแสวงหาข้าวสาร
    ต้องการถั่วเขียว พึงแสวงหาถั่วเขียว ต้องการถั่วราชมาส พึงแสวงหาถั่วราชมาส ต้องการเกลือ
    พึงแสวงหาเกลือ ต้องการน้ำอ้อย พึงแสวงหาน้ำอ้อย ต้องการน้ำมัน พึงแสวงหาน้ำมัน
    ต้องการเนยใส ก็พึงแสวงหาเนยใส.
    มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย ชาวบ้านที่มีศรัทธาเลื่อมใส เขามอบเงินทองไว้ในมือกัปปิยการก
    สั่งว่า สิ่งใดควรแก่พระผู้เป็นเจ้า ขอท่านจงถวายสิ่งนั้นด้วยกัปปิยภัณฑ์นี้.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ยินดีของอันเป็นกัปปิยะจากกัปปิยภัณฑ์นั้นได้ แต่เรามิได้กล่าวว่า พึงยินดี พึงแสวงหาทองและเงินโดยปริยายไรๆ เลย.
    เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๕ บรรทัดที่ ๒๑๖๙ - ๒๓๖๓. หน้าที่ ๘๘ - ๙๖.
    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka...63&pagebreak=0
     
  4. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ชาตรูปรชตํ อุคฺคณฺเหยฺย วา อุคฺคณฺหาเปยฺย วา อุปนิกฺขิตฺตํ วา สาทิเยยฺย, นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํ ภิกษุรูปใดก็ตามรับเงินก็ดี ทองก็ดี หรือสิ่งที่สมมุติให้เป็นเงินก็ดี รับเองก็ดีต้องอาบัติ ให้คนอื่นรับต้องอาบัติ หรือเขารับให้ยินดีก็ต้องอาบัติจากการรับของเขา นั่นฟังซิปรับขนาดนั้น นี่เป็นพระบัญญัติเบื้องต้น อันดับที่สองเมณฑกเศรษฐีไปขอความผ่อนผันจึงลดลงมา แต่ก่อนไม่ให้รับทั้งนั้นเลย ต่อมาอันดับหลังนี้จึงมาผ่อนผันให้เขารับแทนได้ แต่ให้ยินดีในกัปปิยภัณฑ์ที่เขาจะไปซื้อมา ไม่ ให้ยินดีในเงินทองที่เขาเก็บไว้เพื่อตน ถ้ายินดีปรับอีก แน่ะฟังซิ คือท่านตัดขาดเพื่อไม่ให้มีความเยื่อใยในสิ่งเหล่านี้เลย จะได้ปฏิบัติธรรมสะดวกไม่มีอะไรเลย เพราะอันนี้เป็นภัยมาก พระพุทธเจ้าจึงตัดอย่างรุนแรง คือเป็นภัยต่อการบำเพ็ญธรรม เอาละเลิกกัน
     
  5. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    พระวินัยปิฎก

    เภสัชชขันธกะ​


    เมณฑกานุญาต​

    ภิกษุทั้งหลาย ชาวบ้านที่มีศรัทธาเลื่อมใส เขามอบเงินทอง

    ไว้ในมือกัปปิยการกสั่งว่า สิ่งใดควรแก่พระผู้เป็นเจ้าขอท่านจงถวายสิ่งนั้นด้วยกัปปิยภัณฑ์นี้

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ยินดีของอันเป็นกัปปิยะจากกัปปิยภันฑ์นั้นไว้ แต่เรามิได้กล่าวว่า พึงยินดี พึงแสวงหาทองและเงินโดย
     
  6. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    พระวินัยปิฎก

    เภสัชชขันธกะ

    เมณฑกานุญาต

    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้เมณฑกะคหบดีเห็นแจ้ง

    สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว ทรงลุกจากที่ประทับเสด็จ

    กลับไป หลังจากนั้นพระองค์ทรงธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ใน

    เพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้ง

    หลาย เราอนุญาตโครส ๕ คือ นมสด นมส้ม เปรียง เนยข้น เนยใส

    มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย หนทางกันดารอัตคัดน้ำ อัตคัดอาหาร ภิกษุไม่มีเสบียง

    จะเดินทางไป ทำไม่ได้ง่าย เราอนุญาตให้แสวงหาเสบียงได้คือ ภิกษุต้องการ

    ข้าวสารพึงแสวงหาข้าวสาร ต้องการถั่วเขียวพึงแสวงหาถั่วเขียวต้องการถั่ว

    ราชมาสพึงแสวงหาถั่วราชมาส ต้องการเกลือพึงแสวงหาเกลือ ต้องการน้ำอ้อย

    พึงแสวงหาน้ำอ้อย ต้องการน้ำมันพึงแสวงหาน้ำมัน ต้องการเนยใสก็พึงแสวง

    หาเนยใส มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย ชาวบ้านที่มีศรัทธาเลื่อมใส เขามอบเงินทอง

    ไว้ในมือกัปปิยการกสั่งว่า สิ่งใดควรแก่พระผู้เป็นเจ้าขอท่านจงถวายสิ่งนั้น

    ด้วยกัปปิยภัณฑ์นี้


    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ยินดีของอันเป็นกัปปิยะจาก

    กัปปิยภันฑ์นั้นไว้ แต่เรามิได้กล่าวว่า พึงยินดี พึงแสวงหาทองและเงินโดย
     
  7. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗
    ความดีไม่ได้เกิดจากการทำชั่ว
    ผู้กำกับ จากนสพ.พิมพ์ไทย คอลัมน์วิจารณธรรม วันจันทร์ที่ 18 ต.ค.47
    วิบากกรรมติดจรวด !!

    วันนี้ต้องขออภัยท่านผู้ชมที่ติดตามเรื่องความเป็นพระป่าที่ผมเขียนมาถึงตอนที่ 6 แล้ว โดยได้กล่าวถึงปัจจัยส่วนกลางกับอาหารบิณฑบาตซึ่งทางปฏิบัติพระป่าท่านจะนำมาแบ่งปันกันด้วยความยุติธรรมและตามความจำเป็นแก่เพศสมณะ ไม่คิดว่านี่ของกูเป็นเฉพาะของกู หรือเที่ยวตู่เอาของส่วนกลางซึ่งเป็นของสงฆ์มาเป็นของตนหรือเอาไปส่งส่วยแก่พระผู้ใหญ่ เหมือนเรื่องราวอื้อฉาวที่กำลังเกิดขึ้นกับวัดหลวงพ่อโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา
    จำต้องขอพักเรื่องพระป่าไว้ก่อน !
    เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับวัดหลวงพ่อโสธร ดังที่ท่านผู้ชมทั้งหลายได้ทราบจากข่าวหนังสือพิมพ์และทางหน้าจอทีวีนั้นที่จริงเรื่องนี้จะเกิดความเสียหายต่อวัดศักดิ์สิทธิ์ที่คนทั่วโลกให้ความเลื่อมใสศรัทธาไม่ได้เลยหากผู้เป็นใหญ่ในวงการสงฆ์มีจิตยุติธรรม
    ในเมื่อรู้แล้วว่าหลวงพ่อเจ้าอาวาส ท่านมีปัญหาในเรื่องการดูแลทรัพย์สินของวัดแล้ว ทำไมผู้เป็นใหญ่ในวงการสงฆ์ถึงไม่ตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวน ให้เป็นไปตามกฎระเบียบของคณะสงฆ์ รู้ทั้งรู้ว่าหลวงพ่อวัดโสธรท่านเป็นพระสังฆาธิการระดับเจ้าอาวาสข้อปฏิบัติด้านจริยาพระสังฆาธิการก็มีบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์อยู่แล้ว
    ทำไมถึงไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามขั้นตามตอน ??
    หรือว่าสำหรับหลวงพ่อวัดโสธรมีข้อยกเว้น !ยกเว้นเช่นเดียวกับพระผู้ใหญ่บางรูปที่ไม่ต้องถูกดำเนินนิคหกรรม ??
    แนวทางปฏิบัติของคณะสงฆ์นั้นให้ถือเป็นความลับห้ามไม่ให้แพร่งพรายให้คนภายนอกรู้ เพื่อจะได้ไม่เกิดความเสียหายต่อภาพรวมของพระศาสนาไม่ให้ใครตราหน้าว่าได้เกิดความเน่าเฟะขึ้นในวงการสงฆ์
    ทำไมเล่าถึงปฏิบัติลัดขั้นตอนรวบหัวรวบหางเอาไปดำเนินการเสียเอง แล้วรีบตัดสินชนิดที่ห้ามไม่ให้มีอุทธรณ์ฎีกา
    พิโธ่ พิถัง !หลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดโสธรท่านอายุเกือบจะเก้าสิบอยู่รอมร่อแล้วท่านสร้างความเจริญให้แก่พระพุทธศาสนาและบ้านเมืองมานานนับชั่วอายุคนแต่ทำไมเวลาท่านถูกกล่าวหาว่าหย่อนยานในเรื่องการดูแลทรัพย์สมบัติของวัดเพียงเท่านั้นทำไมถึงต้องถูกปลดท่านในทำนองประจานกันด้วย ??
    ว่าก็ว่าเถอะ วัดหลวงพ่อโสธรนั้นใครๆก็รู้ว่ามีผลประโยชน์ซึ่งเป็นเงินสดเข้าวัดนับวันละหลายแสนบาทแต่ถ้าจัดงานพุทธาภิเษกสิ่งมงคลก็จะมีเงินไหลมาเทมาเข้าวัดนับเป็นสิบเป็นร้อยล้านบาทผลประโยชน์ดังที่ว่านี้เองที่ทำให้พระผู้ใหญ่จากส่วนกลางต้องมาขอความสนับสนุนในเรื่องเงินๆ ทองๆ กับวัดนี้อยู่บ่อยครั้งทั้งในเรื่องการเคลื่อนไหวที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาล และการเคลื่อนไหวที่ขนพระเณรมาเชียร์ให้กำลังใจพระผู้ใหญ่บางรูป
    การจ่ายเงินส่วนกลางของวัดไปช่วยเหลือกิจการพระผู้ใหญ่ในส่วนกลางหลวง พ่อเจ้าอาวาสท่านจ่ายให้ตามร้องขอมิได้ขาด แต่ผู้ที่ได้หน้ากลับไม่ใช่หลวงพ่อเจ้าอาวาส ส่วนจะเป็นใครนั้นคงพิจารณาได้จากพฤติกรรมอันมิชอบของพระรูปหนึ่งที่ กระเหี้ยนกระหือรืออยากขึ้นมาเป็นเจ้าอาวาสแทนนั่นแหละ
    ไม่พ้นไปจากการปล้นบัลลังก์เจ้าอาวาส !
    ความ อยุติธรรมกำลังเฟื่องฟูในวงการสงฆ์ กระบวนการยุติธรรมที่เอาวางไว้ดีแล้วกลับไม่ถือปฏิบัติ ฉีกกฎมหาเถรสมาคมที่มีมาช้านานทิ้งอย่างไม่แยแส จู่ๆ ก้นำเรื่องนี้เข้ารายงานต่อที่ประชุมมหาเถรสมาคม โดยไม่ต้องบรรจุเป็นวาระการประชุมตามระเบียบที่วางเอาไว้ดีแล้ว พอพูดในที่ประชุมจบก็อ้างเป็นมติมส.
    ผู้ถูกเชือดหมดสิทธิ์จะร้องขอความยุติธรรม
    วิบากกรรมจึงติดจรวด !!
    ทันทีที่ออกข่าวปลดเจ้าอาวาสโดยไม่เป็นธรรมบ่ายวันเดียวกันพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งก็ถูกหามส่งโรงพยาบาล คุณหมอผู้เชี่ยวชาญจาก 2 โรงพยาบาลใหญ่ต้องช่วยกันผ่าตัดช่วยชีวิตแบบฉุกเฉินตัดชิ้นเนื้อไปตรวจหาเนื้อร้ายทางแล็ป ปกปิดข่าวสนิทห้ามมิให้แพร่งพรายออกไปภายนอก
    พิจารณาตัวตนบ้างเถอะ เขาแก่ เราก็แก่ เขาป่วยได้ เราก็ป่วยได้เมื่อปลดเขาด้วยอ้างว่าแก่ ก็ควรปลดตัวเราเองได้ตามวิบากกรรม !!

    ณ. หนูแก้ว
    หลวงตา อย่า ปิด ความจริงปิดไม่ได้ ความจริงจริงตลอด ปิดไม่อยู่ บอกแล้ว นี่ก็ออกมาตามความจริง ไปผ่าตัดหรืออะไร บางคนเขาว่าไปผ่าตัดพวงหำ ว่าเป็นมะเร็ง ปิดไม่ปิดก็มีคนมาเล่าให้ฟัง เราได้ยินอย่างนี้ก็ต้องเปิดออกมาใช่ไหม ว่ามะเร็งกินหำ อ้าว เขาว่าอย่างนั้น เราเปิดเผยยังบอก
    โยม กราบเรียนเพิ่มเติมครับ เขาประกาศทางไอทีวี ช่วงนี้สมเด็จพระพุฒาจารย์ป่วยก็เลยมอบให้สมเด็จวัดชนะสงครามปฏิบัติหน้าที่แทน
    หลวงตา ท่าน องค์นี้ทราบว่าท่านเป็นธรรมมาดั้งเดิมนะ ก็ไปอ้างธรรม ผู้เป็นธรรม วัดชนะสงครามท่านเป็นธรรม แต่ความไม่เป็นธรรมเราเป็นผู้ทำเอง ก็อย่างนั้นละมันปลิ้นปล้อนพวกนี้ แหมเราเห็นศาสนาที่เลอะเทอะที่สุดก็คือปัจจุบันนี้แหละ ตั้งแต่เราบวชมาก็ไม่เคยเห็น จนสลดสังเวชนะเรื่องเหล่านี้ เห็นไหมนั่นยกทัพออกมาตีกันเหมือนหมา ไม่ใช่เหมือนพระ หัวโล้นๆ ผ้าเหลืองๆ ยกทัพออกมาตีกัน เขาเอามาติดไว้ที่หน้าศาลาเห็นไหมล่ะ เป็นพระทำไมจะทำอย่างนั้นได้ลงคอ ทำไม่ได้ ไม่มี ตั้งแต่สัตว์พระพุทธเจ้าก็ไม่ให้เบียดเบียนไม่ให้ทำลาย นี้ทำไมยกทัพออกมาอย่างนี้ ผ้าเหลืองๆ หัวโล้นๆ ดูเอาซิ
    เรา นี้พูดจริงๆ คือเราไม่มีอะไรที่จะตอบรับใคร ทั้งดีทั้งชั่วเข้ามาหาเราไม่ติด บอกงั้นเลย มีแต่ความสลดสังเวชกับโลกที่สกปรกแสนสกปรกเท่านั้นเอง ว่าอะไรขึ้นมาเราไม่มีส่วน เราพูดจริงๆ เปิดอก บอกว่าเราไม่มีในสามแดนโลกธาตุนี่ เราก็ฟังไปพูดไปอย่างนั้นแหละ เราไม่มี จะทำอะไรก็ไม่มีกับเรา เรื่องดีเรื่องชั่วเป็นเรื่องสมมุติทั้งหมด จะโจมตีแบบไหนก็เท่าเดิม ยกยอก็เท่าเดิม เข้าหาเจ้าของ โจมตีคนอื่นก็คือโจมตีเจ้าของ ยกยอคนอื่นก็คือยกยอเจ้าของ ไม่ไปไหนแหละ มาที่นี่ อย่างหลวงตาบัวนี่พูดจริงๆ เปิดอกแล้วมาได้ ๕๕ ปี เข้าใจไหม
    นี่ ละธรรมของพระพุทธเจ้าจริงหรือไม่จริง พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาพระองค์เดียวเป็นศาสดาสามโลกธาตุ ดูซิพระพุทธเจ้าจริงหรือไม่จริง นี่เปิดออกมาจากหัวอกนี้ก็ธรรมอันเดียวกันทำไมจะไม่จริง ก็จริงอันเดียวกันทำไมจะพูดไม่ได้ ความชั่วเขาทำเต็มโลกเต็มสงสาร เปิดเผยอย่างเต็มโลกเต็มสงสารเขายังเปิดเผยได้ทำได้แล้วเขาก็พูดได้ ทำไมเราจะพูดไม่ได้ เราก็พูดได้เช่นเดียวกัน ทั้งดีทั้งชั่วเป็นของจริงด้วยกัน พูดได้เสมอกัน
    เรา สลดสังเวชนะบรรดาพี่น้องทั้งหลายได้มาเห็นคราวนี้ เราไม่มีส่วนอะไรเลยมีแต่ปลงธรรมสังเวช จะว่าได้ว่าเสียกับอะไรเราบอกได้ว่าเราไม่มี เราพอทุกอย่างแล้ว ไม่ว่าจะติฉินนินทาหรือสรรเสริญเยินยอ ไม่เข้าทั้งนั้น บอกพอคำเดียว ไม่เข้า มีแต่ความสลดสังเวชกับโลกที่สกปรกเท่านั้น ให้ท่านทั้งหลายพินิจพิจารณา ให้แก้ออก ตัวสกปรกมันอยู่ในหัวใจเรา มันแสดงออกจากหัวใจเป็นกิริยาท่าทางต่างๆ ออกจากหัวใจทั้งนั้น ให้พากันแก้หัวใจ ให้ดูหัวใจตนเอง อย่าไปดูแต่โน้นแต่นี้ อันนั้นดีอันนี้ดี หาติหาชมอันนั้นอันนี้ หัวใจเจ้าของที่เป็นไฟอยู่ในหัวอก เผาหัวอกทั้งวันทั้งคืนไม่ติไม่ชมไม่แก้ไม่ไข จนกระทั่งวันตายก็ตายไปด้วยความจมนั่นแหละถ้าไม่แก้นะ ถ้าแก้แก้ได้เวลานี้ยังไม่ตาย ตายแล้วจะนิมนต์พระมากุสลา ๕๐๐ วัดก็ตามเถอะไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะการทำอยู่กับเจ้าของ ใครจะไปแบ่งเอาดึงเอาออกได้ ถ้าดึงออกได้พระพุทธเจ้าก็จะสอนว่า เอ้า ใครจะทำอะไรก็ทำเถอะ ตายแล้วหลวงตาองค์เดียวเท่านั้นไปกุสลาให้ กวาดออกหมดความชั่วไม่ให้มีเหลือ พระพุทธเจ้าไม่ทรงบัญญัติ
    กุสลา ธมฺมา ก็คือธรรมที่ทำคนให้ฉลาด สอนแก้ไขดัดแปลงตนเองให้ฉลาดขึ้นมา ก็เป็นความดีแก่ตนขึ้นมาเท่านั้นเอง ก็ไม่ทราบว่าจะไปสร้างอะไรนักหนา ความดิบความดีไม่ได้เกิดจากการทำชั่วนะ การทำชั่วเกิดความทุกข์ เกิดความชั่วขึ้นมา การทำดีต่างหากเกิดความดีความสุขความเจริญขึ้นมาก็เห็นกันหยกๆ ศาสนาพระพุทธเจ้าสอนมานี้ เมืองไทยเราอยู่ท่ามกลางศาสนา แล้วผู้ที่ทรงศาสนานี้เสียเองเป็นผู้สร้างความชั่วช้าลามก แล้วโลกเขาจะกราบไหว้ได้ยังไง ไม่มีใครจะกราบไหว้ หมาก็ไม่กราบจะว่าอะไร ลงคนไม่กราบแล้วหมามันจะมีอำนาจยิ่งกว่าคนไปกราบได้ยังไง หมาก็ไม่กราบ ให้พากันพินิจพิจารณานะ นี้เป็นธรรมสอนเราทั้งนั้นแหละ อย่าทำอย่างนั้น ดูไม่ได้เลย โลกนี้แตกถ้าขืนทำอย่างนี้กัน
    เพียง แสดงขึ้นมานี้สะเทือนโลกขนาดไหน นั่นเห็นไหมรูปภาพออกมานั่น พระยกทัพออกมาจะมารบข้าศึกศัตรูทั้งหลาย เหมือนฆราวาสญาติโยม เหมือนทหารตำรวจเขาที่รักษาชาติบ้านเมือง อันนี้รักษาอะไร นี้คือทำลาย นั่นเขาทำเพื่อรักษา อันนี้ทำเพื่อทำลาย มันต่างกันนะ ถ้าพระออกไปทำอย่างนี้ก็เพื่อทำลาย ตำรวจทหารเขารักษาชาติบ้านเมือง เขาทำลายข้าศึกศัตรูต่างหาก เขาไม่ได้ทำลายชาติบ้านเมืองของเขา มีตำรวจทหารไว้รักษา เป็นรั้วบ้าน กำแพงบ้านกำแพงเมืองกำแพงชาติ นั่นเป็นประโยชน์ จึงมีมาประจำ แต่พระนี้ไปเป็นอย่างนั้นไม่เคยมี ไม่มีที่ไหน มันอุตริออกมาหาอะไรทำอะไรให้โลกเขาได้สลดสังเวชกัน เฉพาะอย่างยิ่งโลกชาวพุทธเราดูไม่ได้เลย ดูพระแบบนี้น่ะ พากันพิจารณานะ
    เรา พูดจริงๆ เราไม่มีอะไรกับโลก มีแต่ความสลดสังเวชเท่านั้น เอ้อ พระพุทธเจ้าก็สอนพอแล้ว นี่พวกเป็นมหาเสียด้วย เป็นมหาแต่เปลี่ยนสระพยัญชนะตัวหน้าตัวหลังพลิกใส่กัน เปลี่ยนมหาให้เป็นหมามันก็เปลี่ยนได้ยากอะไร ก็คนเปลี่ยน มหาก็ตั้งขึ้นมา หมาก็ตั้งขึ้นมาได้ เปลี่ยนไปไหนก็เปลี่ยนได้ซิ อู๊ย สลดสังเวชจริงๆ นะจิตใจนี้เมื่อมันต่ำลงไปแล้วมันจะไม่ดูเลยนะของดิบของดี จะดูตั้งแต่ของชั่วช้าลามก ถือว่าเป็นของดี เป็นอย่างนั้นแหละ มีเท่านั้นละ
    โอ๊ย ปวดขา ต้องเหยียดออก ว่าวิบากกรรมๆ นี่หลวงตาบัวก็เป็นวิบากกรรมเหมือนกันดูเอาซิ มันมีด้วยกันทุกคนวิบากกรรม ใครอย่าไปอวดต่อกรรมนะ พระพุทธเจ้าแสดงไว้ว่า นตฺถิ กมฺมสมํ พลํ ไม่มีอานุภาพใดสามแดนโลกธาตุนี้จะเหนืออานุภาพแห่งกรรมไปได้ อานุภาพแห่งกรรมเหนือโลกเลย นั่นฟังซิ ใครจะไปเก่งกว่ากรรม เก่งกว่าคำสอนของพระพุทธเจ้านี้ฉิบหายทั้งนั้นแหละ นตฺถิ กมฺมสมํ พลํ อานุภาพแห่งกรรมนี้เหนือทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดจะมาเสมอได้เลย ตีเสมอไม่ได้ นั่นท่านบอกไว้แล้ว พากันพิจารณานะ ไม่มีใครเหนือกรรมไปได้เลย แล้วยังจะอวดเก่งกว่ากรรมไปได้ยังไง เหนือไม่ได้เหนือกรรม ท่านสอนให้ระมัดระวัง กรรมดีให้สั่งสมให้ดี กรรมชั่วสั่งสมเท่าไรก็ชั่วไปตลอด
    เห็น ไหมเวลาพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ ท่านทรงบำเพ็ญขนาดสลบไสล ใครไปรู้ไปเห็นท่าน ท่านไปประกาศตนที่ไหน ท่านก็ทำโดยลำพังพระองค์เอง ตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาใครรู้เมื่อไร พระองค์เองรู้ก่อน เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมรู้ตามลำดับลำดากัน ดังท่านแสดงไว้ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร พวกเทวดาตั้งแต่ภุมมเทวดานี้ พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วสะเทือนขึ้นไป ภุมมเทวดาบอกเทวดาชั้นจาตุมเรื่อยๆ บอกกันเป็นลำดับ ว่าธรรมชาติที่เลิศเลอได้เกิดขึ้นแล้วในโลกๆ พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ขึ้นไปถึงพรหมโลก ๑๖ ชั้น ในขณะเดียวกันเท่านั้นถึงกันหมดเลย พระองค์ไปประกาศที่ไหน ทำไมโลกเขารู้ได้ เทวบุตรเทวดาก็รู้ได้ พระพุทธเจ้าพระองค์ไปประกาศที่ไหน
    ความจริงเป็นอยู่ในพระพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ทรงรู้ก่อน พวกนี้ก็รู้ตามลำดับลำดา ประกาศก้องกันเลยอิติห เตน ขเณน เตน มุหุตฺเตน, ยาว พฺรหฺมโลกา สทฺโท อพฺภุคฺคจฺฉิ เรื่องกระทบกระเทือนไปถึงหมื่นโลกธาตุ ทสสหสฺสี โลกธาตุ หมื่นโลกธาตุกระเทือนไปหมดในขณะเดียวกันเท่านั้นที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ นี่ละของเลิศเลอกระเทือนไปหมดเลย พระพุทธเจ้าทำพระองค์เดียวไม่ประกาศให้ใครทราบแหละ แต่ทำไมทราบกระจายกันไปหมดถึงขนาดนั้น เรียกว่าปิดไม่อยู่ของจริง ชั่วก็จริง ดีก็จริง ไปตามขั้นของตน คือไปตามหน้าที่ของตน
    ใคร ทำลับก็ไปชั่วอยู่ที่ลับ ทำที่แจ้งก็ไปชั่วอยู่ที่แจ้ง ไปทุกข์ไปสุขอยู่กับคนผู้ทำ ไม่ได้ไปสุขไปทุกข์อยู่กับผู้ใดที่ไม่ได้ทำ ให้ระมัดระวังการกระทำของตน การกระทำของตนสำคัญมากทีเดียว พระพุทธเจ้าจึงสอนให้ระวังๆ แล้วก็ยังบอก นตฺถิ กมฺมสมํ พลํ ไม่มีอานุภาพใดจะเหนืออานุภาพแห่งกรรมไปได้เลย นั่นฟังซิ ไม่มีอะไรเป็นคู่แข่ง อานุภาพแห่งกรรมเหนือตลอด ท่านบอกอย่างนั้น ให้พากันระมัดระวัง
    ทองคำ กำลังเป็นน้ำไหลซึมเข้าคลังหลวงของเรา เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ได้ปิด เราเปิดไว้ แย้มๆ ไว้ ถ้าเปิดกว้างๆ ไม่มีใครให้มันขายขี้หน้า จึงเปิดไว้แย้มๆ เท่านั้น แล้วค่อยไหลซึมเข้ามาเรื่อยๆ เราพยายามจะขนทองคำเข้าสู่คลังหลวงของเรา เพราะคลังหลวงทองคำมีน้อยมาก เมื่อเราได้เป็นกอบเป็นกำมาแล้วตามความมุ่งหมายของเรา ด้วยความพร้อมเพรียงของพี่น้องทั้งหลาย ได้เต็มสัดเต็มส่วนแล้ว เราก็อยากจะได้ทองคำที่เป็นปลีกเป็นย่อยให้เป็นน้ำไหลซึมเสริมกันเข้าไปใน เวลานี้ ซึ่งเป็นกาลอันควรมากทีเดียว เราจึงเปิดแย้มเอาไว้ ทองคำเรารู้สึกว่ามีน้อย เวลานี้ก็ได้เข้าไปตั้ง ๑๑ ตันกับ ๓๗ กิโลครึ่ง นี่ได้เรียบร้อยแล้ว ทีนี้เราอยากได้ทองคำนี้เป็นน้ำไหลซึมเสริมส่วนใหญ่เข้าไปเรื่อยๆ คลังหลวงของเราจะได้หนาแน่นขึ้น เมื่อคลังหลวงเราหนาแน่นขึ้นแล้ว ชาติไทยของเราก็หนาแน่นขึ้นมาๆ จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายพินิจพิจารณา ขนสมบัตินี้เข้าสู่คลังหลวงของเรา เท่ากับหนุนชาติทั้งชาติให้แน่นหนามั่นคงตลอดไป
    เรา พูดจริง ๆ นะเราสลดสังเวชมากทีเดียว คราวได้ออกช่วยชาติคราวนี้ได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างที่ว่านี้ ไม่เคยคิดเคยคาดก็ได้เห็น โอ๊ยหยาบขนาด พระเราหยาบ นี่แสดงออกไปเหล่านี้ ที่อ่านมาตะกี้นี้มีแต่เรื่องความหยาบโลนของพระทั้งนั้น นี่ละที่ว่าไอ้หลังลาย ที่ท่านทำออกมานั้นน่ะ เป็นผู้เฉลียวฉลาดมากทีเดียว เพื่อสับเปลี่ยนวนเวียน ประสานกันในระหว่างมนุษย์ที่อยู่ร่วมกัน ต้องมีเงินมีทองแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน นี้เป็นความฉลาดสำหรับท่านผู้ผลิตขึ้นมา ท่านผลิตขึ้นมาให้เป็นความสะดวกพอดี ๆ
    แต่ ทีนี้ไอ้ตัวสำคัญที่มันผลิตไม่เป็นนั้น มันก็ผลิตแบบหนึ่งขึ้นมา ไอ้ความโลภได้เท่าไรไม่พอๆ นี่มันผลิตขึ้นมา ได้เท่าไรไม่พอ ได้ท่าไหนเอาทั้งนั้น ท่าไหนเอาทั้งนั้น อย่างที่ออกหนังสือพิมพ์นี้ออกท่าไหน ได้ท่าไหนฟังซิน่ะ อย่างนี้ละไอ้หลังลายมันมีอำนาจมาก ไม่มีมากได้แต่ธรรม กับธรรมนี้ขึ้นมาไม่ได้ เหนือมาไม่ได้ ธรรมเหยียบตลอดๆ นอกนั้นมันเหยียบหมดไอ้หลังลาย เข้าใจไหมไอ้หลังลาย เราพูดอย่างนี้ไม่มีใครพูด มีแต่หลวงตาองค์เดียวนี้พูด ใครไม่อยากเป็นบ้าแล้วอย่าเป็นบ้ากับไอ้หลังลาย เข้าใจไหม ถ้าใครอยากเป็นบ้าแล้วก็เอาวิ่งตามมัน ก็มีเท่านั้นแหละ มันมีอำนาจมากอย่างนี้
    ท่าน ตั้งเอาไว้สำหรับเป็นความสะดวกสบาย ระหว่างโลกที่อยู่ร่วมกันทั้งเขาทั้งเรา ไม่ได้ตั้งไว้เพื่อให้โลภเสียจนลืมเนื้อลืมตัว เป็นบ้าอำนาจบาตรหลวง ได้เท่าไรไม่พอๆ เวลานี้โลกร้อนมากเพราะอันนี้เอง จะเป็นเพราะอะไร ก็มีมาไว้เพื่อความสะดวก มันไม่ได้สะดวกน่ะซิ ได้มาเท่าไรยิ่งไม่สะดวกใหญ่ ได้น้อยไปๆ เรื่อย ไม่สะดวก ถ้าได้มากจะสะดวก จนกระทั่งวันตายก็ไม่สะดวกละ ความโลภไม่พาให้สะดวก มันอยากได้ตลอดๆ เป็นอย่างนั้นละ ปล่อยสิ่งเหล่านี้ออกเสียโดยสิ้นเชิง ดังพระพุทธเจ้า-พระอรหันต์ท่านเอาอย่างนี้เลยนะ ไม่มีอะไรติดในพระทัย ในหัวใจ แสนบรมสุขอยู่ในนั้นเลย นั่นละเรียกว่าเหนือ สิ่งเหล่านี้ไปอาจเอื้อมไม่ได้เลย ท่านเหนือตลอด
    เรื่องเงินนี้ในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเรา ทรงบัญญัติไว้ให้พระปฏิบัติตาม ของเล่นเมื่อไร คือท่านตัดขาดสะบั้นไปเลยเรื่องเงิน ชาตรูปรชตํ อุคฺคณฺเหยฺย วา อุคฺคณฺหาเปยฺย วา อุปนิกฺขิตฺตํ วา สาทิเยยฺย, นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํ. นี่ ออกมาทางปาฏิโมกข์ด้วย ภิกษุรูปใดไปจับเงินและทอง ตนไปเอาเองก็ตาม ให้คนอื่นไปเอามาให้ก็ตาม ด้วยความถือเป็นของตนปรับอาบัติ ของนั้นนิสสัคคีย์ต้องเสียสละ เจ้าของจึงจะแสดงอาบัติตก
    นิ สสัคคีย์คือเสียสละ ความเสียสละในเงินที่พระภิกษุไปเอามาเป็นของตนนั้น พระพุทธเจ้ารับสั่งให้พระสงฆ์สี่รูป นู่นน่ะฟังซิ พระองค์นี้ไปรับเงินรับทองมา ยอมรับแล้ว ให้เอาเงินเหล่านี้มาวางในท่ามกลางพระสงฆ์สี่รูป พระวินัยมี แล้วให้พระสงฆ์สี่รูปนั้นสมมุติพระองค์ใดองค์หนึ่งทำหน้าที่ในท่ามกลางสงฆ์ นั้น ให้เอาเงินนี้ไปปาเข้าป่า บอกชัดๆ อย่างนี้นะ ปาเข้าป่าแล้วห้ามกำหนดที่ตก ถ้าว่าเงินนี้จะตกที่ตรงไหนๆ ปรับอาบัติอีก ท่านตัดขาดขนาดนั้นนะ เพื่อไม่ให้เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ ซึ่งจะเป็นฟืนเป็นไฟแก่การบำเพ็ญเพื่อความพ้นทุกข์ของพระ สิ่งเหล่านี้กลับเป็นภัยสำหรับพระนะ เป็นภัยต่อธรรมของพระ
    ให้ ไปเสียสละ สมมุติให้พระองค์หนึ่งถือเงินนี่ไป ให้ไปปาเข้าป่า และห้ามกำหนดที่ตก ถ้ายังกำหนดว่าตกที่ไหนๆ มีความหมายจะไปเอาอยู่ใช่ไหม ปรับอาบัติอีก เมื่อทำอย่างนั้นแล้วมาแสดงอาบัติได้ เงินเหล่านี้หมดไปไหนก็ช่างเถอะไม่สนใจเลย ปาเข้าป่าเท่านั้น โดยไม่กำหนดที่ตกเลย นี่พระวินัยมี เอาออกมาจากคัมภีร์ พระไปจับไปต้อง ไปยึดไปถือได้เมื่อไร ปรับอาบัติปาจิตตีย์ ส่วนสิ่งของนิสสัคคีย์ให้เสียสละให้หมด ไม่ให้มีอะไรห่วงใยเลย นี่เป็นพระบัญญัติขั้นต้น บัญญัติทีแรกเลย
    ทีนี้อันดับที่สองมาเมณฑกเศรษฐีเห็น พระเจ้าพระสงฆ์ท่านไปบวช ออกมาจากสกุลพระราชามหากษัตริย์ที่เป็นสกุลละเอียดอ่อนมากก็มี คนธรรมดาเราก็มี เวลาเข้ามาสู่สถานที่บวช คือมาบวชเป็นพระแล้วนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างปัจจัยสี่ต้องอาศัยประชาชนเขาเลี้ยงดู ทีนี้พระที่เป็นกษัตริย์ออกมานี้ท่านเคยได้รับความละเอียดอ่อนมาแล้วจะมา สมบุกสมบัน เป็นทุกข์ในปัจจุบันสด ๆ ร้อน ๆ นั้นรู้สึกจะหนักมากไป เมณฑกเศรษฐีจึงไปทูลขอ พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต คือทรงผ่อนผันลงมาว่า แต่ก่อนพระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้จับให้แตะ ให้ต้อง ไม่ให้เอาเลย ขาดแล้ว ไม่ให้เกี่ยวข้องเลยกับเงิน ทีนี้เมณฑกเศรษฐีมาขอความผ่อนผัน ว่าขอให้มีผู้ใดผู้หนึ่งรับปัจจัยนี้เอาไปซื้อกัปปิยภัณฑ์ สิ่งที่ควรแก่พระมาถวายพระ ขอความผ่อนผันจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ทรงเล็งพิจารณาแล้ว เอ้า ถ้าอย่างนั้นเราจะลดลงนิดหนึ่ง คือเงินที่เขามาถวายนี้ให้มีไวยาวัจกรหรือทายกผู้ใดผู้หนึ่ง มาเอาเงินนี้ไปเก็บเอาไว้เพื่อเวลาท่านต้องการอะไร ให้ท่านสั่งให้ไปซื้อสิ่งนั้นๆ มาเพื่อผ่อนให้เป็นเบาลงไปๆ แต่เราตถาคตไม่ให้ยินดีในเงินและทองที่เขาเก็บไว้นั้นอีกด้วย เก็บไว้แล้วก็ยังไม่ให้ยินดี ให้ยินดีในกัปปิยภัณฑ์ที่ตนต้องการเท่านั้น นี่ชี้ขาดลงไปอีก นี่พระพุทธเจ้าเด็ดขาดไหม
    แล้ว เวลานี้เป็นยังไงเลอะเทอะไหมไอ้หลังลาย มันเหยียบหัวพระไปทุกทิศทุกทางเวลานี้ มันฟังเสียงพระโอวาทของพระพุทธเจ้าที่ไหน นี่ละพระโอวาทออกจากคัมภีร์ ไปดู เราไม่ได้มาอุตริ ไม่ได้มาอวด เรียนมาเหมือนกัน เห็นเหมือนกัน ข้อห้ามพระพุทธเจ้าที่เกี่ยวกับเรื่องเงินนี้เด็ดขาดมากทีเดียว ทรงผ่อนผันมาเพียงให้ผู้อื่นรับไว้ให้เพื่อจะไปซื้อกัปปิยภัณฑ์ แต่ไม่ให้ยินดีในเงินที่เขารับไว้เพื่อตน นู่นน่ะฟังซิ แล้วเวลานี้มันเป็นยังไงมันเลอะเทอะไปยังไง ฟาดให้มันเต็มย่ามเต็มถุง ไปก็ได้ ไปที่ไหนให้เต็มกระเป๋าไปก็ได้ เต็มย่ามไปก็ได้ ไม่ได้สนใจ เหยียบหัวพระพุทธเจ้าคือพระวินัยนั้นแลไป
    พระ วินัยก็ดี พระธรรมก็ดี คือศาสดาของพุทธบริษัททั้งหลาย ท่านบอกไว้แล้วว่า พระธรรมและพระวินัยนั้นแล จะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย แทนเราตถาคตเมื่อเราตายไปแล้ว เมื่อทำอย่างนี้แล้วมันก็เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป คือเหยียบพระวินัยไปก็เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป แล้วก็ดูเอาซิทุกวันนี้เป็นยังไง เลอะขนาดไหน ศาสนาจนจะดูไม่ได้แล้วนะเวลานี้ นอกจากนั้นยังเห็นพระยกทัพมาตีกันอีก ก็ยิ่งสลดสังเวชไป บอกว่าเราไม่มีอะไรกับโลก มีแต่ปลงธรรมสังเวช ใครจะเอาดีเอาชั่วอะไรมาให้เรา ไม่ติดไม่มีเราบอกแล้ว สามแดนโลกธาตุนี้เราปล่อยโดยสิ้นเชิงมาเป็นเวลา ๕๕ ปีนี้แล้ว ก็บอกประกาศ นี้อวดเหรอนี่ ของจริงนำมาพูดอวดได้ยังไง ของปลอมเขายังเอามาแสดงได้ ของจริงแสดงไม่ได้มีเหรอ
    นี่เราพูดถึงเรื่องธรรมเรื่องวินัย เรื่องจตุปัจจัยที่ว่าไปโกยเอามาจากที่นั่นที่นี่ เวลานี้ไอ้หลังลายเลยเป็นใหญ่เป็นโต สรณํ คจฺฉามิ แล้ว แทนพุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ไอ้หลังลาย สรณํ คจฺฉามิ แทนพระพุทธเจ้าแล้วเวลานี้ มันไม่ได้มองดูพระพุทธเจ้ายิ่งกว่าไอ้หลังลายนะ เอาละเอาแค่นี้เสียก่อน ให้พร
    ตะ กี้นี้ออกหนังสือพิมพ์ก็เปิดเผยแล้วใช่ไหม ที่ว่าจะผ่าตัด ดูว่าเป็นมะเร็งที่หำ แล้วก็บอกว่าให้ปิดให้หมดอีกนะ กำชับกำชาหมอไว้ให้ปิด แล้วไม่ทราบใครมาเปิดก็ไม่รู้ พวกนี้ก็เลยได้ฟังกันไปหมดเลย มันก็มีด้วยกัน คนทั่วโลกเป็นไปได้ทั้งนั้น เป็นของแปลกอะไร ปิดหาอะไร พูดตามความจริงก็ได้
    วันนี้ ได้ฟังพระวินัยอย่างชัดเจน พระวินัยเกี่ยวกับไอ้หลังลาย ขั้นต้นท่านบัญญัติเข้าในปาฏิโมกข์ พระสวดทุก ๑๕ วันเลย เราก็ยังจำได้อยู่ในปาฏิโมกข์ ที่ยกขึ้นมาตะกี้นี้ออกมาจากปาฏิโมกข์นะ เราเรียนเราจำได้ สวดปาฏิโมกข์มาได้ ๑๖ ปี จึง ได้หยุด ให้พระสวด เราไม่สวดเลยเดี๋ยวนี้ เราสวดปาฏิโมกข์มาตั้งแต่พรรษาแรกถึง ๑๖ ปี จากนั้นมาก็หยุดตั้งแต่นั้นจนกระทั่งบัดนี้ ไม่สวด เพราะฉะนั้นเวลาเอามาพูด มันก็พูดได้ละซิ ก็เรียนมาแล้ว
    ชาตรูปรชตํ อุคฺคณฺเหยฺย วา อุคฺคณฺหาเปยฺย วา อุปนิกฺขิตฺตํ วา สาทิเยยฺย, นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํ ภิกษุรูปใดก็ตามรับเงินก็ดี ทองก็ดี หรือสิ่งที่สมมุติให้เป็นเงินก็ดี รับ เองก็ดีต้องอาบัติ ให้คนอื่นรับต้องอาบัติ หรือเขารับให้ยินดีก็ต้องอาบัติจากการรับของเขา นั่นฟังซิปรับขนาดนั้น นี่เป็นพระบัญญัติเบื้องต้น อันดับ ที่สองเมณฑกเศรษฐีไปขอความผ่อนผันจึงลดลงมา แต่ก่อนไม่ให้รับทั้งนั้นเลย ต่อมาอันดับหลังนี้จึงมาผ่อนผันให้เขารับแทนได้ แต่ให้ยินดีในกัปปิยภัณฑ์ที่เขาจะไปซื้อมา ไม่ให้ยินดีในเงินทองที่เขาเก็บไว้เพื่อตน ถ้ายินดีปรับอีก แน่ะฟังซิ คือท่านตัดขาดเพื่อไม่ให้มีความเยื่อใยในสิ่งเหล่านี้เลย จะได้ปฏิบัติธรรมสะดวกไม่มีอะไรเลย เพราะอันนี้เป็นภัยมาก พระพุทธเจ้าจึงตัดอย่างรุนแรง คือเป็นภัยต่อการบำเพ็ญธรรม เอาละเลิกกัน

    http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=3079&CatID=2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มิถุนายน 2015
  8. Piagk3

    Piagk3 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    606
    ค่าพลัง:
    +1,222
    ถึงไม่ได้อาบัติ ปราชิก แต่เป็น อาบัติ สัคคียะปาจิตตีย์ และเงินทองที่รับมา ก็ต้องสละทิ้ง ท่ามกลางสงฆ์
     
  9. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ชาตรูปรชตํ อุคฺคณฺเหยฺย วา อุคฺคณฺหาเปยฺย วา อุปนิกฺขิตฺตํ วา สาทิเยยฺย, นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํ ภิกษุรูปใดก็ตามรับเงินก็ดี ทองก็ดี หรือสิ่งที่สมมุติให้เป็นเงินก็ดี รับเองก็ดีต้องอาบัติ ให้คนอื่นรับต้องอาบัติ หรือเขารับให้ยินดีก็ต้องอาบัติจากการรับของเขา นั่นฟังซิปรับขนาดนั้น นี่เป็นพระบัญญัติเบื้องต้น อันดับที่สองเมณฑกเศรษฐีไปขอความผ่อนผันจึงลดลงมา แต่ก่อนไม่ให้รับทั้งนั้นเลย ต่อมาอันดับหลังนี้จึงมาผ่อนผันให้เขารับแทนได้ แต่ให้ยินดีในกัปปิยภัณฑ์ที่เขาจะไปซื้อมา ไม่ ให้ยินดีในเงินทองที่เขาเก็บไว้เพื่อตน ถ้ายินดีปรับอีก แน่ะฟังซิ คือท่านตัดขาดเพื่อไม่ให้มีความเยื่อใยในสิ่งเหล่านี้เลย จะได้ปฏิบัติธรรมสะดวกไม่มีอะไรเลย เพราะอันนี้เป็นภัยมาก พระพุทธเจ้าจึงตัดอย่างรุนแรง คือเป็นภัยต่อการบำเพ็ญธรรม เอาละเลิกกัน
     
  10. Pattarakorn2010

    Pattarakorn2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2014
    โพสต์:
    489
    ค่าพลัง:
    +1,753
    วัดก็ต้องมีค่าน้ำค่าไฟ ค่าใช้จ่ายพวกของใช้เปลือง ถ้าจะรอแต่สังฆทาน มันไม่พอใช้ แต่ละชุดแกะออกมา ของน้อยมาก ผงซักฝอกเอย ยาสีฟัน น้ำยาล้างจาน ล้วนเป็นขนาดจิ๋ว แถมยี่ห้อบางอย่างไม่เคยพบเจอ ถวายปัจจัยให้ท่านก็นำไปจัดซื้อของเอง ได้คุณภาพดีกว่า
     
  11. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ไม่มีคำเทศน์สอน หรือศีลข้อไหนที่พระพุทธเจ้าเทศน์กล่าวว่า ญาติโยม ทำทาน บริจาคเงินทอง แล้วญาติโยมผู้บริจาคเงินทาน ผู้สละเงินทอง ทำทานเงินทอง ให้กับพระให้กับพุทธศาสนา ได้บาปต้องลงนรก


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มกราคม 2016
  12. พงพัน

    พงพัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +478
    จริงคับแต่ถ้าญาติโยมต่างพากันทำเยี่ยงนี้แล้วโดยไม่พิจารณาให้ดีและมอบให้มากเกินควรจำเป็น พระนวกะหรือพระที่ยังอ่อนต่อการขัดเกลากิเลสให้เบาบางก็จะสั่นไหวและเสี่ยงต่อการทำผิดวินัยสงฆ์ในที่สุด เปรียบเหมือนเราขุดบ่อหลุมพรางล่อให้ท่านเดินอยู่ขอเหวแห่งหน้าผาอบายโดยไม่รู้ตัว และเป็นอีกช่องทางให้พวกเลี่ยงบาลีนำมาเน้นวัตถุทานโดยเฉพาะ"บริจาคมากได้มากบริจาคน้อยได้น้อยขึ้นอยู่กับปัจจัย"ดังมีพวกห่มเหลืองมากมายในปัจจุบันแอบอ้างหากิน นำมาโจมตีทำให้ผู้ไม่รู้เสื่อมศรัทธา
     
  13. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    เวลาทำบุญ ต้่องฉลาดทำ ใช้ความพิจารณาก่อนทำบุญ เลือก เนื้อนาบุญ ครับ ^^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มกราคม 2016
  14. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    :cool:
     
  15. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    :cool:
     
  16. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    :cool:
     
  17. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    :cool:
     
  18. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941

    ...ก็ถูกอยู่แล้วว่าเอาเงินไปให้กัปปิยการกทำหน้าที่จัดหาสิ่งควรแก่สมณะบริโภค...ชัดเจนว่าอย่าเอาเงินถวายพระโดยตรง...
     
  19. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ไม่มีศีลข้อไหนที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า รับเงินทอง จับเงิน จับทอง แล้ว ปาราชิก ขาดจากความเป็นพระ

    :cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...