กฏแห่งกรรมของภิกษุเคยประพฤติผิดศีลข้อกาเมฯ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย buschannarong, 17 มีนาคม 2010.

  1. buschannarong

    buschannarong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2009
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +541

    254.jpg

    ก็อปปี้มาจาก "หนังสือบันทึกท่องนรกภูมินะครับ"

    นพฤหัสบดีที่ ๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๓๒

    กายธรรมกายของผมพุ่งลงสู่นรกขุม ๗ บรรยากาศรอบ ๆ ตัวผมมีแต่ความมืดสลัว ทั่วบริเวณนั้นมีไอชื้น และมีกลิ่นเหม็นเน่าอับส่งกลิ่นอยู่ทั่วบริเวณนั้น ผมมองไปทางขวาของผมเห็นยมทูตองค์หนึ่งเดินตรงเข้ามาหาผม และหยุดยืนตรงหน้าผม นุ่งผ้าหนักรั้งสีแดงไม่สวมเสื้อ ที่แขนมีผ้าถักสีแดงสวมอยู่ที่แขน หน้าตาดุ และไว้หนวด

    “ข้าพระพุทธเจ้าขอรับธรรมทาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ ด้วยบารมีพระปกเกล้า ขอถวายบังคมเดชฤทธิ์อิทธิศร ด้วยเกล้าบารมีปกเกล้าปกกระหม่อมพระพุทธเจ้าข้า” ยมทูตก้มลงถวายบังคมด้วยความเคารพ
    “เราอยากพบพระภิกษุที่ตกนรกอยู่ในขุมนี้สักหน่อย”

    ผมบอกความประสงค์กับยมทูต

    “เชิญทางนี้ พระพุทธเจ้าข้า” ยมทูตพูดพร้อมกับเดิน

    ตรงไปข้างหน้า
    ทางข้างหน้าที่เดินไปยังคงเป็นสภาพเดิม บรรยากาศสลัวมืด มีกลิ่นเหม็นสาบคล้ายกลิ่นซากศพ จากทางนี้มอง
    ออกไปข้างหน้า มีแสงสว่างพอสลัวอยู่เบื้องหน้า ทางขวาของ
    เส้นทางที่เดินไปมีป้ายปักเอาไว้ว่า “แดนมรณะ” ผมเดินไป
    อีกสักครู่ ก็เห็นยมทูตสององค์กำลังนำตัวพระภิกษุรูปหนึ่ง
    เดินตรงมาทางผม

    พระภิกษุรูปนี้สวมจีวรสีเหลือง จากหน้าตาดูคร่าว ๆ ก็
    ประมาณอายุสักสามสิบกว่าปีเล็กน้อย ที่คอสวมสร้อยประ
    คำร่างกายของพระภิกษุรูปนี้ดูอิดโรย และซีดเซียว ที่ตรงหน้า
    ผากมีรอยสักด้วยหมึกแดงว่า “นรกขุม ๗”
    “มึงทำกรรมชั่วอะไรเอาไว้บนโลกมนุษย์ มึงพูดไปให้
    หมด อย่าปิดบังนะมึง” ยมทูตตวาดภิกษุรูปนั้น
    ข้าพระพุทธเจ้าเป็นคนจังหวัดกาฬสินธุ์ บวชเป็นพระ
    มาประมาณ ๑๕ ปี กระทำความผิดไว้มากมาย ข้าพระพุทธ
    เจ้าเคยล่อลวงหญิงสาวมาข่มขืนหนึ่งคน และทอดทิ้งเธอไป
    แล้วข้าพระพุทธเจ้าก็หนีมาบวช แต่เพราะอารมณ์ชั่ววูบทำให้
    ต้องสร้างบาปเอาไว้ในพระพุทธศาสนา ข้าพระพุทธเจ้าได้
    ขโมยเงินที่ชาวบ้านนำมาทำบุญไปใช้บำเรอความสุขส่วนตัว
    ไม่สนใจกิจสงฆ์ในพุทธศาสนา ทำให้ข้าพระพุทธเจ้าต้องได้
    รับทุกข์กรรมเช่นนี้”

    “ยังมีอีก มึงว่าไปให้หมด” ยมทูตตะคอกใส่พระภิกษุ
    ด้วยเสียงอันดัง

    “ข้าพระพุทธเจ้าเคยข่มขืนตัวเองในขณะเป็นพระภิกษุ
    กรรมนี้ทำให้ข้าพระพุทธเจ้าต้องถูกยมทูตลงโทษให้ใช้มือที่
    เคยทำข่มขืนตัวเองวันละ ๓ หน และให้กลืนน้ำเชื้อของตัวเอง
    เข้าไป”

    “เอาตัวพระรูปนี้ไปลงโทษตามกฎแห่งกรรม เราอยาก
    เห็นสภาพตอนลงโทษ เพื่อจะได้นำไปเขียนให้มนุษย์ได้รู้ถึง
    บาปกรรม

    ยมทูตทั้งสองก็เอาตัวพระภิกษุรูปนี้ไปลงโทษ เมื่อถึงที่
    ลงโทษยมทูตก็ดึงจีวรออก ทำให้ภิกษุรูปนั้นต้องมีสภาพ
    เปลือยกาย หน้าตาของภิกษุรูปนั้นแสดงถึงความตกใจ และ
    หวาดกลัว ยมทูตได้ผลักภิกษุรูปนั้นล้มนอนลงบนพื้นดิน
    “มึงทำอย่างที่มึงเคยทำ” ยมทูตออกคำสั่งกับภิกษุรูปนั้น

    ภิกษุหนุ่มรูปนั้น ก็เอามือทั้งสองข้างจับอวัยวะเพศแล้ว
    ทำการข่มขืนตัวเองจนน้ำเชื้อเคลื่อนออก แล้วภิกษุรูปนั้นก็
    เอามือป้ายน้ำเชื้อของตนแล้วเอามาเลีย ภิกษุรูปนี้ได้กระทำ
    ดังเดิมจนครบ ๓ หนทางด้านซ้ายมีสุนัขยืนอยู่ตัวหนึ่ง ตัวสูงเหนือเข่าเล็กน้อยขนสีน้ำตาล ตาสีมันวาว ท่าทางดุร้าย มันได้วิ่งเข้าหา
    พระภิกษุรูปนั้นแล้วกัดอวัยวะเพศ

    โอ๊ย ๆ กลัวแล้วครับ ผมกลัวแล้วครับภิกษุรูปนั้น

    ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง และดิ้นไปดิ้นมาด้วยความเจ็บปวด

    และทรมาน อวัยวะเพศของพระภิกษุรูปนั้นถูกสุนัขกัดจน




    เหลวแหลก
    แล้วยมทูตก็นำตัวสุนัขตัวนั้นจากไป เสียงพระภิกษุร้อง


    ขึ้นด้วยความเจ็บปวด และทรมานอย่างยิ่ง น้ำตารินไหลออก



    มาอาบแก้ม ยมทูตได้นำตัวภิกษุรูปนี้จากไปจากที่นี่ ผมเดิน



    ตามยมทูตไปจนถึงที่แห่งหนึ่ง ยมทูตก็ได้ผลักภิกษุรูปนั้นลง


    บนพื้น เบื้องหน้ามีแสงรัศมีสีน้ำตาลแผ่เป็นแสงสว่างออกมา


    รอบ ๆ เมื่อรัศมีได้ส่องมาถูกตัวพระภิกษุรูปนั้น ภิกษุรูปนั้น

    ก็ดิ้นทุรนทุรายเหมือนได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
    ได้ส่งเสียงครวญครางอย่างโหยหวน เมื่อผมเพ่งไปในใจกลาง



















    รัศมีนั้นก็มองเห็นเป็นผลึกสีชาก้อนใหญ่วางอยู่บนหิน



     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 มีนาคม 2010
  2. buschannarong

    buschannarong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2009
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +541

    ยมทูตทำไมพระรูปนี้รับกรรมแบบนี้ล่ะผมถามยมทูต



    ภิกษุรูปนี้ ไม่ปฏิบัติตามวินัยสงฆ์ ต้องอาบัติ จึงต้อง

    ได้รับกรรมเช่นนี้พระพุทธเจ้าข้า




    ยมทูตได้นำตัวภิกษุรูปนี้เดินตรงไปอีก สภาพข้างหน้า
    ที่ปรากฏอยู่นั้นเป็นบ่อน้ำกรดหลายบ่อ มีคนอยู่ในบ่อมาก
    มาย ในบริเวณนั้นยมทูตได้ทิ้งตัวภิกษุรูปนั้นลงไปบนพื้น แล้ว
    ร้องสั่ง


    มึงเอามือแช่ลงไปในบ่อเดี๋ยวนี้ อย่าเอาขึ้นมาก่อนกูจะ
    สั่งนะมึงยมทูตสั่งด้วยความเฉียบขาด


    เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังอยู่ทั่วบริเวณนั้น ทุกคน
    กำลังถูกยมทูตลงโทษอยู่ บางคนที่เอามือแช่ลงไปในบ่อได้รับ
    ความเจ็บปวดจนร้องออกมาด้วยเสียงอันดัง และโหยหวน ตา
    เหลือกขึ้น หน้าตาบูดเบี้ยว เนื้อที่ติดกับกระดูกก็ละลายไป
    กับน้ำกรดเหลือแต่โครงกระดูกสีขาวโพลน
    ภิกษุรูปนี้ถูกใช้กรรมที่เขาได้นำเงินอันเป็นทรัพย์สินที่
    ประชาชนบริจาคให้กับวัดไปใช้ จึงต้องได้รับกรรมอย่างนี้
    ความเจ็บปวดที่วิญญาณได้รับ เสียงร้องที่ดังโหยหวน

    เพราะความเจ็บปวดสภาพทุกขเวทนา มันเป็นผลกรรมที่

    ต้องได้รับ ผลแห่งกรรมที่ตนได้กระทำขึ้นมาเองทั้งสิ้น


    ยมทูต เอาตัวภิกษุรูปนี้ขึ้นมาซิ

    ยมทูตก็เอาตัวภิกษุรูปนั้นมาอยู่ตรงหน้าผม สภาพของ
    ภิกษุรูปนี้เสมือนซากศพเดินได้ก็ไม่ปาน


    เราอยากจะให้เธอ บอกถึงความรู้สึกที่ต้องรับผล

    กรรมในนรกขุมนี้





    มันสุดแสนจะทรมาน ข้าวก็ไม่ได้กิน ได้กินแต่ขี้วันละ

    ๕ ขัน ไม่กินก็ไม่ได้ ยมทูตก็บังคับ


    ภิกษุบอกถึงความรู้สึก

    ด้วยน้ำตานองหน้า


    เอาหล่ะ เมื่อเธอสารภาพความจริง ซึ่งก็ตรงตามที่

    บัญชาบ่งเอาไว้ เธอจะได้รับการผ่อนโทษนะ และเราจะแบ่ง


    บุญให้เธอด้วย จงพนมมือขึ้น




    เราขอแบ่งบุญให้แก่วิญญาณตนนี้…”

    ฉับพลันนั้น เบื้องหน้าของภิกษุรูปนี้ก็มีอาหารวางอยู่
    ตรงหน้าพร้อมกับน้ำ นี่เป็นผลบุญที่วิญญาณตนนี้ได้รับตาม
    ที่ผมอธิษฐานไว้ ด้วยความดีที่ภิกษุรูปนี้ได้สารภาพถึงบาป
    กรรมที่ตนได้ก่อขึ้นโดยไม่ปิดบัง จึงได้รับการใช้โทษให้ไปรับ

    กรรมใน

    นรกขุมต่อไป


    เกี่ยวกับศีลข้อกาเม ตัวอักษรสีแดง

    ศีล ๒๒๗ มีความหมายคือ ศีลสำหรับพระภิกษุ ซึ่งพระภิกษุต้องถือศีล ๒๒๗ ข้อ โดยอยู่ในภิกขุปาฏิโมกข์

    ศีล ๒๒๗ ข้อที่เป็นวินัยของสงฆ์ ทำผิดถือว่าเป็นอาบัติ สามารถแบ่งออกได้เป็นลำดับขั้น ตั้งแต่ขั้นรุนแรงจนกระทั่งเบาที่สุดได้ดังนี้ ได้แก่
    ปาราชิก มี ๔ ข้อ
    สังฆาทิเสส มี ๑๓ ข้อ
    อนิยต มี ๒ ข้อ (อาบัติที่ไม่แน่ว่าจะปรับข้อไหน)
    นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ ข้อ (อาบัติที่ต้องสละสิ่งของว่าด้วยเรื่องจีวร ไหม บาตร อย่างละ ๑๐ข้อ)
    ปาจิตตีย์ มี ๙๒ ข้อ (ว่าด้วยอาบัติที่ไม่ต้องสละสิ่งของ)
    ปาฏิเทสนียะ มี ๔ ข้อ (ว่าด้วยอาบัติที่พึงแสดงคืน) เสขิยะ (ข้อที่ภิกษุพึงศึกษาเรื่องมารยาท) แบ่งเป็น สารูปมี ๒๖ ข้อ (ความเหมาะสมในการเป็นสมณะ)
    โภชนปฏิสังยุตต์ มี ๓๐ ข้อ (ว่าด้วยการฉันอาหาร)
    ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ มี ๑๖ ข้อ (ว่าด้วยการแสดงธรรม)
    ปกิณสถะ มี ๓ ข้อ (เบ็ดเตล็ด)
    อธิกรณสมถะ มี ๗ ข้อ (ธรรมสำหรับระงับอธิกรณ์)
    รวมทั้งหมดแล้ว ๒๒๗ ข้อ ผิดข้อใดข้อหนึ่งถือว่าต้องอาบัติ การแสดงอาบัติสามารถกล่าวกับพระภิฏษุรูปอื่นเพื่อเป็นการแสดงตนต่อความผิดได้ แต่ถ้าถึงขั้นปาราชิกก็ต้องสึกอย่างเดียว
    ปาราชิก มี ๔ ข้อได้แก่
    ๑. เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย (ร่วมสังวาสกับคนหรือสัตว์)
    ๒. ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย)
    ๓. พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน)หรือแสวงหาศาสตราอันจะนำไปสู่ความตายแก่ร่างกายมนุษย์
    ๔. กล่าวอวดอุตตริมนุสสธัมม์ อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้าในตัวว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง)
    สังฆาทิเสส มี ๑๓ ข้อ ถือเป็นความผิดหากทำสิ่งใดต่อไปนี้
    ๑.ปล่อยน้ำอสุจิด้วยความจงใจ เว้นไว้แต่ฝัน
    ๒.เคล้าคลึง จับมือ จับช้องผม ลูบคลำ จับต้องอวัยวะอันใดก็ตามของสตรีเพศ
    ๓.พูดจาหยาบคาย เกาะแกะสตรีเพศ เกี้ยวพาราสี
    ๔.การกล่าวถึงคุณในการบำเรอตนด้วยกาม หรือถอยคำพาดพิงเมถุน
    ๕.ทำตัวเป็นสื่อรัก บอกความต้องการของอีกฝ่ายให้กับหญิงหรือชาย แม้สามีกับภรรยา หรือแม้แต่หญิงขายบริการ
    ๖.สร้างกุฏิด้วยการขอ
    ๗.สร้างวิหารใหญ่ โดยพระสงฆ์มิได้กำหนดที่ รุกรานคนอื่น
    ๘.แกล้งใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
    ๙.แกล้งสมมุติแล้วใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
    ๑๐.ยุยงสงฆ์ให้แตกกัน
    ๑๑.เป็นพวกของผู้ที่ทำสงฆ์ให้แตกกัน
    ๑๒.เป็นผู้ว่ายากสอนยาก และต้องโดนเตือนถึง 3 ครั้ง
    ๑๓. ทำตัวเป็นเหมือนคนรับใช้ ประจบคฤหัสถ์

    อนิยตกัณฑ์ มี ๒ ข้อได้แก่
    ๑. การนั่งในที่ลับตา มีอาสนะกำบังอยู่กับสตรีเพศ และมีผู้มาเห็นเป็นผู้ที่เชื่อถือได้พูดขึ้นด้วยธรรม ๓ ประการอันใดอันหนึ่งกล่าวแก่ภิกษุนั้นได้แก่ ปาราชิกก็ดี สังฆาทิเสสก็ดี หรือปาจิตตีย์ก็ดี ภิกษุนั้นถือว่ามีความผิดตามที่อุบาสกผู้นั้นกล่าว
    ๒. ในสถานที่ที่ไม่เป็นที่ลับตาเสียทีเดียว แต่เป็นที่ที่จะพูดจาค่อนแคะสตรีเพศได้สองต่อสองกับภิกษุผู้เดียว และมีผู้มาเห็นเป็นผู้ที่เชื่อถือได้พูดขึ้นด้วยธรรม 2 ประการอันใดอันหนึ่งกล่าวแก่ภิกษุนั้นได้แก่ สังฆาทิเสสก็ดี หรือปาจิตตีย์ก็ดี ภิกษุนั้นถือว่ามีความผิดตามที่อุบาสกผู้นั้นกล่าว

    นิสสัคคิยปาจิตตีย์ มี ๓๐ ข้อ ถือเป็นความผิดได้แก่
    ๑.เก็บจีวรที่เกินความจำเป็นไว้เกิน ๑๐ วัน
    ๒.อยู่โดยปราศจากจีวรแม้แต่คืนเดียว
    ๓.เก็บผ้าที่จะทำจีวรไว้เกินกำหนด ๑ เดือน
    ๔.ใช้ให้ภิกษุณีซักผ้า
    ๕.รับจีวรจากมือของภิกษุณี
    ๖.ขอจีวรจากคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติ เว้นแต่จีวรหายหรือถูกขโมย
    ๗.รับจีวรเกินกว่าที่ใช้นุ่ง เมื่อจีวรถูกชิงหรือหายไป
    ๘.พูดทำนองขอจีวรดีๆ กว่าที่เขากำหนดจะถวายไว้แต่เดิม
    ๙.พูดให้เขารวมกันซื้อจีวรดีๆ มาถวาย
    ๑๐.ทวงจีวรจากคนที่รับอาสาเพื่อซื้อจีวรถวายเกินกว่า ๓ ครั้ง
    ๑๑.หล่อเครื่องปูนั่งที่เจือด้วยไหม
    ๑๒.หล่อเครื่องปูนั่งด้วยขนเจียม (ขนแพะ แกะ) ดำล้วน
    ๑๓.ใช้ขนเจียมดำเกิน ๒ ส่วนใน ๔ ส่วน หล่อเครื่องปูนั่ง
    ๑๔.หล่อเครื่องปูนั่งใหม่ เมื่อของเดิมยังใช้ไม่ถึง ๖ ปี
    ๑๕.เมื่อหล่อเครื่องปูนั่งใหม่ ให้เอาของเก่าเจือปนลงไปด้วย
    ๑๖.นำขนเจียมไปด้วยตนเองเกิน ๓ โยชน์ เว้นแต่มีผู้นำไปให้
    ๑๗.ใช้ภิกษุณีที่ไม่ใช้ญาติทำความสะอาดขนเจียม
    ๑๘.รับเงินทอง
    ๑๙.ซื้อขายด้วยเงินทอง
    ๒๐.ซื้อขายโดยใช้ของแลก
    ๒๑.เก็บบาตรที่มีใช้เกินความจำเป็นไว้เกิน ๑๐ วัน
    ๒๒.ขอบาตร เมื่อบาตรเป็นแผลไม่เกิน ๕ แห่ง
    ๒๓.เก็บเภสัช ๕ (เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย)ไว้เกิน ๗ วัน
    ๒๔.แสวงและทำผ้าอาบน้ำฝนไว้เกินกำหนด ๑ เดือนก่อนหน้าฝน
    ๒๕.ให้จีวรภิกษุอื่นแล้วชิงคืนในภายหลัง
    ๒๖.ขอด้ายเอามาทอเป็นจีวร
    ๒๗.กำหนดให้ช่างทอทำให้ดีขึ้น
    ๒๘.เก็บผ้าจำนำพรรษา (ผ้าที่ถวายภิกษุเพื่ออยู่พรรษา) เกินกำหนด
    ๒๙.อยู่ป่าแล้วเก็บจีวรไว้ในบ้านเกิน ๖ คืน
    ๓๐.น้อมลาภสงฆ์มาเพื่อให้เขาถวายตน

    ปาจิตตีย์ มี ๙๒ ข้อได้แก่
    ๑.ห้ามพูดปด
    ๒.ห้ามด่า
    ๓.ห้ามพูดส่อเสียด
    ๔.ห้ามกล่าวธรรมพร้อมกับผู้ไม่ได้บวชในขณะสอน
    ๕.ห้ามนอนร่วมกับอนุปสัมบัน(ผู้ไม่ใช้ภิกษุ)เกิน ๓ คืน
    ๖.ห้ามนอนร่วมกับผู้หญิง

    ๗.ห้ามแสดงธรรมสองต่อสองกับผู้หญิง
    ๘.ห้ามบอกคุณวิเศษที่มีจริงแก่ผู้มิได้บวช
    ๙.ห้ามบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่ผู้มิได้บวช
    ๑๐.ห้ามขุดดินหรือใช้ให้ขุด
    ๑๑.ห้ามทำลายต้นไม้
    ๑๒.ห้ามพูดเฉไฉเมื่อถูกสอบสวน
    ๑๓.ห้ามติเตียนภิกษุผู้ทำการสงฆ์โดยชอบ
    ๑๔.ห้ามทิ้งเตียงตั่งของสงฆ์ไว้กลางแจ้ง
    ๑๕.ห้ามปล่อยที่นอนไว้ ไม่เก็บงำ
    ๑๖.ห้ามนอนแทรกภิกษุผู้เข้าไปอยู่ก่อน
    ๑๗.ห้ามฉุดคร่าภิกษุออกจากวิหารของสงฆ์
    ๑๘.ห้ามนั่งนอนทับเตียงหรือตั่งที่อยู่ชั้นบน
    ๑๙.ห้ามพอกหลังคาวิหารเกิน ๓ ชั้น
    ๒๐.ห้ามเอาน้ำมีสัตว์รดหญ้าหรือดิน
    ๒๑.ห้ามสอนนางภิกษุณีเมื่อมิได้รับมอบหมาย
    ๒๒.ห้ามสอนนางภิกษุณีตั้งแต่อาทิตย์ตกแล้ว
    ๒๓.ห้ามไปสอนนางภิกษุณีถึงที่อยู่
    ๒๔.ห้ามติเตียนภิกษุอื่นว่าสอนนางภิกษุณีเพราะเห็นแก่ลาภ ๒๕.ห้ามให้จีวรแก่นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ
    ๒๖.ห้ามเย็บจีวรให้นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ
    ๒๗.ห้ามเดินทางไกลร่วมกับนางภิกษุณี
    ๒๘.ห้ามชวนนางภิกษุณีเดินทางเรือร่วมกัน
    ๒๙.ห้ามฉันอาหารที่นางภิกษุณีไปแนะให้เขาถวาย
    ๓๐.ห้ามนั่งในที่ลับสองต่อสองกับภิกษุณี
    ๓๑.ห้ามฉันอาหารในโรงพักเดินทางเกิน ๓ มื้อ
    ๓๒.ห้ามฉันอาหารรวมกลุ่ม
    ๓๓.ห้ามรับนิมนต์แล้วไปฉันอาหารที่อื่น
    ๓๔.ห้ามรับบิณฑบาตเกิน ๓ บาตร
    ๓๕.ห้ามฉันอีกเมื่อฉันในที่นิมนต์เสร็จแล้ว
    ๓๖.ห้ามพูดให้ภิกษุที่ฉันแล้วฉันอีกเพื่อจับผิด
    ๓๗.ห้ามฉันอาหารในเวลาวิกาล
    ๓๘.ห้ามฉันอาหารที่เก็บไว้ค้างคืน
    ๓๙.ห้ามขออาหารประณีตมาเพื่อฉันเอง
    ๔๐.ห้ามฉันอาหารที่มิได้รับประเคน
    ๔๑.ห้ามยื่นอาหารด้วยมือให้ชีเปลือยและนักบวชอื่นๆ
    ๔๒.ห้ามชวนภิกษุไปบิณฑบาตด้วยแล้วไล่กลับ
    ๔๓.ห้ามเข้าไปแทรกแซงในสกุลที่มีคน ๒ คน
    ๔๔.ห้ามนั่งในที่ลับมีที่กำบังกับมาตุคาม (ผู้หญิง)
    ๔๕.ห้ามนั่งในที่ลับ (หู) สองต่อสองกับมาตุคาม
    ๔๖.ห้ามรับนิมนต์แล้วไปที่อื่นไม่บอกลา
    ๔๗.ห้ามขอของเกินกำหนดเวลาที่เขาอนุญาตไว้
    ๔๘.ห้ามไปดูกองทัพที่ยกไป
    ๔๙.ห้ามพักอยู่ในกองทัพเกิน ๓ คืน
    ๕๐.ห้ามดูเขารบกันเป็นต้น เมื่อไปในกองทัพ
    ๕๑.ห้ามดื่มสุราเมรัย
    ๕๒.ห้ามจี้ภิกษุ
    ๕๓.ห้ามว่ายน้ำเล่น
    ๕๕.ห้ามหลอกภิกษุให้กลัว
    ๕๔.ห้ามแสดงความไม่เอื้อเฟื้อในวินัย
    ๕๖.ห้ามติดไฟเพื่อผิง
    ๕๗.ห้ามอาบน้ำบ่อยๆเว้นแต่มีเหตุ
    ๕๘.ให้ทำเครื่องหมายเครื่องนุ่งห่ม
    ๕๙.วิกัปจีวรไว้แล้ว (ทำให้เป็นสองเจ้าของ-ให้ยืมใช้) จะใช้ต้องถอนก่อน
    ๖๐.ห้ามเล่นซ่อนบริขารของภิกษุอื่น
    ๖๑.ห้ามฆ่าสัตว์
    ๖๒.ห้ามใช้น้ำมีตัวสัตว์
    ๖๓.ห้ามรื้อฟื้นอธิกรณ์(คดีความ-ข้อโต้เถียง)ที่ชำระเป็นธรรมแล้ว
    ๖๔.ห้ามปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น
    ๖๕.ห้ามบวชบุคคลอายุไม่ถึง ๒๐ ปี
    ๖๖.ห้ามชวนพ่อค้าผู้หนีภาษีเดินทางร่วมกัน
    ๖๗.ห้ามชวนผู้หญิงเดินทางร่วมกัน
    ๖๘.ห้ามกล่าวตู่พระธรรมวินัย (ภิกษุอื่นห้ามและสวดประกาศเกิน ๓ ครั้ง)
    ๖๙.ห้ามคบภิกษุผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
    ๗๐.ห้ามคบสามเณรผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
    ๗๑.ห้ามพูดไถลเมื่อทำผิดแล้ว
    ๗๒.ห้ามกล่าวติเตียนสิกขาบท
    ๗๓.ห้ามพูดแก้ตัวว่า เพิ่งรู้ว่ามีในปาฏิโมกข์
    ๗๔.ห้ามทำร้ายร่างกายภิกษุ
    ๗๕.ห้ามเงื้อมือจะทำร้ายภิกษุ
    ๗๖.ห้ามโจทภิกษุด้วยอาบัติสังฆาทิเสสที่ไม่มีมูล
    ๗๗.ห้ามก่อความรำคาญแก่ภิกษุอื่น
    ๗๘.ห้ามแอบฟังความของภิกษุผู้ทะเลาะกัน
    ๗๙.ให้ฉันทะแล้วห้ามพูดติเตียน
    ๘๐.ขณะกำลังประชุมสงฆ์ ห้ามลุกไปโดยไม่ให้ฉันทะ
    ๘๑.ร่วมกับสงฆ์ให้จีวรแก่ภิกษุแล้ว ห้ามติเตียนภายหลัง
    ๘๒.ห้ามน้อมลาภสงฆ์มาเพื่อบุคคล
    ๘๓.ห้ามเข้าไปในตำหนักของพระราชา
    ๘๔.ห้ามเก็บของมีค่าที่ตกอยู่
    ๘๕.เมื่อจะเข้าบ้านในเวลาวิกาล ต้องบอกลาภิกษุก่อน
    ๘๖.ห้ามทำกล่องเข็มด้วยกระดูก งา หรือเขาสัตว์
    ๘๗.ห้ามทำเตียง ตั่งมีเท้าสูงกว่าประมาณ
    ๘๘.ห้ามทำเตียง ตั่งที่หุ้มด้วยนุ่น
    ๘๙.ห้ามทำผ้าปูนั่งมีขนาดเกินประมาณ
    ๙๐.ห้ามทำผ้าปิดฝีมีขนาดเกินประมาณ
    ๙๑.ห้ามทำผ้าอาบน้ำฝนมีขนาดเกินประมาณ
    ๙๒.ห้ามทำจีวรมีขนาดเกินประมาณ

    ปาฏิเทสนียะ มี ๔ ข้อได้แก่
    ๑. ห้ามรับของคบเคี้ยว ของฉันจากมือภิกษุณีมาฉัน
    ๒. ให้ไล่นางภิกษุณีที่มายุ่งให้เขาถวายอาหาร
    ๓. ห้ามรับอาหารในสกุลที่สงฆ์สมมุติว่าเป็นเสขะ (อริยบุคคล แต่ยังไม่ได้บรรลุเป็นอรหันต์)
    ๔. ห้ามรับอาหารที่เขาไม่ได้จัดเตรียมไว้ก่อนมาฉันเมื่ออยู่ป่า

    เสขิยะ สารูป มี ๒๖ ข้อได้แก่
    ๑.นุ่งให้เป็นปริมณฑล (ล่างปิดเข่า บนปิดสะดือไม่ห้อยหน้าห้อยหลัง)
    ๒.ห่มให้เป็นนปริมณฑล (ให้ชายผ้าเสมอกัน)
    ๓.ปกปิดกายด้วยดีไปในบ้าน
    ๔.ปกปิดกายด้วยดีนั่งในบ้าน
    ๕.สำรวมด้วยดีไปในบ้าน
    ๖.สำรวมด้วยดีนั่งในบ้าน
    ๗.มีสายตาทอดลงไปในบ้าน (ตาไม่มองโน่นมองนี่)
    ๘.มีสายตาทอดลงนั่งในบ้าน
    ๙.ไม่เวิกผ้าไปในบ้าน
    ๑๐.ไม่เวิกผ้านั่งในบ้าน
    ๑๑.ไม่หัวเราะดังไปในบ้าน
    ๑๒.ไม่หัวเราะดังนั่งในบ้าน
    ๑๓.ไม่พูดเสียงดังไปในบ้าน
    ๑๔.ไม่พูดเสียงดังนั่งในบ้าน
    ๑๕.ไม่โคลงกายไปในบ้าน
    ๑๖.ไม่โคลงกายนั่งในบ้าน
    ๑๗.ไม่ไกวแขนไปในบ้าน
    ๑๘.ไม่ไกวแขนนั่งในบ้าน
    ๑๙.ไม่สั่นศีรษะไปในบ้าน
    ๒๐.ไม่สั่นศีรษะนั่งในบ้าน
    ๒๑.ไม่เอามือค้ำกายไปในบ้าน
    ๒๒.ไม่เอามือค้ำกายนั่งในบ้าน
    ๒๓.ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะไปในบ้าน
    ๒๔.ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะนั่งในบ้าน
    ๒๕.ไม่เดินกระโหย่งเท้า ไปในบ้าน
    ๒๖.ไม่นั่งรัดเข่าในบ้าน
    โภชนปฏิสังยุตต์ มี ๓๐ ข้อคือหลักในการฉันอาหารได้แก่
    ๑.รับบิณฑบาตด้วยความเคารพ
    ๒.ในขณะบิณฑบาต จะแลดูแต่ในบาตร
    ๓.รับบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง (ไม่รับแกงมากเกินไป)
    ๔.รับบิณฑบาตแค่พอเสมอขอบปากบาตร
    ๕.ฉันบิณฑบาตโดยความเคารพ
    ๖.ในขณะฉันบิณฑบาต และดูแต่ในบาตร
    ๗.ฉันบิณฑบาตไปตามลำดับ (ไม่ขุดให้แหว่ง)
    ๘.ฉันบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง ไม่ฉันแกงมากเกินไป
    ๙.ฉันบิณฑบาตไม่ขยุ้มแต่ยอดลงไป
    ๑๐.ไม่เอาข้าวสุกปิดแกงและกับด้วยหวังจะได้มาก
    ๑๑.ไม่ขอเอาแกงหรือข้าวสุกเพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน หากไม่เจ็บไข้
    ๑๒.ไม่มองดูบาตรของผู้อื่นด้วยคิดจะยกโทษ
    ๑๓.ไม่ทำคำข้าวให้ใหญ่เกินไป
    ๑๔.ทำคำข้าวให้กลมกล่อม
    ๑๕.ไม่อ้าปากเมื่อคำข้าวยังมาไม่ถึง
    ๑๖.ไม่เอามือทั้งมือใส่ปากในขณะฉัน
    ๑๗.ไม่พูดในขณะที่มีคำข้าวอยู่ในปาก
    ๑๘.ไม่ฉันโดยการโยนคำข้าวเข้าปาก
    ๑๙.ไม่ฉันกัดคำข้าว
    ๒๐.ไม่ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย
    ๒๑.ไม่ฉันพลางสะบัดมือพลาง
    ๒๒.ไม่ฉันโปรยเมล็ดข้าว
    ๒๓.ไม่ฉันแลบลิ้น
    ๒๔.ไม่ฉันดังจับๆ
    ๒๕.ไม่ฉันดังซูด ๆ
    ๒๖.ไม่ฉันเลียมือ
    ๒๗.ไม่ฉันเลียบาตร
    ๒๘.ไม่ฉันเลียริมฝีปาก
    ๒๙.ไม่เอามือเปื้อนจับภาชนะน้ำ
    ๓๐.ไม่เอาน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวเทลงในบ้าน

    ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ มี ๑๖ ข้อคือ
    ๑.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีร่มในมือ
    ๒.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีไม้พลองในมือ
    ๓.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีของมีคมในมือ
    ๔.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีอาวุธในมือ
    ๕.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมเขียงเท่า (รองเท้าไม้)
    ๖.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมรองเท้า
    ๗.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในยาน
    ๘.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนที่นอน
    ๙.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งรัดเข่า
    ๑๐.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่โพกศีรษะ
    ๑๑.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่คลุมศีรษะ
    ๑๒.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนอาสนะ (หรือเครื่องปูนั่ง) โดยภิกษุอยู่บนแผ่นดิน
    ๑๓.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งบนอาสนะสูงกว่าภิกษุ
    ๑๔.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งอยู่ แต่ภิกษุยืน
    ๑๕.ภิกษุเดินไปข้างหลังไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่เดินไปข้างหน้า
    ๑๖.ภิกษุเดินไปนอกทางไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในทาง
    ปกิณสถะ มี ๓ ข้อ
    ๑. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ยืนถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
    ๒. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในของเขียว (พันธุ์ไม้ใบหญ้าต่างๆ)
    ๓. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในน้ำ
    อธิกรณสมถะ มี ๗ ข้อได้แก่
    ๑. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ในที่พร้อมหน้า (บุคคล วัตถุ ธรรม)
    ๒. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยการยกให้ว่าพระอรหันต์เป็นผู้มีสติ
    ๓. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยยกประโยชน์ให้ในขณะเป็นบ้า
    ๔. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยถือตามคำรับของจำเลย
    ๕. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ
    ๖. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยการลงโทษแก่ผู้ผิด
    ๗. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยให้ประนีประนอมหรือเลิกแล้วกันไป

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มีนาคม 2010
  3. buschannarong

    buschannarong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2009
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +541
    กระผมไม่กล้าอีกต่อไปแล้วครับ
    จะหยุด...ชั่วชีวิตเลย
    เอาเวลาที่หมกมุ่นเรื่องกาม
    ไปพิจารณาธรรมหรือเจริญภาวนาซะยังจะดีกว่า
    :'(
     
  4. ptham

    ptham เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2009
    โพสต์:
    136
    ค่าพลัง:
    +1,121
    ผมว่าหัวเรื่องน่าจะเปลี่ยนเป็น"กฎแห่งกรรมของพระภิกษุที่สำเร็จความใคร่"ดีกว่านะครับ
     
  5. ไห่เฉากุหลาบไฟ

    ไห่เฉากุหลาบไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    896
    ค่าพลัง:
    +2,177
    เห็นด้วยอย่างยิ่ง อ่านหัวข้อครั้งแรกก็เข้าใจว่าสำเร็จความใคร่ทั้งฆราวาสและสมณะ
    ถ้าหากชาวบ้านธรรมดาทำจะผิดหรือปล่าวหละ.????
     
  6. Daran

    Daran เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2009
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +158
    เห็นด้วยว่าควรเปลี่ยนหัวข้อให้ดูเหมาะสม ยกเว้นว่าสามารถหาเรื่องราวเกี่ยวกับคนธรรมดาที่ไม่ได้เป็นฆราวาส
     
  7. พลูโตจัง

    พลูโตจัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +554
    เพิ่งรู้ ว่าพระภิกษุ สำเร็จความใคร่ เป็นโทษมหันต์ ซึ่งตามความเป็นจริงพระภิกษุ ก็เฉกเช่นเป็นคนธรรมดาที่เคร่งในศีลธรรมอันดีเท่านั้น การสำเร็จความใคร่โดยไม่ไปล่วงเกินผู้อื่น ผิดศีลด้วยหรอคะ (อันนี้ไม่ทราบจิรงๆค่ะ) เพราะเคยฟัง ท่าน ว. ที่ให้สัมภาษณ์ในราการวู๊ดดี้ ก็ไม่เห็นบอกแบบนี้...
     
  8. phasukjai

    phasukjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +445
    ขอถามนอกเรื่องหน่อยนะคะ เพราะไม่รู้จริงๆ พระซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลและหวยใต้ดินได้ไหมคะ
     
  9. chiwgim

    chiwgim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +308
    แล้วถ้าคนธรรมดา สำเร็จความใคร่ จะเจอแบบนี้ด้วยหรือป่าวครับ
     
  10. คิดดีจัง

    คิดดีจัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,626
    ค่าพลัง:
    +5,353
    อนุโมทนาบุญนี้ด้วยครับ

    ผิดเพราะเป็นพระนี่เอง

    อ่านตอนแรกนึกว่าเป็นทุกคน...แหม...ตกใจหมด....ฮาฮา
     
  11. chura

    chura เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    688
    ค่าพลัง:
    +1,971
    คนธรรมดาไม่เป็นรัยครับ แต่เป็นพระแล้วถ้าตั้งใจทำให้อสุจิเคลื่อนต้องอาบัติ
    หนักคือสังฆาทิเสส แต่ไม่หนักถึงขั้นปาราชิกน๊ะครับ พระท่านต้องไปอยู่กรรมถึง
    จะแก้กรรมสังฆาทิเสสตัวนี้ได้
     
  12. ABP@BDZ

    ABP@BDZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +228
    คืออันนี้เป็นพระวินัยสงฆ์อยู่แล้ว

    อาบัติสังฆาทิเสส สิกขาบทที่ 1 ห้ามภิกษุทำน้ำอสุจิให้เคลื่อนด้วยเจตนา

    คือกรณีนี้เข้าใจว่าน่าจะทำบ่อยๆ แล้วไม่เคยอยู่ปริวาสเพื่อปลงอาบัติตามที่พระวินัยระบุไว้เลย ถึงได้รับกรรมดังกล่าว
     
  13. Guide_Raito

    Guide_Raito เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    892
    ค่าพลัง:
    +2,990
    โมทนาบุญคับ

    _____________________________________________________________________________________________________________________________
    มีบุญมาฝากคับทางกลุ่มพระพุทธศาสนา ม. สงขลานครินทร์ ภูเก็ต ได้ จัดทำโครงการแจกสือ่ ธรรมะของสายหลวงพ่อฤาษีลิงดำคับ เพราะ ที่นี่มีเด็กหลายคนสนใจมาฝึกมโนมยิทธิและหันมาทำความดีกัน เนื่องด้วย สื่อ ธรรมะ ของหลวงพ่อ ครับทางชมรมเลยจัดโครงการแจกสือ่ธรรมะเป็นสาธารณะประโยชน์ แก่ โรงเรียน ห้องสมุดต่างๆเพื่อ ชักจูง คนให้เป็นสัมมาทิฐิและเป็นกำลังพระศาสนา สืบต่อไปครับ
    ขอให้ชาวเวปพลังจิตทุกท่าน เจริญขึ้นทั้งทางโลก และทางธรรม เข้าถึงธรรมขององค์สมเด็จฯ ได้โดยง่ายครับ
    [​IMG] [​IMG]
    เข้าชมรายละเอียดได้ที่http://palungjit.org/forums/ขอเชิญร่วมบุญ-โครงการธรรมทานกับนักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์-ภูเก็ต-[.109/FONT]218421.html<O:p></O:p>
     
  14. ป่ากุง

    ป่ากุง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    416
    ค่าพลัง:
    +784
    เพิ่งรู้ ว่าพระภิกษุ สำเร็จความใคร่ เป็นโทษมหันต์ ซึ่งตามความเป็นจริงพระภิกษุ ก็เฉกเช่นเป็นคนธรรมดาที่เคร่งในศีลธรรมอันดีเท่านั้น การสำเร็จความใคร่โดยไม่ไปล่วงเกินผู้อื่น ผิดศีลด้วยหรอคะ (อันนี้ไม่ทราบจิรงๆค่ะ) เพราะเคยฟัง ท่าน ว. ที่ให้สัมภาษณ์ในราการวู๊ดดี้ ก็ไม่เห็นบอกแบบนี้...<!-- google_ad_section_end -->



    .........พระภิกษุ แกล้งทำให้น้ำอสุจิเคลื่อน ถือว่า อาบัติสังฆาธิเสส ถือว่าเป็นอาบัติหนักกว่า อาบัติปาจิตตีย์ แต่เบากว่าอาบัติปราชิก


    .
     
  15. SP6580

    SP6580 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +1,550
    มีครับ ในศีล 227 ข้อของพระภิกษุสงฆ์ มีข้อห้ามอยู่ข้อนึงที่ว่า ห้ามพระภิกษุสงฆ์แกล้งทำให้น้ำอสุจิเคลื่อน เพราะรู้สึกว่าจะอาบัติถ้าจำไม่ผิด เพราะจะทำให้หลงยึดติดในกามราคะ ขัดต่อหลักการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น
     
  16. Vatairat

    Vatairat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,675
    ค่าพลัง:
    +2,294
    อนุโมทนาสาธุค่ะ แต่ควรเปลี่ยนหัวข้อด้วยนะจ้ะ ว่าพระภิกษุสงฆ์สำเร็จความใคร่นะจ้ะ ไม่เกี่ยวกับฆราวาสจ้ะ
     
  17. เสรีชน

    เสรีชน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2008
    โพสต์:
    304
    ค่าพลัง:
    +727
    ฆราวาส ตกใจกันเป็นทิวเเถว

    ขออนุญาต (ฮาๆๆๆๆ)
     
  18. statice

    statice สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +9
    หยึ๋ยยยยยยยย
     
  19. ขุนแผนน้อยน่ารัก

    ขุนแผนน้อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +772
    คุณน้องบัสน่าจะเปลี่ยนชื่อเรื่องจริงด้วยครับ
    พี่อ่านแล้วใจหายวาบเลย

    นี่ดีที่ในเรื่องผู้รับกรรมเป็นภิกษุที่ประพฤติพรหมจรรย์

    อย่างฆราวาสทั่วไปคงไม่ถึงขั้นนี้

    เพราะการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง เป็นมโนกรรมเสียส่วนมาก กายกรรมยังไม่ได้เกิดกับตัวผู้เสียหาย(ลูก+เมียชาวบ้าน) เป็นการผูกกรมโดยเจตนาให้ผลไม่เท่ากับการผิดศีลข้อสามจริงๆ แต่ก็ไม่ใช่ดีนัก เพราะถือว่าอยู่ในความคิดชั่ว

    มีวงจรประมาณว่า ผัสสะ-เวทนา-ตัณหา-อุปทาน มากกว่า สุดท้ายก็ลุ่มหลงในกาม ขัดขวางต่อการปฎิบัติธรรมและการหลุดพ้นครับ
     
  20. Teeratat

    Teeratat Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +38
    เอาไงดี จะเลิกดีป่าวเนี่ย ?
     

แชร์หน้านี้

Loading...