คำถามธรรม: เรียนไม่เป็นก็มีโทษ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย กล่องธรรม, 3 ตุลาคม 2011.

  1. กล่องธรรม

    กล่องธรรม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2011
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +19
    ขอความอนุเคราะห์จากผู้ที่บรรลุธรรมข้อที่ผมยกมานี้ โปรดให้ความกระจ่างกับผมด้วยครับ
    คำพูดหรือข้อความต่างๆในพระไตรปิฎกนั้น มักจะใช้คำบาลี คำสำนวน พรรณา โวหาร ซึ่ง
    ต้องอาศัยการตีความซะเป็นส่วนมาก

    ข้อความที่ผมยกมานี้ผมลองอ่านทำความเข้าใจหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่กระจ่างซะที "เข้าใจเพียง
    นิดหน่อยว่า ผู้ที่เรียนโดยไม่มีความกระจ่างแจ้ง ไม่แตกฉานต่อสิ่งที่ตนเรียน เรียนเพื่อไม่ให้สังคม
    ตำหนิว่าตนเป็นผู้ด้อยความรู้ เรียนเพื่อนำความรู้ไปใช้เบียดเบียนผู้อื่น เอาเปรียบผู้อื่น สิ่งเหล่านี้
    เป็นโทษทั้งสิ้น เพราะใช้ความรู้แบบผิดๆ และใช้ในทางที่ผิด"

    ขอความอนุเคราะห์จากผู้ที่บรรลุธรรมข้อนี้ โปรดให้ความกระจ่างถึงความหมายของธรรมข้อนี้
    โดยการแปลจากข้อความที่ใช้แต่สำนวน พรรณา โวหาร ให้เป็นข้อความที่ใช้ภาษาธรรมดาๆ ที่
    ปุถุชนอ่านแล้วสามารถเข้าใจความหมายได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องตีความหรือแปลความอีก ตาม
    ข้อความที่ยกมาด้านล่างนี้ครับ


    ท้ายนี้ ขอขอบคุณท่านไว้ล่วงหน้าในเมตตวิริยะ และกุศลจิต ของท่าน อันพึงยังแสงสว่างให้ผู้ที่
    ขาดความกระจ่าง มา ณ ที่นี้ครับ

    ขอกุศลอันเกิดแก่ท่านทั้งหลาย จงส่งผลแก่ท่านทั้งหลายตามนั้น

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 76844.jpg
      76844.jpg
      ขนาดไฟล์:
      31.6 KB
      เปิดดู:
      276
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2011
  2. naroksong

    naroksong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +1,135
    พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์ เพื่อเวไนยสัตว์ตั้งอยู่ในการทำความดี ละเว้นความชั่ว และมีจิตใจผ่องใส

    คนที่ศึกษาธรรมะถ้าไม่ได้ตั้งใจเรียนรู้ธรรมเพื่อการเจริญขึ้นของบุญ ไม่ได้หวังการละบาปอกุศล และไม่ได้ศึกษาเพื่อขัดเกลากิเลสให้จิตของตนผ่องใส จะศึกษาไปเพื่ออะไรนอกจากเอาไว้โชว์ ไว้ข่มคนอื่น
    --------------------------------------------------------
    ตัวอย่างความเคราะห์ร้ายเมื่อศึกษาธรรมไม่ดี
    พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภปลาชื่อกปิละ ตรัส<WBR>พระ<WBR>ธรรม<WBR>เทศนา<WBR>นี้ว่า "มนุชสฺส" เป็นต้น.



    <CENTER>
    สองพี่น้องออกบวช

    </CENTER>ได้ยินว่า ในอดีตกาล ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปปริ<WBR><WBR>นิพพาน<WBR>แล้ว กุลบุตรสองคนพี่น้องออกบวชในสำนักแห่งพระสาวกทั้งหลาย.
    บรรดากุลบุตรสองคนนั้น คนพี่ได้ชื่อว่าโสธนะ คนน้องชื่อกปิละ. ส่วนมารดาของคนทั้งสองนั้น ชื่อว่าสาธนี น้องสาวชื่อตาปนา. แม้หญิงทั้งสองนั้นก็บวชแล้วใน (สำนัก) ภิกษุณี.
    เมื่อคนเหล่านั้นบวชแล้วอย่างนั้น พี่น้องทั้งสองทำวัตรและปฏิวัตรแก่พระอาจารย์และพระอุปัชฌายะอยู่ วันหนึ่ง ถามว่า "ท่านขอรับ ธุระในพระศาสนานี้มีเท่าไร?" ได้ยินว่า "ธุระมี ๒ อย่าง คือ คันถธุระ ๑ วิปัสสนาธุระ ๑" ภิกษุผู้เป็นพี่คิดว่า "เราจักบำเพ็ญวิปัสสนาธุระ" อยู่ใน<WBR>สำนัก<WBR>แห่ง<WBR>พระ<WBR>อาจารย์และพระ<WBR>อุปัชฌายะ ๕ พรรษาแล้ว เรียนกัมมัฏฐานจนถึงพระอรหัต เข้าไปสู่ป่า พยายามอยู่ ก็บรรลุพระอรหัตผล.



    <CENTER>
    น้องชายเมาในคันถธุระ(การเรียน)

    </CENTER>ภิกษุน้องชายคิดว่า "เรายังหนุ่มก่อน ในเวลาแก่จึงจักบำเพ็ญวิปัสสนาธุระ" จึงเริ่มตั้งคันถธุระ เรียนพระไตรปิฎก. บริวารเป็นอันมากได้เกิดขึ้นเพราะอาศัยปริยัติของเธอ ลาภก็ได้เกิดขึ้นเพราะอาศัยบริวาร. เธอเมาแล้วด้วยความเมาในความเป็นผู้สดับมาก อันความทะยานอยาก<WBR>ใน<WBR>ลาภ<WBR>ครอบ<WBR>งำแล้ว
    เพราะเป็นผู้สำคัญตัวว่าฉลาดยิ่ง ย่อมกล่าวแม้สิ่งที่เป็นกัปปิยะ อันคนเหล่าอื่นกล่าวแล้วว่า "เป็นอกัปปิยะ" กล่าวแม้สิ่งที่เป็นอกัปปิยะว่า "เป็นกัปปิยะ" กล่าวแม้สิ่งที่มีโทษว่า "ไม่มีโทษ" กล่าวแม้สิ่งไม่มีโทษว่า "มีโทษ"
    เธอ แม้อันภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รักทั้งหลายกล่าวว่า "คุณกปิละ คุณอย่าได้กล่าวอย่างนี้" แล้วแสดงธรรมและวินัยกล่าวสอนอยู่ ก็กล่าวว่า "พวกท่านจะรู้อะไร? พวกท่านเช่นกับกำมือเปล่า" เป็นต้นแล้ว ก็เที่ยวขู่ตวาดภิกษุทั้งหลายอยู่.



    <CENTER>
    น้องชายไม่เชื่อพี่ </CENTER>ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายบอกเนื้อความนั้นแม้แก่พระโสธนเถระผู้เป็นพี่ชายของเธอแล้ว. แม้พระโสธนะเถระเข้าไปหาเธอแล้ว ตักเตือนว่า "คุณกปิละ ก็การปฏิบัติชอบของภิกษุทั้งหลายผู้เช่นเธอ ชื่อว่าเป็นอายุพระศาสนา เพราะฉะนั้น เธออย่าได้ละการปฏิบัติชอบแล้ว กล่าวคัดค้านสิ่งที่เป็นกัปปิยะเป็นต้นอย่างนั้นเลย." เธอมิได้เอื้อเฟื้อถ้อยคำแม้ของท่าน แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ พระ<WBR>เถระ<WBR>ก็<WBR>ตัก<WBR>เตือน<WBR>เธอ ๒-๓ ครั้ง ทราบเธอผู้ไม่รับคำตักเตือนว่า "ภิกษุนี้ไม่ทำตามคำของเรา" จึงกล่าวว่า "คุณ ถ้าดังนั้น เธอจักปรากฏด้วยกรรมของตน" ดังนี้แล้วหลีกไป.

    น้องชายเสียคนเพราะถูกทอดทิ้ง

    จำเดิมแต่นั้น ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รักแม้เหล่าอื่น ทอดทิ้งเธอแล้ว. เธอเป็นผู้มีความประพฤติชั่วอันพวกผู้มีความประพฤติชั่วแวดล้อมอยู่
    วันหนึ่ง คิดว่า "เราจักสวดปาติโมกข์" จึงถือพัดไปนั่งบนธรรมาสน์ในโรงอุโบสถแล้ว ถามว่า "ผู้มีอายุ ปาติโมกข์ย่อมเป็นไปเพื่อภิกษุทั้งหลายผู้ประชุมกันแล้วในที่นี้หรือ?" เห็นภิกษุทั้งหลายนิ่งเสีย ด้วยคิดว่า "ประโยชน์อะไรด้วยคำโต้ตอบที่เราให้แก่ภิกษุ?" จึงกล่าวว่า "ผู้มีอายุ ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ไม่มี, ประโยชน์อะไรด้วยปาติโมกข์ที่พวกท่านจะฟังหรือไม่ฟัง" ดังนี้แล้ว ก็ลุกไปจากอาสนะ.
    เธอยังศาสนา คือปริยัติของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป ให้เสื่อมลงแล้วด้วยอาการอย่างนี้.
    แม้พระโสธนเถระก็ปรินิพพานในวันนั้นเอง.
    ในกาลสิ้นอายุ ภิกษุกปิละเกิดในอเวจีมหานรก. มารดาและน้องสาวของเธอแม้นั้น ถึงทิฏฐานุคติของเธอนั่นแล ด่าบริภาษภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รักแล้ว ก็บังเกิดในอเวจีมหานรกนั้นเหมือนกัน.

    กปิละเกิดเป็นปลาใหญ่

    แม้ภิกษุกปิละไหม้ในนรกสิ้นพุทธันดรหนึ่งแล้ว ในกาลนั้น บังเกิดเป็นปลาใหญ่ในแม่น้ำอจิรวดี มีสีเหมือนทองคำ มีปากเหม็น ด้วยเศษแห่งวิบาก.
    ต่อมาวันหนึ่ง กลุ่มลูกชาวประมงปรึกษากันว่า "เราจักจับปลา" จึงถือเอาเครื่องจับสัตว์น้ำมีแหเป็นต้นทอดไปในแม่น้ำ. ทีนั้น ปลานั้นได้เข้าไปสู่ภายในแหของคนเหล่านั้น. ชาวบ้าน<WBR>ประมง<WBR>ทั้งหมดเห็นปลานั้นแล้ว ได้ส่งเสียงเอ็ดอึงว่า "ลูกของพวกเรา เมื่อจับปลาครั้งแรก จับได้ปลาทองแล้ว คราวนี้ พระราชาจักพระราชทานทรัพย์แก่เราเพียงพอ." สหายแม้เหล่านั้นแล เอาปลาใส่เรือ ยกเรือขึ้นแล้วก็ไปสู่พระราชสำนัก.
    แม้เมื่อพระราชาทอดพระเนตรเห็นปลานั้น ตรัสว่า "นั่นอะไร?" พวกเขาได้กราบทูลว่า "ปลา พระเจ้าข้า." พระราชาทอดพระเนตรเห็นปลามีสีเหมือนทองคำ ทรงดำริว่า "พระศาสดาจักทรงทราบเหตุที่ปลานั่นเป็นทองคำ" ดังนี้แล้ว รับสั่งให้คนถือปลา ได้เสด็จไปสู่สำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า. เมื่อปากอันปลาพออ้าเท่านั้น พระเชตวันทั้งสิ้นได้มีกลิ่นเหม็นเหลือเกิน.
    พระราชาทูลถามพระศาสดาว่า "พระเจ้าข้า เพราะเหตุไร ปลาจึงมีสีเหมือนทองคำ? และเพราะเหตุไร กลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจากปากของมัน?"
    พระศาสดา. มหาบพิตร ปลานี้ได้เป็นภิกษุชื่อกปิละ เป็นพหูสูต มีบริวารมาก ในธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป, ถูกความทะยานอยากในลาภครอบงำแล้ว ด่าบริภาษพวกภิกษุผู้ไม่ถือคำของตน ยังพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป ให้เสื่อมลงแล้ว. เขาบังเกิดในอเวจีด้วยกรรมนั้นแล้ว บัดนี้ เกิดเป็นปลาด้วยเศษแห่งวิบาก ก็เพราะเธอบอกพระพุทธวจนะ กล่าวสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้าสิ้นกาลนาน จึงได้อัตภาพมีสีเหมือนทองคำนี้ ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เธอได้เป็นผู้บริภาษภิกษุทั้งหลาย กลิ่นเหม็นจึงฟุ้งออกจากปากของเธอ ด้วยผลแห่งกรรมนั้น มหาบพิตร อาตมภาพจะให้ปลานั้นพูด.
    พระราชา. ให้พูดเถิด พระเจ้าข้า.
    ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสถามปลาว่า "เจ้าชื่อกปิละหรือ?"
    ปลา. พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ชื่อกปิละ.
    พระศาสดา. เจ้ามาจากที่ไหน?
    ปลา. มาจากอเวจีมหานรก พระเจ้าข้า.
    พระศาสดา. พระโสธนะพี่ชายใหญ่ของเจ้าไปไหน?
    ปลา. ปรินิพพานแล้ว พระเจ้าข้า.
    พระศาสดา. ก็นางสาธนีมารดาของเจ้าเล่าไปไหน?
    ปลา. เกิดในนรก พระเจ้าข้า.
    พระศาสดา. นางตาปนาน้องสาวของเจ้าไปไหน?
    ปลา. เกิดในมหานรก พระเจ้าข้า.
    พระศาสดา. บัดนี้ เจ้าจักไปที่ไหน?
    ปลาชื่อกปิละกราบทูลว่า "จักไปสู่อเวจีมหานรกดังเดิม พระเจ้าข้า" ดังนี้แล้ว อันความเดือดร้อนครอบงำแล้ว เอาศีรษะฟาดเรือ ทำกาละในทันทีนั่นเอง เกิดในนรกแล้ว.
    มหาชนได้สลดใจมีโลมชาติชูชันแล้ว.

    สุดท้ายพระองค์ทรงแสดงธรรมดังนี้

    ตัณหาดุจเถาย่านทราย ย่อมเจริญแก่คนผู้มีปกติ
    ประพฤติประมาท. เขาย่อมเร่ร่อนไปสู่ภพน้อยใหญ่ ดัง
    วานรปรารถนาผลไม้ เร่ร่อนไปในป่าฉะนั้น. ตัณหานี้
    เป็นธรรมชาติลามก มักแผ่ซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ ใน
    โลก ย่อมครอบงำบุคคลใด ความโศกทั้งหลายย่อมเจริญ
    แก่บุคคลนั้น, ดุจหญ้าคมบางอันฝนตกรด แล้วงอกงาม
    อยู่ ฉะนั้น. แต่ผู้ใดย่อมย่ำยีตัณหานั่นซึ่งเป็นธรรมชาติ
    ลามก ยากที่ใครในโลกจะล่วงไปได้, ความโศกทั้งหลาย
    ย่อมตกไปจากผู้นั้น เหมือนหยาดน้ำตกไปจากใบบัว
    ฉะนั้น. เพราะฉะนั้น เราบอกกะท่านทั้งหลายว่า ความ
    เจริญ จงมีแก่ท่านทั้งหลาย บรรดาที่ประชุมกันแล้ว ณ
    ที่นี้ ท่านทั้งหลายจงขุดรากตัณหาเสียเถิด...
    -------------------------------------------------
    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 ตุลาคม 2011
  3. กล่องธรรม

    กล่องธรรม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2011
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +19
    อืมมม ขอบคุณมากครับท่าน ได้ความรู้ใหม่ๆมากเลยครับ
    ขออนุโมทนาครับ สาธุyimm
     

แชร์หน้านี้

Loading...