คำว่า "กวนอิม" เป็นคำแปลเป็นภาษาจีนของคำว่า "อวโลกิเตศวร"

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย woraeak19, 8 เมษายน 2022.

  1. woraeak19

    woraeak19 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2019
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +30
    ประวัติความเป็นมาในคัมภีร์ฝ่ายมหายาน
    พระไตรปิฎกของพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทไม่มีปรากฏเรื่องราวหรือแม้แต่พระนามของพระอวโลกิเตศวรอยู่เลย ทว่าในส่วนของนิกายมหายานแล้ว พระอวโลกิเตศวรมีบทบาทปรากฏอยู่มากในพระสูตรสำคัญ ๆ และยังมีเรื่องราวปรากฏในพระสูตรมหายานว่าพระพุทธเจ้าและพระสาวกยังได้เคยตรัสสนทนาธรรมกับพระโพธิสัตว์พระองค์นี้อยู่บ่อยครั้งทีเดียว ในพุทธศาสนามหายานยกย่องพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ว่าเป็นพระผู้ได้รับธรรมจักรมาโดยตรงจากพระพุทธเจ้า และเป็นผู้นำในการรักษาพระพุทธศาสนาและหมุนธรรมจักรต่อไป
    การอุบัติของพระอวโลกิเตศวรนี้สันนิษฐานว่ามีขึ้นภายหลังการเกิดนิกายมหายานขึ้นแล้วในราวพุทธศตวรรษที่ ๖-๗ ภายหลังพุทธปรินิพพาน ซึ่งเมื่อตรวจสอบจากวรรณคดีสันสกฤตยุคต้น ๆ ของมหายานอย่าง ชาดกมาลา ทิวยาวทาน หรือลลิตวิสตระ ก็ยังไม่ปรากฏนามพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์แต่อย่างใด แต่มีปรากฏขึ้นครั้งแรกพร้อม ๆ กับพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ในพระสูตรปรัชญาปารมิตาซึ่งถือว่าเป็นพระสูตรมหายานรุ่นเก่าที่สุด และในพระสูตรรุ่นต่อ ๆ มาก็ได้มีเรื่องราวเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ปรากฏขึ้นมากมาย
    พระสูตรมหายานกล่าวว่าพระอวโลกิเตศวรประทับอยู่ ณ สุขาวดีพุทธเกษตร คอยช่วยพระอมิตาภะโปรดสรรพสัตว์ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์ และเนื่องจากทรงเป็นพระธยานิโพธิสัตว์จึงมีความเป็นมาอันยาวนานสุดจะคาดคำนวณได้ นับแต่สมัยของ พระวิปัสสีพุทธเจ้า เป็นต้นมาก็ทรงได้โปรดสัตว์มาเป็นลำดับจนถึงบัดนี้ อันเป็นกาลสมัยของพระสมณโคดมศากยมุนีพุทธเจ้า ก็เป็นระยะเวลาเนิ่นนานสุดจะพรรณนา ใน กรุณาปุณฑริกสูตร อธิบายว่า พระอวโลกิเตศวรเป็นพระธรรมกายโพธิสัตว์ สูงกว่าพระโพธิสัตว์สามัญอื่น ๆ และเป็นเอกชาติปฏิพัทธะเช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์อารยเมตตรัย กล่าวคือเป็นผู้ที่ยังข้องอยู่กับการเกิดอีกเพียงชาติเดียวก็จะได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ กล่าวกันว่าพระอวโลกิเตศวรจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าภายหลังการดับขันธปรินิพพานของพระอมิตาภะ เพื่อเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป ณ แดนสุขาวดี
    นอกจากนี้ในพระสูตรมหายานอื่น ๆ ก็ยังมีปรากฏว่าอธิบายแตกต่างออกไปอีก กล่าวคือ บางพระสูตรกล่าวว่าพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์นั้นแท้จริงแล้วคืออวตารภาคหนึ่งของพระอดีตพุทธเจ้า ที่ได้ทรงบรรลุพุทธภูมิเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะแล้วในอดีตกาลอันยาวไกล ก่อนสมัยพระพุทธเจ้าของเรา แต่ด้วยพระมหากรุณาที่เล็งเห็นสรรพสัตว์ยังตกอยู่ในโมหะอวิชชา ทำให้ต้องทนทุกข์อยู่ในวังวนแห่งสังสารวัฏยากจะหลุดพ้นไปได้ จึงทรงแบ่งภาคมาเป็นพระอวโลกิเตศวรเพื่อโปรดปวงสัตว์ให้เห็นธรรมพ้นทุกข์ด้วยพระเมตตากรุณา ในบางแห่งก็กล่าวว่าพระอวโลกิเตศวรเป็นพุทธโอรสของพระอมิตาภะที่ทรงบันดาลด้วยพุทธาภินิหาริย์ให้อุบัติขึ้นมาเพื่อเป็นที่พึ่งแก่โลก แต่ทางฝ่ายทิเบตเชื่อว่าพระอวโลกิเตศวรอุบัติขึ้นมาพร้อม ๆ กับพระนางตาราด้วยอานุภาพของพระอมิตาภพุทธ จากแสงสว่าง (บางแห่งว่าเป็นน้ำพระเนตรจากความกรุณาสงสารสรรพสัตว์) ที่เปล่งออกมาจากพระเนตรเบื้องขวาของพระอมิตาภะได้บังเกิดเป็นพระอวโลกิเตศวรประทับบนดอกบัวที่ปรากฏขึ้นพร้อม ๆ กับมนตร์ โอม มณี ปัทเม หูม ส่วนแสงจากพระเนตรเบื้องซ้ายก่อให้เกิดพระนางตาราโพธิสัตว์ อย่างไรก็ตาม ในพระสูตรอื่นบางแห่งก็มีกล่าวว่าแท้จริงแล้วพระอวโลกิเตศวรก็คือภาคหนึ่งขององค์พระอมิตาภะนั่นเอง
    ลักษณะทางประติมานวิทยา
    ภาพเขียนหรือรูปเคารพของพระอวโลกิเตศวรเริ่มแรกนิยมสร้างเป็นรูปบุรุษหนุ่ม ทรงเครื่องอลังการวิภูษิตาภรณ์อย่างเจ้าชายอินเดียโบราณ และมีอยู่หลายปางด้วยกัน แต่สิ่งสำคัญคือศิราภรณ์บนพระเศียรพระอวโลกิเตศวรจะต้องมีรูปของพระอมิตาภะในปางสมาธิ หากเป็นปางที่มีหลายเศียร เศียรบนสุดจะเป็นเศียรพระอมิตาภะ นับเป็นข้อสังเกตในด้านปฏิมากรรมของพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ ส่วนดอกบัวอันเป็นสัญญลักษณ์ของพระอวโลกิเตศวร คือ บัวสีชมพู ขณะที่สีขาวคือบัวของพระมัญชุศรีโพธิสัตว์เท่านั้น และด้วยดอกบัวสีชมพูในตระกูลปัทมะนี้เอง ทำให้พระองค์ได้รับการขนานพระนามว่าปัทมปาณีโพธิสัตว์
    เมื่อพระพุทธศาสนามหายานได้เข้าสู่ประเทศจีนในช่วงแรกคือสมัยก่อนราชวงศ์ถัง จีนได้แปลพระนามของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์เป็นภาษาจีนว่า กวนซีอิม"ในภาษาจีนแต้จิ๋ว แต่เนื่องจากในสมัยราชวงศ์ถัง อักษรคำว่า "ซี" ตรงกับชื่อเดิมของถังไท้จงฮ่องเต้ คือ "ลี้ซีเม้ง"จึงได้เลี่ยงมาเรียกย่อ ๆ ว่า "กวนอิม" ในยุคนั้นรูปเคารพของพระอวโลกิเตศวรยังสร้างเป็นรูปบุรุษตามแบบพุทธศิลป์ของอินเดีย หากในกาลต่อมาช่างชาวจีนได้คิดสร้างเป็นรูปสตรีเพื่อแสดงออกถึงความอ่อนโยน และแสดงถึงความเมตตากรุณาให้เด่นชัดยิ่งขึ้น ดังเช่นความรักของมารดาที่มีต่อบุตร สะท้อนถึงความรู้สึกและความเชื่อของประชาชนพื้นถิ่นที่ห่างไกลแม่แบบซึ่งมาจากอินเดีย จนอาจจะเรียกได้ว่ากวนอิมในรูปลักษณ์ของสตรีเป็นสัญลักษณ์ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในจีน และแพร่หลายมากกว่าปางอื่น ๆ กระทั่งแผ่ขยายเข้าสู่ประเทศต่าง ๆ ในแถบเอเชีย ทั้งนี้เพราะรูปลักษณ์ของฝ่ายหญิงแทนค่าในเรื่องความเมตตากรุณาได้ดี ในขณะที่รูปลักษณ์อย่างบุรุษเพศจะสะท้อนเรื่องคุณธรรมมากกว่าความเมตตา เมื่อพุทธศาสนาเผยแผ่เข้าไปยังเกาหลี ญี่ปุ่นและเวียดนาม พุทธศาสนิกชนในประเทศนั้นก็พลอยสร้างรูปพระอวโลกิเตศวรเป็นสตรีตามแบบอย่างประเทศจีนไปด้วย
    พระอวโลกิเตศวร (Avalokiteśvara) หรือ พระปัทมปาณี (Padmapani) เป็นพระโพธิสัตว์ในรูปความกรุณาของบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งปวง ปรากฏการสร้างรูปเคารพของพระองค์แตกต่างหลากหลายไปตามความเชื่อ ปรากฏทั้งในรูปสตรีเพศและบุรุษเพศ[1] ในทิเบต นับถือในพระนามเจนเรอซิก (Chenrezig) ในศาสนาพุทธแบบจีน แนวคิดของพระอวโลกิเตศวรได้พัฒนาเป็นเทพเจ้าสตรี พระแม่กวนอิม หรือ กานนอน ในเนปาลมณฑลรู้จักในนามชนะพหะทยา (Jana Baha Dyah), การุณามานา (Karunamaya), เสฌต มจิรทรนาถ
    พระอวโลกิเตศวรในฐานะเป็นพระธยานิโพธิสัตว์
    พุทธศาสนามหายานได้จำแนกพระโพธิสัตว์ออกเป็น ๒ ประเภท อันได้แก่ พระมนุษิโพธิสัตว์ และ พระธยานิโพธิสัตว์
    • พระมนุษิโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ในสภาวะมนุษย์หรือเป็นสิ่งมีชีวิตในรูปแบบอื่น ๆ ที่กำลังบำเพ็ญสั่งสมบารมีอันยิ่งใหญ่เพื่อพระโพธิญาณอันประเสริฐ ถ้าตามมติของฝ่ายเถรวาทก็คือผู้ที่ยังเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารเพื่อบำเพ็ญ ทศบารมี ๑๐ ประการให้บริบูรณ์ เหมือนเมื่อครั้งสมเด็จพระผู้มีพระภาคได้ทรงกระทำมาในอดีต โดยที่ทรงเสวยพระชาติเป็นทั้งมนุษย์และสัตว์จนได้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระศากยมุนีพุทธเจ้า การบำเพ็ญบารมีดังกล่าวนี้เป็นความยากลำบากแสนสาหัส สำเร็จได้ด้วยโพธิจิต อีกทั้งวิริยะและความกรุณาอันหาที่เปรียบมิได้ ต้องอาศัยระยะเวลายาวนานนับด้วยกัปอสงไขย สิ้นภพสิ้นชาติสุดจะประมาณได้
    • พระธยานิโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ประเภทนี้มิใช่พระโพธิสัตว์ผู้กำลังบำเพ็ญบารมีเพื่อแสวงหาดวงปัญญาอันจะนำไปสู่ความรู้แจ้งเหมือนประเภทแรก แต่เป็นพระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีบริบูรณ์ครบถ้วนแล้ว และสำเร็จเป็นพระธยานิโพธิสัตว์หรือพระโพธิสัตว์ในสมาธิโดยยับยั้งไว้ยังไม่เสด็จเข้าสู่พุทธภูมิ เพื่อจะโปรดสรรพสัตว์ต่อไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด พระธยานิโพธิสัตว์นี้เป็นทิพยบุคคลที่มีลักษณะดังหนึ่งเทพยดา มีคุณชาติทางจิตเข้าสู่ภูมิธรรมขั้นสูงสุดและทรงไว้ซึ่งพระโพธิญาณอย่างมั่นคง จึงมีสภาวะที่สูงกว่าพระโพธิสัตว์ทั่วไป พระธยานิโพธิสัตว์มักจะมีภูมิหลังที่ยาวนาน เป็นพระโพธิสัตว์เจ้าที่สำเร็จเป็นพระโพธิสัตว์มาเนิ่นนานนับแต่สมัยพระอดีตพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ สุดจะคณานับเป็นกาลเวลาได้ พระธยานิโพธิสัตว์ที่พุทธศาสนิกชนมหายานรู้จักดี อาทิ พระมัญชุศรี พระอวโลกิเตศวร พระมหาสถามปราปต์ พระสมันตภัทร พระกษิติครรภ์ เป็นต้น
    * พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ในเมืองไทย
    ความจริงแล้วไทยเราเคยนับถือมหายานมาก่อนนับเป็นพันปี จากหลักฐานที่ค้นพบตามโบราณสถานและโบราณวัตถุสมัยศรีวิชัย เช่น พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์สมัยศรีวิชัย พระอวโลกิเตศวรดินเผาพบที่คูหาภิมุขยะลา พระอวโลกิเตศวรตามปราสาทขอมต่าง ๆ เพราะจริงๆ แล้วไทยเคยบูชาพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ในยุคสมัยที่ศาสนาพุทธนิกายมหายานเคยเจริญรุ่งเรือง ก่อนที่คนจีนโพ้นทะเลจะนำลัทธิบูชาเจ้าแม่กวนอิมซึ่งเป็นพระอวโลกิเตศวรในภาคสตรีเข้ามาเผยแพร่นั่นเอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      36.7 KB
      เปิดดู:
      73
    • trdsghjkgy.jpg
      trdsghjkgy.jpg
      ขนาดไฟล์:
      52.5 KB
      เปิดดู:
      66
    • 1331000923.jpg
      1331000923.jpg
      ขนาดไฟล์:
      57.5 KB
      เปิดดู:
      77
  2. woraeak19

    woraeak19 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2019
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +30

    • เมื่อกล่าวถึงพระโพธิสัตว์ ความหมายของพระโพธิสัตว์นั้น หากแปลตามตัวจะแปลว่า ‘ผู้ข้องอยู่ในโพธิ’(ความรู้) และผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาลัทธิเถรวาท ก็คง จะนึกถึงพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งที่พระองค์ยังไม่ตรัสรู้ อีกทั้งยังเสวยพระชาติในชาดกต่างๆเพื่อบำเพ็ญเพียรบารมี แล้วมาเสวยพระชาติเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอีกด้านของพระพุทธศาส นาลัทธิมหายาน พระโพธิสัตว์มีความหมายที่ต่างออกไป โดยแบ่งพระโพธิสัตว์ออกเป็น 2 ประเภทคือ
      1.มนุษยโพธิสัตว์ คือผู้ที่มีจิตใจดีงาม มีเมตตาและ กรุณาอย่างสูง โดยมีความเสียสละ และไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากไปกว่าประโยชน์ส่วนรวม
      2.พระธยานิโพธิสัตว์ คือ ผู้ที่บำเพ็ญบารมีขั้นสูงจน บรรลุแต่ยังไม่เข้าสู่พระนิพพาน เพื่ออยู่รอช่วยเหลือเหล่าสรรพสัตว์ ให้ข้ามพ้นวัฏสงสารด้วยกัน ซึ่งถือว่ามีสภาวะที่สูงกว่ามนุษยโพธิสัตว์

      จะขอกล่าวถึงพระธยานิพุทธสักเล็กน้อยว่า ในประเทศอินเดียนั้นได้ปรากฏลัทธิที่ให้กำเนิดพระชินะ หรือที่เรียกว่า ‘พระธยานิพุทธ’ ห้าพระองค์ ได้แก่
      1. พระอักโษภยะ 2. พระไวโรจนะ 3. พระรัตนสัมภาวะ 4. พระอมิตาภะ5. พระอโมฆสิทธิ

      และพระโพธิสัตว์องค์สำคัญพระองค์หนึ่ง คือ ‘พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร’ ซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งคือ ‘พระโพธิสัตว์ ปัทมปาณี’ ซึ่งมีความเชื่อกันว่าเป็นพระโพธิสัตว์ที่ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองสรรพสัตว์ในกัปปัจจุบัน (กัปปัจจุบันเป็น กัปที่ 4 เรียกว่าภัทรกัป ซึ่งมี‘พระธยานิพุทธ อมิตภะ’ เป็นธยานิพุทธประจำ มีทายาทคือพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรซึ่งคอยดูแลสัตว์โลกในกัปปัจจุบัน)

      โดยพระองค์เป็นบริวารองค์สำคัญองค์หนึ่งขององค์อมิตาภพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าประจำทิศตะวันตก ซึ่งความหมายของ ‘อมิตาภะ’คือผู้ที่มีแสงสว่างอย่างไม่มีกำหนด และองค์ ‘พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร’ คือความหมายของ ‘ผู้ที่มีความเมตตามหา กรุณาอย่างยิ่งยวด’ ซึ่งแปลตามรูปศัพท์ (อว+โล+อิศวร)ว่า ‘ผู้มองลงเบื้องล่างด้วยความเมตตากรุณาอันยิ่งใหญ่’ เพื่อหาทางช่วยเหลือสัตว์โลกทั้งหลายให้พ้นจากความทุกข์ยาก หรือแปลว่า ‘ผู้เป็นใหญ่ที่มองเห็น’ พระองค์ทรงปรากฏกายอยู่ทุกหนทุกแห่ง และด้วยเหตุนี้จึงได้รับการสรร เสริ ญเมื่อมีผู้ต้องการความช่วยเหลือหรือตกอยู่ในอันตราย
      พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรมีสองกร สี่กร หรืออาจจะมากกว่านั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับการแสดงปางต่างๆของพระองค์ พระหัตถ์ถื อดอกบัว (จึงมีชื่อว่าพระโพธิสัตว์ปัทมปาณี) คัมภีร์ หม้อน้ำ และลูกประคำ พร้อมทั้งเกล้าผมมวยอย่างนักบวชและมีพระพุทธเจ้าอมิตาภะในปางสมาธิ อยู่ที่มวยผมนั้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...