คือผมอยากจะทราบว่า

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ขี้สงสัย, 6 มกราคม 2005.

  1. ขี้สงสัย

    ขี้สงสัย บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    เป็นพระโพธิสัตว์เค้าเป็นกันอย่างไงครับพี่(บอกแนวทาง)
    เค้าบำเพ็ญบารมียังไง
    แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าเราเคยปราถนามาแล้วหรือเปล่า
    แล้วพวกปราถนาทั้งหลายในเว็บนี้คัยพูดจริงคัยโกหก
    แล้วก็มีแต่คนอวดตนเป็นผู้รู้แล้วเค้ารู้ได้ไง
    ขอบคุณครับพี่ครับ
     
  2. thanan

    thanan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,668
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +5,216
    อยากเป็นหรือเปล่าล่ะน้อง อยากนำพาสรรพสัตว์พ้นจากความทุกข์(นิพพาน) โดยไม่เห็นแก่ชีวิตและความสุขของตนเอง ยอมตาย ถวายชีวิต ได้ทุกเมื่อเพื่อความสุขของคนหมู่มาก ปรารถนาอย่างนี้หรือเปล่าล่ะน้อง
     
  3. Mr.Nobody

    Mr.Nobody บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
  4. Issara

    Issara เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    505
    ค่าพลัง:
    +433
    อืมมม...เอาเป็นว่าพูดภาษาชาวบ้านง่าย ๆ นะ (eek)

    การบำเพ็ญเพื่อหลุดพ้นนี่แยกง่าย ๆ เป็น 2 แบบละกัน
    แบบแรก คือ หลุดพ้นเฉพาะตน ก็เป็นการบำเพ็ญให้ตัวเองหลุดพ้นจากไตรภูมิ โดยมิได้สนใจจะสอนหรือจะช่วยเหลือใคร
    แบบหลัง คือ ปรารถนาจะช่วย จะสอน สรรพสัตว์ให้หลุดพ้น ไปด้วย ก็คือ โพธิสัตว์ (f)

    กระบวนการบำเพ็ญ อันดับแรกก็แน่นอน ตัวเองต้องบำเพ็ญให้หลุดพ้นก่อน ถ้าตัวเองยังไม่หลุดพ้นก็จะไปสอนหรือพาใครให้หลุดพ้นไม่ได้ นี่เป็นตรรกะ
    แบบแรกพอหลุดพ้นก็นิพพานไปเลยไม่กลับมาอีก แบบหลังก็จะกลับมาช่วยเหลือสรรพสัตว์ ให้ออกจากไตรภูมิด้วยเพราะตั้งใจไว้แต่แรก
    (b-flower)
     
  5. Issara

    Issara เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    505
    ค่าพลัง:
    +433
    ทีนี้การช่วยเหลือหรือการสอนอะไร คนสอนก็ต้องไปเรียนรู้ก่อน ว่าทำอย่างไร อะไร เป็น อะไร ถึงจะสอนถูก ดังนั้นโพธิสัตว์จึงต้องผ่านกระบวนการเรียนมากมายต้องเวียนว่ายตายเกิดไปเป็นสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ วิถีชีวิตต่าง ๆ มากมายหลายรูปแบบ เพื่อจะได้รู้ถึงวิถีความคิดของสรรพสัตว์ในสภาพต่าง ๆ จึงจะสามารถช่วยเหลือได้ :love:

    ตัวอย่างเช่น คนในโลกนี้ต่างกันทั้งวัฒนธรรม ภาษา ศาสนา รูปแบบการคิด เรามาคิดดูว่าถ้าโพธิสัตว์จะไปช่วยเหลือชาวยุโรปตะวันตกที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ ท่านจะทำอย่างไร ท่านก็ต้องเรียนรู้แนวความคิดของนักวิทยาศาสตร์ ว่าเขาคิดอย่างไร ประเพณีเเป็นอย่างไร เพราะปุถุชนส่วนมากจะต่อต้านผู้ที่ต่างจากตนเองเสมอ ท่านต้องรู้ว่าคำสอนแบบไหนถึงจะดึงเขาสู่ธรรมได้ สหโลกธาตุไม่เคยว่างเว้นจากโพธิสัตว์ บางองค์มาเพื่อโปรดคน 2-3 คน บางองค์มาเพื่อโปรดคนหมู่มากเป็นร้อยเป็นพัน บางองค์มาเพื่อโปรดคนคนเดียว :)

    ดังนั้นที่กล่าวกันว่า มี 84,000 ธรรมวิถีในการโปรดสัตว์ก็เป็นคำกล่าวเปรียบเทียบว่าการช่วยเหลือให้หลุดพ้นนั้นมีมากมายหลายวิธี ไม่จำเป็นต้องไปยึดติดกับรูปแบบต่าง ๆ มากนัก โลกเราวุ่นวาย เข่นฆ่ากันก็เพราะ แค่อคติ ของฉันดี ของเธอเลว ของฉันถูก ของเธอผิด ยิ่งยึดอัตตามากก็ปัญหามาก ห่างจากธรรมไปทุกที ซึ่งเราควรระลึกไว้เสมอสัจธรรมนั้นมีหนึ่งเดียว ไม่จำป็นต้องเปรียบเทียบอะไรกับใคร :(

    โพธิสัตว์ สภาวะของท่านจะพ้นขอบเขตการแบ่งแยก แบ่งเธอ แบ่งฉัน ท่านมองสรรพสัตว์ก็เหมือนมองดูตัวเอง (b-flower)
     
  6. Issara

    Issara เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    505
    ค่าพลัง:
    +433
    โอ้...แล้วส่วนที่ว่าเคยปรารถนาเป็นโพธิสัตว์ไหม (tm-love)

    ส่วนมากเคย เพราะชีวิตของคนเรานี้ถ้าดำเนินไปอย่างปกติก็ไม่มีอะไร แต่วันใดวันหนึ่งเราประสบปัญหาขึ้นมา มีความทุกข์ อาทิ ตกงาน ผิดใจกับเพื่อนรัก ยากจน ฯลฯ เราจะเริ่มรู้สึกว่าทำไมชีวิตมันทุกข์ขนาดนี้ ทำไมเราอ่อนแอ ทำไมเราไร้พลัง เราจะเริ่มโหยหาสิ่งที่จีรัง เราจะเริ่มมองเข้าสู่ภายใน เราจะคิดหาทางที่จะพ้นทุกข์(*)

    ซึ่งจริง ๆ แล้วเรามาจากที่สูง ที่สว่างอยู่ เราเป็นพุทธมาก่อนอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงโหยหาสิ่งที่เราเป็นมาก่อน (i)

    แน่นอน คำว่า สรรพสัตว์มีธรรมชาติของพุทธะ นั้นถูกต้อง พุทธ(พระเจ้า)ไม่ใช่สิ่งที่สร้างขึ้นมาได้ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อให้ได้มา พุทธก็เป็นพุทธ เป็นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ พุทธรู้ตัวว่าเป็นพุทธ แต่สรรพสัตว์ไม่รู้ นี่คือข้อต่าง ซึ่งทำให้เกิดทุกข์

    โพธิสัตว์ก็คือคนที่เคยทุกข์ รู้สึกถึงความสาหัส ยากเข็นของความทุกข์ ความไม่จีรังทั้งหลาย ว่ามันทรมานเพียงใด เจ็บปวดเพียงใด จึงเกิดเห็นใจ เมตตาผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกัน ปรารถนาให้คนพ้นจากทุกข์ เขาจึงหาทางพ้นทุกข์ หาทางกลับสู่สภาพเดิม เมื่อเขาทำได้แล้วเขามีเมตตาจิต ดังนั้นเขาจึงหวนกลับมาเพื่อช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์เช่นตัวเขา:boo:

    แต่การช่วยคนให้ได้ต้องเรียนรู้มากมาย ถ้าตั้งใจจะเป็นโพธิสัตว์ พลังที่สร้างสรรค์จักรวาลนี้จะจัดการให้ จะถูกทดสอบ จะได้เรียนบทเรียนที่จำเป็น ซึ่งก็เป็นเหตุผลอยู่แล้ว จะสอนหมอได้ต้องเรียนวิชาหมอ จะสอนทนายต้องเรียนวิชาทนาย จะสอนคนหรือโปรดสัตว์ต้องเรียนวิชาโปรดสัตว์ แต่ถ้าระหว่างเรียนทนไม่ไหว จะเลิกก็ได้ สำคัญที่เจตจำนงของเรา เพราะจำเดิมแท้เราก็เป็นพุทธ ไม่มีใครบังคับพุทธได้ เฉกเช่นการโปรดสัตว์ สัตว์ไม่ยอมก็โปรดไม่ได้ เพราะ สรรพสัตว์ล้วนมีอำเภอใจที่เสรี เพราะจำเดิมสรรพสัตว์ก็คือพุทธนั่นเอง
    [b-nurse]
     
  7. Issara

    Issara เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    505
    ค่าพลัง:
    +433
    เอาล่ะ ทีนี้มาต่อด้วยว่าจะทำยังไงถึงจะช่วยสรรพสัตว์ได้(rose)

    แน่นอน ต้องเรียน ต้องหลุดพ้นก่อน เหตุผลธรรมดา คนที่ยังไม่หลุดพ้น จะไปสอนคนให้หลุดพ้นได้ยังไง ก่อนเรียนต้องหาคนที่หลุดพ้นมาเป็นครู นี่คือจุดสำคัญ [b-hi]

    ครูก็มีหลายระดับ อาทิทางโลกก็ ครูประถม มัธยมต้น มัธยมปลาย มหาวิทยาลัย ตรี โท เอก ผู้เชี่ยวชาญ แน่นอนทางธรรมต้องเลือกครูที่เป็นพุทธ หลุดพ้นแล้วถึงจะเกิดผล ครูทางธรรมก็มีหลายระดับ ระดับที่ไปถึงชั้นพรหม ชั้นสวรรค์ ชั้นของเหตุผล(ศิวะ) แต่ครูอยู่ชั้นไหนก็จะพาศิษย์ไปได้สูงสุดก็ชั้นนั้นแหละ ดังนั้นนี่จึงเป็นความจำเป็นที่ต้องเลือกครูที่เป็นพุทธ(พระเจ้า) คือครูระดับสูงสุด :boo:

    ส่วนถ้าจะมาคิดว่าแล้วจะหาเจอไหมครูที่เป็นพุทธที่มีชีวิตอยู่
    โอ้ แน่นอน ไม่ได้อยู่ที่ครูนะ มันจะเป็นเหตุผลของประโยคนี้เลย
    "เมื่อศิษย์พร้อม ครูจะปรากฎ"
    (b-love2u)
     
  8. lotte

    lotte เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    725
    ค่าพลัง:
    +4,545
    พุทธภูมิ
    พุทธภูมิและพระโพธิสัตว์
    ผู้ชายปรารถนาพุทธภูมิ
    ผู้หญิงปรารถนาพุทธภูมิ
    ความรักมิติที่ 10 พุทธภูมินิยม
    มาเพื่อสะสมสัพพัญญูตญาณ
    บันไดสู่พุทธะ
    ชีวิตต้องบำเพ็ญบุญ
    ทศบารมีในพุทธศาสนา
    บารมี 30 ทัศและอานิสงค์
    จากธรรมะมาเป็นศาสนา
    ธรรมะกับศาสนา
    จุดหมายของการเผยแผ่ธรรม
    คำอธิษฐานวาจา คลิกดูได้เลยครับที่http://www.buddhabhumi.info/buddhabumi/buddhabhumi/buddhabhumi.html


    สำหรับผู้ปรารถนาพุทธภูมิ
    พุทธภูมิ
    พระพุทธเจ้า คือผู้ที่เป็นศาสดาเอกในพุทธศาสนา แบ่งพระพุทธเจ้าออกเป็น 3 ประเภท
    1.ปัญญาพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ปัญญาเป็นตัวนำ
    ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 20 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 7 อสงไขย
    หลังจากนั้นออกปากกล่าววาจาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 9 อสงไขย รวมเป็น 16 อสงไขย และได้เป็นพระนิยตะโพธิสัตว์
    ได้รับพุทธพยากรณ์ ครั้งแรก เหลืออีก 4 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย
    และได้รับพยากรณ์ช้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน
    2. ศรัทธาพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ศรัทธาเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 40 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป
    คือปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 14 อสงไขย หลังจากนั้นออกปากกล่าววาจาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 18 อสงไขย รวมเป็น 32
    อสงไขย และได้เป็นพระนิยตะโพธิสัตว์ ได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรก เหลืออีก 8 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป
    เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ช้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน
    3. วิริยะพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้วิริยะเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 80 อสงไขยกับเศษแสนมหากับล์
    คือปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 28 อสงไขย หลังจากนั้นออกปากกล่าววาจาต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 36 อสงไขย รวมเป็น 64
    อสงไขย และได้เป็นพระนิยตะโพธิสัตว์ ได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรก เหลืออีก 16 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป
    เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข็มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ช้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน
    ซึ่งพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ มีพระนามว่า พระศรีศากยมนีโคดมพุทธเจ้า พระองค์ทรงสร้างบารมีมาทาง ปัญญาพุทธเจ้า
    พระโพธิสัตว์ คือบุคคลที่ปรารถนาเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต แบ่งเป็น 2 ประเภท
    1.พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาเลย เรียกว่า อนิยตะโพธิสัตว์ ความหมายคือยังไม่แน่นอนว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะอาจจะเลิกล้มความปรารถนาเมื่อไรก็ได้
    2.พระโพธิสัตว์ที่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาแล้ว เรียกว่า นิยตะโพธิสัตว์
    ตามความหมายคือจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นนอน เพราะถ้าถึงนิพพานต้องดำรงค์ฐานะเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียว
    แต่ถ้าบารมีและเวลายังไม่สมบูรณ์ แม้ว่าจะพยายามปฏิบัติอย่างยิ่งยวดบังเกิดปัญญาอย่างเยี่ยมยอด ก็ไม่สามารถถึงนิพพานก่อนได้
    แม้จะทุกข์ท้อแท้ จนคิดว่าเลิกที่จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แต่แล้วในที่สุดมหากุศลที่เป็นอนุสัย
    ก็จะพุ่งกระจายขึ้นมาให้ตั้งมั่นและบำเพ็ญบารมีกันต่อ จนกว่าบารมีและเวลาสมบูรณ์
    จากบทความข้างบน ผู้อ่านคงได้อ่านคำว่า อสงไขย และ กัป มาแล้ว ผู้เขียนจะอธิบายสั้นๆ ให้ทราบดังนี้
    - กัป เป็นหน่วยวัดเวลา ในเชิงประมาณ คือ เมื่อโลกมนุษย์ปรากฎขึ้นหรือบังเกิดขึ้น จนพังสูญหายไป 1 ครั้งเรียกว่า 1 กัป
    - อสงไขย เป็นหน่วยวัดเวลา ที่มากกว่ากัป คือจำนวนกัป ที่นับไม่ถ้วน เท่ากับ 1 อสงไขย
    *** ตามที่เคยคำนวณมา 1 อสงไขย เท่ากับ จำนวน กัป ที่เอาเลข 1 ตามด้วย เลข 0 ถึง 140 ตัว
    - ต่อไปคำว่า สูญกัป หมายถึงกัปที่ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น

    บารมี 30 ทัส
    กล่าวถึงบารมี 10 ทัสก่อน มี ดังนี้
    1. ทานบารมี คือการให้ทาน ทำบุญ บริจาคทรัพย์ หรือสิ่งของ หรือบริจาค สัตว์ 2 เท้า หรือ 4 เท้า หรือไม่มีเท้า
    2. ศีลบารมี คือาการรักษาศีล 5 ศีล 8 หรือศีล 227 ข้อ
    3. เนกขัมบารมี คือการออกบวช เป็นพระ หรือเป็นฤาษี เป็นโยคี เป็นพราหมณ์ คือเป็นผู้ไม่ครองเรือน ถือศีล 8 ขึ้นไป
    4. ปัญญาบารมี คือสร้างเสริมความรู้ ความสามารถ และปัญญาทางธรรมมะให้เพิ่มขึ้น
    5. วิริยะบารมี คือมีความขยันหมั่นเพียร กระทำสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ ทั้งในทางธรรมะจนกระทั้งสำเร็จ
    6. ขันติบารมี คือมีความอดทนต่ออารมณ์อันไม่พอใจ ต่องานการ ต่อการปฏิบัติธรรม และต่อสิ่งแวดล้อมที่ไม่อำนวย
    7. สัจจะบารมี คือการพูดความจริง ที่ประกอบไปด้วยความดี ตามกาล และทำตามที่กล่าวไว้
    8. อธิษฐานบารมี คือตังจิตอธิษฐาน เมื่อสร้างบุญกุศล ในสิ่งที่ปารถนาที่เป็นคุณงามความดี
    9. เมตตาบารมี คือมีใจเมตตาต่อสัตว์ทั้งหลายเสมอเหมือนกัน
    10. อุเบกขาบารมี คือมีใจเป็นอุเบกขา ต่อความสุข ความทุกข์ ที่เกิดขึ้น
    บารมี ทั้ง 10 สามารถแตกเป็น 3 ระดับ คือ
    1. บารมี ธรรมดาทั่วไป
    2. อุปบารมี บารมีอย่างกลางแลกด้วย ปัจจัยภายนอกจนหมดสิ้น
    3. ปรมัตถบารมี บารมีอย่างยิ่งแลกด้วยชีวิต
    เมื่อแบ่งเป็น 3 ระดับ ก็จะกลายเป็นบารมี 30 ทัส
    อานิสงส์ บารมี 30 ทัส ของพระนิยตะโพธิสัตว์
    พระนิยตะโพธิสัตว์เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรก จะมีอานิสงส์ 18 อย่าง ตลอดจนได้ตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า ได้แก่
    1. เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมไม่เกิดเป็นคนมีจักษุบอดมาแต่กำเนิด
    2. ไม่เป็นหูหนวกแต่กำเนิด
    3. ไม่เป็นคนบ้า
    4. ไม่เป็นคนใบ้
    5. ไม่เป็นคนง่อยเปลี้ย
    6. ไม่เกิดในมิลักขประเทศคือประเทศป่าเถื่อน
    7. ไม่เกิดในท้องนางทาสี (แต่เกิดในฐานะคนจันทาลได้ ดัง พระโพธิสัตว์ มาตังคะฤาษี ท่านเป็นบุตรคนจันทาล แต่ไม่ได้เป็นนางทาสี)
    8. ไม่เป็นนิยตมิจฉาทิฐิ
    9. ไม่เป็นสตรีเพศ
    10. ไม่ทำอนันตริยกรรม
    11. ไม่เป็นโรคเรื้อน
    12 เมื่อเกิดเป็นสัตว์เดียรฉาน มีกายไม่เล็กกว่านกกระจาบ และ ไม่ใหญ่ไปกว่าช้าง
    13. ไม่เกิดใน ขุปปิปาสิกเปรต นิชฌานตัณหิกเปรต และกาลกัญจิกาสุรกาย
    14. ไม่เกิดในอเวจีนรก และโลกันตนรก
    15. ไม่เกิดเป็นเทวดาใน กามาพจรสวรรค์ ไม่เกิดเป็นเทวดาที่นับเข้าในเทวดาพวกหมู่มาร
    16. เมื่อเกิดเป็นรูปพรหม จะไม่เกิดใน ปัญจสุทธวาสพรหมโลก(พรหมชั้นอนาคามี) และอสัญญสัตตาภูมิพรหม( มีแต่รูปอย่างเดียว)
    17. ไม่เกิดในอรูปพรหมโลก
    18. ไม่เกิดในจักรวาลอื่น
    อานิสงส์พิเศษอีกอย่างหนึ่งของนิยตโพธิสัตว์ คือ การทำอธิมุตตกาลกริยา คือเมื่อท่านเกิดเป็นเทวดาหรือพระพรหม เกิดความเบื่อหน่าย ในการเสวายสุขนั้น ปรารถนาที่จะสร้างบารมีในโลกมนุษย์ ท่านก็สามารถทำการอธิมุตต คืออธิษฐานให้จุติ(ตายจากการเป็นเทพ)มาเกิดเป็นมนุษย์ได้ทันที ได้โดยง่าย ซึ่งเหล่าเทพเทวดาอื่นๆ ไม่สามารถทำอย่างนี้ได้
    สำหรับพระโพธิสัตว์ ที่ยังเป็น อนิยตะโพธิสัตว์ ที่สร้างบารมีสมบูรณ์แล้ว จะได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรก ต่อพระพักตร์พุทธเจ้า ต้องมีธรรมสโมธาน 8 ประการสมบูรณ์ จึงได้รับพุทธพยากรณ์โดยนัยว่า จะได้ตรัสรู้เป็นองค์พระพุทธเจ้า ทรงนามว่าอย่างนั้น ในกัปอันเป็นอนาคตที่เท่านั้น ก็กลายเป็น นิยตะโพธิสตว์ ทันที คือเป็นพระโพธิสัตว์ที่เที่ยงแท้
    ธรรมสโมธาน 8 ประการคือ
    1. ได้เกิดเป็นมนุษย์
    2. เป็นบุรุษเพศ ไม่เป็นกระเทย
    3. มีอุปนิสสัยปัจจัยแห่งพระอรหันต์รุ่งเรืองอยู่ในขันธสันดาน(ถ้าเกิดเปลี่ยนใจก็จะเป็นพระอรหันต์ทันที)
    4. ต้องพบพระพุทธเจ้าขณะมีพระชนชีพอยู่ และได้สร้างกองบุญกุศลต่อพระพักตร์
    5. ต้องเป็นบรรพชิต หรือต้องเป็น โยคี ฤาษี ดาบส หรือปริพาชก ที่มีลัทธิเชื่อว่า บุญมี บาปมี ทำบุญได้บุญ ทำบาปได้บาป ต้องไม่เป็นคฤหัสผู้ครองเรือน
    6. ต้องมีอภิญญาและฌานสมาบัติ อันเชี่ยวชาญ
    7. เคยให้ชีวิตของตนเป็นทาน เพื่อสัมโพธิญาณมาก่อนในอดีตชาติ
    8. ต้องมี ฉันทะ คือมีความรักความพอใจในพุทธภูมิเป็นกำลัง
    กล่าวถึงพุทธภูมิธรรมของนิยตะโพธิสัตว์ ในการเพิ่มพูนบารมีให้มากยิ่งขึ้น มีน้ำใจประกอบไปด้วย พุทธภูมิธรรม 4 ประการ คือ
    1. อุสสาโห คือประกอบไปด้วยพระอุตสาหะ มีความเพียรอันสลักติดแน่นในจิตใจอย่างมั่นคง
    2. อุมัตโต คือประกอบด้วยปัญญา มีปัญญาเชียวชาญเฉียบคม
    3. อวัตถานัง คือมีพระทัยอธิษฐานอันมั่นคง มิได้หวั่นไหวคลอนแคลน
    4. หิตจริยา คือประกอบไปด้วยพระเมตตา เจรีญจิตอยู่ด้วยพรหมวิหารเป็นปกติ
    อัธยาศัย ที่ทำให้พระโพธิญานของนิยตะโพธิสัตว์แก่กล้ายิ่งขึ้น มี 6 ประการ
    1. เนกขัม พอใจในการรักษาศีล การบวช หรือบรรพชา
    2. วิเวก พอใจอยู่ในที่สงบ
    3. อโลภ พอใจในการบริจาคทาน
    4. อโทส พอใจในความไม่โกรธ เจริญเมตตา
    5. อโมห พอใจในการพิจารณาคุณและโทษ เจริญปัญญา
    6. นิพพาน พอใจที่ยกตนออกจากภพ ไม่ยินดีในการเวียนว่ายตายเกิด ประสงค์นิพพานเป็นอย่างยิ่ง
     
  9. PalmPlamnaraks

    PalmPlamnaraks เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2005
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +5,790
    ใครก็ปราถนาได้ทั้งนั้นครับ แค่คุณคิดว่าสักวันฉันจะเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อได้ช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ เท่านั้นคุณก็คือหนึ่งในโพธิสัตว์แล้ว แต่จะบรรลุจุดหมายหรือไม่อยู่ที่ใจคุณนั่นเองแหละ ไม่ว่าจะสาวกภูมิหรือพุทธภูมิที่สุดก็คือการออกจากห้วงกิเลสเข้าสู่พระนิพพาน เพียงแค่ทางเดินต่างกัน สั้นยาว
     

แชร์หน้านี้

Loading...