จริงหรือไม่ ?ที่ในดวงจันทร์อีกด้านมีสิ่งนี้!!

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เสขะปฎิสัมภิทา, 13 พฤษภาคม 2015.

  1. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤษภาคม 2015
  2. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    Apollo 20 moon spacecraft Mona Lisa hoax debunked

    https://youtu.be/zIEo1MmlCzI

    หรือว่าโม้

    หรือว่า สร้างตามแบบที่เห็นมาโม้ต่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤษภาคม 2015
  3. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    https://youtu.be/GktrhCOP1OQ

    ไทยโม้ หรือ นาซ่า มั่ว ( หรือเกรียนเพ้อ )
     
  4. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    สารคดี เปิดโปงแฟ้มลับ มีอะไรอยู่บนดวงจันทร์

    https://youtu.be/_1299MsIAW4
     
  5. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ทางการสหรัฐอเมริกาเต้นเป็นเจ้าเข้าเมื่อสืบรู้ว่าระบบคอมพิวเตอร์ลับสุดยอดขององค์การนาซ่า และกองทัพสหรัฐ ถูกแฮกเกอร์มือเซี่ยนหนุ่มใหญ่ชาวเมืองผู้ดี แกรี่ แมกคินน่อน (Gary McKinnon) ล้วงเข้าไปในแฟ้มข้อมูลลับที่เก็บเรื่องราวของ "ยูเอฟโอ" โดยใช้ชื่อรหัสว่า "โซโล" (SOLO) แถมพี่แกยังทิ้งคำเยาะเย้ยไว้ด้วยว่าระบบป้องกันข้อมูลของท่านมัน "หน่อมแน้มวะ" เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2544 ถึง มีนาคม 2545 เอฟบีไอได้ประสานไปทางรัฐบาลอังกฤษให้เรียกตัวเจ้าหนุ่มมือบอนนี่มาสอบปากคำครั้งแรกเมื่อ19 มีนาคม 2545 และออกหมายจับในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน ต่อมารัฐบาลสหรัฐขอให้ทางอังกฤษส่งตัวหมอนี่ตามข้อตกลง "การส่งผู้ร้ายข้ามแดน" ให้ไปดำเนินคดีที่อเมริกา ตามพระราชบัญญัติการส่งผู้ร้ายข้าอมแดนของอังกฤษที่มีผลบังคับใช้เมื่อปี 2546 (Extradition Act 2003) แต่เรื่องมันไม่ง่ายเหมือนที่สหรัฐคิดไว้เพราะประชาชนและนักการเมืองส่วนหนึ่งในประเทศอังกฤษออกมาปกป้องพ่อหนุ่มนี้อย่างเอาจริงเอาจัง เนื่องจากพวกเขาเห็นว่าทางการสหรัฐไม่น่าที่จะปกปิดเรื่องราวของ "ยูเอฟโอ" ในทางตรงข้ามควรเปิดเผยให้สาธารณะชนทั่วโลกได้ทราบทั่วกัน ขณะเดียวกันอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของประเทศแคนาดา พอล เฮลเย่อร์ (Paul Hellyer) ได้ออกมาเปิดโปงและกล่าวหาทางการสหรัฐในทำนองว่า ฝ่ายอเมริกันได้เทคโนโลยีบางอย่างจากการศึกษาย้อนกลับ (reengineering) จากซากยานต่างดาวที่ตกในทะเลทรายใกล้เมือง Roswell New รัฐ Mexico เมื่อปี 2490 ซึ่งเก็บรักษาไว้ในฐานทัพลับ (อาจเป็นที่ Area 51)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Slide10.jpg
      Slide10.jpg
      ขนาดไฟล์:
      44.7 KB
      เปิดดู:
      145
  6. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ภาพของแกรี่ แมกคินน่อน ขณะให้สัมภาษสถานีโทรทัศน์ บีบีซี ของอังกฤษ ว่าเขายอมรับว่าได้แฮกเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ขององค์การนาซ่าจริงๆ เพราะต้องการรู้ว่าทางการสหรัฐมีข้อมูลเกี่ยวกับ ยูเอพโอ และเทคโนโลยี "สลายแรงดึงดูดของโลก" (Anti-gravity technology) จริงหรือไม่
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Slide02.jpg
      Slide02.jpg
      ขนาดไฟล์:
      31.2 KB
      เปิดดู:
      131
    • Slide09.jpg
      Slide09.jpg
      ขนาดไฟล์:
      30.8 KB
      เปิดดู:
      79
    • Slide03.jpg
      Slide03.jpg
      ขนาดไฟล์:
      47.5 KB
      เปิดดู:
      104
    • Slide15.jpg
      Slide15.jpg
      ขนาดไฟล์:
      34.4 KB
      เปิดดู:
      80
  7. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    รายการทีวีในประเทศอังกฤษจัดทำรายการเปิดประเด็นเรื่องราวของแกรี่ แมกคินน่อน

    สื่อมวลชน ประชาชน และนักการเมืองออกมาช่วยปกป้องแกรี่อย่างกว้างขวาง

    ตัวอย่างโป้สเตอร์รณรงค์ปกป้องแกรี่

    นายพอล เฮลเย่อร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรงกลาโหมแคนาดา ออกมาปราศัยอัดทางการสหรัฐอเมริกาว่า มีข้อมูลเกี่ยวกับ ยูเอฟโอ และเทคโนโลยีบางอย่างจากยานต่างดาว แล้วลุงแซมแกอมไว้คนเดียวไม่แบ่งปันเพื่อบ้านเลย

    แม่ของแกรี่ แมกคินน่อน ก็ออกมาช่วยปกป้องลูกชายหัวแก้วหัวแหวน โดยบอกว่าถ้ารัฐบาลอังกฤษส่งลูกไปให้สหรัฐละก้อแกอาจจะฆ่าตัวตายก็ได้ เพราะแกป่วยเป็นโรคจิตที่เรียกว่า Asperger (โรคเข้าสังคมไม่ได้)

    คดีนี้ยื้อกับนานถึงสิบปีในกระบวนการยุติธรรมของอังกฤษ

    จากข้อตกลงของการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างอังกฤษกับสหรัฐอเมริกา ทำให้ทางการเมืองผู้ดีต้องคิดหนักแต่ด้วยความเป็นต้นแบบของประชาธิปไตยจึงต้องให้สิทธิผู้ต้องหาอย่างเต็มพิกัด ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีการตัดสินให้ส่งตัวแกรี่ ไปดำเนินคดีในสหรัฐได้ เล่นเอาสังคมอังกฤษปั่นป่วนเพราะนักการเมืองจำนวนหนึ่งไม่เห็นด้วยกับการส่งตัวแกรี่ให้สหรัฐ จึงมีการบีบนายกรัฐมนตรีอย่างหนัก นายกคนแรกที่เปิดการเจรจากับทางการสหรัฐคือนายกอร์ดอน บราว (Gordon Brown) ดำรงตำแหน่งระหว่าง 27 มิถุนายน 2550 ถึง 11 พฤษภาคม 2553 และนายกรัฐมนตรีอังกฤษคนที่สองคือนายเดวิท คาเมรอน (David Cameron) ดำรงตำแหน่ง 11 พฤษภาคม 2553 จนปัจจุบัน นายกทั้งสองท่านได้พูดคุยกับประธานาธิบดีบารัก โอบาม่า ให้หาทางระงับการส่งตัวแกรี่ ด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Slide14.jpg
      Slide14.jpg
      ขนาดไฟล์:
      33.1 KB
      เปิดดู:
      71
    • Slide13(1).jpg
      Slide13(1).jpg
      ขนาดไฟล์:
      37.2 KB
      เปิดดู:
      68
    • Slide11.jpg
      Slide11.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29.3 KB
      เปิดดู:
      66
  8. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    รัฐบาลอังกฤษฟันธงไม่ส่งตัวแกรี่ ด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรม....และยังแถมยุติคดีสิ้นเชิง

    ในที่สุดรัฐบาลอังกฤษโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีคำสั่งไม่ส่งตัวแกร่ แมกคินน่อน ไปดำเนินคดีในสหรัฐ


    วิเคราะห์......อะไรคือเหตุผลที่สหรัฐยอมยุติคดีอย่างสิ้นเชิง

    ในฐานะนักเขียนเรื่องราวประเภทยูเอฟโอ ผมพอจะมองเกมส์ออกว่างานนี้สหรัฐมีแต่เสียกับเสีย เพราะ

    1.ถ้ามีการดำเนินคดีจริงๆนักข่าวทั่วโลกจะจับตามองอย่างไม่กระพริบตา และอาจเป็นไปได้ว่าหนุ่มเมืองผู้ดีคนนี้สวมหัวใจสิงห์ไหนๆก็ไหนๆ ภาษาอีสานเรียกว่า "โสทิ่ม" แฉมันให้หมดเปลือกเลยว่าได้เห็นข้อมูลอะไรมั่ง องค์การนาซ่า และกองทัพสหรัฐมีภาพยานต่างดาวเก็บไว้ที่ไหน อย่างไร จะทำให้ประชาชนเมืองลุงแซมฟ้องร้อง หรือโวยว่าทางราชการเอาภาษีของพวกเขาไปทำเรื่องแบบนี้แล้วยังปกปิดข้อมูลต่อสาธารณะ ประกอบกับเคยมีข่าวออกมาจากอดีตประธานาธิบดีโรนั่ล รีแกน ว่าท่านเชื่อเรื่องต่างดาวอย่างจริงจัง ถึงขนาดไปแถลงอย่างเป็นทางการในที่ประชุมองค์การสหประชาชาติ (อ่านรายละเอียดในคอลั่มส์ สหรัฐและโซเวียตช่วยกันปกป้องโลกจากต่างดาว)

    2.ถ้าปล่อยให้ศาลอังกฤษดำเนินคดีต่อไป ทางการสหรัฐก็ต้องส่งข้อมูลต่างๆให้อัยการอังกฤษใช้ในการฟ้องร้อง มันจะเป็นการ "สาวไส้ให้กากิน" เป็นแน่แท้ เข้าทางปืนนักข่าว และทีวี ตลอดจนแฟนคลับยูเอฟโอ ได้รับทราบข้อมูลกันมันส์พะยะคะ

    ...........ด้วยเหตุผลข้างต้น ทางการสหรัฐจึงต้องยอมร้องเพลง "ถอยดีกว่า....ไม่อาวๆดีกว่า" เรื่องจะได้เงียบไป เพราะพ่อหนุ่มชาวผู้ดีแกคงสัญญาว่าจะหุบปากให้สนิทแลกกับการ "เป่าคดี"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Slide01.jpg
      Slide01.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.6 KB
      เปิดดู:
      66
  9. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    สหรัฐอเมริกา....สหภาพโซเวียต ยุติความเป็นศัตรู....หันมาจับมือป้องโลกจากภัยคุกคามต่างดาว

    ในที่สุดความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างมหาอำนาจอเมริกากับโซเวียตก็ยุติลงด้วยเหตุผลง่ายๆ คือถ้าโลกถูกรุกรานจาก "ต่างดาว" มนุษยชาติต้องรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวเพื่อปกป้องเผ่าพันธ์ุของเรา นี่คือข้อเสนอของท่านประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาโรนั่ล รีแกน ที่มีต่อประธานาธิบดีสหภาพโซเวียตมิกกาฮิล กอร์บาซอฟ


    yclsakhon


    " อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าเราทั้งหมดในโลกใบนี้พบว่า เราถูกคุกคามจากภายนอก โดยแสนยานุภาพจากอวกาศ จากดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง "
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Slide18.jpg
      Slide18.jpg
      ขนาดไฟล์:
      23.6 KB
      เปิดดู:
      156
  10. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    สหรัฐ....โซเวียต หันมาจับมือป้องโลกจากต่างดาว
    สหรัฐอเมริกา....สหภาพโซเวียต ยุติความเป็นศัตรู....หันมาจับมือป้องโลกจากภัยคุกคามต่างดาว

    ในที่สุดความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างมหาอำนาจอเมริกากับโซเวียตก็ยุติลงด้วยเหตุผลง่ายๆ คือถ้าโลกถูกรุกรานจาก "ต่างดาว" มนุษยชาติต้องรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวเพื่อปกป้องเผ่าพันธ์ุของเรา นี่คือข้อเสนอของท่านประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาโรนั่ล รีแกน ที่มีต่อประธานาธิบดีสหภาพโซเวียตมิกกาฮิล กอร์บาซอฟ



    ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โรนั่ล รีแกน จับมือกับประธานาธิบดีมิกกาฮิล กอร์บาซอฟ ในการแถลงข่าวยุติสงครามเย็นระหว่างสองมหาอำนาจ ที่กรุงเจนีวา ปี พ.ศ.2528 โดยเริ่มต้นจากข้อตกลงลดอาวุธนิวเคลียส์ของทั้งสองฝ่าย

    จากผลการเจรจาเป็นการส่วนตัวระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โรนั่ล รีแกน กับประธานาธิบดีมิกกาฮิล กอร์บาซอฟ แห่งสหภาพโซเวียต ทั้งคู่แลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับภัยรุกรานที่โลกอาจต้องเผชิญจาก "ต่างดาว" จนในที่สุดลงเอยด้วยการยุติความขัดแย้งระหว่างชาติมหาอำนาจทั้งสอง และหันมาให้ความร่วมมือในฐานะ "มนุษยชาติ" ยังผลให้ กำแพงเบอร์ลินที่กั้นระหว่างกรุงเบอร์ลินตะวันตกกับตะวันออกถูกทุบทิ้ง การแข่งขันชิงดีชิงเด่นในเรื่องอวกาศเปลี่ยนเป็น "ความร่วมมือ" นักบินอวกาศสหรัฐกับโซเวียตขึ้นไปทำวิจัยด้วยกันอย่างเพื่อนบนสถานีอวกาศนานาชาติ (Internation Space Station : ISS) กระสวยอวกาศสหรัฐกับยานอวกาศโซยุดถูกออกแบบให้ปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือกันได้ หลายครั้งที่กระสวยอวกาศขององค์การนาซ่ายังไม่พร้อม ยานอวกาศโซยุดของโซเวียตก็ทำหน้าที่ส่งเสบียงให้สถานีอวกาศเป็นตัวตายตัวแทนกันได้ เรื่องนี้ต้องยกเครดิตให้ผู้นำทั้งสองท่าน ที่ตระหนักถึงคำว่า "มนุษยชาติ" อยู่เหนือการเมือง



    ประธานาธิบดีโรนั่ล รีแกน (ซ้ายมือ) กับประธานาธิบดีมิกกาฮิล กอร์บาซอฟ (ขวามือ) เจรจากับแบบสองต่อสองชนิดเปิดอกโดยไม่ต้องใช้ล่าม ผมเดาว่าคงจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก



    ภาพประวัติศาสตร์ของการพบกันระหว่างผู้นำชาติมหาอำนาจที่มีความเชื่อในระบอบการปกครองต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่บรรยากาศในภาพเป็นการต้อนรับซึ่งกันและกันอย่างเข้าอกเข้าใจ



    วารสารดังของอเมริกา TIME ตีข่าวการพบกันระหว่างสองบิ๊กมหาอำนาจ โดยใช้สำนวนสั้นๆว่า "เรามาคุยกันดีกว่า"



    พิธีลงนามความร่วมมืออย่างเป็นทางการระหว่างอเมริกากับสหภาพโซเวียตที่ไม่เคยมีมาก่อน



    บรรยากาศการพบกันแบบส่วนตัวระหว่างผู้นำสองค่าย ดูการแต่งตัวแบบสบายๆไม่เป็นทางการ



    การลงนามในข้อตกลงลดอาวุธนิเคลียส์ระหว่างสองยักษ์มหาอำนาจ โดยประธานาธิบสหภาพโซเวียต มิกกาฮิล กอร์บาซอฟ (ซ้าย) ประธานาธิบดีสหรัฐ โรนั่ล รีแกน (ขวา)





    นักเขียนชื่อดังชาวอเมริกันออกพอกเก็ตบุ๊ก "สงครามเย็นยุติลงได้อย่างไร"





    ประธานาธิบดีโรนั่ล รีแกน แห่งสหรัฐอเมริกา กล่าวปราศัยหน้าประตูกำแพงเบอร์ลิน ที่ประเทศเยอรมัน เชื้อเชิญให้สหภาพโซเวียตทุบประตูนี้ทิ้งเพื่อให้เปิดทางสู่สันติภาพและความร่วมมือระหว่างสองค่าย



    ในที่สุดกำแพงกั้นระหว่างเบอร์ลินตะวันตกและตะวันออกก็ถูกทำลาย เป็นอันยุติการเผชิญหน้าระหว่างยักษ์สองค่าย โดยการตัดสินใจของประธานาธิบดีทั้งสองประเทศ



    ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาโรนั่ล รีแกน ทำหน้าที่พรีเซนเตอร์นำทุบกำแพงเบอร์ลินด้วยตนเอง

    โครงการ "สตาร์วอร์" ของสหรัฐ.....หอกข้างแคร่สหภาพโซเวียต หรือเพื่อปกป้องโลก





    นิตยาสารไทม์ของอเมริกากล่าวถึงการใช้งบประมาณก้อนโตในโครงการป้องกันประเทศอเมริกาโดยเทคโนโลยีอวกาศ Strategic Defense Initiative : SDI เสนอโดยประธานาธิบดีโรนั่ล รีแกน สื่อมวลชนตั้งชื่อโครงการนี้ให้หวือหวาว่า Star War





    ภาพจำลองรูปแบบโครงการสตาวอร์ของประธานาธิบดีโรนั่ล รีแกน



    หลังจากความล้มเหลวของยานโฟบอส-1 และโฟบอส-2 แล้ว (ดูรายละเอียดในบทความเรื่องยานโฟบอส 2 ) ทั้งสหภาพโซเวียตและนาซ่า ก็ยังไม่ถอดใจง่ายๆ ภาษาหมัดมวยเรียกว่ายิ่งเจ็บยิ่งเดินหน้าชนิดใจเกินร้อย มีการทยอยส่งยานสำรวจไปดาวอังคารอย่างต่อเนื่อง เช่น Mars Observer Probe, Mars Global Surveyor, Odyssey ปัจจุบันเรามียานสำรวจที่กำลังปฏิบัติภารกิจ เกาะติดภาคพื้นดินในรูปแบบหุ่นยนตร์เคลื่อนที่ (Mars Rover) อยู่ 3 ลำ ได้แก่ Pathfinder, Opportunity และ Spirit

    ยานสำรวจเหล่านี้กำลังเดินต้วมเตี้ยมขุดคุ้ยพื้นผิวดาวอังคารอย่างแข็งขัน จนถึงวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าแผนการยึดครองดาวอังคารเป็นอาณานิคมจะออกหัวหรือก้อย แต่ที่แน่ๆหลังจากเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นกับยานโฟบอส-2 ทั้งสหภาพโซเวียต และ อเมริกา ต่างพร้อมใจกลับลำ 180 องศาจากศัตรูเป็นมิตร การแข่งขันชิงดีชิงเด่นในอวกาศกลายเป็นความร่วมมืออย่างใกล้ชิดสนิทสนม อะไรคือเบื้องหลัง ?

    เป็นที่ทราบดีว่าโครงการป้องกันประเทศของคุณลุงแซม ซึ่งริเริ่มในสมัยท่านประธานาธิบดี โรนั่ล รีแกน โดยใช้เทคโนโลยีไฮเทคด้านอวกาศ รู้จักกันในนามของ " โครงการสตาร์วอร์ " มีชื่อทางการเป็นภาษาอังกฤษว่า Strategic Defense Initiative (SDI) เป็นหอกข้างแคร่ของสหภาพโซเวียตอย่างยิ่ง เพราะตอนนั้นสหภาพโซเวียตกำลังตกอยู่ในสภาพกระเป๋าแห้ง โครงการด้านอวกาศค่อนข้างหน่อมแน้ม แม้จะมีเทคโนโลยีและนักวิทยาศาสตร์มือฉกาจหลายคน แต่ปัจจัยชี้ขาดสำคัญอยู่ที่สตางค์ โครงการเด่นๆที่พอไปวัดไปวาได้ก็คือ สถานีอวกาศเมียร์ ส่วนข้างอเมริกันพี่แกกระเป๋าหนักควักไม่อั้นราวกับเสี่ยมาเอง ทำให้ประธานาธิบดี มิกกาฮิล กอร์บาช้อฟ ผู้นำของสหภาพโซเวียตไม่ค่อยไว้ใจท่าทีของอเมริกันเท่าไหร่นัก แม้ว่าจะได้พบเจรจาแบบตัวต่อตัวกับประธานาธิบดีโรนั่ล รีแกนหลายครั้ง อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่าลึกๆแล้วท่านประธานาธิบดีกอร์บาซอฟคงรู้เป็นนัยๆแล้วว่าโครงการสตาร์วอร์มีไว้เพื่อป้องกันโลกมากกว่าจะรุกรานโซเวียต เพราะทางหน่วยงาน เคจีบี ของโซเวียตก็มีข้อมูลเรื่องยานต่างดาวอยู่ในมือพอสมควร แต่ด้วยความที่เป็นผู้นำประเทศมหาอำนาจก็ต้องเล่นเชิงไว้ก่อน

    แต่พอมาถึงสมัยของประธานาธิบดี จอดจ์ ดับเบิ้ลยู บุช ซีเนียร์ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดยรับไม้ต่อจากประธานาธิบดีโรนั่ล รีแกน เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ.2532 ประจวบกับเหตุการณ์ของยานอวกาศโฟบอส-2 ในเดือนมีนาคม 2532 ที่เชื่อกันในวงในว่าถูกยิงตกที่ดาวอังคารโดยยานแม่จากต่างดาว

    ท่าทีหัวแข็งแบบชายไร้อารมณ์ของจอมหมีขาวอย่างประธานาธิบดี กอร์บาช้อฟ เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้า เพราะรู้ดีว่าศัตรูที่แท้จริงของมนุษยชาติมิใช่พวกเรากันเองในโลกใบนี้ แต่มันมาจากดาวเคราะห์ดวงอื่น !




    เรื่องศัตรูจากโลกอื่นเริ่มต้นด้วยการเจรจาแบบลับๆ ระหว่างสองผู้นำชาติมหาอำนาจ เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2528 ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ หลังจากนั้น วันที่ 4 ธันวาคม ปีเดียวกันประธานาธิบดี โรนั่ล รีแกน ให้สัมภาษที่เมือง Fallston รัฐแมรี่แลนด์ มีใจความว่า

    " ตามที่พวกคุณรู้ แนนซี่ กับผมเดินทางกลับจากกรุงเจนีวา เมื่อสองอาทิตย์ก่อน ผมและท่านเลขาธิการ กอร์บาช้อบ แห่งสหภาพโซเวียต (ชื่อตำแหน่งที่ถูกต้องของผู้นำสหภาพโซเวียต) ได้มีโอกาสพูดคุยกันหลายครั้ง ผมใช้เวลากว่า 15 ชั่วโมง ในการคุยซึ่งรวมถึงการสนทนาแบบสองต่อสอง ทำให้ผมตระหนักว่าเขาเป็นคนที่เชื่อมั่นในตนเอง แต่ก็พร้อมรับฟังคนอื่น ผมให้คำมั่นกับเขาว่าคนอเมริกัน มีความรู้สึกลึกๆว่าเราน่าจะสร้างสันติภาพ กับสหภาพโซเวียต ผมเชื่อว่าประชาชนทั้งสองประเทศก็คิดเช่นนี้ เพื่อสันติสุขแก่ลูกหลานของเราทั้งคู่ ผมบอกกับเขาตรงๆว่า ลองคิดดูซิเราทั้งคู่คงคุยกันง่ายขึ้น ถ้ารู้ว่าศัตรูที่แท้จริงคือเผ่าพันธุ์ที่มาจากโลกอื่น เราน่าจะลืมความขัดแย้งเล็กๆบนโลกใบนี้เพราะพวกเราล้วนเป็นมนุษยชาติ ผมยังอธิบายต่อไปอีกว่าโครงการ SDI ที่อเมริกันกำลังพัฒนาจะช่วยปกป้องโลกทั้งมวล มันเป็นความหวังของเราทั้งหมด "







    คำอธิบายภาษาอังกฤษของผลการพบกันระหว่างสองผู้นำมหาอำนาจอเมริกากับโซเวียต ที่มีการหยิบยกเรื่องการรุกรานจากต่างดาวขึ้นมาเป็นประเด็น ตอนแรกประธานาธิบดีกอร์บาซอฟแห่งโซเวียตยังไม่ตอบรับเท่าไหร่โดยอ้างว่า "ยังเร็วเกินไปที่จะกังวลเรื่องนั้น" แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ของยานสำรวจ โฟบอส-2 ท่านกอร์บาซอฟ ยอมรับตรงๆในปี พ.ศ. 2533 ว่าเรื่องต่างดาวนั้นมีจริงๆและต้องถือเป็นประเด็นซะแล้วละ





    ประธานาธิบดีสหรัฐโรนั่ล รีแกน กล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติ เมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2530 มีเนื้อหาเกี่ยวกับการรุกรานจากต่างดาว โดยมีสาระว่า "ในบรรยากาศที่พวกเราทั้งหลายเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน เราคงลืมความเป็นมนุษยชาติ แต่เมื่อไหร่เราถูกรุกรานจากต่างดาวเราคงต้องผนึกกำลังซึ่งกันและกัน และลืมความขัดแย้งทั้งหมด"



    สื่อมวลชนตะวันตกทำภาพล้อเลียนประธานาธิบดีมิกกาฮิล กอร์บาซอฟ และโรนั่ล รีแกน ว่าทั้งคู่เห็นพ้องต้องกันได้เพราะมี "ต่างดาว" เป็นตัวช่วยประสาน

    แม้ว่าจะยังไม่มีการตอบสนองอย่างเป็นรูปธรรมจากผู้นำหมีขาว แต่ต่อมา วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2530 ประธานาธิบดีกอร์บาช้อฟ มีคำกล่าวในพิธีเปิดการประชุมว่าด้วยการอยู่รอดของมนุษยชาติ (Survival of Humanity) ที่พระราชวังเครมลิน กรุงมอสโคว ตอนหนึ่งของสุนทรพจน์ได้กล่าวถึงการคุยกันกับผู้นำอเมริกัน โดยมีใจความสั้นๆว่า" จากการพบปะของเราที่กรุงเจนีวา ท่านประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ได้ยกเรื่องศัตรูจากนอกโลก และตกลงกันว่าเราทั้งคู่จะจับมือกันปกป้องโลกให้พ้นจากภัยคุกคามดังกล่าว ผมไม่ได้โต้แย้งข้อเสนอ แต่ผมคิดว่ายังคงเร็วเกินไปที่จะคิดเช่นนั้น " นี่แสดงว่าผู้นำหมีขาวยังคงรักษาเอกลักษณ์ชายหัวดื้อไว้อย่างเหนียวแน่น แต่ในใจลึกๆชักเห็นคล้อยตามแล้ว จึงใช้คำกล่าวสุนทรพจน์แบบกลางๆที่นักเลงไฮโลเรียกว่าแทงกั๊ก อย่างไรก็ตามจากนั้นไม่นาน เดือน เมษายน พ.ศ.2530 ทั้งสองมหาอำนาจได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือในอวกาศ ท่ามกลางความแคลงใจของผู้เชี่ยวชาญในองค์การนาซ่าที่ยังไม่ค่อยไว้วางใจโซเวียตเท่าไหร่นัก ร้อนถึงประธานาธิบดีโรนั่ล รีแกน ต้องออกมากล่าวย้ำถึงภัยคุกคามจากศัตรูนอกโลก เมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ.2530 ในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาติ ใจความว่า ท่ามกลางการครอบงำในความคิดที่เป็นศัตรูซึ่งกันและกัน เรามักจะลืมความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของมนุษยชาติ บางทีเราคงต้องอาศัยแรงผลักดันจากภัยคุกคามนอกโลก เป็นเครื่องเตือนใจ

    "บางครั้งข้าพเจ้าคิดว่าปัญหาการเผชิญหน้าระหว่างมนุษย์จะหมดไปอย่างรวดเร็ว ถ้าพวกเราถูกโจมตีจากต่างดาว "

    หนังสือพิมพ์ The New Republic โดยบรรณาธิการอาวุโส Fred Barnes ได้ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 5 กันยายน พ.ศ.2530 ยืนยันคำสนทนาบนโต๊ะอาหารเที่ยง ที่ทำเนียบขาว กรุงวอชิงตัน ดีซี ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของสหภาพ โซเวียต นายเอ็ดด๊วจ ชาวานัสเซ่ กับประธานาธิบดีโรนั่ล รีแกน ซึ่งฝ่ายแรกให้การยืนยันในความร่วมมือปกป้องโลกอย่างเต็มปากเต็มคำว่า " ครับ เต็มร้อยครับ " แปลตรงตัวจากภาษาอังกฤษว่า Yes, absolutely สามเดือนต่อมามีการประชุมสุดยอดครั้งที่สอง ในเดือนธันวาคม พ.ศ.2530 ระหว่างประธานาธิบดีกอร์บาซ๊อฟ กับประธานาธิบดีรีแกน เพื่อแสวงหาความร่วมมือในด้านอวกาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการสำรวจดาวอังคารภายใต้คำขวัญ " สู่ดาวอังคารร่วมกัน " หรือ Going together to Mars แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างดียิ่งจากนาย Robert A. Roe ประธานกรรมาธิการวิทยาศาสตร์ อวกาศ และเทคโนโลยี ในสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐอเมริกา นายโรเบิต ได้เสนอให้ประธานาธิบดีอนุมัติตัวแทนขององค์การนาซ่า 5 คน ไปช่วยให้คำปรึกษาในโครงการสำรวจดาวอังคาร กับองค์การอวกาศของ โซเวียต แต่นโยบายนี้ไม่เป็นที่สบอารมณ์ของนาย คาสเปอร์ ไวเบอร์เก้อร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐ เพราะกลัวว่าโซเวียตจะใช้เทคโนโลยีที่ได้รับความช่วยเหลือนี้ ไปสร้างโครงการ " ดาวเทียมพิฆาต " หรือ Satellite-killer system โดยติดตั้งปืนแสงเลเซ่อร์บนสถานีอวกาศเมียร์ (Mir) สามารถสอยดาวเทียมของสหรัฐได้อย่างง่ายดาย ข้อขัดแย้งดังกล่าวร้อนถึงประธานาธิบดีรีแกน ต้องออกแรงยกเรื่องภัยคุกคามจากต่างดาวไปชี้แจงในการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์แห่งชาติ (National Strategy Forum) ที่เมืองชิคาโก้ เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2531 ท่านรีแกนใช้คำกล่าวสั้นๆอย่างตรงไปตรงมาว่า




    " อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าเราทั้งหมดในโลกใบนี้พบว่า เราถูกคุกคามจากภายนอก โดยแสนยานุภาพจากอวกาศ จากดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง " เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เห็นตัวภาษาอังกฤษแบบคำต่อคำ ผมจึงขอยกประโยคมาทั้งดุ้นดังนี้ What would happen if all of us in the world discovered that we were threatened by an outer a power from space from another planet. ในปลายเดือนเดียวกัน สองผู้นำชาติพี่เบิ้มก็ได้ประชุมกันอีกเป็นครั้งที่สามที่กรุงมอสโคว และแล้วในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2531 สหภาพโซเวียตปล่อยยานสำรวจ โฟบอส-1 และโฟบอส-2 มุ่งหน้าสู่ดาวอังคาร

    จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับยานสำรวจ โฟบอส-2 เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2532 ทั้งสหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกาต่างรู้แก่ใจว่า " เรา มนุษยชาติ " กำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากต่างดาว ไม่ใช่จากแกแลคซี่อื่นที่ไกลโพ้น แต่จากดาวเคราะห์ในระบบสุริยะของเราเอง ! เกี่ยวกับเรื่องนี้ Frank D. Drake ประธานโครงการค้นหาผู้มีภูมิปัญญาสูงจากต่างพิภพ (Search for Extraterrestrial Intelligence : SETI) แห่งมหาวิทยาลัยแคลิปฟอร์เนีย ที่เมืองซานตาครู๊ส กล่าวว่าในบรรดาแกแลคซี่ทางช้างเผือกของเรามี อารยธรรมที่ก้าวหน้าแบบซุปเปอร์ไฮเทคประมาณ 10,000 - 100,000 หน่วย นอกนั้นเป็นพวกบรรดางี่เง่าเต่าล้านปีทั้งหลาย (แฮะ อันนี้ผมว่าเองนะครับ) โครงการเซติ มีอุปกรณ์จานรับสัญญาณจากต่างดาวเพื่อวิเคราะห์แหล่งที่มาและความหมายของมัน ตอนแรกพวกเรามุ่งค้นหามนุษย์ต่างดาวโดยพุ่งเป้าไปที่กลุ่มดาวฤกษ์ต่างๆ แต่หลังจากเหตุการณ์โฟบอส-2 หลายคนเริ่มตระหนักว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ไกลขนาดนั้นหรอก น่าจะอยู่ในระบบสุริยะของเรานี่แหละ ดาวอังคารอาจถูกใช้เป็นสถานีอวกาศของพวกเขามานานแล้ว

    ท่านที่เคยอ่านผลงานของผมในหนังสือ Pocket Book “สุริยะปฏิทินพันปี” ที่วางขายตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ.2549 คงจำได้ว่าชาวสุเมเรี่ยนแห่งดินแดนเมโสโปเตเมีย เมื่อ 6,000 ปีที่แล้ว จารึกในแผ่นดินเผาว่า ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์อันดับที่ 6 นับจากดาวพลูโตเข้ามา ชาวอนันต์นากี (Anunnaki) จากดาวเคราะห์ นีบิรุ ใช้ยานอวกาศบินไปบินมาระหว่างโลกกับดาวอังคารเป็นว่าเล่น และชาวอนันต์นากี นี่แหละคือผู้สร้างมนุษย์อย่างเราๆท่านๆขึ้นมาจากการผสม DNA ของพวกเขาเข้ากับ มนุษย์วานร หรือ Homo erectus บรรพบุรุษของเราที่วิวัฒนาการขึ้นมาจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ตามทฤษฏีของ ชาลส์ ดาวินส์ เมื่อประมาณ 300,000 - 250,000 ปีที่แล้ว ยังผลให้เกิดเป็นมนุษย์อัพเกรดที่มีสมองคิดเป็นทำเป็น แต่คงไม่ถึงขนาดคิดใหม่ทำใหม่ ชาวเมโสโปเตเมียเรียกอนันต์นากีว่า " พระเจ้า " พระคำภีร์ไบเบิ้ล บทเยนเนซีส - 6 ใช้คำว่า " Nefilim "

    คำนี้มาจากภาษาฮีบริวของชาวยิว แปลว่า ผู้ที่ลงมาจากฟากฟ้า แต่นักวิชาการเลี่ยงไปแปลแบบข้างๆคูๆ เป็นภาษาอังกฤษว่า “มนุษย์ยักษ์” เพราะกลัวพระคัมภีร์ไบเบิ้ลจะเข้าไปพัวพันกับมนุษย์ต่างดาว

    แม้ว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างพวกเราขึ้นมาเสมือนลูกของเขา แต่สมาชิกส่วนหนึ่งของพระเจ้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตระกูลของเทพ " เอลลีล " ไม่ค่อยสบอารมณ์กับมนุษย์อย่างเราเท่าใดนัก เมื่อประมาณ 13,000 ปีที่แล้ว พระเจ้าจงใจทำลายมนุษย์โดยอาศัยอุทกภัยครั้งใหญ่ซึ่งเกิดจากก้อนน้ำแข็งที่ขั้วโลกใต้ขนาดมหึมา น้องๆทวีปอเมริกาถูกแรงดึงดูดของดาวเคราะห์นีบิรุ คราวที่โคจรเข้ามาในระบบสุริยะชั้นใน ลื่นหลุดลงไปในมหาสมุทรอินเดียอย่างกะทันหัน ก่อคลื่นซูนามิขนาดยักษ์โถมเข้าสู่แผ่นดิน ทำลายทุกสิ่งพินาศในพริบตา บรรดาพระเจ้ารู้ล่วงหน้าเป็นอย่างดีว่า สิ่งนี้จะเกิดขึ้นจึงเตรียมการหลบหนีโดยขึ้นยานอวกาศไปโคจรอยู่รอบโลก ทิ้งให้มนุษย์ตาดำๆรับภัยพิบัติไปเต็มๆโดยไม่รู้ตัวล่วงหน้า หรือมีวิธีการช่วยตัวเองแต่ประการใด ยังดีที่ " เทพเอนกิ " ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มสร้างมนุษย์ขึ้นมากับมือ ทนดูให้ลูกหลานของตนเองสูญเผ่าพันธุ์ไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้ จึงคัดเลือกมนุษย์จำนวนหนึ่งนำโดย " ซีอุสซุนดร้า " ในภาษา สุเมเรี่ยน หรือ " อุปแนบปีสตึ่ม " ในภาษาอัคเคเดี่ยน หรือ " โนอาห์ " ในภาษาฮีบริว ที่ชาวคริตส์รู้จักกันดีในฐานะผู้รอดชีวิตจากน้ำท่วมโลกตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ฉบับพันธสัญญาเก่า

    เทพเอนกิ สอนให้โนอาห์ ต่อเรือขนาดใหญ่ และนำ DNA ของสัตว์ต่างๆเก็บรักษาไว้ สำหรับแพร่พันธุ์ภายหลังน้ำลด และนี่แหละเผ่าพันธุ์ของพวกเราทั้งหลาย จึงดำรงอยู่รอดมาตราบเท่าทุกวันนี้ มหันต์ภัยจากต่างดาวตามที่ประธานาธิบดีรีแกนกล่าวถึง จะมาแบบเดิมคือทำให้น้ำท่วมโลก โดยยิงรังสีอะไรสักอย่างเข้าไปที่ก้อนน้ำแข็งในขั้วโลกใต้ หรือมาแบบโจมตีด้วยอาวุธมหาปะลัย ดังที่ชาวอนันต์นากีเคยถล่มกันเองที่คาบสมุทรซีนาย ปัจจุบันเป็นพื้นที่ของประเทศอียิปส์ จนทำให้เกิด " ลมปีศาจ " ผลาญชีวิตชาวเมโสโปเตเมียราวใบไม้ร่วง เมื่อประมาณสี่พันปีก่อน หรือใช้ยานรบโจมตีซึ่งๆหน้าแบบภาพยนต์ เรื่อง The Independent Day หรือหว่านเชื้อโรคแบบใหม่เข้ามาทำลายพวกเราให้ค่อยๆสูญพันธุ์

    เมษายน พ.ศ.2532 หลังเหตุการณ์โฟบอส-2 ผ่านไปหมาดๆบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านอวกาศจากประเทศใหญ่ๆได้สร้าง " ข้อตกลงร่วม " ขึ้นมาฉบับหนึ่งให้ชื่อว่า " ประกาศข้อตกลงหลัก เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติหากมีการตรวจพบมนุษย์ต่างดาวผู้มีภูมิปัญญาสูง " (Declaration of principles concerning activities following the detection of extraterrestrial intelligence) เนื้อหาสาระของข้อตกลงนี้ เน้นควบคุมการเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวในทำนองมิให้เกิดการโกลาหลในหมู่ประชาชนทั่วไป ผู้ใด องค์กรใดก็ตามที่ร่วมลงนามในข้อตกลงนี้ จะต้องไม่เปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะชนจนกว่าจะได้มีการพิจารณาร่วมกันของผู้เกี่ยวข้อง
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามส่งสัญญาณสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวโดยพละการ หากยังไม่ได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ บางคนอาจจะถามว่าทำไมต้องมีข้อตกลงนี้ การค้นพบมนุษย์ต่างดาวที่อยู่ในหมู่ดาวฤกษ์อื่นๆไกลออกไปหลายล้านปีแสง กว่าพวกเขาจะย่างกรายมาถึงโลกต้องใช้เวลานับล้านๆปี ช่างมันเหอะ จริงครับถ้าเป็นอย่างที่ว่าคงไม่มีใครสนหรอก แต่ที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญกำลังวิตกคือ มันอยู่ใกล้ๆโลกเรานี่แหละ ในดาวเคราะห์ใต้จมูกระบบสุริยะ โดยใช้ดาวอังคารเป็นฐานปฏิบัติการ !

    ครับ ที่ผมร่ายยาวมาพอสมควรราวกับภาพยนตร์เรื่องสตาวอร์ อาจฟังดูติ้งต๊องในสายตาของหลายท่าน แต่สหประชาชาติเขาเห็นเป็นเรื่องจริงจัง มีการจัดประชุมลงมติอย่างเป็นทางการให้ประเทศสมาชิกได้รับทราบและให้ความร่วมมือ ผมถูกเพื่อนๆถามบ่อยครั้งว่า มนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่ ? ผมตอบแบบง่ายๆตามแบบตรรกวิทยาว่า ถ้าโลกของเรามีมนุษย์ได้ทำไมโลกอื่นๆจะมีไม่ได้ ดาวเคราะห์ในจักรวาลมีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ทำไมต้องจำกัดอยู่แค่โลกใบนี้แห่งเดียว องค์การนาซ่ารู้เรื่องนี้อย่างดีจึงตั้งโครงการวิจัยชีววิทยาต่างพิภพ (Astrobiology หรือ Exobiology) ให้ทุนเรียนถึงปริญญาเอก ถ้าผมยังหนุ่มๆจะสอบชิงทุนไปเรียนวิชานี้ ที่มหาวิทยาลัยแคลิปฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ท่านผู้อ่านที่สนใจลอง search เข้าไปที่ web page ของ University of California หรือ ใช้ Keyword ว่า astrobiology รับรองว่าจะได้อ่านข้อมูลจนตาลาย

    ย้อนกลับมาที่เรื่องภัยคุกคามจากต่างดาว ของท่านประธานาธิบดี โรนั่ล รีแกน มันมีที่มาครับ ก่อนที่ท่านรีแกนจะขึ้นดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการรัฐแคลิปฟอร์เนีย ท่านและภรรยาคือ มาดามแนนซี่ ได้เห็น ยูเอฟโอ ขณะที่กำลังเดินทางไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำบนถนนใกล้ๆกับย่าน Hollywood ทำให้ทั้งคู่เข้างานเลี้ยงช้าไปประมาณครึ่งชั่วโมง ซึ่งตามธรรมเนียมแล้วผู้ที่จะสมัครเป็นผู้ว่าราชการรัฐ ต้องตรงต่อเวลาอย่างเคร่งครัด ท่านรีแกน ต้องอธิบายแก่แขกเหรื่อที่กำลังออกอาการหน้าหงิกหน้างอว่า “ ผมและแนนซี่เห็น ยูเอฟโอ ครับ” ตอนแรกใครๆก็คิดว่าท่านรีแกน ล้อเล่น หรือ เชื่อสิ่งลึกลับมากไปหน่อย เพราะครอบครัวนี้มีชื่อเสียงในด้านการพึ่งพาไสยศาสตร์อยู่เนืองๆ เช่น การเข้าพิธีสาบานตนเป็นผู้ว่าราชการรัฐ ตรงกับเวลาเที่ยงคืนเป๊ะ ตามคำแนะนำของโหรข้างกาย

    แต่พอท่านอดีตดาราภาพยนตร์คาวบอย โรนั่ล รีแกน ได้ขึ้นนั่งเป็นประธานาธิบดี แห่งสหรัฐอเมริกา รวมแปดปีเต็มๆ ระหว่าง พ.ศ. 2524 – 2532 ได้ผลักดันโครงการยุทธศาสตร์ป้องกันภัยทางอวกาศ หรือ เรียกเล่นๆว่า โครงการสตาร์วอร์ โดยตัวท่านเองมีความเชื่อลึกๆว่า อีกไม่ช้าโลกคงถูกรุกรานจากต่างดาวอย่างแน่นอน เพราะตอนนี้พวกเขาก็ป้วนเปี้ยนเฉียวไปเฉียวมาอยู่ใกล้ๆนี่เอง ดังนั้น ในฐานะที่สหรัฐอเมริกา ทำตัวเป็นผู้นำโลกแล้ว และมีเทคโนโลยีพร้อมที่สุด น่าที่จะต้องทำอะไรสักอย่าง โครงการนี้จะใช้ดาวเทียมทำหน้าที่ยิงอาวุธเลเซ่อร์เข้าใส่ศัตรู เหมือนกับภาพยนตร์ยังไงยังงั้น



    สถานีอวกาศ "เมียร์" (Mir) ของสหภาพโซเวียตเริ่มขึ้นสู่อวกาศในปี 2529 และยุติปฏิบัติการในปี 2544



    สถานีอวกาศนานาชาติ (International Space Station : ISS) เริ่มปฏิบัติการในปี 2541 จนปัจจุบัน เป็นความร่วมมืออย่างแข็งขันระหว่างอเมริกัน และรัสเซีย (แยกออกมาจากสหภาพโซเวียต) รวมทั้งชาติอื่นๆ ถูกออกแบบให้สามารถต่อเชื่อมโดยยานกระสวยอวกาศของอเมริกัน และยานโซยุดของรัสเซีย



    ความร่วมมือระหว่างองค์การนาซ่าของสหรัฐอเมริกา และโครงการอวกาศโซยุด (Soyuz) ของรัสเซีย ส่งนักบินอวกาศอเมริกัน (ซ้ายสุด) และรัสเซีย (สองคนขวา) ขึ้นไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ ล่าสุดวันที่ 14 กรกฏาคม 2555 ยานโซยุดจะบินขึ้นไปส่งนักบินอวกาศ 3 คน ประกอบด้วย อเมริกัน รัสเซีย และญี่ปุ่น โดยจะขึ้นสู่ท้องฟ้าที่ฐานยิงจรวดในประเทศคาซักสถาน (อดีตสหภาพโซเวียต) และจะเชื่อมต่อกับสถานีอวกาศนานาชาติในวันที่ 16 กรกฏาคม 2555



    อดีตประธานาธิบดีสหภาพโซเวียตมิกกาฮิล กอร์บาซอฟ เดินทางมาร่วมไว้อาลัยในพิธีศพของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐโรนั่ล รีแกน เมื่อเดือนมิถุนายน 2547 ในฐานะเพื่อนเก่าที่เคยร่วมงานกันมายาวนาน ท่านกอร์บาซอฟ ใช้มือแตะโลงศพเป็นการไว้อาลัยครั้งสุดท้าย



    นี่คือหลักฐานอันหนึ่งที่ยืนยันว่าองค์การนาซ่าของสหรัฐอเมริกามีข้อมูล "ยูเอฟโอ" อยู่ในมือทำให้ท่านประธานธิบดีโรนั่ล รีแกน กล้าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าที่ประชุมใหญ่องค์การสหประชาชาติ ไม่นานมานี้หนุ่มชาวลอนดอน ประเทศอังกฤษ ชื่อ Gary Mckinnon ทำตัวเป็นแฮกเกอร์เจาะเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ขององค์การนาซ่าเพื่อดูข้อมูลเกี่ยวกับ "ยูเอฟโอ" เมื่อปี 2544 และไปออกทีวีให้สัมภาษว่าเห็นภาพ "ยูเอฟโอ" ในระบบข้อมูลขององค์การนาซ่าอย่างเต็มสองตา รัฐบาลสหรัฐจึงแจ้งความจับเจ้าหนุ่มนี่และขอให้ทางการอังกฤษส่งตัวในฐานะ "ผู้ร้ายข้ามแดน" ตอนนี้เรื่องยังอยู่ที่ศาลฏีกาของอังกฤษว่าจะตัดสินให้ส่งตัวไปรับโทษที่อเมริกาหรือไม่ ผมคิดแบบง่ายๆถ้าเรื่องดังกล่าวไม่มีมูลทำไมทางการสหรัฐต้องเป็นเดือดเป็นร้อนขนาดนี้ละ

    สรุป

    ที่สุดของที่สุดทฤษฏีที่ว่าด้วย "ศัตรูของศัตรู....คือมิตร" ก็ได้ผล สหรัฐอเมริกา กับรัสเซียกลายเป็นพันธมิตรในโครงการอวกาศ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Soyuz.jpg
      Soyuz.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43.1 KB
      เปิดดู:
      87
    • UFO Hacker.jpg
      UFO Hacker.jpg
      ขนาดไฟล์:
      54.3 KB
      เปิดดู:
      74
    • Mir.jpg
      Mir.jpg
      ขนาดไฟล์:
      38.1 KB
      เปิดดู:
      101
    • ISS.jpg
      ISS.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43.7 KB
      เปิดดู:
      83
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤษภาคม 2015
  11. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ที่สำคัญเป็นเลิศที่สุด ไม่ใช่เทคโนโลยี ที่ไฮเทคของอาวุธรบ แต่เป็น ปาฎิหาริย์ ๓ ในพระพุทธศาสนาที่คุ้มครองปกป้องโลกเสมอมา

    แน่นอนเผ่าพันธุ์ที่แท้จริง ที่ทำหน้าที่ดูแลปกป้องรักษาอนันตริยะจักรวาลนี้อยู่ อาจเป็นเผ่าพันธุ์ ที่นับถือพระพุทธศาสนามา ตลอดเป็นเวลาเนิ่นนาน ก็เป็นได้


    สงครามนี้อาจจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง จากที่รอคอยมาตลอดระยะเวลา ๒๕๐๐ ปี อาจมาถึงอีกครั้งเร็วๆนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    EMPEROR OF GOD

    พระพุทธเจ้า
    คือ
    สมเด็จพระบรมมหาจักรพรรดิอย่างแท้จริง



    ผู้ยิ่งใหญ่ที่ครอบครองปกป้อง ดูแลอนันตริยะจักรวาลที่แท้จริง คือ [o]พระพุทธเจ้า[o]

    พระพุทธเจ้าทรงเสด็จไปยังจักรวาลอื่น



    ณ สถานที่ที่หมู่
    มารทั้งหลายนั่งประชุม พึงทราบว่า มารบริษัท อนึ่ง บริษัทนั้นแม้ทั้งหมด
    ของมารทั้งหลาย ไม่ได้ถือเอาด้วยสามารถแห่งการเห็นสถานที่เลิศ. เพราะ
    มนุษย์ทั้งหลาย ย่อมไม่อาจเพื่อจะกล่าวแม้คำปกติว่า พระราชาประทับนั่งใน
    ที่นี้ เหงื่อทั้งหลายย่อมไหลออกจากรักแร้. ขัตติยบริษัทเลิศอย่างนี้.

    พราหมณ์ทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้ฉลาดในเวทสาม. คหบดีทั้งหลายย่อมเป็นผู้ฉลาดในโวหารต่าง ๆ และในการคิดอักษร. สมณะทั้งหลายย่อมเป็นผู้ฉลาดในวาทะของตนและวาทะของคนอื่น.

    ชื่อว่า การกล่าวธรรมกถาในท่ามกลางบริษัทเหล่านั้นเป็นภาระหนักอย่างยิ่ง. แม้อมนุษย์ทั้งหลายก็เป็นผู้เลิศ. เพราะครั้นแม้เพียงกล่าวว่า อมนุษย์ สรีระทั้งสิ้นย่อมสั่น. สัตว์ทั้งหลายได้เห็นรูป หรือฟังเสียงของอมนุษย์นั้น ย่อมปราศจากสัญญาได้. บริษัทของอมนุษย์เลิศอย่างนี้.

    ชื่อว่าการแสดงธรรมกถาในอมนุษย์บริษัทแม้เหล่านั้น ย่อมเป็นภาระหนักมาก.
    อมนุษย์บริษัทเหล่านั้น พึงทราบว่า ท่านถือเอาแล้ว ด้วยอำนาจแห่งการเห็น
    ฐานะอันเลิศ ด้วยประการฉะนี้.

    บทว่า อชฺโฌคาหติ คือ ตามเข้าไป. บทว่า
    อเนกสต ขตฺติยปริส คือ เช่น สมาคมพระเจ้าพิมพิสาร สมาคมพระญาติ
    และสมาคมเจ้าลิจฉวี. ย่อมได้ในจักรวาลแม้เหล่าอื่น.


    ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปสู่แม้จักรวาลเหล่าอื่นหรือ. เออ เสด็จ
    ไป. เป็นเช่นไร. เขาเหล่านั้นเป็นเช่นใด พระองค์ก็เป็นเช่นนั้นเทียว. เพราะ
    ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ ก็เราเข้าไปหาขัตติยบริษัทหลายร้อย ย่อมรู้เฉพาะแล ว่า ในบริษัทนั้น พวกเขามีวรรณะเช่นใด เราก็มีวรรณะเช่นนั้น พวกเขามีเสียงเช่นใด เราก็มีเสียงเช่นนั้น และเราให้เห็นแจ้งให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริง ด้วยธรรมมีกถา และพวกเขาไม่รู้เราผู้กล่าวอยู่ว่า ผู้กล่าวนี้เป็นใครหนอ เป็นเทวดาหรือมนุษย์ และครั้นให้เห็น
    แจ้งแล้ว ให้สมาทานแล้ว ให้อาจหาญแล้ว ให้รื่นเริงแล้ว ด้วยธรรมีกถาก็
    หายไป และพวกเขาไม่รู้เราผู้หายไปว่า ผู้ที่หายไปนี้เป็นใครหนอแล เป็นเทพหรือมนุษย์ ดังนี้.

    เหล่ากษัตริย์ทรงประดับประดาด้วยสังวาลมาลา และของ
    หอมเป็นต้น ทรงผ้าหลากสี ทรงสวมกุณฑลแก้วมณี ทรงโมลี ฝ่ายพระผู้มี
    พระภาคเจ้าทรงประดับพระองค์เช่นนั้นหรือ กษัตริย์แม้เหล่านั้นมีพระฉวีขาว
    บ้าง ดำบ้าง คล้ำบ้าง แม้พระศาสดาทรงเป็นเช่นนั้นหรือ. พระศาสดาเสด็จ
    ไปด้วยเพศบรรพชิตของพระองค์เอง แต่ทรงปรากฏเป็นเช่นกับกษัตริย์เหล่า
    นั้น ครั้นเสด็จไปแล้วทรงแสดงพระองค์ซึ่งประทับนั่งบนพระราชอาสน์ ย่อม
    เป็นเช่นกับกษัตริย์เหล่านั้นว่า ในวันนี้พระราชาของพวกเรารุ่งโรจน์ยิ่งนัก
    ดังนี้. ถ้ากษัตริย์เหล่านั้น มีพระสุรเสียงแตกพร่าบ้าง ลึกบ้าง ดุจเสียงกาบ้าง
    พระศาสดาก็ทรงแสดงธรรมด้วยเสียงแห่งพรหมนั้นเทียว ก็บทนี้ว่า เราก็มี
    เสียงเช่นนั้น ตรัสหมายถึงลำดับภาษา. ก็มนุษย์ทั้งหลายได้ฟังเสียงนั้นแล้ว
    ย่อมมีความคิดว่า วันนี้ พระราชาตรัสด้วยเสียงอันอ่อนหวาน. ก็ครั้นเมื่อ
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วเสด็จหลีกไป เห็นพระราชาเสด็จมาอีก ก็เกิดการ
    พิจารณาว่า บุคคลนี้ใครหนอแล. พระองค์จึงตรัสพระดำรัสนี้ว่า บุคคลนี้ใคร
    หนอแล อยู่ในที่นี้ บัดนี้ แสดงด้วยเสียงอ่อนหวาน ด้วยภาษามคธ ด้วยภาษา
    สีหล หายไป เป็นเทพหรือมนุษย์ ดังนี้. ถามว่า ทรงแสดงธรรมแก่บุคคล
    ทั้งหลายผู้ไม่รู้อย่างนี้เพื่ออะไร. ตอบว่า เพื่อประโยชน์แก่วาสนา. พระองค์
    ทรงแสดงมุ่งอนาคตว่า ธรรมแม้ได้ฟังอย่างนี้ ย่อมเป็นปัจจัยในอนาคตนั้น
    เทียว.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ๘-๕-๒๕๕๘
    บันทึกความฝันสุดพิศดาร ในวันพักผ่อน

    (ไม่เกี่ยวกับนิมิตภาคปาฎิหาริย์ขณะวิธี)

    เริ่มต้นด้วยวิถีชีวิตที่มีอิสระของมนุษย์ในยุคศิวิไลนี้
    ใช้ชีวิตที่ยึดติดกับความสร้างสรรในอริยทรัพย์ในทางโลก
    มนุษย์ที่ชอบเข่นฆ่าหาเลี้ยงชีวิตที่เบียดเบียนสัตว์ด้วยเทคโนโลยีทุกๆประการ
    ต่างใช้ชีวิตอย่างหลงระเริงในรสชาติแห่งความหายนะที่ไดรับมาจากที่อื่นที่ใดที่นั้น

    และแล้วก็มาถึงวันที่มนุษย์โลกถึงภาวะต้องได้รับรู้ จากการปรากฎของอภิมหามฤตยู
    จากนอกภิภพหรือพูดง่ายๆว่าเป็นกลุ่มของพวกที่มีวิวัฒนาการสูงส่งที่สุดที่สามารถควบคุมส่งผลในสภาพดินฟ้าอากาศได้อย่างอัศจรรย์พันลึก แม้แต่บรรยากาศในห้วงจักรวาลหรือชั้นบรรยากาศก็สามารถเปลี่ยนจากปกติมืดสว่างให้กำเนิดมีสีมีสันแพรวพราวไปทั้งชั้นฟ้าด้วยพลังที่มีอานุภาพมากโดยที่พระจันทร์และพระอาทิตย์ได้หายไปจากมิตินั้นๆ


    การปรากฎการณ์นี้ยิ่งใหญ่มาก ผู้คนต่างแหงนหน้ามองสิ่งอัศจรรย์นี้ ด้วยนึกว่ามีผู้มีบารมี อันมีสถานที่อยู่คือเสมือนสวนลอยบาบิโลน แต่ไม่ใช่ในลักษณะสวนป่าไม้อย่างที่เราได้เคยพบเห็นกันมาก เพราะเป็นกึ่งธรณีวิทยาประสานการเล่นแร่แปรธาตุจนกลายเป็นสภาวะหนึ่งเดียว คือสามารถทำให้ทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าโลหะหรืออะไร?ก็ตามมีบทบาทหน้าที่และมีชีวิตจิตใจ และสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพของตนเองได้ เมื่อไปอยู่ไปจับกับสิ่งที่ไปยึดเกาะอยู่ เป็นเทคโนโลยีที่สูงกว่า นาโน มากถึงมากที่สุด


    ในห้วงเวลานั้น ในพื้นที่หนึ่ง และเราก็ปรากฎในรูปบุรุษหนึ่ง ที่ถูกกระแสพลังบางอย่างกดทับให้ต้องนอนหงายอยู่อย่างฉงนสงสัยในตนเอง ทำไมไม่สามารถควบคุมตนเองได้ จึงพยายามดิ้นรนขัดขืนจากสภาวะนั้น พลันก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่แพรวพราวพรรณรายด้วยแสงสีประหลาดตายิ่งกว่าสายธารสีรุ้งเหล่านั้นด้วย เป็นอะไรที่งดงามมาก แต่ทันใดก็เป็นห้วงมิติที่เปิดออก เรามองเห็น บุุคคลหนึ่งนั้นโดยฐานะใหญ่มาก มีเกราะที่คุ้มกายด้วยสีสรรแปลกตา ยังกับพวกราชาปีศาจพวกมดเอ็กซ์ เห็นแค่ช่วงบนที่ปรากฎและก็พูดภาษาที่เราไม่เข้าใจ กับบริวารของตนเอง และก็ทิ้งแผ่นสามเหลี่ยมสีเหลืองทอง มีลักษณะโค้งงอ เหมือนกับกลีบดอกบัว ลงมาโดยกะให้เฉียดศรีษะของเราทีละแผ่นสองแผ่น ต้องโยกศรีษะหล่นตลอดเวลา


    ในที่สุดก็ได้ประมาณ ห้าหกแผ่น เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร จะว่าเป็นอาวุธที่ตั้งใจส่งมาเพื่อทำร้ายเราก็ไม่ใช่ ในขณะเดียวกัน เมื่อมีหอคอยที่ถูกสร้างโดยแปลกประหลาดอะไรสักอย่างเกิดขึ้น จากการสร้างประตูเชื่อมมิติ โดยมีชายหนุ่มที่มีรูปร่างสูงใหญ่อีกหนึ่งคน กำลังต่อสู้อยู่โดยใช้กำลัง จนสุดความสามารถของพวกที่อาศัยอยู่ในหอหอยนั้น และทันใดนั้นเอง ชิ้นส่วนต่างๆได้หล่นลงมานั้น ได้กลายเป็นชุดเกราะพิศดารเป็นวัสดุเดียวกันกับพวกนั้น มีสีแดง๑ชุด และมีสีดำหนึ่งชุด เราจึงรีบวิ่งไปคว้าเอาโดยใช้การตัดสินใจ อย่างรวดเร็วว่าจะเอาชุดไหน จึงเลือกชุดสีดำ ใส่เข้าไปและหายไปเลย จึงเอาชุดสีแดงที่เหลือ มองให้กับอีกคนหนึ่งนั้น ซึ่งเขาก็รับรู้และรับเอาไว้


    ตอนนี้จึงเป็นห้วงโกลาหล มากขึ้นเพราะมองเห็นสัญญานการปล่อย หรือสั่งการพวกอมนุษย์เหล่านั้น ซึ่งกำลังจัดแปรขบวนทวนอวกาศ หมุนวนทวนเข็มนาฬิกาในชั้นบรรยากาศ อย่างใช้เวลาค่อนข้างจะเนิ่นนานพอสมควร ในการเคลื่อนย้ายมา ซึ่งเป็นสัญญานภาพมิติที่สวยสดงดงามมาก แต่ว่าหลังความงดงามนั้นเป็นสิ่งที่เราไม่รู้และไม่น่าจะยินดีเสียแล้ว


    ผู้คนในวงกว้างต่างสับสนอลหม่าน ต่างยื้งแย่งฉุดรั้งเหนี่ยวร้างกัน แย่งชิงอาหาร เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม อาหาร อาวุธต่างๆ เท่าที่จะสรรหาแย่งชิงกันมาได้ ผู้คนโดยเฉพาะบุรุษเพศ กลายเป็นพวกไม่มีศีลธรรมประจำใจ ต่างยกขบวนกันจับกันเป็นกลุ่มแก๊ง ที่หาประโยชน์จากภัยนี้ และสิ่งที่เราไปเห็นขณะเลือกหาสิ่งของ เครื่องใช้ในเซฟเฮาส์ที่มีผู้คนมาพลุกพล่าน มากๆ ในบริเวณตัวเมืองใหญ่ ในตรอกซอกชานร้านค้าต่างๆ


    ขณะที่เรากำลังเลือกรองเท้า ที่ความเหมาะสมกับเราสักคู่หนึ่ง และออกมาจากในห้องเก็บดาบหรือของมีคมชนิดต่างๆ ของเพื่อนคนนั้นที่ได้รับเกราะสีแดง เราเลือกดาบที่พ่อของเขาตีหรือหลอมสร้างเอาไว้แบบเป็นแท่งเหล็ก TAMAHAGANE เป็นเพียงแท่งเหล็กแท่งสี่เหลี่ยม สีดำยาวประมาณ ๑๒๐ เซนต์ เป็นดาบประจำตระกูล ไม่สิต้องเรียกแท่งเหล็กเสียมากกว่า ดูแข็งแรง แต่ไม่มีคมดาบ เพราะมีแต่มุมเหล็กสี่เหลี่ยมทื่อๆเท่านั้น แต่เบามือมากๆ ผิดกับเหล็กทั่วไป เหมือนมีไฮคาร์บอน์ประเภทแปลกๆสูงมาก แล้วเขาก็แยกไปที่อื่น ส่วนเราก็อยู่ตรงแถวนั้นเพื่อ เตรียมรับกับสิ่งที่จะต้องเผชิญ เราสังเกตุเห็น กลุ่มบุรุษผู้ชายโดยมีตัวหัวหน้ากลุ่ม ใส่ชุดสีขาวรูปร่างสูงใหญ่ และพรรคพวก กำลังจับเด็กผู้ชายวัยประมาณ ๒-๓ ขวบประมาณนั้นได้


    เพื่อขู่กรรโชกแม่ของเด็กเพื่อประสงค์ลวนลาม ทำอนาจารทางเพศ โดยเอาของมีคมขู่แนบเฉือนไว้ที่บริเวณศรีษะและใบหน้าของเด็ก ไม่ว่าแม่เด็กจะร้องขอความเห็นใจ ปฎิเสธสักเพียงใดก็ตามก็ตาม กลุ่มคนเหล่านั้นนับสิบก็ยัง ลวนลามไม่เลิก เราทนเห็นไม่ได้จึงวิ่งเข้าไปบังร่างเด็กและแม่เด็กพร้อมพลักพวกนั้นออก ตัดสินใจในชั่ววินาที เอาแท่งเหล็กที่ได้ตีกระหน่ำ ไปที่ร่างนั้นและร่างลูกสมุน อีกร่างจนนอนหงายอย่างหมดสภาพ เราคิดว่ามันไม่น่าจะสร้างความบาดเจ็บ ให้มากเท่าไหร่ เพราะไม่มีบาดแผลใดๆเกิดขึ้น จึงไปคว้าดาบที่มีคมยาวประมาณ ๑๕๐ เซนต์ ใบดาบกว้างประมาณ ๓ นิ้ว มีคมค่อนข้างใช้ได้ ฟันสับเข้าไปที่ร่าง ๒ นั้นอย่างไม่ยั้งมือ ชนิดกะสับให้ละเอียดให้เละเป็นโจ๊กอย่างที่สุด

    ทันใดนั้นก็มีเสียงจากโลกแห่งความเป็นจริง ที่รบกวนมาปลุกให้ตื่นจากฝัน เฮ้อ!มันช่างน่าเสียดายจริงๆ ยังไม่ทันได้เริ่มเลย จบซะแล้ว อยากฝันเรื่องนี้ต่อจริงๆ





    ฝันที่ไม่อยากให้เป็นจริง



    หรือว่า นี่ คือ ภัยที่ ๕ ที่ทรงตรัสถึง และเกี่ยวข้องกับพญามารหรือไม่?
    อะไรคือเหตุผลที่มาบุกโลก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Image.jpg
      Image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      65.8 KB
      เปิดดู:
      297
  14. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    จากโลกที่กว้างใหญ่ อาจจะมีสักพื้นที่ ที่เราสำรวจไม่ถึง ที่นั่นอาจจะมีพวกนี้ ซึ่งกำลังทำลายโลกและซ่องสุมกำลังอยู่อย่างลับๆ
     
  15. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เตรียมมนุษย์อพยพ หนีถูกต่างดาวบุก โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 24 ก.พ. 2558 10:01

    ปรมาจารย์วิชาฟิสิกส์ชื่อดังของโลก อาจารย์สตีเฟน ฮอว์กิง กล่าวเตือนย้ำอีกว่าระวังมนุษย์ต่างดาวจะบุกโลก ทำลายอารยธรรมและมนุษยชาติจนหมดสิ้น พร้อมกับเร่งเร้าเพิ่มการเดินทางในอวกาศเผื่อว่ามนุษย์จะพบที่หลบภัยใหม่

    นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องชี้ว่า การเดินทางในอวกาศ นอกจากจะเป็นอนาคตระยะไกลแล้ว ยังเป็นหลักประกันของมนุษยชาติด้วย โดยได้อธิบายว่าการส่งมนุษย์ไปยังดวงจันทร์นั้น เป็นการเปลี่ยนอนาคตของมนุษยชาติในทางที่ยังไม่สู้จะเข้าใจนัก มันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาบนโลกได้ทันตา แต่มันก็ทำให้เราได้เห็นมิติใหม่ และรู้จักมองดูทั้งข้างในข้างนอก

    “ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า อนาคตระยะไกลของชาติพันธุ์มนุษย์ จะต้องฝากความหวังไว้กับอวกาศ มันจะเป็นหลักประกันการอยู่รอดของเราในวันหน้าในฐานะเครื่องป้องกันการสูญหายของมนุษยชาติ จากการตกเป็นอาณานิคมของดาวเคราะห์ดวงอื่น” เขากล่าว.
     
  16. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
  17. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
  18. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • UFO.jpg
      UFO.jpg
      ขนาดไฟล์:
      31.2 KB
      เปิดดู:
      70
  19. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    นักวิทยาศาสตร์อาวุโสอเมริกัน อัดคลิป เผยความลับสุดยอด ก่อนตาย เคยทำงานร่วมกับทีมนักวิทยาศาสตร์ ‘แอเรีย 51’ ศึกษาเรื่อง มนุษย์ต่างดาว และจานบิน ยูเอฟโอ ชี้ เอเลี่ยนมีจริง มีความเป็นเพื่อน แถมยังคุยกับมนุษย์ทางโทรจิต

    เมื่อวันที่ 29 ต.ค. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานข่าวที่สร้างความฮือฮา และปริศนาลี้ลับ เกี่ยวกับ เอเลี่ยน มนุษย์ต่างดาว, ยูเอฟโอ ยิ่งมีความเป็นจริงมากขึ้น เมื่อ ดร.บอยด์ บุชแมน วิศวกรชาวอเมริกัน ซึ่งเคยทำงานร่วมกับทีมนักวิทยาศาสตร์ Area 51 ได้เปิดเผยข้อมูลลับสุดยอดก่อนเสียชีวิต เกี่ยวกับหน้าที่การงานของเขา ซึ่งได้ศึกษาเรื่องจานบิน UFO และชีวิตของมนุษย์ต่างดาว ที่ฐานปฏิบัติการลับแห่งหนึ่ง

    ดร.บุชแมน ตัดสินใจเปิดเผยข้อมูลของมนุษย์ต่างดาว และจานบินนอกโลก ผ่านการบันทึกลงในคลิปวิดีโอสั้นๆ ก่อนเขาจะเสียชีวิตเมื่อส.ค.ที่ผ่านมา ‘ด้วยความเคารพต่อยานมนุษย์ต่างดาว พวกเรา: พลเมืองอเมริกันกำลังทำงานเกี่ยวกับจานบิน UFO 24 ชม.ต่อวัน’ ดร.บุชแมน เปิดเผยถึงภารกิจของเขาและทีมงาน พร้อมระบุว่า พวกตนกำลังพยายามเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าควรทำอะไร


    ดร.บอยด์ บุชแมน นักวิทยาศาสตร์อาวุโสอเมริกัน

    อดีตนักวิทยาศาสตร์อาวุโส ผู้นี้ ได้อธิบายเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวไว้ว่า ตามที่พวกตนรู้นั้น เอเลี่ยนสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ซึ่งเหมือนกับในฝูงปศุสัตว์ คือ กลุ่มหนึ่งทำหน้าที่เป็นโคบาล หรือผู้ต้อนสัตว์ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง เหมือนกับผู้ขโมยวัวควาย โดยกลุ่มเอเลี่ยน ที่คล้ายกับเป็นโคบาลนั้น มีลักษณะนิสัยที่มีความเป็นมิตรมากกว่า มีความสัมพันธ์ที่ดี มีความเป็นเพื่อนและช่วยเหลือกับพวกตนมากกว่า

    ขณะเดียวกัน ดร.บุชแมน ยังอธิบายถึงลักษณะของเอเลี่ยน และเผยภาพถ่ายของเอเลี่ยนด้วยว่า มีความสูงแค่เพียง 5 ฟุตเท่านั้น โดยมี เอเลี่ยน หนึ่ง หรือ 2 ตน ของพวกเอเลี่ยนเหล่านี้ มีอายุยืนถึง 230 ปี ขณะที่ ตาและจมูกของเอเลี่ยนมีความแตกต่างจากมนุษย์ แต่ก็มีนิ้วมือและนิ้วเท้าข้างละ 5 นิ้วเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม (ที่น่าทึ่ง) คือ เอเลี่ยนมีความสามารถในการสื่อสารทางโทรจิต

    ‘พวกเขาสามารถใช้เสียงของเขา สื่อสารผ่านทางโทรจิตเพื่อคุยกับคุณ’ ดร.บุชแมน กล่าวถึงความสามารถเหนือมนุษย์ของเอเลี่ยน



    เผยความลับสุดยอดก่อนตาย! นักวิทย์มะกัน ยัน ‘มนุษย์ต่างดาว’ มีจริง | เรื่องลึกลับจากทั่วโ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    อะพอลโล (Apollo) เป็นโครงการอวกาศของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการส่งมนุษย์ไปสำรวจดวงจันทร์ ระหว่างปี พ.ศ.2504 - 2518 โดยมียานอวกาศทั้งหมด 12 ลำ ได้แก่ ยานอะพอลโล 1, 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14, 15, 16, 17 โดยยานอวกาศลำแรกที่ลงจอดบนพื้นผิวของดวงจันทร์คือ อะพอลโล 11 เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2512

    ยานอะพอลโล - LESA: ศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกและดาราศาสตร์
     

แชร์หน้านี้

Loading...