จารไว้ในรอยธรรม โดย บัวบานสราญจิต

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย santiva, 16 กันยายน 2010.

  1. santiva

    santiva เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +220
    ผู้โพสต์เคยขออนุญาตคุณแม่บัวบานสราญจิตสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ว่าถ้ามีโอกาสจะขอนำประสบการณ์ทางธรรมบางส่วนของท่านมาเผยแพร่เป็นธรรมทาน ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายปีที่ท่านได้เมตตาถ่ายทอดให้ได้รับรู้เป็นการส่วนตัวเพื่อเป็นกำลังใจเพื่อยืนยันในสิ่งที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหานั้นหากทำตามคำสอนของหลวงพ่อย่อมพบในสิ่งที่ท่านสอนทุกประการ

    ผู้โพสต์เองยังเป็นปุถุชนหนาแน่นไปด้วยกิเลสทุกครั้งที่เจอเรื่องมากมายเข้ามากระทบส่วนมากมีเพียงสัญญาปัญญาไม่ค่อยเกิดจึงอาศัยคำสอนของพระและหลวงปู่โลกอุดรที่ท่านมาสอนคุณแม่บัวบานสราญจิตไว้ปลอบจิตตัวเองสร้างกำลังให้ตัวเองจึงไม่ปรารถนาที่จะเก็บคำสอนที่ทรงคุณค่าของพระไว้เพียงลำพังปรารถนาให้ทุกท่านที่ต่างตั้งใจดำเนินไปให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์นั้นได้มีโอกาสอ่านธรรมในรูปแบบร้อยกรองซึ่งพระท่านได้มาสอนคุณแม่บัวบานสราญจิตตามจริตนิสัยเดิมของท่านสำหรับการนำมาลงผู้โพสไม่ได้เรียงตามลำดับระยะเวลาของวันเดือนปีที่บันทึก

    ผลบุญแห่งธรรมทานที่ได้เผยแพร่ธรรมปฏิบัติบางส่วนนี้ขออุทิศให้กับดวงจิตอันบริสุทธิ์ของคุณแม่

    ท้ายนี้ผู้โพสต์ไม่อนุญาตให้นำข้อความใดๆที่คุณแม่บันทึกนำไปเผยแพร่หรือไปโพสต์ยังเว็บอื่นเนื่องจากต้องการเผยแพร่เฉพาะกลุ่มลูกศิษย์หลวงพ่อ ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ที่คุณแม่ท่านเคารพมาตลอดชีวิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 กันยายน 2010
  2. santiva

    santiva เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +220
    เรื่องที่หนึ่งนิพพานบันเทิง

    สมัยก่อนหลวงปู่โง่นไปวัดท่าซุง ท่านพูดว่า พระแก่ ๆ มาร้องเพลงให้ข้าฟัง กิเลสข้าร่วงตุบตับ แม่ฟังนึกว่า อะไรจะปานนั้น เพลงอะไรมันทำให้กิเลสร่วง มาวันนี้(ปี 2530 ) แม่ถึงบางอ้อ ต้องขอขมาหลวงปู่ เพราะความโง่ แม่เรียกหา หลวงปู่โลกอุดร ในจิต อุ้ย หลวงปู่ช่วยด้วย มาละ เพลงพร้อมทั้งหลวงปู่ นั่งอยู่ขอบฟ้าแต่ใกล้เราแค่เอื้อม

    เพียงเท่าเนี๊ยะ กิเลสไม่มีเลย คนละเรื่องกับที่มันเกิด นิพพาน แปลว่า ดับ ทุกข์ดับลงเป็นนิพพานชั่วคราว ถ้าดับเป็นช่วง อาจ 10 ปี 20 ปี เรียกว่า ดับแบบข่มไว้ แต่ถ้าดับมอดวอดมีแต่เถ้า ไม่เหลือเชื้อเป็นนิพพานใหญ่ อมตะ

    วันนี้เช้ามืดยังไม่ทันจะลืมตา จิตเห็นจิตตามมหาสติรู้ว่า จิตมีราคะ ธรรมชาติของมันพาจิตให้หวั่นไหว ถวิลหา เรางัวเงีย จิตประหวัดร้องเรียกว่า หลวงปู่ พระพุทธเจ้าข้า หลวงพ่อขา พระพุทธเจ้าขา โลกนี้ไม่น่าอยู่เลย ลูกไม่อยากมีอารมณ์เช่นนี้ให้หมกไหม้อยู่ในจิต ลูกขยะแขยงช่วยลูกด้วย..ช่วยดับไฟในหัวใจลูกด้วยพระพุทธเจ้าข้า รวดเร็วดังใจนึก พระองค์อมตะ เสด็จลอยมาหาลูก ร้องเพลงทิพย์ บรรเลงด้วยจิตที่มีเมตตามหาประเสริฐว่า


    มาแล้วแก้วตาพี่
    มาปลอบฤดี มาชี้ชวนชม
    มาตามคำขอ มาพะนอเอวกลม
    มาชื่นมาชม มาประโลมฤดีเดียวดาย


    ธรรมะ ชนะ อธรรม
    ดับความชอกช้ำ ดับความระกำชีวี
    ดับสิ้นสงสาร ดับความร้าวรานฤดี
    ดับความย่ำยี ไม่มีตัวตน


    หลากหลาย ไฟชนะ
    ธรรมะ ชนะ อธรรม
    หลั่งล้น ดวงใจห่างไกลวกวน
    พาจิตดิ่งพ้น นั้นคือ พระนิพพาน


    เรากราบเท้าหลวงปู่ นึกขำเพลงว่า มาแล้วแก้วตาพี่ นึกว่าใครเป็นพี่ แก้วตาพี่ เหมือน บ่าวปลอบสาวเลยนะ ท่านดุเราว่า
    "ใครปลอบใครช่างหัวมันน่ะ เอ็งอยากไปพระนิพพาน จิตจะถึงนิพพานต้องไล่อารมณ์โลกออกไป" (หลวงพ่อสอนเราในมหาสติอยู่เสมอว่า จิตไม่ตั้งมั่น ต้องหาทางให้มันตั้งมั่น) กำหนดทำลายขันธ์ 5 กำหนดแหลกเป็นผง จิตสงบว่างลง ใคร่ครวญบาลีปรารถพระนิพพานทั้ง 8 ว่า

    1.
    พระนิพพานย่ำยีเสียได้ซึ่งความมึนเมา
    2. พระนิพพานบรรเทาความกระหาย
    3.พระนิพพานถอนเสียได้ซึ่งความอาลัยในกามคุณ
    4.พระนิพพานตัดความวกวนแห่งวัฏฏะทั้ง 3
    5.
    ตัณหักขโย
    6. วิราคา (เป็นที่หักสิ้นไปแห่ง ราคะ ตัณหา)
    7.
    เป็นที่ดับสนิทแห่งทุกข์ทั้งปวง มีแต่สุขเป็นอมตะล้วนๆ
    8. เป็นสุขอย่างยิ่ง นิพพานังปรมังสุขัง


    หลวงปู่สอนแล้ว ร้องเพลงให้ฟังแล้ว ให้พรแล้ว สอนว่า อย่างอแง โยเยนะลูก พ่อจะไปหาคนอื่น ๆ บ้าง หมั่นชำระจิต อักขาตาโร ตถาคตา ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก ทุกคนต้องเปลื้องทุกข์ด้วยอารมณ์จิตของตัว

    เราร้องเพลงตามที่บอก เข้าส้วมก็ร้อง นึกว่า เอ๋ รึ ว่าเราจะวิปลาส เพลงนี่เรามาติดไม่พ้นทุกข์กระมัง เสียงตวาดมาว่า "บ้าก็บ้าระดับนิพพานโว้ย..! ไม่ให้บ้าตกต่ำหรอกน่ะ"


    ทุกอณูของอากาศพิลาศพิไล
    หากทำใจรับไอพุทธพิสุทธิ์ศรี
    จะหมองไหม้เหตุใดทำไมมี
    ทุกทุกที่หากปรับใจหวานไอธรรม


    ภาพหลวงปู่ขอม วัดไผ่โรงวัวลอยมาหา ปลอบว่า
    "นิพพานบันเทิงลูก" ท่านว่า "นิพพานมันสดชื่น ไม่แห้งแล้ง ไม่โดดเดี่ยว (ธรรมรักษาผู้ประพฤติธรรม) อย่ากลัววิปลาสวิปลัยนั้นเลย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านก็สอนนี่นะว่า เสียงเพลงเป็นธรรม นี่แหละนิพพานมันสุข"

    ก่อนนอน (คืนวันอาทิตย์) จิตเราเป็นหนึ่ง หลวงปู่เตือนว่า
    สวดมนต์ลูก จิตตั้งมั่นเป็นเสียงกระซิบว่า

    อารมณ์โลกที่ใหลหลง
    ดับลงไปไม่วกวน
    เหลือหนึ่งในกมล
    สว่างพ้นในจิตเอย

    เราแปลเป็นภาษาของตนเองว่า จิตเป็นหนึ่งมีอารมณ์เดียว ก็เหลือแต่ความสว่าง คือ จุดพระนิพพานในจิตขณะนั้น

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 กันยายน 2010
  3. santiva

    santiva เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +220
    เรื่องที่สองหลวงปู่ฤาษีอิสระวาน

    อิติปิโสรัตนมาลา เป็นพยานว่า ฤาษีมีจริง การทำความดีตามหลวงพ่อพระราชพรหมยานสอนพบทุกอย่างที่ท่านสอน ปี 2533 หลวงปู่ฤาษีอิสระวาน อิสระ ความเป็นใหญ่ อิสระภายนอก ใครไม่ข่มเหงฉันได้ อิสระภายใน กิเลสและความตายทำฉันไม่ได้ วาน ผู้ไม่มีสิ่งร้อยรัด หรือ นิรวานคือ พระนิพพาน อยู่เหนือความเจ็บปวดใด ๆ ฉันเป็นเพื่อนของ ฤาษีสิงขรผู้อุปฐากหลวงปู่โลกอุดร ท่านได้ฝากเพลงเสียงสั่งจากป่าหิมพานต์ และทำภาพให้เกิด

    เหมือนสายฝนเหน็บหนาวอันยาวนาน
    เหมือนลมพานพัดต้องจนหมองหม่น
    เหมือนแห้งแล้งแรงร้อนเหลือจะทน
    ทุกข์มากล้นเหลือจะกล่าวร้าวฤดี

    โลกนี้โหดร้ายไม่น่าอยู่
    ต้องต่อสู้ใจกายหมายเสียดสี
    ในที่สุดก็ตายเปล่าไม่เข้าที
    โอ้ชีวีเกิดมาหาอะไร

    ใครก็ตายตายกันผันแปรเปลี่ยน
    เป็นบทเรียนซ้ำซากฝากหวั่นไหว
    หากไม่มีธรรมตถารักษาใจ
    คงหมกไหม้ตลอดกาลผลาญวิญญา


    เหมือนสายฝนเหน็บหนาวมายาวนาน ภาพฝนตกแบบไม่ปราณีปราศรัย ตกไม่มีหยุด คนสัตว์เปียกไม่มีร่มจะหลบฝน หนาวจนสั่น อิดโรย จับไข้ ทุกข์ทรมาน อยู่ชั่วนาตาปี มองแล้วสลดหดหู่ ใจมากเศร้าเหลือเกิน

    เหมือนลมพานต้องพัดจนหม่นหมอง ภาพเกิดเป็นลมกรรโชกโหมกระหน่ำ ขณะที่สุดจะหนาวเหน็บ เพราะหยาดฝนมาราธอนนั้นและลมยังกระหน่ำซ้ำเติม เจ็บปวดดุจโดนโบยด้วยแส้และเรียวหนาม สรรพสัตว์ทนไม่ได้ล้มตาย ทรมาทรกรรม สุดที่จะเยียวยา

    เหมือนความร้อนแห้งแล้งเหลือจะทน ทุกข์มาล้นเหลือจะกล่าวร้าวฤดี จบลมร้อนมา ดวงอาทิตย์แผดเผา ประดุจเตาเพลิงแห่งมรณะ มีแต่ทุกข์ทั้งนั้นกระทบกระทั่ง ร้อนปวดแปลบแสบไหม้ แล้วปานจะลุกเป็นไฟทุกหย่อมหญ้า


    โลกนี้โหดร้ายไม่น่าอยู่
    ต้องต่อสู้ใจกายหมายเสียดสี
    ในที่สุดตายเปล่าไม่เข้าที
    โอ้ชีวีนี้เกิดมาหาอะไร
    ใครก็ตายตายกันผันแปรเปลี่ยน
    เป็นบทเรียนซ้ำซากมากหวั่นไหว
    หากไม่มีธรรมตถารักษาใจ
    คงหมกไหม้ตลอดกาลผลาญวิญญา

    ภาพที่เกิดตลอดและมีบรรยายเป็นภาษาที่ก่อให้เกิดความสะเทือนขวัญ และหนาวเหน็บอย่างไม่อยากจะกลับมามองโลกอีกเป็นซ้ำสอง ท่านได้พูดว่า


    เธอและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ได้ผ่านสมรภูมิรบนี้มาจนอย่างน่าอนาถซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่สัตว์ทั้งหลายก็ไม่เข็ดหลาบ เจ็บไม่รู้จักจำ ทำตัวเหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟ อยู่เป็นนิจ

    ลูกไม่มาแล้วล่ะท่านค่ะ อึ้ม..ดี พอเสียทีคนเกิดมาบ่อยๆ บนโลกนี้มีฐานะเตี้ยลงๆ เธอดูภาพผ้าขนหนูผืนนี้ซิ (ภาพเกิดคนโพกผ้าขนหนูผืนใหม่ไว้ที่หัว) ผ้าขนหนูใหม่น่าใช้น่าถนอม พอนานวันไปเก่า เอาพาดบ่า เช็ดหน้า เช็ดมือ พอเก่าลงไปอีกเอาคาดพุง เก่าอีกเช็ดเท้า จนผุแล้ว ไม่มีค่า จมธรณีไปเลย เทียวมาบ่อยสรรพสัตว์มัวเมา ดุจคนเมาไม่ยอมสร้างประมาทมัวเมา ต่ำต้อยน้อยค่า ไร้ราคา และไปติดอยู่อบายภูมิ 4

    หลวงปู่ฤาษีอิสระวานมาฝากคำไว้ว่า


    เราเฝ้ามองเธอ
    อยู่เสมอมิได้ห่าง
    มิให้อ้างว้าง
    มิจางสัมพันธ์ปันใจ (เอาใจใส่)

    รักเธอรอเธอมานาน (เอาใจช่วยคอยให้มาทำกรรมฐาน)
    สาบานสานส์จากแดนไกล (คำสัตย์ที่กล่าวไว้ตอนจะลงมาเกิด)
    รอเธอมาชิดเคียงใกล้ (ใกล้ธรรม)
    มิได้จางห่างร้างรา

    บนโลกหรือสรวงสวรรค์
    จอมขวัญฉันคอยพบหน้า
    มาสู่ร่มแก้วพุทธา
    เยียวยารักษาอันตราย

    มิให้เนื้อทองหมองหม่น
    เบื้องบนเป็นห่วงไม่หาย
    ทำกิจพิชิตเกิดตาย
    เช้าสายหมายตาอาวรณ์

     
    ห่วงหาละล้าละลัง
    เพ้อคลั่งมิได้ถ่ายถอน
    สอดส่ายสายตาอาวรณ์
    งามงอนมิได้อยู่เพียงผู้เดียว


    พวกเธอจะอยู่ในสายตาของฉันตลอดเวลา ไม่ว่าหลับหรือตื่น ช่วยป้องกันอันตราย และหยิบยื่นที่คนบนโลกให้เธอไม่ได้ ให้พวกเธออยู่เสมอ ๆ แล้วพวกเธอก็ยังจะมาบ่น งอนตุ๊บป่องว่า ไม่มีใครเหลียวแล ช่างทำตัวไม่เหมาะสมกับคำสาบานเวลาที่จะลงมาเกิด ก็รับเอารับเอาว่าจะทำนู้นทำนี่ แต่พอลงมาเกิดแล้วลืมคำมั่นสัญญา พอทำอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ก็บ่นว่าทุกข์ อย่างนู้นอย่างนี้ ไม่ดูคำสั่งของตัวเองวันที่จะรับอาสามาสร้างบารมีเลย


    บางคืน ท่านย่องมาเงียบ ๆ บางคราถ้าจิตซึม ๆ กึ่งทุกข์ กึ่งสุข ท่านจะพูดว่า

    หยาดธรรมฉ่ำหวานปานน้ำทิพย์
    ไยไม่จิบหนอชาวโลกสิ้นโศกหนี
    บริสุทธิ์สุดสว่างพร่างพราวมี
    แล้วเช่นนี้อีกเมื่อไหร่จะไกลมาร

    ไขม่านฟ้าม่านทิพย์มาเมียงเจ้า
    โอ้คนเขลาจับเจ่าเขลาไฉน
    ร้อยเรียงธรรมคำหวานกานท์วิไล
    เก็บธรรมไว้ใช้รินราดบาดแผลมี

    บาดแผลเจ้าเอาใจใส่ยาช่วย
    ประคบด้วยไอสวรรค์ฉัพรรณรังสี
    ไม่นานหายหมายใจไกลธุลี
    ยาทิพย์นี้ฝากมารักษาใจ

    ผลาญเผาเผาผลาญผลาญพล่าจิต
    พาลเห็นผิด ผิดจึงเศร้าจึงเผาผลาญ
    ดับไม่แท้ดับไม่จริงวิ่งตามมาร
    เหล่าคนพาลผลาญได้แม้ใจตน

    คายเสียนะ คายซากกากโมหะ
    คายนะคายเสียอย่าสับสน
    คายเสียเขี่ยไปอย่าหลงกล
    คายให้พ้น คายแล้วอย่ากลืนกิน

    บางทีท่านก็ฝากคำไว้ว่า
    "อย่าเลี้ยวลัดฉวัดเฉวียน เพียรออกจาก จึงขอฝากวจีนี้มีมนตรา"

    โปรยปรายสายทิพย์กระซิบสั่ง
    ร้อยชั่งอย่ามีวิจิกิจฉา
    ทำใดใจนึกจงตรึกตรา
    อุราร้าวร้อนจงผ่อนคลาย
     
    ทำจิตอิงสวนสน
    หมองหม่นอย่าแหวกว่าย
    ทุกข์จักมลาย
    ทุกข์จักพ่ายและปล่อยวาง

    บางวันร้องเพลงหาหลวงปู่ฤาษีอิสระวาน ท่านแหวกภูเขา ท่านพูดเป็นภาษาเทวะนาคินทร์ ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยได้ความ ดังนี้

    ธูปเทียนทองมองหามาพบเจ้า
    โอ้ยอดเยาว์เยาวลักษณ์สมัครสมาน
    ความเป็นทิพย์ฝากมาหาบัวบาน (บัวบานสราญจิต)
    เยาวมาลย์คนดีมีสิ่งใด

    สุทธิจิต สุทธิศรีระพีผ่อง
    ธรรมควรครองจิตนี้ มิเหลวไหล
    หากกำจัดนิวรณ์ไม่มีภัย
    โฉมไฉไลควรคู่มองดูธรรม

    วอนใจอย่าผลักไสไปมองอื่น
    จักขมขื่นหม่นหมองต้องเจ็บช้ำ
    อย่าหลงใหลใฝ่หาแต่น้ำคำ
    จงมีธรรม บำเพ็ญ วาสนา รักษาใจ

    เช้าวันหนึ่งตื่นขึ้นมาคิดถึง ท่านมาคุยจากฝากฟ้าโน้นว่า

    ดอกไม้หอมสิบหกกองมารองรับ
    มาคำนับนวลนรีศรีสมร
    ณ ฝากฟ้าจะหลั่งสุขมาอวยพร
    มาเว้าวอนให้ขวัญเจ้าเนาว์สราญ

    บวรรัตน์ขจัดทุกข์สุขเกษม
    จงอิ่มเอมทิพยาฝากเพลงหวาน
    ความสุขใด ถ้าไม่ใฝ่พระนิพพาน
    เยาวมาลย์ สุขนั้นอันตราย

    มารศรี ศรีสวัสดิ์
    อย่าซัดส่าย
    อย่างมงาย
    ใช้ปัญญา

    โลกร้อนร้ายแสลงหลอกหลอนสั่นคลอนไม่หยุด
    ทางสมมุติเจ็บไหม้เป็นบาปหนา
    วอนวจีที่รักพิทักษ์ธรรมา
    และจงอยู่บูชาธรรมอย่าฝันไกล
     
    ดวงสุดายาจิตพิสมร
    อย่าเขลาย้อนสู่อดีตไม่โปร่งใส
    ในวัฏฏะไม่มีที่ปลอดภัย
    โฉมไฉไลเมินเสียเถิดอย่าเกิดเลย

    จากนั้น12ปี ไม่เคยติดต่อกับท่านฤาษีอีก จนกระทั่ง พฤษภาคมปี 2545คิดถึงท่านขึ้นมาเพราะนึกถึงเพลงเสียงสั่งจากป่าหิมพานต์ ท่านแหวกฟ้ามากล่าวว่า

    ศิขรินทร์ม่านฟ้าอาภาแผ้ว
    นิราศแล้วแรงลมไม่ข่มเหง
    นักเลงธรรมมีธรรมพร่ำบรรเลง
    หรือจะเกรงกิเลสชั่วมายั่วย้อม

    สุขสถิตย์อิสราอมรรัตน์
    สุขสวัสดิ์ตื่นอยู่พระธรรมหอม
    สุกสว่างกระจ่างแจ้งไม่จอมปลอม
    ดั่งพะยอมหอมซึ้งรสพระธรรม


    ปล. อาทิตย์หน้าจะเข้ามาโพสต์เรื่องที่สาม มัวเมาอะไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 กันยายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...