บรรลุธรรมแล้วเป็นเช่นไร?!?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย DR-NOTH, 20 มกราคม 2013.

  1. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276

    ผู้ที่บรรลุธรรมในขั้นใดขั้นหนึ่งแล้วมีลักษณะภายนอกเช่นไรมีสิ่งใดบ่งบอกบ้าง
    เราพิจารณาจากส่วนใดบ้างว่าบุคคลนั้นบรรลุธรรมแล้ว
    ในกระทู้นี้เปิดรับความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง อิสระ
    และเป็นไปอย่างเสรี เชิญ ถามตอบได้ตามอัธยาศรัยครับ...
    สำหรับความเห็นโดยส่วนตัวของข้าพเจ้าเองนั้น..
    ผู้ที่บรรลุธรรมในขั้นใดขั้นหนึ่งแล้วนั้นดูได้จาก..
    จะเป็นผู้ที่มีจิตผ่องใสบริสุทธิ์เบาบางจากอาสวะกิเลสทั้งหลาย หากดำเนินชีวิตอยู่ในทางโลกก็จะมีการเป็นอยู่โดยเรียบง่าย
    จิตถอดแล้วจากอารมแห่งการยึดถือวัตถุสิ่งของมีค่าใดๆ
    ปล่อยวางจากอัตตาทั้งภายนอกและภายใน แม้แต่กายนี้ก็ไม่ยึดถือว่าของเราเป็นเพียงธาตุสมมุติ
    จากเหตุปัจจัยให้มารวมตัวก่อเกิดเป็นตัวตน ถึงวาระก็แตกดับดับสลายไป
    เหลือเพียงจิต ด้านกริยานั้นทั้งกาย วาจา และความคิด ดูเหลื่อมใสยิ่งนัก ท่านจะนิ่งสำรวมระวังมิให้อกุศลเข้าครอบงำ และกิจของท่านนั้นก็จะเป็นไปเพื่อ
    ความสงบสุขและประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก ซึ่งความเห็นแก่ตัวนั้นไม่มีอยู่เลยในตัวท่าน เรียก.ว่าแต่ละจริยวัตรที่ท่านทำนั้นใครเห็นเป็นต้องศรัทธาอย่างไม่ลังเลเลย
    หรือหากผู้บำเพ็ญท่านใดบรรลุธรรมอยู่ในขั้นเดียวกัน(มีภูมิธรรมระดับเดียวกันหรือไกล้เคียงกัน)ก็จะมองออกโดยง่าย
    ว่าผู้นี้มีระดับปัญญาธรรมอยู่ในขั้นที่ใกล้เคียงหรือเท่ากับเรา..เป็นต้น
    *อาสวะ กิเลส ตัณหา อวิชชาต่างๆ เป็นเครื่องวัดได้อย่างดีถึงระดับการบรรลุธรรม
    (ในพระไตรปิฎกจะแบ่งไว้ชัดเจน ว่าอริยบุคคลขั้นใด
    ต้องตัดกิเลสข้อใดบ้างถึงบรรลุในขั้นนั้นๆได้)
    ยิ่งขัดเกลาตัดออกได้มากเพียงใดก็ใกล้ถึงธรรมสูงสุดได้เพียงนั้น
    เป็นเสมือนด่านแต่ละขั้นที่เราผุ้บำเพ็ญทั้งหลายต้องก้าวผ่านไปให้ได้
    **บัดนี้เราบรรลธรรมถึงขั้นไหนแล้ว** ลองถามตัวเองดูครับ
    แสวงหาให้ถึงที่สุดแห่งธรรมกันเถิดเพื่อคว้าเอาสุขแท้อันยั่งยืนคือนิิพพาน.

    สังโยชน์ 10 อย่าง เครื่องวัดระดับ *ตบะธรรม*
    1. สักกายทิฏฐิ - มีความเห็นว่า ร่างกายนี้เป็นของเรา มีความยึดมั่น ถือมั่น ในระดับหนึ่ง
    (ความยึดมั่นในตัวตนแห่งชีวิตกายสังขารที่วิญญาณจิตสถิตอาศัยอยู่นี้)

    2. วิจิกิจฉา - มีความสงสัย ใน พระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรมต่างๆ และพระอริยสงฆ์ (รวมถึงความลังเลสงสัยในศานาลัทธินิกายต่างๆอย่างนี้เป็นต้น)

    3. สีลัพพตปรามาส - ความถือมั่น ศีล พรต โดยไม่ใช่ สักว่าทำตามๆ กันไปอย่าง งมงาย
    มีความเห็นผิด ว่าจะบริสุทธิ์ หลุดพ้น ได้เพียงด้วยศีล และ วัตรปฏิบัิติเท่านั้น เป็นต้น
    หรือ นำศีล และ พรตไปใช้ เพื่อเหตุผลอื่นอันไม่ใช่เพื่อเป็นปัจจัยแก่การสิ้นกิเลส
    เช่น การถือศีล เพื่อเอาไว้ข่มคนอื่น เพื่ออวดตัว การถือศีล เพราะอยากได้ลาภสักการะ เป็นต้น
    ซึ่งรวมถึง การหมด ความเชื่อถือ ในพิธีกรรมที่งมงายต่างๆ ด้วย
    (ความงมงายในศิลพระวินัยข้อวัตรปฏิบัติต่างๆโดยขาดเหตุผล และไม่ทราบจุดหมายอันแท้จริง)

    4. กามราคะ - มีความติดใจ ในกามคุณทั้งหลาย(รูปสมมุติแห่งชายและหญิง)

    5. ปฏิฆะ -หรือโทษะ มีความกระทบ กระทั่ง ในใจ ต่ออารมณ์ที่ไม่ยินดี

    6. รูปราคะ - มีความติดใจรูปธรรม ในวัตถุอันสวยงาม และ ยังติดใจอยู่ในรูปฌานอันปราณีต

    7. อรูปราคะ - มีความติดใจใน อรูปฌาน หรือ ความพอใจ ในนามธรรม ทั้งหลาย

    8. มานะ - คือตัวอัตตา มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน หรือ คุณสมบัติ ของตน

    9. อุทธัจจะ - มีความฟุ้งซ่านของจิตไปตามกระแสธรรมทั้งหลายอย่างไม่หยุดนิ่ง

    10. อวิชชา - มีความไม่รอบรู้เข้าถึงมรรคอย่างแท้จริง

    *พระโสดาบัน ละสังโยชน์ 3 ข้อต้นได้คือ หมดสักกายทิฏฐิ ,วิจิกิจฉา และ สีลัพพตปรามาส
    *พระสกทาคามี ทำสังโยชน์ ข้อ 4 และ 5 คือ กามราคะ และ ปฏิฆะ ให้เบาบางลงด้วย
    *พระอนาคามี ละสังโยชน์ 5 ข้อต้น ได้หมด ไม่ติดใน กามคุณ และ ความโกรธ ขุ่นเคืองใจ อีกแล้ว ละได้ขาดแล้ว
    *พระอรหันต์ ละสังโยชน์ ทั้ง 10 ข้อ ได้เด็ดขาด โดยสิ้นเชิง

    โมทนาธรรมครับ....

    (อินทรปัญญาสกุล พรหมธรรมสัจกุล)​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 เมษายน 2013
  2. markdee

    markdee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    745
    ค่าพลัง:
    +1,911
    ก็คงเหมือนไม่ใช่แฟนทำแทนไม่ได้ ทำจิตไม่ถึงขั้นก็ไม่รู้หรอกว่าอารมณ์แต่ละชั้น เป็นอย่างไร?
     
  3. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    แนวคิดของเจ้าของกระทู้ สุ่มเสี่ยงต่อการยึดเป็นมิจฉาทิฏฐิ

    มาฟังพระอริยเจ้าเฉลยคำตอบกันดีกว่า...


    "หวนคิดขึ้นมาได้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นสามเณร ๒ รูป เสร็จจากการศึกษาพระปริยัติธรรมแล้ว นั่งพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้หน้ากุฏิ ถกเถียงกันอยู่ถึงคุณแห่งพระอรหันต์ที่ศึกษามาจากห้องเรียน
    สามเณรใหญ่ชี้แจงว่า "พระอรหันต์นั้นละกิเลสได้หมดสิ้นแล้ว ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอะไรทั้งนั้น หมดความยึดมั่นถือมั่นโดยสิ้นเชิง"
    สามเณรน้อยเถียงทันที "พระอรหันต์ของหลวงพี่ช่างน่าเวทนานัก เหมือนเสาต้นหนึ่ง ก้อนหินก้อนหนึ่ง จะเกิดน้ำท่วมไฟไหม้ก็ไม่รู้อะไรเลย คงจะต้องตายเสียเปล่า และยังเป็นบุคคลที่ไร้ประโยชน์สิ้นเชิง"
    ขณะที่วิวาทะกำลังดำเนินไปอย่างผิดเป้าหมาย ก็มีเสียงกระแอมดังขึ้นจากในกุฏิ สามเณรทั้ง ๒ จึงสามัคคีกันหลบหนีไป
    ครั้นข้อถกเถียงนี้ล่วงรู้ถึงหลวงปู่ ท่านก็บอกว่า "แม้จะเป็นการถกเถียงเอาชนะกันแต่ก็เป็นการตั้งข้อสังเกตที่น่าพินิจพิจารณา"
    แล้วหลวงปู่อธิบายว่า
    "จิตเป็นสภาพรู้อารมณ์ ตราบใดที่มีจิต การรับรู้อารมณ์ก็ย่อมมีเป็นธรรมดา โดยไม่ต้องสงสัย ดังนั้นบุคคลธรรมดารับรู้อารมณ์อย่างไร พระอรหันต์ก็ย่อมจะต้องรับรู้อารมณ์อย่างนั้น และการรับรู้อารมณ์ของท่านน่าจะเป็นไปด้วยดี ยิ่งเสียกว่าคนธรรมดาสามัญด้วยซ้ำ เพราะจิตของท่านไม่มีเมฆหมอกคือกิเลสปกคลุมอยู่ อันจะทำให้ความสามารถรับรู้อารมณ์ลดลง"
    ดังนี้ การกล่าวหาว่าพระอรหันต์ไม่รับรู้อะไร ไม่ยุ่งไม่เกี่ยวอะไรทั้งนั้น จึงไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน
    ส่วนการที่ท่านหมดความยึดมั่นถือมั่นโดยสิ้นเชิงนั้น ย่อมหมายความว่าแม้กระทั่งความไม่ยึดมั่นในสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ย่อมไม่มีแก่ท่าน
    กล่าวคือ ท่านหมดทั้งความยึดมั่นถือมั่น และความไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีทั้งความพอใจในสิ่งใด ทั้งความรังเกียจในสิ่งใด ดังนี้จึงจะเรียกว่า "โดยสิ้นเชิง" ได้
    จิตของท่านจึงลอยเด่นเหนือความดึงดูดและผลักดันต่อสรรพสิ่งเป็นอิสระชั่วนิรันดร
    หลวงปู่ได้ชี้แนวทางพิจารณาว่า
    "อย่าพยายามทึกทักเอาเองตามความรู้สึกของตนว่า พระอริยบุคคลไม่ว่าในลำดับใด เป็นบุคคลที่มีอะไรผิดแปลกไปจากคนธรรมดาสามัญ ท่านก็มีอะไรทุกอย่างเหมือนๆ กับคนธรรมดาสามัญ ทั้งร่างกายและจิตใจ
    หรือถ้าจะว่าให้ถูก ท่านเสียอีกเป็นธรรมดาสามัญ ปุถุชนต่างหากที่มีอะไรผิดธรรมดาวิปริตไปด้วยการปรุงของกิเลสตัณหาอันเป็นเหตุแห่งทุกข์
    พระอรหันต์ท่านเป็นปกติธรรมดา พ้นจากการปรุงแต่ง จึงอยู่อย่างไม่มีทุกข์
    พระอริยบุคคลที่รองๆ ลงมา ก็มีการดำรงอยู่อย่างมีทุกข์มากขึ้นตามลำดับ และกำลังดำเนินไปสู่การดำรงอยู่อย่างไม่มีทุกข์ต่อไป
    ก็แล การดำรงอยู่อย่างไม่มีทุกข์นี้ ย่อมเป็นยอดปรารถนาของสัตว์โลกทั้งมวล
    สรรพสัตว์ทุกหมู่เหล่าที่วิ่งเต้นดิ้นรนอยู่ด้วยประการต่างๆทุกวันเวลานี้ ก็ล้วนแต่เพื่อจุดประสงค์ที่จะระงับดับทุกข์ของตนๆ อย่างเดียวเท่านั้น มิได้เป็นไปเพื่อประการอื่นใดเลยแม้แต่น้อย เมื่อหิวก็เสาะแสวงหาอาหาร เมื่อเกิดโรคภัยก็วิ่งหายารักษาโรค เป็นต้น" - หลวงปู่ดูลย์
     
  4. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    โมทนาธรรม ท่าน อินทรบุตร สุขสวัสดีในธรรมน่ะท่าน​
     
  5. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    (ระดับปัญญาธรรมย่อมจำแนกมนุษย์ให้แตกต่างกัน)​
     
  6. iaui

    iaui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2007
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +454
    อ้างพระไตรปิฎกแล้วหรือท่าน
     
  7. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    เจริญสุขน่ะท่าน OPUS_1 ขาดตกบกพร่องประการใด รบกวนชี้แนะด้วยครับ ​
     
  8. duangtham

    duangtham เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +233
    ตัดหมดทุกอย่าง สุดท้ายแล้ว ก็ไม่มี
    คนเราที่เดินในสายธรรมนั้นส่วนมากล้วนเดินอ้อมกันอยู่
    เช่นท่านที่อยากได้บุญบารมีเยอะๆ หรืออยากได้อภิญญา ตาทิพย์ หูทิพย์ หรืออื่นๆที่เป็นทิพย์ ก็จะพยายามทำบุญบารมี ฝึกตามวิธีต่างๆเพื่อให้ได้มา
    ทิพย์คืออะไร ทิพย์ แปลว่าไม่มี ทิพย์แปลว่าสมมุติ ท่านกำลังทำสิ่งที่มันไม่มีให้มี แล้วก็สมมุติไปต่างๆไม่จบสิ้น ลองมองอีกมุมถ้าเรารู้ว่ามันไม่มีเราก็ทำให้ไม่มีสิ

    เราพิจารณาไปในอารมณ์ของฌานต่างๆที่เข้าไปถึง ล้วนไม่มีอะไร ไม่มีลมหายใจ ไม่มีความรู้สึกนึกคิดไม่มีแม้แต่ความทรงจำใดๆสุดท้ายเราก็ต้องทิ้งไปทุกอย่าง ในความไม่มีนั้นไม่มีขอบเขตประมาณ ไม่มีวันหมด เพราะไม่มี

    สาธุ
     
  9. iaui

    iaui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2007
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +454
    เชิญตามสบายท่าน ไม่เห็นต้องชี้แนะและเอื้อนเอ่ยใดๆ
     
  10. จอมโลกธาตุ

    จอมโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2012
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +2,063
    ก็คงจะเหมือนกับที่ลัทธิอนุตตรธรรมเขาสอนล่ะม้าง.....
    จขกท....เป็นสาวกลัทธินี้อยากจะสอนอะไรต่อล่ะครับ............
     
  11. iaui

    iaui เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2007
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +454
    เขาสอนว่ากลับไปบ้านเดิมนิพพานพอไปอยู่ได้สักพักก็ต้องโดนเนรเทศลงมาเกิดใหม่อีกครับ ผมละงงจริง​
     
  12. จอมโลกธาตุ

    จอมโลกธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2012
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +2,063
    อุ๊บ....ขอโทษนะครับผมลืมเขียนภาษาลิเก แต่ผู้น้อยก็ยินดีร่วมสนทนานะครับ

    อยากรู้ว่าลัทธิอนุตตรธรรมที่ จขกท เป็นสาวกเขาสอนนิพพานยังไงก็ดูได้นะครับ


    อนุตตรธรรมกับความจริงที่จำเป็นต้องรู้
    http://palungjit.org/threads/อนุตตรธรรม-กับความจริงที่จำเป็นต้องรู้.354445/


    เซี่ย เซี่ย เทียนเอินซือเต๋อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2013
  13. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    แสดงธรรมได้พิศดารน่านับถือๆ
    อนุโมทนาครับผม​
     
  14. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276

    พุทธศานาทางตรงและบำเพ็ญวิถีแห่งพุทธมาโดยตลอดขอรับ...
    (ยังติดใจในบททดสอบที่ข้าพเจ้าจำแลงไปถามเหรอครับขออภัยไว้ด้วยขอรับ)
     
  15. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    มาร่วมดำรงพระพุทธศานาด้วยการปฏิบัติ เรียนรู้ ถามตอบ ชี้แนะ ธรรมะสัจธรรมเพื่อสุขอันยั่งยืนแท้จริงกันครับ..ทุกท่าน
    ยังไงก็ตามอัทธยาศรัยเลยครับ ทั้งในกระทู้ นอกกระทู้ หรือสื่อแห่งธรรมทั้งหลายอันเป็นทางแห่งสัจธรรมครับ​
     
  16. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    บรรลุธรรมถึงพระอนาคามี จิตมีลักษณะเช่นไร?
    1) ถ้าจิตของบรรดาท่านพุทธบริษัทเข้าสู่ พระอนาคามิมรรค จิตฝ่ายอกุศลทั้งหลายจะค่อยหมดไป จิตจะทรงอยู่ในกุศลความดีทั้งหลายและมีพลังอุเบกขา
    มีความเบื่อหน่ายในเรื่องระหว่างเพศ มีความสลดใจ ไม่คิดข้องเกี่ยวในเรื่องกาม
    ถ้าหากว่าจิตของเราไม่พอใจในศีล 5 มีความพอใจในศีล 8 แล้วก็มีความมั่นคงในศีล 8 อย่างนี้ท่านถือว่าเริ่มเข้า อนาคามิมรรค เรียกว่า เดินทางเข้าหาพระอนาคามีแล้ว
    ต่อไปถ้าจิตมีความเบื่อหน่ายในระหว่างเพศ คือ ถ้าหมดความรู้สึกในเรื่องนี้มีอุเบกขาแทนที่ ก็ถือว่าเป็น พระอนาคามิมรรค
    และต่อมาถ้าจิตลดจากความโกรธ ความไม่พอใจ ปฏิฆะ ก็คืออารมณ์กระทบกระทั่งใจนิดๆ หน่อย ความไม่พอใจ
    จิตที่คิดประทุษร้ายผู้อื่นสัตว์อื่น หากตัดตัว ปฏิฆะนี้ได้โดยสมบูรณ์
    ถือว่าเป็น พระอนาคามิผล โดยบริบูรณ์แล้ว
    รวมความว่าจากพระสกิทาคามีแล้วเป็นพระอนาคามี ก็คือ
    - สังเกตไว้ว่าใจเราพอใจในศีล 8 ได้ครบถ้วนจริงแล้ว
    - จิตตัดอารมณ์ในกามารมณ์ได้เด็ดขาด ไม่มีความรู้สึกใคร่อยาก
    - ตัดความโกรธความพยาบาทได้เด็ดขาด
    อย่างนี้ถือเป็น พระอนาคามีผล ได้อย่างภาคภูมิ
    โมทนาธรรมครับผม​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2013
  17. AYACOOSHA

    AYACOOSHA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    368
    ค่าพลัง:
    +2,253
    มีชีวิตใช้ชีวิตเหมือนปุถุชนทั่วไปในภายนอกแล้วแต่จริตของท่าน...แต่ภายในจิตใจแล้วนิ่งสงบ..วางเฉยได้กับทุกสิ่ง (แล้วแต่ลำดับขั้นการตัดสังโยชน์ได้) เพราะฉนั้นบางครั้งเราจะดูไม่ออกเลยว่าใครสำเร็จถึงขั้นไหนแล้ว...เพราะพระพุทธองค์เคยตรัสว่า...คนที่ไม่มีกิเลสบางครั้งก็ด็เหมือนคนมีกิเลส...แต่บางคนมีกิเลสหนาแน่น..กลับดูเหมือนไม่มีกิเลส...สรุปได้ง่าย ๆคือดูยาก...สังเกตุยาก...มันเป็นของที่รู้ได้เฉพาะตน...สังเกตุได้จากคำว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตามความหมายของผมแล้วนะ(ส่วนตัว) พระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ การที่เราจะเห็นอรหันต์ได้ เราต้องอยู่ในขั้นอรหันต์เหมือนกัน...นั้นถึงจะเรียกได้ว่าเห็นตถาคต...ส่วนบุคคลธรรมดาที่กำลังศึกษาธรรมะกันอยู่นั้น ผมขอเรียกว่า ผู้เข้าถึงกระแสแห่งธรรม...แต่ยังไม่ใช่เห็นธรรม เพราะการเห็นธรรมนั้นอย่างน้อย เราท่านทั้งหลายนั้นจะต้องได้โสดาบันเป็นอย่างต่ำ...ผมเองก็เคยหลงผิดมาตั้งนาน คิดว่าตัวดี ตัวเด่น แต่พอคิดข้อธรรมได้อย่างนี้แล้ว กลับมามองดูตัว แสดงว่าผมยังไปไม่ถึงไหนเลย....สวัสดี
     
  18. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    เราพิจารณาครั้งใดถึงพระกรุณาธิคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาฯครั้งใดเเล้ว
    ก็ถามตัวเองว่าทำไม เราจึงอวดดื้อถือดีไม่น้อมรับพระเมตตาที่ท่านทุ่มเทให้สรรพสัตว์
    รวมทั้งเทวดาเเละมนุษย์ เราเห็นคุณค่า
    สิ่งรอบกายเเละยินดีจะเเบกติดตัวข้ามชาติไป
    ด้วยใช่ไหมเนี่ย จึงเสียดายวางไม่ลง สมบัติระดับกษัตริย์พระองค์ยังมองไม่ไร้ค่าเมื่อ
     
  19. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    คิดอะไรมาก พยายามเดินตามคำสอนเเบบง่ายๆ เเค่เพียรเรื่องศีล ทาน ภาวนาไปเรื่อยๆ
    เมื่อบารมีเต็มมันคงมีการสลัดทิ้งของมันเอง พยายามพาตัวเองให้ หยุดคิด หยุดห่วง. หยุดหา หยุดกอบ
    หยุดโกย (หยุดเป็นสัตว์เศรษฐกิจให้ได้มากที่สุด)
     
  20. นายกสิณ

    นายกสิณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2011
    โพสต์:
    245
    ค่าพลัง:
    +251
    ขอถาม.....การบรรลุธรรมกับการปฏิบัติจนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างของแนวทางปฏิบัตินั้น แตกต่างกันอย่างไร เพราผมเจอบุคคลที่สามารถตอบคำถามการปฏิบัติ(โดยไม่ใช้ภาษาพระหรือหนังสือเล่มใด เพราะไม่เคยอ่าน แต่เกิดจากการปฏิบัติแล้วรู้ด้วยตนเอง) กับพวกที่รู้ธรรมหรือบรรลุธรรมแล้วนั้น สามารถแนะนำการปฏิบัติได้หรือไม่ โดยไม่ต้องอ้างพระรูปใด คำสอนของใคร หรือหนังสือเล่มไหน พระไตรปิฎกเล่มใด ...ช่วยตอบด้วย
     

แชร์หน้านี้

Loading...