สมเด็จโต ลพ.ทาบ กระบกขึ้นผึ้งปิดตาเงินล้านลป.ยวงหน้าต่างใน

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. SIR2010

    SIR2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    3,003
    ค่าพลัง:
    +5,704
    จองครับ
     
  2. SIR2010

    SIR2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    3,003
    ค่าพลัง:
    +5,704
    จองครับ
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,269
    ค่าพลัง:
    +21,396
    FB_IMG_1749811229744.jpg
    หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ เป็นชาวนครชัยศรี จ.นครปฐม โดยกำเนิด บิดาท่านมีนามว่า “นายฟัก” มารดามีนามว่า”นางยวง” อยู่ในตระกูล “พู่ระหง” ครอบครัวขององค์หลวงพ่อเปิ่นมีอาชีพทำนาอันเป็นอาชีพหลักของชาวบ้านในแถบนั้น
    องค์หลวงพ่อเปิ่น ถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๔๖๖ ตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้นหนึ่งค่ำ (๑) เดือนเก้า (๙) ครั้งนั้นในแถบถิ่นเมืองนครชัยศรี ได้มีทารกน้อยมาจุติ ซึ่งมากล้นด้วยบุญญาธิการ ด้วยลักษณะที่ผิวพรรณผ่องใส ผิดไปจากพี่น้องซึ่งอยู่ด้วยกันทั้งหมดเวลานั้น คือมีพี่ทั้งหญิงและชาย ๘ คน หลวงพ่อเป็นคนที่เก้า และต่อมาองค์หลวงพ่อจึงมีน้องที่เป็นหญิงเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
    ชีวิตปฐมวัยขององค์ท่านหลวงพ่อเปิ่น นับว่าเป็นเรื่องที่น่าศึกษาอย่างเป็นที่สุด ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าในสมัยนั้นแถบถิ่นลุมน้ำนครชัยศรีอุดมไปด้วยวิชาอาคม อาจเนื่องด้วยไกลปืนเที่ยง ในตอนนั้นการเรียนรู้วิชาอาคมเอาไว้เพื่อป้องกันตัวจึงถือเป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้ชายทุกคนจักพึงมี หลวงพ่อเปิ่น องค์ท่านสนใจในเรื่องไสยศาสตร์มาตั้งแต่สมัยเด็ก อาศัยว่าครอบครัวของท่านอยู่ใกล้กับวัดบางพระ ซึ่งในสมัยนั้นมีองค์พระคุณเจ้าที่จำพรรษา (รวมทั้งพี่ชายหลวงพ่อด้วย) ณ วัดบางพระ เก่งกาจในสายไสยศาสตร์มากหลายองค์ เด็กชายเปิ่นจึงเข้าออกเพราะความอยากรู้ อยากใฝ่หาในวิชาอยู่กับวัดบางพระเป็นประจำ
    ครั้นต่อมาครอบครัวย้ายไปตั้งรกรากทำมาหากินที่จังหวัดสุพรรณบุรี บ้านทุ่งคอก อำเภอสองพี่น้อง ที่สุพรรณบุรีนี่เองที่เด็กชายเปิ่นได้ฉายแววเป็นนักเลงจริง เป็นคนจริงให้เห็น เพราะการอยู่ในดงนักเลงที่เป็นคนจริง จะต้องเป็นคนจริงไปด้วยโดยปริยาย เมื่อถึงจุดนี้ผู้ชายไทยใจนักเลงทุกคนจึงต้องหาอาจารย์ศึกษาทางด้านไสยเวทย์ เพื่อเอาไว้ป้องกันตัวเองบ้าง เป็นการเสริมสร้างบารมีให้แก่ตนเอง เด็กชายเปิ่นจึงต้องขวนขวายหาครูบาอาจารย์ผู้เรืองเวทวิชาอาคม ศึกษาหาวิชามาไว้ป้องกันตัวเองได้เวทมนตร์คาถาเอามาท่องจำ เป็นอย่างนี้อยู่ตลอด
    จนกระทั่งได้เข้าฝากตัวเป็นศิษย์ขององค์ท่านหลวงพ่อแดงแห่งวัดทุ่งคอก อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี ศิษย์เอกของท่านหลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน องค์พระคุณเจ้าที่เก่งพร้อมทุกด้าน โดยเฉพาะเก่งกล้าเป็นอย่างมากทางด้านกัมมัฎฐานและไสยเวทย์ นี่เองคือจุดเริ่มความเก่งกาจของ เด็กชายเปิ่นจนถึงนายเปิ่นในกาลเวลาต่อมา
    หลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก องค์เสมือนจะทราบว่าเด็กชายเปิ่นคนนี้มีแววแห่งผู้ขมังเวทอย่างแน่นอน อีกทั้งจิตใจ อันใสบริสุทธิ์สะอาด ผนวกกับเป็นคนจริงท่านจึงได้ถ่ายทอดในสายวิชาของท่านพร้อมวิชา ไสยเวทย์ต่าง ๆ ให้กับเด็กชายเปิ่น
    ด้วยความจำ ด้วยความที่ตนใฝ่หาทางนี้โดยตรง ความรู้ที่พระอาจารย์หลวงพ่อแดงมอบให้จึงตกอยู่ที่เด็กชายเปิ่นอย่างมากมาย ที่สำคัญในช่วงนั้นนั่นเองที่เด็กชายเปิ่นเจริญเติบโตเป็นนายเปิ่นได้มีความอยากรู้ อยากเรียน อยากทราบในสายพระเวทย์เหมือนองค์หลวงพ่อเปิ่น จึงเป็นที่ถูกคอกันยิ่งนัก ซึ่งต่อมาเพื่อนคนนี้ได้อุปสมบทเหมือนกัน มีนามว่าหลวงพ่อจำปา (ปัจจุบันมรณภาพแล้ว) เจ้าอาวาสวัดประดู่ เขตตลิ่งชัน กรุงเทพ ฯ ซึ่งมีลูกศิษย์ ลูกหามากมาย
    หลวงพ่อเปิ่นศึกษาวิชากับหลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอกอยู่จนถึงเวลาที่ครอบครัวย้ายถิ่นฐานกลับสู่บางแก้วฟ้า จังหวัดนครปฐม อีกครั้ง ซึ่งตรงกับอายุครบเกณฑ์ทหารพอดี ในสมัยนั้นการเกณฑ์ทหารแบ่งเป็น 2 อย่าง คือ ทหารประจำการ กับ ทหารโยธา
    สมัยนี้นี่เองที่นายเปิ่นได้รับการถ่ายทอด วิชาสักยันต์ อันเกรียงไกร โดยได้รับการถ่ายทอดวิชาจากหลวงพ่อหิ่ม อินฺทโชโต เจ้าอาวาสวัดบางพระ แน่นอนที่สุดนี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตขององค์หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ เพราะวิชาที่ได้รับการถ่ายทอดมาล้วนเป็นวิชาที่สุดยอดทั้งสิ้น หากมองย้อนกันกลับไป พระอธิการหิ่ม อินฺทโชโต เจ้าอาวาสวัดบางพระในเวลานั้น หากเทียบกันในเรื่องไสยเวทย์คาถา จัดได้ว่าเป็นหนึ่งเป็นจิตจริงอันแน่วแน่ เพียงแต่องค์ท่านไม่ออกสู่สนามลองพระเวทย์สักเท่าใด อีกทั้งเรื่องยาสมุนไพรรักษาโรคก็นับว่าเป็นหนึ่งเหมือนกัน
    ถือว่าเป็นวิชาพระคาถาอาคมที่ได้รับการสืบทอดความลึกลับกันมาตั้งแต่โบราณกาล ขณะนั้นนายเปิ่นได้เข้ารับใช้หลวงพ่อหิ่ม เพื่อความอยากเรียนในด้านไสยเวทย์จากองค์ท่านหลวงพ่อหิ่มนั่นเอง ซึ่งก็ได้รับความเมตตาเป็นอย่างดีจากท่านหลวงพ่อหิ่ม สายวิชาพระเวทย์ลึกลับตั้งแต่โบราณกาลจากองค์หลวงพ่อหิ่ม จึงถูกถ่ายทอดให้กับนายเปิ่นทั้งหมด
    เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ เป็นเพราะในช่วงที่หนุ่มแน่น นายเปิ่นเข้าออกวัดบางพระเกือบทุกเวลาจึงใกล้ชิดกับวัดอย่างดีที่สุด จนเมื่อถึงเวลาหนึ่ง ซึ่งนายเปิ่นคิดไปว่า ต้องบวชเรียนเพื่อศึกษาในสายวิชาอย่างจริงจัง เมื่อมาถึงในขั้นตอนที่ต้องใช้จิตใจในส่วนของความสงบ นึกดังนั้นจึงขออนุญาตพ่อแม่ว่าอยากบวชเรียน ซึ่งทั้งสองคนต่างดีใจเป็นอย่างมาก ยินดีให้นายเปิ่นเข้าสู่บวรพุทธศาสนา
    วันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ นายเปิ่นเข้าบรรพชาอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดบางพระ ต.บางแก้วฟ้า อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม โดยมี พระอธิการหิ่ม อินฺทโชโต เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์อยู่ ปทุมรัตน์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์เปลี่ยน จิตฺตธมฺโม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ หลวงพ่อเปิ่น จึงเริ่มศึกษาเล่าเรียนในพระธรรมวินัย สิกขาบท ตามภาระหน้าที่ของพระภิกษุสงฆ์ ที่สำคัญคือการศึกษาเล่าเรียนทางด้านวิชาอาคม จากตำรับตำราโบราณที่พระอาจารย์หลวงปู่หิ่ม สอนให้อย่างตั้งอกตั้งใจ นอกจากท่องบ่นพระเวทย์มนตร์คาถาอาคมแล้ว หลวงพ่อเปิ่นยังได้รับการถ่ายทอดในสายอักขระโบราณเป็นรูปแบบของยันต์ต่าง ๆ การลงอาคมตามทางเดินของสายพระเวทย์จนเป็นที่ชำนาญ กล่าวกันว่าอักษร อักขระ ที่หลวงพ่อเปิ่นลงหรือเขียนนั้นสวยงาม มีเสน่ห์เป็นยิ่งนัก
    ในช่วงเวลา ๔ ปีกว่า ๆ ที่หลวงพ่อเปิ่นศึกษาวิชาต่าง ๆ จากพระอาจารย์หลวงปู่หิ่ม อินฺทโชโต และอยู่ปรนนิบัติพระอาจารย์จนถึงกาลที่พระอาจารย์หลวงปู่หิ่มละสังขาร มรณภาพ ซึ่งนับเป็นศิษย์องค์สุดท้ายที่ได้อยู่ปรนนิบัติหลวงปู่หิ่ม อินฺทโชโต หลังจากที่พระอาจารย์มรณภาพ หลวงพ่อเปิ่นจึงได้ออกจาริกปฏิบัติธรรม แสวงหาสัจจธรรม และในจุดประสงค์ลึก ๆ ของหลวงพ่อเปิ่นนั้นต้องการแสวงหาพระอาจารย์เพื่อศึกษาพระเวทย์
    ในช่วงนั้นมีพระอาจารย์องค์หนึ่ง โด่งดังมากในเรื่อง "เตโชกสิณ" นั่นคือ องค์หลวงพ่อโอภาสี จำพรรษาอยู่ที่วัดรังษี (เดิมอยู่ติดกับวัดบวรนิเวศน์ ต่อมาจึงยุบไปรวมกับวัดบวรนิเวศน์) หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ จึงเข้าไปฝากตัวศิษย์ หลวงพ่อโอภาสี ท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่มีปฏิปทาน่าเลื่อมใส
    ในครั้งนั้นหลวงพ่อเปิ่นเข้าศึกษากับพระอาจารย์หลวงพ่อโอภาสีเป็นเวลาเกือบปี จึงกราบลาพระอาจารย์หลวงพ่อโอภาสี เพื่อออกธุดงค์ต่อไป ตามแนวของพระอาจารย์ หลวงพ่อเปิ่นเคยปรารภให้ศิษย์ฟังว่า
    "อาตมาเรียนด้วย ปรนนิบัติท่านโอภาสีไปด้วย คงเป็นเพราะบุญบารมีของอาตมาที่ได้สร้างมาแต่ปางก่อนก็ว่าได้ จึงได้มีโอกาสศึกษากับท่านโอภาสี สำคัญมาก ๆ จริง ๆ และถ้าหากอาตมาไม่แสวงหาวิชาความรู้ต่าง ๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วแผ่นดินแล้วก็จะอยู่เพียงแค่นี้ไม่ก้าวหน้าต่อไป วิชาก็ไม่แน่นพอ ไม่ได้เห็นแสงสว่างของธรรมและยังไม่ได้เข้าถึงคุณวิชาความที่ต้องศึกษาจึงจำเป็นต้องไปเพื่อกาลข้างหน้าจะได้เป็นผู้รู้บ้าง แต่จะได้มากน้อยแค่ไหนนั้นก็แล้วแต่บุญกุศลเถิดว่าจะสนองตอบเราได้เพียงใด"
    ทราบกันเพียงว่าหลังจากองค์ท่านหลวงพ่อเปิ่นเข้ารับการถ่ายทอดในสายวิชาของ หลวงพ่อโอภาสีแล้วทำให้หลวงพ่อเปิ่นท่านทราบได้ถึงสายวิชาที่มีอยู่อย่างมาก ในภพหล้าของเมืองไทยอีกทั้งได้รับการชี้แนะ จากองค์ท่านหลวงพ่อโอภาสีถึงองค์พระภิกษุสงฆ์เจ้าที่เก่งในด้านวิชา ตามเส้นทางที่องค์ท่านหลวงพ่อโอภาสีท่านเคยจาริกแสวงมา
    หลังจากที่กราบลาองค์พระอาจารย์หลวงพ่อโอภาสี หลวงพ่อเปิ่นจึงออกธุดงค์มุ่งสู่ป่าเขาลำเนาไพรอีกครั้ง โดยมุ่งหน้าสู่จังหวัดกาญจนบุรี อันเป็นแหล่งใหญ่ของการปฏิบัติบำเพ็ญภาวนาซึ่งป่าแถบเมืองกาญจนบุรี มีพร้อมสำหรับผู้แสวงหาสัจธรรมและความวิเวก
    อีกทั้งองค์พระคุณเจ้าที่เก่งและเสาะหาในสายวิชาต่างมุ่งตรงสู่ป่าเขาในจังหวัดกาญจนบุรีกันเป็นส่วนมาก จึงเป็นโอกาสดีของการรับรู้และแลกเปลี่ยนในสายวิชาซึ่งกันและกัน
    ช่วงนี้นี่เองที่ชีวประวัติองค์หลวงพ่อเปิ่น ได้หายไปจากเมือง ทราบเพียงว่าองค์ท่านหลวงพ่อเปิ่น ท่านออกจาริกข้ามขุนเขาตะนาวศรี เข้าสู่เมืองมะริดของประเทศพม่าเข้าสู่บ้องตี้เซซาโว่ เกริงกาเวีย า (พ.ศ. ๒๔๙๖ - ๒๕๐๔ ) ซึ่งป่าแถบนั้นเป็นป่า ที่ซ่อนอาถรรพ์ลี้ลับนานาประการเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นอันตรายจากสัตว์อันตรายจากสิ่งลี้ลับ มนต์ดำแห่งป่า สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้องค์ท่านหลวงพ่อเปิ่นเกิดความกลัวแต่อย่างใด กลับตรงกันข้ามท่านกลับมุ่งใจพุ่งองค์เองเข้าสู่แดนอาถรรพณ์มหันตภัยแห่งนี้ แน่นอนละ หากในสายวิชาไม่แข็ง หรือจิตไม่เพียบพร้อม ณ ป่านี้นี่เองที่องค์ธุดงค์วัตรหายไปอย่างลึกลับ มีมาแล้วจะเป็นด้วยไข้ป่า ผีป่า นางไม้ วิญญาณร้ายต่าง ๆ ที่สำคัญคือสัตว์ร้ายนานาชนิดที่มีอยู่อย่างมาก โดยเฉพาะ "เสือสมิง" ที่นี่มีตำนานที่เล่ากันมาตั้งแต่บรรพกาล ในส่วนของเสือร้ายที่สามารถกลับกลายแปลงร่างเป็นมนุษย์หรืออมนุษย์ที่ศึกษาวิชาทางด้านนี้ จนสามารถกลับกลายร่างตนเองเป็นเสือสมิงไป และไม่ได้กลับร่างมาเป็นคนอีก เป็นเรื่องจริง ในสายวิชาเร้นลับวิชาหนึ่ง
    ในส่วนองค์หลวงพ่อเปิ่น ท่านไม่ได้ประหวั่นพรั่นพรึงในส่วนนี้เลยแม้แต่น้อย จะเป็นด้วยเพื่อทดลองสายวิชาที่ได้เล่าเรียนมาหนึ่ง หรือเป็นด้วยองค์ท่านตัดทางจิตแล้วที่จะอุทิศตนเพื่อพระศาสนา ดังนั้นจิตอันสงบ จึงทำให้ไม่กลัวอะไรแม้แต่น้อย ช่วงนี้องค์ท่านหลวงพ่อเปิ่นประวัติเงียบหายไปอย่างสนิทมีเพียงคำบอกเล่าของชาวบ้านว่าเจอองค์ท่านบ้าง ชาวเขา ชาวป่า พวกกระเหรี่ยง บอกว่าเจอองค์ท่านและองค์ท่านได้ช่วยเหลือสงเคราะห์ชาวป่า ชาวเขามาแล้วบ้าง
    เป็นดังนี้ กระทั่งปลาย พ.ศ. ๒๕๐๔ บ่ายแก่ของวันหนึ่ง พระธุดงค์วัยกลางคนมาปักกลดอยู่ชายป่าใกล้กับวัด ทุ่งนางหลอก อ.ลาดหญ้า จ.กาญจนบุรี ที่นี่นี้เององค์พระธุดงค์องค์นี้ได้สร้างศรัทธาให้แก่ชาวบ้านอย่างมากมาย ทั้งปฏิปทาที่เคร่ง ทั้งสายวิชาสานยาสมุนไพรช่วยเหลือชาวบ้าน ยิ่งเข้ากราบยิ่งเป็นที่กล่าวขาน เกิดเป็นศรัทธาอันสูงสุดของชาวบ้านที่พุ่งตรงสู่พระคุณเจ้ารูปนี้ "หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ " คือองค์ธุดงค์องค์นั้น ประจวบกับวัดทุ่งนางหลอกซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ชำรุดทรุดโทรมมาก ไม่มีเจ้าอาวาสมีเพียงพระภิกษุสงฆ์จำพรรษาอยู่สองสามรูป จนจะกลายเป็นวัดร้างอยู่แล้ว ชาวบ้านจึงเห็นพ้องต้องกันว่าผู้ที่จะช่วยพัฒนาวัดทุ่งนาวัดนางหลอกให้กลับมาคืนมาอีกครั้ง คือองค์พระธุดงค์องค์นี้ จึงได้พร้อมกันนิมนต์องค์ท่านหลวงพ่อเปิ่นให้ท่านช่วยพัฒนาเสนาสนะต่าง ๆ ให้ดีขึ้นเหมือนเดิมและให้องค์ท่านอยู่เพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน เป็นที่พึ่งพาอาศัยของพวกเขาต่อไป
    หลวงพ่อเปิ่นรับนิมนต์ เมื่อมาเป็นเจ้าอาวาสวัดทุ่งนางหลอก องค์ท่านหลวงพ่อเปิ่น ใช้ความรู้ความสามารถขององค์ท่านทุกวิถีทาง เพื่อให้เกิดประโยชน์กับแถบถิ่น เช่นวิชาแพทย์แผนโบราณ พระคาถาอาคมต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านเท่าที่จำเป็น เพียงระยะเวลาไม่นานที่องค์พระคุณเจ้าหลวงพ่อเปิ่นมาเป็นเจ้าอาวาสวัดทุ่งนางหลอก การพัฒนาวัดรุดหน้าไปมาก เจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างแปลกหูแปลกตา ทำให้ชื่อเสียงองค์ท่านหลวงพ่อเปิ่นเป็นที่รู้จักและเริ่มกระจายออกไปกว้างขึ้น ๆ จากคำบอกเล่าปากต่อปาก ประจวบกับองค์ท่านมีจริยาวัตรอันงดงาม มีวิชาแพทย์แผนโบราณ รวมทั้งมีวิชาอาคมที่เป็นเลิศ เพียงไม่ถึง 2 ปี ที่องค์ท่านจำพรรษาเป็นเจ้าอาวาสวัดทุ่งนางหลอก จ.กาญจนบุรี วัดนี้เจริญขึ้นพอสมควร องค์ท่านหลวงพ่อเปิ่น จึงออกจาริกต่อไป นำพาซึ่งความอาลัยเสียดายแก่ชาวบ้านทุ่งนางหลอก เป็นยิ่งนัก
    หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ นครปฐม
    สู่วัดโคกเขมา หลังจากออกจากวัดทุ่งนางหลอก องค์ท่านหลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ จึงออกธุดงค์มุ่งสู่สมถะวิเวกอีกครั้งยาวนานร่วม 2 ปี โดยใช้เส้นทางวึ่งเป็นป่าดงดิบรกชัฏตามกาลสมัย ระหว่างทางองค์ท่านแวะพักที่วัดโคกเขมา ต.แหลมบัว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ซึ่งก็ตรงกับจังหวะที่วัดโคกเขมา ไม่มีเจ้าอาวาสพอดิบพอดี วัดโคกเขมา นับว่าไกลปืนเที่ยงอยู่เหมือนกัน กันดารอยู่กลางป่า การเดินทางไปมาแสนลำบาก เมื่อชาวบ้านทราบว่ามีพระธุดงค์เข้ามาพักที่วัดและทราบต่อมาทราบว่าเป็นศิษย์ของหลวงปู่หิ่ม อินทฺโชโต ชาวบ้านจึงพากันนิมนต์องค์หลวงพ่อเปิ่น ให้เป็นเจ้าอาวาสวัดโคกเขมา
    หลวงพ่อเปิ่นจึงต้องรับนิมนต์เป็นเจ้าอาวาสวัดโคกเขมามาตั้งแต่กาลนั้น คณะสงฆ์ในตำบลแหลมบัว ออกประกาศและแต่งตั้งให้หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ เป็นเจ้าอาวาสวัดโคกเขมาสืบไปตั้งแต่ปี พ.ศ.2509 เมื่อเข้ารับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโคกเขมาองค์ท่านหลวงพ่อเปิ่น จึงได้เริ่มพัฒนาวัด ก่อสร้างเสนาสนะซ่อมแซมปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ ทุกอย่างเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างเกิดจากศรัทธาของประชาชนที่มีต่อองค์ท่านหลวงพ่อเปิ่นในเวลานั้น และที่วัดโคกเขมานี่เอง องค์ท่านหลวงพ่อเปิ่นท่านได้สร้างพระเครื่องเป็นครั้งแรก ปัจจุบันพระเครื่องรุ่นนี้ของวัดโคกเขมา หาเป็นสิ่งยากเพราะเป็นพระเครื่องที่มีประสบการณ์ สร้างอภินิหารให้ผู้ที่ครอบครองได้ประจักษ์
    หลังจากรุ่นรูปหล่อเนื้อทองแดงของท่านแล้ว พระเครื่องและวัตถุมงคลต่าง ๆ จากวัดโคกเขมาจึงออกมาเพื่อให้ศิษย์และประชาชนได้เช่าหาบูชากัน เพื่อนำเงินบำรุงพัฒนาวัดโคกเขมาทั้งหมด ที่วัดโคกเขมาองค์ท่านหลวงพ่อเปิ่นออกพระเครื่องทั้งเนื้อผง (สมเด็จ) ทั้งรูปหล่อ ทั้งเหรียญพระบูชา (พระสังกัจจายน์) ซึ่งชมได้จากภาพที่ได้จัดเรียงไว้อย่างครบครันในประมวลภาพพระเครื่องของวัดโคกเขมา (เล่มที่1) ทุกชิ้นทุกอย่างทุกองค์ในเวลานั้นดูมีค่ามากสำหรับชาวบ้านที่รับไป นั่นหนึ่งละที่เป็นเหตุให้ชื่อองค์ท่านหลวงพ่อขจรไกลไปทั่วแคว้น ทุกอย่างเกิดจากประสบการณ์ของผู้ใช้ทั้งสิ้น
    จึงไม่แปลกเลยทีช่วงนั้น ณ กุฎิท่านวัดโคกเขมา ซึ่งมีพร้อมทั้งทางด้านไสยศาสตร์ ทั้งทางด้านปฏิบัติธรรม ถือเคร่งในวัตรปฏิบัติจนเป็นที่เลื่อมใสแก่ผู้ที่มากราบไหว้พบเห็น ชนทุกเหล่าทุกนามที่ทราบข่าวต่างเข้ามากราบไหว้กันจนกุฎิไม่แห้ง ที่กล่าวขานกันอย่างไม่มีวันจบสิ้น จวบปัจจุบันตั้งแต่วัดโคกเขมาเป็นต้นมานั่นคือ " การสักยันต์ " แน่ละหากกล่าวถึงหลวงพ่อเปิ่นในหมู่ของชายฉกรรจ์ตั้งแต่อดีตมาหากเป็นสมัยท่านแล้วละก็ ต้องยกนิ้วให้องค์ท่านหลวงพ่อเปิ่น ในเรื่องของไสยศาสตร์เวทมนต์คาถาที่ส่งลงสู่ร่างของชายชาตินักสู้ในรูปแบบขององค์ท่านเอง
    ทุกอย่างสมบูรณ์เพียบพร้อมถึงขนาดมีข่าวคราวกระพือโหมไปทั่วว่า แม้สิ้นชีพไปแล้ว มีดผ่าตัดยังไม่สามารถเฉือนเนื้อลงได้เลย คงทราบกันดีแล้วนะครับในข่าวนี้ องค์ท่านหลวงพ่อเปิ่นในสมัยที่องค์ท่านยังมิได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครู ฯ องค์ท่านลงมือสักลงอักขระเวทด้วยองค์ท่านเอง มาภายหลังที่ท่านประสิทธิ์ประสาทให้แก่ศิษย์เป็นผู้สักแทน องค์หลวงพ่อเพียงทำพิธีครอบให้เท่านั้น เรื่องการสักขององค์ท่านหลวงพ่อเปิ่นกล่าวกันเพียงบทสรุปองค์ท่านหลวงพ่อเปิ่น ท่านจะชอบ " เสือ " ด้วยเหตุผลที่องค์หลวงพ่อบอกเพียงสั้นแก่สานุศิษย์ว่า เสือเป็นสัตว์ที่มีอำนาจ เพียงเสียงคำรามสัตว์ทั้งหลายก็สงบเงียบ กลิ่นของเสือสัตว์ทั้งหลายเมื่อสัมผัสจะยอมในทันที หลีกทันก็ต้องหลีก จัดอยู่ในมหาอำนาจ เสือรูปร่างสง่างาม เต็มไปด้วยอำนาจบารมีจัดอยู่ในมหานิยม
    ในช่วงปี ๒๕๑๔ หลวงพ่อเปิ่นได้รับสมณศักดิ์เป็นพระใบฎีกา ฐานานุกรมในพระอุดมสารโสภณ เป็นช่วงที่ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดโคกเขมา อันเป็นเวลาที่วัดโคกเจริญรุดหน้าขึ้นอย่างสูงสุด
    พ.ศ. ๒๕๒๒ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโทที่พระครูฐาปนกิจสุนทร
    พ.ศ. ๒๕๓๒ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบ้ตรชั้นเอกในราชทินนามเดิม
    พ.ศ. ๒๕๓๗ ได้รับพระราทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระอุดมประชานาถ
    หลวงพ่อเปิ่นมรณภาพเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๕ เวลา ๑๐.๕๕ รวมอายุ ๗๙ ปี พรรษา ๕๔
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ขุนแผนยอดขุนพลหลังยันต์เสือ
    ร้าน ศิษย์หลวงพ่อแจกลูกค้า

    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250529_132052.jpg IMG_20250529_132120.jpg IMG_20250529_132011.jpg
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,269
    ค่าพลัง:
    +21,396
    FB_IMG_1749818272092.jpg FB_IMG_1749818291953.jpg FB_IMG_1749818294925.jpg FB_IMG_1749818297768.jpg FB_IMG_1749818300260.jpg FB_IMG_1749818303682.jpg FB_IMG_1749818315923.jpg FB_IMG_1749818319510.jpg FB_IMG_1749818325555.jpg FB_IMG_1749818328072.jpg

    พระดี พิธีเด่น เข้มขลัง ไม่หนักคอ
    วันที่ 12 เมษายน 2560 ครบรอบ 26 ปี ในการสร้างรูปหล่อหลวงพ่อพัน องค์ใหญ่(เท่าคนจริง) ปี2534

    พิธีปลุกเสกใหญ่ที่สุดของวัดบ้านสร้าง ในยุคของหลวงพ่อจวน ต้องพิธีปลุกเสกวัตถุมงคล รุ่น "วันกตัญญู" รุ่นนี้เลยครับ และนอกจากนี้ ท่านยังได้มีการสร้างวัตถุมงคลเอาไว้หลายแบบ อาทิ
    1.รูปหล่อหลวงพ่อพัน ขนาดเท่าคนจริง1องค์ และขนาด 5"นิ้ว
    2.พระกริ่ง มีทั้งเนื้อเงินและเนื้อโลหะผสมหรือเนื้อนวะเก้า บางท่านเรียกเนื้อทองฝาบาตร เนื่องจากผสมโลหะหลายชนิด
    3.พระชัยวัฒย์ มีสามเนื้อ ทองคำ,เงิน และเนื้อโลหะผสมหรือเนื้อทองฝาบาตร
    4.เหรียญหลวงพ่อพัน ปี2534 (เสมา)มีทั้ง เงินและทองแดง
    5.รูปหล่อหลวงพ่อพันขนาดห้อยคอ มีเนื้อ ทองคำ,เงิน,ทองแดงรมดำ
    ทั้งหมดนี้สร้าง เนื่องใน วันกตัญญู เพื่อเป็นอนุสรณ์ระลึกถึง หลวงพ่อพัน วัดบ้านสร้าง อดีตเจ้าอาวาส ผู้เป็นที่รักของลูกศิษย์และชาวบ้านตำบลบ้านสร้างและท้องที่ใกล้เคียง
    อีกทั้งยังมีเกจิที่ร่วมปลุกเสกอย่างคับคั่งในพิธี อาทิ
    1.สมเด็จพระมหาธีรจารย์ (หลวงพ่อนิยม) วัดชนะสงคราม จ.กรุงเทพฯ ประทานจุดเทียนชัย
    2.สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (หลวงพ่อพุฒ) วัดสุวรรณาราม จ.กรุงเทพฯ ดับเทียนชัย
    3.หลวงปู่บุดดาวัดกลางชูศรี จ.สิงบุรี
    4.หลวงพ่อลำใยวัดทุ่งลาดหญ้า จ.กาญจนบุรี
    5.หลวงเชิญวัดโคกทอง อ.ผักไห่ จ.อยุธยา
    6.หลวงพ่อดีวัดพระรูป จ.สุพรรณบุรี
    7.หลวงพ่อผันวัดแปดอาร์ จ.สระบุรี
    8.หลวงพ่ออุตะมะวัดวังก์วิเวการาม จ.กาญจนบุรี
    9.หลวงพ่อจวนวัดบ้านสร้าง อ.บางปะอิน จ.อยุธยา
    10.หลวงพ่อเลิศวัดชุมพล อ.บางปะอิน จ.อยุธยา
    11.หลวงพ่อไสยวัดคานหาม อ.อุทัย จ.อยุธยา
    12.หลวงพ่อแสวงวัดลาดทราย อ.วังน้อย จ.อยุธยา
    13.หลวงพ่อสวัสดิ์วัดศาลาปูนวรวิหาร อ.อยุธยา จ.อยุธยา
    14.หลวงพ่อไวย์วัดพนัญเชิงวรวิหาร อ.อยุธยา จ.อยุธยา
    15.หลวงพ่อเพิ่มวัดป้อมแก้ว อ.บางไทร จ.อยุธยา
    16.หลวงพ่อเฉลิมวัดพระญาติการาม อ.อยุธยา จ.อยุธยา
    พระรุ่นนี้ถือว่าเป็นของดีราคาถูก ที่ไม่ควรมองข้ามครับ ห้อยแล้วไม่หนักคอฟรีๆ เป็นแน่ครับ พุทธคุณนั้นครอบจักรวาล ดูจากพระที่นั่งปรกในพิธีก็รู้ครับว่าดีแค่ไหน ไม่ทำเล่นๆแน่นอนครับ
    ประวัติหลวงพ่อจวนวัดบ้านสร้าง
    พระครูวิโรจน์ธรรมรัตน์ (จวน เวโรจโน) อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านสร้าง สกุลเดิม ไวยสุภีร์ เกิดเมื่อวันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ.2455 ที่ตำบลลำตาเสา อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โยมบิดาชื่ออ่อง โยมมารดาชื่อแห อุปสมบทเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2476 ณ วัดบ้านสร้าง โดยมีพระครูนิเทศธรรมกถา(หลวงพ่อพัน)เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์จวน ได้ศึกษาวิทยาอาคม จากหลวงพ่อพันผู้เป็นอาจารย์ (ยอดคณาจารย์สายวังน้อย) และหลวงพ่อออด วัดบ้านช้าง(ศิษย์พี่ร่วมอาจารย์เดียวกัน) หลวงพ่อจวนได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านสร้างต่อจากพระครูปิยะ ในปี 2517และได้พระบรมราชานุญาติ ให้รับพระราชทานพระครูชั้นเอก เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2536 หลวงพ่อจวนนอกจากท่านจะเป็นพระเกจิแล้วท่านยังเป็นพระนักพัฒนาอีกด้วย ท่านได้สร้างถาวรวัตถุไว้มากมาย และเป็นที่เคารพรักของชาวบ้านมากมาย ในช่วงที่หลวงพ่อจวนมีชีวิตอยู่จะมีประเพณีแห่พระเกิดขึ้นทุกวันที่ 15 เมษายนของทุกปีหรือวันสงกรานต์นั่นเอง ชาวบ้านในหมู่บ้านจะต้องทำการนำรูปหล่ออดีตเจ้าอาวาสมาจัดขบวนแห่ไปตามชุมชนต่างๆเพื่อให้ชาวบ้านได้ทำการสักการะ มีขบวนแห่อย่างยิ่งใหญ่ หรือจะแฝงไปด้วยความสามัคคีของคนในชุมชนก็เป็นไปได้เพราะวัดคือศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านทุกๆคน
    หลวงพ่อจวนนอกจากสร้างถาวรวัตถุแล้ว ท่านยังสร้างวัตถุมงคลหรือพระเครื่องต่างๆไว้หลายๆ อย่างอีกด้วย ในช่วงวาระท้ายๆของการปลุกเสกพระเครื่องของท่านนั้น ท่านยังได้พระเกจิอาจารย์ทรงวิทยาอาคมอีกหลายต่อหลายรูปมาร่วมในการปลุกเสกพระเครื่องของท่าน
    หลวงพ่อจวน เวโรจโน มรณภาพด้วยอาการสงบเมื่อวันที่13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2542 สิริอายุรวมได้ 88 ปี 66 พรรษา นับว่าเป็นการสูญเสียเจ้าอาวาสวัดบ้านสร้างที่ดีรูปหนึ่งไป
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระชัยวัฒน์หลวงพ่อจวนวัดบ้านสร้าง เนื้อโลหะผสมทองฝาบาตร
    ให้บูชา 320 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250613_193709.jpg IMG_20250613_193618.jpg IMG_20250613_193640.jpg
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,269
    ค่าพลัง:
    +21,396
    FB_IMG_1749819242208.jpg

    เหรียญสองอาจารย์หลวงพ่อกลั่นหลวงพ่ออั้นวัดพระญาติปี ๒๕๓๑ เหรียญรุ่นนี้สร้างและปลุกเสกโดยหลวงพ่อเฉลิมวัดพระญาติ และนำให้ หลวงปู่ดู่แห่งวัดสะแก ปลุกเสกด้วย ตามข้อมูลที่ได้มาครับ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 220 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250613_195129.jpg IMG_20250613_195207.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2025 at 11:10
  6. ktv

    ktv เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    1,179
    ค่าพลัง:
    +1,216
    จอง เหรียญสองอาจารย์หลวงพ่อกลั่นหลวงพ่ออั้นวัดพระญาติปี ๒๕๓๑
     
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,269
    ค่าพลัง:
    +21,396
    62215529_1093211900888976_8895383135559090176_n.jpg

    ขอเผยแพร่ เรื่องราว คุณยายชีนวล แสงทอง วัดภูฆ้องคำ จ.อุบลราชธานี ครับ
    เป็นบทความ
    เรื่องนี้ อยู่ในบทความของคุณอำพล เจน ครับ


    "ยายชี นี่ ไม่ธรรมดา...วิชา มีอยู่เต็มตัว"
    เท่าที่ข้าพเจ้า ได้สัมผัส #คุณยายชีนวล ในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปีมานี้ เห็นว่าผู้ที่มาหายายชีนวล ถ้าเป็นชาวบ้านทั่วไป มักมาพึ่งพาอาศัย ขอให้ช่วยเรื่องนั้นเรื่องนี้ ที่เป็นเรื่องต้องใช้ศาสตร์วิชา ยายชีนวล ก็สงเคราะห์ให้เป็นรายๆ
    อีกส่วนหนึ่งมา เพื่ออยากได้วิชา ซึ่งส่วนนี้ มักไม่ใช่นักปฏิบัติธรรม แต่เป็นพวกที่หวังได้คาถาศักดิ์สิทธิ์ ไปทำประโยชน์ตน ยายชีนวล มักปฏิเสธไปว่า
    “ข้อยบ่ฮู้ บ่จัก อีหยังสักอย่าง หนังสือก็ไม่ได้เรียน เรื่องนี้ ถ้าบุญของพวกเจ้าเคยสร้าง มันจะมาเอง รู้เองดอก”
    เรื่องศาสตร์วิชาแปลกๆ ของยายชีนวล เคยได้ยินผู้ใกล้ชิดยายชีนวล เล่าว่า สมัยก่อน ท่านมีวิชาหนูกับแมว ทำเป็นน้ำมันขึ้นมา เอาไปป้ายหนูกับแมว แล้วมันจะไม่กัดกัน ขังไว้ในกรงเดียวกัน ก็ไม่ทำร้ายกัน คงจะคล้ายๆกับที่อาจารย์ชุม ไชยคีรี เคยทำไว้ แต่ต้นเค้าวิชา ไม่ทราบมาทางเดียวกันหรือเปล่า
    เดี๋ยวนี้ ยายชีนวลเลิก ไม่ทำอีกแล้ว เข้าใจว่าตั้งแต่รู้จักกราบไหว้ หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง เรื่องวิชาคาถาอาคม จึงเพลาๆลงไป หันมาตั้งใจปฏิบัติจิต ทำความเพียรภาวนาแทน
    ถ้าเอ่ยชื่อ หลวงพ่อชา ให้ยายชีนวล ได้ยินเมื่อไหร่ ท่านจะยกมือไหว้ท่วมหัวเมื่อนั้น ท่านยึดถือว่าเป็นครูบาอาจารย์สำคัญ อีกองค์หนึ่ง
    ในส่วนที่เป็นของขลัง เท่าที่เห็นยายชีนวลทำแจก ให้ญาติโยมนั้น เป็นรังไหม ข้าพเจ้าเคยได้รับและยังเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี
    แต่ไม่ทราบว่ารังไหมนั้น มีคุณอย่างไร ด้วยไม่เคยถาม แว่วๆเป็นเลาๆว่า เอาไว้คุ้มตัว รักษาตน เหมือนตัวไหมมีรัง เป็นเปลือกหุ้มคุ้มภัย
    อีกอย่างหนึ่ง ที่ท่านชอบแจก ให้ผู้ใกล้ชิด คือแป้งหอม และ น้ำอบไทย แล้วให้คาถาไปสวดภาวนากำกับ ข้าพเจ้าเคยได้รับ แต่จำคาถาไม่ได้ จึงไม่เคยใช้
    แต่รับรองได้ว่า ยายชีนวลนี้ ไม่ธรรมดา
    เหมือนที่...หลวงปู่คําพันธ์ โฆสปัญโญ ได้อุทานขึ้น เมื่อเห็นยายชีนวลครั้งแรก ที่วัดธาตุมหาชัย นครพนม ว่า
    "ยายชี นี่ ไม่ธรรมดา...วิชา มีอยู่เต็มตัว"
    Cr : อำพล เจน

    ประวัติคุณยายชีนวล แสงทอง
    เกิดวันศุกร์ วันที่ เดือน ปี พ.ศ. ไม่ปรากฏแน่ชัด เป็นบุตรสาวคนโต มีพี่น้องทั้งหมด 11 คน ได้เสียชีวิตแล้ว 10 คน ยังคงเหลือน้องสาวสุดท้องเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่
    ครั้นเมื่อคุณยายชีนวล มีอายุได้ 18 ปี ได้ป่วยเป็นโรคฝีที่คอ โดยใช้หมอพื้นบ้านทำการรักษาด้วยยาสมุนไพรเพียงอย่างเดียว ในสมัยนั้นยังไม่มียารักษาโรคเฉพาะเหมือนปัจจุบันนี้ จะมีได้ก็เพียงสมุนไพรอย่างเดียว ซึ่งในการรักษาอาการป่วยของคุณยายไม่ดีขึ้นเลย อีกทั้งอาการยังหนักกว่าเดิมอีกฝีได้ลุกลามไปทั้งลำคอ ขณะนั้นได้มีหมอดูมาทักว่าถ้าอยากหายจากโรคฝีที่เกิดขึ้นในลำคอ ให้ไปรักษากับพระหมอยาที่ภูมะโรง ประเทศลาว ซึ่งคุณยายก็ได้เชื่อตามที่หมอดูบอกและได้ดั้นด้นเดินทางข้ามแม่น้ำโขง โดยเรือกำปั่น ไปยังประเทศลาว ตามคำบอกเล่าของหมอดูเพื่อมุ่งหน้าไปที่ ภูมะโรง เพื่อที่จะไปหาพระภิกษุรูปหนึ่งที่ภูมะโรง เพื่อที่จะรักษาโรคฝีในลำคอของท่าน เมื่อดั้นด้นถึงภูมะโรง และได้เจอกับพระภิกษุ ที่ตนเดินทางมาหาแล้ว พระภิกษุรูปนั้นเมื่อเจอคุณยายได้บอกว่า
    " ฝีที่ลำคอนี้จะรักษาด้วยอะไรก็ไม่หาย ยาที่จะรักษาให้หายได้ต้องรักษาด้วยยามโหสถ คือ การบวชรักษาศีล8 ปฏิบัติธรรม "
    ภายหลังคุณยายชีนวล ได้ทราบว่าพระภูกษุรูปนั้นมีนามว่า พระอาจารย์ลุน หรือ ครูบาลุน ท่านก็ได้บวชชีให้คุณยาย เพื่ออยู่ปฎิบัติธรรมภาวนาที่ภูมะโรง
    อัศจรรย์แห่งยามโหสถ
    หลังจากที่คุณยายได้บวชชีถือศีลภาวนา ปฏิบัติตามที่พระอาจารย์ลุน ท่านแนะนำควบคู่กับการฉันน้ำต้มยาสมุนไพร อัศจรรย์แห่งยามโหสถก็บังเกิดโรคฝีที่ลำคอท่านก็ค่อยๆยุบลง และหายขาดในที่สุด เกิดความเคารพศรัทธาในปฏิปทาข้อวัตรปฏิบัติ ของพระอาจารย์ลุน อย่างแรงกล้าและได้ถือสัตย์ปฏิญาณว่าจะถือศีล ภาวนาและปฏิบัติ โดยการปฏิบัติของคุณยายท่านจะเคร่งครัดถือปฎิบัติแบบเอาเป็นเอาตายแบบเอาชีวิตเข้าแลก ท่านจะถือธุดงค์วัตรเป็นหลัก
    ( พระอาจารย์ลุน หรือ ครูบาลุน นั้นก็คือองค์เดียวกันกับ สำเร็จลุน แห่ง สปป.ลาว )
    หลังที่คุณยายบวชที่ภูมะโรงแล้ว ญาติพี่น้องก็ไม่ได้ข่าวอีกเลย จนเวลาผ่านไปนับ 10 ปี พ่อแม่ญาติพี่น้องจึงได้ข่าวว่าคุณยายชีนวลตายแล้ว ถูกงูเหลือมยักษ์กิน ที่ลาว พ่อแม่ญาติพี่น้องจึงได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้คุณยาย เพราะทราบข่าวว่าคุณยายตายแล้ว
    แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น จู่ๆ คุณยายชีนวล ได้ปรากฏตัวขึ้นให้ญาติพี่น้องได้เห็น ที่บ้านนาทม ตำบลสำโรง อำเภอพิบูลมังสาหาร ในสมัยนั้นซึ่งตอนนี้เป็น อำเภอตาลสุม
    โดยได้ธุดงค์จากประเทศลาวข้ามทาง หนองคาย อุดรธานี สกลนคร นครพนม ธาตุพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ ผ่านมายังจังหวัดอุบลราชธานี โดยได้เดินธุดงค์เดินเท้ามาตลอดเส้นทาง พบสัตว์ป่าน้อยใหญ่ดุร้ายนานาชนิด ทั้งยัง ภูตผีปีศาจต่างๆนานา แต่คุณยายก็หาได้รับอันตรายไม่ตรงไหนที่ว่าแรง ผีเฮี้ยน เจ้าที่ดุ ท่านจะไปปักกลดอยู่ทันทีเพื่อแผ่เมตตา อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ตลอดทั้งวิญญาณ ภูตผี ปีศาจ ให้พ้นจากทุกขเวทนาต่างๆ
    หลังจากธุดงค์เรื่อยมาจนถึงบ้านเกิด และปรากฏตัวให้พ่อแม่พี่น้องได้เห็น ทุกคนต่างปราบปลื้มดีอกดีใจ เมื่อเห็นว่าคุณยายยังมีชีวิตอยู่ และท่านได้ปรากฏตัวที่บ้านเกิดไม่นาน ก็ได้ออกธุดงค์ต่อ
    (โปรดติดตามตอนต่อไป)


    https://palungjit.org/threads/เรื่อ...ุณยายชีนวล-แสงทอง-หลวงปู่นวยถ้ำวัวแดง.681159/

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    รูปเหมือนลอยองค์หลวงปู่ทวด
    เนื้อผงเก่าของหลวงปู่ยิ้ม
    วัดหนองบัว จ.กาญจนบุรี
    และผงวิเศษต่างๆจากทั่วประเทศ
    จัดสร้างโดยอาจารย์เวทย์
    ลูกศิษย์หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ
    อธิษฐานจิตปลุกเสกโดย
    หลวงปู่มหาคำแดง
    และคุณยายชีนวล แสงทอง
    รังสรรค์ผลงานโดย อ.อำพล เจนครับ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250614_022015.jpg IMG_20250614_022042.jpg IMG_20250614_022126.jpg
     
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,269
    ค่าพลัง:
    +21,396
    เมื่อวานและวันนี้ จัดส่ง

    1749900174148.jpg
    1749900172148.jpg

    ขอบคุณครับ
     
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,269
    ค่าพลัง:
    +21,396
    1379960-55569.jpg 1379960-48114.jpg

    พระสมเด็จของขวัญ พิมพ์ตุ๊กตา ที่สร้างแต่ปี 2542 พิธีพุทธาภิเษกครั้งประวัติศาสตร์ สมโภชพระกริ่งชินบัญชร ฐานบัวรอบ วัดอินทรวิหาร (บางขุนพรหม) รุ่นแรกและรุ่นเดียว พุทธาภิเษก เสาร์ 5 ปี 2543 ซึ่งเป็นวันแข็ง วันที่ 5 เดือน 5 ปี 5 ขึ้น 5 ค่ำ ปีมังกรทอง (มะโรงใหญ่) ซึ่งจะมีอย่างนี้ 1 ครั้งในรอบ 132 ปี พระที่สร้างในปีนี้ไม่ว่าของวัดระฆัง , วัดสุทัศฯ/วัดบ้าจาน/วัดป่าหนองหล่ม (หลวงปู่หมุน) , สุสานทุ่งมน (หลวงปู่หงษ์) ล้วนทรงคุณค่าไปหมดแล้วครับ
    พิธีเททองพระกริ่งโดยสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม และมีสุดยอดพระเกจิระดับแนวหน้า 5 ภาค คือ
    ๑.หลวงพ่ออุตมะ วัดวังก์วิเวการาม กาญจนบุรี ,
    ๒.พ่อท่านเขียว วัดห้วยเงาะ ปัตตานี ,
    ๓. หลวงปู่โถม วัดธรรมปัญญาราม สุโขทัย ,
    ๔. หลวงปู่ฤทธิ์ วัดชลประทานราชดำริ บุรีรัมย์ ,
    ๕.หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม นครปฐม
    นั่งปรกบริกรรมอธิฐานจิต ปลุกเสกขณะเททอง หน้าองค์หลวงพ่อโต และพระสงฆ์ ทรงสมณศักดิ์ 150 รูป เจริญพระคาถาชัยมงคล และ ยังมีพิธีมหาพุทธาภิเษกที่ยิ่งใหญ่มากติดต่อกันหลายวัน หลายคืน และเกิดปาฎิหารเป็นที่ประจักษ์ในพิธี เหมือนมีดาวตกพุ่งผ่านบนท้องฟ้า เชื่อว่าพระเครื่องชุดนี้จะมีพุทธคุณครอบจักรวาล สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว) ยังชมพระกริ่งชินบัญชรบัวรอบครับ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จของขวัญพิมพ์ตุ๊กตา
    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250615_165950.jpg IMG_20250615_170024.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2025 at 23:02
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,269
    ค่าพลัง:
    +21,396
    FB_IMG_1749985113960.jpg FB_IMG_1749985132907.jpg FB_IMG_1749985135511.jpg
    ครูบาชัยวงศาพัฒนาคืออดีตพระฤๅษีวาสุเทพ โดย ทวีวัฒน์ เติมฤทธิ์ (อู๋)
    วัดพระบาทห้วยต้ม (ข้าวต้ม) อ.ลี้ จ.ลำพูน ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่รู้ใจคน ถอดกายได้โดยมีผู้ถ่ายรูปเดี่ยวของท่าน แต่ปรากฏว่ารูปถ่ายที่ออกมากลายเป็น 2 องค์ คือองค์หนึ่งนั่งอีกองค์หนึ่งยืน ท่านออกธุดงค์ตั้งแต่ยังหนุ่ม ครูบาศรีวิชัยซึ่งเป็นอาจารย์องค์แรกของท่านเคยทำนายตอนที่ท่านยังเป็นเณรว่า ท่านจะเป็นผู้มาสร้างวัดพระพุทธบาทห้วยต้มแห่งนี้ นอกจากนั้นท่านยังเป็นลูกศิษย์ของครูบาพรหมจักร (พระอุปัชฌาย์ของท่าน) และครูบาอภิชัย ขาวปี ที่มรณะแล้วร่างไม่เน่าเปื่อยอีกด้วย
    ท่านยังได้เรียนวิชาทางจิตจากตำราเก่าสมัยอยุธยาที่พระเก่งๆ ในสมัยโบราณนำมาซ่อนไว้ในถ้ำเพื่อไม่ให้ตกไปอยู่ในมือพวกพม่า โดยเทวดามาบอกที่ซ่อนคัมภีร์นี้ เมื่อท่านฝึกสำเร็จแล้วท่านจึงนำเข้าไปเก็บรักษาไว้ในเจดีย์ที่วัด ท่านฉันเจและชอบฉันลูกเกาลัด ที่แปลกก็คือท่านชอบไปเข้าฝันคนทั่วไป เช่นเคยไปเข้าฝันบอกตัวยาแก้โรคกระเพาะให้ คนตายแล้วฟื้นเล่าว่าได้ไปพบครูบาศรีวิชัยท่านบอกให้มากราบครูบาวงศ์เพราะท่านเป็นพระอริยะ และเทวดาที่วัดพระบาทห้วยต้มบอกวัดนี้จะเป็น 1 ใน 3 วัด ที่จะอยู่ได้จนครบ 5,000 ปี
    ที่วัดยังมีรอยพระพุทธบาทที่พระพุทธเจ้าได้ทรงมาประทับรอยไว้เมื่อคราวที่เสด็จมาที่วัดแห่งนี้ ในครั้งนั้นนายพรานได้ทำข้าวต้มเนื้อกวางถวายแก่พระพุทธเจ้า แต่พระองค์ทรงฉันเฉพาะแต่ข้าวต้มเท่านั้นไม่ทรงฉันเนื้อกวางที่ถวาย ทั้งนี้เพราะทรงทราบว่ากวางตัวนั้นเป็นหน่อเนื้อพุทธางกูรซึ่งต่อมาก็คือครูบาชัยวงศ์นั่นเอง และเนื้อกวางนั้นต่อมาได้กลายเป็นหิน ปัจจุบันก็ยังเก็บรักษาไว้อยู่ที่วัดพระบาทห้วยต้ม
    ท่านครูบาวิจิตร มนูญโญ แห่งวัดกุเตอร์โกล ต.สามหมื่น อ.แม่ระมาด จ.ตาก ได้เล่าให้ฟังว่าเคยขึ้นเขาไปกับท่านครูบาชัยวงศ์เพื่อไปกราบพระพุทธบาท "วังตวง" ได้เห็นท่านครูบาชัยวงศ์ได้เอาเท้าของท่านเหยียบลงบนก้อนหินที่บนเขานั้น แล้วก็บอกให้ท่านคอยดูนะ เมื่อท่านยกเท้าขึ้นก็ได้ปรากฏรอยเท้าบนก้อนหินนั้นจริงๆ
    ท่านคือพระฤๅษีวาสุเทพในอดีตชาติ
    คุณวันทนา พัวพันธ์สกุล เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า เมื่อปลายปี ๒๕๔๑ เธอได้รับมอบหมายจากทางเทศบาลเมืองลำพูน ให้เป็นผู้วาดภาพเชิงเสมือนจริงของพระนางจามเทวี ปฐมกษัตริย์แห่งหริภุญชัย ขนาดเท่าองค์จริง เนื่องในวโรกาสที่นครศรีหริภุญชัย ก้าวสู่ศตวรรษที่ ๑๔
    เธอจึงเข้ากราบขอความเมตตาจากหลวงปู่ครูบาชัยวงศ์เพื่อขอคำแนะนำ เริ่มตั้งแต่เขียนแบบเค้าพระพักตร์ คิ้ว ปาก คาง จมูก แม้กระทั่งสี ผิวพรรณ สัดส่วน ลักษณะสีหน้าท่าทางและความสูง ขณะที่พูดถึงความสูงของพระนางฯ หลวงปู่บอกว่า สูง ๓ ศอกเดี้ยม ซึ่งเท่ากับ ๑๖๙ เซนติเมตร เธออดสงสัยไม่ได้ จึงพลั้งปากถามหลวงปู่ว่า
    "ครูบาเจ้าทราบได้อย่างไรว่าสูง ๑๖๙ เซนติเมตร"
    หลวงปู่ตอบว่า "เจ้าแม่มาบอกเอง"
    พองานผ่านไปได้ระดับหนึ่ง หลวงปู่ท่านยังได้เมตตาไปตรวจงานถึงที่บ้าน ด้วยความที่เธอยังไม่หมดความสงสัยเพราะเคยได้ยินได้ฟังมานานแล้วว่าหลวงปู่ในอดีตเคยมีความเกี่ยวข้องกับพระนางจามเทวี แต่ก็ไม่กล้าถามตรงๆ เมื่อสบโอกาสเธอจึงกราบขอสุมาเรียนถามหลวงปู่ว่า "หลวงปู่ครูบาเจ้า คือ ฤาษีวาสุเทพ หรือสุเทวฤาษีใช่ก่อเจ้า"
    หลวงปู่มองหน้าแล้วตอบสั้นๆ ว่า "ฮื่อ"
    เธอจึงหายสงสัยว่าทำไมหลวงปู่จึงมีพระรอดสมัยพระนางจามเทวีอยู่ในคำหมากไว้แจกลูกหลานจนเป็นที่อัศจรรย์นัก
    พระรอดในกล่องนม
    เรื่องพระรอดชานหมากมีเรื่องที่ศิษย์จำนวนมากของหลวงพ่อ ประสบกันมามากมายเพียงแต่ต่างวาระโอกาสกันเท่านั้น
    เมื่อปี ๒๕๓๕ ครั้งนั้นหลวงพ่อเดินทางไปกราบสังเวชนียสถาน ในขณะที่พวกเรากำลังเดินทางโดยรถโดยสาร ผู้ช่วยทัวร์บริษัทสยามอินทรชัยการท่องเที่ยวซึ่งเป็นผู้นำทัวร์ ได้ถวายนมกล่องแด่หลวงพ่อ ท่านรับไปฉันจนเกือบหมด แล้วจึงคืนกล่องนมให้คุณสุปรีดา
    ตอนแรกคุณสุปรีดาคิดในใจว่า อยากจะเก็บไว้ให้ลูกเมื่อกลับถึงเมืองไทย แต่เมื่อคิดดูอีกทีอีกหลายวันเหลือเกินกว่าจะได้กลับ จึงเปลี่ยนใจขอดื่มเสียเอง
    ขณะกำลังยกกล่องนม เธอได้ยินเสียงดังเหมือนมีของบางอย่างกลิ้งไปมาอยู่ในกล่องด้วยความอยากรู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน เธอจึงใช้มีดผ่ากล่องนมจึงได้พบพระรอดองค์เล็กๆ ๑ องค์อยู่ในนั้น
    การเดินทางไปอินเดียเที่ยวนี้ ไม่เพียงแต่คุณสุปรีดาเท่านั้นที่โชคดีได้พระรอด ยังมีอีกหลายคนในคณะที่ได้พระรอด โดยการที่หลวงพ่อยื่นคำหมากที่เคี้ยวออกจากปากส่งให้ศิษย์บางคนที่ยังไม่เคยได้ หรือผู้ที่ยังไม่เชื่อ หากมีวาสนาก็มักจะได้พระรอดเป็นที่อัศจรรย์เสมอ ตลอดการเดินทางในครั้งนั้น มีผู้ได้รับพระรอดจากหลวงพ่อคนละองค์เป็นจำนวนถึง ๑๕ คน ด้วยกัน
    ชานหมากกลายเป็นพระรอด
    ประมาณปี ๒๕๓๘ ขณะที่หลวงพ่อเข้ารับการตรวจสุขภาพและรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช ต้องนอนพักที่ศิริราช เพื่อรอผลการตรวจ
    วันนั้นมีลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งทราบข่าว และได้เข้าไปเยี่ยม หลังจากกราบนมัสการหลวงพ่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่ทุกคนจะกลับ ต่างก็เห็นหลวงพ่อกำลังหยิบชานหมากแห้งๆ มาไว้ในมือเพื่อที่จะแจก ทุกคนที่ไปกราบท่านในวันนั้นต่างก็ดีใจที่จะได้รับแจกชานหมาก
    ในขณะที่ท่านกำลังส่งให้ถึงมือแต่ละคนนั้น ยังเป็นเพียงชานหมากธรรมดาเท่านั้น พอตกถึงมือแต่ละคนแล้วชานหมากนั้นกลับกลายเป็นพระรอด เรื่องนี้เป็นเรื่องอจินไตย ใครอยากทราบว่าเป็นจริงอย่างไรไปขอดูของจริงได้ที่ คุณสุรชัย วีระมโนกุล ซึ่งเป็นบุคคลหนึ่งที่ได้พระรอดดังกล่าวมาไว้ในครอบครอง
    เกศากลายเป็นพระธาตุ (โดย สุวรรณา)
    ศิษย์เก่าแก่ของหลวงพ่อท่านหนึ่งซึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯ ครั้งหนึ่งได้นิมนต์หลวงพ่อครูบาชัยวงศ์มาพักที่บ้าน ระหว่างที่เดินทางมาบ้านของเธอ หลวงพ่อได้เมตตามอบหลอดแก้วเล็กๆ ซึ่งบรรจุเส้นเกศาของท่านไว้ มาให้บูชาติดตัว เมื่อเธอได้รับหลอดแก้วบรรจุเส้นเกศาของหลวงพ่อ ก็ได้เก็บไว้เฉยๆ ประมาณ ๔-๕ ปี จึงได้เอาหลอดแก้วนั้นไปเลี่ยมทอง เพื่อใช้ห้อยคอติดตัวเป็นประจำ
    วันหนึ่งได้มีคนรู้จักและสนิทกันมาทักทาย และได้ขอดูหลอดแก้วที่ได้มานั้น เมื่อได้พิจารณาดูสักครู่ ก็ได้ถามว่า หลอดแก้วนี้บรรจุทับทิมเอาไว้ด้วยหรือ เธอรู้สึกแปลกใจที่ถูกถามเช่นนั้น ได้ตอบไปว่าไม่ได้ใส่อะไรเพิ่มเข้าไปเลย ตั้งแต่ได้มา คงมีแต่เส้นเกศาของหลวงพ่อสีเทาขาวบรรจุอยู่เต็มภายในนั้นอย่างเดียว คงยืนกรานเช่นนั้น
    แต่ทว่า เพื่อนคนนั้นได้ท้วงว่าก็เห็นอยู่นี่ไง จึงได้หยิบมาพิจารณาดูอย่างละเอียดอีกครั้ง แล้วก็ต้องแปลกใจและดีใจเป็นอย่างมาก ที่ได้เห็นว่าภายในหลอดแก้วนั้น นอกจากจะมีเส้นเกศาของหลวงพ่อ แล้วยังมีเม็ดทับทิมเล็กๆ อยู่ภายในนั้นด้วย ต่างคิดว่าคงเป็นเพราะบุญฤทธิ์และความเมตตาของหลวงพ่อเป็นแน่ เส้นเกศาของท่านจึงได้กลายเป็นพระธาตุสีทับทิมเหมือนปาฏิหาริย์
    ต่อมาอีกระยะหนึ่ง เส้นเกศาที่เหลือของท่านก็ได้เริ่มกลายเป็นเส้นสีทองไปบ้างแล้วอย่างเห็นได้ชัด โอ้หลวงพ่อท่านศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ศิษย์ท่านนั้นเล่าด้วยความปีติใจ
    พระธาตุเสด็จในสำลี (โดย อุบาสิกา จิตสมา)
    เจ้าของพระธาตุ เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าเธอได้มีโอกาสเดินทางไปทำธุระกับหลวงปู่ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ระหว่างทางที่หยุดเติมน้ำมัน หลวงปู่ควักเอาสำลีเปล่าๆ ออกมาเช็ดขี้ตา เช็ดเสร็จแล้วท่านก็ส่งให้เธอ จากนั้นเธอก็ได้เก็บติดตัวมาโดยตลอดเพราะปกติเป็นคนชอบกลัวผี จึงเอาสำลีที่ได้พับเก็บไว้ในผ้ายันต์มาตลอดเป็นเวลานับ ๑๐ ปี
    หลังจากหลวงปู่มรณภาพ ได้มีสารวัตรคนหนึ่งซึ่งเคยได้ยินมาว่า เธอมีผ้ายันต์ของหลวงปู่ จึงอยากจะเห็น และได้ขอเธอดู เมื่อเธอเปิดให้ดูก็พบว่ามีพระธาตุจำนวน ๖ องค์อยู่ในสำลี ซึ่งเธอเก็บไว้ในผ้ายันต์ เธอจึงแปลกใจว่าพระธาตุที่ไหนมาอยู่ในสำลีของเธอ ทั้งๆ ที่ตอนแรกที่หลวงปู่ให้มา เป็นเพียงแค่สำลีเปล่าๆ ที่ใช้เช็ดขี้ตาของหลวงปู่ ด้วยบุญบารมีของหลวงปู่แท้ๆ แม้แต่ขี้ตาก็ยังกลายเป็นพระธาตุขึ้นมาได้ และยังมีพระธาตุอื่นๆ เสด็จมารวมอยู่ด้วย
    หลวงปู่คือท่านวังหน้าวิเศษชัยชาญในอดีต
    สมัยก่อนหลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา เวลาหลวงปู่จะเข้ากรุงเทพฯ ท่านมักจะแวะที่บ้านอาจารย์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ท่านหนึ่ง ทั้งขาไป และขากลับ มีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงปู่ได้แวะไปที่บ้านอาจารย์ท่านนั้นอีกครั้ง ในช่วงเวลาที่อยู่เป็นการส่วนตัว หลวงปู่ได้ปรารภกับอาจารย์ท่านนั้นว่าหลวงปู่จำเขาได้ เพราะว่าเคยเป็นพ่อลูกกันมาหลายชาติแล้วและเขาก็ได้ติดตามหลวงปู่มาโดยตลอด
    ในขณะที่หลวงปู่พูด ท่านก็ได้หยิบกระดาษมาวาดรูปบุคคลสำคัญท่านหนึ่งในอดีตซึ่งเป็นเชื้อสายราชวงศ์ของกษัตริย์ไทย ท่านวาดเสร็จก็ยื่นให้อาจารย์ท่านนั้นดูแล้วถามว่า
    หลวงปู่ถามว่า “รู้จักไหมว่าใคร”
    อาจารย์ท่านนั้น “ไม่ทราบครับครูบา”
    หลวงปู่ตอบว่า “หลวงปู่ในอดีต”
    อาจารย์ท่านนั้นถามว่า “ใครครับครูบา”
    หลวงปู่ตอบสั้น ๆ ว่า “วังหน้าวิชัยชาญ”
    เนื้อหาบางส่วนจาก: หนังสือพระชัยวงศานุสสติ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงคำข้าวครูบาชัยยะวงศาวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ปี๒๕๓๐

    ( มวลสารและขนาดเหมือนพระคำข้าว ลพ.วัดท่าซุง)

    ให้บูชา 420 บาทค่าจัดส่งถึง 30 บาทครับ

    IMG_20250615_174250.jpg IMG_20250615_174317.jpg
     
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,269
    ค่าพลัง:
    +21,396
    s1.jpg

    หลวงพ่อดำ หรือพระในป่าพระอาจารย์ของหลวงพ่อจรัญ
    หลังจากที่คิดจะสึกแล้วไม่ได้สึกจนได้ของดีจาก “หลวงพ่อเดิม พุทฺธสโร” ติดตัวมา อยู่ต่อมาทราบว่ามีพระเก่งสามารถยืดเหรียญได้ก็ดั้นด้นไปหาถึงขอนแก่น ให้ผู้ใหญ่บ้านแถวนั้นพาไปพบพระธุดงค์รูปหนึ่ง ซึ่งแขวนกลดอยู่ใต้ต้นไทร ไม่ทราบอายุอานามท่าน เพียงแต่คุณลุงผู้ใหญ่บ้านเล่าให้หลวงพ่อจรัญฟังว่า ท่านเห็นหลวงพ่อในป่ามาปักกลดที่นี่ทุกปีๆ ละครั้งๆ ละประมาณเดือน แล้วก็ไป ตั้งแต่คุณลุงผู้ใหญ่ยังเป็นเด็กแก้ผ้า จนถึงวันนี้ (วันที่เล่า) คุณลุงผู้ใหญ่อายุแปดสิบกว่า หน้าตาผิวพรรณของหลวงพ่อดำก็ยังเหมือนเดิม เมื่อหลวงพ่อจรัญเข้าไปนมัสการแนะนำตัวเองว่าอยากเรียนวิชายืดเหรียญ หลวงพ่อดำท่านก็นิ่ง ไม่ลืมตา จนกระทั่งหลวงพ่อจรัญเปลี่ยนคำแนะนำตัวใหม่ หลวงพ่อดำจึงเริ่มพูด...
    เมื่อหลวงพ่อจรัญได้ตอบคำถาม หลวงพ่อในป่าแล้ว หลวงพ่อดำก็พูดต่อว่า
    "อย่าลืมนะเรียนหมดเลย เรียนเลยไปหมด รู้มากไป คุณรู้มากคงใช้ไม่ได้เลย !"
    "เธออย่าลืมนะว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร สอนทุกข์และวิธีดับทุกข์"
    "ท่านสอนอะไรอีกรู้ไหมคุณ" ไม่ทราบครับ
    "เอาละจะบอกให้ สอนไม่ให้เบียดเบียนตน สอนไม่ให้เบียดเบียนคนอื่น พร้อมกับไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วย...หาที่มาของทุกข์ให้ได้ ศึกษาข้อนี้ในตัวเรา มีอะไร มีทุกข์ หาที่มาของทุกข์แล้วปฏิบัติ วิธีปฏิบัติอย่างไรหรือ ศีล สมาธิ ปัญญา"
    ขณะที่ฟังหลวงพ่อดำสอน หลวงพ่อจรัญก็นึกไปด้วย และคิดว่าเพียงแค่นี้เองหรือนึกว่าจะมีอภิหารมากกว่านี้ ก็เลยโดนหลวงพ่อในป่าชี้หน้า แล้วกล่าวต่อว่า
    "คุณมันอย่างนี้เรียนเลยไปหมด ไอ้ที่จะทำไม่ทำ เสือกผ่าไปเอาที่ไม่ได้ความ ไอ้ที่ได้ไม่เอา ไปเอาที่ไม่ได้ ไอ้ที่จริงไม่ชอบ ไปชอบเอาที่ไม่จริง" หลวงพ่อจรัญบอกว่าอยากฝากตัวเป็นลูกศิษย์ หลวงพ่อดำก็ลืมตา ชี้หน้าว่า "ความขลังของพระอาจารย์ แต่ย้อนกลับเป็นความคลั่งของศิษย์คือเธอ" แล้วหลวงพ่อจรัญก็ขอฝากตัวเป็นศิษย์ติดตามหลวงพ่อดำไป หลวงพ่อดำท่านนั่งนิ่งสักครู่ แล้วลืมตาพูดว่า
    "คุณ รอให้คุณอายุ ๔๕ ก่อนนะ แล้วค่อยมาพบเราอีกครั้ง (ขณะนั้นราวปี พ.ศ. ๒๔๙๒-๓ อายุ ๒๒ พรรษา) อายุเธอยังน้อยนัก ยังไม่แน่นอน ยังหละหลวมอยู่อย่างนี้จะรับได้อย่างไร รับได้ต้องเป็นคนประเภทหนึ่งไม่ใช่สอง มีสัจจะ มีเมตตาสามัคคีแล้วหรือยัง สัจจะก็ไม่มี จะเกิดเมตตาได้อย่างไร แล้วเมตตาไม่มี จะเกิดความสามัคคีได้ทั้งใจทั้งจิตหรือ จะเกิดรูปนามได้หรือ"
    ในการไปพบหลวงพ่อดำอีกครั้ง ต้องปฏิบัติได้และแก้ปริศนาธรรมได้ ส่วนการไปพบนั้นเป็นสัจจะและความลับ ที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เมื่อครบกำหนด จึงได้ไปพบหลวงพ่อดำที่เขาภูคา จังหวัดน่าน
    ปริศนาธรรมของหลวงพ่อในป่า
    อยาก เรียนรู้ ถามหญิงคันหูกถูก
    อยาก ทำถูก ถามเด็กเลี้ยงควาย
    คนสามบ้าน กินน้ำบ่อเดียว
    เดินทางเดียว ไม่เหยียบรอยกัน
    "นะ" อยู่หัว สามตัวอย่าละ
    "นะ" อยู่ที่ไหน ตามเอามาเป็นของเรา ให้เข้ามาอยู่ที่ตัวเรา

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงรูปเหมือนหลวงปู่เทพโลกอุดรออกวัดแจ้งพรหมสร สิงห์บุรีหลวงพ่อจรัญอธิษฐานจิตปลุกเสก

    ให้บูชา
    150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250615_174221.jpg IMG_20250615_174156.jpg IMG_20250615_174135.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2025 at 18:31
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,269
    ค่าพลัง:
    +21,396
    FB_IMG_1749989352008.jpg FB_IMG_1749989582300.jpg FB_IMG_1749989535296.jpg
    สรุปคำสอนหลวงพ่อวงษ์ วัดปริวาส
    1. ทำดีไว้ก่อน ผลจะตามมาเอง
    > อย่ากังวลว่าเมื่อไหร่บุญจะให้ผล ขอแค่ทำดีต่อไป ผลดีจะเกิดเองในเวลาที่เหมาะสม
    2. ไม่เอาเปรียบ ไม่เบียดเบียน
    > อยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีเมตตา ยุติธรรม และจริงใจ จะทำให้ชีวิตมีความสงบสุข
    3. เชื่อมั่นในบุญกุศล
    > หมั่นทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เพราะบุญคือที่พึ่งแท้จริงทั้งในชาตินี้และชาติหน้า
    4. ของดีอยู่ที่ใจ ไม่ใช่ของนอกตัว
    > วัตถุมงคลจะศักดิ์สิทธิ์เมื่อผู้ใช้มีศีล มีธรรม ของขลังไม่ช่วยคนใจชั่ว
    5. ให้พึ่งตนเองเป็นหลัก
    > พระช่วยคุ้มครองได้ แต่ต้องยืนอยู่บนพื้นฐานของความดี ความเพียร และความรับผิดชอบด้วยตนเอง

    " รูปกูมึงเอาไปใช้ได้เลย..
    ..รูปกูไม่ต้องเสกมึงอธิษฐานถึงกูก็ใช้ได้ "
    "...แค่พวกมึงขยันสวดมนต์ไหว้พระทุกวัน กูก็ไปเยี่ยมพวกมึงทุกครั้ง"
    "...พวกมึงมีเหตุอะไรให้สวดมนต์นึกถึงกู เดี๋ยวกูมาช่วยพวกมึง...ตามบุญที่พวกมึงเคยทำไว้..."
    หลวงพ่อวงษ์ วังสปาโล วัดปริวาสราชสงคราม กทม.
    ************************************************
    หลวงพ่อวงษ์ วัดปริวาส กรุงเทพมหานคร
    หลวงพ่อวงษ์ บิดาชื่อ นายเลียบ เจริญกุล มารดาชื่อ นางจั่น เจริญกุล
    เกิดเมื่อวัน เสาร์ที่ 7 มิ.ย. 2445 บ้านเลขที่ 193 ต.บางโพงพาง อ.บ้านทวาย(ยานนาวา) กรุงเทพฯ มีพี่น้อง 8 คน เป็นคนที่ 5
    การศึกษา
    จากการสอบถามปู่เสงี่ยม เถื่อนอิ่ม อายุ 91 ปี ได้ความว่า ในสมัยนั่นใครที่เรียนหนังสือกับพระวัดปริวาสฯ แล้วต้องไปสอบไล่เพื่อจบ ป.4ที่ ร.ร.วัดไพชยนต์ ฝั่งพระประแดง จากประวัติของท่านบันทึกว่าท่านจบป.4 ไม่ทราบ ร.ร.แต่สันนิษฐานว่า ท่านเรียนหนังสือกับพระที่วัด แล้วไปสอบเทียบความรู้จนจบป.4 ซึ่งถือว่าสูงสุดในสมัยนั้นจนอายุ 21 ปี ก็โดนเกณฑ์ไปเป็นทหารเรืออยู่ในกรมสรรพวุธบางนา ปลดประจำการเมื่ออายุ 23 ปี
    บรรพชา
    หลังปลดประจำการก็อุปสมบท ที่วัดปริวาสฯ เมื่อวันพุธ ที่ 17 มิ.ย. 2468 โดยมี พระครูวินยานุบูรณาจารย์(เชย) วัดโปรดเกษเชษฐาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระปลัดไม้วัดปริวาสฯเป็นพระกรรมวาจารย์ พระครูขันตยาภิวัฒน์ วัดด่าน เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    การศึกษาบวชเรียน
    เมื่ออุปสมบทแล้วได้เดินทางไปศึกษาที่สำนักเรียน วัดทองธรรมชาติ วัดจักรวรรดิราชาวาส(สามปลื้ม) วัดมหาธาตุ จนสอบได้ นักธรรมชั้นตรี และได้เรียนภาษาบาลีแบบมูลกัจจายน์ ขอมบาลีและขอมไทยจนชำนาญ แตไม่ได้เข้าสอบเพิ่ม เนื่องจากพระปลัดไม้มรณะภาพในปี 2471 และหลวงพ่อวงษ์ ก็ได้รับการแต่งตั้งรักษาการเจ้าอาวาส วัดปริวาสฯ เมื่อ ปี 2472 ท่านจึงหยุดการศึกษาเนื่องจากไม่มีเวลา
    การศึกษาวิทยาคม
    1.ศึกษาจากพระปลัดไม้ วัดปริวาสฯ ซึ่งเป็นพระกรรมวาจาจารย์ จากการสอบถามปู่ฟัก ปู่เสงี่ยม อายุเกิน 90 ปี ยาย อารี อายุ 88 ปี จึงทราบว่า พระปลัดไม้มีชื่อเสียงจากการรักษาโรคด้วยยาสมุนไพร
    และการสูญฝีด้วยปูน กินหมากและชำนาญวิชาจับยามสามตา และถ่ายทอดวิชาต่างๆให้แก่หลวงพ่อวงษ์

    2.ปู่ เนียน สังข์เนตร อาศรมบางวัว สมุทรปราการ ติดค่ายสรรพวุธบางนา ท่านศึกษาวิชาจากปู่เนียนมากที่สุด เช่น การเล่นแร่แปรธาตุ การต้มปรอท การรักษาโรค การเขียนผงลบผง ซึ่งท่านก็สามารถปฏิบัติได้ดี ไม่แพ้ผู้เป็นอาจารย์

    3.พระครูรัตนรังษี(หลวงพ่อพุ่ม)วัดบางโคล่นอก ซึ่งเก่งวิชาวิปัสสนา และโด่งดังมากในยุคนั้น แม้แต่สมเด็จพระสังฆราช(แพ)ยัง ทรงเลื่อมใส ได้ประทานผ้ากราบให้เป็นเครื่องยกย่อง

    4.ศึกษาจากตำราเก่า ทั้งตำราเขียนผงอิทธิเจ การลงตะกรุด ตำรายารักษาโรค ตำราจับยามสามตา ตำราคาถาต่างๆ ประมาณ 3 หีบไม้ ที่ได้รับตกทอดมาจากพระปลัดไม้ และอาจารย์ท่านอื่นอีกหลายท่าน

    5.ศึกษาจากหลวงปู่ปาน วัดมงคลโคธาวาส(บางเหี้ย) ท่านน่าจะศึกษาจากหลวงปู่ปาน ทางนิมิต ซึ่งท่านได้ศึกษาวิชาสร้างเสือและปลุกเศกเสือ ได้ขลังตามแบบหลวงปู่ปานผู้เป็นอาจารย์ แต่หลวงพ่อวงษ์ ไม่ได้สร้างเสือจากเขี้ยวเสือแกะเพราะไม่อยากทับรอยอาจารย์

    หลวงพ่อวงษ์ วํสปาโล วัดปริวาส ๛
    พระครูขันตยาภิราม หรือ (หลวงพ่อวงษ์ วังสปาโล) ท่านเป็นพระเถราจารย์ผู้เก่งกล้าในพุทธาคม ทรงวิทยาคุณเข้มขลัง หากกล่าวถึงหลวงพ่อวงษ์ วัดปริวาส ต้องนึกถึง "เสือ"
    เพราะหลวงพ่อท่านโด่งดังในเรื่องการปลุกเสกเสือ เล่ากันว่า "เวลาท่านปลุกเสกเสือนั้นท่านเสกจนเสือกระโดดได้"
    ตามประวัติ ท่านถือกำเนิด เมื่อวันเสาร์ที่ ๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๔๕ ที่บ้านบางโพงพาง อ.บ้านทวาย (ยานนาวาในปัจจุบัน) กรุงเทพฯ โยมบิดาชื่อ นายเลียบ โยมมารดาชื่อ นางจั่น นามสกุล "เจริญกุล" มีพี่น้องร่วมกัน ๘ คน ท่านเป็นคนที่ ๕
    ในวัยเยาว์ บิดาได้พาท่านไปฝากเรียนหนังสือกับพระที่วัดปริวาส สอบไล่ได้เทียบชั้นระดับประถมศึกษา ๔ (สูงสุดในสมัยนั้น) พออายุได้ ๒๑ ปี ก็ถูกเกณฑ์เป็นทหารเรือที่กรมสรรพาวุธ บางนา และเมื่อปลดประจำการอายุ ๒๓ ปี ได้อุปสมบทที่วัดปริวาส เมื่อวันพุธที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๔๖๘ โดยมี "พระครูวินยานุบูรณาจารย์" (หลวงพ่อเชย) วัดโปรดเกศเชษฐาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ (พระปลัดไม้) วัดปริวาส เป็นพระกรรมวาจาจารย์ (พระอธิการน้อย) วัดด่าน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาว่า "วังสปาโล"
    หลวงพ่อวงษ์ ท่านชอบเป็นพระนักปฏิบัติ ศึกษาหาความรู้ตลอดเวลา โดยได้ศึกษาที่ (วัดทองธรรมชาติ), (วัดสามปลื้ม) และ (วัดมหาธาตุฯ) จนได้นักธรรมชั้นตรี ชำนาญทางด้านบาลีแบบมูลกัจจายน์ และภาษาขอมบาลี, ขอมไทย แต่ไม่ได้เข้าสอบต่อ เนื่องจาก (พระปลัดไม้) เจ้าอาวาสวัดปริวาส มรณภาพลงเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๑ ทำให้หลวงพ่อได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส และได้เป็นพระอุปัชฌาย์ในเวลาต่อมา
    หลวงพ่อวงษ์ ท่านได้รับการถ่ายทอดวิชาปรุงยาสมุนไพร และสูญฝีด้วยปูนกินหมาก รวมทั้งการจับยามสามตาจาก (พระปลัดไม้) ซึ่งมีผู้ป่วยและลูกศิษย์มารับการรักษาอยู่เสมอ นอกจากนี้ท่านยังเรียนรู้ วิชาการเล่นแร่แปรธาตุ การต้มปรอท การรักษาโรค การเขียนผงลบผง โดยเฉพาะผงนะปถมัง และผงอิทธิเจ การอาบน้ำมนต์ และการวิปัสสนากรรมฐาน จาก (ปู่เนียน สังข์เนตร) ฆราวาสแห่งอาศรมบางวัว และได้ศึกษาการวิปัสสนากรรมฐานจาก (หลวงพ่อพุ่ม วัดบางโคล่นอก) ในปี พ.ศ.๒๔๗๘ ซึ่งพระบวชใหม่ในแถบบางโพงพางช่วงนั้น ถ้าจะออกธุดงค์ ต้องมาขึ้นกรรมฐานกับ (หลวงพ่อพุ่ม) ก่อนออกเดินธุดงค์ทุกครั้ง
    วัตถุมงคลยุคต้น หลวงพ่อวงษ์ เริ่มสร้างวัตถุมงคลประมาณปี พ.ศ.๒๔๘๕ เป็นพระพิมพ์สมเด็จเนื้อผง ท่านเขียนผงได้ตั้งแต่อายุไม่ถึง ๓๐ ปี ท่านเขียนผง นะปถมัง และผงอิทธิเจ ซึ่งหลวงพ่อใช้เวลาเขียนลบผงทั้ง ๒ อย่างกว่า ๑๐ ปี จนได้ผงพอสมควรแล้ว ท่านก็เริ่มทำพระผงพิมพ์สมเด็จ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๙ หลวงพ่อตำผงผสมผงพิมพ์พระ แต่ได้พระไม่มากเท่าไหร่ เพราะว่าท่านผสมผง นะปถมังและผงอิทธิเจมาก จึงเปลืองผงมากเนื้อพระก็มีมวลสารน้อยเพราะมีผงมาก และพระของท่าน จะถูกน้ำไม่ได้จะละลายเป็นก้อน พระของท่านมีดินสอพองเป็นหลัก มีกล้วยเป็นตัวประสาน มีข้าวสุกตากแห้ง พระของท่านจึงมีกลิ่นหอม ถ้าเก็บรักษาไม่ดีจะมีแมลงกัดแทะ ทำให้พระของท่านเหลือมาถึงปัจจุบันน้อยมาก
    พระพิมพ์สมเด็จของท่าน เป็นพระที่มีเมตตาสูงมาก มักจะมีผู้ที่ชอบขูดขอบพระบ้าง เจาะด้านหลังบ้าง แช่น้ำบ้าง เพื่อนำผงของพระไปใช้ในทางเสน่ห์เรื่องผู้หญิง และใช้ได้ผลดี จนมีเรื่องมาถึงท่านหลวงพ่อต้องคอยแก้ไข จนท่านต้องเอ่ยปากแช่งผู้ที่นำผงไปใช้แล้ว ได้ผลแต่ไม่รับผิดชอบเลี้ยงดู “ขอให้ฉิบหาย” ท่านจึงนำพระผงที่เหลือไปบรรจุในเจดีย์
    วิชาการสร้าง และปลุกเสกพยัคฆราช (เสือ) หล่อโลหะของหลวงพ่อวงษ์ ที่สร้างตั้งแต่รุ่น ๑ ถึงรุ่น ๖ (พ.ศ. ๒๕๐๑-๒๕๑๙) มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ของนักสะสมเครื่องรางของขลังในรูปแบบเสือ ทั้งแบบปั๊มโลหะและหล่อโบราณ ที่(หลวงพ่อวงษ์) ท่านได้สร้างไว้ พระเกจิอาจารย์ผู้มีความรู้ความสามารถ ในการสร้างและปลุกเสกเสือตามแบบที่ได้รับการถ่ายทอดจาก (หลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย) ซึ่งหลวงปู่ปานได้ศึกษาวิชาการสร้างเสือมาจาก (หลวงปู่แตง วัดอ่างศิลา) จ.ชลบุรี พระเกจิอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงในด้านวิชาต่างๆ มากมายในสมัยเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว
    สำหรับวิชาการสร้างเสือและปลุกเสกเสือนั้น หลวงพ่อวงษ์ ได้รับการถ่ายทอดจาก (หลวงปู่ปาน) ทางนิมิต เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๘ เป็นระยะเวลาหลายปี จนกระทั่งสำเร็จวิชาการสร้างเสือ หลวงพ่อวงษ์จึงได้สร้างเสือครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๑ และทุกครั้งที่มีการสร้างเสือ หลวงปู่ปานจะมาร่วมพิธีด้วยการผ่านร่างประทับทรง จนถึงรุ่นหก ซึ่งเป็นรุ่นสุดท้ายในปี พ.ศ.๒๕๑๙ ในการสร้างและปลุกเสกเสือนั้น หลวงพ่อวงษ์จะนั่งปลุกเสกเสือจนกระทั่ง เสือโลหะนั้นกระโดดได้เหมือนมีชีวิต จึงหยุดปลุกเสก บรรดาศิษย์ที่ศรัทธาในยุคนั้น เห็นท่านปลุกเสกเสือกระโดดได้เป็นเรื่องปกติ จึงศรัทธาเลื่อมใสมาก
    วาทะหลวงพ่อ
    “ตอนกูปลุกเศกเสือรุ่น ๑ นั้น กูเพิ่งจบชั้นประถม
    แต่เสือรุ่น ๖ นั้น กูจบปริญญาแล้ว พวกมึงว่ารุ่นไหนจะดีกว่ากัน”

    หลวงพ่อวงษ์ ท่านถึงแก่มรณภาพลงอย่างสงบ เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๒๓ สิริอายุรวมได้ ๗๘ ปี ๕๕ พรรษา

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างส่งครับ

    เหรียญรุ่นแรกหันข้างหลวงพ่อวงษ์วัดปริวาส ให้บูชา 220 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250615_172931.jpg IMG_20250615_173003.jpg
     
  13. Karoonsur

    Karoonsur Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +228
    จองครับ
     
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,269
    ค่าพลัง:
    +21,396
    FB_IMG_1750060779471.jpg

    พระผงรูปเหมือนฝังตะกรุดรุ่นมหาเศรษฐีเสาร์ 5 (มีไม่จน) หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย จ.พระนครศรีอยุธยา
    หลวงพ่อมี เขมธัมโม – พระครูเกษมคณาภิบาล หรือ หลวงพ่อมี เขมธัมโม วัดมารวิชัย อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา พระเกจิชื่อดังที่ชาวบ้านเมืองกรุงเก่า ให้ความเลื่อมใสศรัทธา
    มีนามเดิม บุญมี ธนสนธิ์ เกิดเมื่อวันที่ 4 มี.ค.2454 ตรงกับวันจันทร์แรม 2 ค่ำ เดือน 4 ปีกุน ที่หมู่บ้านขนมจีน ข้างวัดมารวิชัยตอนใต้ บิดา–มารดา ชื่อ นายโหมดและ นางพุฒ ธนสนธิ์
    วัยเด็กเป็นเด็กที่อ่อนแอและขี้โรค ไม่ช่างพูดและไม่เล่นหัวเหมือนกับเด็กโดยทั่วไป มีคุณสมบัติพิเศษ เป็นเด็กที่มีใจบุญสุนทาน ชอบติดตามบิดามารดาเข้าวัด
    อายุ 12 ปี ขอบิดามารดาติดตามพระ พี่ชายมาอยู่ด้วยทันที (ภายหลังพระพี่ชาย ลาสิกขา ได้เป็นแพทย์ประจำตำบล ชาวบ้านเรียกท่านว่า “หมอแบน”) ตอนแรกบรรดาญาติผู้ใหญ่ไม่มีผู้ใดยอม ด้วยเกรงจะเป็นภาระให้กับพระพี่ชายที่เพิ่งอุปสมบทใหม่แต่สุดท้าย ครอบครัวก็ยินยอมให้ไปอยู่กับพระแบนที่วัดมารวิชัย
    มีใจฝักใฝ่จะบรรพชาเป็นสามเณรมานานแล้ว แต่ติดขัดที่มีภาระช่วยบิดา–มารดา ทำไร่ไถนา จึงต้องคอยให้มีอายุครบบวชเสียก่อน จึงจะได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ
    ดังนั้น เมื่ออายุ 21 ปี อายุครบเกณฑ์ทหารต้องถูกคัดเลือกเข้าประจำการเป็นทหารเพื่อรับใช้ชาติ ท่านจึงตั้งใจไว้ว่าถ้าไม่ถูกทหารจะบวชทดแทนคุณพ่อแม่ทันที
    ในที่สุด สมความปรารถนาที่ตั้งใจไว้ เมื่อท่านจับได้สลากใบดำไม่ต้องเข้ารับราชการทหาร จึงเข้าพิธีอุปสมบท ที่พัทธสีมา วัดมารวิชัย วันที่ 14 ก.ค.2475 โดยมีพระครูอดุลวุฒิกร หรือหลวงพ่อพิน จันทโชโต วัดช่างเหล็ก จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพระอุปัชฌาย์, หลวงพ่อเขียน โชติสโร วัดบ้านพร้าวนอก จ.ปทุมธานี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และหลวงพ่อเกลี้ยง อินทโชติ วัดมารวิชัย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายา เขมธัมโม แปลว่า ผู้มีธรรมะอันเกษม
    ศึกษาพระปริยัติธรรม สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี–โท–เอก ตามลำดับ
    ด้านวิทยาคม ศึกษาพุทธาคมกับหลวงพ่อเขียน วัดบ้านพร้าวนอก ผู้มีศักดิ์เป็นหลวงน้าแท้ๆ โดยได้รับการถ่ายทอดวิชาการเล่นแร่แปรธาตุ และการสร้างวัตถุมงคลเนื้อเมฆพัด นอกจากนี้ยังได้ศึกษาวิทยาคม และกัมมัฏฐานจากพระอาจารย์ผู้เรืองนามอีกหลายรูป
    กล่าวได้ว่า หลวงพ่อมีอยู่ศึกษาวิชากับหลวงพ่อจงมากที่สุด และนานเกือบ 30 ปี โดยท่านได้เดินทางไปๆ มาๆ ระหว่างวัดหน้าต่างนอก และวัดมารวิชัย ทั้งยังได้ร่วมงานกับหลวงพ่อจงอย่างใกล้ชิดอยู่บ่อยครั้ง และอุปัฏฐากดูแลหลวงพ่อจง ตราบจนหลวงพ่อจงท่านสิ้นลมหายใจ
    ภายหลังเมื่อท่านอายุมากขึ้นแล้ว เข้าศึกษาหาความรู้ในโรงเรียนพระสังฆาธิการส่วนภูมิภาค จ.พระนครศรีอยุธยา จนสำเร็จการศึกษารุ่นที่ 1 ปี พ.ศ.2513
    หลวงพ่อมีนำความรู้ด้านพระปริยัติธรรมสอนพระภิกษุ–สามเณรภายในวัดแต่ยังไม่ได้เป็นเจ้าอาวาส จากนั้นเป็นครูพระปริยัติธรรมเอง ระหว่างเข้าพรรษาตลอด 3 เดือน
    ลำดับงานปกครอง พ.ศ.2481 เป็นเจ้าอาวาสวัดมารวิชัย พ.ศ.2493 เป็นเจ้าคณะตำบลบางนมโค และพระอุปัชฌาย์
    ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2507 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรีที่ พระครูเกษมคณาภิบาล
    พ.ศ.2510 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท ในราชทินนามเดิม
    พ.ศ.2514 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอก ในราชทินนามเดิม
    ด้านสาธารณประโยชน์ สมทบทุนกับทางราชการสร้างโรงเรียน 2 แห่งคือ โรงเรียนวัดมารวิชัยและโรงเรียนจุฬาราษฎร์วิทยา เมื่อปี พ.ศ.2509 และสร้างสถานีอนามัย กับสำนักงานผดุงครรภ์ประจำตำบลบางนมโค
    วันที่ 26 ม.ค.2543 มรณภาพอย่างสงบ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงรูปเหมือนฝังตะกรุดหลวงพ่อมีวัดมารวิชัยรุ่นเสาร์ 5 มีไม่จน

    ให้บูชา 170 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250615_173428.jpg IMG_20250615_173453.jpg IMG_20250615_173529.jpg
     
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,269
    ค่าพลัง:
    +21,396
    FB_IMG_1750088419589.jpg
    ประวัติพระเกจิ
    หลวงพ่อหวั่น
    ประวัติหลวงพ่อหวั่น
    พระครูพิพิธธรรมาทร หรือหลวงพ่อหวั่น มีนามเดิมว่า หวั่น นามสกุล แพนนท์ เกิดเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๔๗๘ ตรงกับวันจันทร์ขึ้น ๑๑ คํ่าเดือน ๙ ปีกุน ที่บ้านคลองคูณ หมู่ที่ ๒ ตำบลคลองคูณ อำเภอ ตะพานหิน เมืองพิจิตร โยมบิดามีนามว่า นายหมึก เป็นหมอกลางบ้านหรือแพทย์แผนโบราณ โยมมารดาชื่อ นางขอด แพนนท์มีพี่น้องรวมทั้งหมด ๑๑ คน ผู้ชาย ๕ คนผู้หญิง ๖ คน ส่วนหลวงพ่อหวั่น ท่านเป็นลูกคนที่ ๔ ของครอบครัว
    เมื่ออายุย่างเข้าปีที่ ๒๑ พ่อแม่จึงจัดการนำไปฝากเป็นศิษย์วัดเพื่อเรียนท่องคำขานนาค และในวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๔๙๙ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๘ คํ่า เดือน ๖ ปีวอก ท่านจึงได้เข้ารับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในพัทธสีมาของวัดคลองคูณ โดยมี พระครูพิเศษ ธรรมรัตน์ วัดหาดแตงโม อำเภอ ตะพานหิน เป็นพระอุปัชฌาย์ พระใบฎีกานนท์ วัดไผ่หลวง เป็นพระกรรมวาจาจารย์และ พระธรรมธร สง่า วัดไซลงโขน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ได้รับนามฉายาว่า “กุสลจิตโต” เมื่อบวชในพระศาสนาแล้วท่านตั้งใจแน่วแน่ในการสวดร้องท่องบ่นเจ็ดตำนานสิบสองตำนาน จนญาติโยมต่างร่วมอนุโมทนาบุญกับท่าน และญาติโยมชาวบ้านคลองคูณ ต้องการให้ท่านครองผ้ากาสาวพัตรอันเป็นหลักชัยในทางพระพุทธศาสนาไปนานๆประกอบกับท่านนั้นเป็นลูกหลานชาวบ้านนี้ ซึ่งก็ไม่ทำให้ญาติโยมผิดหวังเนื่องจากหลวงพ่อหวั่นแม้จะเป็นสัทธิวิหาริกคือหมายความว่า หลวงพ่อหวั่น ท่านเป็นผู้ก้าวเข้ามาใหม่ในอารามแห่งนี้ก็จริงอยู่แต่ท่านเป็นพระหนุ่มผู้ เคร่งครัด ในพระธรรมวินัยเป็นยิ่งนัก เร่งเรียนทำวัตรสวดมนต์และศึกษาข้อวัตรปฏิบัติทาง พระศาสนาอันเป็นคำสอนของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยไม่ละความเพียรพยายามที่จะเรียนรู้จนญาติโยมศรัทธาทั้งหมู่บ้านเมื่อบวชได้ ๓ พรรษาจึงได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ดูแลพระบวชใหม่ภายในวัดหรือเรียกว่า แต่งตั้งเป็นรักษาการแทนเจ้าอาวาสนั้นเอง
    ด้านวิชาอาคม
    สำหรับวิชาอาคมของท่านนั้น ครูบาอาจารย์ในสายอาคมของท่านที่ไม่กล่าวถึงเลยไม่ได้ ก็คือบิดาของหลวงพ่อหวั่น ซึ่งเป็นนักเล่นอาคม นับว่าเป็นผู้ขมังเวทย์อีกคนหนึ่งในย่านคลองคูณ เพราะหมอหมึก โยมบิดาของท่านเป็นหมอแผนโบราณที่ชอบและฝักใฝ่ในเรื่องคาถาอาคมจนถือกันว่าขึ้นชั้นระดับแถวหน้าของชาวบ้านย่านคลองคูณ เพราะเมื่อ ๕-๖๐ปีก่อน นอกจากนี้แล้ว หลวงพ่อหวั่นได้เรียนวิชาจากตำราของหลวงพ่อโพธิ์ วัดคลองหมาเน่า ซึ่งหลวงพ่อโพธิ์ท่านเป็นพระมอญที่ไปจาก จ.ปทุมธานี มีความเชี่ยวชาญในการลงตะกรุดคงกระพัน รวมทั้งพระอาจารย์รอด และหลวงพ่อจันทร์ วัดคลองคูณพระเกจิอาจารย์นามอุโฆษในอดีต
    เมื่อศึกษามาก็ฝึกปรือจนแน่ใจว่าใช้ได้ในเรื่องพุทธคุณไม่ขาดไม่เกินความสามารถที่หลวงพ่อหวั่นท่านได้เรียนมาก็มอบให้ญาติโยมซึ่งเดินทางมาจากที่ต่างๆ ทั้งใกล้และไกลเมื่อมีประสบการณ์ต่างบอกกล่าวเล่าต่อๆ กันไป กระทั่งท่านนั่งต้อนรับญาติที่ต่างดั้นด้นมาหาท่าน แม้ในขณะนั้นบางคนต้องเดินเท้ามานานนับชั่วโมงโดยมิย่อท้อ เดินทางมาเพื่อให้พบพระอาจารย์หนุ่มท่านนี้ให้จงได้ ด้วยเหตุที่หลวงพ่อหวั่นเป็นผู้มีเมตตาสูงใครไปใครมาขอเมตตาอะไรจากท่านก็ล้วนแต่สำเร็จจากปากสู่หูที่บอกเล่ากล่าวต่อกันไป ทำให้ชื่อเสียงของท่านนั้นกระจายไปทั่วทุกสารทิศ
    วัตถุมงคล
    การสร้างวัตถุมงคลของหลวงพ่อหวั่นนั้นเกิดขึ้นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๕ หลวงพ่อหวั่นได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็นพระครูชั้นเอกและฉลองพัดยศในวนที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ คณะศิษย์หลวงพ่อหวั่น ได้สร้างเหรียญรุ่นแรกที่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาทุกคนรอคอย คือรูปเหมือนแทนกายท่าน วัดได้สร้างเหรียญขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อแจกในวาระที่หลวงพ่อหวั่นรับเลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็นพระครูชั้นเอกลักษณะเหรียญเป็นแบบแฉกคล้ายจักร หรือแบบพัดยศของพระครู อันเป็นเครื่องประกอบสมณศักดิ์ชั้นพระครูนั่นเอง ด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อหวั่น ครึ่งองค์จารึกนามสมณศักดิ์ว่า พระครูพิพิธธรรมาทร รุ่นหนึ่ง สำหรับเหรียญรุ่นนี้มีเนื้ออัลปาก้าเพียงเนื้อเดียวสร้างจำนวน ๑๐,๐๐๐ เหรียญ ด้านหลังเหรียญตรงกลางเป็นยันต์กระบองไขว้ว่า “นะโมพุทธายะ” คือยันต์พระเจ้า ๕ พระองค์ นอกจากพระสมเด็จแล้วยังมีพระพิมพ์นางพญาเนื้อผงใบลานเช่นกัน ด้านหน้าจะเป็นรูปพระนางพญาพิมพ์เข่าตรง ส่วนด้านหลังตรงกลางจะเป็นยันต์ขอมว่า อิ สวาสุ จารึกหนังสือไทยไว้ว่า พระครูพิพิธธรรมาทร วัดคลองคูณ
    ด้วยชื่อชั้นที่ไม่ธรรมดา ด้วยบารมีที่มากล้น ส่งผลให้วัตถุมงคลของหลวงพ่อหวั่นได้รับความนิยมอย่างมาก ไม่ว่าจะสร้างออกมากี่รุ่นก็มีกระแสศรัทธาล้นหลาม บางรุ่นมีประสบการณ์ดังทั้งทางหน้าหนังสือพิมพ์ และปรากฏอยู่ในเว็บไชต์ยอดฮิตทั้งหลาย ส่วนราคาค่านิยมนับวันยิ่งเพิ่มขึ้น บางชนิดราคาวิ่งไปหลายเท่าตัว
    นอกจากนี้หลวงพ่อหวั่นนั้นเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เข้มขลังมากๆ ในเรื่องตะกรุดสาลิกา และตะกรุดมหาอุด ท่านทำตะกรุดตั้งแต่พรรษายังไม่มาก เมื่อลงตะกรุดแรกๆ ก็แจกให้ญาติพี่น้องกันก่อน ปรากฏว่าเกิดประสบการณ์ต่างๆ ในด้านเมตตา โชคลาภ ตลอดจนคงกระพันชาตรี ตะกรุดของท่านจึงขยายวงกว้างแห่งความศรัทธาสู่ญาติโยมไปทั่ว ด้วยความศรัทธาในบารมีความเข้มขลังของหลวงพ่อหวั่น จึงมีการขออนุญาตจัดสร้างวัตถุมงคลของท่านหลายรุ่นทั้งที่ออกในนามวัดคลองคูณโดยตรงและคณะศิษยานุศิษย์จัดสร้าง ซึ่งทุกรุ่นล้วนเป็นที่นิยมและมีประสบการณ์ให้กล่าวขานมากมาย
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญ 3 แชะเหรียญประสบการณ์ หลวงพ่อหวั่นพิเศษ ติดจีวรเกษา

    ให้บูชา 450 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาท
    ครับ
    IMG_20250615_173356.jpg IMG_20250615_173321.jpg

    IMG_20250615_173356.jpg
     
  16. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,269
    ค่าพลัง:
    +21,396
    3-wm (1).jpg
    get_auc1_img (14).jpeg

    พระพิมพ์สมเด็จโต สร้างและปลุกเสกโดย หลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง อ.บ้านค่าย จ.ระยอง หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ร่วมปลุกเสก สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2505 โดยอาจารย์ปถม อาจสาคร เป็นผู้แนะนำ การตำ คลุกเค้าผงและกดพิมพ์พระพุทธคุณ อานุภาพสุดยอดด้านเสน่ห์เมตตามหานิยม
    คงกระพัน แคล้วคลาดและโชคลาภค้าขาย
    มวลสารส่วนประกอบด้วย
    1. ผงวิเศษเก่าของหลวงปู่ทาบ
    2. สีผึ้งเขียวของหลวงปู่ทาบ
    3. ผงปถมัง ผงอิทธิเจ ของอาจารย์ปถม อาจสาคร
    4. ผงถ่านคัมภีร์ใบลานโบราณเก่าของหลวงปู่ทาบ
    5. ผงวิเศษของหลวงพ่อบุญมี วัดโพธิสัมพันธ์ อ.ศรีราชา ชลบุรี
    6. ผงดินมงคลของหลวงปู่ทาบ
    7. ผงโยคีฮาเล็บ วัดสารนาถ อ.แกลง
    พิธีปลุกเสก
    ครั้งที่ 1 หลวงพ่อทาบ ปลุกเสกเดี่ยว 1 พรรษาเต็ม
    ครั้งที่ 2 รายนามพระเกจิอาจารย์ที่นั่งปรกปลุกเสก ณ วัดกระบกขึ้นผึ้ง
    - หลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ รับนิมนต์เป็นประธานพิธี
    - หลวงพ่อหอม วัดซากหมาก
    - หลวงพ่อเย็น วัดบ้านแลง
    - หลวงพ่อลัด วัดหนองกระบอก
    ฯลฯ
    สีผึ้งหลวงพ่อทาบ มาพร้อมเลี่ยมทอง*ประสบการณ์สีผึ้งหลวงพ่อทาบ เมตตาขนาด
    แค่หัวไม้ขีดหากันจนพลิกแผ่นดิน!!
    หลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง หรือพระครูอรรถโกศล เป็นคนระยองโดยกำเนิด เกิดที่บ้านนาตาขวัญ ต. นาตาขวัญ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง เมื่อวันศุกร์ เดือนหก ปีฉลู ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๒๐ ท่านเป็นเพื่อนสนิทกับหลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ วิชาของทั้งสองท่าน ว่ากันว่ากินกันไม่ลง ประเด็นสำคัญคือวิชาของหลวงปู่ทาบที่เลื่องลือว่าสุดยอดคือวิชาสีผึ้งเขียว
    การขอรับสีผึ้งจากหลวงพ่อทาบในสมัยก่อน สำหรับผู้ที่จะมาขอสีผึ้งเขียวของท่านนั้น กว่าจะได้ก็แสนจะลำบากยากเย็น เล่ากันว่าผู้ต้องการจะได้สีผึ้งเขียวของท่านจะต้องมานอนค้างคืนกันที่วัดหลาย ๆ คืน และหลาย ๆ ครั้ง จนหลวงพ่อทาบเห็นความมานะอดทนว่า ต้องการได้จริง ๆ ท่านจึงจะให้ แต่ท่านจะหยิบให้เพียงเท่าหัวไม้ขีดไฟเท่านั้น สีผึ้งเขียวของหลวงพ่อทาบเมื่อใครได้มาแล้วเหมือนกับได้ของวิเศษที่เปี่ยมไปด้วยส่วนผสมแห่งเมตตามหานิยม คนเล่นของในสมัยนั้นจึงนำสีผึ้งหลวงพ่อทาบที่ได้มาเพียงแค่หัวไม้ขีดไฟมาเลี่ยมทองหุ้มใส่สายสร้อยหรือแขวนติดตัว แต่ก่อนจะมอบสีผึ้งเขียวให้แก่ผู้ใด หลวงพ่อทาบจะสั่งสอนวิธีใช้ให้ สำหรับเรื่องผู้หญิงนั้น ถ้าจะใช้สีผึ้งนี่ก็ขอให้ใช้เมื่อจำเป็นจริง ๆ ได้เขาสมใจแล้วก็อย่าไปทิ้งไปขว้าง มิเช่นนั้น จะเกิดวิบัติ
    นักเลงรุ่นเก่าชาวระยองยอมรับว่าสีผึ้งเขียวของหลวงพ่อทาบนั้นยอดเยี่ยมจริง ๆ ไม่เคยทำให้ใครผิดหวังโดยเฉพาะเรื่องผู้หญิง ท่านผู้เฒ่าท่านหนึ่งใน ต.ตาสิทธิ์ ติดกับวัดหลวงปู่ทิมเล่าให้ผู้เขียนฟังว่าเมื่อสมัยหนุ่ม ๆ ข้าก็ได้อาศัยสีผึ้งเขียว ของหลวงพ่อทาบนี่แหละ จึงได้แม่อ้ายยอด มาจนทุกวันนี้ แม่อ้ายยอดเมื่อสาวๆ มันสวยอย่าบอกใครเชียว หนุ่ม ๆ มาจีบกันหัวกระไดแทบไม่แห้ง แต่ลุง (ตัวคนเล่า) มันพูดจาไม่เก่ง รูปก็ไม่หล่อ แรกๆแม่อ้ายยอดไม่เคยมองลุงเลย ความที่อยากเอาชนะไอ้พวกหนุ่มรุ่นเดียวกัน ลุงจึงดั้นต้นไปขอสีผึ้งเขียวหลวงพ่อทาบ ไปก็หลายครั้งหลายหนอยู่จนท่านจำได้และเห็นมาบ่อย ๆ หลวงพ่อทาบท่านเลยสงสารควักให้มาหัวไม้ขีดหนึ่งสั่งว่าเพียงเอาห่อติดตัว เวลาจะใช้กับผู้หญิงคนใดก็เพียงแต่ทำใจให้นึกเห็นใบหน้าเขาและเข้าไปหาเถอะไม่ช้าก็สำเร็จ และก็ได้ผลจริงๆไม่นานแม่อ้ายยอดเกิดสงสารเห็นใจลุง ทั้งที่ก่อนนั้นเขาไม่เคยชายตามองลุงเลย พวกหนุ่มบ้านอื่นงงเป็นไก่ตาแตก
    ท่านผู้เฒ่าเล่าเสริมต่อไปว่า หลังจากได้แม่อ้ายยอดมาเป็นเมียและอยู่กับมาจนบัดนี้แล้ว ลุงเคยถามเขาว่า เพราะเหตุใดจึงเกิดมารักลุง ทั้งๆ ที่แต่แรกไม่เคยสนใจลุงเลย แม่อ้ายยอดบอกกับลุงว่าเป็นเพราะอะไรไม่รู้ วันไหนถ้าไม่เห็นหน้าลุงใจคอมันหงุดหงิด ร้อนรุ่ม พอได้เห็นหน้าลุงแล้วสบายใจ และไม่ช้าลุงก็ชวนมันมาอยู่กับลุงเสียเลย ผมได้ถามลุงผู้เฒ่าว่า แล้วสีผึ้งนั้นอยู่ไหน? ขอผมดูหน่อย ท่านผู้เฒ่าบอกว่า เมื่อลุงได้เมียแล้วก็ไม่ได้ใช้อีกเลย เพราะหลวงพ่อท่านสั่งนักสั่งหนาว่าถ้าใช้กับผู้หญิงแล้วต้องเลี้ยงเขาเป็นลูกเมีย ห้ามทิ้งขว้าง ลุงได้แม่อ้ายยอดมาครองคนเดียวก็นับว่าพอใจแล้ว เลยหุ้มทองเก็บไว้ จนอ้ายยอดลูกหัวปีของลุงมันเป็นหนุ่มแล้ว ลุงจึงมอบให้มัน ก็ดูซิอ้ายยอดลูกชายลุงมีเมียตั้ง ๓ คน และอยู่บ้านเดียวกันทั้งนั้น หลานลุงมีเป็นพรวน มีเมียมากมันก็ไม่ดีหรอกหลาน หาเท่าไรไม่พอเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย แต่ก็ดีไปอย่าง อ้ายยอดมันได้เขาแล้วมันก็ไม่ทิ้งไม่ขว้าง เลี้ยงเป็นลูกเป็นเมียทุกคน อ้ายยอดลูกลุงน่ะ มันไม่เท่าไหร่หรอก มีเพียงแค่ ๓ คน เท่านั้น แต่ลูกศิษย์หลวงพ่อทาบที่เคยบวชอยู่กับท่านคนหนึ่งซิ เดี๋ยวนี้ย้ายไปอยู่จันทบุรี มีเมียอยู่บ้านเดียวกันถึง ๖ คน ทุกคนปรองดองกันดี ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันเลย แต่ลูกเป็นกระบุง แต่เขาก็มีฐานะดีนะ เรื่องสีผึ้งเขียวของหลวงพ่อทาบ ถ้าใช้เรื่องผู้หญิงรับรองได้เยี่ยมจริง ๆ
    ท่านพระอาจารย์เสียน มนูญโญ เจ้าอาวาสวัดกระบกขึ้นผึ้ง ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานแท้ๆ ของหลวงทาบ ตลอดจน คุณปถม อาจสาคร อดีตสหกรณ์อำเภอบ้านค่าย และคุณประชา ตรีพาสัย เพื่อนผู้เขียนซึ่งจูงใจให้ผู้เขียนไปรู้จักกับหลวงปู่ทิมจนได้สร้างพระชุดชินบัญชรอันเป็นที่รู้จักกันทุกวันนี้ เคยเล่าเรื่องอานุภาพของสีผึ้งเขียวหลวงพ่อทาบ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่รู้กันแพร่หลายทั่วจังหวัดระยองให้ฟังว่า
    เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๓ จ.ระยอง ได้จัดให้มีการประกวดนางสาวระยองขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อคัดคนส่งไปประกวดนางสาวไทยที่กรุงเทพฯ ในงานรัฐธรรมนูญที่วังสราญรมย์ อ. บ้านค่าย ก็สรรหาสาวงามส่งเข้าชิงชัยตำแหน่งนางสาวระยอง เหมือนกับอำเภออื่น ๆ เช่นกัน เมื่อได้สาวงามชาวอำเภอบ้านค่ายแล้ว ทางอำเภอก็นำสาวงามผู้นั้นมาขัดสีฉวีวรรณแล้วสอนกิริยามารยาทจนเป็นที่เรียบร้อย พอใกล้วันประกวดนางงามระยอง เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นไปได้ก็เกิดขึ้น สาวงามซึ่งจะเป็นตัวแทนสาวบ้านค่ายขึ้นเวทีประกวด เกิดสิวเห่อขึ้นเต็มหน้า เป็นที่ตกอกตกใจของคณะกรรมการอำเภอบ้านค่ายไปตามๆ กัน จะหาคนใหม่ก็ไม่ทัน ทุกคนต่างก็จนปัญญาไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างไร แต่ถึงอย่างไรก็ต้องส่งสาวผู้นี้เข้าประกวดอยู่ดี เพราะเตรียมการไว้แล้ว แต่โอกาสที่สาวบ้านค่ายจะเป็นนางงามระยองคงหมดหวังแน่ ก่อนถึงวันประกวดคณะกรรมการอำเภอบ้านค่ายทนเสียงอ้อนวอนของผู้ปกครองเด็กไม่ได้ จึงยอมให้ผู้ปกครองเด็กสาวคนนั้นนำไปหาหลวงพ่อทาบ หลวงพ่อทาบท่านทำน้ำมนต์ให้อาบ แล้วให้สีผึ้งเขียวมาหนึ่งหัวไม้ขีดไฟ และยังปลุกเสกแป้งผัดหน้าให้อีกหนึ่งห่อ ทั้งกำชับให้เอาสีผึ้งติดตัวขึ้นไปบนเวทีประกวด และเวลาประกวดก็ให้ใช้แป้งที่ท่านปลุกเสกผัดหน้าขึ้นไปเดินบนเวทีทุกครั้ง ผลการตัดสินสาวงามระยองปี พ.ศ. ๒๕๐๓ นั้น ปรากฏว่าสาวน้อย อ. บ้านค่าย ได้ตำแหน่งนางสาวระยอง ทั้งๆ ที่ใบหน้าสิวขึ้นเยอะ ท่ามกลางความดีอกดีใจของชาวบ้านค่าย และความงุนงงของชาวอำเภออื่น ๆ และในปีต่อ ๆ มาอีก ๒-๓ ปี ชาวอำเภอบ้านค่ายก็ได้นางสาวระยองติดต่อกัน และนางงามบ้านค่ายทุกคนต่างไปขอให้หลวงพ่อทาบรดน้ำมนต์ปิดนะหน้าทอง ได้สีผึ้งเขียวติดตัวและปลุกเสกแป้งผัดหน้าให้เช่นกัน
    อาจารย์ปถม อาจสาคร เล่าว่า แป้งผัดหน้านั้น หลวงพ่อทาบท่านลงนะนวลจันทร์ และตั้งแต่นั้นมาชื่อเสียงในด้านเมตตามหานิยมของหลวงพ่อทาบ ก็ยิ่งโด่งดังขึ้น จนคนระยองถึงกับผูกวลียกย่องไว้ว่า “อิทธิฤทธิ์หลวงพ่อเพ่ง เมตตามหานิยมหลวงพ่อทาบ อาคมหลวงพ่อทิม”
    สีผึ้งเขียวหลวงพ่อทาบมีคาถาใช้ดังนี้
    ""จิตติ มิตติ อระระหัง ปิยังมะมะ"" ใช้ภาวนาเป็นเมตตามหานิยม และใช้ภาวนาเวลาใช้สีผึ้งเขียวทาปาก เมื่อใช้นิ้วมือแตะสีผึ้งเขียวแล้วให้ว่า นะมโม 3 จบ ก่อน แล้วภาวนาคาถา พร้อมกับทาสีผึ้งเขียวที่ริมปาก จนทาปากเสร็จ
    การใช้นิ้วมือแตะสีผึ้งเขียวทาปากนั้น ให้ใช้ดังนี้..
    1.เมื่อจะไปหาผู้ใหญ่ หรือผู้มียศ ให้ใช้นิ้วหัวแม่มือแตะสีผึ้งเขียวทาปาก
    2.เมื่อจะไปหาคนรุ่นราวคราวเดียวกัน หรือคนรับใช้ ให้ใช้นิ้วชี้แตะสีผึ้งเขียวทาปาก
    3.เมื่อจะไปหาผู้สูงอายุ หรือแม่ม่าย ให้ใช้นิ้วกลางแตะสีผึ้งเขียวทาปาก
    4.เมื่อจะไปหาสาวๆหนุ่มๆให้ใช้นิ้วนางแตะสีผึ้งเขียวทาปาก
    5.เมื่อจะไปหาสาวน้อย หรือคนที่มีอายุน้อยกว่า ให้ใช้นิ้วก้อยแตะสีผึ้งเขียวทางปาก...
    หากใช้ขี้ผึ้งอารธนาติดตัว นะโม 3 จบ ""อุกาสะ สัมปะติ จิตติ มิตติ อรหัง""(ขอขอบคุณเจ้าของข้อมูลมา ณ ที่นี่ด้วยครับครับ)

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 270 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250617_161937.jpg IMG_20250617_162004.jpg
     
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,269
    ค่าพลัง:
    +21,396
    FB_IMG_1750168175166.jpg

    หลวงปู่ยวง สุภัทโท วัดหน้าต่างใน พระนครศรีอยุธยา
    พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง แก่กล้าในพลังจิตพุทธาคม ศิษย์ก้นกุฏิสืบทอดพุทธาคม หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก , หลวงพ่อนิล วัดหน้าต่างใน และหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ พระเกจิชื่อดังแห่งเมืองกรุงเก่าในอดีต
    อัตโนประวัติ หลวงปู่ยวง เกิดปีเถาะ พ.ศ. 2470 ชีวิตในวัยเยาว์ เป็นผู้มีความชอบวัด ติดวัด เข้าวัดฟังธรรมอยู่เป็นนิจ มากกว่าเด็กในวัยเดียวกันที่ชอบเที่ยวเตร่หาความสนุกสนานไปวันๆ อีกทั้งท่านเป็นเด็กใกล้วัดมาตั้งแต่เล็ก คอยวิ่งช่วยงานวัดหน้าต่างนอกและวัดหน้าต่างใน คอยอุปัฏฐากรับใช้หลวงพ่อจงและหลวงพ่อนิล ทำให้ท่านทั้งสองให้ความเมตตากับเด็กชายยวงเป็นอันมาก
    เมื่ออายุครบอุปสมบท โยมบิดามารดาจึงจัดพิธีอุปสมบทให้ ณ พัทธสีมาวัดหน้าต่างใน โดยมีพระครูพิมพ์ วัดช่างเหล็ก จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพระอุปัชฌาย์ , หลวงพ่อจง และหลวงพ่อนิล เป็นพระคู่สวด
    ภายหลังอุปสมบท ท่านได้อยู่พำนักเพื่อศึกษาพระธรรมวินัย ตลอดจนวิชาการต่างๆ ที่วัดหน้าต่างใน ได้มาศึกษาหาความรู้ในด้านพระปริยัติธรรม และธรรมสิกขา พร้อมทั้งฝึกฝนด้านการเขียนอ่านอักษรทั้งไทยและขอมจาก ท่านพระครูพิมพ์ พระอุปัชฌาย์
    การแสวงหาความรู้ของพระภิกษุยวง มิได้หยุดยั้งอยู่แต่เพียงภายในเท่านั้น ท่านยังคงเสาะแสวงหาที่เรียนต่อไป อย่างเช่นการไปเรียนกับหลวงพ่อจงและหลวงพ่อนิลที่วัดหน้าต่างใน ได้รับการสอนม้วนตะกรุดหลอดยาสีฟันให้หลวงพ่อจง ลงเสื้อ ยันต์ให้หลวงพ่อจง ลงรักยมไม้ ลงปลาตะเพียน
    ด้วยภูมิธรรมความรู้ อันเกิดจากความวิริยะพากเพียร ทำให้พระภิกษุยวง เป็นที่เคารพศรัทธาของญาติโยมทั้งหลาย ต่อมาเมื่อหลวงพ่อนิลสิ้นบุญ ทำให้ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างในว่างลง
    ชาวบ้านต่างเห็นพ้องต้องกันว่า พระภิกษุยวง ศิษย์ของท่าน มีความเหมาะสมอย่างยิ่ง ครั้นเมื่อเข้ามารับหน้าที่เป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าต่างใน ท่านได้รับการขนานนามเป็น 'หลวงพ่อยวง'
    กล่าวได้ว่า หลวงพ่อยวง เป็นพระเถราจารย์ที่มีวิทยาคมแก่กล้า ได้รับการถ่ายทอดวิทยาคมจากหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก, หลวงพ่อนิล วัดหน้าต่างใน และหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ อ.บางบาล
    หลวงปู่ยวง วัดหน้าต่างใน ได้รับการเรียกขานจากบรรดาศิษยานุศิษย์ที่ให้ความเคารพนับถือว่า "พระเกจิใหญ่แห่งแม่น้ำน้อย"
    ท่านมีอุปนิสัยไม่ค่อยพูดจา เวลามีใครมาสนทนาธรรมด้วย ท่านมักได้แต่ยิ้ม "เออ...เออ" เพียงแค่นี้เท่านั้น
    กล่าวสำหรับ วัดหน้าต่างในเป็นวัดพี่น้องกับวัดหน้าต่างนอก วัดหน้าต่างในเป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ตั้งอยู่ ต.หน้าไม้ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา วัดหน้าต่างใน อยู่ตรงข้ามกับวัดหน้าต่างนอก เป็นวัดธรรมดาเหมือนวัดทั่วไป มีพื้นที่บริเวณกว้างขวาง สำหรับให้ชาวบ้านได้จัดกิจกรรมต่างๆ ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
    นอกจากนี้ หลวงพ่อจง ยังเป็นสหายธรรมกับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เนื่องจากมีพระอุปัชฌาย์องค์เดียวกัน
    หลวงพ่อยวง ได้สร้างพระเครื่องวัตถุมงคลไว้มากมายหลายชนิด มีทั้งเหรียญ ผ้ายันต์ ตะกรุด แผ่นยันต์มหาลาภ และกันไฟ แต่ที่มีชื่อเสียงมาก คือ ตะกรุดปัญญาไว และปลาตะเพียน
    หลวงปู่ยวง ยังได้สร้างเหรียญเสมาหน้าใหญ่ หลวงพ่อจง-หลวงปู่ยวง ด้านหน้าเหรียญเป็นรูปหลวงพ่อจง ด้านหลังเป็นรูปหลวงปู่ยวง
    ทำเนียบพระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งเมืองกรุงเก่าในยุคนี้ นามของ "หลวงปู่ยวง สุภัทโท" ย่อมปรากฏอย่างสง่าสมเกียรติประวัติที่ได้รับการยกย่อง ยอมรับจากบรรดาพุทธศาสนิกชน ควรแก่การกราบไหว้บูชา
    ความเคร่งครัดในการปฏิบัติศาสนธรรมอย่างสูง ตลอดทั้งความเป็นพระเกจิอาจารย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ทำให้ผู้คนหวนระลึกนึกถึงบารมีธรรมของท่านที่ได้สั่งสมไว้ตลอดระยะเวลาอันยาวนานที่อยู่ในร่มกาสาวพัสตร์

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระปิดตารุ่นแรกหลวงปู่ยวงวัดหน้าต่างในฝังตะกรุดทองแดง

    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250617_203603.jpg IMG_20250617_203628.jpg IMG_20250617_203648.jpg IMG_20250617_203525.jpg
     
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,269
    ค่าพลัง:
    +21,396
    เหรียญหล่อมงคลมหาลาภ หลวงปู่บุญ ขนฺติโก วัดวิเศษชัยชาญ อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง รุ่นไตรมาสมหาลาภ ปี 2540กว่า
    - เนื้อนวะโลหะ ตอกโค้ด พร้อมกล่องเดิม ประวัติหลวงปู่บุญ ขนฺติโก วัดวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง ครูบาอาจาย์ที่ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนล้วนแต่ไม่ธรรมดา ท่านได้เล่าเรียนวิชา ธรรมกายกับหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ เรียนคาถาอาคมกับ หลวงพ่อแช่ม วัดนวลนรดิษ และหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี เรียนอยู่ 5 ปีได้วิชามาทั้งเมตตามหานิยม และหลวงปู่บุญท่านยังเรียนวิชากับหลวงพ่อกวย วัดโฆษิตาราม จังหวัดชัยนาท กับหลวงพ่อคำ วัดโพธิ์ปล้ำ จังหวัดอ่างทองซึ่งท่านเก่งทาง เมตตา คงกระพันแคล้วคลาด และหลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู จังหวัดลพบุรีอีกด้วย

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250617_213617.jpg IMG_20250617_213643.jpg IMG_20250617_213534.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...