พระพุทธเจ้าได้บอกไว้ไหมครับว่า ปฐมธาตุของสรรพสิ่งคืออะไร

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย พลังสามเวท, 25 กันยายน 2008.

  1. พลังสามเวท

    พลังสามเวท Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +42
    ปฐมธาตุคือธาตุที่ก่อให้เกิดสรรพสิ่งขึ้นมา ซึ่งตอนนี้ทางศูนย์วิจัยเซิร์นได้ทำการค้นหาอยู่ เท่าที่ผมทราบมาคือมี ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วมีคำถามต่อไปว่า ธาตุทั้ง 4 นี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร หรือว่ามันมีอยู่แล้วในเอกภพ และกลไกที่ทำให้ธาตุทั้ง 4 แปรเปลี่ยนเป็นสรรพสิ่งต่างๆ เป็นอย่างไร ใครพอทราบหรือมีข้อมูลช่วยตอบด้วยนะครับ
     
  2. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,635
    ตามความคิดของผมธาตุเหล่านี้มีอยู่แล้วในเอกภพครับ กลไกที่ทำให้ธาตุทั้ง ๔ แปรสภาพคือ ความร้อน แรงดัน(อากาศ) ความชื้น ครับ

    เคยอ่านมาแต่จำชื่อหนังสือไม่ได้เรื่องการเกิดของโลกคือ ฝุ่นผงในอวกาศถูกลมกวาดเข้ามารวมกันพร้อมกับละอองไอน้ำเมื่อฝุ่นผงได้รับความชื้นจึงจับตัวเป็นก้อนกลม และเกิดความร้อนทำให้ความชื้นคลายออกจึงแข็งตัวเป็นก้อน เมื่อนานไปบรรยากาศเปลี่ยนมีการควบแน่นของความชื้นจึงมีฝนและเกิดวิวัฒนาการของสรรพสิ่งครับ คล้ายๆกับที่หนังสือไตรภูมิพระร่วงกล่าวถึงกำเนิดของโลกและจักรวาล
     
  3. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [๕๖] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ มีสมัยบางครั้งบางคราว โดยล่วง
    ระยะกาลยืดยาวช้านานที่โลกนี้จะพินาศ เมื่อโลกกำลังพินาศอยู่ โดยมากเหล่า
    สัตว์ย่อมเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม สัตว์เหล่านั้นได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร
    มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิต
    อยู่ในภพนั้นสิ้นกาลยืดยาวช้านาน ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ มีสมัยบางครั้ง
    บางคราว โดยระยะกาลยืดยาวช้านาน ที่โลกนี้จะกลับเจริญ เมื่อโลกกำลังเจริญ
    อยู่โดยมาก เหล่าสัตว์พากันจฺติจากชั้นอาภัสสรพรหมลงมาเป็นอย่างนี้ และสัตว์นั้น
    ได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ใน
    อากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้นสิ้นกาลยืดยาวช้านาน ก็แหละ
    สมัยนั้นจักรวาลทั้งสิ้นนี้แลเป็นน้ำทั้งนั้น มืดมนแลไม่เห็นอะไร ดวงจันทร์และ
    ดวงอาทิตย์ก็ยังไม่ปรากฎ ดวงดาวนักษัตรทั้งหลายก็ยังไม่ปรากฎ กลางวันกลาง
    คืนก็ยังไม่ปรากฎ เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็ยังไม่ปรากฎ ฤดูและปีก็ยังไม่ปรากฎ
    เพศชายและเพศหญิงก็ยังไม่ปรากฎ สัตว์ทั้งหลาย ถึงซึ่งอันนับเพียงว่าสัตว์เท่า
    นั้น ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นต่อมา โดยล่วงระยะกาลยืดยาวช้านาน เกิด
    ง้วนดินลอยอยู่บนน้ำทั่วไป ได้ปรากฎแก่สัตว์เหล่านั้นเหมือนนมสดที่บุคคลเคี่ยว
    ให้งวด แล้วตั้งไว้ให้เย็นจับเป็นฝาอยู่ข้างบน ฉะนั้นง้วนดินนั้นถึงพร้อมด้วยสี
    กลิ่น รส มีสีคล้ายเนยใส หรือเนยข้นอย่างดี ฉะนั้น มีรสอร่อยดุจรวงผึ้ง
    เล็กอันหาโทษมิได้ ฉะนั้น ฯ
    ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ต่อมามีสัตว์ผู้หนึ่งเป็นคนโลนพูดว่า ท่าน
    ผู้เจริญทั้งหลาย นี่จักเป็นอะไร แล้วเอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดู เมื่อเขาเอา
    นิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดูอยู่ ง้วนดินได้ซาบซ่านไปแล้ว เขาจึงเกิดความอยาก
    ขึ้น ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ แม้สัตว์พวกอื่นก็พากันกระทำตามอย่างสัตว์นั้น
    เอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดู เมื่อสัตว์เหล่านั้นพากันเอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลอง
    ลิ้มดูอยู่ ง้วนดินได้ซาบซ่านไปแล้ว สัตว์เหล่านั้นจึงเกิดความอยากขึ้น ต่อมาสัตว์
    เหล่านั้นพยายามเพื่อจะปั้นง้วนดินให้เป็นคำๆ ด้วยมือแล้วบริโภค ดูกรเสฏฐะ
    และภารทวาชะ ในคราวที่พวกสัตว์พยายามเพื่อจะปั้นง้วนดินให้เป็นคำๆ ด้วยมือ
    แล้วบริโภคอยู่นั้น เมื่อรัศมีกายของสัตว์เหล่านั้นก็หายไปแล้ว ดวงจันทร์และดวง
    อาทิตย์ก็ปรากฏ เมื่อดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ปรากฏแล้ว ดวงดาวนักษัตรทั้งหลาย
    ก็ปรากฏ เมื่อดวงดาวนักษัตรปรากฏแล้ว กลางคืนและกลางวันก็ปรากฏ เมื่อ
    กลางคืนและกลางวันปรากฏแล้ว เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็ปรากฏ เมื่อเดือนหนึ่ง
    และกึ่งเดือนปรากฏอยู่ ฤดูและปีก็ปรากฏ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ด้วย
    เหตุเพียงเท่านี้แล โลกนี้จึงกลับเจริญขึ้นมาอีก ฯ

    ที่มา http://larndham.net/cgi-bin/stshow.pl?book=11&lstart=1703&lend=2129&word1=จักรวาล

    ปล.ลองจินตนาการเทียบกับภาษาทางวิทยาศาสตร์นะคะ ความเห็นส่วนตัว มหัศจรรย์มากค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2008
  4. ทรัพย์พระฤาษี

    ทรัพย์พระฤาษี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +175
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ข้อมูลนี้โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ

    สนามพลังแห่งมนุษยชาติกับธาตุรู้สากล (Human Morphic Field and Immanent Spiritualness)
    โดย Dr. G.G. Junior

    การเริ่มต้นของเอกภพนั้น พบว่ามีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีวัตถุและไม่มีสิ่งที่มีชีวิตใดๆ แต่มีเฉพาะก๊าซและกลุ่มพลังงาน ดังนั้นสภาวะดั้งเดิม เริ่มแรกของเอกภพจึงมีแต่ก๊าซและพลังงานที่กระจายอยู่โดยทั่วไป เรียกว่า ต้นธาตุ ที่มีแต่การแสดงลักษณะของความรู้เพียงอย่างเดียวไม่มีอาการรู้ ก๊าซ และพลังงานเหล่านี้ ยังไม่มีการผสมผสานกันด้วยแรงยึดโยงใดๆ ซึ่งในขณะนั้นก็ยังไม่มีวัตถุธาตุและวัตถุธาตุผสม ได้แก่ สาร (Element) หรือสารประกอบ (Compound substance) และยังไม่มีสรรพชีวิต (Living organism) รวมทั้ง มนุษย์ (Human) มวลกลุ่มธาตุเริ่มต้นที่เรียกว่าต้นธาตุนี้ ในเอกภพต้นธาตุนั้นยังไม่ได้รวมผสมผสานกัน มีสถานะเป็นเพียงกลุ่มก๊าซและกลุ่มพลังงานต่างๆ ในบรรดาพลังงานเหล่านั้น มีต้นธาตุอีกชนิดหนึ่งที่อยู่ในสถานะของพลังงานเรียกว่า ต้นธรรม มีลักษณะของความรู้และอาการรู้รวมอยู่ด้วยกัน มีความสว่างกว่าพลังงานอื่นๆ ต้นธรรมมีลักษณะ และคุณสมบัติของอาการรู้ที่แตกต่างจากต้นธาตุอื่นๆ จึงเรียกต้นธรรมนี้ว่า ธาตุรู้ (Spiritualness) ธาตุรู้สากลเมื่อรวมตัวกันเป็นดวงพลังงานบริสุทธิ์ ซึ่งการรวมตัวกันจะอยู่ในลักษณะเลขคู่ จะทำการรวมตัวกับธาตุหยาบในสภาวะที่มีความสมดุล กลายเป็นสิ่งที่มีชีวิตในที่สุด การหมุนของดวงดาวต่างๆ ที่อยู่ใกล้กัน เกิดเป็นระบบจักรวาล การหมุนของระบบจักรวาล ทำให้เกิดดาราจักร ดังเช่น ดาราจักรทางช้างเผือก (Milky Way) และดาราจักรอันดรอมดา (Andromeda) ดังนั้นจักรวาลและดาราจักรที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์นั้น แท้จริงแล้ว เกิดจากการระเบิดที่ส่งผลให้มีการหมุนรวมตัวกันของกลุ่มก๊าซ และกลุ่มพลังงานที่เป็นต้นธาตุและต้นธรรมนั่นเอง ดังนั้นสามารถสรุปความตามข้อเท็จจริงตามธรรมชาติของการเกิดของสิ่งที่มีชีวิต ดวงดาว จักรวาลและดาราจักรที่มีต้นธาตุต้นธรรมเป็นรากเหง้าได้ว่า “ธาตุรู้ล้วนมีอยู่และเชื่อมโยงกันในทุกอณูของทุกสรรพสิ่ง” หมายถึง มวลธาตุหยาบทั้งหลายมีความรู้สึกโดยการที่มีธาตุรู้เกาะโยงใยกันไปทั่วจักรวาล และสิ่งก่อให้เกิดการยึดโยง และการเปลี่ยนแปลงใดๆ ของธรรมชาติคือ “พลังงาน” โดยที่พลังงานที่เกิดขึ้นได้นั้น เป็นเหตุจากการหมุนนั่นเอง จึงสรุปข้อเท็จจริงได้ดังนี้ว่า “การหมุนคือต้นกำเนิดของการเกิดพลังงาน” สิ่งใดไม่ได้เกิดการหมุนหรือผ่านการหมุนจะไม่มีการเกิดหรือสะสมพลังงาน ในระหว่างที่เกิดการระเบิดบีบอัด และมีการหมุนเกิดขึ้น ส่งผลให้ต้นธาตุที่เป็นก๊าซและกลุ่มพลังงาน เกิดการรวมตัวเป็นมวลธาตุหยาบของดวงดาวทั้งหลาย การหมุนนี้ทำให้มีสนามพลังที่สามารถยึดโยงรวมเอามวลธาตุเข้าไว้ด้วยกันแรงยึดโยง ทุกอณูของมวลธาตุหยาบของดวงดาวสามารถยึดโยงกันด้วยสนามพลัง และต้นธาตุที่มีลักษณะของความรู้อยู่แต่เดิม จึงมีการกระจายความรู้ระหว่างอณูทั้งหลายของดวงดาว พร้อมไปด้วยกับการหมุนของสนามพลังอย่างต่อเนื่อง สนามพลังนี้ นอกจากทำหน้าที่ในการเชื่อมโยงอณูของธาตุหยาบทั้งหลายแล้ว ยังทำหน้าที่กระจายความรู้ของต้นธาตุ และกระจายอาการรู้ของธาตุรู้สากลด้วยการหมุนอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา เราเรียกสนามพลังนี้ว่า สนามพลังแห่งธรรมชาติ (Natural Morphic Field) การเคลื่อนที่ด้วยการหมุนของดวงดาวที่เป็นผลจากการระเบิด และการยึดโยงพร้อมกับการกระจายความรู้ของสนามพลังแห่งธรรมชาติ ก่อให้เกิดแรงเหนี่ยวนำของพลังงานที่สามารถยึดโยงดวงดาวแต่ละดวงและหลายๆ ดวงไว้ด้วยกัน มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นสนามพลังแห่งธรรมชาตินี้ได้โดยตรง อาจจะใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ช่วยในการถ่ายภาพ และศึกษาด้านอื่นๆ ได้บ้าง แต่ก็ยังไม่ทราบถึงการกำเนิดที่แท้จริงของพลังแห่งธรรมชาติเหล่านี้ มนุษย์สามารถสัมผัสรับรู้ได้ และพิสูจน์ผลการแสดงของสนามพลังนี้ได้ด้วยของหยาบ ที่เรียกว่า สนามแม่เหล็กของดวงดาว (Planet Magnetic Field) ซึ่งโลกใบนี้เป็นดวงดาวเช่นกัน จึงมีสนามแม่เหล็กในการยึดโยงโลกไว้ที่เรียกว่า สนามแม่เหล็กโลก (Geomagnetic Field) แสดงการยึดโยงด้วยเส้นแรงสนามแม่เหล็ก (Megnetosphere) ยังมีการศึกษาวิจัยค้นคว้าอยู่อย่างต่อเนื่อง และแสดงตัวอย่างอีกมากมาย จากการที่มนุษย์วิจัยค้นคว้าเพื่อการพิสูจน์ถึงสนามพลังแห่งธรรมชาติ ควบคู่ไปกับการวิจัยค้นคว้ามวลธาตุหยาบที่ปรากฏเป็นดวงดาวทั้งหลาย สนามพลังแห่งธรรมชาตินี้เกิดจากการยึดโยงของธาตุต้นกำเนิดคือต้นธาตุต้นธรรม จึงมีส่วนประกอบของสนามพลัง ที่เกิดจากสนามพลังของมวลสาร และสารประกอบ (Element and Compound Morphic Field) และสนามพลังของธาตุรู้ (Spiritual Morphic Field) นั่นเอง ประเภทของสนามพลังแห่งธรรมชาติ สนามพลังแห่งธรรมชาติ (Natural Morphic Field) เกิดจากการรวมตัวกันของสนามพลังแห่งการยึดโยงทุกอณูของธาตุ และธาตุรู้ต้นกำเนิดที่เป็นต้นธาตุและต้นธรรม สามารถจัดแบ่งด้วยแหล่งที่มาของพลังได้ ๓ ส่วนใหญ่ๆ ได้ดังนี้ ๑. สนามพลังแห่งธรรมชาติของมวลธาตุ (Element and Compound Morphic Field) จากก๊าซและกลุ่มพลังงาน เริ่มต้นที่เป็นต้นธาตุของมวลธาตุของหยาบทั้งหลาย มีแต่ความรู้เพียงอย่างเดียว ไม่มีอาการรู้ ดังนั้น การยึดโยงทุกอณูของมวลธาตุของหยาบทั้งหมด จึงทำหน้าที่เป็นความรู้ที่เชื่อมสานโยงใยต่อกัน เกิดการสร้างสนามพลังอย่างสมดุลอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ธาตุทั้งสี่คือ ดิน น้ำ ลม และไฟ จึงเคลื่อนไปตามแรงยึดโยงของสนามพลัง โดยลักษณะที่ปรับสมดุลเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ๒. สนามพลังแห่งธรรมชาติของพืชและสัตว์ (Animal and Plant Morphic Field) สิ่งที่เรียกว่า พืชและสัตว์ (ไม่รวมถึงมนุษย์) ประกอบด้วย มวลธาตุดิน น้ำ ลม และไฟ จากมาจากต้นธาตุที่มีแต่ความร ู้และธาตุรู้สากลที่มาจากต้นธรรมที่มีทั้งความรู้และอาการรู้เหมือนมนุษย์ แต่อาการรู้นั่น พืชและสัตว์ไม่มีความสามารถพัฒนานำไปใช้ด้วยสมองได้ ใช้อาการรู้กับสมองเพียงแต่การเอาชีวิตรอด จึงมีการดำรงชีวิตด้วยการปรับตัวเข้าหาสภาพแวดล้อมเพียงอย่างเดียว ไม่ปรับสภาพแวดล้อมเข้าหาตัวเหมือนมนุษย์ ดังนั้นพืชและสัตว์สามารถสร้างสนามพลังของตนเข้าเป็นสนามพลังแห่งธรรมชาติ ด้วยการใช้เพียงจิตใต้สำนึกเท่านั้น เพื่อนำพาให้มีชีวิตรอด โดยแสดงออกด้วยสัญชาตญาณ การแสดงออกจึงทำลายธรรมชาติน้อยมาก จนถือได้ว่าไม่มีผลต่อการเสียสมดุลด้านพลังงานเลย จึงเป็นสนามพลังโดยลักษณะที่ปรับสมดุลเป็นธรรมชาติอยู่แล้วเช่นกัน

    [​IMG]

    สนามพลังแห่ง มนุษยชาติ

    [​IMG]

    สนามพลังแห่ง สรรพชีวิต

    [​IMG]

    สนามพลังแห่ง ธรรมชาติของโลก

    [​IMG]

    สนามพลังแห่ง จักรวาล

    [​IMG]

    รวมสนามพลัง แห่งจักรวาล
    สนามพลังแห่งมนุษยชาติสามารถถูกแบ่งออกตามสำนึกของจิตได้ดังนี้

    ๓.๑ สนามพลังจิตสำนึกแห่งมนุษยชาติ (Consciousness Human Morphic Field) มนุษย์ใช้จิตสำนึกแสดงความสามารถ โดยสมองนึกคิดไป ตามความต้องการของตนเอง ไม่คล้อยไปตามความสมดุลของสนามพลังแห่งธรรมชาติ มีการเคลื่อนย้ายปรับเปลี่ยน ดัดแปลง วัตถุที่สมดุลอยู่แล้วให้เกิดความไม่สมดุล สมองสั่งการด้วยความโลภ โกรธและหลงเป็นคลื่นส่งผลถึงความไม่สมดุลอีกเช่นกัน เมื่อทุกสิ่งมีความเกี่ยวข้องกันทุกอณูย่อมมีการสั่นสะเทือนถึงกันทั้งหมด แต่มนุษย์นั้นไม่สามารถรับการสั่นสะเทือนและการเสียสมดุลของสนามพลังแห่งธรรมชาติได้ เนื่องจากสมองมนุษย์มีข้อจำกัดนั่นเอง

    ๓.๒ สนามพลังจิตใต้สำนึกแห่งมนุษยชาติ (Subconsciousness Human Morphic Field) ลักษณะของมนุษย์ที่ใช้จิตใต้สำนึกนี้ มีความใกล้เคียงกันกับของพืชและสัตว์ เนื่องจากใช้จิตใต้สำนึกผ่านสัญชาตญาณเช่นกัน การดำรงชีวิตของมนุษย์ ก็ดำเนินไปตามหลักของความสมดุลของสนามพลังแห่งธรรมชาติของโลก จึงไม่ส่งผลเสียใดๆ และยังเป็นส่วนช่วยรักษาความสมดุลของสนามพลังเดิมที่มีอยู่ ให้เกิดความเสถียรยิ่งด้วย

    ๓.๓ สนามพลังจิตเหนือสำนึกแห่งมนุษยชาติ (Unconsciousness Human Morphic Field) สนามพลังแบบนี้ไม่เพียงแต่สร้างสนามพลังที่สมดุลเพียงอย่างเดียว แต่ผู้ที่สามารถสร้างสนามพลังแบบนี้ และมีเจตจำนงในการสร้างความสมดุลแห่งสนามพลัง จะเป็นผู้ที่สามารถปรับและควบคุมสนามพลังแห่งธรรมชาติได้อีกด้วย มนุษย์ที่สามารถใช้จิตเหนือสำนึกของตนได้นั้น เป็นผู้ที่ไม่ใช้สมองในการพิจารณา แต่ใช้เป็นตัวผ่านข้อมูลเพื่อการเก็บบันทึก และเพื่อใช้ในการสื่อสารเท่านั้น ข้อมูลที่ใช้สื่อสารสรุปได้จากปัญญาพิจารณาบนฐานแห่งข้อเท็จจริง จะเห็นว่าบุคคลเหล่านี้ดำรงชีวิตไปตามความสมดุลแห่งสนามพลังแห่งธรรมชาติ และด้วยมีความเข้าใจซึ้งถ่องแท้บนข้อเท็จจริงของธรรมชาติ มีการดำรงชีวิตมนุษย์อย่างเป็นสามัญของธรรมชาติ

    ก. มนุษย์มีการกระจายตัวของประชากรไปทั่วโลก ทำให้การสร้างสนามพลังแห่งมนุษยชาติ กระจายครอบคลุมพื้นที่บนโลก และปรับสนามพลังแห่งธรรมชาติ ได้เป็นอย่างสอดคล้องกันไปด้วย

    ข. มนุษย์สามารถพัฒนาอาการรู้ด้วยจิตสำนึกจากสมอง เพื่อปรับสิ่งแวดล้อมเข้าหาความต้องการของตน ทำให้เกิดสนามพลังในลักษณะที่เป็นสนามพลังของการปรับเปลี่ยนธรรมชาติ เบี่ยงเบนข้อเท็จจริง และทำลายล้างความเป็นธรรมชาติอันสมดุล ดังนั้นมนุษย์จึงเป็นผู้ที่ทำให้เกิดความเสียหายมากที่สุดนั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2008
  6. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    เคยได้ยินว่าเกิดจากความว่างนะ
    เรื่องนี้เป็นเรื่องอจิณตรัย
    ไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่
     
  7. Sujinno

    Sujinno Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +90
    อนุโมนา กับความเห็นของทุกคน
     
  8. นิรันตรพินทุ

    นิรันตรพินทุ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +10
    ถ้าในแง่ของที่ CERN ค้นหา อันเป็น วัตถุธาตุ หรือ รูปธาตุ ไม่ใช่ นามธาตุ
    ปฐมธาตุแห่ง4ธาตุ(เอกภพ) ที่ว่า คือ โลกธาตุ

    โลกธาตุ คือ ดวงดาว ดาวเคราะห์ ดาราจักรทั้งหมด เอกภพ และ สรรพภพ ทั้งหมด
    ไม่ว่าทิศใดๆ มีรึไม่มีขนาดใดๆ รวมถึงมีตำแหน่งใดๆ รึไม่มีตำแหน่งใดๆ เพียงรู้ได้
    ด้วยการอนุมานคาดการณ์ใดๆ พิง(อาศัย)พับ(ซ้อน)กันเป็นเอนกอนันต์ ไม่มีจุดเริ่ม
    ไม่มีจุดปลาย เพราะเป็นจุดเริ่มและปลายในขณะบัดดล เลื่อมสลับไปมาไม่จบสิ้น

    ถ้าให้แปลง่ายๆ คือ โลกียะ คือ รูปธาตุ ทั้งหมด
    อันเป็นฐานของ ดิน น้ำ ลม ไฟ ลักษณะ

    ในแง่นึง อาจมองว่า เอกภพคืออะไร คือ เอกภพ คงดูวกวนกวนโทสะ
    แต่ ผมต้องการชี้ไปที่ โลก เรานี่แหละที่เป็นปฐมธาตุ อันเป็นที่ตั้งแห่งแรงทั้ง4
    โลก ในทางธรรม ไม่ได้หมายถึงดาวเคราะห์ที่เราอาศัยเท่านั้น
    ความหมายของโลก ครอบคลุม ทุกมิติ ทุกระดับ ทุกขนาด ทุกระยะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กันยายน 2008
  9. โอซารัน

    โอซารัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +91
    สารภาพว่าอ่านไม่ไหวคับ
     
  10. โอซารัน

    โอซารัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +91
    ข้อมูลเยอะดี จัง
     
  11. เมทิกา

    เมทิกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    952
    ค่าพลัง:
    +2,393
    ขอแสดงความเห็นแบบประหลาดๆหน่อย ใครไม่เห็นด้วย แย้งโลด เราจะได้หายโง่

    ต้นธาตุ: นิพพาน จิตประภัสสร จิตเดิมแท้ คำเหล่านี้มีความหมายเหมือนกัน นั่นคืออยู่เดี่ยวๆ ไม่มีของคู่ ไม่มีอาการอะไรไปรับรู้ว่ามันคืออะไร
    ต้นธรรม:จะอธิบายยังไงดีนะ เข้าใจแต่อธิบายไม่ถูก คือมีอาการรับรู้ เช่น รับรู้ว่าแสงมีความสว่าง เกิดของคู่ คือผู้เห็นแสง กับผู้ถูกเห็น จึงเกิดอวิชชา เกิดภพเกิดชาติขึ้นมา

    งงๆหน่อยใช่ไหม
     
  12. เมทิกา

    เมทิกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    952
    ค่าพลัง:
    +2,393
  13. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,824
    ค่าพลัง:
    +5,398
    คำว่า "ธาตุ" ในพระพุทธศาสนาเป็นคนละความหมายจากวิทยาศาสตร์ นิยามของธาตุในพระพุทธศาสนาต่างจากนิยามของนักวิทยาศาสตร์ มองกันคนละแง่มุม ในวิทยาศาสตร์มององค์ประกอบต่างๆจากมโนทัศน์ที่สิ่งนั้นมีตัวตนอยู่ จึงพยายามหาอัตตาจากวัตถุว่าอะไรเป็นพื้นฐาน แต่พระพุทธศาสนามองสรรพสิ่งเป็นอนัตตา จึงมองสรรพสิ่งในแง่ของการเปลี่ยนแปลงไปมา จึงได้แบ่งธาตุเป็นดินน้ำลมไฟ ซึ่งบ่งบอกถึงสภาวะที่สรรพสิ่งกำลังเป็นไป เช่นนำแข็งก็ถือเป็นธาตุดิน ถ้าละลายก็เป็นธาตุน้ำ แต่ถ้ากลายเป็นไอก็จะเป็นธาตุลม อุณหภูมิภายในน้ำแต่ละสถานะคือธาตุไฟ
    หรือยกตัวอย่างเช่น ตัวเรา ถ้าเป็นมุมมองของนักวิทยาศาสตร์ก็จะค้นหาว่า คนๆนั้นเกิดจากใคร ใครเป็นพ่อแม่ แล้วปู่ย่าตายายเป็นใคร สาวขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงว่ามนุษย์มาจากไหน แต่ถ้าพุทธศาสนามองก็จะมองถึงสภาวะของคนนั้นว่าเป็นคนดีหรือชั่ว มีศีลหรือไม่มีศีล มีธรรมหรือไม่ จะพัฒนาอย่างไร
     
  14. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    เกิดจากการไปกู้ ดิน น้ำ ลม ไฟ จากโลกมาดำรงค์ เพื่อทำทาน มหาทาน อภิมหาทาน
    เสร็จแล้วก็ค่อยชำระคืน ดิน น้ำ ลม ไฟ คืนกลับไปแบบผ่อนส่ง แต่มีดอกเบี้ยร้อย 12
    ก็เลยต้องไปยืมมาอีกเพื่อชดใช้ในส่วนดอกเบี้ยที่งอกเงยมา
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ขอคารวะท่านพญามาร(3) ด้วยความนอบน้อม

    ปณิธานแห่งท่านเราซาบซึ้งใจนัก

    ความในใจแห่งเรา (จีจีนะ ไม่ได้โม้)
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    รู้เขา รู้เรา รู้ธรรมชาติแห่งตน เพื่อเดินให้ถูกทาง

    อย่าลืมดูพลังงานด้วยนะคะ การหมุนทำให้เกิดพลังงาน

    มีทั้งพลังงานดี และพลังงานแห่งตัณหา ขับเคลื่อนเป็นสนามพลังเซ้นเซย่า

    เลือกได้ว่าจะเป็นโมกุล หรือ คาคาร็อท อยู่ที่ตัวเรา อย่าให้ตัณหานำพาเรา นะคะ

    ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กันยายน 2008
  17. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ปฐมธาตุ อาจหมายถึงจิต หรือคลื่นพลังงาน
    ก่อกำเนิดธาตุสี่ ซึ่งผันแปร เปลี่ยนแปลงไปมาสู่กัน ที่เรียกว่าเล่นแร่แปรธาตุ
    บางรูปมีจิตครอง บางรูปไม่มี แม้นจะมีเหตุมาจากจิต
    ทั้งหมดนี้ อาศัยช่องว่าง (อากาศธาตุ) โอบอุ้ม
     
  18. หล่อลากดิน

    หล่อลากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,201
    ค่าพลัง:
    +235
    ธาตุแท้สิครับท่าน ... เอ๊ย .. พูดผิดไปหน่อย

    จริงๆ ต้องเป็นธาตุรู้ครับ.. อิๆๆๆ
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ขอแจมพี่หล่อลาก นิสนะคะ (พอดีเขาชอบจินตนการ)

    ธาตุรู้ + อวิชชาตัณหาและความหลงรวมด้วยความไหล = ธาตุแท้ของปุถุชน

    ธาตุรู้ เพียวๆ ถอดถอนสิ่งแปลกปลอมออกแล้ว = ธาตุแท้แท้ ธรรมชาติแห่งความบริสุทธิ์แท้จริง
     
  20. ^ ^

    ^ ^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +1,279
    ธาตุทั้ง 4 นี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร

    ตอบ : มันมีอยู่แล้วครับ


    และกลไกที่ทำให้ธาตุทั้ง 4 แปรเปลี่ยนเป็นสรรพสิ่งต่างๆ เป็นอย่างไร

    ตอบ : กฎไตรลักษณ์ ครับ


    แนะนำ ลองเข้า Google แล้ว Search หาคำว่า "อภิธรรม" "ปรมัถธรรม"
    "ธาตุ4" "อสังขตธรรม" "สังขตธรรม" ดูนะครับ อาจจะเข้าใจอะไรๆ ได้มากขึ้นครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...