พุทธานุสติการจับภาพพระและเตือนระลึกนึกถึงความตาย

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 23 กุมภาพันธ์ 2025 at 10:20.

  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    23,362
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,169
    ค่าพลัง:
    +70,613
    269c.png #พุทธานุสติการจับภาพพระและเตือนระลึกนึกถึงความตาย 269c.png

    1f9d8_200d_2642.png สรุปผลของการฟังธรรมในช่วงของการปฏิบัติบูชา
    วันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๗ โดยคุณ Aintharam Top


    +++++++++++++++++
    นั่งหลับก็ไม่ว่ากันนะ กรรมฐาน วันนี้ก็ตรงกับวันอาทิตย์ เป็นวันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ เมื่อวันก่อนเราก็เจริญพรหมวิหาร ๔ จำได้ไหม มาอีกทีหนึ่งเราก็พิจารณาความดีของเรา โดยเฉพาะเรื่องของศีล จำได้ไหม วันนี้เราก็มานั่งพิจารณาอีกเรื่องก็แล้วกันนะ
    คือในผลของพระกรรมฐานเนี่ยมันไม่ได้หมายความว่าเรานั่งหลับตาเป็นกรรมฐาน หรือว่าลืมตาพิจารณาแล้วเป็นกรรมฐานนะ กรรมฐานมันอยู่ที่เราไม่คิดชั่ว ถ้าคิดชั่วเขาก็ไม่เป็นกรรมฐาน งั้นในระหว่างที่เรามีจิตที่คิดไปในทางเป็นกุศลในคราวใด ท่านก็ว่าเรากำลังมีพระกรรมฐาน เช่นว่าเราระลึกนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ก็เป็นพุทธานุสติเป็นกรรมฐาน ถูกไหมหล่ะ เวลาเรามีใจสงเคราะห์อยากจะช่วยเหลือ หรือให้คนอื่นเขาด้วยความเมตตา กรุณา อย่างนี้มันก็เป็นจาคานุสติเป็นกรรมฐาน แต่ตัวของพระกรรมฐานเนี่ยถ้าจะให้ทรงตัวเราก็ต้องรักษากรรมฐานกองใดกองหนึ่งเอาไว้เป็นบทเริ่มต้น อย่างเธอทุกคนเราฝึกตามที่หลวงพ่อสอนเรามาคือมีพุทธานุสติไว้เป็นกรรมฐาน จำได้ใช่ไหม ในอารมณ์ของพุทธานุสติเป็นกรรมฐานเนี่ย ที่เราเอามาใช้เรื่องของอภิญญาทางจิต เราก็ตั้งพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งไว้เป็นนิมิต บางคราวถ้าเราอารมณ์ใจสงบเราก็ไว้ในอก บางคราวถ้ารู้สึกว่าอารมณ์ใจสงบเราก็ไว้นอกอก บางคราวเรารู้สึกว่าภาพของพระประทับอยู่บนศรีษะเรา เราก็สงบ แล้วแต่ว่าบางครั้งบางคราวอารมณ์ใจเราจะสงบด้วยการนึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งทรงประทับไว้ ณ ที่ไหน ตามแบบฉบับท่านไม่ได้กำหนดว่าต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่งตลอดไป เว้นไว้แต่ว่าเราจะฝึกเฉพาะวิชา เพราะบางคณาจารย์ท่านว่าถ้าเอาไว้บนศรีษะหรือในกลางศรีษะของเราเนี่ยนะ เราสามารถจะฝึกอภิญญาได้เต็มกำลังได้ บางคณาจารย์ก็ว่าเรากำหนดนิมิตเอาไว้ตรงศูนย์กลางกาย อย่างนี้เราก็ทรงสมาธิจิตที่เข้านิโรธะ ดับได้ แต่ตอนนี้เอาแบบไหน เอาแบบประทับไว้แล้วหลับ คือพระมาปุ๊บหลับปั๊บเลย แบบนี้ไม่เอาใช่ไหม ไม่หลับ เดี๋ยวต้องทำให้เธอหลับให้ได้
    ภาวนา พุทธัง เมฆะ นิมิต จิตตัง มะอะอุ หน่อยซินะ นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง ภาพพระที่เราจะเอามาไว้ในใจเราเนี่ย ท่านไม่ได้กำหนดกฏเกณฑ์ว่าเป็นพระพุทธรูปปางไหนนะ หากว่าใจของเธอระลึกนึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดแล้วจิตมันจดจ่อ หมายความว่า นึกแล้วจิตมันสงบ นึกถึงนะ นึกถึงภาพพระพุทธรูปองค์นี้แล้วจิตสงบไวมากเลย เราก็เอาภาพพระพุทธรูปองค์นั้นแหละ ตั้งไว้เป็นนิมิต ที่ไหนสงบบ้างหล่ะลองนึกเอานะ มองพระพุทธรูปที่บ้านสงบไหม พระพุทธรูปที่วัดสงบไหม วัดไหนที่ทำให้ใจเราเห็นแล้วสงบใจดีมีไหม หรือว่าภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งมีไหม อย่างนี้ก็ได้ ตั้งไว้ให้เป็นที่ดึงใจเราให้นึกถึงนะ พอมีไหมล่ะ พอใจเรานึกถึงภาพพระองค์ที่เรานึกแล้วสงบใจดี บางทีเราก็มีความประทับใจในพระพุทธรูปองค์นี้ อย่างเช่นเรานึกถึงพระพุทธรูปที่ท่านหมายเอาว่าเป็นองค์แทนของพระพุทธเจ้าองค์แรกอย่างนี้ เพราะเราซาบซึ้งในความเมตตาของพระพุทธเจ้าองค์แรกมาก หรือว่ามีความเกี่ยวข้องผูกพันกับพระพุทธองค์มาแต่ในอดีต เวลาเราได้เห็นองค์อาจจะไม่ใช่องค์จริงของพระองค์แท้ ๆ แต่ขอให้รู้ว่า นี่คือสิ่งที่เป็นแทนพระพุทธรูปหรือแทนพระพุทธเจ้าองค์ที่เรารักมาก เรามีความผูกพันกับพระองค์มากเราก็จับภาพนี้ได้ไม่ยาก ถ้าเรามีความรักและความผูกพันกับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันก็ดี หรือว่าพระพุทธเจ้าที่มีพระนามว่าพระพุทธกัสสปก็ดี ก็ลองนึกเอานะองค์ไหนดี หรือดีทุกองค์ เอาล่ะ ตอนนี้หายง่วงก็ตอนหาพระกันนี่หล่ะ ใช่ไหม ตอนคว้าเอาพระองค์ไหนดีหายง่วงเลย พอนึกออกนะ
    ทีนี้เราก็ใช้ลมหายใจเราเป็นตัวบังคับ หายใจลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ หายใจลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ อย่างนี้ ให้ลมที่มันอยู่ในร่างกายของเราที่มันเป็นของหยาบมันได้เอาออกไปเสียก่อนนะ ทีนี้เราก็ทำเหมือนคนไม่หายใจ อย่าพึ่งตายนะ เอาทำท่าเหมือนคนไม่หายใจ ทำเป็นไหม เวลาดำน้ำเคยดำน้ำไหมล่ะ อั้นหายใจ อั้นไม่ให้น้ำเข้าจมูกเรา สักประเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวมันจะมีลมค่อย ๆ คลายออกมาสังเกตุซิ พอเราอั้นลมหายใจสักพักประเดี๋ยวหนึ่งมันจะมีลมค่อย ๆ คลายออกมาเอง มีไหม สังเกตุดูนะ ลมอันนี้ลมละเอียด พอลมละเอียดมันค่อย ๆ คลายออกมาเอง เราจะรู้สึกจิตสงบ ทดสอบก่อนนะ เรานักทดลองเราก็ทดลองดูก่อนนะ นั่งทำเหมือนคนไม่หายใจ ทำเป็นไหมล่ะ อั้นนะ ไม่ได้อั้นนะ แต่ทำเฉย ๆ ทำเหมือนคนตาย คนที่ไม่มีอาการร่างกายที่หายใจอยู่ เราคิดว่าเราคือจิต ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของ ๆ เรา เราไม่จำเป็นต้องสนใจลมหายใจ เราทำใจนิ่งเฉย ๆ แล้วก็ไม่ได้สนใจว่าเราต้องหายใจ หรือต้องกำหนดลมหายใจไม่ต้องสนใจมันเลย นิ่งเลย ทำจิตนิ่งเลยนะ แล้วไม่ต้องกำหนดรู้ลมหายใจเลยนะ ปล่อยทำตัวเหมือนร่างกายตาย ลองทำชั่วขณะจิตหนึ่งซิ ไม่เกินห้าวิ เดี๋ยวลมละเอียดมันจะไหลออกมาเอง มีไหม เออรู้สึกเบาไหม ลมนี้แหละเขาเอามาใช้เพื่อดึงให้ตัวเราอยู่กับลมหายใจเข้าออกแล้วมันสงบง่ายนะ ถ้าใช้ลมหยาบเนี่ยเราจะอึดอัด แล้วปวดศรีษะ ใช้ลมที่เป็นกองละเอียดนะ มันจะไม่ปวดศรีษะเรา แล้วไม่ดึงให้จิตของเรารู้สึกหนัก อาการของลมมันก็จะเคลื่อนตัวของมันแล้วจิตมันก็นิ่ง เวลาที่จิตมันนิ่งแล้วลมหายใจมันแผ่วเบา ค่อย ๆ เคลื่อน เหมือนจะช้า มันก็ไม่ได้เชิงช้านะ แต่ไปตามอาการของสังขารเรานี่แหละ พอจิตเรานิ่งดีนึกถึงภาพของพระ เราก็เริ่มภาวนา ทีนี้ถ้าภาวนาแล้วมันฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น เราก็ทิ้งคำภาวนา แล้วก็ทำจิตเหมือนคนตายใหม่ วิธีแก้นะ ทำตัวเราเหมือนตาย ไม่หายใจ ทำใจนิ่ง ๆ เฉย ๆ ความฟุ้งซ่านมันก็จะหายไปอีก ลมมันก็จะค่อย ๆ ละเอียดแล้วก็นิ่ง พอนิ่งดีแล้วเราก็รู้สึกว่าเหมาะสมดีแล้ว เราค่อยบริกรรมภาวนา (ภาวนา)
    เดี๋ยวฉันจะพาเธอไปเที่ยว นั่งฟังไปนะ วันนี้เขามาเก็บศพคนตายกัน คือมีคนตายโดนรถชนตาย แล้วก็มีคนเขาเข้ามาเก็บศพไป ส่วนวิญญาณเขาเนี่ยไม่ได้ไปกับศพ ถูกนายนิรบาลพาเขาไป คนที่ถูกพาไปก็คือผู้หญิง อายุยัง วัยรุ่น ๆ อยู่ กระโปรงสั้น ๆ นุ่งกระโปรงสั้น ผมยาว ๆ ร่างกายผอม ๆ หน่อย ไม่ใช่คนมีเนื้อนะ แล้วก็ใส่แว่นด้วย หมวกกันน็อคไม่ได้ใส่ ตายในที่เกิดเหตุ นายนิรบาลท่านมากันสองคน แต่งจูงกระเบนสีแดง แล้วก็พาเด็กผู้หญิงคนนี้ไป ผู้หญิงร้องให้ แล้วพยายามที่สะบัดมือออก ส่วนนายนิรบาลที่จับไปรูปร่างหน้าตาท่านแข็งแรงกำยำใช่ไหมล่ะ เนื้อแน่นบึก ท่านก็พยายามไม่จับ อุ้มใส่บ่าไปเลย คือลากไปช้า เอาไปซะอย่างนั้น ยกใส่บ่าเดินลิ่ว ๆๆๆๆๆ ไปเลย ก็มีขบวนคนตายที่เขารอเข้าแถวกันเนี่ยมีอยู่ ๔ แถวได้ มีทั้งคนไทย มีทั้งคนต่างชาติมี รอเข้าแถวยาวเหยียดหมดเลย คนเหล่านี้เขาก็จะต้องถูกพาไปที่สำนักของท่านลุงพยายมนะ ไม่ต้องเดินตามเขาไปนะ ดูตามเฉย ๆ จะพาไปชม ส่วนคนที่เขาเป็นหัวหน้าใหญ่เขาก็บอกว่าครบแล้ว คนมาครบแล้ว เอาไปแค่นี้ก่อนเดี๋ยวมาเก็บทีหลัง เขาก็เอาไป ไอ้เด็กผู้หญิงคนนี้ก็ถูกเหวี่ยงลงจากบ่า โยนลงไปข้างล่างตุ๊บ เธอก็ลุกมาด้วยความงง ๆ แล้วถูกสั่งว่าเดินตามเขาไป เธอก็เดินตามกันไป แกเดินไปก็เที่ยวมองซ้ายมองขวา มองซ้ายมองขวา เลิ่ก ๆ ลั่ก ๆ อยากจะหนี ใจอยากจะหนี แต่ไม่มีกำลัง ตอนนี้กำลังไม่มีแล้วนะ กำลังจะหนีมันล้ามีแต่ว่าต้องเดินตามเขาไป เขาบอกให้เดินตามมันต้องเดิน หนีไม่ได้ หมดกำลังขา ไอ้ที่เขาไปกันนี่ไปกันเป็นขบวนเลย เยอะมากจำนวนขี้เกียจนับ แต่ว่ารั้งท้ายคือไอ้เด็กคนนี้ มันต้องรั้งท้ายไป
    ถ้าเราดูหนังก่อนดูอนาคตเขานะ ปัจจุบันมันเป็นอย่างนี้ถ้ารอไปคงหมดเวลาไม่ไปถึงไหน เอาดูอนาคตเขาเลยนะ ไปตรงถึงทางเขาเรียกว่าทางสามแพร่ง ตรงทางสามแพร่งคนจำนวนมากเลยไม่ได้เดินไปในทางตรงซ้ายมือไม่ได้ไป ไปทางลาดซ้ายมือซะมากกว่า ยิ่งขวามือไม่มีคนไปเลย โล่งโจ้งเลยทางนั้น พอถึงตรงทางสามแพร่งก็มีนายนิรบาลคนหนึ่งมายืนดักรออยู่ แล้วก็ว่าอีเด็กสาวคนนั้นน่ะมันอยู่ไหนวะ คนที่คุมท้ายเขาบอก อีนี่มันอยู่นี่ เอาตัวมานี่ซิ แกก็จับได้ก็ลากเลย ลากไปนู้นเลย ไปที่สำนักท่านลุงพยายมเลย ในเขตของท่านลุงพยายมนี่จริง ๆ แล้วมันสวยนะ ถ้าดูตามจริงมันสวย แต่คนตายมันดูไม่สวยหรอกมันน่ากลัว แต่เราดูมันสวย ภาพมันไม่เหมือนกันนะ ภาพของคนจิตใจดีมันเห็นอย่างหนึ่ง จิตใจเศร้าหมองมันเห็นอย่างหนึ่งนะ มันเห็นไม่เหมือนกัน มันอยู่ที่จิตใจของคน อย่างเธอเนี่ยไปเพราะว่าเรายังมีศีล เรายังนึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ใช่ไหมล่ะ พอเราเห็นสำนักท่านลุงพยายมเนี่ยมันเหมือนปราสาท เป็นปราสาทมียอดใช่ไหมล่ะ มีเป็นคล้าย ๆ ทอง เป็นทองผสมแก้วหลังใหญ่ หลังกลางนะ หลังใหญ่ทีเดียวล่ะ แต่เวลาคนมันใจเศร้าหมองมันไม่เห็นแบบนั้นหรอก มันเหมือนขึ้นโรงขึ้นศาล มันนึกว่ามันจะไปศาล ถูกลากตัวไปพิพากษาคดี เขาบอกเอาตัวมันมา คำสั่งเสียงดังมาก เอาตัวมันมา แกก็ยืนอยู่กลางเลย มีท่านผู้เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ท่านก็มาปรากฏ นั่งอยู่บนแท่นตรงกลาง แต่ถ้าเราจิตใจดีหน่อย เราก็เห็นท่านแต่งตัวสวยดี ใช่ไหมล่ะ หน้าตายิ้มแย้มนะ ท่านมีเมตตา แต่ไอ้คนใจไม่ดีมันไม่เห็นท่านยิ้มหรอก เห็นท่านดุ ตาโตดุ ขึงขัง เอาจริงนะ ไม่ยิ้มกับใครเลย นี่เธอจำไว้นะ มันอยู่ที่จิตคน คือถ้าจิตดีมันมีแต่สิ่งที่ทำให้เราสบายใจ ถ้าจิตมันเสียขึ้นมาไม่ว่าอะไรก็ทำให้เราทุกข์ใจทั้งหมดนั่นแหละ เหมือนเขาตายไปเขามีความคิด ตายเขาเรียกว่าตายก่อนอายุขัย แต่แปลกไหมล่ะถูกจับมาที่นี่ ปกติไม่ได้จับมาหรอกนะ แต่เด็กคนนี้ถูกจับมาก่อน แล้วก็เอามาพิพากษาคดีก่อนเขาเพื่อนเลย ในบรรดาที่เป็นแถวยาวเหยียดนี่นะ ยังไม่ได้ขึ้นโรงขึ้นศาลนะ ไอ้พวกนี้ต้องเอาไปรอการสอบสวนคดีไว้ก่อน แต่เด็กหญิงคนนี้มาก่อน มานี่ก่อนเลย คำแรกเลยที่ท่านลุงพยายมท่านบอกว่า เองเป็นลูกใครวะ ว่าอย่างนี้ ไอ้เด็กมันก็พยายามนึกชื่อพ่อชื่อแม่มันนะ มันนึกไม่ออกหรอก แต่มันนึกออกแต่หน้าพระ เพราะว่าตอนเด็ก ๆ มันจำได้ว่าแม่เขาเนี่ยเข้าไปให้ถวายให้เป็นลูกของพระ เป็นหลวงตาองค์หนึ่ง แต่งชุดสีเขาเรียกสีพระราชทานนะ พระองค์นั้น อายุท่านประมาณ ๗๐ กว่า ๆ แล้ว ก็รูปร่างไม่ได้อ้วนนะ เนื้อเริ่มเหี่ยว ๆ แล้วละ มีอายุมากนะ เขายกให้เป็นลูกท่าน ท่านเป็นพระดี ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ อยู่จังหวัดอะไรหว่า ศรีสะเกษหรือไง ไอ้เด็กมันนึกได้ นึกได้ว่ามันเป็นลูกพระ แต่มันนึกชื่อพ่อชื่อแม่มันไม่ออก เออแปลกดีไหม จิตมันมีสภาพจำ แต่ว่าบุญมันยังมีนะพามาที่นี่ก่อน ถูกสอบสวนคดีเอาซะก่อนเพื่อนเลยนะ ไม่ต้องรอทุกข์ทรมานอยู่ในที่กักกัน ที่เขาเรียกรอการสอบสอนถูกไหมล่ะ มาถึงท่านถามเลย มึงลูกใครวะ ไอ้นี่มันบอกว่าหนูลูกพระ แล้วพระองค์นั้นท่านก็มา หลวงพ่อองค์นั้นนะ ท่านก็มา มายืนยันว่าลูกผมเองครับ เขาเอามาถวาย แต่ตัวจริง ๆ ท่านไม่ได้มานะ แต่นี่มันเป็นการสืบพยาน ยืนยันว่าที่เด็กพูดนะจริง ว่าเขาเป็นลูกพระ เออ พอพระท่านมาปั๊บเด็กมันก็ดีใจ ว่าหลวงพ่อช่วยหนูด้วย เขาเอาหนูมาทำอะไรไม่รู้ที่นี่ หนูไม่อยากมา หนูกลัว มันว่าอย่างนั้น หนูกลัวมากเลย มันยังไม่รู้มันตายนะ หนูกลัวมากเลย ก็เลยบอกว่า ท่านลุงพยายมก็เลยบอกว่า ไอ้หนูมึงนะไม่น่าจะตายนะ มันตกใจ หนูตายแล้วหรือ เออเองตายแล้วว่ะร่างของเองนู้นเขาเอาไว้ที่โรงพยาบาลก่อน เองกลับไปไม่ได้แล้วลูกเอ้ย เองหมดเวลาแล้ว ว่าอย่างนี้ นี่ข้าเอาเองมาก่อนนี่ก็เพื่อจะไม่หลงไปอยู่ใน เขาเรียกอะไรแบบคนที่ยังไม่ถึงเวลาตายแล้วมันจะต้องร่อนเร่ไปเหมือนสัมภเวสี ไม่งั้นมันต้องอยู่หลายสิบปีนะ กว่ามันจะตายเนี่ย ไม่ใช่กรรมใหม่มาริดรอนชีวิตให้เหลือสั้นนะ กรรมเก่ากรรมที่เคยร่วมไปเอาเต่าไปฆ่า ทำให้ชีวิตที่เกิดมาชาตินี้อายุเลยอยู่ไม่นาน เพราะไปฆ่าสัวต์ที่มีอายุยืนเอาเข้า เรื่องของเรื่องเป็นอย่างนี้ พอตายก่อนอายุขัยปั๊บ แต่ไม่ใช่กรรมชาตินี้นะ ชาตินี้มันไม่ได้ทำอะไรมาก เขาก็เลย บุญมันยังมีตรงที่มันเป็นลูกของพระ ท่านก็เลยบอกว่าเออ งั้นเองพักก่อนที่เองจะไปรับเสวยผลของบุญ เวลานี้นะข้าให้เองไปพักก่อน รู้ไหมไปพักที่ไหน ไปอยู่กับหลวงตา ให้ไปอยู่พักกับหลวงตาก่อน เองไปอยู่กับพ่อเองก่อน เดี๋ยวถึงเวลาแล้วข้าจะเรียกตัวเองมาอีกทีหนึ่ง เขาก็ให้ไปอยู่กับหลวงพ่อ แล้วรู้ไหมไปอยู่กับหลวงพ่อไปอยู่ตรงไหน เอาซิ ทีนี้งานเข้า อยู่กับหลวงพ่อก่อน ก็มีท่านนายนิรบาลพาไป พาไปถึงก็ไปฝาก เขาเรียกนางตานีใช่ไหมล่ะ นางตานี ฝากนางตานีให้ช่วยดูแลไอ้หนูนี่มันก่อนนะ เลี้ยงดูมันด้วยนะ ถ้ามันต้องการอะไรก็จัดหาให้มันด้วย ว่าอย่างนี้
    ไอ้เรื่องนี้เราเอามาให้เธอฟังเนี่ย เรื่องที่ชวนให้เธอได้พิจารณาอย่างหนึ่งก็คือว่า เวลาจิตมันออกจากร่างไปแล้วนี่นะ ถ้ามันไม่มีที่เกาะเหนี่ยวรั้งจิตใจไว้ในทางกุศลอย่างใดอย่างหนึ่งเนี่ย โอกาสที่จะถูกพาไปในที่สอบสวนคดีเนี่ยมันแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์นะไปกันแน่ อีกประการหนึ่งคือความตายมันไม่มีนิมิตเครื่องหมายบอกใครว่าจะตายตอนไหน ตายที่ไหน พอเราตายปุ๊บบางคนไม่รู้ว่าตัวเองตายหรอก เพราะว่าไอ้ทุกขเวทนาอย่างไอ้เด็กหนูคนนี้ มันโดนรถใหญ่บี้ ไอ้คนขับมันไม่ตายแต่ตัวมันซ้อนท้ายตาย เป็นอย่างนี้ อุบัติเหตุนะ ตาย แต่มันก็ไม่รู้สึกว่าไอ้ตอนนั้นมันโดนชน ไม่เห็นรถนะ รถราอะไรไม่เห็น รู้แต่ว่ายืนอยู่ ยืนอยู่ตรงถนนแล้วก็มีลุง คนที่มีอายุที่ว่า นายนิรบาลเนี่ยพอถึงก็มาจับตัวเอาไปเลย ไปเธอก็สะบัดซืนึกว่าชายแปลกหน้า ก็จับสะบัด ๆ มันก็จับลำบากท่านก็จับอุ้มขึ้นบ่าเลย อือ ขืนเดินช้ามันดิ้นวิ่งเลย เป็นอย่างนั้น
    ทีนี้ไอ้กุศลผลความดีที่เขาทำมาแต่ในอดีตมันก็ส่งผลมี ไอ้กรรมแต่ในอดีตตามทันมันก็เกิดผลแบบนี้ เราทุกคนเราก็ไม่ได้หยั่งรู้ว่าความชั่วแต่ในอดีตมันจะตามส่งผลในชาติปัจจุบันทันหรือว่ามันไม่ทัน แล้วถ้ามันเอาเราทันมันจะเกิดอะไรขึ้นกับเราในปัจจุบัน เราก็หยั่งใจตัวเองไม่ได้ถูกไหมล่ะ ความดีที่เราตั้งใจทำกันเนี่ย ข้อสำคัญคือว่าเราจะต้องระลึกนึกถึงไว้เสมอ อย่างเธอเจริญภาวนา เราอย่าภาวนาแบบต้องการให้ได้รู้ได้เห็นอะไร อย่างเพียงสิ่งที่เป็นผลของวิชาอย่างเดียวพอนะ ภาวนาเอาตัวให้รอดด้วย เวลาเราภาวนา พุทธัง เมฆะ นิมิต จิตตัง มะอะอุ ธัมมัง เมฆะ นิมิต จิตตัง อุอะมะ ใช่ไหม สังฆัง เมฆะ นิมิต จิตตัง อะมะอุ ให้เราถวายชีวิตเป็นลูกพระพุทธเจ้าไปเลย หรือว่าเรากล่าวว่าเราเป็นสาวกขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือเป็นลูกของพระพุทธเจ้านั่นแหละ เราจะรักและศรัทธาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ด้วยชีวิต เราจะไม่ประพฤติตนให้ผิดไปจากที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เราก็คิดอย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าศีลที่เราพอจะรักษาได้โดยไม่ลำบากใจเรา ก็คือศีล ๕ กรรมบท ๑๐ เราก็รักษาเอาไว้ให้ดี เวลาเราภาวนาแล้วจิตเราตั้งมั่นในข้อธรรม ข้อปฏิบัติใจของเราแบบนี้ ผลของการภาวนาจะมีผลสูงมาก มากกว่าเราภาวนาไปเรื่อย ๆ หรือภาวนาเพื่อหวังจะให้เรามีอารมณ์ทิพจักขุญาณเฉย ๆ เพราะอย่าลืมนะว่า เราไม่ใช่มีแต่กรรมใหม่ กรรมเก่ามันก็มี ไอ้กรรมเก่าถ้าหากมันมีกำลังมาก มันอาจจะทำให้เราหลุดออกมาจากร่างกายเมื่อไหร่ก็ได้ คราวก่อนฉันเคยสังเกตุตัวเราเองเนี่ย แต่ก่อนอาจจะไม่ได้ทันจับอาการของสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ว่ามันสามารถที่จะทำให้เรานั้นลืมได้ในชั่วขณะจิตเดียว แว๊ปไม่รู้เลยว่าเราทำของตก แต่ก่อนนะมันจะไม่รู้เลย แต่เวลาในปัจจุบันเนี่ยมันเหมือนภาพช้า ๆ ให้เราได้เห็นว่ามันเป็นอย่างนี้ แล้วมันทำของให้ตกอย่างนั้น แต่เราไม่อาจจะสามารถจะยับยั้งเรื่องราวที่มันจะเกิดขึ้นได้เลย ไม่สามารถแตะต้องหรือหยิบของที่จะตกไม่ให้มันตกได้เลย เร็วมากนะชั่วขณะจิตเดียว อะไรก็เกิดได้ ต่อให้รู้เท่าทันยังไงก็ไม่สามารถที่จะไปยับยั้งสิ่งที่เกิดได้ ข้อนี้ฉันใดนะ งั้นการที่จิตของเราจะออกจากร่างมันเร็วเกินที่เราคิดมาก ลัดนิ้วมือเดียวอย่างนี้ เขาเอานิ้วมือมาลัดกันเนี่ยยังช้ากว่าในเวลาที่จิตออกจากร่าง ขนาดภาพของตกสโลให้ฉันเห็นนะ มันยัง ถ้าดูธรรมดามันตกเพล้ง แต่ในขณะนั้นฉันเห็นภาพมันสโลตกลงไป เหมือนเราต้องค้างดูมันตกเนี่ย ทำอะไรไม่ได้เลย เนี่ยมันต้องเตือนตัวเราว่าของเหล่านี้มันยากที่จะยับยั้งอาการสิ่งที่มันเกิดขึ้นโดยที่เราไม่สามารถที่จะบอกได้เลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเรา แม้กระทั่งความตายของสังขารนี้ก็ตาม งั้นทุกขณะจิตที่เราตั้งมั่นไว้ตั้งแต่ตื่นใหม่ ๆ จนเราจะหลับเนี่ย สิ่งที่เราไม่ควรประมาทพลั้งเผลอเลยก็คือว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ๓ ประการนี้นะให้มันรักษาจิตใจเราไว้ให้มาก แต่เราไม่ได้ภาวนาเอาเป็นเอาตาย หรือภาวนาให้ทรงฌาณ หรือภาวนาให้ทิพจักขุญาณเราแจ่มใสอย่างเดียวหรอกนะ ไอ้นั่นคือผลพลอยได้ คือเกิดได้เมื่อมีความจำเป็นที่พึงรู้หนึ่ง เกิดได้เมื่อครูบาอาจารย์ท่านสงเคราะห์ให้เราได้รู้อีกหนึ่ง หรือว่าเกิดได้เมื่อมันมีความฉุกเฉินขึ้นมาเขาเรียกว่าคับขันขึ้นมาเราจะรู้ได้ทันทีว่ามันมีอะไร หรือมีอะไรสะดุดใจเรามาปั๊บมันก็รู้ได้ทันที สิ่งนี้เราไม่ต้องไปคาดคะเน หรือว่าตั้งจิตตั้งใจจนเกินไปว่าเราภาวนา พระคาถาบทนี้แล้วเราจะต้องมีทิพจักขุญาณแจ่มใส ตามใจที่เราคิดไม่ต้องคำนึงอย่างนั้นนะ ยังไงมันได้แน่ ได้ทุกคนแหละ
    แต่ที่อยากให้เธอเก็บเอาไปทำกันอีกนิดหนึ่งนะ ก็คือว่าให้เตือนตัวเราไว้เสมอ ๆ ว่าความตายไม่มีนิมิตไม่มีเครื่องหมาย เราภาวนา พุทธัง เมฆะ นิมิต จิตตัง มะอะอุ ก็เหมือนได้ฝากชีวิตของเราไว้กับพระ เหมือนเป็นลูกของพระ งั้นไม่มีใครเอาลูกของพระไปที่ตกต่ำได้ แล้วสิ่งใดจะทำให้เราไม่สามารถมีสติหยั่งรู้ หรือว่าไม่มีสตินึกถึงความดีของพระก็คงทำให้เราเสีย เสียสิ่งนี้ไม่ได้ เพราะอกุศลกรรมมันมีแน่ แต่มันมาทำให้เราผันแปรในความคิดไปทางที่ชั่วไม่ได้ อันนี้สำคัญนะ เรื่องนี้เป็นตัวอย่างดีอย่างหนึ่งเลยแหละ เขารอดได้ก็เพราะว่าเขาเป็นลูกของพระ ถ้าตามปกติเลยนะ เด็กคนนี้จะต้องล่องลอยอยู่เหมือนสัมภเวสี ต้องนับว่าเป็นหลักสิบปีขึ้นนะ กว่าเขาจะหมดอายุขัย แต่ในผลความดีที่เขาได้เป็นลูกของพระไว้นั่นแหละ ทำให้ทุกอย่างท่านไม่สามารถที่จะเอาเด็กคนนี้ไปอยู่ในที่ ๆ ลำบาก ทั้ง ๆ เวลาของเขาต้องอยู่ในที่ ๆ มันไม่อาจจะช่วยเหลือได้ รอไปเถอะคุณจะล่องลอยอยู่ยังไงจะอยู่ลำบากลำบนหรือทุกข์ทนยังไง มีใครจะช่วยไหม ไม่มีใครสามารถที่จะไปวุ่นวายกับชีวิตเด็กคนนี้ได้เลย เว้นแต่ว่าพ่อแม่เขาจะฉลาด แต่ถ้าพ่อแม่เขาไม่ค่อยรู้ว่าลูกของเขาอยู่ที่ไหน แล้วเขาจะทำยังไงให้ลูกของเขาพ้นจากความทุกข์และความเดือดร้อนได้ เด็กคนนี้ก็คงจะต้องเดินเศร้าโศก ร้องห่มร้องให้เสียอกเสียใจ ทรมานกับชีวิตที่มันไม่มีอะไรจับแตะต้องได้ นอกจากเรื่องราวของผี ๆ ด้วยกัน นั้นก็อีกสังคมหนึ่งนะ สังคมของคนตายด้วยกันว่างั้นเถอะ แล้วพวกสัมภเวสีมันไม่ใช่ธรรมดานะ คนตายประเภทนี้นะส่วนใหญ่ไม่ค่อยธรรมดา เอาเรื่องเหมือนกัน มีหัวโจกเหมือนกันอย่างนี้ งั้นถือเป็นความโชคดีที่เขาเป็นลูกของพระถูกไหม คนโบราณเขาฉลาดเวลาเด็กเกิดมา เขาจึงฝากเป็นลูกของพระไว้ ที่เขาฝากเป็นลูกของพระเพราะเขากลัวเขาจะรักษาเด็กคนนี้ไม่ได้ บุญเขาไม่พอ บางทีเด็กมันป่วยไข้ไม่สบายมากๆ เข้า เกรงว่าจะตายในวัยก่อนอันควรใช่ไหมล่ะ เขาก็เลยเอาไปฝากเป็นลูกของพระ พระองค์ไหนเขาสบายใจมีความศรัทธาเลื่อมใสเขาก็ถวายเป็นลูกของพระไป บางทีก็ถวายเป็นลูกของพระพุทธเจ้าเลย อย่างนี้ก็มี แต่เด็กคนนี้โชคดีที่พ่อแม่เขาเอาไปถวายกับหลวงพ่อองค์ที่ว่า ถ้าไม่ผิดก็อยู่ที่จังหวัดศรีสะเกษ
    ฝากเอาไว้คิดนะ เจริญสมาธิจิตทำไว้ลูก วิธีเข้าสมาธิอย่างที่แนะนำตอนแรก เอาไว้ใช้ระงับอารมณ์ฟุ้งซ่านนะ นอกจากสิ่งที่เราพิจารณาเรื่องของพรหมวิหาร ๔ ดีแล้ว ทำอะไรครบถ้วนดีแล้วตามแบบฉบับครูบาอาจารย์สอนเรามาพอจำได้ใช่ไหมล่ะ อันนี้ก็เพิ่มเติมเข้าไปอีกหน่อยว่า เวลาจะตั้งองค์ภาวนาหรือจับภาพนิมิตพระอะไรเนี่ยนะ ดึงลมหายใจเราลึก ๆ คายลมหายใจเราออกให้มาก ๆ ก่อน สักระยะหนึ่งสักสองสามครั้งก็ได้ แล้วก็ทำเหมือนจิตที่ไม่ติดกับร่างกาย เหมือนกับว่าอยู่คนละที่ ร่างกายก็ส่วนร่างกาย จิตก็อยู่ส่วนจิตนะ จิตเราก็ทำใจนิ่ง ๆ ไม่คิดอะไรเลย ไม่นึกถึงอะไรเลย ไม่คิดอะไรเลย ปล่อยมันนิ่ง ๆ เฉย ๆ สังขารร่างกายเราก็ปล่อยมันเลย ไม่ต้องสนใจลมหายใจเลย ไม่สนใจว่าร่างกายกระดิกตัวเป็นยังไงไม่สนใจเลย ทิ้งมันสักพักหนึ่งเดี๋ยวลมมันจะค่อย ๆ คลาย เหมือนมันค่อย ๆ แย้มออกมาเนี่ย แล้วเราจะรู้สึกลมละเอียดมันค่อย ๆ ไหลเข้า ไหลออก เห็นไหม มันเย็นภายในตัวเราดี ใช่ไหมล่ะ เย็นแล้วก็นิ่งดี อย่างนี้ถ้าเราสงบ เพราะถ้าเพลินนะเธอก็รู้ลมหายใจเข้าออก นับหนึ่ง นับสองไปเรื่อย ๆ ก่อน ถ้าจิตเราเริ่มมั่นใจว่าจิตเราไม่เคลื่อน เราก็นึกถึงภาพพระพุทธรูป องค์ใดองค์หนึ่ง เราก็บริกรรมภาวนาไป ถ้าภาวนาไปจิตมันเริ่มวอกแวก หยุดเลย ทำอย่างนี้นิ่งเลย ทิ้งทุกอย่าง ทำใจหยุดทุกอย่างแล้วก็ทิ้งร่างกายให้มันอยู่นิ่ง ๆ เฉย ๆ สักพักลมหายใจก็จะกลับมาใหม่ ละเอียดขึ้นมาใหม่ ไอ้นี้เขาเรียกกองลมละเอียด เวลาจับลมละเอียดจิตจะสงบเข้าสู่ฌาณสมาบัติได้เร็ว เป็นเคล็ดลับวิชาเขา ของพระป่าเขานะ แต่ไม่บอกว่าองค์ไหน แต่ก็ไม่ได้เป็นวิชาอะไรนะ หมายความว่ามันทำให้จิตของเราสงบนิ่งง่าย ยกตัวอย่างเหมือนเราดำน้ำ เหมือนเราดิ่งลงไปในน้ำดำลงไป เราตอนนั้นเราไม่คิดอะไรหรอก นอกจากเราจะดำน้ำ แล้วเราค่อยพยายาม หัดปิดจมูกเราไม่ให้น้ำเข้าจมูกเรา เราก็นิ่งดำลงไปลึกๆๆๆ อย่างนี้ ช่วงเวลานั้นจิตมันจะสงบดีไม่ฟุ้งซ่าน อุปมาว่าแบบนั้น เราก็ทำจิตก็ส่วนจิต นิ่งไว้ ร่างกายเราก็ปล่อยร่างกาย ไม่ต้องไปสนใจมันเลย ลืมมันไปเลย แล้วไม่กำหนดให้ลมเข้าลมออกนะ ปล่อยมันนิ่ง ๆ นิ่งทั้งเรานิ่งทั้งจิต คือกายก็ปล่อยนิ่งไปเสีย จิตก็ปล่อยให้นิ่งไปซะ ทำสองอย่างให้มันนิ่งไปด้วยกัน ถ้าพักแต่ร่างกายมันนิ่งไม่ได้ เดี๋ยวมันคลาย ลมละเอียดมันจะออกมาค่อย ๆ คลายออกมา เบาแผ่วเบา ใช่ไหมล่ะ มันจะเบาแล้วรู้สึกมันสงบง่าย นิ่งรู้ว่าลมละเอียดค่อย ๆ ไหลผ่าน ถ้าเธอสามารถนะ นี่เราว่าถ้าเธอสามารถทำเป็นลมสามฐานได้นะ ในขณะที่ลมละเอียดเคลื่อนสู่ร่างกายเข้าออก เข้าออกเนี่ยนะ แล้วมันกระทบปลายจมูกเรา กระทบหน้าอก กระทบเหนือสะดือขึ้นมาหน่อยนะ มันไหลเข้า ไหลออกอย่างนี้นะ มันไม่เร็วนะ ลมละเอียดมันจะไปช้า ๆ เรื่อย ๆ อย่างนี้ เธอจะสงบมากเลย การเข้าถึงฌาณ ๔ จะเป็นไปโดยง่าย เป็นวิธีลัดอย่างหนึ่งนะ เอาไว้ใช้เพื่อระงับนิวรณ์ แล้วก็เวลาจิตมันมีความฟุ้งซ่านหรือเวลา คิดกลับไปกลับมาอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่าภาพนิมิตนะเปลี่ยนก็หยุดเสีย อย่าปล่อยนะ ถ้าภาพใดภาพหนึ่ง เราจับแล้ว แล้วมันเปลี่ยนเป็นภาพอื่นปุ๊บทิ้งเลย หยุดเลยนะ หยุดมาทำใจให้นิ่ง กายให้นิ่ง สักพักหนึ่งแล้วก็จับภาพนิมิตเดิมขึ้นมาใหม่ ทำแบบนี้ซ้อมทำไปเรื่อย ๆ ทำจนกว่ามันจะคุ้นเคยกับภาพพระองค์นั้นแล้วก็การบริกรรมภาวนา กับการที่ใช้กำหนดใจนิ่งเพื่อระงับนิวรณ์ ซ้อมให้คล่องไว้ นั่ง เดิน ยืน นอน ตรงไหน ก็ไม่ต้องหลับตาหรอก เรานิ่ง ๆ เฉย ๆ ตาก็ทำตาค้าง ค้างแรมค้างวันก็ทำไปเถอะ ทำค้าง ๆ ไว้นะไม่ต้องหลับตานะ เดี๋ยวเขาหาว่าเป็นพวกโชว์ปฏิบัติ นั่งตรงไหนก็นั่งหลับตาปี๋ เจริญภาวนา พอเข้าใจไหม เออ ก็ไม่มีอะไรมากกว่านี้ อยากให้รู้วิธีการเข้าสู่ความสงบง่าย ๆ ซักซ้อมเธอไว้ จะได้เอาไปใช้ปฏิบัติกันนะ ช่วงเวลาที่เรากลับไปบ้าน ไปลองทำดู
    อีกประการหนึ่งก็เอาไว้เตือนสติตัวเราว่าความตายมันไม่มีนิมิตและก็ไม่มีเครื่องหมายจริง ๆ มันเกิดได้ทุกขณะจิตที่มันอยากจะเกิด แล้วการเกิดเราก็ยั้งไม่ได้ด้วย ยั้งสิ่งที่เกิดไม่ได้ด้วยนะ งั้นเวลามันหลุดออกไปแล้วตอนนั้นมันไม่รู้ตัวเลยว่าสังขารมันอยู่ในสภาพไหน เละตุ้มเป๊ะหรือเปล่า ไม่รู้ จะอยู่ในสภาพที่เรากลับไปไม่ได้แล้ว มันอาจจะเป็นอย่างนั้นเลยก็ได้ แล้วถ้าถึงเวลาจุดนั้นจริง ๆ ล่ะ เราจะมีอะไรล่ะ เราก็ต้องเตรียมพร้อมไว้ก่อนถูกไหม เพื่อความไม่ประมาทนะ แต่ก็ไม่ได้ว่าทำกลัวตาย ไม่ใช่อย่างนั้นนะ เราระลึกอยู่เสมอว่าทุกวันนี้ ชีวิตอินทรีเราเนี่ย เราก็ถวายไว้ในพระศาสนา ทุกครั้งที่เราบูชาพระ เจริญพระกรรมฐานเราก็กล่าวว่า อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิ ถูกไหมล่ะ เรามอบกายถวายชีวิตต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนะ เหมือนกับเราได้ฝากชีวิตไว้กับพระองค์แล้ว งั้นคำบริกรรมของเราก็เหมือนกับว่าเรามีชีวิตอยู่ได้ ก็เพราะว่ามีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ดุจดังพ่อของเรา เราก็เป็นลูกของพระนะ ทำอย่างนั้นแล้วก็บริกรรมภาวนาของเราไปเรื่อย ๆ แล้วคราวหน้าเรามาดูกันว่าเธอจะทรงสมาธิจิตได้ดีกว่าเดิมไหม เรามาแข่งกันหน่อยนะ ส่ายหน้า แข่งกันหน่อยไหมล่ะ ก็เอากันแค่นี้แหละ
    ๖.๒ การเข้าสู่ความสงบง่าย ๆ วิธีเข้าสมาธิอย่างที่ท่านแนะนำ เอาไว้ใช้ระงับอารมณ์ฟุ้งซ่าน นอกจากสิ่งที่เราพิจารณาเรื่องของพรหมวิหาร ๔ ดีแล้ว ทำอะไรครบถ้วนดีแล้วตามแบบฉบับครูบาอาจารย์สอนเรามา เวลาจะตั้งองค์ภาวนาหรือจับภาพนิมิตพระ ดึงลมหายใจเราลึก ๆ คายลมหายใจเราออกให้มาก ๆ ก่อน สักระยะหนึ่งสักสองสามครั้งก็ได้ แล้วก็ทำเหมือนจิตที่ไม่ติดกับร่างกาย เหมือนกับว่าอยู่คนละที่ ร่างกายก็ส่วนร่างกาย จิตก็อยู่ส่วนจิต จิตเราก็ทำใจนิ่ง ๆ ไม่คิดอะไรเลย ไม่นึกถึงอะไรเลย ไม่คิดอะไรเลย ปล่อยมันนิ่ง ๆ เฉย ๆ สังขารร่างกายเราก็ปล่อยมันเลย ไม่ต้องสนใจลมหายใจเลย ไม่สนใจว่าร่างกายกระดิกตัวเป็นยังไงไม่สนใจเลย ทิ้งมันสักพักหนึ่งเดี๋ยวลมมันจะค่อย ๆ คลาย เหมือนมันค่อย ๆ แย้มออกมา แล้วเราจะรู้สึกลมละเอียดมันค่อย ๆ ไหลเข้า ไหลออก มันเย็นภายในตัวเราดี เย็นแล้วก็นิ่งดี อย่างนี้ถ้าเราสงบ เราก็รู้ลมหายใจเข้าออก นับหนึ่ง นับสองไปเรื่อย ๆ ก่อน ถ้าจิตเราเริ่มมั่นใจว่าจิตเราไม่เคลื่อน เราก็นึกถึงภาพพระพุทธรูป องค์ใดองค์หนึ่ง เราก็บริกรรมภาวนาไป ถ้าภาวนาไปจิตมันเริ่มวอกแวก หยุดเลย ทำอย่างนี้นิ่งเลย ทิ้งทุกอย่าง ทำใจหยุดทุกอย่างแล้วก็ทิ้งร่างกายให้มันอยู่นิ่ง ๆ เฉย ๆ สักพักลมหายใจก็จะกลับมาใหม่ ละเอียดขึ้นมาใหม่ กองลมละเอียด เวลาจับลมละเอียดจิตจะสงบเข้าสู่ฌาณสมาบัติได้เร็ว เป็นเคล็ดลับวิชา วิธีลัดอย่างหนึ่ง เอาไว้ใช้เพื่อระงับนิวรณ์ แล้วก็เวลาจิตมันมีความฟุ้งซ่านหรือเวลา คิดกลับไปกลับมาอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่าภาพนิมิตนะเปลี่ยนก็หยุดเสีย อย่าปล่อยถ้าภาพใดภาพหนึ่ง เราจับแล้ว แล้วมันเปลี่ยนเป็นภาพอื่นปุ๊บทิ้งเลย หยุดเลย หยุดมาทำใจให้นิ่ง กายให้นิ่ง สักพักหนึ่งแล้วก็จับภาพนิมิตเดิมขึ้นมาใหม่ ทำแบบนี้ซ้อมทำไปเรื่อย ๆ ทำจนกว่ามันจะคุ้นเคยกับภาพพระองค์นั้นแล้วก็การบริกรรมภาวนา กับการที่ใช้กำหนดใจนิ่งเพื่อระงับนิวรณ์ ซ้อมให้คล่องไว้
    อีกประการหนึ่งก็เอาไว้เตือนสติตัวเราว่าความตายมันไม่มีนิมิตและก็ไม่มีเครื่องหมายจริง ๆ มันเกิดได้ทุกขณะจิตที่มันอยากจะเกิด แล้วการเกิดเราก็ยั้งไม่ได้ด้วย ยั้งสิ่งที่เกิดไม่ได้ เวลามันหลุดออกไปแล้วตอนนั้นมันไม่รู้ตัวเลยว่าสังขารมันอยู่ในสภาพไหน เราก็ต้องเตรียมพร้อมไว้ก่อน เพื่อความไม่ประมาท แต่ก็ไม่ได้ว่าทำกลัวตาย เราระลึกอยู่เสมอว่าทุกวันนี้ ชีวิตเรา เราก็ถวายไว้ในพระศาสนา ทุกครั้งที่เราบูชาพระ เจริญพระกรรมฐานเราก็กล่าวว่า อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิ เรามอบกายถวายชีวิตต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เหมือนกับเราได้ฝากชีวิตไว้กับพระองค์แล้ว คำบริกรรมของเราก็เหมือนกับว่าเรามีชีวิตอยู่ได้ ก็เพราะว่ามีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ดุจดังพ่อของเรา เราก็เป็นลูกของพระ ทำอย่างนั้นแล้วก็บริกรรมภาวนาของเราไปเรื่อย
    ได้ปฏิบัติตามที่ท่านแนะนำในการฟังครั้งนี้ ฝึกตามที่ท่านสอนก่อนการภาวนาว่าให้เราทำยังไงแล้วมันจะสงบเร็วขึ้น แล้วก็บทภาวนาจับภาพพระ ไม่ให้เราประมาทในความตาย ด้วยการปฏิบัติให้รู้และอยู่กับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ปฏิบัติไปเรื่อย ๆ ให้มีความทรงตัว ท่านสอนให้เข้าใจได้ง่ายสามารถปฏิบัติตามได้ครับ
    +++++++++++++++++++


    1f3ac.png #ขอให้ทุกท่านฟังเสียงท่านจิตโตเทศน์ให้จบ
    1f58b.png 1f4da.png เพราะเนื้อหาข้อความข้างต้นนี้ เป็นเพียงบางส่วนที่ท่านผู้เข้าร่วมปฏิบัติบูชากับทางกลุ่ม ได้สรุปจากการฟัง
    1f575.png ดังนั้นตัวอักษรตัวสะกดคำ ตัวสระ รวมทั้งเนื้อหาข้อธรรมคำสอน เว้นวรรคช่องไฟบางส่วนอาจจะตกหล่น หรือไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ตามที่พระท่านเทศน์
    1f531.png จึงขอแนะนำให้ท่านที่สนใจในพระธรรมคำสอน
    เปิดฟังคลิปเสียงธรรม ตามลิงค์ด้านล่างนี้ 2b07.png
    269c.png แสดงธรรม 269c.png
    โดยหลวงพ่อสมปอง สุธัมมสันตจิตโต(บ้านสบายใจ)


    2734.png #พระกรรมฐานพุทธานุสติการจับภาพพระ #และเตือนระลึกนึกถึงความตาย
    วันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๖
    https://youtu.be/QZtPYUba6Fw?si=SllqP57Audt9_3Bs
    1f531.png ท่านที่สนใจศึกษาฟังธรรมคำสอน ที่กัลยามิตรเข้าร่วมปฏิบัติบูชาได้ที่เพจ"#คำครู" https://www.facebook.com/profile.php?id=61562898404821&mibextid=ZbWKwL


    1f58b.png 1f4da.png แบ่งปันเป็นธรรมทานโดย 269c.png
    1f9d8.png จิตหนึ่งประภัสสร สุดยอดคือพระนิพพาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...