พ่อแม่....ผู้สร้างมงคลให้ชีวิต

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย TUK2800, 12 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. TUK2800

    TUK2800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,766
    ค่าพลัง:
    +1,161
    [​IMG] พ่อแม่....ผู้สร้างมงคลให้ชีวิต [​IMG]


    ผมอยากให้ข้อเขียนเรื่องนี้ "พ่อแม่....ผู้สร้างมงคลให้ชีวิต" เป็นประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่าน
    เพราะถ้าอ่านด้วยการพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้ว จะเห็นได้ว่าเป็นการสร้างสิ่งที่ดีๆ สิ่งที่เป็นมงคลกับชีวิตคุณๆจริงๆ

    เดี๋ยวนี้ความผูกพันระหว่างพ่อแม่และลูก ดูเหมือนจะห่างกันมากขึ้น อาจจะเป็นเพราะในโลกยุคปัจจุบันนี้
    มีกิจกรรมที่น่าตื่นเต้นมากขึ้น มีสิ่งที่น่าสนใจ น่าศึกษา น่าหาความรู้ และน่าเข้าไปร่วมในกิจกรรมมากมาย
    มีโลกของอินเตอร์เน็ต มีเพื่อนมีหนังมีรูปมีเกมส์ให้ดูให้เล่นมากมาย เวลาที่ควรจะอยู่ด้วยกันกับพ่อแม่
    หรือญาติพี่น้องจึงน้อยลงไปด้วย

    เดี๋ยวนี้เราจะเห็นเด็กๆ นั่งเล่นเกมส์ตามร้านคอมฯ ทั่วไป เย็นค่ำจนดึกดื่น แทนที่จะกลับไปที่บ้าน นั่งคุยหรือเล่นเกมส์ที่บ้าน เพื่อเป็นการสังสรรค์กับพ่อแม่พี่น้องที่บ้าน เรื่องนี้ถ้าจะมาพูดถึงต้นเหตุและปัญหา ก็คงจะเป็นเรื่องที่ยืดยาว และหาที่จบไม่ได้ เอาเป็นว่ามาพูดถึงเรื่องบางเรื่องที่เราคาดไม่ถึง แต่เป็นเรื่อง "หญ้าปากคอก" กันดีกว่า มีหลายรายที่มาปรึกษาผมและพอพูดคุยกันแล้ว

    สาเหตุหนึ่งก็คือ "การไม่ได้ทำตัวเป็นลูกที่ดี" ของพ่อแม่ การไม่ทำตัวเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่นั้น
    เท่าที่ผมได้รับฟังปัญหา ก็มีอย่างนี้

    1.ชอบเถียงพ่อเถียงแม่
    2.ชอบทำให้พ่อแม่เสียใจ บางรายถึงกับทำให้พ่อแม่ร้องไห้
    3.ไม่เลี้ยงดู ไม่ปรนนิบัติพ่อแม่ตามสมควร
    4.สร้างแต่ปัญหาให้พ่อแม่
    5.ขโมยของที่เป็นสมบัติของพ่อแม่
    6.ด่าว่า กล่าวคำที่เป็นการล่วงเกินพ่อแม่
    7.ทำร้ายร่างกาย และจิตใจต่อพ่อแม่


    บุคคลใดก็ตามที่กระทำอย่างนี้ จะต้องได้รับ "กรรม" หนัก ยิ่งข้อที่ 6 และ 7 คือด่าว่าและทำร้าย
    พ่อแม่ "กรรม" จะยิ่งหนักมากมายมหาศาล โอกาสได้ไปภพภูมิต่ำถึงนรกอเวจีมีมาก
    ชีวิตของผู้กระทำการตามนี้ จะไม่มีความสุขเลยชั่วชีวิต จะไม่มีความสบายใจ มักจะมีเรื่องหงุดหงิด
    เรื่องทุกข์ ทั้งทุกข์กายและทุกข์ใจ เกิดขึ้นบ่อยๆ อะไรที่คิดว่าน่าจะได้มา น่าจะสร้างความสุข
    น่าจะประสบผลสำเร็จ ก็มักจะไม่ได้ มีการเลื่อน คลาดเคลื่อน จนสุดท้ายก็ไม่ได้เลย

    ผมเคยรู้จักคนๆหนึ่ง ก็พอจะรู้เรื่องราวในอดีตของเขา ต่อหน้าสาธารณชนนั้น จะดูเหมือนเป็นคนดี
    เอื้ออนาทร และเป็นคนที่รักพ่อแม่รักครอบครัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนนี้ไม่เคยสร้างความสบายใจให้กับ
    พ่อแม่เลย หนำซ้ำยังพูดจาไม่ดีไม่ไพเราะกับพ่อแม่ พูดคำเถียงคำ มีบางครั้งถึงขนาดด่าว่าบุพการีด้วย
    บ่อยครั้งที่ผมรู้ว่าพ่อแม่ของคนๆ นี้ต้องร้องไห้ เสียใจจากการกระทำของคนนี้

    คนนี้ได้รับความก้าวหน้าจากการทำงาน มีสังคมที่กว้างไกล มีคนนับถือ มีลูกน้องที่รักเคารพมากมาย
    มีทั้งเงิน มีทั้งเกียรติยศ

    คุณๆ อาจจะสงสัยว่า ก็ไหนว่าคนที่ทำร้ายพ่อแม่ เถียงพ่อเพียงแม่ ทำให้พ่อแม่เสียใจ จะต้องได้รับ
    "กรรม" แต่ทำไมคนที่ผมเล่าถึงคนนี้ จึงมีแต่ดีวันดีคืน คืออย่างนี้นะครับ

    การรับกรรมนั้น ไม่ได้รับกรรมตามวันเวลาเป็นสำคัญ แต่การรับกรรม จะรับตามความหนักเบาของกรรม
    คือทำกรรมหนัก (ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว) ก็ต้องรับกรรมหนักนั้นก่อน เมื่อหมดกรรมหนักที่สุดแล้ว
    ก็รับกรรมที่รองๆ ลงมา

    คนนี้คงจะทำกรรมหนักที่ดีๆ มาในอดีตจึงรับกรรมที่ดีนั้นก่อน พอกรรมหนักที่ดีนั้นหมดลง กรรมที่ทำให้พ่อแม่
    เสียใจจึงเริ่มส่งผล จากนั้นเป็นต้นมา

    คนนี้ก็เริ่ม "ทรุด" ลงอย่างเห็นได้ชัด จากงานที่เคยทำแล้วประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าชื่นชม ก็ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า
    งานที่ไปเสนอลูกค้าก็ถูกปฏิเสธ จากสิ่งที่ดีๆ เดิมๆ ทั้งหมดเลวลงอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ พินาศลงในเวลาไม่นาน
    คนนี้โทรศัพท์มาปรึกษาผม คุยกันนานครับ กว่าจะรู้ว่าเขาเองไม่ได้ดูแลปฏิบัติพ่อแม่เท่าที่ควร คือไม่ดูแล
    ก็แย่พออยู่แล้ว แต่นี่ยังทำร้ายจิตใจพ่อแม่อีก พูดจากระทบกระเทียบ พูดแดกดัน ตะคอกใส่ ทำให้พ่อแม่เสียใจ
    แอบไปนั่งร้องไห้บ่อยครั้ง ผมฟังแล้วแทบจะไม่เชื่อ เพราะมันคนละบุคลิกกับเบื้องหน้าที่ผมและหลายคนเห็น ผมเลย
    แนะนำให้เขาทำแบบง่ายๆ ก็คือให้ไปกราบขอขมาพ่อแม่ แล้วให้พ่อแม่ "อภัย" ในทุกสิ่งทุกอย่างให้เขา

    แต่เงื่อนไขมันอยู่ที่ ทั้งตัวเขาเองและพ่อแม่ ต้องทำจาก "ใจ" จริง ไม่ใช่แกล้งทำ สักแต่ว่าทำ หรือทำแบบ
    ขอไปที ต้องมาจากความจริงใจ และความตั้งใจจริงที่จะทำ ฝ่ายลูกต้องตั้งใจที่จะขอขมาและยอมรับผิด สำนึกผิดจริงๆ
    มันต้องมาจากใจจริง ส่วนพ่อแม่ก็ต้อง "อภัย" ให้ลูกจริงๆ ไม่ใช่อภัยแต่เพียงปาก ต้องมีการ "อภัย" ที่มาจากใจจริง
    มีความรู้สึกที่อยาก "อโหสิกรรม" ให้ลูกจริงๆ เดี๋ยวนี้คนนี้ดีขึ้นแล้วครับ เจริญอย่างไม่น่าเชื่อ และ.."ดีขึ้น"
    อย่างน่าอัศจรรย์ใจ

    สำหรับคนที่ได้กระทำในสิ่งที่เลวร้าย หรือไม่สวยงามไม่น่ารักกับพ่อกับแม่แล้วนั้น บางทีอาจจะไม่รู้ตัวหรอกครับ
    ว่ากำลังรับกรรมในส่วนนี้อยู่ บางทีการกระทำที่เราทำกับพ่อแม่นั้น อาจจะทำไปโดยไม่ตั้งใจ ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าพ่อแม่จะ
    เสียใจในสิ่งที่เราทำ เพราะเรา "คาดไม่ถึง"

    อย่างเช่น ถ้าพ่อแม่ทำกับข้าวมาให้กิน เพราะเห็นว่าเราทำงานมาเหนื่อยเราหิว เรากลับพูดสวนกลับไปว่า
    ไม่ต้องมาสนใจหรอกน่า เดี๋ยวหากินเองได้ โตแล้วนะ ไม่ต้องมายุ่งเรื่องแบบนี้หรอก ซึ่งเราเองก็ไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้คิดว่า
    พ่อแม่ยุ่งอะไรนักหนาหรอก เพียงแต่อยากทำอาหารกินหรือหากินเอง จะได้ไม่ต้องรบกวนใคร แต่…พ่อแม่ได้ฟังอย่างนั้น
    เกิดความรู้สึกแล้ว อุตส่าห์หวังดี อยากทำอะไรอร่อยๆ ให้กิน ด้วยความหวังดี ด้วยความเป็นห่วง ได้ยินอย่างนั้น ก็เสียใจน้อยใจ คิดว่าลูกไม่สนใจ ไม่เห็นถึงความหวังดี

    บางรายอาจจะน้อยใจ จนเก็บไปร้องไห้ก็มี นี่แหละครับ เหตุการณ์คล้ายๆ แบบนี้เกิดขึ้นบ่อย
    ในรายของลูกที่ยังอยู่ร่วมกับพ่อแม่ หรือเหตุการณ์คล้ายๆ แบบนี้ คือการทำให้พ่อแม่เสียใจ น้อยใจ

    แม้ว่าเราเองจะไม่ตั้งใจก็ตาม บาป….ครับ และมีเหตุการณ์อีกหลายอย่างที่เราคาดไม่ถึงว่า การกระทำและคำพูดของเรา
    จะทำร้าย "จิตใจ" ของพ่อแม่ ด้วยความไม่ตั้งใจ แม้จะไม่ตั้งใจอย่างไรก็ตาม มันก็บาป..ครับ

    เป็น "กรรม" ที่ต้องชดใช้ในอนาคต มีทางหนึ่งที่พอจะช่วยได้ ก็คือต้องได้รับ "อโหสิ" หรือได้รับการ "อภัย"
    จากพ่อแม่ การรับ "กรรม" นั้นมีเงื่อนไขในการรับหลายอย่าง
    และ "กรรม" นั้น มี 2 อย่าง คือ กรรมอัตโนมัติ และ กรรมที่มีเจ้าของ (ซึ่งเราเรียกกรรมที่มีเจ้าของว่า
    เจ้ากรรมนายเวร)

    กรรมอัตโนมัติ ก็คือเมื่อเกิดการกระทำสิ่งใดๆ ก็ตาม ก็จะเกิด "กรรม" ขึ้นมาทันทีโดยไม่ต้องให้รอ
    หรือต้องถามก่อนว่าจะเป็นกรรมชนิดใด ทำปุ๊บเกิดปั๊บ..ทันที

    ส่วน กรรมที่มีเจ้าของนั้น ก็หมายความว่ามีผู้ที่ได้รับ "ผล" จากการกระทำกรรมนั้น ผู้นั้นมีส่วนได้ส่วนเสีย
    มีผลจากการที่ได้รับจากการกระทำนั้น ผู้นั้นก็จะเป็นเจ้าของกรรม หรือเป็นเจ้ากรรมนายเวร

    ยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นง่ายๆ สมมติว่าเราไปตีตัวคน การตีหัวคน (การทำร้ายคน) เป็น "การกระทำ" ที่ไม่ดี
    เมื่อทำไปแล้ว เป็น "กรรม" ทันที กรรม (การกระทำ) ที่ไปตีหัวคน อนาคตก็ต้องมารับกรรมในส่วนนี้
    ส่วนคนที่เราไปตีหัวนั้น ได้รับผลจากการที่เราได้กระทำ (ตีหัว) ก็เป็นเจ้าของกรรม ก็คือเป็นเจ้ากรรมนายเวร
    ของเรา

    ถ้าสังเกตให้ดี เจ้ากรรมนายเวรของเรานั้น เป็นได้ทั้งคน และสัตว์ เพราะถ้าเปลี่ยนเป็นตีหัวหมา
    หมาก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเรา นี่คือความหมายของกรรมที่มีเจ้าของ

    เมื่อการกระทำใดๆ ก็ตาม มีกรรมถึง 2 อย่าง (กรรมอัตโนมัติ และกรรมที่มีเจ้าของ) ถ้าเราสามารถลดไปได้บางส่วน
    ก็จะเป็นการดี เพราะไม่ต้องรับถึง 2 กรรม

    กรรมอัตโนมัตินั้น ไม่มีทางที่จะหลีกหนี หรือไม่ต้องไม่รับกรรมทำไม่ได้ ไม่ว่าจะเก่งกาจขนาดไหน ก็ไม่สามารถจะหลีกหนี หรือไม่ต้องไม่ใช้กรรมได้ กรรมนั้น เมื่อเกิดขึ้นต้องมีการชดใช้ หรือรับกรรมนั้นๆ เสมอ

    ส่วน กรรมที่มีเจ้าของ หรือกรรมที่มี เจ้ากรรมนายเวร นั้น สามารถที่จะผ่อนหนักผ่อนเบาได้ถ้าผู้ที่เป็นเจ้าของกรรมนั้น ไม่เอาเรื่อง หรือยกโทษให้ กรรมที่เกิดขึ้นก็เบาบางหรือหมดไป

    มันอยู่ที่ว่าคุณเองมีความสามารถหรือมีความดีมากน้อยแค่ไหนที่เพียงพอจะให้เจ้ากรรมนายเวรของคุณ "อโหสิ" ให้
    เพราะฉะนั้น เวลาที่เราทำบุญทำกุศลใดๆ ก็ตาม ครูบาอาจารย์ท่านจึงสอนให้เราอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนั้นให้เจ้ากรรมนายเวร เผื่อว่าเจ้ากรรมนายเวรจะใจอ่อนยอมยกโทษยอม "อโหสิ" ให้ กรรมก็จะหมดไปในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเจ้ากรรมนายเวร อย่างน้อยคุณเองก็จะไม่ต้องรับกรรมทีเดียว 2 อย่างเลย ในชีวิตของคุณนั้น คุณมีเจ้ากรรมนายเวรมากมาย มีแทบจะทุกวัน
    แทบจะทุกนาที แทบจะทุกครั้งที่มีการกระทำสิ่งต่างๆ มีทั้งเจ้ากรรมนายเวรที่เป็นคน และเป็นสัตว์

    คุณเองจึงต้อง "ปฏิบัติ" สมาธิ วิปัสสนา กรรมฐาน ให้มากๆ ทำบุญทำกุศลให้มาก ให้หลากหลาย เพื่อจะเอาบุญกุศลเหล่านั้นมาอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร เผื่อว่าเจ้ากรรมนายเวรของคุณนั้นใจอ่อน ยอม "อโหสิ" ให้ คุณจะได้ไม่ต้องชดใช้กรรมในส่วนนี้
    และในทางกลับกัน คุณเองก็เป็น "เจ้ากรรมนายเวร" ของคนอื่นในเวลาเดียวกัน เพราะก็ต้องมีบ้างที่มีคนทำให้คุณไม่สบายใจ เสียใจ หรือทำร้ายจิตใจหรือร่างกายของคุณ คุณเองก็มีสิทธิเป็นเจ้ากรรมนายเวรของคนอื่นเช่นกัน
    และเมื่อคุณรู้ว่า การที่คุณต้องมานั่งขอโทษขอขมาเจ้ากรรมนายเวรนั้น บางทีมันก็ลำบาก เหนื่อย และต้องทำบ่อยๆ เพื่อให้เจ้ากรรมนายเวรใจอ่อน ยอมยกโทษให้

    เมื่อคุณอยู่ในฐานะเจ้ากรรมนายเวร คุณเองก็ต้อง "อโหสิ" ให้คนอื่นได้ง่ายๆ บ้าง แบบว่าเห็นใจซึ่งกันและกัน
    เห็นใจคนที่ต้องตกเป็นทั้งผู้กระทำ และเป็นเจ้ากรรมนายเวรในคนๆ เดียวกัน
    และผลของการ "อภัย" และการ "อโหสิ" นั้น ได้กุศลมหาศาล


    การอโหสิกรรมเป็นเรื่องของคนมีคุณธรรมเขาทำกัน การ "อภัย" จะได้บารมี "อภัยทาน" ที่มีอานิสงส์ไม่น้อย
    เพราะฉะนั้น ถ้าในภาวะที่คุณเป็นเจ้ากรรมนายเวรของคนอื่น คุณเองก็สามารถสร้างบารมีสร้างกุศล โดยการให้ "อภัย"
    และ "อโหสิ" ให้คนอื่น คุณเองก็จะได้รับอานิสงส์กลับไปด้วยเช่นกัน




    (ยังมีต่ออีก)

    ที่มา : http://www.extrasoul.com/soul.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 กุมภาพันธ์ 2009
  2. TUK2800

    TUK2800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,766
    ค่าพลัง:
    +1,161
    เมื่อได้อธิบายเรื่องการขอขมา เพื่อให้เจ้ากรรมนายเวร "อโหสิ" และให้ "อภัย" แล้ว ก็อยาก
    จะบอกว่า
    การทำร้ายจิตใจให้พ่อแม่ให้ได้รับความไม่สบายทั้งกายและใจนั้น เป็นบาปเป็นกรรมที่มีผล
    หนักหนามหาศาล
    และเป็นกรรมที่ทำให้เราไม่เจริญ ไม่มีความสุข ไม่มีความเจริญก้าวหน้า ไม่มีสิ่งที่เป็นมงคล
    เกิดขึ้นในชีวิต
    เทวดา พรหม มนุษย์ สัตว์ ไม่ชอบ ไม่อยากยุ่งเกี่ยว หรือไม่อยากสร้างความสัมพันธ์ด้วย
    อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คิดกันหรือยังครับว่าเราควรจะ "ขอขมา" พ่อแม่ได้แล้ว
    หรือว่ายังคิดกันไม่ออก..ก็ตามใจ

    วิธีการขอขมาพ่อแม่ เพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิต
    ความจริงไม่มีอะไรมากเลย เพียงแค่เข้าไป "กราบ" พ่อแม่ แล้วเอ่ยปากขอ "ขมา" ในสิ่ง
    ที่ที่เคยทำให้พ่อแม่เสียใจ ร้องไห้ เสียความรู้สึก
    แล้วก็ให้พ่อแม่ยกโทษ อโหสิกรรมให้
    ก็แค่นี้ครับ ง่ายจะตายไป
    แต่เรื่องที่สำคัญที่มองข้ามไปไม่ได้เลย ก็คือต้องไปขอ "ขมา" อย่างจริงใจนะครับ แบบหลอกๆ หรือ
    โกหก หรือไม่จริงใจ ไม่ได้ผลแน่นอน
    เริ่มต้นอย่างนี้ก่อนก็ได้
    1.ลองเลือกดูสักวันที่พร้อม ไม่ต้องถึงขนาดดูฤกษ์ยามนะครับ นั่นมันก็เกินไป ยิ่งศาสนา
    พุทธสอนไว้ด้วยว่า ฤกษ์ที่ดีที่สุดก็คือ ฤกษ์สะดวก
    แต่บางคน "เขิน" ไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร ที่จะเข้าไป "ขอขมา" พ่อแม่ ก็อาจจะเลือกวันที่เป็น
    ประเพณีนิยมที่คนเขาทำกันทั้งบ้านทั้งเมืองก็ได้
    อาจจะเป็นวันปีใหม่ สงกรานต์ วันแม่ วันเข้าพรรษา วันพระสำคัญๆ วันเกิดเรา วันเกิดพ่อแม่
    คือจะเอาวันไหนก็เลือกสักวัน อย่าไปให้ความสำคัญว่าจะเป็นวันไหนมากนัก วันไหนที่พร้อมก็ทำได้เลย
    ถ้ามัวมารอเอาวันนั้นวันนี้ เดี๋ยวคุณก็ไม่ได้ทำกันพอดี
    2.นำสิ่งของที่ดูเหมือนจะเป็นตัวแทนหรือสิ่งที่ดี ที่เห็นแล้วสดชื่น อาจจะเป็นพวงมาลัย ดอกไม้
    ธูปเทียนแพ น้ำอบ น้ำปรุง หรืออะไรก็ได้ที่ดูเข้ากับบรรยากาศ หรือถ้าไม่มีจริงๆ ก็ไม่ต้อง ซึ่งเหล่านี้มัน
    ไม่สำคัญสำคัญเท่ากับเอา "จิต" ที่ตั้งมั่น ที่จริงใจไปกราบ
    เข้าไปกราบ..คือกราบเลยนะครับ ให้ดูว่าเคารพพ่อเคารพแม่อย่างจริงใจ กราบพ่อกราบแม่ทำไม
    จะกราบไม่ได้ กราบได้สนิทใจกว่ากราบคนอื่นอีก
    ตอนนี้หลายคนอาจจะกระดาก เขินอาย ซึ่งก็ไม่รู้จะกระดากไปทำไม ? แต่มีจริงๆ นะครับ เท่า
    ที่คุยกับหลายๆ คน กระดากจริงๆ อาจจะเป็นเพราะว่าไม่เคยทำอย่างนี้มาก่อน ไม่เคยชิน ไม่เคยกราบพ่อ
    กราบแม่มาก่อน เลยเขินอาย
    กราบไปเถิดครับ กราบตอนนี้ยังดียังมีพ่อแม่ให้กราบ ถ้าไปกราบศพกราบรูปตอนที่พ่อแม่ไม่อยู่
    แล้ว จะมานั่งเสียใจทีหลังนะครับ
    อย่าเขิน อย่าอาย อย่ากระดาก ถ้าจะทำความดี
    เมื่อกราบแล้ว พูดกับพ่อแม่นะครับว่า….(ในทำนองคล้ายๆ แบบนี้) สิ่งใดก็ตาม การกระทำใด
    ก็ตามที่ลูกได้เคยทำให้พ่อแม่ไม่สบายใจ เสียใจ น้อยใจ หรือทำให้เกิดกรรมที่ไม่ดีต่อพ่อแม่ บัดนี้ลูก
    ได้สำนึกผิดแล้วในทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำกรรมไม่ดี ขอกราบขอขมาพ่อแม่ด้วย ขอให้พ่อแม่อโหสิกรรม
    และให้อภัยในกรรมที่ไม่ดีที่ได้เคยทำมาแล้วด้วย"
    ทำนองนี้แหละครับ
    แต่ข้อนี้อย่าลืมว่า ทุกอย่างที่ทำ ต้องออกมาจาก "จิต" ที่ต้องการทำอย่างนั้นจริง ต้องการขอ
    ขมาจริงๆ
    อย่าสักแต่ว่าทำเพียงให้พ้นๆ ไป ต้องมาจากใจ และจาก "จิต" ที่บริสุทธิ์ใจ
    3. พูดเสร็จแล้วก็ให้พ่อแม่เอ่ยปากให้ "อโหสิ" และให้ "อภัย" ให้ และอาจจะตามด้วยการขอพร
    ขอคำพูดที่ดีๆ ขอคำพูดที่เป็นมงคลจากพ่อแม่ด้วย
    และก็เช่นกัน พ่อแม่ก็ต้องให้ "อภัย" และ "อโหสิกรรม" ลูกจาก "จิต" ที่เต็มใจ จริงใจ จริงๆ
    พร้อมที่จะให้อภัยลูกด้วยความบริสุทธิ์ใจ
    แค่นี้ครับ…เสร็จแล้ว
    แค่นี้จริงๆ กับการสร้างสิ่งที่ดีๆ ให้กับชีวิต
    แต่ "แค่นี้" นั้น ได้สร้างบุญกุศลมหาศาล และสร้างอานิสงส์ที่เยี่ยมยอดให้กับเราแล้ว
    อย่างน้อยก็ได้ลด "กรรม" ในส่วนที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรได้ส่วนหนึ่ง ไม่ต้องรับ "กรรม" ที่เดียว
    2 กรรมพร้อมกัน
    และคุณเองก็ยังเอาความรู้ตรงนี้ไปประยุกต์ใช้กับคนอื่น ที่คุณได้เคยทำกรรมไม่ดีกับเขาก็ได้
    เพราะอย่างน้อยการที่เจ้ากรรมนายเวรยกโทษให้ ก็น่าจะเป็นสิ่งดี อย่างนั้นใช่มั้ยครับ

    อย่าลืมเรื่องที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ…."อย่าซ้ำรอยเดิม"
    ผมจะย้ำเสมอว่า "อย่าซ้ำรอยเดิม" (คำนี้ผมชอบ หลังจากฟังอาจารย์สนอง วรอุไร ได้กรุณา
    บอกเล่าธรรมะข้อนี้ให้ผมฟัง ผมเลยนำมาใช้บอกต่อกับคนอื่นหลายครั้ง)
    คือเมื่อเรารู้ว่าเราได้กระทำในสิ่งที่ไม่ดี ทำกรรมที่ไม่ดี (ก่อนที่จะทำการขอขมา) เป็นเรื่องที่
    ไม่ควรทำ เมื่อขอขมาไปแล้ว ก็ต้องตั้งใจแน่วแน่ที่จะไม่ทำการกระทำที่ไม่ดี ที่เลว ที่ชั่วนั้นอีก เพื่อ
    ไม่ให้เกิดกรรมที่ไม่ดีเกิดขึ้นอีก เพื่อที่จะไม่ให้เกิดการมี "เจ้ากรรมนายเวร" เกิดขึ้นอีก
    ไม่อย่างนั้นก็ต้องมานั่งขอขมากันเป็นว่าเล่น
    อย่าลืมนะครับ อย่าซ้ำรอยเดิม

    สิ่งที่ควรทำกับพ่อแม่
    ความจริงเอาเรื่องนี้มานั่งบอกกันมันแปลกๆ เพราะความเป็นจริงแล้ว มันน่าจะเป็นสามัญสำนึก
    ของลูกทุกคนที่รู้อยู่แล้วว่าควรจะกระทำอะไรให้พ่อแม่ เหมือนเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน
    แต่ก็ต้องเอามาขายกันบ้างล่ะครับ เพราะปัจจุบันนี้สวนบางสวนก็ช่างไม่รู้ประสีประสาอะไรเลย
    จะว่าโง่ก็ไม่ใช่ จะว่าไม่มีสติก็ไม่ใช่อีก
    อาจจะเป็นเพราะว่า ไม่ค่อยได้รับการสั่งสอนจากผู้ที่เกิดก่อน หรือไม่ได้เห็นตัวอย่างที่พอจะนำ
    ให้เกิดความรู้สึกที่ดีได้ ก็อาจจะเป็นได้
    อย่างเช่น ร้อยวันพันปี ลูกไม่เคยเห็นพ่อแม่ตัวเองดูแลปู่ย่า ตายายของเด็ก (ก็คือพ่อแม่ของ
    พ่อแม่เด็ก) ก็เลยไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
    ก็ตัวอย่างมันไม่มี…จะให้ไปทำตามที่ไหน ?
    เพราะฉะนั้น ถ้าเราอยากให้เด็กทำดี ทำในสิ่งที่สังคมยอมรับ เราเองก็ต้องทำตัวอย่างที่ดี
    นั้นให้เด็กดูเสียก่อน
    อยากให้ลูกหลานพูดเพราะๆ กับพ่อแม่ เราก็ต้องพูดเพราะๆ พูดดีๆ กับพ่อแม่ของเราให้
    ลูกเห็นก่อน
    อยากให้ลูกหลานดูแลปรนนิบัติเรา เมื่อยามเราแก่เฒ่า เราเองก็ต้องดูแลพ่อแม่ของเราให้
    ลูกได้เห็นก่อน
    อยากให้ลูกหลานกตัญญูกับเรา เราก็กตัญญูกับพ่อแม่ของเราก่อน
    เด็กจะซึมซับจากตัวอย่างที่แกได้เห็นได้สัมผัส ได้คลุกคลี
    ถ้าถามว่า สิ่งที่ควรจะทำกับพ่อแม่มีอะไร บอกเป็นข้อๆ ไม่ได้หรอกครับ เพราะมันกว้างจริง
    และการกระทำของคนๆ หนึ่ง ในสังคมหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องเหมือนกับคนอื่นหรือสังคมอื่น
    อย่างเช่น ในสังคมนี้ ลูกๆ ดูแลพ่อแม่ด้วยการพาไปกินข้าวนอกบ้าน ตามร้านอาหารที่อร่อย
    แต่อีกสังคมหนึ่ง อาจจะไม่ชอบพาพ่อแม่ไปกินข้าวนอกบ้าน แต่ชอบที่จะซื้ออาหารมานั่งกินกันเอง
    ภายในบ้าน
    ไม่จำเป็นต้องกระทำกิจกรรมที่เหมือนกัน
    ก็ร้อยพ่อพันแม่ ต่างจิตต่างใจ ต่างสถานที่ ต่างชาติพันธุ์กัน จะให้ทำเหมือนกันได้ยังงัย
    แต่เป็นเพียงแนวทางกว้างๆ ว่าสิ่งที่ควรทำให้พ่อแม่นั้น มีอะไรบ้าง
    ยึดหลักว่า อะไรก็ตามที่ทำให้พ่อแม่มีความสุข ที่ถูกต้องตามหลักของความดี และหลักของ
    ความถูกต้อง (คือต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามสากลหรือทั่วๆ ไปนะครับ ไม่ใช่ความถูกต้องส่วนตัวของเรา
    หรือของพ่อแม่เอง)
    ทำให้พ่อแม่สบายใจ ทำให้พ่อแม่ยิ้มอย่างเต็มใจและสดชื่น (ไม่ใช่ฝืนยิ้มแสยะยิ้ม) บำรุง
    ร่างกายและ "จิต" ใจให้พ่อแม่มีสุขภาพจิตสุขภาพกายที่ดี
    การให้ความเคารพนับถือพ่อแม่ทุกเวลา และทุกช่วงอายุก็เป็นสิ่งที่ดี
    ความเป็นจริงอย่างหนึ่งก็คือ ไม่ว่าเราจะอายุเท่าไหร่ จะแก่มากมายขนาดไหน จะมีรอยตีน
    กาตีนแร้งกี่รอยก็ตาม เราก็ยังเป็นลูกของพ่อแม่อยู่ดี
    และจะยังคงเป็นลูกเล็กของพ่อแม่เสมอ
    เพราะฉะนั้นอย่าไปทำอวดดี หรืออวดรู้ โดยขาดความเคารพ
    ในความเป็นจริงนั้น ลูกต้องเก่งกว่า ต้องพัฒนากว่าพ่อแม่ตามอายุและวันเวลา บ้านเมือง
    จะได้มีการพัฒนา และชีวิตจะได้ดีขึ้น
    แต่การรู้มากกว่า ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องมาอวดดีอวดเก่งกว่าพ่อแม่
    การทำให้พ่อแม่รู้ว่าเรารู้มาก หรือรู้ในความรู้หลายๆ อย่าง ด้วยวิธีการที่แยบคาย มีหลายวิธี
    หลายอย่าง
    อย่าอวดรู้ ทั้งๆ ที่เรารู้จริง
    อย่าเถียง นี่ก็สำคัญ เถียงพ่อเถียงแม่ ชนะแล้วภูมิใจหนักหนาหรือครับ ที่ชนะพ่อชนะแม่
    เถียงไปแล้ว พ่อแม่ไม่สบายใจ เสียใจเปล่าๆ เดี๋ยวก็ต้องนั่งกราบขอขมาอีก
    เห็นมั้ยครับ หลักใหญ่ๆ ก็เป็นอย่างนี้

    เพียงคุณทำให้พ่อแม่สบายใจ สบายกาย บำรุงให้ท่านได้มีความสุขตามอัตภาพ
    ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจิตใจ เรื่องของร่างกาย เรื่องอาหารการกิน เรื่องสุขภาพ
    ถ้าคุณทำได้ ทำให้พ่อแม่มีความสุขได้แล้ว คุณไม่ต้องมานั่งอธิษฐานขออะไรจากเทพ เทวดา
    หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ
    เพราะถ้าคุณบำรุงดูแลพ่อแม่อย่างที่บอกแล้ว คุณได้แล้ว คุณได้กุศล ได้บุญแล้ว
    ได้อย่างมหาศาลด้วย เป็นการได้แบบอัตโนมัติ ทำปุ๊ปได้ปั๊บ
    การบำรุงดูแล การสร้างความสุขความสบายใจ และการกตัญญูกับพ่อแม่นั้น เป็นคุณธรรม
    ที่ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงยกย่องว่า เป็นคุณธรรมที่ประเสริฐ ได้บุญได้กุศล ได้อานิสงส์มหาศาล
    อานิสงส์นั้นจะเป็นผลให้คุณได้รับสิ่งที่เหลือเชื่อ แทบไม่น่าจะเป็นไปไม่ได้ อะไรที่ติดขัด ไม่ว่า
    จะเป็นเรื่องการงาน เรื่องความรัก หรือเรื่องจิปาถะต่างๆ ก็จะดีขึ้น คลี่คลายไปในทางที่ดี
    เงินทองก็จะไม่ขัดสน ถ้ามันยากจนหนักเข้า ก็ไม่ถึงกับบรรลัยฉิบหาย เดี๋ยวก็จะมีบางสิ่งบาง
    อย่างทำให้ดีขึ้น หรือแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้รอดตาย รอดจากวิกฤตได้
    บอกไม่หมดจริงๆ ครับ กับอานิสงส์ของการมีความกตัญญู การทำให้พ่อแม่มีความสบายใจ
    การบำรุงดูแลพ่อแม่ เพราะเขียนกัน 3 วัน 3 คืน (หรือมากกว่านั้น) ก็ไม่สามารถบอกได้ว่า อานิสงส์จะ
    มีอะไรบ้าง
    เอาเป็นว่า สรุปง่ายๆ ก็คือ สิ่งที่เคยไม่ดีในอดีต สิ่งที่ไม่ดีในปัจจุบัน และสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ ใน
    อนาคต จะ "ดีขึ้น" อย่างน่าอัศจรรรย์ อย่างคาดไม่ถึง
    ผมเขียนเรื่องนี้มาจากประสบการณ์ตรง ยี่ห้อ นายอโณทัย ต้องเขียนจากความเป็นจริงเท่านั้น
    ทำได้ปฏิบัติได้จึงเอามาบอกต่อ ยืนยันกันอย่างนี้ ไม่เชื่อกันหรือครับ ?

    ก่อนจบเรื่องนี้ก็มาสรุปกันนิดหน่อย และแถมท้ายสิ่งที่ทำให้พอแม่สบายใจอีกข้อสองข้อ
    1.การขอขมาพ่อแม่ เมื่อสำนึกได้ว่าเคยทำสิ่งไม่ดีกับพ่อแม่ไว้
    2.อย่า "ซ้ำรอยเดิม" ทำในสิ่งที่เคยทำไม่ดีอีก
    3.บำรุง ดูแล กตัญญู สร้างความสุข ความสบายใจ ให้พ่อแม่ตามอัตภาพ
    4.ข้อนี้แถม ในวันที่สำคัญต่างๆ ควรมากราบพ่อแม่ เพื่อให้พ่อแม่ได้รู้สึกว่าตัวเองยังเป็นที่
    "ต้องการ" และมี "ความสำคัญ" ต่อลูกหลาน
    วันเกิด ควรมาหาผู้ที่ทำให้เกิดก่อน (ก็พ่อแม่นั้นแหละ) มาขอพร มากราบ มาไหว้ก่อน เอา
    ของขวัญ ของชอบ หรือสิ่งที่ดีๆ มาให้พ่อแม่ก่อน แล้วจะไปทำอย่างอื่นหรือไปฉลองกับใครก็ตามใจ แต่
    ทางที่ดีควรพาพ่อแม่ไปทานข้าวนั่นแหละดีที่สุด ส่วนเพื่อนนั้นไปกินกันวันไหนก็ได้ ถ้าอยากจะกิน
    วันเกิดควรนึกถึงผู้ที่ทำให้เกิดมามากที่สุด
    ผมไปหาพ่อแม่ (ตอนนี้เหลือคุณแม่คนเดียว) ทุกๆ วัน (คล้าย) เกิดของผม ทำเป็นประจำมาหลาย
    สิบปีแล้ว
    หรือจะเป็นวันสำคัญต่างๆ วันปีใหม่ วันสงกรานต์ วันเกิดพ่อแม่ วันพ่อ วันแม่ ฯลฯ ไปหาพ่อ
    แม่ได้ก็ไป แต่ถ้าไปหาไม่ได้ เพราะความจำเป็นบางอย่าง ก็ติดต่อสื่อสาร อย่างเช่น โทรไปหา เขียน
    การ์ด เขียนจดหมายไปหาก็ยังดี
    ถ้าไปหาด้วยตัวเองไม่ได้ ไปด้วยเสียง ด้วยตัวอักษรก็ยังดี
    นี่แหละครับมงคลที่ได้จากพ่อแม่

    อโณทัย เขตต์บรรพต





    </PRE> ที่มา : http://www.extrasoul.com/soul.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2009
  3. Tuu

    Tuu Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2005
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +35
    พระแท้ คือสององศ์ท่าน พ่อแม่เราเท่านั้นไม่ปล่อยทิ้ง มีสององศ์ท่านเป็นแค่รูปภาพก็ยังดีได้กราบไหว้แล้วก็อุ่นใจ จะใกล้ไกลมีไว้เหมือนอยู่ในใจกาย อย่ามัวหลงใหลใครอื่น มันไม่ชื่นใจ ได้ทำบุญกับสองท่าน ได้เห็นบุญจริงยิ่งใหญ่เหมือนได้สร้างพระใหญ่ที่สุดในโลก
     
  4. TJ69

    TJ69 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    436
    ค่าพลัง:
    +152
    ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ
    _________________________

    " ความสุขคือการให้ มิใช่การครอบครอง "
     
  5. จิตอิสระ

    จิตอิสระ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +21
    ถ้าพ่อแม่ทำไม่ดีกับลูก ลูกควรจะทำอย่างไรดีคะ
    ถามจริงๆนะคะ ป่าวประชดนะคะ

    ดิฉันรู้ถึงบาป บุญ คุณโทษ ดีค่ะ แต่บางครั้งพ่อแม่ก็ทำเรื่องบางอย่างที่ทำให้เราเสียใจสุดๆ หลังๆก็เลยไม่ได้โทรไปหาเลยค่ะ เพราะไม่อยากเถียงท่านให้เป็นบาปกรรมน่ะค่ะ เพราะโทรคุย หรือไปหาทีไรก็มีแต่เรื่องไม่สบายใจทุกที การถอยห่างแบบนี้ดูเหมือนจะดีกว่า ไม่รู้ว่าทำถูกหรือป่าว
     
  6. Supamonta

    Supamonta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +120
    เรียนคุณจิตอิสระ
    อย่างนี้เค้าเรียกว่าธรรมะทดสอบ ดิฉันเจอมาแล้วค่ะ เราต้องทวนกระแสจิตค่ะ (ทำความดีบางครั้งต้องฝืนใจก่อน) ไม่มีใครอยากทำให้แม่เสียใจ ไม่อยากดูแลแม่ แต่บางครั้งมีหลายๆสิ่งหลายอย่างปะทะเข้ามามากมาย มากระทบ (คงเป็นกรรม)
    ให้ตั้งสติค่ะ ใครจะดีจะร้ายจะเป็นอย่างไร อย่าไปสนใจ ส่วนบิดามารดา
    เราต้องยกไว้ให้ได้ (เพราะเรามีในส่วนของกรรมทำให้เรามาเกิด)
    ทำความดีต่อไปค่ะ ท่านจะว่าอย่างไร ไม่เป็นไร ทำดีต่อไปเรื่อยๆ
    แล้ววันนั้นท่านจะเข้าใจเรา และรู้ว่าเรารักท่าน จากสิ่งร้ายจะกลายเป็นดีค่ะ
     
  7. cinderella2517

    cinderella2517 Mindset Coach และ นักพยากรณ์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    735
    ค่าพลัง:
    +1,404
    บางครั้งการเกิดมาเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นลูกกัน ก็เกิดจากกรรมที่เคยทำร่วมกันมา อาจจะมีชาติหนึ่งที่คุณเคยเกิดเป็นแม่ของท่านทั้งสอง คุณเคยกระทำเช่นนี้กับท่าน วาระกรรมมาถึง คุณจึงเกิดมาเป็นลูกท่าน แล้วท่านก็ทำเช่นนี้กับคุณ วิธีแก้คือ ให้อภัยทุกประการ อโหสิกรรมทุกประการ ห้ามแม้แต่น้อยใจ กรณีของพ่อแม่นี่คือเป็นกรณียกเว้นว่า ไม่ว่าท่านจะทำให้เรารู้สึกอย่างไร ห้ามผูกใจเจ็บห้ามแตะต้องแม้แต่ความคิด เพราะการที่เราน้อยใจเสียใจท่าน และไม่ว่าการทำอะไรที่เราทำให้ท่านทุกข์ใจ โกรธ โมโห สาปแช่งเรา ด่าเรา สิ่งนั้น ๆ มีผลให้ชีวิตเราตกต่ำ ทำการใดไม่สำเร็จสักอย่าง เงินก็จะเก็บไม่อยู่ มีแต่เรื่องเสียทรัพย์ค่ะ
     
  8. TUK2800

    TUK2800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,766
    ค่าพลัง:
    +1,161

    อนุโมทนาค่ะ สาธุ..สาธุ<!-- google_ad_section_end -->
     
  9. TUK2800

    TUK2800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,766
    ค่าพลัง:
    +1,161
    อนุโมทนาค่ะ สาธุ..สาธุ<!-- google_ad_section_end -->
     
  10. TUK2800

    TUK2800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,766
    ค่าพลัง:
    +1,161
    ...คุณมารดา บิดา...(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top><HR>[​IMG]

    มารดา บิดา เป็นบุคคลที่รู้จักกันทั่วโลก
    คนเราเกิดมาเห็นโลกอันกว้างใหญ่นี้ได้
    เพราะมารดาบิดาเป็นผู้ให้กำเนิด
    เป็นผู้ให้อวัยวะทุกส่วนของร่างกายแก่ลูก
    ซ้ำมารดาบิดายังบำเพ็ญตนเป็นยอดนักบุญ
    สำหรับชีวิตของลูกอีกด้วย
    เป็นผู้เสียสละความสุขของตนเองทุกๆ อย่าง
    เฝ้าทะนุถนอมเอาใจใส่ลูกทุกเวลา
    ทำทุกอย่าง เพื่อความผาสุขของลูก
    ลูกต้องการปรารถนาสิ่งใด อันเป็นสิ่งที่ไม่เหลือวิสัย
    ก็พยายามจัดหาให้ทุกอย่าง เป็นผู้ใกล้ชิดลูกยิ่งกว่าใครๆ
    ทุกคนจึงรู้จักมารดาบิดาดี

    ส่วนลูกส่วนมาก หารู้จักและซึ้งถึงพระคุณของผู้เป็นมารดาบิดาไม่
    คงรู้จักแต่เพียงว่าชายผู้ให้กำเนิดแก่คนเรียกว่า บิดา
    หญิงผู้ให้กำเนิดแก่ตนเรียกว่า มารดา เท่านั้น
    แท้จริงแล้ว ท่านผู้ให้กำเนิดทั้งสองนั้น เป็นผู้มีพระคุณมากมาย
    สุดที่ลูกผู้กตัญญูรู้คุณ จะทดแทนพระคุณให้สิ้นสุดได้

    เพราะเหตุนี้เอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นนาถของโลก
    ทรงซึ้งถึงพระคุณของผู้เป็นมารดาบิดาผู้อนุเคราะห์บุตร
    ว่าเป็นพระพรหม เป็นบุรพเทวดา
    เป็นบุรพาจารย์ เป็นอาหุเนยยบุคคล ของบุตรดังนี้

    มารดา บิดา เป็นผู้ที่มั่นคงในพรหมวิหารธรรม
    โดยไม่ยอมทิ้ง เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ในลูกของตน
    ย่อมมีเมตตารักใคร่ในลูก
    ปรารถนาจะเห็นลูกของตนปราศจากโรคภัยเบียดเบียน
    มีความสุข ร่าเริง แจ่มใส
    มีกรุณา สงสาร เมื่อลูกของตนต้องประสบความทุกข์
    คิดแต่จะช่วยให้พ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อน
    มีความสุขความเจริญ เมื่อเห็นว่าลูกของตนมีความสุข
    สามารถเลี้ยงและปกครองตนเองและครอบครัวให้มีความสุขได้
    ก็พลอยมีมุทิตายินดีด้วย ไม่อิจฉาริษยาในความสุขของลูก
    เมื่อเห็นลูกต้องประสบทุกข์เดือดร้อน ก็ไม่ซ้ำเติม
    วางจิตมัธยัสถ์เป็นกลางเสมอ
    มารดาบิดา จึงเป็นดุจท้าวมหาพรหมที่ไม่เคยละภาวนา ๔ ในหมู่สัตว์
    จึงได้รับนามบัญญัติว่าเป็น
     
  11. TUK2800

    TUK2800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,766
    ค่าพลัง:
    +1,161
    (ต่อ)
    มารดา บิดา เป็นทั้งผู้สร้าง และผู้อุปถัมภ์ เป็นผู้ให้กำเนิดแก่ลูกแล้ว
    ก็ต้องรับภาระเป็นผู้อนุเคราะห์เลี้ยงดูอีก ไม่ทอดทิ้ง
    พยายามที่จะเสกสรรปั้นแต่งลูกของตนให้เป็นคนดี
    เพราะเหตุนี้เอง พระมหามุนีศาสดาจารย์
    จึงตรัสแก่คฤหบดีบุตรชื่อ สิคาลกะว่า ดูกร คฤหบดีบุตร
    มารดาบิดาพึงอนุเคราะห์บุตรของตนโดยสถาน ๕ คือ

    ๑. ป้องกันบุตรธิดามิให้ทำความชั่ว
    ๒. ส่งเสริมให้ตั้งอยู่ในความดี
    ๓. ให้ศึกษาศิลปวิทยา
    ๔. หาคู่ครองที่สมควรให้
    ๕. มอบทรัพย์ให้ในสมัย


    เพราะมารดาบิดา มีพระคุณอันใหญ่หลวงดังกล่าวมานี้
    ผู้เป็นลูกจึงต้องคำนึงระลึกถึงเสมอ และหาทางตอบแทนพระคุณ
    แม้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงสนองพระคุณของพระชนนี
    เพื่อชดใช้ค่าข้าวป้อนและค่าน้ำนม
    โดยเสด็จไปจำพรรษา ณ ดาวดึงส์พิภพ
    แล้วทรงแสดงพระอภิธรรมโปรด จึงเป็นเนตติแบบอย่างอันดี
    สำหรับพุทธบริษัทผู้เคารพนับถือในพระองค์ จึงพึงปฏิบัติตาม
    ถ้าหวังจะบำเพ็ญตนเป็นลูกที่ดี
    จึงเป็นการสมควรแล้ว ที่จะหาทางสนองพระคุณท่าน
    ตามฐานะและโอกาส ด้วยการเลี้ยงดูท่านให้ได้รับความสุข
    เป็นการแสดงกตัญญูกตเวทิตาธรรมต่อท่านผู้ดำรงอยู่ในฐานะบุพการี
    ผู้ทำอุปการให้แก่ตนก่อน
    ข้อนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแก่คฤหบดีบุตร ชื่อ สิคาลกะ ว่า
    ดูกร คฤหบดีบุตร เมื่อมารดาบิดา
    ได้อนุเคราะห์บุตรธิดาโดยสถาน ๕ แล้ว
    บุตรธิดาพึงปฏิการะตอบแทนโดยสถาน ๕ เช่นเดียวกัน คือ

    ๑. ท่านเลี้ยงมาแล้ว เลี้ยงท่านตอบ
    ๒. ช่วยทำกิจของท่าน ไม่ดูดาย
    ๓. ดำรงวงศ์สกุล ไม่ให้เสื่อม
    ๔. ประพฤติตนให้เป็นคนควรได้รับมรดก
    ๕. เมื่อท่านล่วงลับไป ทำบุญอุทิศให้แก่ท่าน


    ทั้ง ๕ สถานนี้ สถานต้นเป็นข้อที่ผู้เป็นลูกควรทำ
    เพราะเราเจริญเติบโตได้ก็อาศัยที่ท่านมีเมตตาจิตให้การเลี้ยงดู
    เมื่อท่านแก่เฒ่าลงจึงเป็นหน้าที่ที่ลูกจะพึงเลี้ยงดูท่าน
    เป็นการตอบแทน เป็นการชดใช้หรือทดแทนพระคุณท่านที่ทำไว้ก่อน
    มีภาษิตบทหนึ่งสำหรับเตือนใจผู้เป็นลูก
    ให้ทดแทนพระคุณท่านด้วยการเลี้ยงดูว่า
    อันทิศเบื้องหน้า บิดามารดาพึ่งอาศัย
    อย่าได้ดูถูก หมั่นปลูกอาลัย หมั่นเลี้ยงท่านไป ตราบม้วยชีวา
    การเลี้ยงท่านนั้น ท่านแสดงไว้ ๒ ประการ คือ

    ๑. การเลี้ยงภายนอก ได้แก่ การอุปฐากอย่างต่ำ
    ๒. การเลี้ยงภายใน ได้แก่ การอุปฐากอย่างสูง


    การเลี้ยงภายนอกนั้น ได้แก่ การจัดหาข้าวปลาอาหาร
    และผ้าผ่อนท่อนสไบให้แก่ท่าน
    เป็นการเลี้ยงและให้ความสุขทางกายแก่ท่าน
    อันนับว่า เป็นอามิสบูชา เป็นส่วนการอุปฐากอย่างต่ำ

    ส่วนการเลี้ยงดูภายในนั้น ได้แก่ การเลี้ยงดูน้ำใจท่าน
    โดยเป็นผู้เชื่อฟังตั้งอยู่ในคำสั่งสอนไม่ขัดข้อง
    ทั้งเป็นผู้หาโอกาส ทำให้ท่านเป็นผู้มีจิตใจ เป็นผู้เจริญด้วยคุณธรรม
    หาทางนำท่านผู้ไม่มีศรัทธาให้มีศรัทธา
    ผู้ไม่มีศีลให้มีศีล ผู้ไม่มีจาคะการบริจาค ให้มีจาคะการบริจาค
    ผู้ไม่มีปัญญาให้มีปัญญา
    ดังพระสารีบุตรเถระเจ้าแนะนำมารดาผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ
    นับว่าเป็นปฏิบัติบูชา เป็นส่วนแห่งการอุปฐากอย่างสูง


    ลูกบางคนเลี้ยงมารดาบิดา เพราะเห็นแก่ทรัพย์สมบัติ
    ไม่คำนึงถึงพระคุณเป็นส่วนใหญ่
    การทำเช่นนั้นไม่ชื่อว่าเป็นการสนองพระคุณท่าน
    อันเป็นส่วนกตัญญูกตเวทีเลย
    หากมารดาบิดาไม่มีทรัพย์สมบัติแล้ว
    ลูกก็ไม่เลี้ยงดูนำพาปล่อยให้เป็นอยู่ตามยถากรรม
    ลูกเช่นว่านี้เป็นลูกอกตัญญู ไม่รู้จักคุณ

    เพราะเหตุนั้นการเลี้ยงดูท่าน
    จึงเป็นหลักอันสำคัญที่ลูกผู้กตัญญูกตเวทีจะพึงทำ
    เพราะเป็นเหตุนำมงคลคือความเจริญมาให้
    ดังพระศาสดาตรัสไว้ในมงคลสูตรว่า

    มาตาปิตุอุปฏฐานํ เอตมฺมํคลมุตฺตมํ
    การเลี้ยงดูมารดาบิดา เป็นมงคลอย่างสูงสุด

    พระพุทธเจ้าทรงยกย่องและสรรเสริญผู้เลี้ยงมารดาบิดาไว้มาก
    แม้ภิกษุผู้บวชในพระธรรมวินัย ก็ยังทรงอนุญาตให้เลี้ยงมารดาบิดาได้
    เที่ยวบิณฑบาตได้อาหารมา แม้ตนเองมิยังไม่ได้ฉันก็ให้แก่มารดาบิดาได้
    ไม่ชื่อว่าทำศรัทธาไทยของทายกให้เสียไป ทั้งไม่มีโทษทางพระวินัยด้วย
    การช่วยเหลือทำกิจการงานของท่านนั้น เป็นหน้าที่ที่ลูกจะพึงกระทำ
    เพราะเป็นการผ่อนแรงท่าน ที่ตรากตรำหาเลี้ยงเรามา
    ไม่ทำตนเป็นคนดูดาย เอาแต่เที่ยวเตร่หาความสนุกสนาน
    ปล่อยให้ท่านทั้งสองทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำไปตามลำพัง
    อย่างน้อยผู้เป็นลูกต้องนึกบ้างว่า มารดาบิดาของลูกทุกคน
    เมื่อมีลูกก็ย่อมปรารถนาหวังพึ่งพาอาศัยบ้าง
    โบราณภาษิตบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า

    “มีลูกเหมือนปลูกต้นโพธิ์ เมื่อใหญ่เมื่อโตจะได้อาศัย
    ยามเจ็บไข้จะได้ฝากไข้ ยามตายจะได้ฝากผี เวลาดีๆ เอาไว้ใช้สอย”


    ฉะนั้น จึงเป็นหน้าที่ที่ลูกไม่พึงละเลย
    ในการช่วยเหลือทำกิจการงานของท่าน
    ส่วนการประพฤติตนเป็นคนดี
    เมื่อรักษาวงศ์สกุลของตนไม่ให้เสียหาย
    และการประพฤติตนให้เป็นคนสมควรรับ
    และปกครองทรัพย์มรดกของท่านนั้น ก็ล้วนเป็นหลักสำคัญทั้งนั้น
    นอกจากจะเป็นการทำตนให้เจริญแล้ว
    ยังเป็นการทำให้ท่านพอใจและเกิดความสุข
    อันเป็นการเลี้ยงน้ำใจท่านด้วย

    ส่วนประการหลังนั้น เป็นการสนองพระคุณครั้งสุดท้าย
    แม้จะเป็นการทำลับหลังก็ตาม ก็เป็นการแสดงออกให้เห็นว่า
    ตนเป็นลูกกตัญญูกตเวที ไปลืมความดีที่ท่านทำไว้แก่ตน
    ขวนขวายที่จะทำตอบแทนในเมื่อมีโอกาส
    เป็นการประกาศให้ทราบว่าเป็นคนหน้าคบหาสมาคม
    แม้ฝ่ายหนึ่งล่วงลับไปแล้ว ก็ยังระลึกถึงและหาทางสนองคุณ
    ฉะนั้นเมื่อมารดาบิดาล่วงลับไปจึงเป็นหน้าที่
    ที่ลูกต้องทำบุญอุทิศให้โดยแท้
    ถ้าอยากเป็นลูกดี ก็ควรนึกถึงภาษิตเตือนใจบทหนึ่งที่ว่า

    ลูกไม่ดี มีเท่าไร ไม่คุ้ม
    ดุจลูกตุ้ม แกว่งไกว ไพร่สถุล
    แต่ลูกดี มีหลัก รู้จักคุณ
    หมั่นทำบุญ อุทิศให้ เมื่อวายปราณ.

    การทดแทนพระคุณมารดาบิดานั้น
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้
    ในมาตาปิตุคุณสูตรทุตนิบาต อังคุตตรนิกาย ความว่า

    ภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าว การทำตอบแทนได้ง่ายแก่ท่านทั้งสอง
    ท่านทั้งสองนั้นคือใคร? คือมารดาบิดา
    บุตรพึงประคับประคองมารดาบิดาด้วยบ่าขวาบิดาด้วยบ่าซ้าย
    เขามีชีวิตอยู่ถึง ๑๐๐ ปี และเขาพึงบำรุงมารดาบิดานั้น
    ด้วยการอบกลิ่น การนวด การให้อาบน้ำ และการดัด
    และท่านทั้งสองนั้นพึงถ่ายอุจจาระปัสสาวะรดบนบ่าทั้งสอง
    นั่นแหละภิกษุทั้งหลาย อนึ่งบุตรพึงสถาปนามารดาบิดาไว้
    ในราชสมบัติอันเป็นอิสราธิปัตย์แห่งแผ่นดินใหญ่นี้
    อันมีรัตนะ ๗ ประการมากมาย
    กิจอย่างนั้นยังไม่เป็นอันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแล้วแก่มารดาบิดานั้นเลย
    ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร? ภิกษุทั้งหลาย เพราะมารดาบิดา
    เป็นผู้มีอุปการะมาก เป็นผู้บำรุงเลี้ยง
    แสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย
     
  12. TUK2800

    TUK2800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,766
    ค่าพลัง:
    +1,161
    (ต่อ)
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>ภิกษุทั้งหลาย
    ก็บุตรใดและยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธาให้ดำรงมั่นอยู่ในศรัทธา
    ยังมารดาบิดาที่ทุศีลให้สมาทานดำรงมั่นอยู่ในศีล
    ยังมารดาบิดาตระหนี่เหนียวแน่น ให้ดำรงมั่นอยู่ในจาคะ
    ยังมารดาบิดาผู้ไร้ปัญญา ให้สมาทานดำรงมั่นอยู่ในปัญญา
    ภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้มีประมาณเท่านี้แหละ
    กิจนั้นจึงชื่อว่า เป็นอันบุตรทำแล้ว ทำตอบแทนแล้ว
    ทำยิ่งแล้วแก่มารดาบิดา ดังนี้
    เมื่อลูกทำได้ดังแสดงมานี้ จึงชื่อว่าเป็นการทดแทนพระคุณท่าน
    เป็นเหตุให้บุตรได้รับผลานิสงส์หลายประการคือ

    ๑. เป็นมงคล คือมีความสุขความเจริญแก่ชีวิต

    ๒. เป็นที่สรรเสริญของนักปราชญ์

    ๓. เป็นเหตุให้ปฏิบัตินั้นพ้นจากทุกข์ทั้งปวง

    เพื่อจะแสดงอานิสงส์ของบุตรเพื่อเลี้ยงมารดาบิดานั้น
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องพญานกแขกเต้า
    บรมโพธิสัตว์ เป็นอุทาหรณ์ ความว่า


    ดังได้ยินมาแต่กาลก่อน พระบรมโพธิสัตว์ เสวยพระชาติเป็นพญานกแขกเต้า
    อาศัยอยู่ป่าไม้งิ้ว แถบไหล่เขา
    วันหนึ่งพาบริวารไปหาอาหารยังป่าหิมพานต์
    เพื่อเลี้ยงมารดาบิดาของตน
    ครั้งนั้นมีพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อว่าโกสิยะพราหมณ์ อาศัยอยู่ในสาลิยะคาม
    พราหมณ์ได้ใช้บริวารไปหว่านข้าวสาลี
    ในเนื้อที่ประมาณ ๗๐๐๐ ไร่ แล้วให้บริวารอยู่รักษา
    พระโพธิสัตว์ก็พาบริวารไปลงในนาของโกสิยะพราหมณ์
    ฝูงนกแขกเต้าทั้งหลาย กินอิ่มแล้วบินมาแต่ปากเปล่า
    ส่วนพระโพธิสัตว์เจ้ากินแล้วก็คาบรวงข้าวมาเลี้ยงมารดาบิดาทุกๆ วัน
    บุรุษที่รักษานาข้าวสาลี จึงไปบอกแก่โกสิยะพราหมณ์ พ
    ราหมณ์ก็สั่งให้จับพญานกแขกเต้าทั้งเป็น อย่าฆ่าให้ตาย
    บุรุษผู้รักษานาก็ทำบ่วงแล้วดักพระโพธิสัตว์ จับพระโพธิสัตว์ได้
    มัดมาให้แก่พราหมณ์ พราหมณ์จึงไต่ถามว่า ดูกรท่านผู้เป็นปักษี
    ท่านมาคาบรวงข้าวสาลีของเราไปทุกๆ วัน
    ท่านมีความโกรธเคืองเราหรือๆ
    ท่านนำไปใส่ยุ้งใส่ฉางไว้เป็นประการใด

    พระโพธิสัตว์จึงแจ้งว่า เรามิได้โกรธเคืองท่าน ยุ้งฉางสำหรับใส่ก็ไม่มี
    เรานำข้าวสาลีของท่านไปเพราะเหตุ ๓ ประการ คือ

    ๑. เอาไปใช้หนี้เก่า
    ๒. เอาไปฝังไว้
    ๓. เอาไปให้เขายืม


    พราหมณ์จึงถามว่า เอาไปใช้หนี้เก่าก็ดี เอาไปฝังไว้ก็ดี
    เอาไปให้เขายืมก็ดี ท่านทำอย่างไร? พระโพธิสัตว์บอกว่า

    เอาไปใช้หนี้เก่า นั้นคือเอาไปเลี้ยงมารดาบิดาที่ชราหากินไม่ได้
    ท่านเลี้ยงเรามาไว้เติบใหญ่
    เหมือนหนึ่งเป็นเจ้าหนี้เราควรเลี้ยงดูท่านเหมือนเป็นลูกหนี้
    เพราะฉะนั้น เราจึงคาบรวมข้าวสาลีไปให้แก่มารดาบิดาทุกวัน

    เอาไปฝังไว้ นั้นคือไปให้นกทั้งหลายที่เจ็บไข้
    และมีขนปีกยังอ่อนหากินไม่ได้ ให้เป็นทานการกุศล

    เอาไปให้เขายืม นั้นคือเอาไปให้ลูกยังอยู่ในรังยังหากินไม่ได้
    นานไปเขาโตใหญ่ เขาจะเลี้ยงเราเมื่อแก่ชรา

    พราหมณ์ทราบดังนั้น มีความโสมนัสยินดี
    บอกแก่พระโพธิสัตว์ว่า นับแต่นี้ไป
    เราจะมอบนาข้าวสาลีให้ท่าน จงพาบริวารมากินเถิด
    แล้วแก้เชือกที่มัดเท้าออกให้
    ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็รู้จักประมาณ รับเอาเพียงเนื้อที่ ๘ ไร่เท่านั้น
    แล้วให้โอวาทแก่พราหมณ์ ให้ตั้งอยู่ในธรรมสุจริต
    ลงพราหมณ์ไปสู่ป่าไม้งิ้วอันเป็นที่อยู่แห่งตน

    เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า การเลี้ยงมารดาบิดานั้น เป็นมงคล
    คือ เป็นความดีสำหรับผู้ปฏิบัติ ดังเช่นพระยานกแขกเต้า
    ได้รับนาข้าวสาลีจากพราหมณ์ ไม่ต้องเดือดร้อนอีกต่อไป
    เป็นที่สรรเสริญของนักปราชญ์ คือ ผู้รู้
    ดังเช่นพญานกแขกเต้าได้รับการสรรเสริญจากโกสิยะพราหมณ์
    เป็นเหตุทำตนให้พ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
    เหมือนพญานกแขกเต้าได้รับอิสระ
    พ้นจากเครื่องพันธนาการของพราหมณ์

    เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายหญิงชายที่เกิดมาจงอย่าได้ประมาท
    จงปฏิบัติมารดาบิดาให้มีความสุข ทั้งส่วนที่เป็นอามิสบูชา และปฏิบัติบูชา
    เพราะเหตุว่ามารดาบิดา เป็นผู้มีคุณมาก
    จะเอาแผ่นดินและน้ำ ท้องฟ้าอากาศและเขาสุเมรุราช
    มาชั่งด้วยคุณมารดาบิดาเบากว่า
    และยังชื่อว่าผู้ปฏิบัติย่อมได้รับประโยชน์ทั้งชาตินี้และชาติหน้าด้วย


    แข่งบุญวาสนาเราแข่งกันไม่ได้
    ภาษิตท่านกล่าวไว้ว่า ยามบุญมากาไก่กลายเป็นหงษ์
    ยามบุญลงหงษ์เป็นกาหน้าฉงน
    น้ำไม่เซาะเกาะไม่พังพึงวังวน
    วิสัยผลที่จะผลิตเพราะเหตุมี
    หรือดังคำพังเพยที่กล่าวว่า
    เวลาบุญมา ปัญญาก็ช่วย ที่ป่วยก็หาย ที่หน่ายก็รัก
    เวลาบุญไม่มา ปัญญาก็ไม่ช่วย ที่ป่วยก็หนัก ที่รักก็หน่าย
    สิ่งทั้งหมดที่มันปรากฏการณ์อยู่แก่ตัวเราในปัจจุบัน
    มันเป็นผลที่ไหลมาจาเหตุจากภพก่อนทั้งนั้น
    สมดังคำพระอัสสชิเถระกล่าวแก่อุปติสสะมาณพว่า

    เยธมฺมาเหตุปพฺพวา เตสํเหตุ ํ ตถาคตโต
    ธรรมทั้งหลายย่อมไหลมาจากเหตุ
    คือ มีเหตุเป็นแดนเกิด


    คัดลอกจาก...
    http://www.jarun.org

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]</TD></TR><TR><TD> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. ใจสวรรค์

    ใจสวรรค์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +105
    ขออนุโมทนากับเรื่องราวดีดีที่ลูกทุกๆคนควรอ่านและขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่นำมาเผยแพร่และสมควรนำไปปฎิบัติตามเป็นอย่างยิ่ง
     
  14. นายชัชฌาณัฏฐ์

    นายชัชฌาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    438
    ค่าพลัง:
    +301
    ข้าพเจ้าขอร่วมอนุโมทนาบุญด้วยนะครับ อ่านแล้วดีจริงๆครับ.
     
  15. ศึกษาธรรม2551

    ศึกษาธรรม2551 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    669
    ค่าพลัง:
    +234
    พ่อ แม่ คือพระอรหันต์ของลูก กตัญญูกับท่านมากๆ ครับ ...สาธุ ขออนุโมทนาทุกท่าน
     
  16. TUK2800

    TUK2800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,766
    ค่าพลัง:
    +1,161
    ลักษณะบุตรที่ควรสรรเสริญ

    1. เป็นผู้อยู่ในโอวาทของบิดามารดา
    2. เป็นผู้เลี้ยงท่านผู้เลี้ยงตนมา
    3. เป็นผู้ไม่ทำวงศ์ตระกูลให้เสื่อมเสีย
    4. เป็นผู้มีศรัทธา
    5. เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล​

    [SIZE=+3]การตอบแทนคุณบิดามารดา [/SIZE]
    1. ทำบิดามารดาที่ไม่มีศรัทธา ให้มีศรัทธา
    2. ทำบิดามารดาที่ไม่มีศีล ให้มีศีล
    3. ทำบิดามารดาที่ตระหนี่ ให้เสียสละ
    4. ทำบิดามารดาที่มีปัญญาทราม ให้มีปัญญา
    5. ที่สุดให้ท่านบรรลุมรรคผลนิพพาน​

    บุคคล 2 ท่านคือมารดาบิดา เป็นผู้ที่จะสนองคุณได้โดยยาก แม้บุตรจะแบกมารดาบิดา (ผู้เลี้ยงดู ไม่ใช่ชนกชนนีผู้ทำให้เกิด) ไว้บนบ่าคนละข้างตั้ง 100 ปี ปฏิบัติบำรุงด้วยประการต่างๆ ให้มารดาบิดาถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่านั้น หรือทำให้มารดาบิดา เสวยราชสมบัติ ก็ยังไม่ชื่อว่าตอบแทนคุณได้ เพราะมารดาบิดา มีอุปการะมาก เป็นผู้เลี้ยงดูแสดงโลกนี้แก่บุตร จึงทรงแสดงการตอบแทนคุณดังกล่าวข้างต้น ดังที่พระองค์ และพระสารีบุตรได้โปรดพุทธมารดาและมารดา​

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กุมภาพันธ์ 2009
  17. rossarin555

    rossarin555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2009
    โพสต์:
    248
    ค่าพลัง:
    +346
    ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านธรรมใดที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงพบแล้ว ขอธรรมนั้น จงสำเร็จแก่ท่านทั้งหลายโดยเร็วด้วยเถิด สาธุ สาธุ สาธุ

    อิทัง ปุญญะผะลัง ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาติข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่ เจ้ากรรม นายเวร ทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้วแต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอ เจ้ากรรม นายเวร ทั้งหลาย จงโมทนา ส่วนกุศลนี้ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่บัดนี้ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานและขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่ เทพเจ้า ทั้งหลายที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และ เทพเจ้า ทั้งหลาย ทั่วสากลพิภพ และ พระยายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลายและ พระยายมราช จงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญกุศลของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิดและขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่ท่านทั้งหลาย ที่ล่วงลับไปแล้วที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลาย จงโมทนาส่วนกุศลนี้พึงได้รับประโยชน์ ความสุข เช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิดหากท่านทั้งหลายยังไม่มีโอกาสได้อนุโมทนาเพียงใดขอเทพเจ้าทั้งหลายและ พระยายมราช จงเป็นสักขีพยานให้แก่ข้าพเจ้าด้วย เจอเธอเมื่อใดขอให้เธอได้ อนุโมทนาส่วนกุศลนี้ด้วยเถิดผลบุญใด ที่ข้าพเจ้า ได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่ต้นชาติจนถึงปัจจุบันชาตินี้ ขอผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัย ให้ข้าพเจ้า ได้เข้าถึง ซึ่งพระนิพพาน ในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด หากแม้นยังไม่ถึง พระนิพพาน เพียงใดขอคำว่าไม่รู้ ไม่มี ไม่สำเร็จ ในสิ่งที่ดี จงอย่าได้บังเกิดแก่ ข้าพเจ้าเลยขอผลบุญทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้า ได้กระทำแล้ว ตั้งแต่ ต้นชาติ จนถึงปัจจุบันชาติจงบังเกิดผล ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้ เถิด<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    จาก รสริน รอดไทยแก้ว และ กิตติ์ชวิน สีอุด<o:p></o:p>
    สมชัย ,พิมพรรณ รอดไทยแก้ว , เสงี่ยม , จรูญ สีอุด
    น้ำเพชร , มารวย , ทองคำ 1 ,ทองคำ 2 <o:p></o:p>
     
  18. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงกับท่านเจ้าของเรื่อง เจ้าของกระทู้
    และทุกท่านที่ได้นำเสนอ ความเห็นที่ดีที่เป็นประโยชน์ครับ
     
  19. TUK2800

    TUK2800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,766
    ค่าพลัง:
    +1,161
    อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ.... สาธุ
    <!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message -->
     
  20. Nutuk

    Nutuk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +347
    อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ สาธุ

    --------------------------------------
    <!-- / message -->
    <!-- / message -->รักษาศีลให้ได้ มีสุคติเป็นที่ไปแน่นอน
    รักษาศีลให้ได้ มีโภคทรัพย์แน่นอน
    รักษาศีลให้ได้ มีนิพพานเป็นที่ไป และเข้าถึงแน่นอน
    ;aa13<!-- / message -->
    <!-- / message -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...