เรื่องเด่น หลวงปู่ขาว อนาลโย เล่าเรื่องพระพุทธรูปในวัดถ้ำกลองเพล

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย โพธิสัตว์ ชาวพุทธ, 25 ตุลาคม 2017.

  1. โพธิสัตว์ ชาวพุทธ

    โพธิสัตว์ ชาวพุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    5,319
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,274
    ค่าพลัง:
    +9,590
    หลวงปู่ขาว อนาลโย เล่าเรื่องพระพุทธรูปในวัดถ้ำกลองเพล

    อนาลโย-เล่า-1.jpg


    หลวงปู่ขาว อนาลโย ได้เล่าให้ศิษย์ฟังว่า เมื่อครั้งดุธุดงค์มาอยู่วัดถ้ำกลองเพล ในราวเดือนยี่ มกราคม 2501 หลวงปู่ได้พักภาวนาเพราะเป็นที่สงบสงัดยิ่งนัก มีชาวบ้านเพียง 4-5 หลังคาเรือน พอได้อาศัยโคจรบิณฑบาตได้
    ท่านได้เล่าเรื่องราวพระพุทธรูปในวัดถ้ำกลองเพลให้ลูกศิษย์ฟังว่า คืนหนึ่ง ท่านนั่งสมาธิภาวนาอย่ภายในถ้ำหน้าพระพุทธรูปที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ จิตเกิดสงบอย่างมาก ใสสว่างเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญเหมือนแก้วมณสว่างไสว ขณะนั้นเกิดแสงสว่างขึ้นตามบริเวณที่มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ ปรากฎนิมิตนั้นว่า พระพุทธรูปแต่ละองค์พูดได้ บางองค์หัวเราะ บางองค์ยิ้ม ดูบรรยากาศช่างมีความสุขและชุมเย็นเป็นที่น่าอัศจรรย์
    พระพุทธรูปองค์หนึ่งถามพระพุทธรูปอีกองค์ว่า “ท่านบวชได้กี่พรรษาแล้ว” บางองค์ก็ตอบว่า “ผมได้ 100 พรรษาแล้ว” อีกองค์ตอบว่า ผมได้ 500 พรรษาแล้ว องค์ที่พรรษาสูงสุดพูดว่า “พวกท่านยังอ่อนกว่าผมมากเลยที่เดียว ผมบวชได้ 1,000 พรรษาแล้ว”
    ในนิมิตแสดงอย่างแจ่มชัดมาก พระพุทธรูปทุกองค์ยิ้มแย้มแจ่มใส อารมณ์ดี มีเมตตาสูง แล้วยังแสดงธรรมให้หลวงปู่ฟังอย่างซาบซึ้งใจอีกด้วย หลวงปู่นั่งภาวนาด้วยจิตใจที่เบิกบานจนสว่างเพราะจิตวางอุปทานความยึดมั่นถือขันธ์ ได้ประสบสิ่งมหัศจรรย์อันเป็นสำคัญยิ่ง ในบางคืน บางครั้ง เมื่อจิตสงบแล้วจะปรากฎนิมิตเห็นภาพแสงแก้วแพรวพราวขาวสะอาดหยาดย้อยตามบริเวณถ้ำ พบเห็นสิ่งมหัศจรรย์อยู่บ่อยๆ ลูกศิษย์ได้ฟังต่างก็ปลื้มปิติไปตามๆกัน เมื่ออยากรู้ว่าพระพุทธรูปองค์ไหนกี่พรรษา หลวงปู่ก็กรุณาชี้บอก พร้อมอธิบายบอกชนิดที่มีความคุ้นเคยกับพระพุทธรูปแต่ละองค์เป็นอย่างมาก ซึ่งศิษย์วัดถ้ำกลองเพลรุ่นเก่าๆจะทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี
    เมื่อลูกศิษย์รุ่นหลังถามว่า ทำอย่างไรพวกเขาจึงจะได้รู้ได้เก็นเรื่องที่หลวงปู่เล่ามาได้บ้าง หลวงปู่ตอบว่า “ก็มานอนเหมือนคนตาย แล้วมันจะรู้เห็นปราสาทวิมานอะไร อยากรู้ อยากเห็นต้องนั่งบำเพ็ญภาวนาจึงจะเห็นของพรรค์นี้ จะมาเล่าบอกกันทั้งหมดเดี๋ยวเขาจะหาว่าเราบ้า”
    หลวงปู่ได้เมตตาสอนศิษย์ต่อไปว่า “ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวไว้ดีแล้ว ถ้าอยากรู้อยากเห็นมันต้องทำเอง พระธรรม ดวงธรรม แสงสว่างแห่งความสุข วิมุติ วิโมกข์ มันมีอยู่ในตัวเรา ขอจงลงมือทำ อย่ามั่วแต่อยากเฉยๆ ไม่ประพฤติไม่ทำมันก้เหมือนคนตาบอดหลงทาง
    พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ มีอยู่ทุกเมื่อ ใครกินผู้นั้นอิ่ม จะถามคนที่กินอาหารอิ่มว่ามันเป็นอย่างไร จะไปถามทำไม อาหารคือธรรมโอสถมีแล้ว เมื่อกิน คือลงมือปฏิบัติก้ไม่ต้องถามดอก ถ้ามันถึงเมืองอ้อ เมืองพอ แล้วมันจะออกปากอุทานว่า..อ้อ เป็นอย่างนี้เอง..
    หลวงปู่ได้เล่าเรื่อง “พรานบุญหนาใจบาป”
    สมัยที่ท่านมาอยู่วัดถ้ำกลองเพลใหม่ๆ นั้น ในถ้ำมีพระพุทธรูปขนาดต่างๆมากมาย ทั้งที่ซ้อนไว้ในที่ลับตาคน ทั้งที่ประดิษฐานในถ้ำอย่างเปิดเผยแต่ดั้งเดิม ที่คนนำมาประดิษฐานรวมกันไว้ในถ้ำมีมากมาย แม้พระพุทธรูปทองคำ เงิน นาก ทองสัมฤทธิ์ ก็มีไม่น้อย “แต่ถูกมารศาสนาเอาไปกินเรียบวุธไม่มีเหลือมานานแล้ว” เหลือแต่พระพุทธรูปธรรมดาที่เห็นกันอยู่เท่านี้
    ตามธรรมดาพระพุทธรูปทั้งมวล ย่อมเป็นที่กราบไหว้บูชาของชาวพุทธทั่วไป ไม่มีใครถือเป็นเสนียดจัญไรให้โทษทุกข์แต่อย่างใด แม้จะเป็นคนดีคนชั่วขนาดไหน เมื่อมาเจอพระพุทธรูปเข้าจิตใจย่อมอ่อนโยน เคารพบูชา ไม่ถือเป็นอริศัตรูแต่อย่างใด
    พระพุทธรูปที่ถ้ำกลองเพลนี้ก็เช่นเดียวกัน พวกนายพรานที่มาพักค้างคืนที่ถ้ำต่างก็กราบไหว้บูชา และขออธิฐาน ขอขมาลาโทษในสิ่งที่ตนทำ ในบรรดาพรานที่มาพักที่ถ้ำกลองเพล มีนายพรานพิสดารคนหนึ่งชื่อ นายพรานบุญหนา (ท่านหลวงตามหาบัวเรียกว่า นายบาปหนา)
    มีวันหนึ่ง พรานบุญหนาเที่ยวล่าสัตว์ไปตั้งแต่เช้าจนค่ำแต่ไม่เจอสัตว์ใดๆ เลยแม้แต่ตัวเดียว รู้สึกหงุดหงิด
    เพลียทั้งกายทั้งใจ จึงได้แวะพักที่ถ้ำกลองเพล ซึ่งมีเพื่อนพรานคนอื่นๆเข้ามาพักอยู่ตามปกติ ด้วยความหงุดหงิด พรานบุญหนาเหลือบไปเห็นพระพุทธรูปในถ้ำ มีทั้งองค์ใหญ่องค์เล็กจำนวนมากมาย พลันความคิดชั่วของแกก้ผุดขึ้นมา แกกล่าวหาว่า คงเป็นด้วยพระพุทธรูปทั้งหลายนี้แหละที่แกล้งแก ทำให้แกไม่สามารถล่าสัตว์มาเป็นอาหารได้เลยแม้แต่ตัวเดียว
    ด้วยความวิตถาร แกไปยกพระพุทธรูปน้อยใหญ่มาตั้งแถวเรียงหน้ากันเหมือนกองทหาร แกเอากิ่งไม้มาถือเป็นแซ่ในมือ แกทำหน้าที่เป็นนายทหารฝึกแถว สั่งพระพุทธรูปให้ซ้ายหันขวาหัน พร้อมทั้งใช้แซ่หวดพระพุทธรูปองค์ที่แกเห็นว่าอ่อนแอหรือไม่ทำตามคำสั่ง
    ปากแกก็สั่ง บ่น สั่งอบรมสั่งสอนพระพุทธรูป เพื่อให้หลาบจำ คราวหน้าจะได้ไม่แกล้งแกอีก บรรดาเพื่อนพรานพยายามห้ามปราม แกก็ไม่ฟังเสียงพรานเหล่านั้นจึงต่างหลบหนีกลับบ้าน โดยไม่มีใครกล้าปริปากอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
    เมื่อพรานบุญหนาอบรมพระพุทธรูปจนหนำใจแล้ว แกก็กลับบ้าน บรรดาญาติพี่น้องและคนในบ้านต่างปิดปากเงียบไม่มีใครกล้าถามแกในเรื่องที่แกทำ บรรดาเพื่อนพรานก็หลบหนีไม่กล้ามาพบหน้า คงเพราะกลัวเกรงความบ้าของแก ต่างคนต่างนิ่งเฉยเหมือนคอยเฝ้าดูเหตุการณ์ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่
    พอตกกลางคืน พรานบุญหนาเริ่มมีอาการคันตามร่างกายแล้วกลายเป็นตุ่มคันไปทั้งตัว ปวดแสบปวดร้อนไปหมด ทั้งแสบทั้งคันจนทนไม่ไหว ครวญครางร้องหาให้คนช่วย พวกเพื่อนพรานของแกหนีหมด ไม่มีใครกล้ามาเยี่ยมดูอาการ ก็มีเพียงคนเฒ่าคนแก่มาช่วยเหลือ แม้จะหายูกยามาทามาแก้ไขอย่างไรอาการก็ไม่ทุเลา มีแต่จะเห่อลุกลามมากขึ้นไปทั่วทั้งตัว อาการคันปวดแสบปวดร้อนเพิ่มมากขึ้นสุดแสนจะทนทานได้ คนแก่พยายามถามเลียบเคียงว่า ให้แกลองนึกดูว่าในระยะนี้แกไปทำเรื่องอะไรที่ไม่ดีไม่งามบ้าง เพราะดูอาการของแกมันผิดปกติธรรมดาทั่วไป คงไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่
    ในที่สุดพรานบุญหนาก็สารภาพออกมาเกี่ยวกับการที่ตนไปทำไม่ดีกับพระพุทธรูปที่ถ้ำกลองเพล แกอยากไปกราบขอขมาแต่ยังไม่สามารถไปได้ในเวลานั้น เพราะเป็นเวลากลางคืนและยังป่วยอยู่ คนเฒ่าคนแก่จึงให้ไปหาพระพุทธรูปมาองค์หนึ่ง จัดดอกไม้ธูปเทียนให้แกกราบขอขมา ปรากฎว่าอาการแสบคันของแกค่อยทุเลาลงอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อแกหาย และมีเรี่ยวแรงแล้ว แกก็จัดดอกไม้ธูปเทียนไปกราบขอขมาพระพุทธรูปในถ้ำ ที่แกก่อความไม่ดีเอาไว้ แล้วก็ปฏิญาณเลิกอาชีพพราน เลิกฆ่าสัตว์ตัดชีวิตตั้งแต่บัดนั้น
    สาธุ…นับว่าโชคดีที่แกกลับตัวกลับใจได้ทัน
    หลวงตาได้ให้ความเห็นว่า เรื่องของพรานบุญเป็นตัวอย่างสดๆ ร้อนๆ ในสมัยปัจจุบันซึ่งถูกกิเลสขโมยก่อไฟ แล้วก็มาหลอกให้พรานแกเข้ากองไฟด้วยความคึกคนองจับพระพุทธรูปอันเป็นสิ่งวิเศษศักดิ์สิทธิ์โดยธรรม มาฝึกทหารและเฆี่ยนตีด้วยประการต่างๆ จนกระทั้งเจอดี คือร่างกายเกิดผุพองหนองไหลขึ้นสดๆ ร้อนๆต่อหน้าต่อตา จะเป็นจะตายแหลพะ เตรียมลงนรกทั้งเป็นทั้งตายขณะนั้น จึงมีเทวบุตรมาโปรดให้เห็นโทษแห่งการกระทำของตนและได้กลับตัวมาทางธรรม ยอมรับความจริงว่าบาปมี บุญมี จึงรอดภัยพิบัติไปในเวลานั้น ไม่ถูกกิเลสตัวพาให้มืดบอดลากลงนรกทั้งเป็นเสียทีเดียว ชนิดจมไปเลยไม่มีวันโผล่
    สาธุ…
    คัดลอกจาก หนังสือ ประวัติ หลวงปู่ขาว อนาลโย
    (โครงการหนังสือบูรพาจารย์เล่ม 4)



    ที่มา พระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 ตุลาคม 2017
  2. ราเมสูร

    ราเมสูร สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2021
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +6
    สาธุครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...