เสียงธรรม หลวงปู่โฮม ญาณธัมโม‏ วัดป่าสุทธิมงคล ต.กระจาย อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร

ในห้อง 'ประวัติและนิทานธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย mp38, 12 เมษายน 2012.

  1. mp38

    mp38 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    206
    ค่าพลัง:
    +386


    [​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG]
    หลวงปู่โฮม ญาณธัมโม
    วัดสุทธิมงคล ตำบลกระจาย
    อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร
    ประวัติ...หลวงปู่โฮม ญาณธัมโม
    นามเดิม นายโฮม ทุ่มโมง
    เกิด วันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๖๙ ปีขาล
    ตำบลกระจาย อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร
    จบการศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔
    บิดา นายเผือก ทุ่มโมง
    มารดา นางบับ ทุ่มโมง
    มีบุตรธิดา ๗ คน เป็นหญิง ๕ คน ชาย ๒ คน
    บวชเมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๗ เวลา ๒o.๒๖ น.
    อายุ ๖๘ ปี ณ.วัดเทพรังษี ตำบลหนองคู อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร
    พระอุปัชฌาย์ พระครูบวรคณานุศาสน์
    พระกรรมวาจาจารย์ พระครูวิฑูรฐิติคุณ
    พระอนุสาวนาจารย์ พระครูโสภณสุทธิวัตร
    สังกัด วัดสุทธิมงคล ตำบลกระจาย อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร

    ๑ ช่วงเป็นฆราวาส

    ก่อน บวชเป็นพระ หลวงปู่เคยฝึกสมาธิมาก่อนเป็นเวลา ๑๙ ปี การฝึกนั่งสมาธิครั้งแรก เป็นวันเพ็ญเดือนหก ซึ่งมีพระอาจารย์จากวัดถ้ำคูหาสวรรค์ จังหวัดลพบุรี มาเทศน์อบรม และสอนการนั่งสมาธิให้ญาติโยม พอท่านอาจารย์เทศน์จบ ท่านก็บอกให้ญาติโยมลองฝึกนั่งสมาธิ หลวงปู่เป็นอีกคนหนึ่งที่เริ่มนั่งสมาธิในวันนั้น และ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เริ่มนั่งสมาธิ พอเริ่มนั่งจิตก็รวมลงอย่างรวดเร็ว และสามารถเดินไปดูถ้ำคูหาสวรรค์ ที่อยู่จังหวัดลพบุรีได้ ทั้งๆที่ตลอดชีวิตที่ผ่านมา หลวงปู่ไม่เคยไปที่นั่นเลยสักครั้ง หลวงปู่เดินดูจนทั่วแล้วก็กลับมา สักพักอาจารย์ก็ถามโยมที่นั่งสมาธิว่าเป็นอย่างไร คำตอบของทุกๆคนก็คือ บอกว่าจิตไม่สงบ วุ่นวาย ปวดแข้งปวดขาบ้าง แต่พออาจารย์หันมาถามหลวงปู่โฮม หลวงปู่บอกอาจารย์ว่า “เดี๋ยวก่อนอาจารย์ วัดถ้ำคูหาเป็นอย่างนี้ใช่ไหม”แล้วเล่าให้อาจารย์ฟัง พอเล่าจบ อาจารย์ถามว่า“ไปตอนไหน” ตอบท่าน“เมื่อกี้”อาจารย์ถามต่อไปว่า “ฝึกนั่งสมาธิมานานยัง”ตอบว่า “เพิ่งฝึกเมื่อกี้นี้” ทำ ให้อาจารย์และญาติโยมงงงวยไปตามๆ กัน ก็นับว่าเป็นสิ่งที่อัศจรรย์มากและคงเป็นเพราะบารมีเก่าที่ได้สร้างสมมานาน หลายชาติ จิตถึงรวมได้รวดเร็วขนาดนี้ หลวงปู่ได้พูดคุยกับอาจารย์ๆ บอกว่า “ถ้า อยากเห็นธรรมรู้ธรรม ห้ามอ่านหนังสือธรรมะ ห้ามฟังเทศน์ ห้ามฟังเทปธรรมะ เพราะจะเป็นสัญญา ก็ฝึกก็จะยาก ในการเห็นธรรมรู้ธรรม ก็จะยากยิ่งขึ้น”ก็ เชื่ออาจารย์ หลวงปู่เริ่มฝึกสมาธิมาเรื่อยๆ ไม่ขาด การรู้ธรรมเห็นธรรม ก็เป็นมาเรื่อยๆ ครั้งหนึ่งก่อนนั่งสมาธิมีความคิดขึ้นมาว่า อยากจะเห็นพระพุทธเจ้า อยากไปเฝ้าพระพุทธเจ้า จึงนั่งสมาธิ พอนั่งปรับจิตรวมลงแล้ว เลยขึ้นไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พอถึงประตูใหญ่มีเทพรักษาอยู่ภายนอก ท่านถามว่า “มาทำไม”จึงตอบท่านว่า “จะมาเฝ้าพระราชบิดา” เทพถามว่า “พระราชบิดาเป็นใคร”ตอบท่านว่า “พระพุทธเจ้า” เทพบอกว่า“ยังเฝ้าไม่ได้ให้ไปชำระจิตก่อนอีก ๔ วัน ค่อยมาเข้าเฝ้า” ก็เลยกลับลงมา ต่อมาก็นั่งสมาธิ ทุกๆ วัน จนถึงวันที่สี่ จึงได้ขึ้นไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พอขึ้นไปเทพก็พูดว่า “มาแล้วหรือ”ตอบท่านว่า “มาแล้ว”ก็ เข้าไปข้างในมองดูเห็นพระพุทธเจ้า นั่งเป็นประธาน รอบๆ มีแต่พระอรหันต์ (จิตบอกเองว่า นี่คือ พระอรหันต์) นั่งหัตถบาทรอบๆ พระองค์อยู่ กะดูประมาณพันกว่ารูป เลยเข้าไปนั่งข้างหลังห่างจากพระอรหันต์ประมาณ ๑ ศอก และ ห่างจากพระพุทธเจ้า ๑ เส้น มองไปที่พระองค์มีแสงเปล่งออกมา จะหาแสงใดๆ ในโลกมาเปรียบไม่ได้ ความเย็นตา เย็นใจ หาอะไรมาเปรียบเทียบในโลกนี้ไม่มีเลย เช่นกันกับแสงสว่าง นั่งสักพักก็เลยลุกขึ้นเดินดูรอบๆ บริเวณนั้น ณ.ที่แห่งนี้ไม่มีสัมผัสอากาศ ไม่มีแสง ไม่มีสี ไม่มีฝุ่นละออง ไม่มีเสียง ไม่มีลม ไม่มีร้อน ไม่มีหนาว มีแต่ความเย็นสบาย เดินรอบๆ แล้วก็กลับลงมานั่งสมาธิ ต่อทุกๆ วัน คืนหนึ่งฝันไปว่า เห็นหลวงปู่จุล วัดถ้ำคูหาสวรรค์มาหามือถือดอกบัวมาด้วย ๓ ดอก พร้อมพูดว่า“บักหล่าเอาอันนี้ไว้จะได้มีแสงสว่างเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา”เลยรับและกำเอาไว้ พอดีตื่นขึ้นมามือยังกำแน่นอยู่ แต่ในมือไม่มีดอกบัว จึงมานึกดูคำว่า แสงสว่าง ก็คือ“ปัญญาในทางธรรม”นั่นเอง


    [​IMG]
    [​IMG]

    รอยมือประทับขององค์หลวงปู่โฮม

    [​IMG]

    รอยเท้าประทับขององค์หลวงปู่โฮม

    พอ ปฎิบัติมาจนถึงปีที่ ๙ เดือน ๙ แรม ๙ ค่ำ พอนั่งสมาธิ เกิดเห็นธรรมขึ้นมา รู้เกี่ยวกับการเกิดของคน สัตว์ ไม่ว่าสัตว์บก สัตว์น้ำ เข้าใจโลก บนบก ในน้ำ ในอากาศ เข้าใจอย่างละเอียดว่า มีอะไรบ้างในพื้นโลกที่เป็นส่วนบนบก ในน้ำ ในอากาศก็เช่นเดียวกัน ยังรู้ลึกลงไป อีกว่า ในร่างกาย บัญญัติ ๖๔ อาการ ๓๒ รวมเป็น ๙๖


    ต่อมาก็ปฎิบัตินั่งสมาธิเรื่อยๆ ทุกๆวัน ไม่ท้อถอย จนถึง อายุ ๕๕ ปี ก็เลยพูดกับย่าว่า “อายุ ๖o ปี กะบาท (ผม) จะปลงสังขาร”ย่าบอกว่า “อย่าเพิ่งไปเลย ให้อยู่กับลูกหลานก่อน”หลวง ปู่เล่าว่า ชาติก่อน เมียตายเมื่อหลวงปู่อายุ ๕๕ ปี ก็เลยออกบวชเป็นตาผ้าขาวได้ ๕ ปี พออายุ ๖o ปี ก็เลยตาย หลังจากตายแล้วก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพราะอานิสงส์ของการรักษาศีล ๕ ศีล พระอุโบสถ (ศีลพระอุโบสถรักษาในวันพระ ส่วนศีล ๘ รักษาได้ทั่วไป) พอสิ้นบุญเลยกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง อยู่ต่อมาพออายุ ๖o ปี ก็เริ่มป่วย ปวดตามข้อมือ ปวดตามกระดูก ปวดตามข้อทุกๆ ข้อ เริ่มมีอาการหล่อย (อัมพาตขั้นต้น) ไม่มีเรี่ยวแรง ลูกๆ จะพาไปหาหมอ ก็ไม่ยอมไป ไม่ยอมกินยา ไม่ไปโรงพยาบาล ต่อมานอนตอนกลางคืน ฝันเห็นแม่นุ่งขาวหม่ขาว (แม่ในอดีตชาติ) แม่ถามว่า “เป็นอะไรลูกถึงนอนอยู่อย่างนี้ ไม่สบายดอกหรือ”ตอบท่านว่า “ลูกจะปลงสังขาร” แม่บอกว่า “ไม่ได้สร้างบารมี ยังไม่พอ ยังไม่จบสิ้น ยังไม่ตาย”แล้วก็พูดว่า “อ้าปากขึ้นกินยาซะ”พอ แม่พูดจบ ก็แหงนหน้าขึ้น มองเห็นเม็ดยาเหมือนหยดน้ำ ลอยลงมาจากฟ้า แล้วก็เข้าไปในปาก พอเข้าไปในปาก รู้สึกว่า มีความเย็นตั้งแต่ลำคอถึงกระเพาะ พอกินยาเสร็จ แม่บอกว่า “จะกลับแล้วนะ”พอ แม่กลับ ก็ตื่นขึ้นมาสังเกตุอาการก็ยังเย็นอยู่ พอถึงตอนเช้าอาการป่วย อาการปวดในตัวหายไป ๗o เปอร์เซ็นต์ ต่อมาอีก ๓ วัน อาการปวดอาการป่วยก็หายขาด ตั้งแต่นั้นมา ไม่เคยป่วยหนักๆอีกเลย
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    อยู่ ต่อมาเมียมาตาย วันหนึ่งแกว่งเปลหลานอยู่รู้สึกมีอาการร้อนในตัวมาก คือ ร้อนภายในตัว ทั้งภายในและภายนอก พอวันที่สอง อาการร้อนก็ร้อนมากกว่าวันแรก พอวันที่สามยิ่งร้อนกว่าทั้งสองวัน พอร้อนมากๆ ก็เลยอธิษฐานว่า “ถ้าจะอยู่ต่อไปขอให้ร้อนมากๆกว่าเดิม แต่ถ้าจะออกบวชให้อาการร้อนหายไป”ความ ร้อนค่อยๆ ทุเลาลงจนหายไป ในที่สุดก็เลยตัดสินใจว่า จะบวชแน่นอน ก่อนจะบวชได้เอาหนังสือมาหัดอ่านท่องนาค และอธิษฐานว่า ให้ท่องนาคได้อย่างคล่องแคล่ว ก็เป็นดังคำอธิษฐาน พอท่องได้จึงเลยไปหาพระอุปัชฌาย์ขอบวช พระอุปัชฌาย์บอกว่า “พอดีมีนาคจะบวชอยู่ จะบวชคู่ให้”หลวงปู่บอกว่า“จะขอบวชนาคเดี่ยว”พระอุปัชฌาย์ตกลงจะบวชให้ มีพระร่วมทั้งหมด ๙ รูปในวันบวช
    อนึ่ง ในชีวิตที่เป็นฆราวาสนั้น มีธรรมะเกิดขึ้นมากมาย และการรู้การเห็นในสิ่งที่ไม่เคยรู้เคยเห็น ก็มากมายจากผลการปฎิบัติมา ๑๙ ปี กระผมผู้เขียนจะไม่นำมากล่าวในที่นี้ เพราะบางอย่างเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ บางอย่างเป็นเรื่องที่โลดโผน เรื่องลึกลับเรื่องอัศจรรย์ ถ้านำมาเขียนลงไปหากผู้อ่านบางท่านอ่านแล้วไม่เชื่อ แล้วยังไปปรามาสหลวงปู่ ก็จะเป็นบาปกรรมแก่ผู้นั้นเปล่าๆ ก็ขอยุติชีวิตและการปฎิบัติในช่วงเป็นฆราวาสแต่เพียงเท่านี้
    ๒ บวชเป็นพระภิกษุ
    [​IMG]
    พรรษาที่ ๑ - ๓

    การเห็นธรรมะก็เกิดขึ้นธรรมดา แต่ก็ไม่มีอะไรมาก เพราะรู้และเห็นมาแล้วในตอนเป็นฆราวาส


    พรรษาที่ ๔

    ก็ นั่งสมาธิเรื่อยๆ ปรากฎว่า วันหนึ่งมีเทพมาขอปั้นรูปหลวงปู่ แล้วก็ปั้นรูปอยู่ข้างหลัง พอปั้นได้สักพัก เทพก็เลื่อนรูปปั้นมาข้างๆ หลวงปู่ แล้วพูดว่า“ยังไม่เสร็จ”แค่ทำเป็นรูปลางๆ (เป็นการนึกในใจ) ก็เอาไปปั้นข้างหลังอีกสักพัก ก็เอามาตั้งข้างๆ แล้วบอกว่า “เสร็จแล้ว” เทพเลยยกรู้ปั้นหลวงปู่ไป เดินไปทางป่าช้าห่างจากกุฎิประมาณ ๑o วา นึกว่า “เออ สงสัยว่า ตัวเองจะตาย เขาคงจะนำไปฝังในป่าช้า” แต่พอสักพัก เทพก็ค่อยๆ ยกรู้ปั้นลอยขึ้นไปบนฟ้า แหงนหน้าดูจนสุดสายตาแล้วก็หายไป


    พรรษาที่ ๕

    ช่วงต้นเดือนเมษายน นิมิตเห็นหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตมาหา แล้วพูดว่า ว่า “ถ้ารู้แล้วเห็นแล้ว ทำให้ถึงที่สุด” ถึงอนาคามีแล้ว

    พรรษาที่ ๕

    ต้น พรรษา มียมบาลพาพวกสัตว์นรก มาขอฟังธรรมประมาณ ๑oo ตน เห็นจะได้ พอกราบเสร็จก็พากันกลับ สักครู่พวกเทพก็พากันมา นำดอกบัวมาด้วย กะดูประมาณกระเฌอเกวียน พอเอาดอกบัวสักการะแล้วก็พากันจากไป อีกสักพักมีพรหมมาสักการะเส็จแล้วก็หายไป พอพรหมจากไป มองไปข้างหลัง เห็นเป็นกองๆ อยู่ แต่ไม่ทราบว่ากองอะไร สักครู่ก็มีเทพสององค์เดินเข้ามาที่กอง แล้วก็มาประกอบบันไดทองสูงขึ้น ๆ ไปเรื่อยๆ แหงนหน้ามองดูจนสุดลูกหู ลูกตา บันไดก็หายไป สักพักก็มีราชรถมีเทพนั่งมาด้วยหนึ่งองค์ ราชรถลอยมาจอดข้างกุฏิ ข้างๆ ทางเดินจงกรม มองไปที่บนราชรถแล้ว ก็นึกว่าอะไรหนอ เทพก็เลยเอาร่มลงมาจากราชรถแล้วบอกว่า“จะกางร่มให้หลวงปู่” หลวงปู่บอกว่า “ให้กางดู”พอกางร่มเสร็จ ร่มที่กางออกใหญ่มาก สามารถคลุมกุฏิ แล้วคลุมไปถึงบริเวณแถวนั้น พอกางเสร็จ เทพ ร่ม และราชรถก็หายไป

    พรรษาที่ ๖ - ๘

    ปรากฎธรรมะต่อมาเรื่อยๆ ถือว่า เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับหลวงปู่
    พรรษาที่ ๙ พ.ศ.๒๕๔๕

    วันที่ ๒ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๕ วันแรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๑o ปีมะเมีย

    วัน นั้นหลวงปู่เดินจงกรม ๑ ชั่วโมง เสร็จเวลา ๖ โมงเย็น หยุดเดินจงกรม ก็ขึ้นกุฏิทำวัตร พอทำวัตรได้สักพักหนึ่ง จิตเพ่งยาวๆ มองเห็นกุฏิหลังหนึ่ง เขาบอกว่า ที่นั่นเป็นวัด สำนักปฎิบัติธรรม

    วันที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๕ วันแรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑o ปีมะเมีย

    เวลา ๖ โมงเย็น เริ่มเดินจงกรม เที่ยวแรกเดินไปยังไม่ถึงปลายทาง ประมาณสัก ๕ วา อาการที่เกิดขึ้นมันไม่มีความรู้สึกใดๆ และไม่สามารถอธิบายอาการนั้นได้ เพราะไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหน มันไม่รู้กาลเวลา มันเร็วมาก เพียงเสี้ยววินาทีเดียว เมื่อเป็นในลักษณะนี้สักระยะหนึ่ง ก็จะมีอาการรู้ตัวขึ้นมานิดๆ ในขณะนั้นเอง พอรู้ตัวขึ้นมา ก็ว่า “ใช่แล้ว”คือ การปฎิบัติเราจบแล้ว การปฎิบัติของเรา วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว รู้ว่าอาสวะจะสิ้นไปในขณะนี้ เพราะไม่มีการทำอะไรที่จะให้หมดไปอีกแต่ประการใด
    พอรู้อย่างนี้แล้ว ก็เดินจงกรมกลับไป ปรากฎว่า เท้าไม่ถูกดิน เหมือนเดินมาตามยองใยของสำลี เป็นอยู่อย่างนี้ ๓ เที่ยวเดิน จะวางเท้าแรงๆ ก็ไม่ดัง พอเที่ยวที่ ๔ เดินกลับมา เมื่อถึงกลางทางที่เดิน มีอภินิหารเกิดขึ้น คือ ขนลุกไปทั้งตัว ก็นึกว่า จะกระทืบลงไป โลกจะต้องสะเทือนแน่ ถ้ายันลงไป พื้นดินจะทะลุลงไปถึงปฐพี พอก้าวขามา อีก ๑ ก้าว จะมีอภินิหารเกิดขึ้นอย่างรุนแรงมากขึ้น จะยันภูเขา ให้เรียบราบไปในพริบตาเดียวก็ยังได้ จิตใจไม่มีความเกรงกลัวต่ออะไรทั้งสิ้น โลกนี้เราจะทำให้มันเป็นอย่างไรก็ได้ทั้งหมด

    วันที่ ๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๕ วันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑o ปีมะเมีย

    ก่อน หน้านี้ หลวงปู่มักจะมีนิมิตจะไปที่ตรงไหน ตรงไหน มันหลงทาง มีแต่ป่าหญ้าคาตลอดเวลา จะไปบ้านนี้ มันมีทางพัฒนาสวย ก่อนจะถึงบ้านมีมีทางเล็ก และรกด้วย เข้าไปไม่ถูก คดเคี้ยวไปมา หมดทางที่จะเดิน มันหลงทางอยู่อย่างนั้นล่ะ ก็มีนิมิตขึ้น ถ้าตัดทางได้แล้ว การเดินทางไปไหนมาไหนจะสะดวก จึขอทางการตัดทาง (ถนน) เพื่อไปไหนมาไหน จะได้สะดวก ไปยื่นคำร้องที่ทางการ เข้าก็อนุมัติให้ทันทีตามสะดวก โดยไม่สอบถามอะไรเลย มาพิจารณาว่า หลังจากที่ตัดทางได้แล้ว ความรู้ที่เกิดขึ้นได้ง่ายไม่ลำบาก คือ ตัดความมืดไปสู่ความสว่าง ความหมายเป็นเช่นนั้น

    วันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๕ วันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑o ปีมะเมีย

    หลวง ปู่มีนิมิตไปที่ทุ่งนา ที่นั่นไม่เคยมีหญ้าคา ก็บังเอิญไปมองเห็นตอหญ้าคา ที่เขาตัดต้นเรียบร้อยไปหมดแล้ว แต่ก่อนเรามีเรื่องค้างคา คาเรื่องอะไร เราไม่รู้ แต่รู้ว่า เรามีเรื่องค้างคา มีข้อข้องใจ พอเห็นตอหญ้าคา เราถึงรู้ทันที่ ว่าเราคาอะไร เราคาหญ้าคา เราไม่ได้คาตอหญ้าคา เราจะทำอย่างไรถึงจะถอนรากถอนโคน อันนี้เราก็รู้ว่า มันเป็นกิเลส ต้องมีวิธีต้องมีปัญญาในการถอนรากถอนโคนมันได้ ถ้าถอนตอหญ้าคาได้แล้ว ความสว่างก็จะเกิดขึ้น

    วันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๕ วันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีมะเมีย

    นิมิต ไปเห็นยายกองไม่ได้ใส่เสื้อ เห็นนมใหญ่ๆ เดินมาหลวงปู่คิดว่า น่าจะเอามือจับดู ยายกองเลยแอ่นอกให้ แต่หลวงปู่ก็ไม่ได้จับ เพราะมีความรู้สึกว่า กองๆ นี้เป็นกิเลส มาพิจารณาได้ความว่ายายกอง ก็คือ กองกิเลสของเรา ที่เราติด เราคา

    วันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๕ วันขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีมะเมีย

    นิมิต ว่า เดินไปหนองน้ำรางๆ แบนๆ ไม่ลึกไม่ตื้น มองไปเห็นควายเผือกตัวหนึ่ง เขาเป็นวา ความใหญ่ ของควายเผือกเท่ากับขนาดช้างตัวกลางๆ เดินมาด้วยความหิว ลงมากินน้ำ กลัวว่ามันจะกัดกินข้าวของเขาในนา ก็เลยลงไปยืนกั้นหน้าควายไว้ พอควายกินน้ำเสร็จแล้ว มันก็ยกคอขึ้น มองดูจากอาการแล้ว ควายเหนื่อยมากเลยเดินเข้าไปสาดน้ำใส่ ควาย สาดน้ำเสร็จ รู้สึกว่าควาย หายเหนื่อย มันก็เดินไปที่เนินสูง เป็นหน้าผาเรียบราบสูงชัน ประมาณ ๓ เมตร ควายเดินขึ้นสบาย หลวงปู่ก็เดินตามขึ้นไปสะดวกเหมือนกัน พอเดินขึ้นไปถึงเนินสูงแล้ว ควายเผือกก็หายไป ก็มีแม่ลูกสองคนยืนเคียงข้างกัน พอเขาเห็นหลวงปู่ ก็จูงแขนลูกเดินลงเนินไป หลวงปู่มองตามไปก็ไม่เห็นแม่ลูก แต่ก็เดินตามลงไป ก่อนจะลงไป หลวงปู่มองเห็นธาตุสองลูก ไม่ใหญ่ไม่สูง เป็นธาตุธรรมดา พอเดินลงไปถึงที่ราบแล้ว มีเด็กวัยกำลังแตกหนุ่มยืนอยู่ เด็กบอกว่า“หลวงปู่ มาดูรอยรถสิ รอยรถทัวร์ รถใหญ่นะปู่นะ”หลวงปู่ถามว่า“รอยรถอะไร”เด็กตอบว่า “รถเมืองสกล เข้ามานมัสการธาตุทุกปี”พอดูแล้ว เลยคิดและพูดขึ้นว่า“มองลงมาเห็นธาตุอยู่นี้สองลูก มันหายไปไหนนะ”เด็กคนนั้นเดินไปอยู่ฝั่งบ่อน้ำ บ่อน้ำลึกประมาณ ๓ เมตร ไม่มีน้ำถามหาธาตุกับเด็กๆ บอกว่า“อยู่ตรงนี้”หลวงปู่ว่า“ที่ตรงไหน”เด็กก็ชี้มือลงไปที่บ่อ หลวงปู่ก็มองไปตามมือเด็กที่ชี้แต่ก็ไม่เห็นหลวงปู่พูดว่า“ทำไมมาโกหก มันบาป”ว่า แล้ว เด็กก็ไม่ตอบ ก็เดินผ่านไป แล้วก็หายไป หลวงปู่เดินไปตามทางที่เด็กเดินไป พอไปเห็นจอมธาตุอยู่พ้นดินขึ้นมาประมาณ ๑ ศอก ก็เลยคิดว่า ธาตุที่มองเห็นนั้น มันหายจากตรงนั้นมาอยู่นี่ หลวงปู่จับยอดธาตุดู ธาตุก็พุ่งขึ้นมา แล้วถอนขึ้นมาเรื่อยๆ ธาตุนั้นไม่ใช่ธาตุเล็กๆ กะดูแล้วความสูงเท่ากับธาตุพนม พอถอนธาตุใหญ่แล้ว ธาตุเล็กที่อยู่ใกล้ๆ กัน ก็ถอนขึ้นตามๆ กันมาด้วย ความใหญ่และความสูงไร่เรี่ยกันกับธาตุที่ถอนขึ้นมาอันแรก หลวงปู่ก็คิดว่า “ธาตุอะไร มันเป็นธาตุมาจากบรรพบุรุษ”ก็มีโยมผู้ชายตอบว่า“ธาตุนี่ มันเป็นบรรพบุรุษของโลกนะ เป็นธาตุจอมจักรพรรดิ์ของเมืองกรุงลังกา”แล้วเขาก็พูดต่อไปว่า “หลวงปู่มาก็ดี จะสร้างวัดให้หลวงปู่อยู่รักษาธาตุที่นี่ จะเอาไหม”หลวงปู่ตอบ “ไม่เอา มันเป็นที่ท่องเที่ยว ไม่สมควรที่จะอยู่ที่นี่แหละ” เมื่อมาพิจารณาได้ความว่า ธาตุใหญ่ ธาตุเล็กนี่ คือ กิเลสกามตัณหา มันเป็นบรรพบุรุษโลก

    วันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๕ วันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีมะเมีย


    นิมิต ว่า ไปธุระที่บ้านกลาง เดินไปมองเห็นแม่น้ำมีความกว้างประมาณ ๕ เส้น มีน้ำไหลเชี่ยว และแรงมาก จิตไม่ได้นึกกลัว คิดแต่จะข้ามไป ก็นึกว่า ถ้าเราลงท่านี้จะไปขึ้นที่ไหนก็แล้วแต่ พอไปยืนเตรียมตัว เห็นคุณพ่อตัวเอง (คุณพ่อจริงๆ) ยืนอยู่ใกล้ๆ ห่างประมาณ ๑ ศอก เวลาพ่อเดินมาก็ไม่รู้ว่ามาเมื่อไหร่ คุณพ่อสวมชุดสีขาว ยืนกางร่มสีขาว ก็เลยล้วงมือเอายาสูบ ๑ ซอง มาให้คุณพ่อเก็บ แล้วพูดกับคุณพ่อว่า “ให้พับร่ม”คุณพ่อบอกว่า“ไม่เป็นไรหรอก” คุณ พ่อว่ายน้ำในท่าคว่ำหน้ากางร่มไปด้วย ส่วนหลวงปู่นอนตะแครงลอยน้ำ (ว่ายน้ำ) ไป เอาเท้ายันน้ำไปแต่ละครั้ง พุ่งไปได้ไกลๆ คลื่นน้ำก็ไม่ได้พัด หรือ มีคลื่นที่มากระทบร่างกายที่รุนแรงแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่น้ำก็ยังไหลเชี่ยวอยู่เหมือนเดิม พอไปถึงฝั่ง มีโยมผู้หญิง ผู้ชายนั่งอยู่ที่ท่า หลวงปู่เลยไปนั่งที่โขดหิน สูงประมาณ ๕o ซม. และ คุยกับโยม มีโยมผู้หญิงพูดขึ้นว่า“หลวงปู่ หนูจะซักผ้า ปู่จะซักมุ้ง กลดของปู่ไหม บ้านกลางมันมองเห็นอยู่แล้ว ไปเดี๋ยวเดียวก็ถึง ผ้าแห้ง ปู่ถึงเดินไป”หลวงปู่จึงส่งมุ้งกลดให้โยมไปซัก สุดท้ายก็หายไป เมื่อพิจารณาได้ความว่าแม่น้ำ หมายถึง น้ำกามตัณหา เราได้ข้ามกามตัณหาได้แล้ว ส่วนกลดนั้นหมายถึง ธรรมชาติของกามตัณหา

    วันที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๖ วันแรม ๙ ค่ำ เดือน ๔ (เป็นไข้)

    ตอน เช้าก่อนออกบิณฑบาตร หลวงปู่มีอาการสบายดี ไม่ปวดเนื้อปวดตัว แต่พอฉันอาหารเสร็จ แล้วกลับมาที่กุฎิ ก็เริ่มไม่สบาย มีอาการหนาวสั่น ตัวร้อน นอนเป็นไข้ทั้งวัน ไม่มีใครมาพบเห็น และ ไม่มีใครเรียก ยาก็ไม่หาฉัน จึงนอนพักผ่อนอยู่ข้างนอกกุฎิ ตั้งแต่สามโมงเช้า จนถึง หกทุ่ม อาการก็ยังไม่หาย หลวงปู่จึงอธิษฐานจิตนึกถึง บารมีพระพุทธเจ้า คุณบิดามารดา ครูบาอาจารย์ว่า “การไข้เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะอำนาจบารมี หรือ เป็นเพราะอะไร หากเป็นเพราะอำนาจบารมี ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกมา อาการไข้ก็ให้หายเสีย”พออธิษฐานเสร็จ สักพักอาการไข้ก็ลดลง และ หายไปในที่สุด

    วันที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๖ วันแรม ๑o ค่ำ เดือน ๔ (ทำวัตร)

    หลัง จากเป็นไข้ทั้งวันทั้งคืน หากจะออกบิณฑบาตร หลวงปู่กลัวว่าจะเป็นลม (แต่จริงๆ ไข้ได้หายแล้ว) ก็เลยไม่ได้ออกไปบิณฑบาตร ประมาณตี ๔ หลวงปู่จึงออกไปนั่งอยู่ข้างนอกกุฏิ ในช่วงเวลาเพียงแค่หลับตาลง หลวงปู่ก็นั่งปล่อยเวทนา สัญญา และอารมณ์ ซึ่งเกิดขึ้นเองโดยไม่ได้เจตนา พอเวลาสมควร จึงถอนออกจากสมาธิ พอตกค่ำ หลวงปู่ก็สวดมนต์ไหว้พระตามปกติ แล้วจึงจำวัด (นอน) เข้าพักผ่อน


     
  2. mp38

    mp38 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    206
    ค่าพลัง:
    +386
    วันที่ ๒๘ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๖ วันแรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๔ (นิมนต์)

    ก่อน ตี ๔ ตื่นขึ้นมา แต่ยังไม่ได้ลุกขึ้นจากที่นอน ก็ได้ยินเสียงเทวดาเขาทำวัตรสวดมนต์ เป็นเสียงผู้หญิงล้วนๆ เสียงสวดมนต์ชัดถ้อยชัดคำ เสียงดังก้อง และไพเราะมาก บทสวดว่า

    อะ ระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา ธรรมใดแล้วอันเป็นบุญ พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ สวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม ธรรมใดแล้วอันเป็นบุญ ธัมมังนะมัสสามิ
    สุปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ผู้ภาวนาเป็นแล้วหนีไปไม่กลับมา สังฆังนะมามิ

    พอ เขาสวดมนต์เสร็จดูนาฬิกาตีสี่พอดี หลวงปู่ก็ลุกขึ้นทำข้อวัตรส่วนตัว เสร็จแล้วก็ไปที่ศาลา แล้วก็ออกบิณฑบาตร พอฉันเสร็จก็กลับมาที่กุฎิ
    พอ ตกเย็น หลวงปู่เดินจงกลมเสร็จ ขึ้นกุฎิทำวัตร พอทำวัตรไปครึ่งหนึ่ง จิตเป็นสมาธิ จะมีลม เป็นลมนิมิต มีลมอย่างรุนแรง เหมือนต้นไม้จะโค่นจะล้มไปหมด สังขารก็ทำวัตรไปเรื่อยๆ ทางจิตก็เป็นสมาธิ ทางตาก็ดูนิมิต จิตกับสังขารแยกกันอยู่ จิตอยู่เหนือสังขาร สังขารทำวัตร จิตทำหน้าที่ของจิต พอทำวัตรเสร็จ ก็เข้าห้องคิดว่าจะนอน ก็ไม่นอน คิดอยากจะทำสมาธิ พอนั่งสมาธิลงไป หลับตายังไม่ทัน ก็เกิดนิมิตทันที มีพวกเทวบุตรเทวดา มีพวกภูมิต่างๆ ทั่วแผ่นดินไหลมาเป็นกลุ่มๆ แต่ละพวก แต่งตัวไม่เหมือนกัน มองเห็นกลุ่มคนต่างๆ มีรูปร่างแปลกๆ เต็มไปหมด บางคนตัวโค้ง ๆ เหมือนเคียว มองไปยังอีกกลุ่มหนึ่งมีรูปร่างแข็งแรง หิ้วของก็มี แบกของก็มี เดินไปเดินมา ไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่มีที่หยุด ไม่มีวันและเวลา เดินอยู่ตลอดเวลา ดูแล้วน่าสลดสังเวช มองไปยังอีกกลุ่มหนึ่งเป็นพวกเทพ เป็นพวกรุกขเทวดาอยู่เต็มต้นไม้ไปหมด ตั้งแต่โคนต้นไม้ กลางต้นไม้ กิ่งก้านสาขาก็มีรุกขเทวดา อาศัยเต็มไปหมด จอมปลวกก็มีพระภูมิเต็มไปหมด มากันเต็มไปหมด มาเพื่อร่วมสรรเสริญ และมีความปิติยินดีในการปฎิบัติของหลวงปู่
    จากนั้น ก็เกิดนิมิตสายน้ำไหลเชี่ยว มีพวกหนุ่มสาวนอนลอยน้ำ กันมาเป็นแถวๆ มีแม่น้ำเป็นโค้งๆ มีเกาะอยู่ตรงกลาง มีคนอยู่ในนั้น ไม่มากไม่น้อย เป็นรางๆ เหมือนกะทะ
    พอเรื่องนี้จบลง ก็มีนิมิต มองเห็นปราสาทหลังหนึ่งขึ้น สีขาวสวย ก็นั่งมองดู เห็นคนในนั้นเดินผ่านไป ผ่านมาในปราสาทชั้นล่าง ก็นึกขึ้นมาว่า เขาจะนิมนต์ เขาจะมานิมนต์ไปเสวยปราสาทหลังนี้ ก็ไม่สมควร ไม่เอา ปฎิบัติมาถึงขั้นนี้ จะมาเสวยอยู่แค่นี้ก็ไม่เอา ก็มองเลยเข้าไป เห็นเขาจัดพานทอง ธูปทอง เทียนทอง ทรงพระเจริญทอง แล้วเขาก็นิมนต์ก็ไม่เป็นการสมควร เสร็จแล้วผู้หญิงเป็นคนถือพานทองเดินนำหน้า พอมาถึงตรงหน้าหลวงปู่ เขาก็พากันนั่งลง แล้วก็ยกพานทองขึ้นไปไหว้นมัสการสักการะแล้ว ผู้หญิงที่ถือพานทองนำหน้า ได้กล่าวคำถวายว่า “ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายนิมนต์แด่พระองค์ เสด็จพระนิพพานแล้ว พระเจ้าข้า”จิตก็นึกว่า จะตอบเขาว่าอย่างไรดีหนอ ก็นึกขึ้นมาได้ว่า “จะมานิมนต์พระองค์ พระนิพพานปัจจุบันนี้ใช่ไหม”เขาบอกว่า “จะขอนิมนต์ส่วนพระวรจิตของพระองค์เสวยพระนิพพานได้แล้วพระเจ้าข้า ส่วนพระวรกายของพระองค์ทรงเจริญ ๆ ต่อไป พระเจ้าข้า” พอกล่าวจบเขาก็พากันจากไป

    วันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๖ วันแรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๔ (วันอวยชัยมงคล)

    ตก เย็น พอทำวัตรไปครึ่งหนึ่ง จิตเราจะเพ่งข้างล่างก่อน พอเพ่งไปทั่วถึงแล้ว สังขารทำวัตร จิตก็เพ่ง แล้วก็เพ่งขึ้นข้างบนจนแหงนหน้าไม่ได้ พอทำวัตรเสร็จ สักพักก็เข้าห้องนอน พอนอนหลับตาลงเพียงแค่ขนตาประสานกัน ก็เห็นนิมิต มีเทพธิดาบนสวรรค์สวยงาม ประมาณ ๑o นาง ได้มาร่ายรำให้ดู หลวงปู่ก็นอนดูๆ จนกระทั่งหลับไปประมาณ ๓o นาที ตื่นขึ้นมาก็ยังเห็น ยังอยู่ ก็ดูไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่านานแค่ไหน หลังจากนั้น มีพวกเทพมาสักการะบูชา มาทั้งหมดหมื่นโลกธาตุ มาเป็นกลุ่มๆ มาทั้งหมดหมื่นจักรวาล มาเพื่อสักการะ เสร็จแล้วก็จากไป แต่ละพวกมาต่างๆ กัน มาทั้งทางอากาศ ทางน้ำ ทางดิน ขี่ต้นไม้มาก็มี นั่งในปราสาทก็มี เทพบุตร เทพธิดา มากันเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละเป็นหมื่น เมื่อสักการะแล้วก็หายไป ส่วนพวกพรหมก็มาเช่นเดียวกับพวกเทพ เป็นอยู่อย่างนี้ จนกระทั่งเวลาประมาณตีสี่ จึงหายไป



    ชมความสวยงามขององค์
    หลวงปู่โฮม ญาญธัมโม
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    เช้าวันที่ 29 ม.ค. 55 หลังฉันเช้า
    หลวงปู่นั่งผ่อนคลายอริยาบท ใต้ร่มมะม่วง
    ญาติโยมพุทธศาสนิกชนขอรับวัตถุมงคล
    จากหลวงปู่โฮม ญาณธัมโม
    หลวงปู่แจกไม่อั้นครับ ยินดีกับผู้ได้รับล็อกเก็ตชุดนี้ด้วยครับ
    แจดที่วัดป่าบ้านหนองแสง ประมาณ 200 องค์ครับ


    [​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


     

แชร์หน้านี้

Loading...