หลวงพ่อพลองวัดเพรชดอนยางชัยภูมิเหรียญถุงเงินมหาโภคทรัพย์หลวงพ่อแพวัดพิกุลทอง

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    FB_IMG_1719022156759.jpg

    หลวงพ่อเฒ่า วัดคังคาว
    กล่าวถึงหลวงพ่อเฒ่าวัดคังคาว หรือวัดค้างคาว ที่ตั้งอยู่ในเขต อ.สรรคบุรี ริมแม่น้ำน้อย บารมีความยิ่งใหญ่เปรียบเสมือนหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ หาได้กล่าวเกินจริงไม่จากความศรัทธาของสาธุชนที่มีต่อท่านจากชัยนาทและ จังหวัดใกล้เคียง บนบานสารกล่าวสำเร็จดังหวัง วัตถุมงคลไม่ว่ารุ่นไหน เก่า ใหม่ มีรูปเคารพตัวท่านก็ประสปการณ์มากมายอย่างต่อเนื่องจนวันนี้ ขอได้ อยู่คง แคล้วคลาด มหาอุตม์ โชคลาภ เมตตา มหานิยม สารพัด
    ประวัติหลวงพ่อเฒ่า ท่านเก่ามาก เก่าจนเกินกว่าจะสืบค้น รูปถ่ายท่านก็ถ่ายมาจากรูปปั้นที่ปั้นจากคำบอกเล่าของคนที่อาวุโสที่สุดใน ย่านวัดที่ก็ยังไม่เคยเห็นหน้าท่านในยุคหลวงพ่อสอนเป็นเจ้าอาวาส ประมาณปี ๒๔๗ กว่าๆ ท่านน่าจะมีชีวิตอยู่ช่วงต้นกรุงรัตนโกสินท์ หรือปลายกรุงศรีอยุทธยา เคยมีคนกล่าวถึงหลวงปู่ศุข วัดอู่ทองปากคลองมะขามเฒ่าได้มาเรียนและต่อวิชาจากหลวงพ่อเฒ่าและมีการคาด คะเนกันต่างๆนาๆซึ่งขัดแย้งกันบ้างในบางกรณี จนผมมีโอกาสได้สืบค้นประวัติในสายหลวงปู่ศุขจากตำราที่บันทึกโดย พระอาจารย์ บุญยัง ศิษย์เอกหลวงปู่ศุขคู่กับสมุห์กลับ กล่าวไว้ว่า หลวงปู่ศุขได้ต่อวิชาสร้างตะกรุดใต้น้ำ และวิชาบางอย่าง จากหลวงพ่อเฒ่า ซึ่งคำว่าเฒ่าในภาษาคนชัยนาทและละแวกใกล้เคียงจะหมายถึงพระแก่ พระที่อาวุโสมากๆ และในความหมายที่ อ.ยัง บันทึกนั้นหมายถึงหลวงพ่อเฒ่า วัดจำรัง ท่านนี้คือหลวงพ่อคง วัดบางกะพี้ ต่อมาเปลี่ยนชื่ออีกครั้งว่า วัดคงสวัสดิ์ ซึ่งหาได้เกี่ยวข้องกับหลวงพ่อเฒ่า(ปั้น)ไม่ และชื่อปั้นนั้นหมายถึงนามท่าน หรือ รูปปั้นอาจเป็นได้ทั้งนั้น
    มีคนเคยตั้งข้อสังเกตุว่าหลังจากที่ค่ายบางระจันแตก พระอาจารย์ธรรมโชติ ท่านหายไปไหน อาจมรณะภาพในสงคราม หรือ ไปจำวัดที่ไหนหลังสงครามสงบ เป็นไปได้หรือไม่ถ้าท่านจะเป็นหลวงพ่อเฒ่า แค่ก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น ผมขอรับผิดชอบข้อมูลแต่ผู้เดียวครับ
    ในสายวิชาหลวงพ่อเฒ่า วัดคังคาวถือเป็นตักศิลาแห่งลุ่มแม่น้ำน้อย มีตำราคัมภีร์ที่พระเกจิในย่านนี้เรียนต่อกันมาทุกยุคทุกสมัย เป็นเอก หนึ่งเดียว เอกลักษณ์โดดเด่นไม่ซ้ำกับสายอื่นคือ หัวใจพระกรณีย์ อะปะจะคะ แค่อักขระ ๔ ตัว สำเร็จสามารถกระทำสิ่งใดได้ต่างๆนานา ทั้งผ้ายันต์ ปลุกเสก ลงวัตถุมงคล สารพัด
    วัตถุมงคลในรูปหลวงพ่อเฒ่าสร้างครั้งแรกสมัยหลวงพ่อสอน ต่อมาก็สมัยหลวงพ่อสวัสดิ์ หลวงตาวิเชียร จนสมภารรูปปัจจุบัน การออกวัตถุมงคลของวัดคังคาวแทบทุกครั้งจะต้องนิมนต์เกจิที่สืบสายวิชามา ร่วมนั่งปรกด้วยทั้งนั้น เช่น หลวงพ่อกวย หลวงพ่อเจ้ย และหลายท่านในลุ่มน้ำน้อย มีทั้งเหรียญ พระสมเด็จ พระดิน ชิน ผง ผ้ายันต์ มีดหมอ และวัตถุมงคลที่เก่าแก่ที่สุดก็คือพระโคนสมอขนาดเล็กมีทั้งชินและดินเผา บรรจุอยู่ในกรุของวัดคังคาว สันณิษฐานว่าหลวงพ่อเฒ่าท่านสร้างและบรรจุกรุไว้ ถือเอาวัตถุมงคลชุดนี้เท่านั้น ที่เป็นพระที่ทันหลวงพ่อเฒ่าครับ
    ส่วนมากประวัติที่เราท่านทราบกันจะสืบค้นจากหลวงตาเชียร ท่านนี้จัดเป็นพระอาคมกล้าของวัดคังคาวเลยศรัทธาหลวงพ่อเฒ่ากันมาตั้งแต่ สมัยปู่ของท่านพระเครื่องที่เป็นรูปเคารพหลวงพ่อเฒ่าส่วนมากหลวงตาเชียรจะ เป็นผู้สร้าง และเสก ส่วนหลวงพ่อสวัสดิ์ท่านเป็นเจ้าอาวาสมีบทบาทเรื่องพิธีกรรมและประสานงานครับ สร้างแต่ละครั้งถือเป็นการชุมนุมเกจิในเขตลุ่มน้ำน้อยที่เก่งกล้าสามารถทุกครั้ง
    ที่มา http://sitluangporguay.com/forum/index.php?topic=146.0
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระผงรูปเหมือนหลวงพ่อเฒ่าวัดค้างคาวและรูปหล่อหลวงพ่อเฒ่าวัดค้างคาว
    องค์ บูชา 240 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20240622_085727.jpg IMG_20240622_085744.jpg IMG_20240622_085810.jpg IMG_20240622_085830.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2024
  2. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    7,907
    ค่าพลัง:
    +6,806
    ขอจองครับ
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337


    เหรียญไตรมาสหลวงปู่เย็นปี๒๕๓๔ มีตัวพ. หลายตัว ในเหรียญ ใช้แทน พ่อ พ.พาน ลป.เย็นได้เลยครับ
    ได้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240622_154927.jpg IMG_20240622_155000.jpg
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    วันนี้ จัดส่ง

    1719048039623.jpg

    ขอบคุณครับ
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    FB_IMG_1719132599234.jpg
    หลวงพ่อปุ๊ก จันทสโร ท่านเป็นคนบ้านพุดซา เกิดเมื่อวันจันทร์เดือนเก้า ปีจอ พ.ศ. ๒๔๑๗ นามสกุล " โทนบุญ" บิดาท่านชื่อโทน มารดาชื่อสิน มีพี่น้องด้วยกัน ๕ คน หลวงพ่อเป็นคนที่ ๒ อุปสมบทเมื่อท่านอายุ ๒๒ ปี ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๓๙ ณ วัดพุดซา หลวงพ่อนิล วัดทับช้าง เป็นพระอุปฌาย์ หลวงพ่ออยู่ วัดทับช้าง เป็นพระกรรมวาจาร์
    หลวงพ่อปุ๊กท่านเป็นอาจารย์รูปหนึ่งที่แก่กล้าอาคมขลังมาก เป็นศิษย์หลวงพ่อเหล็ก อดีตเจ้าอาวาส และเดินธุดงค์ไปตามที่ต่าง ๆ ได้พบกับอาจาร์กระบองใหญ่ เรียนวิชาในถ้ำ ท่านธุดงค์ไปตามที่ต่าง ๆนานเป็นเวลานานถึง ๓๓ ปีเศษ ถึงขนาดญาติพี่น้องคิดว่าท่านตายไปแล้ว หลังจากนั้นท่านรับเป็นเจ้าอาวาส วัดพุดซา
    หลวงพ่อปุ๊ก จันทสโร วัดพุดซา อำเภอเมืองจังหวัดนครราชสีมาเป็นยอดเกจิคณาจารย์เก่าของโคราชที่มีลูกศิษย์ลูกหาหลายองค์เช่นหลวงปู่นาควัดระฆังหลวงปู่นิลวัดครบุรีหลวงพ่อสังข์วัดบ้านใหม่กลออีกหลายองค์ในโคราชท่านเป็นพระอภิญญามีปฏิหารหลากหลายมากมายเป็นสหมิตรธรรมกับหลวงปู่สอนวัดเสิงสางซึ่งหลวงปู่สอนให้ความศรัทธาและเคารพท่านมาก ประวัติของท่านไม่ค่อยชัดเจนเพราะท่านบวชแล้วธุดงค์ออกไปหลายสิบปีถึงธุดงค์กลับตอนชราภาพบั้นปลายชีวิตวัตถุมงคลของท่านส่วนมากทำแจกทหารตำรวจเรื่องประสบการณ์ไม่ต้องพูดถึงวันนี้เรามาชมพระพิมพ์ต่างๆที่ผมพอรวบรวมได้ซึ่งยังมีอีกหลายพิมพ์ทั้งเนื้อผงพุทธคุณเนื้อผงวานยาพระเนื้อผงคลุกรักซึ่งทางด้านวิชาทำพระบางส่วนมาจากหลวงพ่อหมาวัดระเวครับผม........
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสมบูรณ์ครับ
    เหรียญหลวงพ่อปุ๊กวัดพุดซาปี ๒๕๑๘ ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240623_155619.jpg IMG_20240623_155648.jpg
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    FB_IMG_1719134310707.jpg
    ประวัติโดยสังเขปของพระครูปทุมกิจโกศล หลวงพ่อแสวง อริโย
    (พระเถราจารย์ที่ถูกแกล้งลืม)
    เขียนโดยน้าเทพ วสภ
    ที่กระผมนายเข็มทองกำลังจะเล่าให้ผู้อ่านฟังนี้เป็นความจริงทั้งหมดที่ถูกแกล้งลืมมานานมาก ไม่ต้องเชื่อผมก็ได้ครับ คิดว่าผมเล่านิยายให้ท่านผู้อ่านฟังก็ได้ครับ อย่าเชื่อผมจนกว่าท่านทั้งหลายจะได้เข้าไปกราบแทบเท้าหลวงพ่อครับ โดยผมจะเริ่มเล่าให้ฟัง ณ บัดนี้ครับ
    หลวงพ่อแสวง อริโยเกิดในตระกูลเจ้าพระยา เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 4 ปีชวด พ.ศ. 2567 ตรงกับ วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2467 ร.ศ.143 จ.ศ. 1286
    บ้านเกิด ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี บิดาชื่อ นายเล็ก มารดาชื่อ นางทรัพย์
    มีพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันรวม 7 คน คือ
    1. นางสาวสาย(ถึงแก่กรรม)
    2. นาวสาวโปรย(ถึงแก่กรรม)
    3. นายสิน
    4. ผู้ใหญ่มล(ถึงแก่กรรม)
    5. นายแจ้ง
    6. พระครูปทุมกิจโกศล เดิมชื่อ ?แจ่ม? แต่ชาวบ้านเรียกท่านว่า ?แสวง? เมื่อท่านอุปสมบทแล้วจึงเรียกติดปากตั้งแต่นั้นมา
    7. นายจำรัส เจนกระบวน
    โยมปู่ชื่อหลวงเจนกระบวนทิศ(ต้นนามสกุลเจนกระบวน) เป็นเชื้อสายชาวมอญที่เป็นแม่ทัพนายกอง ซึ่งมีวิทยาคมสูงส่ง เจ้าของตำราผงสิบสองนักกษัตริย์ พูดถึงผงสิบสองนักกษัตริย์หลายท่านอาจจะงง แต่ถ้าพูดถึงหลวงปู่เทียน วัดโบสถ์ จ.ปทุมธานี และหลวงพ่อเริ่ม วัดจุกกระฌอ จ.ชลบุรี ท่านคงจะหายสงสัย เพราะสมเด็จรุ่นแรกของหลวงปู่เทียน ที่ผสมผงสิบสองนักกษัตริย์ และสมเด็จรุ่นแรกของหลวงพ่อเริ่ม ก็มีราคาแพงเป็นที่ใฝ่หาของผู้ที่ดวงตก กำลังหาวัตถุมงคลเสริมดวง(รายละเอียดผงสิบสองนักกษัตริย์ หาอ่านได้ในประวัติหลวงปู่เทียนและหลวงพ่อเริ่ม) ผงสิบสองนักกษัตริย์นี้ การสร้างจะคล้ายๆกับผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ถ้าอยากทราบครั้งหน้าผมจะอธิบายรายละเอียดการทำผงสิบสองนักกษัตริย์ให้ฟัง
    มาฟังประวัติของหลวงพ่อกันต่อครับ
    ในวัยเด็กของหลวงพ่อชอบตามโยมแม่ของท่าน ไปฝึกวิปัสสนากรรมฐานกับแม่ชีพันธ์ อาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนา ซึ่งท่านเป็นลูกศิษย์เอกของท่านพ่อบันฑูรย์สิงห์ จังหวัดสมุครสาคร ถ้าเทียบเดี๋ยวนี้อำนาจฌาณสมาบัติของแม่ชีพันธ์ก็เทียบได้กับคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม วัดอาวุธ ซึ่งมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย หลวงพ่อท่านเคยเล่าให้ผมฟังว่าคนถูกผีเข้า พาเข้าไปหาแม่ชีพันธ์นั้นท่านแค่อธิษฐานจิตปลายนิ้วชี้ของท่าน ชี้ไปที่ร่างของผู้ถูกผีเข้า ผีถึงกับร้องโหยหวน แล้วรีบออกจากร่างไปอย่างรนราน หลวงพ่อท่านได้รับการฝึกวิปัสสนากรรมฐานจากแม่ชีพันธ์ตั้งแต่วัยเด็ก หลังจากนั้นโยมแม่ของหลวงพ่อจึงพาหลวงพ่อไปฝากเรียนหนังสือไทยและขอมกับหลวงพ่ออู๊ด วัดหัตถสาร จ.ปทุมธานี มาถึงตรงนี้ท่านคงงงๆกันอีกแล้วว่าหลวงพ่ออู๊ดท่านเป็นใครมาจากไหน หลวงพ่ออู๊ดเป็นศิษย์รุ่นใหญ่ของหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม จ.อยุธยา ซึ่งมีศักดิ์เป็นศิษย์รุ่นพี่ของหลวงพ่ออั้น วัดพระญาติการาม ประวัติของหลวงพ่ออู๊ดไม่ค่อยจะได้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปนัก เพราะท่านเป็นพระที่ไม่ชอบอวดตัว คนส่วนใหญ่ถ้าพูดถึงศิษย์หลวงพ่อกลั่น มักจะนึกถึงหลวงปู่สี วัดสะแก หลวงปู่ใหญ่ วัดสะแก หลวงพ่อคอน วัดชัยพฤกมาลา แต่ลองมาฟังสิ่งที่ผมจะเล่าถึงในวันสุดท้าย ณ สำนักหลวงพ่อกลั่น ของหลวงพ่ออู๊ด วันนั้นในตอนบ่ายหลวงพ่อกลั่น เรียกหลวงพ่ออู๊ดเข้าไปหาแล้วบอกว่า ?ท่านอู๊ดวิชาที่ผมมีอยู่ผมได้สอนท่านไปจนหมดไส้หมดพุงแล้ว ถ้าคุณอยากจะก้าวหน้าต่อไปในเพศบรรพชิต คุณคงต้องหาที่ศึกษาเพิ่มเติมแล้วล่ะ? หลวงพ่ออู๊ดจึงถามหลวงพ่อกลั่นว่า ?หลวงพ่อครับ แล้วจะให้กระผมไปศึกษาต่อที่ไหนดีล่ะครับ ช่วยแนะนำผมด้วยครับ? หลวงพ่อกลั่นจึงตอบว่า ?ถ้าต้องการศึกษาต่อคงต้องไปหาหลวงพ่อหนู วัดชีปะขาวแล้วล่ะ(จ.อยุธยา) เดี๋ยวผมจะเขียนจดหมายฝากตัวคุณไปให้หลวงพ่อหนูด้วย? หลังจากนั้นหลวงพ่ออู๊ดก็ได้ออกจากสำนักของหลวงพ่อกลั่นพร้อมกับจดหมายฝากตัวที่หลวงพ่อกลั่นเขียนไว้ให้ เดินทางมุ่งหน้าสู่วัดชีปะขาวโดยลำพัง เมื่อถึงวัดชีปะขาวแล้วจึงนำจดหมายฝากตัวนี้ถวายให้หลวงพ่อหนูอ่าน เมื่อหลวงพ่อหนูอ่านแล้วก็ถามหลวงพ่ออู๊ดว่า ?คุณอยู่อารามไหนกัน? หลวงพ่ออู๊ดตอบว่า ?เกล้ากระผมอยู่วัดหัตถสารจังหวัดประทุมธานีครับ? หลวงพ่อหนูก็ถามต่อไปอีกว่า ?อ้าว! แล้วจะอยู่เรียนวิชากันอย่างไร? หลวงพ่ออู๊ดตอบว่า ?ผมจะเดินทางไปๆมาๆ เพื่อมาขอศึกษาต่อครับ? หลวงพ่อหนูตอบว่า ?เอ้อ อย่างนั้นไม่ต้องลำบากหรอก เดี๋ยวข้าจะไปหาเอ็งเอง ที่วัดของเอ็งมีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่หนึ่งต้นใช่มั้ย? หลวงพ่ออู๊ดตอบว่า ?ใช่ครับหลวงปู่? หลวงพ่อหนูจึงตอบว่า ?เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าเอ็งไม่เข้าใจหรือติดขัดในวิชาใดๆ เอ็งไปรอข้าที่ต้นโพธิ์ใหญ่ พร้มกับจุดธูป 9 ดอก รำลึกถึงข้า ช้าจะไปหาเอ็งเอง? ท่านผู้อ่านครับเหมือนนิยายมั้ย แต่ฟังก่อนครับหลวงพ่ออู๊ดได้ต่อวิชาต่างๆจากหลวงปู่หนู วัดชีปะขาวจนจบคัมภีร์พระเวท ณ ที่ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่วัดหัตถสารนั้นเอง หลวงพ่อเล่าให้ผมฟังแบบนี้ ผมก็ไม่กล้าถามท่านต่อแล้วครับเพราะผมรู้ดีว่าพระเกจิอาจารย์รุ่นเก่าท่านมักจะสำเร็จวิชาย่นระยะทางโดยอาศัยพลังแห่งธาตุเป็นหลัก ซึ่งเราก็อาจจะหาอ่านได้ในนิตยสารพระเกจิต่างๆมากมาย ยกตัวอย่างเช่น หลวงพ่อปาน หลวงพ่อจง หลวงพ่อเดิม ฯลฯ ย้อนเข้ามาถึงเรื่องราวของหลวงพ่อต่อถึงตอนที่โยมแม่พาหลวงพ่อมาฝากเรียนหนังสือขอมและไทย โดยฝากไว้กับหลวงพ่ออู๊ด หลวงพ่อได้เรียนชั้นประถมที่วัดหัตถสารจากหลวงพ่ออู๊ดพร้อมเกร็ดวิชาต่างๆ จนเรียนจบแล้ว หลวงพ่อจึงได้บวชเณรอยู่กับหลวงพ่ออู๊ดที่วัดหัตถสารจนอายุใกล้ครบบวชพระ โยมแม่จึงขอร้องให้ไปบวชที่วัดใกล้บ้านคือวัดสว่างภพนั่นเอง หลวงพ่อได้อุปสมบท เมื่อปี พ.ศ.2487 ณ พัทธสีมาวัดสว่างภพ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี มีพระอธิการเฮ็ง สุมโนเป็นพระอุปัชฌาย์ พระวินัยธรหลุย เป็นพระกรรมวาจารย์และพระอธิการสวัสดิ์ โสตฺถิทตุโตเป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่ออุปสมบทแล้วได้รับฉายาว่า ?อริโย? และหลังจากได้อุปสมบทแล้วได้กลับไปขอศึกษาวิชาในสายหลวงพ่อกลั่นจากหลวงพ่ออู๊ดต่อ พร้อมกับไปฝากตัวกับพระเถราจารย์รุ่นเก่าอีกมากมายนับไม่ถ้วน พระเถราจารย์ที่หลวงพ่อแสวงได้ศึกษามีดังนี้
    1. หลวงพ่อเลื่อน วัดไผ่ จ.อยุธยา
    2. หลวงพ่อสมบุญ วัดสว่างภพ หลวงพ่อแสวงได้รับการถ่ายทอดวิชาแพทย์แผนโบราณ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2492 ? 2500 จนมีความรู้ความสามารถทางการแพทย์แผนโบราณเป็นอย่างดี
    3. หลวงพ่อโป๋ วัดวังแดง จ.อยุธยา
    4. หลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ จ.อยุธยา หลวงพ่อแสวงได้รับการถ่ายทอดมาหลายวิชา
    5. หลวงพ่ออุ่ม วัดเจ้ากอ จ.อยุธยา
    6. หลวงพ่ออู๊ด วัดหัตถสาร จ.ปทุมธานี
    7. หลวงพ่ออ่ำ วัดวงฆ้อง จ.อยุธยา
    8. หลวงพ่อโอภาส วัดพระศรีไกรน้อย บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา เก่งมากทางสักยันต์ คงกระพันชาตรี
    9. หลวงพ่อจง พุทธสโร แห่งวัดหน้าต่างนอก จ.อยุธยา ที่เราคงจะได้ต้องบรรยายอะไรมาก เพราะว่าทุกๆคนน่าจะรู้จักท่านดี มีเรื่องเล่าขันๆให้ท่านผู้อ่านฟัง วันหนึ่งผมอยากจะรู้ว่าในตะกรุดสิบหกดอกของหลวงพ่อจงลงอักขระเลขยันต์อะไรไว้ ผมจึงขับรถไปหาหลวงพ่อแม้น ที่วัดหน้าต่างนอก เมื่อไปถึงวัดทางสะดวกเลยครับ พระหลวงพ่อแม้นกำลังไม่มีแขกพอดี ผมจึงเรียนถามท่านว่า ?หลวงพ่อครับ ตะกรุดสิบหกดอกของหลวงพ่อจง ลงยันต์อะไรไว้ครับผมอยากจะทราบ? หลวงพ่อแม้นท่านตอบผมว่า ?เอ้อ! คุณโยมมาจากวัดไหน? ผมตอบท่านว่า ?ผมมาจากวัดสว่างภพ จ.ปทุมธานีครับ? หลวงพ่อแม้นท่านยิ้มแล้วตอบผมว่า ?โยมมาซะไกลเลยนะ ไปถามหลวงพ่อแหวงสิ เขาทันเรียนกับหลวงพ่อจงและใกล้ชิดกว่าฉันอีก? มาถึงตอนนี้ไม่อยากจะบรรยายความรู้สึกเลยครับหน้าแตก(หมอไม่รับเย็บเลยงานนี้) ผมรีบขับรถกลับไปวัดสว่างภพทันทีเพื่อไปกราบแทบเท้าหลวงพ่อแสวง ท่านจึงเล่าความจริงให้ผมฟังว่าท่านไปๆมาๆ ระหว่างวัดหน้าต่างนอกและวัดสว่างภพอยู่เป็นปี เพื่อต่อวิชากับหลวงพ่อจง จนหลวงพ่อจงเมตตามาอยู่ช่วยปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดสว่างภพเป็นเวลาถึง 7 วัน 7 คืน พร้อมกับมอบเหล็กจารไว้ให้หลวงพ่อ 1 อัน พร้อมกับผงพุทธคุณ 1 บาตรใหญ่ๆ เพื่อให้หลวงพ่อแสวงสร้างวัตถุมงคลเป็นรูปหลวงพ่อจงและพิมพ์สมเด็จเนื้อผง 1 รุ่น(ครั้งหน้าผมจะโม้ให้ฟังถึงวัตถุมงคลรุ่นนี้ พร้อมกับข่าวดีว่า ยังมีอยู่ที่วัดสว่างภพครับ)
    10. อาจารย์คง เป็นฆราวาสและเป็นศิษย์หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม จ.อยุธยา หลวงพ่อแสวงได้เรียนวิชาอาคมทางด้านคงกระพันแคล้วคลาดและเมตตามหานิยม เรียกได้ว่าครบเครื่อง
    11. อาจารย์หลำ เป็นฆราวาสมีอาคมแก่กล้าทางด้านคงกระพันชาตรี
    12. อาจารย์และพระเกจิอาจารย์ท่านอื่นๆอีกมากมาย แต่ไม่สามารถนำบอกกล่าวกันให้ฟังได้ครับ
    สรุป
    1. หลวงพ่อแสวงเป็นพระที่เก็บตัวไม่ชอบโอ้อวด
    2. เป็นพระเกจิอาจารย์ที่นั่งปรกตามพิธีพุทธาภิเษกมากกว่า 100 งาน แต่ไม่เคยขึ้นชื่อ เพราะว่า พอช่างภาพจะถ่ายรูปหลวงพ่อเดินหนีแล้วครับ(หนีอย่างเดียว)
    3. ตำรวจเก่าๆแถวประตูน้ำพระอินทร์ต้องขอร้องหลวงพ่อให้วางเข็มสัก และห้ามแจกตะกรุดกับเชือกคาด เพราะลูกศิษย์นอกคอกของหลวงพ่อทำให้ตำรวจต้องทำงานหนัก
    4. เป็นพระเกจิอาจารย์รูปเดียวที่นั่งปรกในพิธีของวัดประสาทบุญญาวาส ปี พ.ศ. 2505 และ พ.ศ. 2506 รูปเดียวที่ยังทรงสังขารอยู่(ตำนานที่ยังมีลมหายใจ)
    5. เป็นพระเกจิอาจารย์รูปเดียวที่นึ่งปรกในพิธีการสร้างพระสมเด็จบางขุนพรหม ปี พ.ศ. 2509 และหลวงพ่อยังได้รับแจกสมเด็จพิมพ์คะแนนจากเจ้าอาวาสวัดบางขุนพรหมมาประมาณ 200 องค์(อยากได้ก็ไปตื้อกับหลวงพ่อกันเอาเองนะครับ งานนี้ผมไม่เกี่ยว)
    6. ตอนนี้ญาติโยมที่เป็นชาวมาเลเซียมาตื้อหลวงพ่อให้ขึ้นเครื่องไปโปรดญาติโยมที่มาเลเซีย ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไปโดนอะไรกันเข้า เห็นบอกว่าถ้าหลวงพ่อไม่ไปมาเลเซีย จะจัดแพ็คเก็จทัวร์รอบพิเศษมากินนอนกันที่วัดสว่างภพกันเลยครับ(เอากันเข้าไป)
    7. มีพระชรารูปหนึ่งปัจจุบันมรณภาพไปแล้ว ซึ่งบวชรุ่นเดียวกันกับหลวงพ่อ เล่าให้ผมฟังว่าเคยแอบดูหลวงพ่อว่าท่านไปทำอะไรในโบสถ์ และเห็นหลวงพ่อเสกผ้าอาบน้ำฝนโยนลงกับพื้น ผ้าอาบน้ำฝนนั้นกลับกลายเป็นกระต่ายสีขาววิ่งรอบตัวหลวงพ่อ(เชื่อไม่เชื่อแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคลแล้วกันนะครับ งานนี้ผมก็ไม่เกี่ยวอีกนั่นแหละ) แต่รู้ว่าตอนที่พระชรารูปนี้ท่านคุยกับผมท่านบอกว่าจะเอาอาตมาไปสาบาญที่ไหนก็ได้
    บทส่งท้าย
    ถ้าจะเล่าเรื่องประสบการณ์และอภินิหารของวัตถุมงคล ต้องขอยกยอดไว้เที่ยวหน้าแล้วกันนะครับ และถ้าอยากจะได้วัตถุมงคลของหลวงพ่อรุ่นเก่าๆ หรือเหรียญรุ่นแรกไม่ต้องติดต่อมาทางผมเลยนะครับ เพราะว่าตลอดสิบกว่าปีที่ผมเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อผมมีเหล็กจารที่หลวงพ่อได้ให้ไว้อันเดียวครับ และผมเองไม่เคยมีของหลวงพ่อไว้ขายเหมือนอย่างที่ลูกศิษย์ในสายอื่นเค้าทำกัน เพราะผมก็ไม่ได้ตั้งศูนย์พระเครื่อง อ้อ! เกือบลืมไป ล่าสุดนี้กรมศิลปากรได้จัดสร้างพระพิฆเนศ รุ่นที่สอง ทำพิธีปลุกเสกที่กรมศิลปากร บริเวณวังหน้า ทางกรรมการผู้จัดสร้างฝ่ายกรมศิลปากร โหวตรายนามพระเกจิอาจารย์ที่จะเข้านั่งปรกทั่วประเทศให้เหลือ 16 รูป หลวงพ่อแสวงคือหนึ่งในนั้นด้วยครับ
    เอาเป็นว่าเที่ยวหน้าถ้าผมมีเวลาจะมาโม้ให้ท่านฟังกันต่อนะครับ
    ขอความโชคดีมีชัยและจตุรพิธพรชัย จงมีแด่ทุกๆท่านครับ
    โชคดี งดเหล้าวันเข้าพรรษาโดยถ้วนหน้าครับ
    ตะกรุดโทนมหาอุตม์ ที่สุดหน้าทอง หมายปองมีดหมอเทพศาสตรา พญาสิงห์สุดคงทน แก้จนตะเพียนทอง พรั่งพร้อมกริ่งโบราณ อภินิหารหลวงพ่ออู่ทอง
    ประกาศ! วัตถุมงคลของวัดสว่างภพทุกชิ้นในขณะนี้เป็นของเก่าที่หลวงพ่อแสวงอธิษฐานจิตปลุกเสกไว้ให้อย่างเต็มที่ตลอดหลายไตรมาสก่อนมรณภาพ โดยมิได้มีการสร้างเสริมหรือสร้างใหม่แต่อย่างใด จึงขอแจ้งให้บรรดาศิษยานุศิษย์และผู้ที่เคารพนับถือในองค์หลวงพ่อแสวงทุกท่านทราบโดยทั่วกัน
    วัดสว่างภพ
    ต.คลองสี่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี
    หลวงพ่ออู่ทองพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์วัดสว่างภพในอดีตผู้คนศรัทธาล้นหลามไปกราบไหว้ขอพร โชคลาภ
    FB_IMG_1719134441123.jpg FB_IMG_1719134438292.jpg FB_IMG_1719134443271.jpg FB_IMG_1719134415784.jpg FB_IMG_1719134384629.jpg FB_IMG_1719134382097.jpg FB_IMG_1719134388611.jpg

    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงพ่ออู่ทองวัดสว่างภพหลวงพ่อแสวงปลุกเสกปี๒๕๑๖ ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
    IMG_20240623_160916.jpg IMG_20240623_161021.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2024
  7. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    7,907
    ค่าพลัง:
    +6,806
    -ขอจองครับ
     
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    FB_IMG_1719135200709.jpg

    เหรียญธรรมราชานิมิต หลวงพ่อบุญนาค วัดประดู่ทรงธรรม จ.พระนครศรีอยุธยา
    ขนาด เสกแค่ครึ่งพิธี ก็ ยิงไม่ออกแล้ว
    มีข้อมูลบันทึกชัดเจน
    อ่านกันยาว ๆ ...สุดยอดของดี อ่านช้า อดครับ
    ข้อมูลของเหรียญรุ่นนี้
    ...จากการที่ได้สอบถามถึงข้อมูลการจัดสร้าง ของเหรียญธรรมราชานิมิต (เหรียญข้าวหลามตัด) จากลูกศิษย์ใกล้ชิดยุคเก่าหลวงพ่อบุญนาค และคณะผู้จัดสร้างเหรียญรุ่นนี้ ได้ข้อมูลการจัดสร้างดังนี้
    เหรียญทองคำ
    จำนวนการจัดสร้างประมาณ ๑๐เหรียญ
    เหรียญเงิน และ เหรียญนวะโลหะ รวมกัน
    จำนวนการจัดสร้างประมาณ ๑๐๐เหรียญ
    เหรียญทองแดง
    จำนวนการจัดสร้างประมาณ ๕๐๐๐เหรียญ
    ...ลักษณะเหรียญเป็น สี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด
    ด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อครึ่งองค์ บอกปี พ.ศ.๒๕๒๐
    ถ้าเป็นเนื้อทองคำ เนื้อเงิน และเนื้อนวะโลหะ หลวงพ่อบุญนาคท่านจะเมตตาจารที่หน้าเหรียญ ด้านซ้าย และ ด้านขวา ของเหรียญ
    ด้านบนเขียนว่า เหรียญธรรมราชานิมิต วัดประดู่ทรงธรรม ที่ระลึกแซยิด อายุ ๖๑ปี
    ด้านล่างเป็นยันต์อักขระ
    ด้านหลังเหรียญเป็น รูปพระเจ้า ๑๖พระองค์ และมียันต์อักขระล้อมรอบ
    ...พิธีปลุกเสกนั้น ดำเนินพิธีปลุกเสกเวลากลางคืนโดยมีเกจิสายวัดประดู่ทรงธรรมมาร่วมปลุกเสกในพิธีมากมาย อาทิเช่น หลวงพ่อปลื้ม วัดสวนหงส์ , หลวงพ่อกี้ วัดหูช้าง , หลวงพ่อยงยุทธ วัดเขาไม้แดง , หลวงพ่อสละ วัดประดู่ทรงธรรม และอีกมากมายที่ไม่ได้เอ่ยนามมาข้างต้น โดยมีเหตุการณ์ลองยิงหน้าโบสถ์ขณะพักครึ่งของการปลุกเสก อันเป็นประสบการณ์ที่มีการจดบันทึกลงในหนังสือชีวประวัติหลวงพ่อบุญนาค โดยครบถ้วน
    #บารมีหลวงพ่อบุญนาค_สีลสํวโร_วัดประดู่ทรงธรรม
    ลานโพธิ์
    21 มกราคม 2021 ·
    เหรียญธรรมราชานิมิต หลวงพ่อบุญนาค วัดประดู่ทรงธรรม จ.พระนครศรีอยุธยา
    ลักษณะเหรียญเป็น สี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อครึ่งองค์ บอกปี พ.ศ.2520 ด้านบนเขียนว่า เหรียญธรรมราชานิมิต วัดประดู่ทรงธรรม ที่ระลึกแซยิด อายุ 61 ปี ด้านล่างเป็นยันต์อักขระขอม ด้านหลังเหรียญเป็น รูปพระเจ้า 16 พระองค์ และมีอักขระล้อมรอบ
    พระครูสีลสังวร (หลวงพ่อบุญนาค สีลสํวโร) ชื่อเดิม บุญนาค พูลสมบัติ อุปสมบท ณ วัดละมุด อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา
    โดยมี พระญาณไตรโลก (ฉาย อังคสุวัณโณ) เจ้าอาวาสวัดพนัญเชิง เจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นพระอุปัชฌาย์
    ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนทั้งทาง ด้านปริยัติธรรม และด้านปฏิบัติสมถกรรมฐาน พร้อมทั้งเรียนวิธีการลงอักขระเลขยันต์ต่างๆ และวิชาศิลปะ 20 ประการของสำนักวัดประดู่ทรงธรรม จาก พระอุปัชฌาย์เหม็ง และ อาจารย์จาบ สุวรรณ ซึ่งเป็นอาจารย์ฆราวาสที่มีชื่อเสียงมากในสมัยนั้น
    มีลูกศิษย์ที่ได้มาศึกษากับ อาจารย์จาบ เช่น หลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช จ.อยุธยา หลวงพ่อกี๋ วัดหูช้าง จ.นนทบุรี หลวงพ่อปลื้ม วัดสวนหงส์ จ.สุพรรณบุรี หลวงพ่อยงยุทธ วัดเขาไม้แดง จ.ชลบุรี เป็นต้น
    หลวงพ่อบุญนาค เป็นผู้หนึ่งที่ได้รับการสืบทอดวิชาต่างๆ ของสำนักวัดประดู่ทรงธรรม โดยหลวงพ่อเหม็งได้ถ่ายทอดวิชาการรักษาฝีต่างๆ โดยมีค่าครูในการรักษา 12 สตางค์ และวิชาอื่นๆ
    ในส่วนของอาจารย์จาบได้สอนทั้งด้านปฏิบัติสมถกรรมฐาน ตลอดจนการเรียนวิชาการต่างๆ ให้แก่หลวงพ่อบุญนาคไว้จนครบถ้วนตามตำรับวัดประดู่ทรงธรรม
    แม้แต่หลวงพ่อปลื้ม วัดสวนหงส์ จ.สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นศิษย์ครูจาบผู้มีความอาวุโสกว่าหลวงพ่อบุญนาค ซึ่งท่านทั้งสองได้ไปมาหาสู่ซึ่งกันและกัน และหลวงพ่อบุญนาคให้ความเคารพหลวงพ่อปลื้มเป็นอย่างมาก
    โดยหลวงพ่อปลื้มได้พูดกับลูกศิษย์ของหลวงพ่อบุญนาค ในคราวที่ไปกราบหลวงพ่อปลื้ม ณ วัดสวนหงส์ไว้ว่า
    “อาจารย์นาคถอดแบบมาจากครูจาบทีเดียว ออกไปทางฤทธิ์”
    ลานโพธิ์
    2 สิงหาคม 2020 ·
    ประสบการณ์จากผู้ไม่รู้จัก หลวงพ่อบุญนาค นำไปสู่การเป็นศิษย์หลวงพ่อบุญนาค
    เขียนโดย คุณสาธิต เสริมกวินรักษ์ (เฮียกวง ตลาดน้อย) ร้านอะไหล่เสริมยนต์ เลขที่ 12 ซอยอภัยราชบำรุง ตลาดน้อย กรุงเทพฯ
    เล่าว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2520 เมื่อผมได้อ่าน “ประสบการณ์จากผู้อ่าน” โดย คุณเจริญ โชคชัยชาญ จ.ระนอง แล้วนั้น ซึ่งคุณเจริญบอกว่า
    มหาอุดกับคงกระพันนั้นยังไม่เคยประจักษ์แก่ตาสักทีเลยนั้น ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะต้องเขียนมาบอกให้รู้ว่า ผมเคยประจักษ์แก่ตามาแล้ว ซึ่งทำให้ผมนึกถึงทีใด ขนลุก ทุกครั้งว่า ผมไม่น่ากระทำอันไม่สมควรเลย
    เรื่องมีอยู่ว่า เพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่ง (คุณมนต์ชัย) ได้ให้เหรียญแก่ผมมาเหรียญหนึ่ง ซึ่งเมื่อผมรับใส่มือดูแล้ว ผมก็ส่งคืนทันทีโดยบอกขอบใจมาก แต่ผมไม่ต้องการ ซึ่งเพื่อนคนนี้ก็ งง จึงถามผมว่าทำไมไม่เอา คนอื่นๆ เขามาขอยังไม่ยอมให้เลย
    ผมก็ตอบว่า ถ้าลองแล้วยิงไม่ออก ผมก็จะเอา เพื่อนจึงเก็บขึ้นแล้วบอกว่า ถ้าอยากลองไว้จะหาโอกาสพาไปลองแถวๆ สวนเมืองนนท์ ซึ่งผมก็บอกพร้อมเมื่อไร ก็บอกแล้วกัน แล้วผมก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
    อยู่มาวันหนึ่งเพื่อนคนนี้ (คุณมนต์ชัย) ก็มานัดผมว่าคืนนี้ไปลองกันเลย ผมก็ถามว่าลองอะไร!
    เพื่อนก็บอกว่า เอ้า! ก็ยิงดูว่าลูกปืนจะออกหรือไม่ ผมจึงนึกได้ก็ตอบตกลงและถามว่าปืนอะไร เพื่อนก็ดึงออกมาให้ดู เป็นปืน จุด 38 ลำกล้อง 3 นิ้วชุบขาวแวววาว ผมจึงถามว่ากระสุนอยู่ไหน เพื่อนบอกว่าไปซื้อเดี๋ยวนี้ด้วยกัน ก็ตกลงไปซื้อมา 1 กล่อง แล้วเราก็ขับรถไปด้วยกันจนมาถึงรังสิต
    ผมชักสงสัยว่าจะพาเราไปไหนกันนะ เพื่อนบอกว่าอยุธยา ผมว่าทำไมต้องไปลองถึงอยุธยา เพื่อนบอกคืนนี้ที่วัดมีงานปลุกเสกพระเครื่องเราจะลองกันสดๆ ร้อนๆ เลย ผมก็ว่างานปลุกเสกคนก็เยอะแยะจะลองกันได้ไง เพื่อนบอกว่าวัดนี้ปลุกเสกเงียบๆ ชาวบ้านข้างเคียงวัดยังไม่รู้เลย ผมถามเพื่อนว่ารู้ได้ยัง เพื่อนบอกว่าก็อาจารย์กูโว้ย
    เราไปถึงที่วัดสองทุ่มกว่าเงียบจริงๆ เพื่อนจอดรถเรียบร้อย เอาปืนและไฟฉายหกท่อนแล้วบอกว่า ตามมานี่เราเดินไปถึงโบสถ์ แต่ประตูหน้าต่างปิดมิดหมดทุกด้าน มีกระถางธูปหน้าโบสถ์ตั้งไว้ มีธูปที่จุดติดไว้ยังไม่หมด
    เพื่อนบอกว่านั่งรอก่อน เรารออยู่สักครู่ ประตูโบสถ์ก็เปิดมีน้าชายคนหนึ่งออกมาเห็นเราก็บอก รอเดี๋ยวจะไปเอาน้ำชามาให้พระก่อน ผมจึงยื่นหน้าเข้าไปดูข้างใน เห็นมีพระเครื่อง มีพระบูชา เหรียญ หลายอย่าง มีพระสงฆ์อยู่กี่รูปตอนนี้จำไม่ได้แล้ว
    เพื่อนก็บอกว่า เอ้า..หยิบเหรียญออกมาสัก 1 เหรียญ อันไหนก็ได้ ผมเห็นมีบาตรที่อยู่ใกล้ที่สุด มีเหรียญอยู่เต็มบาตร จึงหยิบเอามาหนึ่งเหรียญ เป็น รูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด คล้ายเหรียญกรมหลวงชุมพรฯนั่นเอง
    แล้วเพื่อนก็ชวนเราลองของที่ทำเพียงครึ่งพิธีนะ เพราะว่าพระหยุดพักฉันน้ำชาแล้วยังต้องปลุกเสกต่ออีก
    ผมจึงว่างั้นก็รอให้เลิกพิธีก่อนก็ได้ เพื่อนบอกว่าไม่ต้อง ลองเดี๋ยวนี้เลยล่ะ ผมว่าตามใจ แต่เพื่อนแน่ใจหรือ เพื่อนบอกเดี๋ยวรู้เองพร้อมกับส่งปืนให้ผม
    ผมก็รับมาบรรจุลูกปืนใส่ครบทั้ง 6 นัด แต่รู้สึกใจคอไม่ดีเลยจึงส่งปืนคืนให้เพื่อน แล้วบอกให้เพื่อนยิงแล้วกัน ผมจะฉายไฟดูเอง เพื่อนบอกก็ได้ ผมจึงเอากิ่งไม้เล็กๆ เกี่ยวห่วงเหรียญไว้ โดยใช้มือซ้ายถือกิ่งไม้ มือขวาส่องไฟฉายตลอดเวลา
    ระยะยิงปากกระบอกปืนห่างจากเหรียญประมาณ 1 ถึง 2 นิ้ว เรียกว่าชนิดระยะเผาขนกันเลย โดยเอากำแพงเป็นแนวกั้น เพราะกลัวว่ากระสุนจะไปโดนผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวมาก่อน
    ฉะนั้น ระยะห่างจากกำแพงประมาณหนึ่งศอกราวๆ นั้น พอผมบอกว่าให้ยิง เพื่อนก็เหนี่ยวไกปืนจ่อยิงไปที่ เหรียญข้าวหลามตัด ปรากฏว่าได้ยินเสียงกดดัง แชะ (นัดที่ 1)
    ผมก็เลยบอกเพื่อนว่าเอาให้ครบรอบเลยได้ไหม แกไม่พูดเลยแต่เสียงปืนดัง แชะ แชะ แชะ แชะ แชะ ติดต่อกันไปอีก 5 นัด จนผมตกตะลึงไปหมดอยู่ครู่หนึ่ง
    ผมจึงบอกว่าขอดูหน่อย ผมเปิดลูกโม่ออกมาดู เอาไฟฉายส่องที่จานท้ายกระสุน คุณพระช่วยทุกลูกมีรอยสับลึกแนวเดียวกันหมด ใจผมยังไม่ยอมเชื่อ จึงปิดลูกโม่กลับเข้าตามเดิม โดยใช้กระสุนเดิมนั้นแหละ แล้วบอกเพื่อนว่า ไหนลองยิงขึ้นฟ้าซิ ไม่ทันขาดคำ เสียงดังเปรี้ยงจนแก้วหูลั่นไปหมด
    เพื่อนบอกว่าเป็นไง! ผมว่าลองยิงเหรียญอีกซิ ปรากฏว่าเสียงดัง แชะ แชะ อีก ผมบอกพอ ทีนี้ลองยิงขึ้นฟ้าอีกนัดซิ เสียงเปรี้ยงดังขึ้นอีก
    ผมบอกเอ้ายิงเหรียญอีกนัดหนึ่งซิ ปรากฏว่าดังแชะอีกตามเคย เหลืออีกนัดหนึ่งผมเลยบอกว่าไม่น่าเชื่อจริงๆ ลองยิงขึ้นฟ้าอีกนัดซิ เสียงดังเปรี้ยง มือไวจริงๆ เพื่อนผมคนนี้
    ผมเองพูดอะไรไม่ออกแล้วเซ่อไปหมดในตอนนี้ ผมเดินตามเพื่อนไปอย่างใจลอยจนกลับถึงโบสถ์ ก็มีพระองค์หนึ่งยืนรออยู่แล้ว พอเห็นหน้าก็พูดว่า
    “เดี๋ยวเถอะแห่กันมาเชียว”
    ผมเองฟังแล้วยังไม่เข้าใจอะไร เพื่อนกลับพูดว่า
    “หลวงพ่อครับไม่เป็นไรหรอก เขาจะได้รู้ว่ามีดีอะไร”
    หลวงพ่อพูดว่า “อะไรที่เอาไปลอง” ผมจึงยื่นเหรียญที่มือให้ดู หลวงพ่อบอก “ไปเก็บที่เก่า เดี๋ยวจะปลุกเสกต่ออีก”
    ผมจึงเอาไปวางในบาตรตามเดิมแล้วจึงมานั่งคุยกันสักครู่ หลวงพ่อก็เข้าไปในโบสถ์แล้วปิดประตู
    อีกสักครู่ต่อมา ก็มีชาวบ้าน ถือคบไฟก็มี ถือไฟฉายก็มี เมื่อมาถึงก็เห็นผมกับเพื่อนนั่งอยู่หน้าโบสถ์ ชาวบ้านเหล่านั้นก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ดังมาจากในโบสถ์ จึงถามเพื่อนผมว่ามีงานปลุกเสกหรือ เพื่อนก็ตอบว่าใช่
    เขาก็ว่าหลวงน้าเรามีอะไรดีไม่เคยบอกเราเลย แล้วหันมาถามผมว่าอยู่ไหน ผมบอกว่าอยู่กรุงเทพฯ เขาก็ถามว่ารู้ได้ยังไง ผมตอบว่าเพื่อนพามาไม่รู้มาก่อนเลย แล้วก็คุยกันต่างๆ นานา
    จนกระทั่งหลวงพ่อเปิดประตูโบสถ์ออกมาอีก แล้วบอกว่า เอ้า! ช่วยกันขนไปไว้บนกุฏิที พวกเราที่อยู่ในที่นั้นก็ลุกขึ้นพร้อมกันและบอกว่า ครับ เสียงหลวงพ่อ หลวงน้าดังไปหมด แล้วหลวงพ่อก็แจกเหรียญที่หยิบจากในบาตรมาประสิทธิให้ทุกคนอย่างทั่วหน้ากัน แล้วผมกับเพื่อนก็ลากลับกรุงเทพฯ ในเวลาประมาณตีหนึ่งของคืนนั้น
    หลังจากนั้นมา ผมก็หาเวลาว่างแวะเวียนไปเยี่ยมหลวงพ่อเสมอๆ จนถึงทุกวันนี้ ครั้งหลังสุดนี้ เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2528 ผมได้จัดผ้าป่าไปทอดที่วัดนี้ จึงได้ยินท่านเปรยว่า จะสร้างเมรุแต่ติดขัดที่ปัจจัยไม่มี
    ทุกวันนี้ทางวัดยังใช้วิธีเผาศพบนเชิงตะกอนแบบโบราณอยู่เลย ผมจึงถือโอกาสนี้แนะนำท่านทั้งหลายที่มีโอกาส โปรดอย่าได้พลาดในการร่วมทำบุญกับท่านเพื่อสร้างเมรุขึ้น เท่าที่ผมไปพบเห็นมาวัดนี้ไม่มีการวางขายหรือเช่าบูชาพระเครื่องหรือเหรียญอะไรทั้งสิ้น
    หากท่านต้องการสิ่งใดหรือขอเมตตาอะไรจากท่านๆ ก็จะช่วยเต็มความสามารถ เท่าที่ท่านจะช่วยได้ ผมเคยเรียนถามท่านตรงๆ ว่า ทำไมไม่จัดของออกมาวางและให้มีคนดูแล ท่านว่าจะขายพระงั้นหรือท่านทำไม่ได้ ใครอยากได้อะไรถ้าท่านมีท่านให้ทันทีมีแล้วไม่ขัด
    ผมเคยพบเห็นมีผู้ไปขอเหรียญจากท่านก็นับดูว่ามากันห้าคน ท่านก็ไปหยิบมาห้าเหรียญแจกให้ทุกคน ใครจะถวายปัจจัยท่านมากน้อยท่านไม่เคยสนใจ
    แต่มีอยู่คนหนึ่งบอกว่า “หลวงพ่อครับผมขออีกสองเหรียญ”
    หลวงพ่อก็ถามว่า “เอาไปให้ใคร”
    เขาตอบว่า “เผื่อลูกๆ ครับ” ท่านเลยอบรมว่า “ฉันถามอย่างนี้ทีไร มีแต่คนตอบว่าเผื่อลูก เผื่อเมีย แต่ไม่เคยมีใครตอบท่านให้ชื่นใจว่า เผื่อพ่อ-แม่บ้างเลย”
    แล้วท่านก็อบรมอีกว่า “ถ้าพ่อ-แม่ยังอยู่ละ ก็หมั่นปรนนิบัติท่านให้ดีนะ รู้ไหม? ท่านทั้งสองนี่แหละคือพระของเรา จำไว้! ให้ดีเชียวแล้วจะเจริญ”
    แล้วท่านก็หยิบเหรียญมาให้ตามที่ขอ แล้วบอกให้ไปจุดธูป-เทียนบอก หลวงปู่รอด (เสือ) ที่เจดีย์ว่า ขอบารมีท่านช่วยคุ้มครองเรานะ
    ที่เขียนมาจนยืนยาวนี้ ท่านยังไม่รู้เลยว่าเป็นวัดไหน หลวงพ่อชื่ออะไร เป็นเหรียญอย่างไร ผมจะบอกกล่าวดังต่อไปนี้
    ชื่อ วัดประดู่ทรงธรรม จ.พระนครศรีอยุธยา
    ชื่อ หลวงพ่อบุญนาค สีลสังวโร หรือ พระครูศีลสังวโร
    ลักษณะเหรียญเป็น สี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อครึ่งองค์ บอกปี พ.ศ.2520
    ด้านบนเขียนว่า เหรียญธรรมราชานิมิต วัดประดู่ทรงธรรม ที่ระลึกแซยิด อายุ 61 ปี
    ด้านล่างเป็นยันต์อักขระขอม ด้านหลังเหรียญเป็น รูปพระเจ้า 16 พระองค์ และมีอักขระล้อมรอบ
    นี่คือเหรียญที่ผมกับเพื่อนที่ได้ทดลองยิงมาแล้ว ทั้งหมดนี้คือความจริงและด้วยความบริสุทธิ์จริงๆ
    ขอยืนยันด้วยเกียรติของลูกผู้ชายครับ
    จบบริบูรณ์
    #หลวงพ่อบุญนาค #วัดประดู่ทรงธรรม #อยุธยา
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของหมดความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญข้าวหลามตัดหลวงพ่อบุญนาครุ่นประสบการณ์ ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20240623_163147.jpg IMG_20240623_163211.jpg
     
  9. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    7,907
    ค่าพลัง:
    +6,806
    ขอจองครับ
     
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    FB_IMG_1719141253745.jpg




    พญาเต่าเรือน” นับเป็นสุดยอดวัตถุมงคลของหลวงปู่หลิวที่ได้รับการยอมรับและเป็นที่ปรารถนาของปวงสาธุชนมากที่สุด ด้วยพุทธคุณที่ครบเครื่อง ส่งเสริมเรื่องดีหลายด้าน ทั้งคงกระพันชาตรี เมตตามหานิยม สู้คดีความ ทำมาค้าขายโชคลาภ เชื่อกันว่าผู้ที่บูชาแล้วทำมาหากินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต จะเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยทุกคน
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    หลวงพ่อสามพี่น้องหลังพญาเต่าเรือนหลวงปู่หลิวปี๒๕๓๗
    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240623_181105.jpg IMG_20240623_181146.jpg IMG_20240623_181040.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2024
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    images.jpeg


    ประวัติ หลวงพ่อลำใย ปิยวัณโณ เกจิดังแห่งวัดทุ่งลาดหญ้า
    พระมงคลสิทธิคุณ หรือ หลวงพ่อลำใย ปิยวัณโณ วัดทุ่งลาดหญ้า ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี
    ท่านเป็นพระเถระที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา มีกิจวัตรอันประเสริฐยิ่ง ตลอดชีวิตแห่งการดำรงเพศพรหมจรรย์ นับตั้งแต่บรรพชาเป็นสามเณรจวบจนกระทั่งอุปสมบทเป็นพ ระภิกษุในพระพุทธศาสนา ยาวนานกว่า 60 ปี
    คุณงามความดีที่ท่านได้สร้างสมไว้แก่พระพุทธศาสนา และสังคมประเทศชาติ มากมาย จนมิอาจจะกล่าวได้หมดในเวลาอันสั้นนับแต่ได้รับภาระเป็นเจ้าอาวาสวัดทุ่งลาดหญ้า เป็นเจ้าคณะตำบล เป็นเจ้าคณะอำเภอศรีสวัสดิ์ และเป็นพระอุปัชฌาย์ นอกจากจะพัฒนาวัดจนเจริญรุ่งเรือง ได้เป็นวัดพัฒนาตัวอย่างของกรมการศาสนาแล้ว
    ท่านยังสร้างวัดและร่วมพัฒนาวัดทั้งในเขตปกครองและนอกเขตปกครองอีกกว่า 200 วัด เป็นประธานหาทุนทรัพย์สร้างโบสถ์ ศาลาการเปรียญ อีกกว่า 100 วัด สร้างโรงเรียน ทั้งมัธยม-ประถม (รวมที่ดินและอาคารเรียน) กว่า 10 แห่ง (โรงเรียนมัธยมวัดทุ่งลาดหญ้า-หลวงพ่อลำใย อุปถัมภ์ ได้รับการยกระดับเป็นโรงเรียนมัธยมระดับตำบลเป็นแห่ง แรกของประเทศไทย)
    หลวงพ่อสร้างสถานีอนามัยมอบให้แก่ทางราชการทั้งอาคาร และที่ดินนับได้ประมาณ 20 แห่ง ครั้งหลังสุดเพิ่งสร้างสถานพยาบาลบ้านพักคนชรา บนเนื้อที่ราว 70 ไร่ สิ้นค่าก่อสร้างประมาณ 100 ล้านบาท มอบให้แก่กรมประชาสงเคราะห์ และห้องสมุดประชาชนกาญจนาภิเษก ต.ลาดหญ้า พร้อมที่ดิน มูลค่ากว่า 20 ล้าน(ที่ดินติดถนนใหญ่)
    มอบให้แก่กรมการศึกษานอกโรงเรียนหลวงพ่อสร้างระบบประปา มอบให้แก่หมู่บ้านต่างๆหลายสิบแห่ง และสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแคว ตรงด้านหน้าวัดทุ่งลาดหญ้า มูลค่ากว่า 20 ล้านบาท และอีกแห่งตรงช่วงที่ผ่านตำบลหนองบัว มูลค่าประมาณ 10 ล้านบาท มอบให้เป็นสาธารณะประโยชน์ ในส่วนของการสงเคราะห์ผู้ยากไร้
    หลวงพ่อได้กระทำอย่างต่อเนื่องนับเป็นเวลาหลายสิบปี ท่านเป็นธุระจัดหาข้าวสารอาหารแห้งให้แก่สถานสงเคราะ ห์คนชราที่ท่านสร้างขึ้น และทุกวันที่ 14 เมษายน หลวงพ่อจะจัดงานเทกระจาด แจกข้าวสารอาหารแห้ง รวมถึงเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นแก่ผู้ยากไร้ เป็นงานประจำปีที่วัดทุ่งลาดหญ้าในเขตปกครองของท่าน คืออำเภอศรีสวัสดิ์ ซึ่งเป็นอำเภอติดชายแดน มีชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
    ทั้ง มอญ กระเหรี่ยง และกระหร่าง เป็นอำเภอที่ทุระกันดานมาก ในช่วงเข้าพรรษา ท่านก็จะนำข้าวสารอาหารแห้ง รวมถึงสิ่งของจำเป็น ไปแจกจ่ายแก่พระสงฆ์ตามวัดต่างๆอย่างทั่วถึงนับเป็นร ัอยวัด ทำให้เขตปกครองของท่านมีความสงบเรียบร้อยมาก ซึ่งเป็นผลดีต่อบ้านเมืองจากผลงานและจริยาวัตรอันประ เสริฐของท่าน ทำให้ท่านได้การยกย่องเชิดชูจากสถาบันต่างๆมากมาย รวมถึงได้รับพระราชทาน เสมาธรรมจักรในฐานะคนดีศรีสังคม จากสมเด็จพระเทพฯ
    โครงการที่ท่านกำลังดำเนินงานอยู่ในขณะนี้ คือการสร้างพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน ภายในบริเวณวัดทุ่งลาดหญ้า ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วบางส่วน น่าเสียดายที่ท่านด่วนจากไป ด้วยความดีอันมากล้นของหลวงพ่อ ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ พระมงคลสิทธิคุณ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2539 คนๆหนึ่ง พระสงฆ์รูปหนึ่ง เกิดมามีชีวิตที่ไม่สูญเปล่า สร้างคุณประโยชน์ให้แก่สังคมประเทศชาติมากมาย
    ตลอดชีวิตของท่านมีแต่การให้และการเสียสละโดยไม่เห็น แก่ความเหนื่อยยากลำบากกายใดๆ ท่านได้ทำหน้าที่ "พระสงฆ์" ที่สมควรกราบไหว้จนถึงนาทีสุดท้ายแห่งชีวิต สมควรที่เราทั้งหลายจะยกย่องเชิดชูให้เป็นปูชนียบุคคลอันประเสริฐยิ่ง
    หลวงพ่อลำใย ขึ้นชื่อลือนามในเรื่องวัตถุมงคลของขลัง สิ่งที่ท่านสร้างขึ้นแต่ละอย่าง ล้วนเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ มีประสบการณ์ให้เป็นที่เลื่องลือทุกร่นทุกพิมพ์ จนผู้ที่มีไว้บูชาต่างเชื่อมั่นในอานุภาพสรรพคุณอย่างสนิทใจ และท่านก็เป็นพระเกจิอาจารย์ที่สร้างกุมารทอง ท่านคือเกจิกุมารทองที่ทรงไว้ ด้วยวิชามหามนต์อันเปี่ยมล้นด้วยความเข้มขลังอีกท่านหนึ่ง
    พระมงคลสิทธิคุณ (หลวงพ่อลำใย ปิยวณฺโณ) อายุ ๗๘ ปี พรรษา ๕๖ เจ้าคณะอำเภอศรีสวัสดิ์ และเจ้าอาวาสวัดทุ่งลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ได้ถึงแก่ มรณภาพที่โรงพยาบาลมิชชั่น กทม.เมื่อเวลา ๒๑.๓๐ น.คืนวันที่ ๒๗ ก.พ.๒๕๔๖ ด้วยอาการระบบหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน
    หลวงพ่อลำใย ชื่อเดิม นายลำใย เกษมโสตร์ เกิดเมื่อวันที่ ๑๘ มี.ค.๒๔๖๘ ณ บ้านเลขที่ ๑๘๔ หมู่ ๑ ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี การพระราชเพลิงศพจะมีขึ้นภายหลัง ที่พิพิธภัณฑ์จะเสร็จสมบูรณ์ตามเจตนารมณ์ของหลวงพ่อลำใย

    สมเด็จพระรัศมี ยันต์ตรีนิสิงเห
    เป็นพระพิมพ์สมเด็จเนื้อผง ที่หลวงพ่อลำใย จัดสร้างขึ้นเองเพื่อแจกแก่ญาติโยมที่เลื่อมใสศรัทธา
    ๏ จัดสร้างปี พ.ศ.๒๕๓๐
    ๏ จำนวนการสร้าง ๑๐,๐๐๐ องค์ ขึ้นไป
    ๏ มวลสาร ผงเก่าของหลวงปู่เหรียญวัดหนองบัว เกสรดอกไม้ ผงวานต่างๆ 108

    ยันต์ตรีนิสิงเห นี้ดีสารพัด เรียกว่า ยันต์ครอบจักรวาล ป้องกันจากภยันอันตรายจากภูตผีปีศาจ
    โบราณาจารย์ท่าน นำเลขมาแทนอักขระคาถา
    เลขเหล่านี้เป็นคาถาสำคัญ ก่อนจะลงยันต์
    ท่านให้อัญเชิญ พระเทวดาตามเลขยันต์คือ
    เลข ๑ อาฬะวกยักษ์ (อาฬะวะกะ)
    เลข ๒ เทวดาเจ้าของกลางวัน-กลางคืน(ท้าววรุนเทวราช-ท้าวมิตรเทวราช)
    เลข ๓ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    เลข ๔ ท้าวโลกบาลทั้ง ๔ (ท้าวธตรถ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรุฬปักข์ ท้าวกุเวรราช)
    เลข ๕ พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ (พระกุกกุสันโธ พระโกนาคมน์ พระกัสสปพุทธ พระโคตมะพุทธ พระศรีอริยเมตไตย)
    เลข ๖ เทวดาทั้ง ๖ ชั้นฟ้า
    เลข ๗ พุทธนาคาทั้ง ๗
    เลข ๘ พระอรหันต์ ๘ ทิศ (พระโกณทัญญะทิศบูรพา พระกัสสปทิศอาคเนย์ พระภควัมบดีทิศพายัพ พระสารีบุตรทิศทักษิณ พระอุบาลีทิศหรดี พระอานนท์ทิศประจิม พระโมคคัลลาน์ทิศอุดร พระราหุลทิศอีสาน)
    ท่านอาจารย์ ท่านว่าควรจะนำ "นะ มะ พะ ทะ" ธาตุทั้ง๔
    มารับยันต์ตรีนิสิงเห. จะดีเลิศประเสริฐยิ่งนักแล
    วงผู้นิยมเลื่อมใสวิชาไสยศาสตร์รู้จักสิ่งนี้ในชื่อ ‘ข้าวสารดำ’ บ้าง ‘คดข้าวสาร’ บ้าง ‘ข้าวตอกพระร่วง’ บ้าง ในฐานะเครื่องรางแคล้วคลาดคงกระพัน พระเครื่องและของขลัง ลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆ ขนาดเท่าข้าวสาร สีมีตั้งแต่น้ำตาล เทา จนถึงดำสนิท ทั้งแบบผิวเรียบ ผิวขรุขระ และผิวลักษณะแบบผลึกก็มี
    พระสมเด็จรัศมีหลังฝังข้าวสารดำไม่มีทุกองค์นะครับบางองค์ก็ไม่มีฝังข้าวสาร
    ให้บูชา 2 องค์คู่กัน 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20240623_190626.jpg IMG_20240623_190650.jpg IMG_20240623_190730.jpg IMG_20240623_190806.jpg IMG_20240623_190827.jpg IMG_20240623_190852.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2024
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    fb_img_1694424442954-jpg-jpg.jpg
    ชาติภูมิ พระพิพิธพัฒนาทร (สมชาย ฉันทสโร) เจ้าอาวาสวัดปริวาสราชสงคราม ชื่อเดิม สมชาย แซ่ห่าน เกิดเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๔๙๖ แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน ธนบุรี

    การศึกษา จบชั้นมัธยมปีที่ ๓ โรงเรียนไตรรัตน์ศึกษา ยานนาวา, พุทธศาสตรมหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์
    บรรพชา ที่วัดปริวาส เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๑๓ โดย พระครูขันตยาภิราม (หลวงพ่อวงษ์) เจ้าอาวาส เป็นพระอุปัชฌาย์ อุปสมบท เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๑๗ ณ วัดปริวาส โดย พระครูขันตยาภิราม (หลวงพ่อวงษ์) เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากนั้นได้อยู่จำพรรษา ณ วัดปริวาส มาโดยตลอด

    จนถึง พ.ศ.๒๕๓๐ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาส และในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๓๐ ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส ถึงปัจจุบัน (พ.ศ.๒๕๕๒)

    พระอาจารย์สมชาย ได้รับแต่งตั้งสมณศักดิ์มาตามลำดับขั้นตอน จนถึง พ.ศ.๒๕๔๙ ได้รับพระราชทานเป็นพระราชาคณะที่ "พระพิพิพิธพัฒนาทร"

    การศึกษาด้านวิทยาคม พระอาจารย์สมชายชอบศึกษาวิชาวิทยาคม ตั้งแต่สมัยเป็นเด็กนักเรียน โดยได้ศึกษากับหลวงพ่อเก็บ วัดสวนลำใย จ.ชัยนาท ซึ่งเป็นหลานแท้ๆ ของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า

    ต่อมาเมื่อบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากหลวงพ่อวงษ์ ตั้งแต่พรรษาแรก โดยได้รับการอบรมวิชาต่างๆ โดยเฉพาะวิชาสร้างและปลุกเสกเสือ รวมทั้งได้รับอนุญาตจากหลวงพ่อวงษ์ให้ร่วมปลุกเสกเสือรุ่น ๕ และรุ่น ๖ อีกด้วย

    จากการที่หลวงพ่อวงษ์มีความไว้วางใจมาก จึงได้ให้ท่านรับหน้าที่สงเคราะห์ญาติโยมแทนหลวงพ่อมาตลอด นับเป็นศิษย์ก้นกุฏิเพียงรูปเดียวที่หลวงพ่อวงษ์ได้ถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆ ให้จนหมดสิ้น

    ขณะเดียวกัน พระอาจารย์สมชายได้ไปศึกษาวิชากับหลวงพ่ออ่อน วัดแค อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ซึ่งท่านได้สำเร็จผงมหาราช

    เมื่อหลวงพ่อวงษ์มรณภาพ (พ.ศ.๒๕๒๓) พระอาจารย์สมชาย ได้ไปศึกษาวิชาต่างๆ กับอาจารย์ต่างๆ หลายท่าน อาทิ อาจารย์เทพ สาริกบุตร หลวงพ่อแก้ว วัดช่องลม จ.สมุทรสาคร แหลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี จ.สมุทรสงคราม

    หลวงพ่อสำเนียง ที่ อ.บางเลน และหลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญ จ.สมุทรสงคราม (ศึกษาวิชาไหมเจ็ดสี ตะกรุดลูกอม ตะกรุดมหาปราบมหาระงับ) แลกเปลี่ยนวิชาการสร้างราหูอมจันทร์-อมสูรย์ กับ พระอาจารย์มานิตย์ เจ้าอาวาสวัดศีรษะทอง วิชาการสร้างหนุมาน กับพระอาจารย์ต๊ะ วัดช้าง จ.นครนายก (ศิษย์หลวงพ่อพรหม วัดขนอนเหนือ อยุธยา)

    นอกจากนี้ยังศึกษาวิชาการสร้างผงยาจินดามณี (ผงยาวาสนา) สายวัดกลางบางแก้ว อีกด้วย
    และที่สำคัญ ได้ศึกษาวิชาการจัดพิธีปลุกเสก หล่อพระกริ่ง การผสมโลหะธาตุให้เป็นเนื้อต่างๆ จาก อาจารย์นิรันดร์ แดงวิจิตร (อดีตพระครูหนู) ศิษย์รับใช้ใกล้ชิด สมเด็จพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศนฯ จนมีความชำนาญในการผสมโลหะให้เป็นเนื้อสัมฤทธิ์กลับดำสนิท และเป็นเนื้อสัมฤทธิ์สีต่างๆ ได้

    เมื่อมีความมั่นใจในวิชาต่างๆ แล้ว พระอาจารย์สมชายจึงเริ่มสร้างวัตถุมงคลแบบต่างๆ ตั้งแต่ปี ๒๕๒๖ เป็นต้นมา จนเป็นที่นิยมของศิษยานุศิษย์
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จและเหรียญหลวงพ่อสมชายวัดปริวาสให้บูชา 2 องค์คู่กัน 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20240617_073055.jpg IMG_20240617_073122.jpg IMG_20240617_073158.jpg IMG_20240617_073219.jpg IMG_20240617_073009.jpg IMG_20240617_073032.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2024
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    FB_IMG_1719171042683.jpg
    หลวงพ่อฑูรย์ ท่านมีความสามารถ ทางด้าน ปฏิบัติภาวนา และเป็นพระที่มีอายุยืน รูปหนึ่ง
    ในราว พ .ศ. 2482– 83 สมเด็จพุฒาจารย์นวม วัดอนงค์ ได้เรียก หลวงพ่อฑูรย์ ไปพบแล้วมอบ ผงวิเศษให้ โดยผงวิเศษดังกล่าว เป็นผงที่ สมเด็จท่านทำเองและรวบรวมจากพระเกจิสมัยนั้นหลายองค์ รวมทั้งหลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่าด้วย โดยสมเด็จพุฒาจารย์นวม ได้บอกให้หลวงพ่อฑูรย์นำผงดังกล่าวไปสร้างพระ
    หลวงพ่อฑูรย์ ได้ไปหาพระอาจารย์ที่มีคุณวิเศษในสมัยนั้น อาทิ เช่น หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ “ อาตมาภาพ เห็นว่าท่านเป็นคนจังหวัด (สุพรรณบุรี) เดียวกัน ก็ไปขอว่า “ขออิทธิเจผมสักกระดาน.. จะเอาไปทำพระ “
    ซึ่งในที่สุด ท่านได้รวบรวมมวลสารต่างๆ มาได้ เป็นจำนวนมาก
    ท่านได้เริ่มพิมพ์พระ ในปี 2485 จนถึงปี 2497 จึงเริ่มแจก พระผง เกศมงคล ซึ่ง รุ่นที่ได้รับความนิยม โดยผสมผงพระเกศาของสมเด็จพุฒาจารย์นวมด้วย จึงเรียกชื่อว่า รุ่นเกศมงคล เป็นพิมพ์สมเด็จหลังยันต์นูน โดยสมเด็จพุฒาจารย์นวมท่านเมตตาปลุกเศกให้ และมีนำไปแจกที่วัดอนงค์ ด้วย
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จปรกโพธิ์หลังยันต์นูน หลวงพ่อฑูรย์วัดโพธิ์นิมิต บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240623_190527.jpg IMG_20240623_190549.jpg IMG_20240623_190457.jpg
     
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    FB_IMG_1719177007461.jpg



    ประวัติพ่อท่านสังข์ วัดดอนตรอ อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.นครศรีธรรมราช
    พ่อท่านสังข์ เดิมชื่อสังข์ ซ้ายคล้าย เป็นชาว อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช เกิดที่บ้านดอนตรอ ในรัชกาลที่ 5 ที่บ้านประดู่โพรง
    เมื่อวันศุกร์ที่ 16 เดือน กันยายน 2449 ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 10 ปีมะแม บิดาชื่อ คล้าย ซ้ายคล้าย มารดาชื่อ พูน ซ้ายคล้าย
    บรรพชาเป็นสามเณรเมือ่อายุ 15 ปี เมื่ออายุครบ 20 ปี ได้อุปสมบท ได้รับฉายาว่า "เรวโต" มีพรรษารวม 78 พรรษา
    มรณภาพลงเมื่อ อายุ 98 ปี เมื่อ วันที่ 14 สิงหาคม 2547 โดยแพทย์ระบุว่าเส้นเลือดในสมองแตก ที่โรงพยาบาลมหาราช จ.นครศรีธรรมราช
    พ่อท่านสังข์เป็นพระอริยสงฆ์แดนใต้ สุดยอดเกจิแห่งดินแดนเชียรใหญ่ ที่เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านมีสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นสัญญาบัตรที่พระครูเรวัตรศิลคุณ กิตติคุณของท่านก็เป็นที่กล่าวขวัญกันทางภาคใต้มานานนับเป็นหลายสิบปี นอกจากนี้พ่อท่านสังข์ยังได้เข้าร่วมพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลครั้งสำคัญของภาคใต้หลายพิธีด้วยกัน เช่น จตุคามปี30 และยังเป็นพระเกจิอาจารย์อีกท่านหนึ่งที่ร่วมปลุกเสกเหรียญพ่อท่านซัง วัดวัวหลุง รุ่น 2 ซึ่งนอกจากจะเป็นเหรียญตายแล้ว ก็ยังเป็นเหรียญย้อน พ.ศ. อีกด้วย แต่กลับมีราคาเล่นหาอยู่หลักหมื่น ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากมีประสบการณ์สูงมาก เป็นพระเกจิอาจารย์อีกท่านหนึ่ง ซึ่งได้รับการยกย่องจากพ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง ว่ามีวิทยาคมสูงเป็นเลิศ
    พ่อท่านสังข์ออกเหรียญรุ่นนี้เป็นรุ่นแรกของท่าน เมื่อ พ.ศ. 2514 ท่านปลุกเสกอยู่เป็นเวลานานถึงนำออกแจก ตอนเหรียญออกใหม่ๆไม่นานนัก มีชาวบ้านนำไปทดลองยิงปรากฏว่ากระสุนด้าน แต่พ่อนำลูกปืนลูกนั้นมายิงอีกครั้งโดยหันปากกระบอกปืนไปทางด้านอื่น ปรากฏว่ากระสุนระเบิดยิงออกทุกนัด พอข่าวแพร่ออกไปจึงมีชาวบ้านมาขอเหรียญกันมาก จนทำให้เหรียญหมดจากวัดไปในเวลาเพียงไม่กี่เดือน เป็นเหรียญประสบการณ์ สั่งสมเรื่องราว คำบอกกล่าว จากปากต่อปาก
    เหรียญของท่านเป็นเหรียญที่มาในแรงก็ด้วยประสบการณ์ที่ชัดเจน จึงทำให้มีการเสาะหากันมากมาจนทุกวันนี้โดยเฉพาะพื้นที่แล้วสู้กันสุดๆ ด้านราคาก็อยู่ที่หลักพันปลายๆถึงหมื่นสวยจริงก็หมื่นกว่าตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ครั้นพอท่านมรณภาพไปแล้วก็ยิ่งมีคนเสาะหากันมากขึ้นไปอีก จึงทำให้ค่านิยมของเหรียญขณะนี้พุ่งขึ้นสู่หลักหมื่นกลางๆ แต่ก็ยังหาคนปล่อยยากครับ พ่อท่านสังข์นอกจากจะมีวิชาอาคมศักดิ์สิทธิ์เป็นที่นับถือของคนภาคใต้แล้ว ท่านยังมีอายุยืนยาวเฉียดๆ ร้อยปีเลยทีเดียวโดยวันที่ท่านมรณะภาพที่นครศรีฯไฟดับโดยไม่มีสาเหตุ และเป็นเกจิอีกรูปหนึ่งที่เผาไม่กินไฟเช่นเดียวกับเกจิก่อนหน้านี้ คือ พ่อท่านเขียว และพ่อท่านมุ่ย แถมสังขารท่านไม่เน่าเปื่อยครับ เหมือนพ่อท่านเขียว วัดหรงบล ซึ่งท่านทั้ง2 อยู่จ.นครศรีธรรมราชเช่นเดียวกัน
    วัตถุมงคลที่ท่านสร้างนั้นมีประสบการณ์เข้มขลังมากด้านคุ้มครองแคล้วคลาด อยู่ยงคงกระพัน คนในพื้นทื่รู้กันดีเพราะ ท่านเป็นเกจิที่ปฏิบัติดี มาตลอด คนเมืองคอนเคยบอกไว้ว่ายิ่งถ้าเป็นพระของท่าน ศักดิ์สิทธิ์ขนาดอธิษฐานให้ตัดรุ้งขาดได้เลยครับ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างส่งครับ

    รูปหล่อหลวงปู่สังข์ วัดดอนตรอ บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240623_185937.jpg IMG_20240623_190005.jpg IMG_20240623_190047.jpg IMG_20240623_190027.jpg
     
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    หลวงพ่อทรัพย์-0.jpg

    ประวัติหลวงพ่อทรัพย์

    พระครูทรัพย์ ธมุมโสภโณ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าหลวงพ่อทรัพย์ ท่านเป็นบุตรคนที่ ๖ ของนาย สุ๘ นาง ปราง ขำสุข เกิดวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๓๐ ตรงกับวัน พฤหัสบดี เดือน ๖ ขึ้น ๖ ค่ำ ปีกุน ที่บ้านโรงปลา หรือ หัวหาด หมู่ที่ ๒ ต. บางหลวง อ. สรรพยา จ. ชัยนาท ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 11 คน คือ
    นายจ่าง ขำสุข
    นายเจิม ขำสุข
    นายปั่น ขำสุข
    นางทิม ขำสุข
    นายบุญ ขำสุข
    นายทรัพย์ ขำสุข (หลวงพ่อทรัพย์)
    นางทับ ขำสุข
    นางพลับ ขำสุข
    นางจีบ ขำสุข
    นายลับ ขำสุข
    นางจาบ ขำสุข

    เมื่ออายุได้ ๑๐ ขวบ บิดามารดาได้นำไปฝากหลวงพ่ออ่ำ วัดอินทราราม โดยให้อยู่กับหลวงพ่ออยู่ ซึ่งเป็นลูกผู้พี่ หลวงพ่อทรัพย์ เป็นผู้ที่มีความสนใจในการศึกษาเล่าเรียนมาตจั้งแต่ท่านยังเป็นเด็กเล็ก ๆ และมีความจำเป็นเลิศ ท่านเรียนหนังสืออยู่ที่วัดอินทรารามประมาณ ๓ ปี ก็อ่านออกเขียนได้ทั้งหนังสือไทยและหน้งสือชอม นับว่าเก่งกว่าเด็ก ๆ รุ่นเดียวกันมาก ต่อมาหลวงพ่ออยู่ย้ายจากวัดอินทาราม ไปเป้นเจ้าอาวาสวัดดักคะนนท์ อ. เมือง จ. ชัยนาท ท่านได้ย้ายตามไปด้วยกับหลวงพ่ออยู่ และได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดดักคะนนท์ ท่านอยู่ที่วัดดักคะนนท์ระยะหนึ่งไม่นานนัก หลวงพ่ออยู่ก็นำท่านไปฝากเรียนบาลีในสำนักของพระสุนทรมุนี (ใจ) วัดทุ่งแก้ว อุทัยธานี ท่านอยู่วัดทุ่งแก้ว เรียนนักธรรม เรียนบาลี และฝึกหัดเป็นนักเทศน์เจริญรอยพระสุนทรมุนี (ใจ) ซึ่งเป็นนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงอยู่ในสมัยนั้นอีกด้วย ต่อมา ลาท่านลาจากสำนัก วัดทุ่งแก้ว กลับมาอยู่วัดอินทาราม อุปสมบทที่วัดอินทาราม หลวงพ่อทรัพย์อุปสมบทได้ ๑๕ พรรษา ก็ลาหลวงพ่ออ่ำ ลาสิขา เมื่อลาสิขาไปแล้ว ตัวท่านก็อยู่กับพี่น้องที่ยังไม่ได้แต่งงาน ตัวท่านเองไม่ยอมแต่งงานชีวิตของท่านตอนนี้สนุกมาก เครื่องดองของเมาเอาทุกอย่าง แต่ท่านมีสัจจะของท่านว่า อาจารย์ทรัพย์ดื่มครั่งเดียวมากหรือน้อยดื่มให้พอเลย บ้วนปากแล้ววันนั้นไม่ดื่มซ้ำอีก ท่านมักพูดว่า ข้าสนุกกับมันทั้งนั้น ท่านมีชีวิตโสดอยูาอย่างนี้หลายปี คราวหนึ่งนางจาบน้องสาวคนเล็ก ป่วยมาก รักษาอย่างไรก็ไม่หาย มีแต่ทรงกับทรุดท่านจึงบนครูหลวงพ่ออ่ำ (ตอนนั้นหลวงพ่ออ่ำ มรณภาพแล้ว) ว่า ถ้าให้ยาตามตำราหลวงพ่อแล้วน้องสาวหายป่วย จะบวชถวาย ๑ พรรษา พอสึกออกมาตอนนี้ ท่านจึงได้แต่งงานกับ น.ส. น้อม เมื่อแต่งงานแล้ว ท่านมีบุตรหญิงหนึ่งคน คือ น.ส. ฉลอง ขำสุข ถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๐ หลวงพ่อบุญ (พระครูบุญวิทยโสภณ) มรณภาพ บรรดาท่านที่เคยร่วมสำนักเรียนกันมาเช่น หลวงพ่อ หลิน (พระวิชัยวุฒาจารย์) วัดสมอ ได้ขอร้องให้ท่านกลับมาบวชใหม่ เพื่อช่วยหลวงพ่อเทียบปกครองวัดอินทารามต่อไป หลวงพ่อเทียบเป็น เจ้าอาวาสวัดอินทาราม เมื่อ พ.ศ.๒๔๘๐ ต่อจากหลวงพ่อบุญในการบวชครั้งหลังนี้ ท่านบวชเมื่อวันขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๘ พ.ศ๒๔๘๑ โดยมีพระชัยนาทมุนี (หรุ่น ) วัดบรมธาตุ เป็นพระอุปํชฌาย์พระครูสรรพยานกิจวิชัย (หลิน) วัดสมอ เป็น พระกรรมวาจาจารย์พระวินัยธรทรัพย์ (หลวงพ่อทรัพย์) วัดกำแพง เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    เมื่อโยมทั้งสองของท่าน ถึงแก่กรรมแล้ว และน้องสาวของท่านแต่งานแยกครอบครัวแล้ว ท่านได้รื้อฝากระดาน ซึ่งเป็นเรือนหอของโยม กระดาน ซึ่งเป็นเรือนหอของโยม แล้วเป็นสิทธิของท่านถวายวัดมาปลูกไว้ในวัดอินทารามเมื่อบวชครั้งหลังนี้ ท่านก็อยุ่กุฏิที่เป้นของโยมหลังนี้ และท่านได้ยกที่นาของท่านจำนวน 30 ไร่เศษ ถวายวัด ทำงานรานถึงกรมศาสนา แต่มีข้อแม้ว่าถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ท่านจะขอเก้บค่าเช่าเป็นส่วนตัวก่อน เพื่อใช้จ่ายไม่ลำบากใจว่าจะเป็นเงินวัด ท่านสนใจในการศึกษามากพระรูปใดเป็นครูสอนนักธรรม-บาลี ท่านจะมีรางวัลให้ แม้พระเณรที่เป็นนักเรียน ท่านจะเอาใจใส่ดูแล อุปการะช่วยเหลือ ให้ได้รับความสดวกในการเรียนแล้ะท่านจะบอกว่า เงินที่ใช้นี่ของข้า และพระเณรหรือคฤหัสถ์ที่ทำงานให้วัดท่านจะเป้นห่วงมากคอยดูแลให้การช่วย เหลืออยู่ตลอดเวลา ในย่ามท่านจะมีห่อผ้าเช็ดปากอยู่ห่อนึง นั่นคือห่อเงินส่วนตัว ถ้าท่านจ่ายเงินไปแล้วรับเงินทอนมาเผลอใส่
    ย่ามโดยไม่ใด้ใส่ห่อส่วนตัวของท่านท่านจะถือเป้นเงินวัดแล้วรวมยอดเข้าวัด เงินเทสมหาชาติทั้งหมด ที่ท่านเทสเองหรือท่านให้พระรูปอื่นเทศแทน ถ้าท่านใดนำไปถวายท่านท่านจะถือว่าเงินวัดทั้งหมด และเงินที่ได้จากการสวดมนต์-บังสุกุล ในระหว่าปีท่านจะใช้ตามปกติธรรมดาของท่านแต่พอถึงวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 8หรือวันเข้าพรรษา ท่านจะรวมยอดถวายวัดทั้งหมด ท่านทำอย่างนี้ตั้งแต่ บวชครั้งแรกกับหลวงพ่ออ่ำ ในด้านความรู้ส่านตัวของท่าน การแปลหนังสือ ท่านจำได้แม่นยำ อ้างคำภีร์ คาถา วรรคตอนถูกต้อง จนขนาด เปรียญ 6 ประโยค ยอมรับท่านแม่นจริงๆๆ ในการเทศไม่ว่าคู่หรือเดี่ยว ท่านไม่ชอบเยิ่เย้อ ท่านชอบพูดสั้นๆๆ กระทัดรัดแต่ได้ใจความชัดแจ้ง เรื่องเทศนี้ครั้งนึงท่านอยู่วัดมหาธาตุ กรุงเทพ พอถึงฤดูร้อนท่านกลับมาพักผ่อนที่วัด อินทาราม งานศพ ขุนไชยสุภาที่วัดพยาตาก เจ้าภาพนิมนต์ หลวงพ่อบุญ แต่ไม่พบ จึงนิมนต์ใว้กลับหลวงพ่ออ่ำ หลวงพ่ออ่ำท่านจึง รับใว้ ให้ไปเทศกลับอาจารย์ บุญ วัดงิ้วงาม ต.ท่าชัย อ.เมืองชัยนาท อาจารย์บุญท่านนี้เป็นพระนักเทศรุ่นใหญ่ ชอบเทศหักนักเทศด้วยกัน หลวงพ่ออ่ำรับนิมนต์ใว้ให้หลวงพ่อ บุญ วัดตลุกไป แต่พออาจารย์ฟู โพธิ์เทพรู้เรื่องเข้าไม่ยอมให้หลวงพ่อบุญไปจึงบอกกับหลวงพ่ออ่ำ ว่า”งานนี้หลวงพี่บุญไปไม่แหมาะแน่ต้องเจอกับหลวงพี่ทรัพย์จึงจะเหมาะกว่า” และเมื่อถึงวันเทศหลวงพ่อทรัพย์ไปเทศ ก็เป็นความจริง พระอาจารย์บุญ ท่านเล่นลูกนอก หลวงพ่อทรัพย์ พระหนุ่ม ศิษเอกหลวงพ่อใจ(พระสุนทรมุนี) วัดทุ่งแก้ว แก้เสียพูดไม่ออกเลยยอมกันตั้งแต่นั้นมา อาจารย์สวัสดิ์ อินทร์มา บ้านข้างวัดตลุกด้านเหนือ เล่าว่า บางคนเรียกท่านว่าท่าน แขก เพราะมีเรื่องอยู่ว่า เป็นธรรมเนียมของพระวัดตลุก เวลาเย็นพระผู้ใหญ่จะมาคุยกับหลวงพ่ออ่ำ ที่หอนกเป็นประจำทุกวัน เย็นวันหนึ่งของเดือนตุลาคม พ.๒๔๕๐ หลวงพ่ออ่ำ หลวงพ่อบุญ หลวงพ่ออยู่ พระอาจารฟู หลวงพ่อเทียบ และพระอาจารสวาสดิ์นั่งคุยกันอยู่ที่หอนก ในขณะนั่งคุยกันอยู่นั้นได้มีพระลังกาเดินทางมาหาหลวงพ่อ อ่ำ เพื่อขอพักอาศัย และพระลังกาพูดไทยไม่ได้ หลวงพ่ออ่ำท่านได้แต่ยิ้มๆ มองตาหลวงพ่อบุญหลวงพ่อบุญจึงให้คนไปตามหลวงพ่อทรัพย์มา เมื่อหลวงพ่อทรัพย์มาแล้ว ก็พูดกับพระรังกาเสียงดัง และรู้เรื่องกันดี มีตอนนึงพระลังกาพูดแล้วชี้ไปที่นกหลายตัวบนต้นไม้ หลวงพ่อทรัพย์ก็ตอบเป็นบาลีแล้วชี้มือไปอีกทางนึงแล้วนกที่อยู่ที่ต้นไม้ก้บ ินไปทิศที่หลวงพ่อทรัพย์ชี้ พระลังกาปรบมือพร้อมหัวเราะเสียงดังชอบใจที่หลวงพ่อทรัพย์ รู้ภาษานก นี่แหละที่ทำให้ผู้คนล่ำลือว่าหลวงพ่อรู้ภาษานก ดังนั้นจึงทำให้ท่านโด่งดังเรื่องของ นกคุ่ม หรือ นกคุ้มและที่หลวงพ่อบุญให้เณรไปตามหลวงพ่อทรัพย์มาความจริง คือหลวงพ่อบุญก็รู้แล้วรู้ดีกว่าหลวงพ่อทรัพย์เสียอีก แต่หลวงพ่อบุญต้องการยกย่องหลวงพ่อทรัพย์ให้ปรากฏเกียตินั่นเอง เรื่องนั่งทะนานอันลือลั่นของท่าน เมื่อท่านเป็นฆราวาสท่านเรียนมาจาก ปู่เครือน และรับปฏิญาณว่าจะต้องมีเมตรตา ทำคนแตกร้าวให้ดีกันเพียงอย่างเดียว ทำคนดีกันให้แตกกันไม่ได้ ทำคนผิดให้ถูกไม่ได้ และไม่ยอมมอบวิชานี้ให้ใครมา ๓๗ ปี เพราะกลัวจะไปทำผิดตามคำปฎิญาณ เพิ่งมาถ่ายทอดให้ เจ้าอธิการ บุญคง โชติธม.โม เจ้าอาวาสวัดโพธิ์มงคล ( บ้านอ้อย )เมื่อปีพ.ศ. ๒๔๙๖และได้มรณภาพไปแล้วเช่นกัน เรื่องรูปเหรียญ มีผู้เคารพนับถือท่านจำนวนมากมาขอเอารูปท่าน ออกเป็นเหรียญแต่ท่านไม่ยอมเมื่อพ.ศ.๒๔๙๓ หลวงพ่อทรัพย์ กับเจ้าอธิการบุญคง ไปปั้นรูปหล่อหลวงพ่อเทียบในปีนั้นสุขภาพท่านไม่ดี เจ้าอธิการ บุญคง จึงขออนุญาตปั้นรูปท่านด้วยท่านก็ยอมให้ปั้นแต่ไม่ยอมให้ทำเหรียญ ท่านให้เอารูปหลวงพ่ออ่ำบ้าง หลวงพ่อบุญบ้างไปทำเหรียญ ต่อมาผู้รบเร้ามากๆๆเข้าท่านจึงยอมแต่ต้องมีรูปของอาจารย์ท่านอยู่ด้วย คือหลวงพ่ออ่ำและหลวงพ่อบุญ อยู่อีกด้านนึงจึงยอมไห้ไปทำเหรียญได้ปี พ.ศ. ๒๔๙๒ หลวงพ่อเทียบ เจ้าอาวาสวัดอินทาราม มรณภาพ หลวงพ่อทรัพย์จึงเป็นเจ้าอาวาสสืบต่อมาจนถึงปี ๒๕๒๑ท่านจึงมรณภาพ ข้อมูลจากเวปวัดอินทาราม(ตลุก)ครับ

    เหรียญหลวงพ่อทรัพย์ วัดอินทราราม (ตลุก) จ.ชัยนาท หลังยันต์นกคุ้ม ปี พ.ศ.2519 เนื้อทองแดง หลวงพ่อทรัพย์เป็นศิษย์เอกของหลวงพ่ออ่ำ วัดตลุก ซึ่งเป็นพระสหธรรมมิกกับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ที่มักจะแลกเปลี่ยนวิชาอาคมกันอยู่บ่อยๆ หลวงพ่อทรัพย์ท่านจึงเป็นเกจิอาจารย์ที่เก่งมากจริงๆ ได้สำเร็จยันต์หัวใจนกคุ้ม ซึ่งใช้ดีทางด้านโชคลาภ เมตตามหานิยม มีทรัพย์ สมกับชื่อของท่าน ส่วนการเสดาะเคราะห์เปลี่ยนดวงชะตาชีวิตที่ร้ายให้กลายเป็นดี ทำพิธีโดยให้ศิษย์นั่งยองๆอยู่บนกะลาคว่ำครึ่งซีกมือท้าวพื้น หลวงพ่อก็บริกรรมคาถาไป ใช้ไม้เรียวฟาดพื้นไป สักครู่ทั้งกะลาทั้งคน ก็จะหมุนอย่างช้าๆไปเรื่อยๆตามจังหวัดของไม้ที่กระทบพื้น เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้ร่วมพิธีอย่างมาก หลวงพ่อมรณะภาพปี พ.ศ.2521 เหรียญนี้ดีมีประสพการณ์
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงพ่อทรัพย์วัดตลุก หลังนกคุ้ม ปี ๒๕๑๙ ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240623_190117.jpg IMG_20240623_190151.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2024
  16. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    FB_IMG_1719215979521.jpg
    หลวงปู่กลั่น คุณวโร แห่งวัดใหม่อินทราวาส อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง แรกเริ่มเดิมที ท่านเป็นชาวโพธิ์พระยา จ.สุพรรณบุรี สมัยยังเป็นฆราวาส ก็มีชีวิตเหมือนลูกผู้ชายไทยในอดีต คือ.เสือเก่า ท่านมีความสนิทสนม กันมากกับ อดีตเสือใหญ่แห่งเมืองสุพรรณฯ(เสือฝ้าย เพ็ชนะ)
    ท่านขลังมาตั้งแต่ก่อนบวชเสียอีก เพราะยามว่างท่านก็ไปรับจ้างลงใบลานในวัด และ เล่าเรียนวิชาจากพระอาจารย์(ลป.อ่อน อุตโม วัดชีสุขเกษม เป็นพระอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาหลักๆของท่านเป็นส่วนใหญ่-ต้นตำหรับพระยันต์ที่ท่านใช้เป็นตัวหลักคือ."น.ทอทรหด") และ ลป.คำ วัดหน่อพุทธางกูล(อยู่ตรงกันข้าม) ท่านแสวงหาวิชา-พระอาจารย์ผู้ทรงคุณมากมายหลายท่าน ไม่ว่าจะเป็น ลพ.อี๋(ไปเอา"กันหะ เนหะ"), ลพ.ภักต์ วักโบสถ์, ลพ.ภู วัดดอนรัก(เอาการสร้างตะกรุด), ลพ.คำ โพธิ์ปล้ำ, พ่อท่านคล้าย สวนขัน(เอา ฤ ฤามา-ฦ ฦาไป ใช้เวลา.6 เดือนกว่าจะได้.ใช้เวลาเรียนมาที่สุดในเท่าที่เรียนมาทุกๆ พระอาจารย์ฯ) และ ฆราวาส(อิสลาม) จ.ปัตตานี(เอาวิชาดูตูดจาน"เปิด3โลก") ส่วนที่ว่า ท่านเป็นลูกศิษย์ ลพ.ดิ่ง วัดบางวัวนั้นไม่จริง ท่านไม่เคยไปเรียนกับ ลพ.ดิ่ง บางวัวเลย วิชา.ลิง(หนุมาน) และปลักขิก ท่านเรียนมาจาก ลป.อ่อน อุตโม ทั้งสิ้น เพราะ ลป.อ่อน อุตโม ท่านสร้างปลัดขิก และ ลิงไม้แกะ ด้วย ส่วนพระยันต์(สัพวิชาต่างๆ) ลป.กลั่น คุณวโรท่านนำมาใส่เสริมลงไปในวัตถุมงคลท่าน(เปรียบเสมือนยาหม้อใหญ่) วัตถุมงคลของท่านที่ทุกท่านรู้จักเสียส่วนใหญ่ ก็คือ.ปลัดขิก แต่จริงๆท่านสร้างไว้มากมาย ล้วนแล้วแต่มากประสบการณ์มากมาย วัตถุมงคลท่านๆท่านเสกเอง องค์เดียว ไม่นิมนต์ท่านใดมาร่วมเสก
    ท่านเคยบอกว่า(สมัยสร้างพระประธานในโบสถ์"หลวงพ่อในโบสถ์"พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์")ว่า.
    (ลูกศิษย์): ลป.ครับ จะนิมนต์พระอาจารย์รูปใดบ้าง มาฉลองโบสถหลังใหม่และพระประธาน
    (ลป.กลั่น คุณวโร): จะเชิญท่านมาทำไม เราก็สร้างเอง-เสกเองได้ ดั่งที่ที่โบราณท่านว่าไว้.ชาติเสือ ไม่ขอเนื้อใครกิน
    วัตถุมงคลของท่านก่อนที่จะให้ใครไป ท่านจะต้องมั่นใจดีแล้วจึงให้ไป ท่านว่า.มันจะเป็นบาป-เป็นกรรม แต่ท่านก็ไม่เคยบอกกล่าวใครนะว่า.ของท่านดีอย่างไร-กันอะไร ท่านก็แค่กล่าวว่า.ของดี-ของมงคล จะเอาไว้ที่บ้านก็ดี เป็นมงคลบ้าน ไว้ที่ตัวก็ดี เป็นมงคลตัว ใครจะมาบอกว่า.พอเอาของท่านไปๆพบเจออะไรบ้างท่านก็เฉย กล่าวแต่ว่า.ก็ดี เป็นของมงคล แล้วก็ยิ้ม /
    ที่มาจากคุณโอ่ง สงขลา (ลูกศิษย์จ.สงขลาที่เคารพลป.กลั่น คุณวโร อย่างที่สุด)
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    รูปหล่อหลวงพ่อกลั่นวัดอินทราวาสรุ่นพิเศษ และพระผงรูปเหมือน ให้บูชา ๒ องค์ 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240624_150313.jpg IMG_20240624_150359.jpg IMG_20240624_150424.jpg IMG_20240624_150248.jpg IMG_20240624_150551.jpg IMG_20240624_150618.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2024
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    วันนี้จัดส่ง
    1719222534821.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    FB_IMG_1719273799739.jpg


    หลวงพ่อดี วัดพระรูป สุพรรณบุรี
    หลวงปู่ดี จัตตมโล วัดพระรูป ต.ท่าพี่เลี้ยง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี
    ประวัติหลวงพ่อดี มีนามเดิมว่า นายดี ศรีขำสุข เกิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2454 ที่บ้านคันลำ ต.ดอนตาล อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายปั้น และ นางหรุ่น ศรีขำสุข มีพี่น้อง 5 คน ท่านเป็นบุตรคนสุดท้อง
    ในช่วงวัยเยาว์ ได้ติดตามพี่ชายคือ พระอาจารย์เผื่อน ปุสสชิโน (ศรีขำสุข) ซึ่งบวชเป็นพระภิกษุ มาอยู่อาศัยที่วัดพระรูป ได้ศึกษาเล่าเรียนภาษาขอมกับ พระอาจารย์คง วัดไชนาวาส เขตเทศบาลเมืองสุพรรณบุรี และเรียนหนังสือไทยกับ พระอาจารย์ช้าง เจ้าอาวาสวัดพระรูป
    ครั้นอายุ 23 ปี ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดไชนาวาส โดยมี พระครูสมณะการพิสิฐ (หลวงพ่อท้วม) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูถาวรสุวรรณคุณ (หลวงพ่อคำ) เป็นพระกรรม วาจาจารย์ และ พระอาจารย์บุญ วัดไชนาวาส เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    หลังจากอุปสมบทได้อยู่จำพรรษาที่วัดพระรูป และมุ่งมั่นศึกษาพระปริยัติธรรมและพระธรรมวินัย สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี ในปี พ.ศ. 2524 ได้รับแต่งตั้งจากคณะสงฆ์จังหวัดสุพรรณบุรี ให้เป็นเจ้าอาวาสวัดพระรูป
    พ.ศ.2488- หลวงปู่ดี ได้ร่วมกับคณะกรรมการวัด พระภิกษุ-สามเณร บูรณปฏิสังขรณ์สิ่งก่อสร้างต่างๆ ภายในวัด เช่น กุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ หอสวดมนต์ พระอุโบสถ
    พ.ศ.2513- หลวงปู่ดี ได้สร้างพระเครื่องและพระบูชาแบบต่างๆ เพื่อหาเงินสร้างวิหารพระพุทธไสยาสน์ โดยท่านได้ตั้งจิตอธิษฐาน จุดธูปเทียนบูชาพระ ชุมนุมเทวดา ก่อนปฏิญาณตนต่อหน้าพระพุทธรูป ว่า
    "ข้าพเจ้าขอสร้างพระชนิดต่างๆ เพื่อนำเงินมาบูรณะวัดพระรูป จะไม่นำเงินส่วนนี้มาใช้ส่วนตัวเป็นอันขาด ถ้าข้าพเจ้าเอาไปใช้ส่วนตัว ขอให้ตกนรกอย่าได้เกิดมาเป็นมนุษย์อีกเลย"
    หลวงปู่ดี วัดพระรูป ได้นิมนต์พระคณาจารย์ รวบรวมดอกไม้ร้อยแปด ว่านร้อยแปด แร่ธาตุต่างๆ และผงกรุต่างๆ นำมาสร้างพระเครื่องขึ้น ดังนี้ พระผงสุพรรณ, พระนางพญา, พระซุ้มกอ, พระสมเด็จ, พระรอด, พระกำแพงศอก, และโลหะพิเศษต่างๆ พระที่ชำรุด และมวลสารที่มีคนนำมาถวาย โดยมีพิธีพุทธาภิเษกครบไตร มาส 3 เดือนเต็ม จึงได้นำออกมาให้เช่าบูชา
    พระเครื่องทุกแบบ ทุกพิมพ์ ทุกรุ่น ที่หลวงปู่ดีสร้างปรากฏว่าได้รับความนิยม เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวเมืองสุพรรณบุรี จนกระทั่งถึงระดับประเทศ ได้ชื่อว่า เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังระดับประเทศอีกรูปหนึ่ง ที่เปี่ยมไปด้วยเมตตา สามารถกราบไหว้ได้อย่างสนิทใจ
    หลวงพ่อดีท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านได้เข้าไปในพระอุโบสถและตั่งสัตย์ปฏิญาณว่า "ลูกไม่มีเงินที่จะพัฒนาวัด และเกินกำลังเหลือเกินจะขอสร้างวัตถุมงคลเพื่อหารายได้เข้าวัด ขอให้วัตถุมงคลนี้มีเมตตา บารมี และศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้ผู้ที่มาเช่านำไปใช้เกิดศิริมงคล ลูกขอทำวัตถุมงคลนำเงินมาบูรณะวัดพระรูปให้เจริญก้าวหน้าต่อไป
    ในการสร้างพระเครื่องพิมพ์ต่าง ๆ ท่านได้นำพระพิมพ์ต่าง ๆ ที่แตกหักจากเจดีย์ต่าง ๆ ทั่วเมืองสุพรรณ โดยเฉพาะพระชำรุดหักของวัดบ้านกร่าง วัดพระรูป และวัดมหาธาตุ พระผงสุพรรณ ฯลฯ มาเป็นส่วนผสมในมวลสาร
    การสร้างพระเครื่อง หลวงปู่ดี วัดพระรูป เวลาท่านทำพระเครื่องท่านจะกดพิมพ์เองกับมือวันหนึ่งทำไม่มากองค์หรอกครับ(เพราะเมื่อหมดฤกษ์ดี ยามดี ในแต่ละวันท่านก็หยุด)ท่านสร้างและเก็บไว้ เมื่อเกจิสมัยนั้นแวะเวียนมาหาท่าน ก็จะร่วมกันปลุกเสกด้วย (หลวงปู่โต๊ะ)(หลวงพ่อมุ่ย)ฯลฯ
    และนำเข้าพุทธาภิเศก ใหญ่อีกครั้ง ท่านสร้างพระเพราะต้องการให้ชาวบ้านได้ร่วมทำบุญและได้พระเครื่องไว้บูชาและนำเงินมาบำรุงวัดซึ้งในขณะนั้นวัดพระรูปได้ทรุดโทรมมาก
    เมื่อได้เพียงพอแล้วจะหยุดสร้างทันที ต่อมาท่านก็หยุดสร้างจริงๆ ไม่ได้สร้างทุกๆปี หรือตามวาระพรรษา รุ่นหลังๆเป็นลูกศิษย์ขอสร้างเนื่องจากจะซ่อมแซมวัด(จึงเป็นเหตุให้ผงสุพรรณและพระขุนแผน พระปิดตา รุ่นที่หลวงพ่อกดพิมพ์เองจริงๆแล้วมีจำนวนไม่มากนัก)แต่รุ่นหลังๆ พุทธคุณก็เหมือนกันทุกประการ
    ชาวเมืองสุพรรณและพื้นที่ใกล้เคียงล่ำลือกันว่า((จะมีผีเสื้อ ผึ้ง และนกหลายชนิด บินมาเกาะที่มือหลวงพ่อและอยู่ใกล้ๆ เวลาหลวงพ่อดีกดพิมพ์พระเครื่อง))
    เมื่อหมดฤกษ์ดี ท่านก็หยุด พระเครื่องของท่าน(จะมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ )ปัจจุบันยังมีผู้ชีวิตอยู่สามารถยืนยันเรื่องการสร้างพระเครื่องของหลวงปู่ดี วัดพระรูปได้(ตามตำราโบราณ) สายตรงต่างทราบดี พุทธคุณดีด้านเมตตา มหาเสน่ห์ มหานิยมและอยู่ยงคงกระพันชาตรี มหาอุตม์ พุทธคุณดีทุกๆด้าน
    http://sitloungpordee.blogspot.com/
    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระผงสุพรรณ พระผงรูปเหมือนไตรมาส พระ ผงรูปเหมือน เตารีด ลป.ดี วัดพระรูป ชุด ๓ องค์ ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20240624_152829.jpg IMG_20240624_152850.jpg IMG_20240624_152957.jpg IMG_20240624_152925.jpg IMG_20240624_153047.jpg IMG_20240624_153021.jpg IMG_20240624_153119.jpg IMG_20240624_153144.jpg
     
  19. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,685
    ค่าพลัง:
    +21,337
    FB_IMG_1719281757472.jpg

    ประวัติพระสุพรหมยานเถร วิ. (ครูบาพรหมา พฺรหฺมจกฺโก)
    อดีตเจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทตากผ้า พระอารามหลวง
    ได้เล่าให้คณะศิษยานุศิษย์ฟัง เนื่องในวันคล้ายเกิด วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๑๖
    เกิดเมื่อ วันอังคาร ที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๑ ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๒ เหนือ (เดือน ๑๐) ปีจอ ณ บ้านป่าแพง ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ตั้งอยู่กลางทุ่งนา รวมอยู่ในหมู่บ้านกองงาม ต.แม่แรง อ.ป่าซาง จ.ลำพูน
    นามเดิม ชื่อว่า พรหมา พิมสาร
    บิดาชื่อ นายเป็ง พิมสาร
    มาราชื่อ นางบัวถา พิมสาร
    มีพี่น้องร่วมกัน ๑๓ คน คือ
    ๑. พ่อน้อยเมือง พิมสาร
    ๒. เด็กหญิง (ไม่ทราบชื่อ)
    ๓. แม่อุ้ยคำ หล้าดวงดี
    ๔. พ่อหนานนวล พิมสาร
    ๕. พ่อหนานบุญ พิมสาร
    ๖. พระครูภาวนาภิรัต (ครูบาอินทจักร พระสุธรรมยานเถร วิ.) วัดน้ำบ่อหลวง
    ๗. พระสุพรหมยานเถร วิ. (เจ้าของประวัติ)
    ๘. พระครูสุนทรคัมภีรญาณ (ครูบาคัมภีระ) วัดพระธาตุดอยน้อย
    ๙. พ่อหนานแสง พิมสาร
    ๑๐. แม่ธิดา สุทธิพงษ์
    ๑๑. แม่นางบัวหลวง ณ ลำพูน
    ๑๒. เด็กหญิงตุมมา พิมสาร
    ๑๓. นางแสงหล้า สุภายอง
    บิดามารดาของท่าน เป็นคนมีฐานะพอมีอันจะกิน มีอาชีพทำนา ทำสวนเป็นสัมมาอาชีวะ ไม่มีการยิงนกตกปลา ไม่เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ และไม่มีการเลี้ยงหมูขาย มีความขยันถี่ถ้วนในการงาน ปกครองบุตรหลานโดยยุติธรรม ไม่มีอคติ หนักแน่นในการกุศล ไปนอนวัดรักษาอุโบสถศีลเป็นประจำทุกวันพระ
    บิดาได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุได้ถึงแก่กรรมในสมณเพศ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๔ อายุ ๙๐ พรรษา ๒๘
    มารดาได้นุ่งขาวห่มขาว รักษาอุโบสถศีลทุกวันพระตลอดอายุ ได้ถึงแก่กรรม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๗ อายุ ๗๐ ปี
    เมื่อเจริญวัยพอทำงานได้ ได้ช่วยพ่อแม่ทำงาน ทำนาทำสวนและเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย งานที่ทำเป็นประจำวัน คือตักน้ำตำข้าว และปัดกวาดทำความสะอาดบ้านเรือน เป็นการตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ เท่าที่พอจะทำได้ตามวิสัยของเด็ก
    การศึกษาในสมัยเด็ก ได้เรียนหนังสือไทยล้านนาและภาษากลางที่บ้านจากพี่ชายที่ได้บวชเรียนแล้วสึกออกไปเพราะสมัยนั้น ตามชนบทยังไม่มีโรงเรียนสอนกันอย่างปัจจุบัน แม้แต่กระดาษจะเขียนก็หายาก ผู้สอนคือพี่ชายก็มีงานมากไม่ค่อยได้อยู่สอนเป็นประจำจึงเป็นการยาก แก่การเรียน อาศัยความตั้งใจและความอดทนเป็นกำลัง จึงพออ่านออกเขียนได้
    เหตุบรรพชาเป็นสามเณร อาศัยที่เคยได้ติดตามพ่อแม่ไปวัดบ่อยๆ ได้เห็นพระภิกษุสามเณรอยู่ดีกินดี มีกิริยาเรียบร้อยก็เกิดความเลื่อมใสยิ่งได้เห็นพระพี่ชายที่บวชอยู่หลายองค์พากันมาฉันข้าวที่บ้าน ยิ่งเพิ่มความเลื่อมใสขึ้น
    ต่อมาก็จำได้ว่า ปีนั้นเป็นปีชวด พ.ศ. ๒๔๕๕ เป็นปีที่สงครามโลกครั้งที่ ๑ กำลังจะระเบิดขึ้น ปีนั้นดินฟ้าอากาศก็วิปริตผิดปกติ บ้านเรือนแห้งแล้ง ข้าวยากหมากแพง ผู้คนต่างถูกทุพภิกขภัยเบียดเบียนระส่ำระสาย ทั้งทางราชการก็เร่งรัดเกณฑ์ผู้คนไปเป็นทหารกันวุ่นวาย ได้เห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจ จึงน้อมใจไปในการบวชมากขึ้น ประกอบกับได้เห็นพวกเพื่อน ที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงหนีไปบวชกันแทบทุกวัน จะเป็นการบวชหนีทหารหรือบวชผลาญข้าวสุก หรือบวชเพื่อความพ้นทุกข์อย่างไรไม่ทราบ
    ลุถึง วันจันทร์ที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๕ เวลา ๑๕.๐๐ น. มีอายุได้ ๑๕ ปี ได้กราบลาพ่อแม่ไปบวช พร้อมกับขออโหสิต่อพ่อแม่ทั้งสอง แล้วก็ถือเอาผ้าจีวรกับดอกไม้ธูปเทียน ลงจากเรือนไป ด้วยความอาลัยพ่อแม่เป็นที่สุด ขณะนั้นก็มีพ่อกับพี่ชายติดตามไป
    ครั้นไปถึงวัดป่าเหียง ต.แม่แรง อ.ป่าซาง พระพี่ชายก็จัดการโกนหัวโกนคิ้วให้ แล้วพ่อได้นำเข้าไปกราบมอบให้ เจ้าอธิการแก้ว ขัตติโย พระอุปัชฌาย์ เพื่อขอให้ท่านบวชให้ ครั้นพระอุปัชฌาย์มอบผ้ากาสาวพัสตร์ให้แล้ว ก็มีพระพี่ชายกับใครอีกท่านหนึ่ง ได้มาช่วยกันนุ่งห่มให้
    ในขณะนั้นได้ก้มมองดูผ้ากาสาวพัสตร์อันเหลืองอร่าม อันเป็นธงชัยของพระอรหันต์ รู้สึกซาบซึ้งตรึงใจ นึกว่า “เป็นบุญลาภอันประเสริฐ ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา และได้มาบวช มั่นใจว่าจะขอบวชอุทิศต่อพระพุทธศาสนา จนกว่าชีวิตจะหาไม่”
    เมื่อบวชแล้ว พระอุปัชฌาย์ผู้เคร่งครัดในวินัย มีนิสัยรักความสะอาด ได้แนะนำพร่ำสอนศีลาจาวัตรและให้ปฏิบัติตาม
    การศึกษาในสมัยเป็นสามเณร ในสมัยนั้นพระภิกษุสามเณรทุกองค์ จะต้องท่องจำสวดมนต์ ๑๕ วาร ตั้งแต่ เยสันตา เป็นต้นไป จนถึงมาติกา มหาสมัย โดยเขียนใส่แป้นกระดานชนวน มีขนาดกว้าง ๑ คืบ ยาว ๑ ศอก และกำหนดให้ท่องจำให้ได้วันละ ๑ แป้น
    ชั้นแรกรู้สึกหนักใจ เห็นตัวหนังสือเล็กขนาดอ่านจนไม่ถนัด นึกว่า “เราจะจำได้หรือไม่หนอ” แต่เมื่อตั้งใจท่องอย่างเอาจริงเอาจังก็ได้ วันละ ๑ แป้นจริงๆ แป้นนั้นท่านยังเก็บไว้เป็นอนุสรณ์
    ขณะที่กำลังเรียนอยู่ ได้พยายามหลีกเร้นหลบหน้าคนอื่นเสมอ แม้แต่เดินทางไปฉันข้าวยังบ้าน ก็พยายามไปคนเดียว เพื่อฉวยโอกาสท่องสวดมนต์ไปตามทาง โดยถือสุภาษิตที่ว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั้น” นอกจากนั้นก็ได้เข้าเรียนโรงเรียนประชาบาล ซึ่งเวลานั้นทางวัดได้จัดการตั้งขึ้นสอนกันแล้ว สอบได้ถึงประถมปีที่ ๓ ซึ่งเทียบกับประถมปีที่ ๔ สมัยนี้ เพราะเวลานั้นประถมปีที่ ๔ ยังไม่มีสอนกัน
    เมื่ออายุย่างเข้า ๑๗-๑๘ ปี ก็ได้ศึกษานักธรรมตรีตามลำพัง เพราะเวลานั้นยังไม่มีโรงเรียนและครูสอน หนังสือเรียนก็หายาก มีเพียงนวโกวาทกับธรรมนิเทศและวินัยวินิจฉัย ๒-๓ เล่มเท่านั้น
    ครั้นถึงรอบปีมาทางจังหวัดก็จัดให้มีการสอบครั้งหนึ่ง เป็นการสอบเฉพาะจังหวัด เพราะทางคณะสงฆ์ยังไม่ได้เปิดสนามสอบอย่างสมัยนี้ ใครสอบได้ก็ออกประกาศนียบัตรสำรองให้ ทำกันอย่างนี้มาเป็นเวลา ๒-๓ ปี
    ต่อมาประมาณ พ.ศ.๒๔๕๙ จึงมีสำนักเรียนและครูสอนเป็นหลักแหล่ง โดยทางการคณะสงฆ์ ได้จัดตั้งสำนักเรียนที่วัดฉางข้าวน้อยเหนือ ซึ่งเป็นวัดเจ้าคณะอำเภอในสมัยนั้น
    อาตมากับสามเณรมอน อินกองงาม ได้พากันเดินไปศึกษาตลอดพรรษา ต้องเดินทางผ่านทุ่งนา การไปมาลำบากมาก ต้องสู่อดสู่ทน ครั้นออกพรรษาแล้วก็ได้ย้ายไปอยู่วัดฉางข้าวน้อย เพื่อการศึกษาทั้งนักธรรมและวิชาสามัญ
    การศึกษาในสมัยเป็นพระภิกษุ เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี ก็ได้กลับมาอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมา วัดป่าเหียง ในวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ.๒๔๖๑ เจ้าอธิการแก้ว ขัตติโย เป็น พระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ฮอม โพธิโก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์สม สุรินโท เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    ครั้นลุถึง พ.ศ.๒๔๖๒ ทางการคณะสงฆ์ ได้ทำการเปิดสอบนักธรรมสนามหลวงขึ้น ณ วัดเชตวัน จ.เชียงใหม่ พระมหานายกเป็นผู้นำข้อสอบมาเปิดสนามสอบ ในสมัยนั้นข้อสอบวิชาละ ๒๑ ข้อ นักเรียนธรรม ๗ จังหวัดในภาคพายัพ ได้มารวมสอบแห่งเดียว มีนักเรียนทั้งหมดประมาณ ๑๐๐ รูป จังหวัดลำพูนมี ๑๑ รูป
    กรรมการตรวจข้อสอบได้ทำการตรวจทุกคืน ครั้นสอบเสร็จแล้วหนึ่งวัน ก็แจ้งผลการสอบทันที ผลปรากฏว่าได้เพียง ๒ รูปคือ พระทองคำ วัดเชตุพน จังหวัดเชียงใหม่ รูปหนึ่ง กับอาตมา อีกรูปหนึ่ง นอกนั้นสอบตกหมด
    เมื่อถึงคราวกลับลำพูน ท่านมหานายกพร้อมคณะผู้นำข้อสอบมีความสนใจ ได้ติดตามมาถึงวัดป่าเหียง ซึ่งเป็นวัดเดิมของอาตมา ท่านพระมหานายกได้มาขอต่อพระอุปัชฌาย์และพ่อแม่พี่น้อง เพื่อจะรับเอาอาตมาไปศึกษาต่อที่กรุงเทพฯ แต่พระอุปัชฌาย์และพ่อแม่พี่น้องต่างก็เป็นห่วงเป็นใย ไม่อนุมัติให้ไป โดยอ้างเหตุผลไปต่างๆ นานา
    มีตอนหนึ่งพระอุปัชฌาย์ได้หันมาพูดว่า “ถ้ารักตัวก็จงตั้งใจปฏิบัติธรรม” ได้ฟังแล้วก็กำหนดจดจำไว้ในใจ เรื่องก็ยุติลงไป แต่ท่านก็รู้สึกเห็นใจ และขอบพระคุณท่านพระมหานายกเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้กรุณามาขอถึงที่อยู่ด้วยความหวังดี อนึ่ง ก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในตนเองที่มีบุญไม่ถึง จึงมีอุปสรรคทำให้ไม่ได้ไปศึกษาต่อ ให้มีความรู้ทางธรรมเท่าที่ควร
    ต่อนั้นมา ท่านก็ได้หวนระลึกถึงคำของพระอุปัชฌาย์ที่ว่า “ถ้ารักตัว ก็จงตั้งใจปฏิบัติธรรม”นั้นยังก้องอยู่ในหู จึงได้พยายามศึกษาหาความรู้ในด้านการปฏิบัติธรรม จากครูบาอาจารย์ผู้รู้ อาทิท่านพระครูพิทักษ์พลธรรม (ครูบาหวัน มหาวโน) และพระครูภาวนาภิรัต (ครูบาอินทจักโก) ซึ่งเป็นพระพี่ชายที่อยู่ในสำนักเดียวกัน ยิ่งกว่านั้น ยังได้เดินทางไปศึกษาหาความรู้ ในข้อวัตรปฏิบัติธรรม จากครูบาอาจารย์อีกหลายท่าน คือ ท่านครูบาแสน ญาณวุฑฒิ วัดหนองเงือก ท่านครูบาบุญมา ปารมี วัดกอม่วง และท่านครูบาอนุ ธมฺมวุฑฒิ วัดพานิชสิทธิการาม เป็นต้น เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาหาทางปฏิบัติที่ถูกต้อง
    ออกอยู่ป่า อาศัยความตั้งใจและความนึกคิดมาเป็นเวลาแรมปี ลุถึงอายุ ๒๔ พรรษา ๔ วันอังคารที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๖๔ เพ็ญเดือน ๘ (เดือน ๑๐ เหนือ) ซึ่งเป็นวันเข้าพรรษา ท่านก็ตัดสินใจกราบลาพระอุปัชฌาย์พร้อมทั้งโยมพ่อโยมแม่และญาติพี่น้องที่มาพร้อมกันที่วัด เพื่อออกไปอยู่ป่าบำเพ็ญสมณธรรม
    ครั้นได้เวลา ก็ออกจากวัดด้วยใจที่เต็มไปด้วยความนึกคิด โดยเดินทางมุ่งสู่ดอยน้อยซึ่งตั้งอยู่ฟากแม่น้ำปิง เขตอำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ระยะทางไกลประมาณ ๑๒ กม. มีสามเณรอุ่นเรือน (ต่อมาเป็นพระอธิการอุ่นเรือน โพธิโก วัดบ้านหวาย) ติดตามไปด้วย วันรุ่งขึ้น ก็มีท่านพระครูพิทักษ์พลธรรม (ครูบาหวัน วัดป่าเหียง) ได้กรุณาติดตามไปอีกท่านหนึ่ง
    ได้พักจำพรรษา อยู่ในศาลาเก่าคนละหลัง บำเพ็ญสมณธรรม ได้รับความอุปถัมภ์จากญาติโยมที่อยู่ในแถบนั้นเป็นอย่างดี ครั้นออกพรรษาแล้วก็ได้พากันเดินทางกลับมาคารวะพระอุปัชฌาย์ พักอยู่เพียง ๓ คืน ก็ได้กราบลาท่านพระอุปัชฌาย์ เพื่อเดินทางไปสู่ป่าอีก พอได้เวลาประมาณตี ๓ ก็ถือเอาบาตรจีวร กับหนังสือ ๒-๓ เล่ม พร้อมทั้งกาน้ำและผ้ากรองน้ำแล้ว แล้วออกเดินทางไปอยู่ป่า
    วันนั้น เป็นวันเดือน ๑๒ (เดือนยี่เหนือ) แรม ๓ ค่ำ การเดินทางลำบากมาก เพราะเป็นเวลากลางคืน ต้องเดินทางผ่านทุ่งนาไกลประมาณ ๕-๖ กม. บาตรจีวรก็เปียกชุ่มไปหมด
    นึกๆ ดู “ก็เหมือนนักโทษตลอดชีวิต ที่แอบหนีออกจากคุกตะราง ซึ่งถูกกักขังมาตั้งหลายสิบปี”
    พอไปถึงชายป่าก็เป็นเวลาสว่างพอดี จึงหยุดพักพอหายเหนื่อย ครั้นได้เวลาภิกขาจารก็ออกเดินทางไปบิณฑบาตยังหมู่บ้านเล็กๆ บ้านหนึ่ง ซึ่งมี ๒-๓ หลัง จำได้ว่าเป็นบ้านฮ่องแฮ่ ต.ท่าตุ้ม อ.ป่าซาง จ.ลำพูน ได้ข้าวนึ่ง ๒-๓ ก้อน แล้วก็กลับออกมาถึงกลางทุ่งนาที่มีน้ำ ได้นั่งลงที่มุมคันนา ปรารภจะฉันข้าว เปิดฝาบาตรขึ้นพิจารณาอาหารตามปัจจเวกขณวิธี ขณะนั้นความคิดก็เกิดขึ้น คิดถึงเรื่องพระพุทธเจ้าในคราวเสด็จออกทรงผนวช แล้วเสด็จไปโปรดสัตว์คือบิณฑบาตในวันแรก
    “นี้นับว่า เป็นโชคดีของเราที่เราจะได้ปฏิบัติดำเนินตามรอยยุคลบาทของพระพุทธองค์” ทันใดนั้นจิตใจก็เต็มตื้นไปด้วยปีติเกิดขึ้นท่วมท้นหัวใจเป็นเหตุให้ น้ำตาอันไร้เจตนาได้หลั่งไหลลงโดยไม่รู้สึกตัว ท่านได้แข็งใจเอาผ้ามาเช็ดน้ำตาเสีย แล้วลงมือฉัน พอประทังชีวิตให้เป็นไป
    ครั้นฉันเสร็จแล้วก็เดินเข้าป่า ผ่านไปทางวัดหนองเจดีย์ ไปพักสงบหลบผู้คนอยู่ในป่าข้างห้วยแม่วังส้าน พอถึงตอนเย็นก็มีพระน้องชาย (พระครูสุนทรคัมภีรญาณ) และสามเณรอีกรูปหนึ่งได้ไปตามหา แล้วก็พากันเดินทางต่อไป ก็ไปพบหนองน้ำในป่า คือหนองปลาสะเด็ด (ปลาหมอ) ซึ่งปัจจุบันนี้ก็มีร่องรอยปรากฏอยู่ข้างถนนหน้าโรงเรียนบ้านโทกน้ำกัด
    ได้พากันพักค้างอยู่ที่นั่น ๑ คืน พอรุ่งสว่างก็ออกบิณฑบาตมาฉัน แล้วเดินทางเข้าป่าไปอีก ที่ไหนน้ำมีท่าก็พักอยู่ที่นั่น
    ใน ๒-๓ วันแรกได้อาศัยอยู่ตามป่าบวกกอห้า ขณะนั้นมีพระน้องชายอีกองค์หนึ่งคือ พระภิกษุแสงและโยมพ่อได้ตามหาอีก
    ต่อจากนั้นก็พากันเดินทางไปพักอยู่ที่กู่พระป่า ห้วยปันจ๊อย หล่ายแก้ว เหล่ายาว ดอยเหลี่ยม ดอยหยูด ดอยแดด ดอยเปา ดอยไก่เขี่ย ตามลำดับไปจนถึงป่าช้าบ้านแอ่น นาแก่ง และบ้านตาล เขตอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ และที่อื่นๆ หลายป่าดงพงไพร และขุนเขาเป็นเวลาหลายสิบปี จนไม่สามารถจะจดจำนำมาเล่าสู่กันฟังให้สิ้นสุดได้
    การอยู่ป่าบางครั้งก็ได้รับความสะดวกสบายพอสมควร บางครั้งก็ได้รับความลำบากยากเข็ญเหลืออดเหลือทน ดูเหมือนจะเอาชีวิตจิตใจไปแลกเอา ซึ่งศีลธรรมกรรมฐานเสียจริงๆ
    การอยู่ป่าหรือการเดินธุดงค์ การอยู่ป่าในปีแรกรู้สึกลำบากมาก เนื่องจากเวลานั้นในจังหวัดภาคเหนือ ยังไม่ปรากฏว่าจะมีพระองค์ไหนออกอยู่ป่ามาก่อน จึงทำให้ประชาชนเกิดความสนใจแล้วพากันมาดู ถามนั่นถามนี่ บางพวกก็พากันมานั่งจ้องมองดูเป็นเวลานานตั้งครึ่งวัน ทำให้เกิดความรำคาญไม่สงบ จึงต้องมีการโยกไปย้ายมา เพื่อหลีกเร้นหลบหน้าผู้คนอยู่เสมอ
    บางครั้งก็มีเพื่อนสหธรรมิกได้ติดตามไปหลายรูป ในตอนแรกก็มีพระน้องชายพร้อมกับโยมพ่อ ซึ่งได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว ได้ติดตามไปด้วย ในตอนหลังบางครั้งก็มีครูบาอาจารย์หลายๆ ท่าน อาทิท่านครูบาคำ คนฺธิโย วัดดงหลวง สบลี้ ครูบามัง วัดวังสะแกง เป็นต้น ได้กรุณาให้ความอบอุ่นไปอยู่ด้วย
    บางครั้งก็ได้ติดตามท่านครูบาภาวนาภิรัต วัดวนารามน้ำบ่อหลวง ซึ่งเป็นที่สักการะเคารพไปเป็นครั้งเป็นคราว
    การอยู่ป่าต้องมีความเชื่อความเลื่อมใส และมีเจตนาเป็นมหากุศล พร้อมมีความอดทนและใจสูงพอ มิฉะนั้นจะเกิดความหวั่นและท้อใจ เกี่ยวกับดินฟ้าอากาศและสภาพการณ์ของป่า ซึ่งมีสารพัดอย่าง ทั้งสิงสาราสัตว์ สิ่งแวดล้อมที่เป็นอนิฏฐาอารมณ์ เช่น เหลือบ ยุง ตอมไต่ตลอดวันเวลา ตอนกลางคืนจะได้ยินเสียงร้องของสัตว์ เช่น เสือ นกปู่ติ๊ก (นกถืดทือ) เป็นต้น พอถึงฤดูใบไม้ร่วงก็ร้อนจนเกือบจะไม่มีที่อยู่อาศัย ฤดูหนาวก็หนาวเย็นเป็นที่สุด เพราะไม่มีสิ่งกำบัง ผู้อยู่ป่าก็ย่อมจะได้พบเป็นประสบการณ์ อาทิเช่น ที่นั่ง ที่นอน จะเป็นดินเป็นทราย หรือเป็นหินเป็นแร่อย่างไรไม่เข้าใจ พอถึงคราวพักผ่อนก็อยู่นอนกันไปอย่างนั้น บางครั้งฝนตกชั้นดินชื้นแฉะ นอนไม่ได้ ก็ขึ้นนอนตามขอนไม้ แต่แล้วพอตื่นขึ้นก็ปรากฏว่าลงไปนอนอยู่ตามพื้นดินกันหมด บางครั้งก็ต้องนอนในน้ำเหมือนกับควาย
    มีครั้งหนึ่งท่านครูบาพรหมาพร้อมด้วยคณะ ได้ไปอาศัยอยู่ป่า ไกลจากหมู่บ้านห้วยปันจ้อย อ.ป่าซาง จ.ลำพูน ประมาณ ๒ กม.ในวันแรกที่ไปจึงพากันแยกกันอยู่ตามโคนต้นไม้ ต่างก็นึกว่าคืนนี้จะสบายดี เพราะที่นั่นสงบ มองดูท้องฟ้าก็แจ่มใส แต่พอถึงกลางคืนดึกประมาณตี ๒ ก็เกิดมีฝนห่าใหญ่หลั่งไหลตกลงมา ก็คิดกันว่า “ทำอย่างไรหนอ” เพราะไม่มีกลดไม่มีร่ม ต่างก็พากันลุกขึ้นไหว้พระ เอาผ้าคลุมศีรษะ นั่งภาวนาอยู่ ในที่สุดก็นอนลง ทันใดนั้นก็มีน้ำป่าไหลหลากมา ทั้งฝนก็กระหน่ำตกไม่ขาดสาย ก็ปล่อยเลยตามเลย นอนกันอยู่อย่างนั้น เพราะต่างก็ง่วงนอนเต็มแก่ พอตื่นขึ้นก็เป็นเวลาสว่าง ได้เหลือบตามองดูจีวรที่ห่มอันเปียกชุ่มว่ามันเป็นอย่างไร ปรากฏว่าเป็นดินทรายไปหมด ยกเกือบไม่ขึ้น น่าสังเวชใจในชีวิตของตนเป็นกำลัง นึกว่า “ช่างมันเถอะอะไร ๆ ล้วนแต่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทั้งนั้น”
    การบิณฑบาตตามธรรมดาพระของเราต้องอาศัยปัจจัย ๔ มีจีวร บิณฑบาต เป็นต้น เป็นกิจวัตรและนิสัย ตามที่พระอุปัชฌาย์ได้สอน ในวันแรกบวชพระอยู่ที่ไหนก็อาศัยหมู่บ้านที่นั่น เป็นที่โคจรคามบิณฑบาต พระย่อมมีหม้อข้าวทิพย์อยู่ในมือ เมื่อถึงเวลาภิกขาจาร ถ้าพระไม่ขี้เกียจ เพียงแต่ถือเอาหม้อข้าวทิพย์ ไปยืนนิ่งอยู่ตามประตูบ้าน โดยที่ไม่ต้องออกปากขอ เขาก็จะให้และพระก็จะได้ทุกราย เว้นแต่มีเหตุ ถ้าเราขี้เกียจ ไม่อาศัยลำแข้งของตนก็มีหวังอด เว้นแต่พระมีสตางค์และผู้อุปถัมภ์
    โดยเฉพาะการเดินธุดงค์อยู่ในป่า การบิณฑบาตรู้สึกว่าลำบากมาก ไม่แน่นอนเหมือนพระอยู่ในหมู่บ้าน อะไร ๆ ก็ดูเหมือนเป็นอนิจจัง ทุกขัง ไปเสียหมดบางวันได้กับข้าวพอสมควรแก่ความต้องการ บางวันก็มีผู้นำมาถวายจนฉันไม่หมด บางวันก็ได้แต่ข้าวเปล่าๆ ถึงกับต้องขอบิณฑบาตพริกกับเกลือจากโยมผู้ติดตาม เพื่อเอามาขยำเป็นน้ำพริก เอายอดหญ้าจี๊ยอบ (หญ้าไมยราพ) มาจิ้มน้ำพริกฉันก็มี บางวันไปบิณฑบาตไม้ได้ข้าวและอาหาร ต้องยอมจำนนอดทนทานกันไป ครั้งหนึ่ง ๑-๒ วัน ก็มี ชีวิตความเป็นอยู่ และจริยาวัตรแห่งการเดินธุดงค์
    ภายหลังจากธุดงค์เป็นเวลานาน จึงได้กลับมาจำพรรษาที่วัดป่าหนองเจดีย์ อ.ป่าซาง จ.ลำพูน ซึ่งเป็นวัดร้างมีหลาย ๑๐๐ ปี ตามคำนิมนต์ขอครูบาอาจารย์และญาติโยม เป็นเวลา ๔ พรรษา หลังจากนั้นได้มาจำพรรษา ณ วัดพระพุทธบาทตากผ้า อันเป็นปูชนียสถานที่สำคัญแห่หนึ่งในจังหวัดลำพูน ซึ่งเป็นวันร้างมาตั้ง ๑,๐๐๐ กว่าปี ได้ประจำอยู่ ๑ พรรษา ก็ไดย้ายไปอยู่ป่า ม่อนมะหิน ประจำอยู่ที่นั้น ๒ พรรษา แล้วย้ายมาอยู่วัดป่าหนองเจดีย์อีก ๒ พรรษา
    ลุถึง พ.ศ.๒๔๙๑ ก็ได้กลับมาอยู่วัดพระพุทธบาทตากผ้าอีก เป็นครั้งที่ ๒ ได้จำพรรษาวัดพระพุทธบาทตากผ้าติดต่อกันตั้งแต่นั้นมา ถึงบัดนี้ พ.ศ.๒๕๑๖ (วันที่เล่าให้ฟัง) รวมเป็น ๒๖ พรรษา เพื่อเป็นการพักผ่อนและทำกิจพระพุทธศาสนา อันเป็นสาธารณประโยชน์ พร้อมทั้งสังขารร่างกาย ก็ย่างเข้าสู่วัยชราแล้ว จะเดินธุดงค์ บุกป่าฝ่าดง สมบุกสมบันเหมือนสมัยแต่ก่อนไม่ไว้ แต่ถึงอย่างนั้นในฤดูแล้งปีไหนเดือนไหนมีโอกาส ก็อุสาห์พยายามพาพระภิกษุสามเณรไปเดินธุดงค์อยู่ตามป่าหรือตามป่าช้าเป็นคราว เพื่อให้ลูกศิษย์ได้รู้ได้เห็นได้ทราบปฏิปทาการเดินธุดงค์ แล้วกลับมาจำพรรษาวัดพระพุทธบาทตากผ้า การบำเพ็ญอยู่ยังวัด ได้อาศัยร่มไม้ ต้นบุนนาค ต้นหนึ่งซึ่งอยู่หน้ากุฏิ เป็นที่นั่งบำเพ็ญสมณธรรมเป็นประจำมาทุกเช้า ตลอดฤดูแล้งและกลางพรรษา
    ขอความเจริญในธรรมจงมีแต่ท่านทั้งหลาย
    สทา โสตฺถี ภวนฺตุ เต

    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    สำหรับท่านที่ชอบวัตถุมงคลกระแสเมตตาร่มเย็น กระแสเย็นสงบ ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20240624_153542.jpg IMG_20240624_153525.jpg IMG_20240624_153425.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2024
  20. Karoonsur

    Karoonsur Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    392
    ค่าพลัง:
    +224
    จองครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...