เพื่อน ๆ เคยเห็นนิมิตภาพของสมาธิเป็นยังไงบ้างครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย cwyp, 16 ธันวาคม 2004.

  1. cwyp

    cwyp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    270
    ค่าพลัง:
    +529
    ในการเข้าสมาธิกรรมฐานนั้นเมื่อเข้าไปสู่ระดับหนึ่งจะเกิดนิมิตขึ้นซึ่งบางทีก็ไม่ได้แปลกใจอะไร แต่เมื่อถึงจุดที่ว่าที่สุดของสมาธิที่เราได้ย่อมเกิดนิมิตที่แปลกประหลาดขึ้น เช่น การทำอาณาปานสติของผม

    มีครั้งหนึ่งผมทำสมาธิบนรถโดยสารกำลังจะไปที่เชียงใหม่ ผมลองเข้าสมาธิตั้งแต่รถออกไปได้ช่วงหนึ่ง ภาวนาไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดหนึ่ง เกิดความรู้สึกดับไปหมด ไม่มีความรู้สึกทางร่างกาย เสียงเริ่มหายไปอีก ลมหายใจก็เริ่มจับไม่ได้เพราะมันเบามากแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร หลังจากนั้นชั่วอึดใจ ก็เกิดเป็นแสงสว่างขึ้นในภาพนิมิต แต่ไม่ใช่เห็นภาพรอบข้างนะครับ เห็นแต่แสงสว่างจ้ารอบตัว แต่ตัวของผมนั้นหายไปไหนไม่รู้ รู้สึกมีแค่ดวงจิตอันเดียวเท่านั้นแล้วก็คำภาวนาก็หายไปแล้ว คล้ายก้อนพลังงานอย่างนั้นแหละ ในความรู้สึกนั้นมีความเย็นใจเป็นอันมาก ไม่เคยได้พบได้เจอมาก่อน เพราะในขณะแรกที่ทำสมาธิจะเป็นได้อย่างมากคือมืด แล้วก็ดับความรู้สึกไป พอเจอนิมิตนี้ขึ้นมาผมก็เลยนึกได้ว่าน่าจะอธิฐานเลย อธิฐานว่าขอให้ได้เห็นภาพในอดีตชาติ เท่านั้นแหละครับมันผุดขึ้นมาในสมาธิเป็นภาพคล้าย ๆ กับว่าเรามองจากที่สูงที่หนึ่งอยู่บนภูเขาสูงมีต้นไม้เยอะ ๆ แล้วมองลงไปเฉียง ๆ เห็นเป็นที่ราบที่หนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าที่ไหน หลังจากนั้นภาพนั้นก็หายไป ผมก็หลุดจากสมาธิทันที ไอ้ภาพนี้ผมก็ไม่ได้ตีความหมายอะไรนะครับกลัวอุปทานจะกิน หลังจากนั้นเป็นต้นมาเมื่อภาวนาครั้งใด ก็ไม่สามารถที่จะเข้าสมาธิจนเห็นนิมิตนี้ได้อีกเลย แล้วเพื่อนเคยทำกรรมฐานมาเคยมีประสบการณ์ทางสมาธิยังไงกันบ้างครับเล่าให้ฟังด้วยนะครับ
     
  2. cwyp

    cwyp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    270
    ค่าพลัง:
    +529
    บางครั้งก็จะรู้สึกสงบนิ่งไป และคล้าย ๆ ว่าเราเห็นภาพอะไรซักอย่างข้างนอกตัวเช่นของผมเหมือนว่าเห็นขาตัวเอง ทั้ง ๆ ที่หลับตาอยู่ หลับตาเหมือนกับลืมตาเป็นต้น
     
  3. บัวใต้น้ำ

    บัวใต้น้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    888
    ค่าพลัง:
    +1,937
    อย่าไปสนใจเลยครับ

    คุณอาจจะมีความร้สามารถรู้เห็น สมัผัสสิ่งพวกนี้ได้จริง

    แต่มันก็เป็นเครือ่งขวางกั้นในการก้าวหน้าของการปฏิบัติ
     
  4. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,802
    ค่าพลัง:
    +18,984
    ผมไม่เห็นเจอนิมิตอะไรเลยครับ โหะๆ
     
  5. merit

    merit สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +4
    ตอนที่เห็นนิมิตครั้งแรก ยังไม่รู้จักวิธีการทำสมาธิมาก่อน
    เพราะเรียน ร.ร. คริสต์มาตลอด
    เช้าเย็นก็สวดแต่ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ทำกิจกรรมอยู่แต่ในโบสถ์

    วันหนึ่งก่อนนอนอยากทำจิตให้สงบเพื่อจะนอนหลับให้สบาย
    ทำจิตนิ่งได้ไม่นาน ก็เห็นจิตลอยอยู่ในที่มืดๆ
    ผ่านเสาใหญ่ๆไปหลายต้น แล้วแสงก็สว่างขึ้นมา จ้ามาก
    พร้อมกับเห็นพระพุทธชินราช เหลืองทองอร่ามไปทั้งองค์

    หลังจากนั้นเพื่อนเอาหนังสือหลายๆเล่มมาให้อ่าน
    หนึ่งในหนังสือเหล่านั้นมีภาพอุโบสถของพระพุทธชินราช
    รู้สึกตกตะลึงที่ก่อนจะถึงองค์พระ มีเสาใหญ่ๆอยู่หลายต้นจริงๆ
    ยังไม่เคยไปจังหวัดพิษณุโลก ตั้งใจจะไปเห็นสถานที่จริงสักครั้ง
    แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่ได้ไปสักที เพราะขึ้นเหนือทีไรก็ตรงไปเชียงใหม่ทุกที
     
  6. ศดานัน

    ศดานัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2004
    โพสต์:
    893
    ค่าพลัง:
    +651
    เคยเห็นบ้างค่ะ แต่ไม่มีความรู้สึกว่าน่าสนใจติดตามเลย
     
  7. คนเก่า

    คนเก่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,355
    ค่าพลัง:
    +15,055
    ไปกราบองค์ที่วัดเบญจฯก่อนก็ได้ครับ คุณ merit
     
  8. wanted

    wanted Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +50
    การที่จิตมองเห็นสภาพกายเป็นทิพย์นั้นมิไช่เรื่องแปลกการทำสมาธิเพื่อมุ่งหวังยากเพื่อจะให้บรรลุผลที่เราเห็นนั้นเป็นเพียงระดับหนึ่งของการทำสามธิเท่านั้นหมั่นฝึกต่อไปเถิดแล้วทุกอย่างจะมองเห็นด้วยตัวคุณเองเช่นดังพุทธสุภาษิต อัตตาหิ อัตตาโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
     
  9. พฤติจิต

    พฤติจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +230
    สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ ครับ
    ขอให้เจริญพระกรรมฐานต่อไปอย่าหยุดยั้ง อย่าหวังอย่ากังวล อย่าตั้งเป้าจนเกินไป เอา จิต มาดูจิต ให้บ่อย ๆ เมื่อเห้นนิมิตก็ สักแต่ว่าเห็น อะไรเห็นหละ จิต เห็น ....อ้อ เห็นนะ นี่แหละนะ นิมิตก็เป็น สมมติ.....ใจเราหรือจิตเราที่เห็นนี่ซิของปรมัตถ์ เห็นก็จงสักแต่ว่าเห็น เอาจิตมาไว้กับจิตโดยใช้สติเป้นเครื่องมือกำกับ แล้วก็จะรู้เอง หละน้าว่านิมิตที่เห็นเป็น จริง(ปรมัตถ์---รวมถึงพระนิพพานด้วย)หรือเป็น สิ่งสมมติ ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัตตังทั้งสิ้น ผู้รู้แล้ว เห็นแล้ว ย่อมรู้ว่า อันนั้นหนะ ของจริงหรอของสมมติ อะไรสุข อะไรทุกขื อะไรไม่สุขไม่ทุกข์ อะไรเป็นบรมสุข
    หมายเหตุ: ที่ได้เขียนลงตอบกระทู้นี้นั้นมิได้เห็นเองรุ้เองด้วย ปัญญาวิมุตติ แต่ รู้จักสัญญา ที่เคยเห็น เคยจำและบรรทึกไว้ในใจเท่านั้นนะครับ อย่าถือเอาเป็นแก่นเป็นสารไม่ได้ อย่างที่คุณพี่ปุถุชนพูด "ยิ่งตอบมากยิ่งผิดมาก....ดังนั้นกระผมขอตอบเท่านี้ดีกว่า.....ขอบพระคถณและอนุโมธนาทุกๆท่านครับ"
    ผู้รู้น้อย
     
  10. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,802
    ค่าพลัง:
    +18,984
    ... ที่จริงตอนฝัน ผมมองเห็นภาพอนาคตหลายอย่าง หลายทีมาก....บางทีก็เป็นเหตุการณ์ลวงหน้าห้าปีเลยก็มี ตอนฝัน ก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่พอจิตนิ่งๆ แล้วค่อยๆนึก มันจะเข้าใจเองว่า... คงเป็นเหตุการณ์อย่างนั้นๆ ..แต่ก็ยังไม่เข้าใจหมด...
     
  11. พฤติจิต

    พฤติจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +230
    สำหรับน้อง KomAn นะครับ
    สำหรับการ ฝัน หรือ มีความรู้สึก ว่าเหตุการณืใดๆนั้นเคยเกิดขึ้น มา ทางการแพทย์ เรียก de javu นะครับแต่ก็มีคำถามต่อไปว่า จริงหรือไม่ว่า de javu นั้นเป็นปรากฏการณ์ทางสมองครับผม
     
  12. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,802
    ค่าพลัง:
    +18,984
    ผมก็สงสัยเหมือนกันครับ.....

    .... มีคนเคยตอบปัญหานี้ให้ผมด้วย

    >>>>>

    2. เคยนอนฝัน แล้วก็จำฝันได้ไม่ชัด... แต่พอ มาเจอเหตุการณ์ในหลายๆวันต่อมา รู้สึกว่า .. ตัวเองเคยเจอภาพนี้แล้วในฝัน .... อย่างนี้ ทางจิตวิทยาก็กล่าวว่าเป็น อาการอย่างหนึ่งของ โรคจิต........ แต่ผมจะขอถามว่า อ.ไก่ว่า มันเป็นอีหยังกันแน่ครับ .... มีส่วนของสมาธิ ผลสมาธิหรือเปล่า??..สำหรับตัวผมเอง ..(ผมเคยคุยเรื่องนี้กับหลายคน เขาก็บอกว่าเขาก็เป็นเหมือนกัน )

    .../..วิชชาจิตวิทยานั้น เกิดขึ้นหลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระพุทธเจ้าได้กล่าวถึงญาณทั้งแปดอย่างซี่งเป็นผลของการปฏิบัติไว้นานแล้ว จิตวิทยามีขอบเขตที่แคบ และอธิบายได้แคบกว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่มีความมุ่งเน้นที่การถือตัวถือตนเหมือนกัน (สักกายะทิฐิ) อาการที่คุณเป็นนั้นอยู่ในญาณแปดอย่างเรียกว่า อนาคตังสญาณแต่เป็นด้วยเหตุของกุศลเก่าส่งผลในด้านทิพยจุกขุญาณและเกี่ยวกับเทวดา พรหม ที่เป็นองค์คุ้มครองตัวคุณอยู่ จึงเรียกฝันนั้นว่าเป็นเทพสังหรณ์นั้นเอง จะเชื่อจิตวิทยาดีหรือจะเชื่อพระพุทธเจ้าก็ตามใจก็แล้วกัน
     
  13. พฤติจิต

    พฤติจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +230
    คืองี้นะครับน้องผมขออนุญาตตอบตามความเห็นนะครับอย่าเอาเป็นหลักเป็นฐานมากนะครับเพราะพี่ก็ปุถุชนคนเดินดินกิน อาหาร อตุ กรรม จิต เป็น ปัจจัยเลี้ยงขันธ์ 5อยู่ธรรมดาๆๆดังนั้นอย่าเอาไรมากนักแต่เท่าที่รู้มานะครับ
    การได้อนาคตังสญาณนั้นไม่ใช่ได้กันง่ายๆนะครับ เป็นเรื่องในหมวด ของ วิชชาแต่ที่น้องฝันนั้นหนะ......เค้า(อาจจะ)เรียกว่าภวังคจิตดังนี้
    เมื่อมุนษย์หลับสนิท จิตจะจมลงสู่ภวังค์ (Trance) หรือที่เรียกว่า "ก้นบึ้งของหัวใจ" มีลักษณะเกิดดับกันอย่างต่อเนื่องเสมือนน้ำที่ไหลอยู่เรื่อยๆไม่รับรู้อารมณ์เรื่องราวใดๆทั้งสิ้น ตามคำที่กล่าวกันว่า "หลับเป็นตาย" จิตที่อยู่ในลักษณะนี้ พระพุทธองค์ได้ทรงสมมุติบัญญัตินามซึ่งแปลเป็นไทยไว้ว่า "ภวังคจิต
    ตลอดเวลาที่เราหลับสนิท จิตจะอยู่ในสภาพนี้ไปโดยตลอดจนกว่าจะเกิดการรับรู้สิ่งที่ผ่านเข้ามาทางปัญจทวาร หรือประตูทั้งห้าของรูป คือ ตา (ทำให้เกิดการรับรู้รูปภาพที่เห็นโดยการสะท้อนของแสงผ่านประสาทตา) ลิ้น (ทำให้เกิดการรับรู้รสเปรี้ยวหวานมันเค็มผ่านประสาทลิ้น) กลิ่น (ทำให้เกิดการรับรู้กลิ่นหอมเหม็นผ่านประสาทจมูก) เสียง (ทำให้เกิดการรับรู้เสียงที่ไพเราะ เสียงรบกวนที่ได้ยินผ่านประสาทหู) และสัมผัส (การรับรู้ว่ามีสิ่งมากระทบอวัยวะต่างๆทั้งภายใน และภายนอกร่างกายผ่านระบบประสาทที่เชื่อมต่อระหว่างสมองกับอวัยวะเหล่านี้) กับสิ่งที่ผ่านเข้ามาทางมโนทวารอีกหนึ่งประตู คือ การที่ใจครุ่นคิดเกิดความรับรู้เรื่องราวต่างๆ ทั้งที่ลืมตา และหลับตา ประการหลังนี้เรียกว่า "ธรรมารมณ์" การรับรู้ว่ามีสิ่งผ่านทวารต่างๆ เข้ามาทั้งสิ้นที่ได้กล่าวไปแล้ว พระพุทธองค์ได้ทรงสมมุตินามบัญญัติซึ่งแปลเป็นไทยไว้ว่า "วิถีจิต"
    เมื่อภวังคจิตได้ถูกวิถีจิตข้างต้นอย่างหนึ่งอย่างใด หรือหลายอย่างเข้ามากระทบ เช่น เมื่อเรากำลังหลับสนิท ได้มีผู้มาเขย่าร่างกายปลุกให้ตื่น เกิดมีเสียงต่างๆ ผ่านหูเข้ามาให้ได้ยิน หรือมียุงกัด จิตจะหลุดจากภวังค์ขึ้นสู่วิถีทันที แต่ในชั้นต้นๆ เราจะอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น ในช่วงเวลานี้ จิตที่หลุดจากภวังค์จะเริ่มเสาะหาก่อนว่า วิถีจิต หรือสิ่งที่เข้ามากระทบนั้นเป็นอะไร กลิ่น เสียง หรือ การสัมผัสทางกาย? เมื่อจิตรับรู้แล้ว จึงเริ่มพิจารณาเรื่องราวสร้างเป็นอารมณ์ยินดีพอใจมีความสุข หรือไม่ยินดีไม่พอใจมีความทุกข์ เกิดความเกลียด ความกลัวขยะแขยงไม่พอใจเป็นความทุกข์ เกิดการตื่นตระหนกตกใจ ในลักษณะจิตเกิดดับเป็นช่วงๆแต่ต่อเนื่องอยู่อีกระยะหนึ่ง ที่เรียกว่า "เสวยอารมณ์ หรือ ชวนจิต (อ่านว่า ชะวะนะจิต)"
    เมื่อจิตเริ่มหลุดออกจากภวังค์ กลไกของอวัยวะภายในร่างกาย คือ สมอง ระบบประสาท และต่อมไร้ท่อ จะเริ่มทำงานควบคู่กันไปด้วย พร้อมที่จะพิจารณา ทบทวนความจำ ปรุงแต่งและเสวยอารมณ์ต่างๆ ในลักษณะชวนจิต ภายในช่วงเวลานี้เอง หากเจ้าตัวยังนอนหลับอยู่จะทำให้เกิดความฝันขึ้น เรื่องราวของความฝันจะขึ้นอยู่กับความนึกคิดจดจำของสมองที่ผ่านเข้ามาทางมโนทวาร และจิตได้เสาะหาพบในลำดับแรกหลังจากจิตหลุดจากภวังค์แล้ว ความจดจำในเรื่องราวที่เพิ่งจะผ่านเข้ามาในช่วงวันเวลาก่อนหน้าที่จะเข้านอน และหรือเรื่องราวที่ผู้ฝันมีใจผูกพันให้ความสนใจเป็นพิเศษจึงอาจถูกปะติดปะต่อให้เป็นเรื่องราวในฝันขึ้นก็ได้ อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี วิถีจิตอาจเกิดจากการทำงานของอวัยวะบางส่วนเช่น ระบบการขับถ่ายปัสสาวะ อุจจาระ โดยเฉพาะเมื่อตอนใกล้รุ่ง ถ้าเจ้าตัวยังไม่เต็มใจอยากจะตื่น จิตที่หลุดจากภวังค์และเสาะหาวิถีพบ ก็จะปะติดปะต่อเป็นเรื่องราวให้เกิดความฝันที่เรียกว่า "ฝันใกล้รุ่ง" ได้เช่นกัน เช่น ฝันว่า กำลังท่องเที่ยวเดินทางแล้วเกิดปวดปัสสาวะ ไม่สามารถหาห้องน้ำได้ หาเท่าไรก็ไม่พบ จนกระทั่ง ระบบการทำงานของกระเพาะปัสสาวะส่งสัญญาณไปยังศูนย์ควบคุมการทำงานในสมองว่า ไม่ยินยอมที่จะให้อดกลั้นต่อไปแล้ว เจ้าตัวจึงตกใจตื่น ดังนี้เป็นต้น

    การอธิบายความข้างต้นโดยใช้วิธีอุปมาก็คือ ภวังคจิตเปรียบเสมือนกับจระเข้ที่กบดานอย่างสงบอยู่ใต้น้ำ หากกระแสน้ำในบริเวณที่กบดานนั้นไหลเป็นปกติ จระเข้ก็จะกบดานอย่างสงบอยู่เรื่อยๆ จนกว่าจะมีมนุษย์ หรือสัตว์ สัญจรผ่านไปมาทำให้กระแสน้ำกระเพื่อมเคลื่อนไหว จระเข้ก็จะเลิกกบดาน ลอยตัวขึ้นมาเสาะหาสิ่งที่เข้ามารบกวนว่าเป็นอะไร ถ้าเป็นสิ่งที่มันทราบโดยสัญชาติญาณว่าเป็นศัตรูที่กำลังจะมาล่าชีวิต มันจะตระหนกตกใจมุดน้ำดำหนีทันที หากเห็นว่า สิ่งนั้นเป็นเหยื่อที่มันขบเคี้ยวกินเป็นอาหาร มันจะปรี่ทะยานเข้าหาล่าเหยื่อโดยมิชักช้า หรือในกรณีที่ในระหว่างกบดาน จระเข้เกิดความหิวกระหายขึ้นมาอันเนื่องมาจากการกระตุ้นของระบบการทำงานของอวัยวะภายใน จระเข้ก็จะเลิกกบดาน ลอยตัวขึ้นมาเสาะหาเหยื่อที่มันต้องการได้เสพบริโภคเพื่อบรรเทาความหิวกระหายตามธรรมชาติเช่นกัน

    การตอบปัญหาโดยวิธีอุปมานี้ ในบางครั้งไม่สามารถทำความกระจ่างชัดให้แก่ผู้ถามได้ในครั้งเดียว ผู้ตอบจึงจำเป็นต้องใช้วิธีอุปมาในเรื่องอื่นๆ ขึ้นมาใหม่ การทูลตอบปัญหาของพระนาคเสนเถระต่อพระเจ้ามิลินท์ ก็เช่นเดียวกัน ได้ปรากฏในหนังสือ "มิลินทปัญหา" อยู่หลายเรื่องที่พระนาคเสนเถระต้องทูลตอบปัญหาพระเจ้ามิลินท์โดยวิธีอุปมามากกว่าหนึ่งครั้ง
     
  14. witt

    witt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2004
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +551
    เหมือน ลอยอยู่บนอากาศ เหมือนลืมตา แต่จิงจิงแล้วหลับ ตามองทะลุลงไปชั้นล่างได้ บางทีเหมือนลืมตา แต่จิงจิงไม่ได้ลืมดา
     

แชร์หน้านี้

Loading...