เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 18 ตุลาคม 2024 at 20:40.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,031
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,490
    ค่าพลัง:
    +26,321
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๗

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,031
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,490
    ค่าพลัง:
    +26,321
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ เป็นวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ วันแรกของกาลกฐิน กาลตัวนี้คือกาละ คือเวลา ไม่ใช่ กราน ที่แปลว่า วางลงไป ทอดลงไป

    จากที่พวกเราทำงานกันมาก็จะเห็นว่ามีปัญหาให้แก้ไขอยู่โดยตลอด แต่ปีนี้ดีที่ว่าโรงทานทั้ง ๔๒ โรงหมดเกลี้ยงพอดิบพอดี คราวที่แล้วงานบวงสรวงไหว้ครูและเป่ายันต์เกราะเพชร ญาติโยมเห็นคนเป็นหมื่น ก็เลยตั้งใจขนอาหารมาทำโรงทานกันอย่างเต็มที่ แต่เนื่องจากว่าฝนตกและคนแน่นไปทั้งศาลา ระบายไม่ออก กระผม/อาตมภาพต้องขออนุญาตพระท่านเป่ายันต์รอบพิเศษให้กับทุกคนตอนประมาณ ๘ โมงเช้า เมื่อรับยันต์แล้ว คนจำนวน ๔ - ๕ พันคนก็ไหลกลับบ้านเลย กลายเป็นว่าโรงทานขนอาหารมาแล้วต้องขนกลับบ้านเหมือนกัน เพราะว่าคนกินหายไปเกือบครึ่ง..!

    ในช่วงที่เข้ากรรมฐาน ๓ วัน จะว่า ๓ วันก็ไม่ใช่ เพราะ ๓ วันนั้นเท่ากับ ๗๒ ชั่วโมง งวดนี้กระผม/อาตมภาพลองกำลังตัวเองดู ว่าไปสัก ๙๐ ชั่วโมง ยังพอได้อยู่ แต่ว่าวันแรกจริง ๆ ก็คือวันอังคารที่ ๑๕ มีผู้หวังดีส่งสารพัดข้าวของมาให้ ก็ต้องบอกว่าผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก เราก็เลยต้องแผ่เมตตาให้เขาไป มาวันสุดท้ายช่วงประมาณ ๔ ทุ่มครึ่งก็ยังมีมาอีกกระเซ็นกระสาย เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องแปลกที่ว่า เราไม่คิดร้ายกับคนอื่น แต่คนอื่นอยากจะทดสอบว่าความสามารถของเขามีเท่าไร ก็มักจะจะมาทดสอบกับบุคคลที่มีชื่อเสียง

    แต่ว่ามีอยู่รายหนึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์สายใต้ เจอหน้ากันเมื่อไร ท่านจะต้องใส่กระผม/อาตมภาพก่อน ตอนแรกก็ว่า "เรื่องอะไรกันวะ ?" เพิ่งจะมาเข้าใจเมื่อครั้งล่าสุดที่พบกันนี่เอง เพราะว่าของท่านเป็นไสยศาสตร์แท้ มาจากสายเขาอ้อ ในเมื่อไสยศาสตร์แท้เจอพุทธศาสตร์เข้าก็เป็นอันว่าบรรลัย..! กระผม/อาตมภาพเข้าใกล้เมื่อไร ท่านก็หมดพลัง เหมือนกับวิชาเสื่อมทุกครั้ง ท่านก็เลยเห็นว่ากระผม/อาตมภาพเป็นต้นเหตุ ท่านจึงเอาคืน..!

    กระผม/อาตมภาพเองก็ตามปกติ เจอเพื่อนพระเกจิอาจารย์ด้วยกันก็เข้าไปกราบทักทายพูดคุยด้วย เข้าใกล้ทีไร ท่านก็เรียบร้อยทุกที ต่อไปต้องระมัดระวังนั่งห่าง ๆ หรือไม่ก็ต้องลดขนาดภาพพระของเราลง เอาไว้อยู่ในอกเท่านั้นพอ เพราะถ้าหากว่าแผ่ออกไปกระทบท่าน เดี๋ยวท่านเดือดร้อนอีก เพราะว่าท่านจะหมดสภาพ เพลียไป ๒ - ๓ วันทุกครั้ง ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ได้เจตนา แต่สร้างศัตรูได้เหมือนกัน..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,031
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,490
    ค่าพลัง:
    +26,321
    คราวนี้มีเรื่องสำคัญที่พระท่านฝากบอกมา คือว่าให้พวกเราทุกคนตั้งหน้าตั้งตาแผ่เมตตา แบบที่กระผม/อาตมภาพสอนให้ทำอยู่ทุกครั้งที่ปฏิบัติธรรม ถ้ากำลังใครไม่มากก็เอาเฉพาะจังหวัดก็ได้ แต่กระผม/อาตมภาพอยากจะให้ได้ทั้งประเทศ ถ้าพวกเราไม่สามารถจะแผ่เมตตาครอบคลุมได้ทั้งโลก เพราะมันเกินกำลัง ก็เอาแค่ประเทศไทยของเรา ขอให้ปลอดภัยจากศึกสงครามที่เขาตีรันฟันแทงกันอยู่ ให้ช่วยกันทำหน่อย อย่างน้อย ๆ ก็ดับร้อนผ่อนเย็นให้กับประเทศชาติของเราได้บ้าง

    ปีหน้าท่านสั่งให้เป่ายันต์เกราะเพชร ๒ ครั้ง ยังไม่รู้เลยว่ามีวันเสาร์ ๕ วันไหนบ้าง เดี๋ยวต้องไปเปิดปฏิทินดู ก็น่าจะเป็นเพราะว่าสถานการณ์ของโลกนั้นร้อน และประเทศชาติของเราก็ร้อน

    ความร้อนต้องบอกว่าเกิดจากความหยาบของกำลังใจของพวกเรา ท่านทั้งหลายจะสังเกตว่าปัจจุบันนี้ แม้แต่เรื่องของการแสดงธรรม ถ้าหยาบ ๆ คาย ๆ กลับมีคนเข้าไปฟังกันมาก ก็เลยแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ากำลังใจของคนปัจจุบันนี้หยาบมาก..!

    แล้วก็อยู่ในลักษณะที่กระผม/อาตมภาพบอกว่าเป็น "สังคมแห่งการส่อเสียด" ก็คือปั่นเอาเรื่องของคนนี้ไปชนกับคนโน้น เอาเรื่องของคนโน้นมาชนกับคนนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีกองเชียร์ ก็เฮกันเข้าไป เจ้าของคลิปก็กวาดยอดไลค์ ทำเงินให้กับตัวเองไป เพราะว่า ๑,๐๐๐ วิว ก็คือ ๕ ดอลลาร์ เท่าที่ดู ๆ คลิปหนึ่งคนเข้าไปดู ๗ - ๘ หมื่นคน ลองคิดดูว่าแต่ละคลิปที่เขาออกมานั่นเขาได้เงินไปเท่าไร ? ส่วนพวกเราก็โง่ เพราะไปเชื่อไอ้ตัวหนังสือ "ตกควาย" ที่เขาพาดหัวไว้ ก็คือเขาตั้งใจพาดหัวเพื่อให้เราแห่กันเข้าไป แล้วพวกเราก็ไม่ฉลาดพอ

    ในเมื่ออยู่ในลักษณะอย่างนั้นเราต้องมีสติ อะไรที่ทำให้ กาย วาจา ใจ ของเราถอยลงก็อย่าไปทำ แบบเดียวกับที่ไอ้ตัวเล็กของเว็บวัดท่าขนุน เขาบอกพวกเราในเฟซบุ๊กว่า "ปล่อยให้ชะตาอริเป็นมรณะของหลวงพ่อทำงานไปเองเถอะ เราอย่าไปยุ่งกับเขาเลย" เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องแปลกที่ว่า ถ้าเรายิ่งไม่ใส่ใจ สิ่งที่เขาทำมาหรือว่าพูดมา ก็จะย้อนกลับไปหาเขาเอง

    แบบเดียวกับพระพระพุทธเจ้าตรัสกับอักโกสกพราหมณ์ว่า "พราหมณะ..ดูก่อนพราหมณ์ ญาติสาโลหิตพี่น้อง หรือมิตรสหายที่รักใคร่สนิทของท่านมีหรือไม่ ?"" พราหมณ์ก็ตอบว่า "ต้องมีสิ" "ถ้าหากว่าญาติสาโลหิตหรือมิตรสหายรักใคร่ของท่านมาถึงเรือนชาน ท่านทำการต้อนรับหรือไม่ ?" พราหมณ์ก็บอกว่า "แน่นอน ข้าพเจ้าย่อมต้องจัดอาสนะ น้ำใช้น้ำฉัน ข้าวปลาอาหารมาต้อนรับ"

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า "แล้วถ้าเขาไม่รับ สิ่งของเหล่านั้นจะเป็นของใคร ?" พราหมณ์ก็ตอบว่า "สิ่งของเหล่านั้นย่อมเป็นของข้าพเจ้าตามเดิม" พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "พราหมณะ..ดูก่อนพราหมณ์ ในเมื่อเรื่องที่ท่านด่ามา ตถาคตไม่รับ สิ่งที่ท่านด่าก็กลับไปเป็นของท่านนั่นแหละ..!" พราหมณ์ได้ยินแล้วได้สติ ก็นั่งกระโหย่งยกมือไหว้ ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,031
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,490
    ค่าพลัง:
    +26,321
    เราต้องเข้าใจว่าบุคคลสมัยโบราณฟังคำคนอื่นแล้วคิด คิดหาประโยชน์จากคำนั้น แต่คนปัจจุบันนี้ฟังคำคนอื่นเพื่อเถียง ในเมื่อเป็นเช่นนั้น โอกาสที่เราจะได้ประโยชน์นี่ไม่มีเลย มีแต่สร้างความร้อนหูร้อนใจให้กับตัวเอง พูดง่าย ๆ ว่าข้าวปลาอาหารที่ยกไปต้อนรับ เขาไม่รับก็อยู่กับตัวเรานั่นแหละ แล้วถ้าหากว่ากองมากขึ้น ๆ ก็บูดอยู่ตรงนั้น เน่าอยู่ตรงนั้นให้เราเดือดร้อนเอง..!

    จิตใจของเราก็หยาบขึ้นทุกวัน โอกาสที่จะชักจูงเราลงสู่อบายภูมิก็มีสูงมาก เพราะฉะนั้น..ให้ถือหลักเอาไว้ แผ่เมตตาไป ใครแช่งใครชังช่างเถิด ใครชูใครเชิดช่างเขา ใครเบื่อใครบ่นทนเอา ใจเราร่มเย็นเป็นพอ หรือไม่พอ ? ปากคันยิบ ๆ ต้องขอคืนสักหน่อย..!

    สิ่งที่เราต้องระมัดระวังที่สุดก็คือกำลังใจของเรา รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นเร็วมาก เกิดขึ้นง่ายมาก เราพยายามฝึกหัดขัดเกลามาเป็นปี ๆ กว่าจะได้มาหน่อยหนึ่ง ตูมเดียวโดนโถมทับเข้ามาอย่างกับคลื่นสึนามิ เราก็มีหน้าที่เก็บกวาดต่อไป คราวนี้ปกติแล้วเราก็น่าจะหลบได้เลี่ยงได้ แต่นี่เราไปดาหน้าเข้าไปหาเอง ก็กลายเป็นว่าเราไปเอาสิ่งสกปรกเข้ามาในใจของเราเอง

    ถามว่าเป็นความโง่หรือความฉลาดที่ไปทำอย่างนั้น ? เรื่องพวกนี้เราปฏิบัติธรรมมา ได้ชื่อว่าเราเจริญในศีล ในสมาธิ ในปัญญา เจริญแล้วสติต้องดีขึ้น แต่สติของเราไม่ดีพอ ปัญญาก็ไม่มี ก็เลยไหลตามกระแสโลกไป ต้องบอกว่าเสียแรงที่ทำมาเนิ่นนาน

    เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ตรัสอย่างชัดเจนว่า อักขาตาโร ตถาคตา แม้ตถาคตเองก็เป็นเพียงผู้บอกเท่านั้น ส่วนทำหรือไม่ทำอยู่ที่เรา ได้หรือไม่ได้อยู่ที่การกระทำของเรา แบบเดียวกับศีล ปาณาติปาตา เวรมณีฯ ขอให้ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ ไม่ได้ห้าม แต่ขอให้เว้น..!

    เรื่องของหลักธรรมก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้าไม่ได้บังคับให้เราทำ ถ้าเราเห็นประโยชน์ เราก็เร่งกอบโกยเอาประโยชน์นั้นไปใช้ ถ้าไม่เห็นประโยชน์ จะกองอยู่ตรงนั้น เพชรอย่างไรก็ยังคงเป็นเพชรอยู่นั่นเอง แต่ตัวเราเองสิเป็นอะไร ? มีน้ำใสสะอาดอยู่ตรงหน้า ให้ชำระล้างตนเองให้สะอาดผ่องใสได้ พบหน้าผู้คนได้ เรากลับไม่เอา ไปกอบโกยเอาขี้โคลนมาโปะใส่ตัวเองอยู่ตลอดเวลา ก็ดูแล้วทุเรศทุรังในสายตาคนอื่นเขา

    สำหรับงานต่าง ๆ ที่ทุกคนช่วยกันทำ ก็ขอขอบคุณและเจริญพรขอบคุณ ทั้งพระภิกษุ แม่ชี ฆราวาส จนป่านนี้ยังก้มหน้าก้มตาทำกันอยู่เลย กระผม/อาตมภาพก็เพิ่งจะแกะทองคำเสร็จเมื่อครู่นี้ ไม่ทราบเหมือนกันว่าไอ้ค่านิยมถวายทองนี่มาจากไหน ถ้าหากว่าเป็น ๑ สลึง ๕๐ สตางค์ ๑ บาท มีเท่าไรก็พอแกะไหว แต่อันนี้แกะออกมา ๒๐ แผ่นได้ ๑ กรัม คือเหมือนกระดาษ ไม่ได้ว่า เพียงแต่ว่าแกะยากมากเลย กาวเหนียวมาก แกะออกมาแล้วยังต้องมาเช็ดทำความสะอาดอีก แล้วต้องเอามาแปะ ซ้อน ๆ ๆ กันเข้าไป ได้กรัมหนึ่งก็บีบติดกันเอาไว้ เผื่อมีโอกาสก็เอาไปหล่อพระให้เขา เนื่องเพราะว่าวัดของตัวเองโอกาสที่จะหล่อพระทองคำอีกก็คงจะน้อยมาก แต่ถ้ายังอยู่ถึงหล่อพระของตัวเองก็จะจัดการให้
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,031
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,490
    ค่าพลัง:
    +26,321
    ญาติโยมหลายต่อหลายท่านก็ทำบุญแบบน่ากลัว เห็นคุณจอย อารมณ์ดีพระเครื่อง มาที ๕ มัด ต่อให้เป็นแบงค์ ๑๐๐ ก็เถอะ ทำบุญทีขนาดนั้น กลับบ้านไปทะเลาะกับผัวหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?

    หรือไม่ก็คณะญาติโยมที่มาจากประเทศลาว ซึ่งปีหน้ากระผม/อาตมภาพต้องไปเป็นประธานในการเปิดวิหารและหล่อพระให้เขา เขาทำพระเหมือนกับวัดท่าขนุน ๓ องค์เหมือนกัน ลอกแบบไปเป๊ะ ๆ เลย แต่หล่อเป็นเนื้อเงิน องค์ละ ๑๕๐ กิโลกรัม อย่าคิดว่าราคาถูกนะ ตอนกระผม/อาตมภาพทำนี่ องค์เนื้อเงิน ๔ ล้านกว่าบาท แล้วตอนนี้เงินขึ้นไปยันไหนแล้วก็ไม่รู้ ? เพราะว่าทองคำเพิ่งจะทำ "นิวไฮ" ไป ยังดีที่ค่าเงินบาทแข็ง ไม่อย่างนั้นแล้วทองบ้านเราน่าจะทะลุไปบาทละ ๖ - ๗ หมื่นบาทแล้ว

    ญาติโยมมาไกล ทำบุญแต่ละทีก็น่าตกใจ ประเภทแบงค์พันหย่อนลงมาทีละมัดอย่างนี้ แม้จะอนุโมทนากับญาติโยมก็จริง แต่ดูแล้วก็ไม่สบายใจ เพราะสมัยก่อนนี่กระผม/อาตมภาพก็ไล่เตลิดเปิดเปิงหมด ไอ้พวกทำบุญเยอะ ๆ บอกว่า "เอากลับไปก่อน ให้ไปนอนคิด ๗ วัน ถ้าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้งานแล้วค่อยมาถวายใหม่"

    เรื่องพวกนี้ท่านต้องเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่เสี่ยงมากถ้าท่านต้องการเงิน เพราะว่าพระสารีบุตรขออนุญาตเศรษฐีว่ามีผู้นิมนต์ซ้อนในวันเดียวกัน ขอรับกิจนิมนต์ด้านโน้นก่อน แล้ววันรุ่งขึ้นค่อยมาบ้านเศรษฐีได้หรือไม่ ? เศรษฐีบอกว่าถ้าพระคุณเจ้ารับประกันให้ผมได้ ๓ เรื่อง ผมจะยอม อันดับแรก ต้องรับประกันว่ากระผมจะต้องไม่ตายก่อนที่จะได้ทำบุญ พระสารีบุตรบอกว่าได้ ระดับนั้นแล้วทิพจักญาณสุดยอด เห็นชัดเจนว่ายังไม่ตายแน่นอน

    ข้อที่สอง พระคุณเจ้าจะต้องประกันว่าทรัพย์สินของกระผมจะต้องทรงตัวอยู่จนกระทั่งได้ทำบุญ พระสารีบุตรบอกว่าได้

    ข้อที่สาม พระคุณเจ้าต้องประกันว่าศรัทธาของกระผมยังต้องเหมือนเดิม พระสารีบุตรบอกว่าข้อนี้ประกันให้ไม่ได้ เพราะว่าเป็นเรื่องของกำลังใจของใครของมัน ศรัทธาอาจจะลดเมื่อไรก็ได้..!

    ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ฟังเอาไว้แล้วก็คิดตามไปด้วยว่า คนที่ทำบุญมาก ๆ เขาอาจจะร่ำรวยก็จริง เรามี ๑๐๐ บาท ทำ ๒๐ บาท นี่ ๒๐ เปอร์เซ็นต์เลยนะ ส่วนเขามีเป็นพันล้าน ทำบุญมาล้านหนึ่ง ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์ไหม ?

    เรื่องของการทำบุญไม่ใช่ทำมาก แต่ให้ทำบ่อย ๆ จนจิตเคยชินกับการสละออก ความตระหนี่ถี่เหนี่ยวลดน้อยลง เราก็สามารถตัดความโลภในจิตในใจ ความตระหนี่ถี่เหนียวในจิตในใจของเราลงไปได้ ไม่ใช่เทมาตูมเข้าให้ แล้วจะช่วยให้เราขึ้นสวรรค์นิพพานอะไรไปเลย ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะว่าเรื่องของการให้ ให้เท่าไรก็ไม่รู้จักเต็ม ความเต็มของการให้นั้นอยู่ที่ใจ เต็มที่เต็มใจเมื่อไรก็จบ

    ไม่ทราบเหมือนกันว่าพูดไปแล้วโยมจะเข้าใจสักแค่ไหน แต่ว่าเลยเวลามามากแล้ว วันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๑๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...