เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 16 กุมภาพันธ์ 2025 at 18:41.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,649
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,641
    ค่าพลัง:
    +26,499
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,649
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,641
    ค่าพลัง:
    +26,499
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๘ อากาศที่โรงแรม "เมืองถ่าน" (Muong Thanh Luxury Vientiane) เขตศรีสัตตนาค แขวงกำแพงนครเวียงจันทน์ อยู่ที่ ๒๒ องศาเซลเซียส

    ช่วงเช้ามืดกระผม/อาตมภาพไม่มีอะไรจะทำ เนื่องเพราะว่าเขานัดให้พบกันที่ห้องอาหารดอกจำปาตอน ๖ โมงครึ่ง เหตุที่กลายเป็นคนตกงานก็เพราะว่าติดหนังสือไปแค่ ๒ เล่ม แล้วกระผม/อาตมภาพก็จะอ่านหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คประมาณ ๒๕๐ - ๓๐๐ หน้า วันละ ๑ เล่ม สมัยหนุ่ม ๆ อ่านวันละ ๔ - ๕ เล่ม มาสมัยนี้แก่แล้ว ยับยั้งชั่งใจได้ดีขึ้น หักห้ามตัวเองไม่ให้อ่านเกินวันละ ๑ เล่ม เพราะว่าราคาหนังสือค่อนข้างที่จะแพง..!

    ไปนึกถึงฝรั่ง อย่างเช่นที่สหรัฐอเมริกา เขาได้ค่าแรงชั่วโมงละ ๘ ดอลลาร์ ซื้อบิ๊กแม็ค ๑ อัน ๙๙ เซ็นต์ โค้กอีก ๑ ขวดก็ประมาณ ๑.๒ ดอลลาร์ กินจนกระทั่งอิ่มแล้ว ก็ยังไม่ถึงครึ่งของค่าแรง ๑ ชั่วโมง สามารถที่จะซื้อหนังสือเล่มละ ๔.๙๙ ดอลลาร์อ่านได้อย่างสบาย..!

    แต่บ้านเราค่าแรงขั้นต่ำวันละ ๓๐๐ บาท หนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คความหนาประมาณ ๒๓๐ หน้า เล่มละ ๒๘๐ บาท ถ้าซื้อหนังสือก็ไม่มีจะกิน..! แล้วแบบนี้จะให้คนไทยอ่านหนังสือมากขึ้นก็คงจะยาก ยกเว้นพวก "หนอนหนังสือ" ที่ขาดไม่ได้อย่างกระผม/อาตมภาพเอง เนื่องเพราะว่าเสพติดไปแล้ว ถ้าวันไหนไม่ได้อ่านก็จะเริ่มออกอาการ "ลงแดง"

    ในเมื่อไม่มีอะไรจะทำ เก็บข้าวของลงกระเป๋าแล้ว จึงลงไปเดินดูดินฟ้าอากาศหน้าโรงแรมตอนตี ๕ กว่า ๆ แต่ขอโทษเถอะ..เดินไปก็น่าจะโดนผีหลอกแน่ ๆ เพราะว่าถนนหน้าโรงแรมไม่มีอะไรเลย นอกจากไฟที่ไกล ๆ จะมี ๑ ดวง ช่วงระหว่างไฟก็มืดตึ๊ดตื๋อ จึงต้องย่องกลับเข้ามาภายในโรงแรมใหม่ แต่ว่าข้าวของที่วางจำหน่ายตรงล็อบบี้ก็มีน้อยจนน่าสงสาร จึงตัดสินใจขึ้นไปที่ชั้น ๓ หน้าภัตตาคารดอกจำปา

    ปรากฏว่าดีเหลือเกิน พ่อคุณแม่คุณเอ๋ย..! เนื่องเพราะว่าบรรดาพ่อครัวแม่ครัวเตรียมข้าวปลาอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพจึงฉันเสียเต็มที่ ทั้ง ๆ ที่เขานัดเอาไว้ตอน ๖ โมงครึ่ง แต่ปรากฏว่าอิ่มเรียบร้อยแล้วยังไม่ทันจะ ๖ โมงเลย จึงกลับขึ้นห้องไปเข้าห้องน้ำแล้วนอนภาวนาจนครบชุด

    ลงมาอีกที พอดีลูกกิฟท์ (นางสาวอันตรา ลักษณะ) กำลังจะลงไปเข้าห้องอาหาร กระผม/อาตมภาพจึงมานั่งรอที่ล็อบบี้ทางด้านล่าง แต่กลายเป็นว่านั่งรอรับเงิน..! เนื่องเพราะว่าญาติโยมทยอยกันมาทำบุญคนละเล็กคนละน้อย กระผม/อาตมภาพเห็นแล้วก็ออกท่างง ๆ อยู่เหมือนกัน เนื่องเพราะว่าตนเองเป็นคนใช้เงินแบบไม่คิดถึงวันอื่น

    เมื่อวานนี้มีเท่าไรก็เทลงไปที่วัดโพธิ์ศรีสว่าง บ้านท่าช้างจนหมดเกลี้ยง แต่ว่าญาติโยมจำเป็นต้องคิด ก็เลยยังมีเงินเก็บเอาไว้ช็อปปิ้ง เก็บเอาไว้ทำบุญ กระผม/อาตมภาพจึงสบายตรงที่ว่า ถึงเวลาก็นั่งรับการทำบุญของญาติโยม แล้วอุทิศส่วนกุศลแทนญาติโยม ไปให้กับท่านทั้งหลายที่ช่วยอนุเคราะห์สงเคราะห์ในระหว่างที่อยู่ใน สปป.ลาวนี้ด้วย
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,649
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,641
    ค่าพลัง:
    +26,499
    ครั้นได้เวลา ๘ โมง รถที่เราเรียกหาเอาไว้ก็มารับตรงเวลา สถานที่แรกที่เราจะไปก็คืออนุสาวรีย์ชัย หรือว่าประตูชัย ชื่อเดิมที่ตั้งแต่สร้างตอนปี ๒๕๐๐ ก็คืออนุสาวรีย์ ซึ่งเป็นคำที่ผิดตามประเทศไทย เพราะว่าคำนี้ที่ถูกก็คือ "อนุสรณีย์" แปลว่า "เครื่องระลึกถึง" มาจากภาษาอังกฤษที่ว่า Monument แต่ว่าคนเขียนเป็นภาษาไทยเขียนหวัดไปหน่อย คนอ่านก็เลยอ่านได้ว่าอนุสาวรีย์ แล้วก็เรียกตาม ๆ กันมาทั้งผิดแบบนั้นจนถึงทุกวันนี้..!

    จนกระทั่งปี ๒๕๑๘ พรรคปฏิวัติคอมมิวนิสต์ หรือว่าพรรคปฏิวัติประชาชนลาว สามารถยึดครองอำนาจได้เบ็ดเสร็จ จากการสร้างประตูชัยเพื่อที่จะเป็นที่ระลึกถึงบรรดาผู้ที่เสียชีวิตในสงครามลาวกับฝรั่งเศส ก็เลยกลายเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะพรรคคอมมิวนิสต์ไปเสียนี่..!

    เมื่อพวกเราไปถึง ปรากฏว่าเขากำลังเปิดเพลง ทำให้น้ำพุเต้นระบำ ครั้งก่อน ๆ ที่มาไม่เคยเจอแบบนี้ พวกเราก็เลยรีบถ่ายรูปกันใหญ่ แล้วก็มียายหนูคนหนึ่งที่อุตส่าห์นั่งรถจากฝั่งไทยข้ามมา เพื่อที่จะได้กราบกระผม/อาตมภาพ เนื่องเพราะว่าถ้านั่งรถจากบ้านตัวเองไปที่วัดท่าขนุน ก็ข้ามวันข้ามคืน แต่นั่งรถจากหนองคายข้ามมา สปป.ลาวนี้ ใช้เวลาแค่ครู่เดียว เมื่อกราบและทำบุญถ่ายรูปเสร็จเรียบร้อย ยายหนูก็ลากลับไปด้วยความเบิกบานใจ

    ทางด้านเติมเต็มทราเวลขอให้กระผม/อาตมภาพช่วยมอบรางวัล ให้กับบุคคลที่สามารถเขียนความประทับใจในการท่องเที่ยวครั้งนี้ออกมา แล้วทีผู้ "กดไลค์" มากที่สุด ตอนแรกใคร ๆ ก็คาดว่า "หลวงพ่อเล็กชนะแน่นอน" แต่ปรากฏว่าทริปนี้ เรามีบุคคลผู้ที่เป็นยูทูบเบอร์ชื่อดัง ก็คือท่านผู้กองเบนซ์ (ร.ต.อ. สี่ทิศ อ่ำถนอม) หรือที่เรียกกันว่า "กัปตันเบนซ์" ซึ่งท่านเดินทางมาด้วย

    ด้วยความที่ท่านเขียนด้วยความประทับใจอย่างหนึ่ง และมีแฟนคลับมากอีกอย่างหนึ่ง ก็เลยกลายเป็นว่าอาตมภาพไม่สามารถที่จะสู้ผู้กองเบนซ์ได้ กลายเป็นอาตมภาพเป็นประธานในการมอบรางวัลล่องเรือเจ้าพระยาให้กับผู้กองเบนซ์ จากความปรารถนาดีของเติมเต็มทราเวล ซึ่งถ้ากระผม/อาตมภาพได้รับรางวัลเอง ก็ไม่มีปัญญาที่จะไปเหมือนกัน เพราะว่าการล่องเจ้าพระยาส่วนใหญ่ก็คือเป็นการล่องเรือเพื่อรับประทานอาหารค่ำ..! แล้วก็ชมวิวสองฝั่งเจ้าพระยา

    จากตรงจุดนั้น กระผม/อาตมภาพต้องย้ายไปขึ้นรถบัสคันที่ ๒ เพื่อทำความสนิทสนมรู้จักกับบรรดาผู้ที่มาในบัส ๒ ซึ่งต้องบอกว่าเป็นคนที่จองทัวร์ช้า ถ้าหากว่าจองเร็วก็จะได้อยู่บัส ๑ ที่กระผม/อาตมภาพอยู่ประจำ

    เมื่อไปเล่าว่าเราจะต้องไปยังตลาดเช้าเวียงจันทน์ ซึ่งถ้าไปเช้าจริง ๆ ก็ไม่เจอตลาด เพราะว่าเขาเปิดตั้งแต่ ๘ โมงครึ่งเป็นต้นไป ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ใครที่จะไปซื้อข้าวซื้อของ ถ้าไม่มาจากเมืองจีนก็มาจากเมืองไทย ใครอยากจะซื้อของไทยแพงกว่าเมืองไทย ก็ให้รีบซื้อไปได้เลย..!

    กำลังบรรยายเรื่องเกี่ยวกับประเทศลาว - ประเทศไทย ความสัมพันธ์บ้านพี่เมืองน้อง ที่ทางรัฐบาลคอมมิวนิสต์ของลาวพยายามปลุกปั่นให้คนลาวเกลียดชังคนไทย เพื่อที่จะได้มีเป้าหมายในการเป็นศัตรู ไม่ต้องหันไปเป็นศัตรูกับรัฐบาลของตนเอง
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,649
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,641
    ค่าพลัง:
    +26,499
    ขณะเดียวกัน บรรดาคนลาวทั้งหลายซึ่งมีความทันสมัย สามารถที่จะรับข่าวคราวจากโลกภายนอกได้ ก็รู้ว่ารัฐบาลของตนเองนั้นปิดหูปิดตาชาวบ้านอย่างไรบ้าง จึงทำให้คนลาวหัวเก่า ๆ ยังคงเกลียดชังคนไทย ขณะที่คนรุ่นใหม่ ๆ รู้ว่าทุกวันนี้ ถ้าไม่มีจีนแล้ว ลาวต้องพึ่งไทยเกือบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์..!

    ขณะเดียวกัน ภาษาพูด ข้าวปลาอาหาร วัฒนธรรม ก็ไม่ได้ต่างจากภาคอีสานของเราเลย คนรุ่นใหม่จึงรักคนไทย ขณะที่คนรุ่นเก่ายังคงเกลียดชังตามที่รัฐบาลปลุกปั่นจน "ฝังหัว" อยู่ คงต้องผ่านไปอีกสักสองชั่วคน กว่าที่ลาว - ไทยจะกลับมาสนิทสนมกันเหมือนเดิม

    เมื่อพวกเราไปถึงก็นัดแนะกันว่า ๑๑ โมงครึ่งให้มารอขึ้นรถที่หน้าตลาดเช้า อาหารกลางวันให้หากินกันตามอัธยาศัย ถ้าใครไม่กินก็ให้รอแหนมเนืองจากทางคณะเติมเต็มทราเวลที่จะมอบให้กับทุกคน กระผม/อาตมภาพเรียกผิดต้องขออภัย ความจริงเขาน่าจะเรียกว่าเรียกขนมปังยัดไส้ ด้วยความที่กินแต่อาหารเวียดนาม ก็คือเฝอกับแหนมเนืองเท่านั้น ก็เลยติดปากเรียกแหนมเนืองไปเสียนี่

    เมื่อเดินเข้าไปภายใน ปรากฏว่าสินค้าก็อปปี้ระดับเกรด A จากประเทศจีนเต็มไปหมด โดยเฉพาะบรรดา "ชาแนว" "กุฎิชี" หรือว่า "ลุยติ๊งต๊อง" เหล่านั้นเป็นต้น กระผม/อาตมภาพเองไปหยิบ ๆ จับ ๆ กระเป๋าสตางค์ยี่ห้อลุยติงต๊องขึ้นมา เจ้าของร้านบอกว่า ๘๕๐ บาท กระผม/อาตมภาพบอกว่า "บ่" ก็คือไม่เอา ทางเจ้าของร้านพยายามที่จะลดลงมาให้ ลดเท่าไร อาตมาก็
    "บ่" อย่างเดียว ไม่เป็นหนองไม่เป็นบึงเสียที..!

    ท้ายที่สุดเขาก็บอกว่าต่ำสุด ๕๐๐ บาท กระผม/อาตมภาพก็ยังคง
    "บ่" ต่อไป อีกฝ่ายหนึ่งถึงได้ถามว่าอาตมาจะให้เท่าไร บอกไปว่าเต็มที่ ๓๐๐ บาท เขาบอกว่าไม่ได้ เพราะว่าตราหลุยส์วิตตองอย่างเดียวเท่านั้นก็แพงกว่าแล้ว อาตมภาพบอกว่าถ้าหลุยส์ วิตตองไม่ใช่ ๓๐๐ บาท หากแต่เป็น ๓,๐๐๐ ดอลลาร์เป็นอย่างต่ำ เพราะฉะนั้น..อย่าเสียเวลามาแหกตากัน..!

    บรรดาญาติโยมที่เห็นอยู่ โดยเฉพาะน้องจูน (นางสาวอมรรัตน์ ลาภพิทักษ์พงษ์) ปรี่เข้ามาจะจ่ายเงินให้ อาตมาบอกว่าไม่ต้อง เนื่องเพราะว่าถ้าไม่ได้ ๓๐๐ บาทไม่ซื้อเด็ดขาด ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าของร้านจึงต้องยอมให้ในราคา ๓๐๐ บาท โดยที่พวกเราทุกคนยอมใจไปตาม ๆ กัน เมื่อมีญาติโยมจ่ายเงินแทน เจ้าของร้านก็แทบจะตีอกชกหัวว่า "อาจารย์ทำอย่างนี้ได้อย่างไร ? เงินตัวเองก็ไม่ได้จ่าย แถมยังต่อเสียจนต่ำติดดิน..!"
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,649
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,641
    ค่าพลัง:
    +26,499
    อาตมภาพหันมาบอกว่ากับพวกเราว่า "จำไว้..เวลาซื้อของ อำนาจการซื้ออยู่ในมือเรา เงินในกระเป๋าเรา ถ้าไม่จ่ายออกไปอย่างไรก็เป็นเงินของเรา เพราะฉะนั้น..เราเต็มใจจ่ายในราคาเท่าไรก็ต้องเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็จงอย่าไปทำท่าอยากได้ ต่อราคาแบบเททิ้งเทขว้างไปเลย ถ้าเขาให้เราก็เอา ถ้าเขาไม่ให้เราก็ไม่เอา" แล้วคนอื่นก็เพียรพยายามที่จะไปต่อแบบกระผม/อาตมภาพ แต่ไม่สำเร็จ บุคคลที่ฝีมือเลิศล้ำที่สุดได้ไปที่ ๔๐๐ บาท ส่วนใหญ่ก็อยู่ที่ ๕๐๐ บาทซึ่งเขาลดให้ตั้งแต่แรก

    ส่วนกระผม/อาตมภาพเดินดูน้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) ซื้อกระเป๋าสะพายขึ้นเครื่องบิน ซึ่งเป็นกระเป๋าในลักษณะช็อปปิ้งตลาดสด ก็คือถ้าหากว่าให้เป็นสีรุ้งเสียหน่อยเดียว ก็คือกระเป๋าที่เขาลาก ๆ กันอยู่แถวโบ๊เบ๊นั่นเอง..! แต่ว่าน้องเล็กต้องการที่จะเอาไว้ใช้ตอนขึ้นเครื่อง ถึงเวลาจะได้ใส่ข้าวของสำคัญหิ้วขึ้นไป ส่วนกระเป๋าที่ฝากเข้าท้องเครื่อง จะได้ไม่มีของสำคัญให้คนขโมย

    เมื่อได้มาแล้ว พวกเราก็ไปนั่งรอกันที่ร้านกาแฟ ซึ่งผู้กองเบนซ์กับคณะมานั่งกินกาแฟกันอยู่แล้ว เมื่อเห็นกระผม/อาตมภาพส่งงานทางไลน์เสร็จ ก็มาถามวิธีในการที่จะภาวนาพระคาถาเงินล้านให้เกิดผล เนื่องเพราะว่าตัวเองภาวนาตอนก่อนนอน ๑ ชั่วโมง รู้สึกว่าค่อนข้างเครียดและต้องเร่งรัดตัวเองให้ครบ ๑๐๘ จบ จึงได้บอกไปว่า "การที่เราไปภาวนาตอนค่ำอย่างหนึ่ง การที่เรามีเวลาจำกัด ต้องเร่งรัดตัวเองอย่างหนึ่ง ทำให้เราต้องเครียดกับการภาวนา ต่อไปให้เปลี่ยนเป็นภาวนาเช้า ๓๖ จบ กลางวัน ๓๖ จบ ตอนเย็น ๓๖ จบ หรือถ้าเป็นไปได้ตอนช่วงเช้าว่าให้ครบ ๑๐๘ จบไปเลยก็ได้...

    ส่วนตอนค่ำนอนลงไป ให้คิดว่า "ร่างกายเราเหยียดยาวลงไปแล้วก็เหมือนกับคนตาย ถ้าไม่ได้ตื่นขึ้นมาเห็นตะวันขึ้นก็ช่างมันเถอะ เราขอไปพระนิพพาน แล้วภาวนาเกาะภาพพระให้หลับไป" เพราะว่าเราทำงานมาทั้งวัน ร่างกายเพลียแล้ว จะไปบังคับให้นั่งสมาธิกันเป็นชั่วโมงนั้นไม่เข้าที แล้วถ้าหากว่าจิตเริ่มมีปีติขึ้นมา ก็เป็นอันว่าเวรกรรมของท่าน เพราะว่ามักจะสว่างโพลง แล้วเราก็รู้สึกว่าไม่ได้นอนทั้งคืน..!
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,649
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,641
    ค่าพลัง:
    +26,499
    เมื่อเห็นว่าใกล้เวลาเพล กระผม/อาตมภาพก็ขอตัว นางปูมานั่งรออยู่ทางด้านล่าง พากระผม/อาตมภาพเดินข้ามถนนด้านข้างตลาดเช้า ออกไปอีกฝั่งหนึ่งซึ่งมีบรรดาร้านจำหน่ายเครื่องไฟฟ้าอยู่มากมาย ลัดเลาะร้านไปก็กลายเป็นร้านขายอาหาร สั่ง "เฝอ" ชามมหึมามาให้

    กระผม/อาตมภาพรับแล้วก็ยังเห็นว่ามีการเตรียมผลไม้เอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นสตอว์เบอรรี่ หรือว่าส้มที่แกะแล้วเรียงกลีบอย่างดี แถมมีการแซวกันด้วยว่า "เพิ่งจกปลาร้ามาถึงได้แกะส้มถวาย" ส่วนบิ๊กก๊อด ช่องเม็ก อุตส่าห์ไปเอาหมูทุบที่ว่าอร่อยที่สุดมาให้ แต่กระผม/อาตมภาพไม่ค่อยสนใจ หากแต่ว่ากวาดผักสองจานที่เอาไว้กินแกล้มเฝอลงไป พร้อมกับเฝอชามใหญ่เกือบเท่ากาละมัง ก็หมดปัญญาที่จะฉันอะไรอีกแล้ว..!

    ออกมาภายนอกเพื่อนั่งรอรถได้ไม่กี่นาที น้องปูเป้หรือนางปูเป้ก็หอบเอาขนมปังยัดไส้แบบของเวียดนามมาถุงเบ้อเร่อ เพื่อที่จะมอบให้กับลูกทัวร์ทั้ง ๖๒ คน พอถามว่า "ปูเป้เลี้ยงหรือ ?" ลูกกิฟท์บอกว่า "ไม่ใช่ค่ะ ราคาเป็นล้านแบบนี้ ปูเป้เลี้ยงไม่ไหว ?" อีกฝ่ายหนึ่งรีบจองว่า "งวดหน้าขอไปกับหลวงตาอีก" กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ถอนใจ
    อีหนูไว้ใจคนง่ายจนเกินไป ถ้าหากว่าคนที่เขาคิดไม่ดีหลอกไปขายก็ยังไม่รู้ตัว คงจะเป็นเพราะว่าตนเองมีแต่คิดดู พูดดี ทำดี ก็เลยคิดว่าคนอื่นเขาดีด้วย

    เมื่อรับการทำบุญจากทางปูเป้แล้ว กระผม/อาตมภาพก็ขอตัวขึ้นรถ ตรงไปยังสนามบินนานาชาติวัดไต บรรดานางไก่ นางปู ก็พยายามที่จะกล่าวถึงสิ่งที่พวกเรามาช่วยเหลือประเทศลาว แล้วขณะเดียวกันก็ทำให้เศรษฐกิจลาวดีขึ้น ทำให้ทั้งสองคนมีงานทำ ได้แต่หวังว่างวดหน้าจะรับบริการจากคณะของพวกเขาอีก

    พอดีไปถึงสนามบิน กระผม/อาตมภาพเดินเข้าไปด้านในรอเวลาเช็คอิน ยังไม่ทันไร น้องปูเป้ก็มายื่นหน้าอยู่ตรงหน้าอีกแล้ว อยากจะเขกหัวเสียทีก็เกรงใจ จึงได้ให้นั่งคุยกับน้องเล็กไปก่อน
    ในลักษณะของการติดคนมากกว่าติดหลักปฏิบัติแบบนี้ โอกาสจะโดนชักจูงให้เสียหายมีมาก จึงต้องให้น้องเล็กวางพื้นฐานกำลังใจให้ก่อน
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,649
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,641
    ค่าพลัง:
    +26,499
    ครั้นได้เวลา เจ้าหน้าที่ของเติมเต็มทราเวลก็นำกระผม/อาตมภาพเข้าไปเช็คอิน อาศัยสิทธิของพระก็เลยได้เช็คอินก่อนคนอื่นเขา แล้วก็ไปเจอท้าวสีจัน สีพันทอง ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สนามบินนานาชาติวัดไต

    กระผม/อาตมภาพเองทั้ง ๆ ที่ผ่านเครื่องเอ็กซเรย์โดยไม่มีเสียงดังอะไรเลย แม้ว่าจะพกพระเครื่องเลี่ยมทองเอาไว้ ๔ องค์ก็ตาม ทางด้านท้าวสีจันก็ยังอุตส่าห์มานำเข้าไปผ่าน ตม. แล้วก็พาไปนั่งยังที่ของพระภิกษุตรงประตูขึ้นเครื่อง ส่วนตนเองก็ไปซื้อน้ำดื่มน้ำปานะมาถวาย แล้วก็เก้ ๆ กัง ๆ ถามว่า "ขออนุญาตถวายเงินด้วยจะได้หรือเปล่า ?" เมื่อกระผม/อาตมภาพบอกว่า "ได้" ก็ควักแบงค์ ๑,๐๐๐ บาทออกมา กระผม/อาตมภาพถึงกับตาโต พ่อเจ้าประคุณทำบุญทีหนึ่งขนาดนี้ คิดเป็นเงินลาว ๖๐๐,๐๐๐ กีบแล้วน่าตกใจมาก อวยชัยให้พรไปแล้วก็นั่งรอจนทุกคนมาถึง

    แต่ว่าเครื่องบินน่าจะเสียเวลาทางด้านกรุงเทพฯ จึงเรียกขึ้นเครื่องช้าไปเกือบ ๔๐ นาที ครั้นได้เวลาเครื่องก็แท็กซี่ออกแล้วก็มุ่งตรงสู่ประเทศไทย เวลา ๑๖.๐๓ น. มาลงที่สนามบินนานาชาติดอนเมืองอย่างปลอดภัย

    กระผม/อาตมภาพกับน้องเล็กไม่มีกระเป๋าที่ฝาก จึงลาจากคณะทั้งหลายแบบไม่ต้องอาลัยอาวรณ์ เรียกแท็กซี่ได้ก็ตรงกลับที่พัก รู้สึกว่าสุขภาพชำรุดได้ที่พอดี เรื่องที่พรุ่งนี้นัดหมอเอาไว้จึงกลายเป็นเรื่องที่ดีเลิศประเสริฐศรีเหลือเกิน..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...