oo(ปิดจอง)สมเด็จศรีจุฬารัตน์ // ต่อไปร่วมลุ้นรางวัลพิเศษ เลื่อนเวลาออกไป

ในห้อง 'แจกฟรี แต่มีค่าส่ง' ตั้งกระทู้โดย HipPo*, 8 มกราคม 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. HipPo*

    HipPo* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    3,101
    ค่าพลัง:
    +7,908
    ด้วยกระผมได้เก็บพระสมเด็จศรีจุฬารัตน์ ที่องค์หลวงปู่ครูบาชัยวงศาฯ
    ได้อธิษฐานจิตไว้จำนวนหนึ่ง และเล็งเห็นถึงกำลังใจของสมาชิก
    หลายๆท่านที่มั่นคงในร่มเงาของบวรพระพุทธศาสนา

    เนื่องมาจากกระผมเองก็มีความเคารพในสายของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
    พระราชพรหมยานเป็นที่สุด และได้ศึกษาอัตชีวประวัติรวมถึงพระธรรมคำสอนของหลวงพ่อพระราชพรหมยานนั้น ตลอดจนได้อ่านหนังสือหลายๆเล่มที่หลวงพ่อได้กล่าวถึงพระสหธรรมิกและ
    พระเถระที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานได้ให้ความเคารพอาทิ เช่น หลวงปู่ครูบาธรรมชัย หลวงปู่คำแสนเล็ก-คำแสนใหญ่ หลวงปู่บุดดา หลวงปู่อินทจักร หลวงปู่ทืม หลวงปู่ครูบาชัยวงศาฯ หลวงพ่อวัดพระพุทธบาทตากผ้า หลวงปู่มหาอำพัน หลวงพ่อสด หลวงปู่ปาน หลวงพ่อสิม หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่แหวน และพระอริยเจ้าอริยสงฆ์อีกมากที่กระผมไม่ได้กล่าวถึง เป็นต้น


    ดังนั้นกระผมอยากจะมอบและแบ่งปันสิ่งอันเป็นมงคลนี้ให้แด่
    ท่านที่เคารพและศรัทธาองค์หลวงปู่ครูบาชัยวงศาฯ
    ที่เป็นหนึ่งในสหธรรมิกของหลวงพ่อพระราชพรหมยานอันเป็นที่เคารพรักของพวกเรา




    ลูกขออ้างเอาคุณพระศรีรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ และมีสมเด็จองค์ปฐมเป็นประธาน พร้อมด้วยพระธรรมและพระอริยสงฆ์ทั้งหมด หากประโยชน์อันใดที่จะพึงเกิดจากการมอบธรรมบรรณาการในครั้งนี้ ขอให้เป็นปัจจัยเพื่อให้ลูกได้เข้าพระนิพพานในชาติปัจจุบัน และขอธรรมที่องค์หลวงปู่หลวงพ่อทุกๆองค์ที่ท่านได้เห็นแจ้งในธรรมนั้นแล้วไซร้ ขอให้ข้าพเจ้าได้บรรลุธรรมนั้นในชาติปัจจุบันนี้เทอญ ขอความคล่องตัว และ ความสุขสวัสดิ์พิพัฒน์มงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแก่ทั้งข้าพเจ้า และ ผู้ที่ได้รับทุกประการ หากแม้นผู้ใดที่มิได้ร่วมในการนี้ หากเพียงอนุโมทนาก็ขอให้ได้รับประโยชน์นั้นเต็มอัตราเหมือนดังที่ข้าพเจ้าพึงได้รับทุกประการเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 มกราคม 2010
  2. HipPo*

    HipPo* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    3,101
    ค่าพลัง:
    +7,908


    ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา วัดพระบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน

    ชาติภูมิ
    นามเดิม วงศ์ หรือชัยวงศ์ นามสกุล ต๊ะแหนม
    เกิดที่ ตำบลหันก้อ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน
    เกิดเมื่อ วันอังคาร เดือน ๗ (เหนือ) แรม ๒ ค่ำ ปีฉลู
    ตรงกับวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๔๕๖ เวลา ๒๔.๑๕ นาฬิกา

    โยมบิดาชื่อ น้อย จันต๊ะ (ถึงแก่กรรม เมื่ออายุ ๔๔ ปี)
    โยมมารดาชื่อ บัวแก้ว (ถึงแก่กรรม เมื่ออายุ ๗๘ ปี)
    จำนวนพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๘ คน
    ท่านเป็นบุตรคนที่ ๓ มีน้องต่างบิดาอีก ๑ คน รวมเป็น ๙ คน

    ชีวิตในวัยเด็ก
    หลวงพ่อเกิดในตระกูลชาวไร่ชาวนาที่ยากจน
    พ่อแม่ของท่านมีสมบัติติดตัวมาแค่นา ๓-๔ ไร่ ควาย ๒-๓ ตัว
    ทำนาได้ข้าวปีละ ๒๐-๓๐ หาบ ไม่พอกินเพราะต้องแบ่งไว้ทำพันธุ์ส่วนหนึ่ง
    อีกส่วนหนึ่งเอาไว้ใส่บาตรทำบุญบูชาพระ
    ส่วนที่เหลือจึงจะเก็บไว้กินเอง

    ต้องอาศัยขุยไผ่ ขุยหลวก มาตำ เอาเม็ดมาหุงแทนข้าว และอาศัยของในป่า
    รวมทั้งมัน และกลอย เพื่อประทั้งชีวิต บางครั้งต้องอดมื้อกินมื้อก็มี
    แม่ต้องไปขอญาติพี่น้อง ๆ เขาก็ไม่มีจะกินเหมือนกัน
    แม่ต้องกลับมามือเปล่า พร้อมน้ำตาบนใบหน้ามาถึงเรือน
    ลูก ๆ ก็ร้องไห้เพราะหิวข้าว

    แม้ว่า ครอบครัวของท่านต้องดิ้นรนต่อสู้กับความอดทนอยาก
    แต่ ก็ไม่ได้ละทิ้งเรื่องการทำบุญ ให้ทาน
    ข้าวที่แบ่งไว้ทำบุญ แม่จะแบ่งให้ลูกทุกคน ๆ ละปั้นไปใส่บาตร
    บูชาพระพุทธทุกวันพระ โยมพ่อ เคยสอนว่า

    "ตอนนี้ พ่อ แม่ อด ลูกทุกคนก็อด แต่ลูก ๆ ทุกคนอย่าท้อแท้ใจ
    ค่อยทำบุญ ไปเรื่อย ๆ บุญมีภายหน้า ก็จะสบาย"

    และ โยมพ่อ เคยพูดกับท่าน ว่า

    "ลูกเอ๋ย เราทุกข์ขนาดนี้เชียวหนอ ข้าวจะกินก็ไม่มี ต้องกินไปอย่างนี้
    ค่อย อด ค่อย กลั้นไป บุญมีก็ไม่ถึงกับอดตายหรอก ทรมานมานานแล้ว ถึงวันนี้ ก็ยังไม่ตาย มันจะตายก็ตายไม่ตายก็แล้วไป ให้ลูกอดทนไปนะ ภายหน้าถ้าพ่อยังไม่ตายเสียก่อน ก็ดี ตายไปแล้วก็ดี บางทีลูกจะได้ "นั่งขดถวายหงายองค์ตีน (บวช)" กินข้าวดี ๆ อร่อย ๆ พ่อนี่จะอยู่ทันเห็นหรือไม่ทันก็ยังไม่รู้"


    เป็นผู้มีความขยันและอดทน

    ในสมัยที่ท่านยังเล็ก ๆ อายุ ๓-๔ ขวบ ท่านมีโรคประจำตัว คือ โรคลมสันนิบาต ลมเปี่ยวลม กัง ต้องนั่งทุกข์อยู่ เป็นวัน เป็นคืน เดินไปไกลก็ไม่ได้ วิ่งก็ไม่ได้ เพราะลมเปี่ยว ตะคริวกินขากินน่อง เดินเร็ว ๆ ก็ไม่ได้ ต้องค่อยไป ค่อยยั้ง เวลาอยู่บ้านต้องคอยเลี้ยงน้อง ตักน้ำ ติดไฟไว้ คอยพ่อแม่ที่เข้าไปในป่าหาอาหาร

    ในช่วงที่ท่านมีอายุได้ ๕-๑๐ ขวบ ท่านต้องเป็นหลักในบรรดาพี่น้องทั้งหมด ที่ต้องช่วยงานพ่อแม่มากที่สุด เวลาพ่อแม่ไปไร่ไปนาก็ไปด้วย เวลาพ่อแม่ไปหากลอย ขุดมัน หาลูกไม้ในป่า ท่านก็ไปช่วยขุด ช่วยหาบ กลับบ้าน

    บางครั้งพ่อแม่หลงทาง เพราะไปหากลายตามเนินดอย เนินเขา กว่าจะหากลอยได้เต็มหาบก็ดึก ขากลับ พ่อแม่จำทางไม่ได้ ท่านก็ช่วยพาพ่อแม่กลับบ้านจนได้

    ครั้นถึงหน้าฝน พ่อแม่ออกไปทำนา ท่านก็ติดตามไปช่วยทุกอย่าง
    พ่อปั้นคันนาท่านก็ช่วยพ่อ พ่อไถนา ท่านก็คอยจูงควายให้พ่อ
    เวลาแม่ปลูกข้าว ก็ช่วยแม่ปลูก จนเสร็จ

    เสร็จจากหน้าทำนา ท่านก็จะเผาไม้ในไร่ เอาขี้เถ้า ไปขุดดินในถ้ำมาผสมทำดินปืนไปขายได้เงินซื้อข้าว และเกลือ บางครั้ง ก็ไปอยู่กับลุงน้อยเดชะ รับจ้างเลี้ยงควาย บางปีก็ได้ค่าแรงเป็นข้าว ๒-๓ หาบ บางปี ก็เพียงแต่ขอกินข้าวกับลุง พอตุนท้อง ตุนไส้ ไปวัน ๆ พอถึงเวลาข้าวออกรวง นกเขาจะลงกินข้าวในนา ท่านก็จะขอพ่อแม่ไปเฝ้าข้าวในนา ตั้งแต่ เช้ามืด กว่าจะกลับก็ตะวันลับฟ้าไปแล้ว

    เป็นผู้มีความกตัญญู

    หลวงพ่อ มีความกตัญญูมาตั้งแต่เด็ก ท่านช่วยพ่อแม่ทำงานต่าง ๆ ทุกอย่าง เท่าที่ทำได้ ตั้งแต่อายุได้ประมาณ ๕ ขวบ ท่านก็ช่วยพ่อแม่ เฝ้านา เลี้ยงน้อง ตลอดจนช่วยงานทุกอย่างของพ่อแม่

    เมื่อเวลาที่พ่อแม่หาอาหารไม่ได้ ท่านก็จะไปรับจ้างชาวบ้าน แถบบ้านก้อ ทำความสะอาดหรือช่วยเฝ้าไร่นา เพื่อแลกกับข้าวปลาอาหารมาให้พ่อแม่ และน้อง ๆ กิน ในบางครั้ง อาหารที่ได้มา หรือที่พ่อแม่จัดหาให้ ไม่เพียงพอกับคนในครอบครัว ด้วยความที่ท่านมีนิสัยเสียสละ และไม่ต้องการให้พ่อแม่ต้องเจียดอาหารของท่านทั้งสอง ซึ่งมีน้อยอยู่แล้ว ออกมาให้ท่านอีก ท่านจึงได้บอกว่า "กินมาแล้ว" เพื่อให้พ่อแม่สบายใจ แต่พอลับตาผู้อื่นหรือเมื่อผู้อื่นในบ้านหลับกันหมดแล้ว ท่านก็จะหลบไปดื่มน้ำ หรือบางครั้งจะหลบไปหาใบไม้ที่พอจะกินได้มาเคี้ยวกิน เพื่อประทังความหิวที่เกิดขึ้น ซึ่งผู้เขียนได้รับฟังมาจากน้องของท่านว่า

    "หลวงพ่อเติบโตขึ้นมา โดยพ่อแม่เลี้ยงข้าวท่านไม่ถึง ๑๐ ถัง แต่ท่านในสมัยเป็นเด็ก กลับหาเลี้ยงพ่อแม่ มากกว่าที่พ่อแม่หาเลี้ยงท่าน"


     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 มกราคม 2010
  3. HipPo*

    HipPo* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    3,101
    ค่าพลัง:
    +7,908
    แจกฟรี สมเด็จพระศรีจุฬารัตน์
    ของดีที่ทันหลวงปู่ครูบาชัยวงศาฯ

    [​IMG]


    "ลงชื่อได้เลยครับผม
    แจกจำนวน 30 ชุด
    พร้อมพระธาตุข้าวบิณฑ์"



    เนื้อพระขาวคล้ายเนื้อของพระคำข้าว
    องค์ขนาดเล็ก เหมาะสำหรับผู้หญิงและเด็กๆ
    หรือผู้ชายจะใส่ก็ไม่ผิดระเบียบครับ
    ด้านหน้าเป็นรูปพระปัจเจกพุทธเจ้าประทับบนฐานบัว
    ด้านหลังเรียบ
    ผมบูชามาจากทางวัดโดยตรง
    มั่นใจเต็มร้อย ทั้งพุทธคุณและความแท้
    และทันหลวงปู่เสกให้
    (สอบถามจากพระเจ้าหน้าที่ของวัด)
    มอบเป็นธรรมบรรณาการให้ท่านผู้โชคดีครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 มกราคม 2010
  4. HipPo*

    HipPo* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    3,101
    ค่าพลัง:
    +7,908
    กติกาการขอรับ


    1.ลงชื่อพร้อมลำดับที่จอง

    2.ส่งซองมาขอรับพร้อมแนบเงินค่าจัดส่งกลับตามแบบที่ท่านต้องการ
    (ลงทะเบียน 20 บาท Ems 35 บาท)


    นาย ธวัชชัย ปัญญามีรักษ์
    หอพักชายอาคาร4 ห้อง433
    มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
    239 ถ.ห้วยแก้ว ต.สุเทพ
    อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50200
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 มกราคม 2010
  5. HipPo*

    HipPo* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    3,101
    ค่าพลัง:
    +7,908
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 มกราคม 2010
  6. HipPo*

    HipPo* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    3,101
    ค่าพลัง:
    +7,908
    ชอบลองใจ

    ปกติ ท่านมักจะหาเวลาว่างไปทำบุญช่วยเหลือการงานที่วัดก้อจอก ซึ่งอยู่ใกล้บ้านเสมอ ครั้งหนึ่ง ท่านได้ชวนผู้เฒ่าคนหนึ่ง ซึ่งโดยปกติไม่ชอบไปวัดทำบุญ แต่ชอบยิงนกตกปลาเป็นประจำ และมักจะมีข้ออ้างเสมอเมื่อถูกชวนไปวัด คราวนี้แกก็ปฏิเสธเช่นเคย โดยอ้างว่าเท้าเจ็บ ไปไหนไม่ได้

    ท่านอยากจะลองดูซิว่าเท้าแกเจ็บจริง หรือไม่ เมื่อท่านเดินออกไปได้สักระยะหนึ่ง ก็ทำเสียงอีเก้งร้อง เมื่อร้องครั้งแรก ผู้เฒ่าคนนั้นก็ยกหัวขึ้นมาดู (ขณะนั้นนอนทำเป็นป่วยอยู่) หันซ้ายหันขวามองตามเสียงอีเก้งร้อง

    เมื่อแกได้ยินเสียงร้องครั้งที่สอง ก็ลุกนั่งมีอาการอยากจะออกไปยิงอีเก้ง
    พอได้ยินเสียงร้องครั้งที่สาม ผู้เฒ่าทนไม่ไหวลุกขึ้นไปหยิบเอาปืน จะออกไปยิงอีเก้งตัวนี้เสียทันทีทันใด จนท่านเห็นแล้ว ต้องรีบวิ่งหนี เพราะกลัวจะโดนลูกหลง

    มีนิสัยกล้าหาญ

    เมื่อท่านอายุได้ประมาณ ๑๐ ขวบ ท่านต้องออกไปเฝ้านาข้าว เพื่อคอยไล่นกที่จะมากินข้าวในนา ท่านต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตี ๔ ยังไม่สว่างนกยังไม่ตื่นออกหากิน การที่ท่านต้องออกไปไร่นาแต่เพียงลำพังคนเดียวเป็นประจำ ทำให้ลุงตาลซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของท่านอกสงสัยไม่ได้จนต้องเข้ามาถามท่าน

    ลุงตาล : มึงนี้เป็นผีเสือหรือไร แจ้งมากูก็เห็นมึงที่นี่ มึงไม่ได้นอนบ้านหรือ

    ด.ช.วงศ์ : เมื่อนกหนูนอนแล้ว ข้าจึงกลับไปบ้าน เช้ามืดไก่ขันหัวที ยังบ่แจ้ง นกยังบ่ลง บ่ตื่น ข้าก็มาคนเดียว

    ลุงตาล : ไม่กลัวเสือ ไม่กลัวผีป่าหรือ?

    ด.ช.วงศ์ : ผีเสือ มันก็รู้จักเรา มันไม่ทำอะไรเรา เราเทียวไปเทียวมา มันคงรู้ และเอ็นดูเรา บางวัน ตอนเช้าเราเห็นคนเดินไปข้างหน้าเรา ก็เดินตามก็ไม่ทัน จนถึงไร่มันก็หายไป เราก็เข้าใจว่ามันไปส่งเรา เราก็ไม่กลัว บางเช้า ก็ได้ยินเสียงเสือร้อง ไปก่อนหน้า

    ลุงตาล : ไม่กลัวเสือหรือ ?

    ด.ช.วงศ์ : เราไม่กลัว มันเป็นสัตว์ เราเป็นคน มันไม่รังแกเรา มันคงสงสารเรา ที่เป็นทุกข์ยาก มันคงจะมาอยู่เป็นเพื่อน เราจะไปจะมาก็ขอเทวดา ที่รักษาป่า ช่วยรักษาเรา เราจึงไม่กลัว

    ลุงตาล : มึงเก่งมาก กูจักทำตามมึง

    ด.ช.วงศ์ : เราไม่ได้ทำอะไรมัน มันก็ไม่ทำอะไรเรา มันไม่รังแกเรา เราคิดว่าคนที่ใจบาปไปเสาะหาเนื้อในป่า กินกวาง กินเก้ง กินปลา เสือก็ยังไม่กัดใครตายในป่าสักคน เวลาเราจะลงเรือน เราก็ขอให้บุญช่วยเรา

    ลุงตาล : มึงยังเด็ก อายุไม่ถึง ๑๐ ขวบ มืด ๆ ดึก ๆ ก็ไม่กลัวป่า ไม่กลัวเถื่อน ไม่กลัวผีป่า ผีพง ไม่กลัวช้าง กูยอมมึงแล้ว

    มีปัญญา พิจารณา เห็นทุกข์

    ขณะที่ท่านนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ในป่าคนเดียวตามลำพัง
    ท่านได้เปรียบเทียบชีวิตท่าน กับสัตว์ป่า ทั้งหลายว่า

    "นกทั้งหลาย ต่างก็หากินไปไม่มีที่หยุด ต่างก็เลี้ยงตัวเองไปตามประสา มันก็ยังทนทานไปได้ ตัวเรา ค่อย อด ค่อนทน ไปก็ดีเหมือนกัน สัตว์ทั้งหลาย ก็ทุกข์ยากอย่างเรา เราก็ทุกข์ยากอย่างเรา สัตว์ในโลกก็ทุกข์เหมือนกันทุกอย่าง เราไม่ควรจะเหนื่อยคร้าน ค่อย อด ค่อยทน ตามพ่อแม่นำพาไป"

    ...............................................................................................

    เป็นผู้มีพรหมวิหารสี่

    หลวงพ่อ มีความเมตตากรุณา และพรหมวิหารสี่ มาแต่เยาว์วัย อย่างหาที่เปรียบมิได้
    เพื่อนของหลวงพ่อตั้งแต่สมัยนั้น เล่าว่า เมื่อสมัยที่ท่านเป็นเด็ก ระหว่างทางไปหาของ
    หรืออาหารป่า ทุกครั้งที่เห็นสัตว์ถูกกำดักของนายพราน ท่านจะปล่อยสัตว์เหล่านั้น
    ให้มีอิสระภาพเสมอ แล้วจะหาสิ่งของมาทดแทนให้กับนายพราน
    เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับชีวิตของมัน

    ครั้งหนึ่ง ท่านเห็น ตัวตุ่น ถูกกำดักนายพรานติดอยู่ในโพรงไม้ไผ่
    ด้วยความสงสารท่านจึงปล่อยตัวตุ่นนั้นไป แล้วหยิบหัวมันที่หามาได้จากในป่า
    ซึ่งตั้งใจไว้ว่าจะนำไปให้พ่อแม่และน้อง ๆ กิน ใส่เข้าไปในโพรงไม้นั้นแทน
    เพื่อเป็นการชดใช้แลกเปลี่ยนกับชีวิตของตัวตุ่นนั้น

    ต่อมา มีอยู่วันหนึ่งท่านไปพบปลาดุกติดเบ็กของชาวบ้านที่นำมาปักไว้ที่ห้วย
    ท่านเห็นมันดิ้นทุรนทุราย แล้วเกิดความสงสารเวทนาปลาดุกตัวนั้นมาก จึ
    งปลดมันออกจากเบ็ด แล้วเอาหัวผักกาดที่ท่านทำงานแลกมา
    ซึ่งตั้งใจไว้ว่าจะนำไปให้พ่อแม่และน้อง ๆ กิน
    มาเกี่ยวไว้แทนเป็นการแลกเปลี่ยนชีวิตปลาดุกนั้น

    หลวงพ่อ ได้เมตตาบอกถึงเหตุผลที่กระทำเช่นนั้น ว่า
    ในเวลานั้นท่านมีความเวทนาสงสาร สัตว์เหล่านั้น จึงได้ช่วยชีวิตของมันไว้
    ท่านมักจะสั่งสอนลูกศิษย์อยู่เสมอ ว่า

    "ชีวิตของใคร ๆ ก็รักทั้งนั้น เราทุกคนควรจะเมตตาตนเอง และเมตตาผู้อื่นอยู่เสมอโลกนี้จะได้มีความสุข"

    ด้วยความที่ท่านเป็นผู้ที่ไม่ชอบการผิดศีลมาตั้งแต่สมัยเด็ก
    เมื่อท่านเห็นว่าคนอื่นจะผิดศีล ข้อปาณาติบาต (การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต)
    ก็รู้สึกสงสารทั้งผู้ทำปาณาตีบาตและผู้ถูกปาณาติบาต
    ซึ่งท่านไม่อยากเห็นพวกเขามีเวรมีกรรมกันต่อไป

    แต่ในขณะเดียวกัน ท่านก็ไม่ต้องการให้ตัวเองต้องผิดศีล โดยไปลักขโมยของผู้อื่น
    ซึ่งในเวลานั้นท่านไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ท่านจึงต้องหาสิ่งของมาตอบแทนให้กับเขา

    แต่ในบางครั้งก็ไม่มีสิ่งของมาแลกกับชีวิตของสัตว์เหล่านั้นเหมือนกัน
    แต่ท่านก็สามารถจะช่วยมันได้โดยปล่อยมันให้เป็นอิสระ แล้วท่านะนั่งรอนายพราน
    จนกว่าเขาจะมา และก็ขอเอาตัวเอง ชดใช้แทน
    ซึ่งท่านได้เล่าว่า บางคนก็ไม่ถือสาเอาความ
    แต่บางคนก็ให้ไปทำงานหรือทำความสะอาด ทดแทนกับที่ท่านไปปล่อยสัตว์ที่เขาดักไว้
    แต่ไม่เคยมีใครทำร้ายทุบตีท่าน อาจจะมีบ้างก็เพียงแต่ว่ากล่าวตักเตือน

    ท่านเคยพูดว่า

    "แม้ว่าบางครั้งจะต้องทำงานหนักเพื่อใช้ชีวิตของสัตว์ที่ท่านได้ปล่อยไป
    แต่ท่านก็รู้สึกยินดี และปิติใจเป็นอันมาก ที่ได้ทำในสิ่งที่ดีงามเหล่านี้"

    ...............................................................................................

    กินอาหารมังสวิรัติ

    เมื่อท่านอายุได้ ๑๒ ปี ท่านได้พบเหตุการณ์สำคัญ ที่ทำไม่อยากจะกินเนื้อสัตว์นั้น เลย
    นับแต่นั้นมา กล่าวคือ มีครั้งหนึ่งท่านได้เห็นพญากวางใหญ่ถูกนายพรานยิง แทนที่พญากวางตัวนั้นจะร้องเป็นเสียงสัตว์ มันกลับร้อง โอย โอย ๆ ๆ ๆ เหมือนเสียงคนร้อง
    แล้วสิ้นใจตายในที่สุด

    และเมื่อท่านไปอยู่กับ ครูบาชัยลังก๋า ซึ่งไม่ฉันเนื้อสัตว์
    หลวงพ่อ จึงงดเว้นอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ตั้งแต่นั้นมา

    อีกประการหนึ่ง อาจเป็นด้วยบุญบารมีที่ท่านได้สร้างสมมาแต่อดีตชาติ
    ประกอบกับได้เห็นความทุกข์ยากของสัตว์ต่าง ๆ ที่ถูกทำร้าย
    จึงทำให้ท่านเกิดความสลดใจอยู่เสมอ

    ท่านจึงตั้งจิตอธิษฐานถึงคุณพระศรีรัตนตรัยตั้งแต่นั้นมา ว่า จะไม่ขอเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น
    ไม่ว่าจะเป็นคน หรือสัตว์ และจะไม่ขอกินเนื้อสัตว์อีกต่อไป ท่านได้เมตตาสอนว่า

    "สรรพสัตว์ทั้งหลายย่อมรักและหวงแหนชีวิตของมันเอง
    เราทุกคนไม่ควรจะเบียดเบียนมัน มันจะได้อยู่อย่างเป็นสุข"

    และท่านยังพูดเสมอ ว่า

    "ท่านต้องการให้ ศีล ของท่าน บริสุทธิ์ขึ้นไปเรื่อย ๆ"

    สัตว์ทุกตัว มันก็รักชีวิตของมันเหมือนกัน เมื่อเราฆ่ามันตายเพื่อกินเนื้อมัน
    จิตของมันไปที่สำนักพญายม ก็จะฟ้องร้องว่าคนนั้นฆ่ามันตาย คนนี้กินเนื้อของมัน
    ถึงแม้จะไม่ได้ฆ่า คนกิน ก็เป็นจำเลยด้วย ก็ย่อมต้องได้รับโทษ
    แต่จะออกมาในรูปของการเจ็บไข้ได้ป่วย และความไม่สบายต่าง ๆ
    ซึ่งเจ้าตัวไม่รู้สึก เห็นว่า เป็นเรื่องธรรมดา

    บรรพชาเป็นสามเณร

    เมื่อท่านอายุย่าง ๑๓ ปี (พ.ศ. ๒๔๖๘) ด้วยผลบุญที่ท่านได้บำเพ็ญมาตั้งแต่ปางก่อน
    ในอดีตชาติ และได้รับการอบรมสั่งสอน จากพระสงฆ์ครูบาอาจารย์ในชาตินี้

    จึงดลบันดาลให้ท่านมีความ เบื่อหน่ายต่อชีวิตทางโลก
    อันเป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา แห่งนี้

    ท่านจึงได้รบเร้าขอให้พ่อแม่ท่านไปบวช
    เพื่อท่านจะได้บำเพ็ญธรรมะขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เมือบิดามารดาได้ฟังก็เกิดความ ปิติยินดีเป็นยิ่งนัก

    ไม่นานหลังจากนั้น พ่อแม่ก็ได้นำท่านไปฝากกับหลวงอา
    ท่านได้อยู่เป็นเด็กวัดกับหลวงอาได้ไม่นาน
    หลวงอา จึงนำท่านไปฝากตัวเป็นศิษย์ และบวชเณรกับครูบาชัยลังก๋า
    (ซึ่งเป็นธุดงค์กรรมฐาน รุ่นพี่ ของครูบาศรีชัย)

    ครูบาชัยลังก๋าได้ตั้งชื่อให้ท่านใหม่หลังจากเป็นสามเณรแล้วว่า "สามเณร ชัยลังก๋า"
    เช่นเดียวกับ ชื่อของ ครูบาชัยลังก๋า

    พบชายชราลึกลับ

    เพื่อนพระสงฆ์ ที่เคยอยู่ร่วมกันกับท่านในสมัยเป็นเณรได้เล่าว่า
    "หลวงพ่อวงศ์ เป็นผู้มีขันติ และอภัยทานสูงส่งจริง ๆ"

    ครั้งหนึ่ง ท่านเคยถูกเณร องค์อื่น (ซึ่งไม่ควรจะถือว่า เป็นพระ หรือเณร) เอาน้ำรัก ทาไว้บนที่นอนของท่าน ในสมัยนั้น ยังไม่มีไฟฟ้า และเทียนก็หาได้ยาก ท่านจึงมองไม่เห็น เมื่อท่านนอนลงไป น้ำรักก็ได้กัดผิวหนังของท่านจนแสบจนคัน

    ท่านจึงได้เกาจนเป็นแผลไปทั้งตัว ไม่นานแผลเหล่านั้น ก็ได้เน่าเปื่อยขึ้นมา
    จนทำให้ท่านได้รับทุกขเวทนามาก

    แต่ด้วยความที่ท่านเป็นคนดีมีธรรมะเมตตา ให้อโหสิกรรมกับผู้อื่น
    ท่านจึงใช้ ขันติ ข่มความเจ็บปวดเหล่านั้น โดยไม่ปริปากหรือกล่าวโทษผู้ใด
    ทุกครั้งที่ครูบาอาจารย์ถาม ท่านก็ไม่ยอมที่จะกล่าวโทษใครเลย
    เพียงเรียนไป ว่า ขออภัยให้กับพวกคนเหล่านั้นเท่านั้น
    และขอยึดเอาคำของครูบาอาจารย์มาปฏิบัติ
    เพื่อจะได้ไม่มีเวรกรรมกันต่อไปในอนาคต
    และเพื่อความหลุดพ้นจากวัฎสงสารแห่งนี้เข้าสู่นิพพาน
    ดังที่ ครูบาอาจารย์ได้อบรมสั่งสอนมาด้วยความยากลำบาก
    ในการที่จะให้ลูกศิษย์ลูกหาเป็นคนดี และเป็นพระสงฆ์เนื้อนาบุญของ พุทธบริษัทต่อไป

    ด้วยผลบุญที่ท่านได้สั่งสมมาแต่อดีตถึงปัจจุบัน

    จึงดลบันดาลให้มีชายชราชาวขมุ นำยา มาให้ท่านกิน ให้ท่านทา เป็นเวลา ๓ คืน
    เมื่อท่านหายดีแล้ว ชายชราผู้นั้น ก็ได้กลับมาหาท่าน และได้พูดกับท่าน ว่า

    "เป็นผลบุญของเณรน้อยที่ได้สร้างสมมาแต่อดีตถึงปัจจุบันไว้ดีมาก และมีความกตัญญูเคารพเชื่อฟังพ่อแม่ครูบาอาจารย์ดีมาก จึงทำให้แผลหายเร็ว

    ขอให้เณรน้อยจงหมั่นทำความดี ปฏิบัติธรรม และเคารพเชื่อฟังครูบาอาจารย์ต่อไป อย่าได้ท้อถอย ไม่ว่าจะมีมารมาขัดขวางอย่างไรก็ดี ขอเณรน้อยใช้ความดี ชนะความไม่ดีทั้งหลาย ต่อไป

    ในภายภาคหน้า สามเณรน้อย จะได้เป็นพระสงฆ์เนื้อนาบุญของพุทธบริษัทต่อไป"

    เมื่อชายชราผู้นั้นกล่าวจบแล้ว จึงได้เดินลงจากกุฏิที่ท่านพักอยู่
    สามเณรชัยลังก๋า นึกได้ ยังไม่ได้ถามชื่อแซ่ของชายชราผู้มีพระคุณ จึงวิ่งตามลงมา

    แต่เดินหาเท่าไรก็ไม่พบชายชราผู้นั้น ท่านจึงได้สอบถามผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้น
    ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่พบเห็นชายชราเช่นนี้ มาก่อนเลย นอกจากเห็นท่านนอนอยู่คนเดียวในกุฏิ

    จากคำพูดของคนเหล่านี้ทำให้ท่านประหลาดใจมาก
    เพราะท่าน ได้พูดคุยกับชายชราผู้นั้น ถึง ๓ คืน ทุกครั้งที่ชายชราผู้นี้มาทายา และทำยาให้ท่านกิน เหตุการณ์นี้ ทำให้ท่านคิดว่า ชายชราผู้นั้น ถ้าไม่เป็นเทพแปลงกายมา ก็อาจจะเป็นผู้ทรงศีลที่บำเพ็ญอยู่ในป่าจนได้อภิญญา การกลั่นแกล้ง จากพระเณรที่อิจฉาริษยา ยังไม่สิ้นสุดแค่นั้น บางครั้ง เวลานอนก็ถูกเอาทราบกรอกปาก ถึงเวลานั้น ก็ฉันไม่ได้มาก เพราะ ถูกพระเณรที่ไม่เชื่อ ในเรื่องบาปบุญคุณโทษ รังแก หรือหยิบอาหารของท่านไปกิน

    แต่ด้วยความที่ท่านเป็นผู้มีความอดทน และยึดมั่นในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านจึง อโหสิกรรมพวกเขา และใช้ขันติในการปฏิบัติธรรมรับใช้ปรนนิบัติครูบาอาจารย์ด้วยดีต่อไป

    ครูบาชัยลังก๋า มักลูบหัวของท่านด้วยความรักเอ็นดู
    และสั่งสอนให้ด้วยความเมตตาอยู่เสมอ ว่า

    "มันเป็นกรรมเก่าของเณรน้อย ตุ๊ลุงขอให้เณรน้อยใช้ขันติ และความเพียร ต่อไป เพื่อโลกุตตรธรรมอันยิ่งใหญ่ในภายหน้า เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ทุกคนที่เคยล่วงเกินเณรน้อย เขาจะรู้กรรม ที่ได้ล่วงเกินเณรน้อยมา"

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 มกราคม 2010
  7. HipPo*

    HipPo* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    3,101
    ค่าพลัง:
    +7,908
    ไปวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม

    ในระยะที่อยู่กับครูบาชัยลังก๋า ๆ ได้เมตตาอบรมสั่งสอนวิชาการต่าง ๆ ให้แก่ท่าน เช่น
    ภาษาลานนา ธรรมะ การปฏิบัติกรรมฐาน รวมทั้งธุดงควัตร ตลอดถึงการดำรงชีวิตในป่า

    ขณะธุดงค์ ครูบาชัยลังก๋า มักพาท่านไปแสวงบุญ และธุดงค์ไปในที่ต่างๆ เสมอ
    เพื่อให้ท่านมีประสบการณ์ ทั้งยังเคยพาท่านไปนมัสการรอบพระพุทธบาทห้วยต้มหลายครั้ง (วัดพระพุทธบาทห้วยต้น ในสมัยก่อนนั้นชื่อว่า วัดพระพุทธบาทห้วยข้าวต้ม)

    สมัยนั้น วัดนี้ เป็นวัดร้าง ยังเป็นดอยภูเขาอยู่

    ครั้งหนึ่ง สามเณรชัยลังก๋าเห็นวิหารทรุดโทรมมาก
    จึงกราบเรียนถาม
    ครูบาชัยลังก๋า

    "ทำไมตุ๊ลุง ถึงไม่มาสร้างวัดนี้ มันทรุดโทรมมาก"


    ครูบาชัยลังก๋า ตอบด้วยความเมตตา ว่า

    "มันไม่ใช่หน้าที่ของตุ๊ลุง แต่จะมีพระน้อยเมืองตื๋นมาสร้าง"

    ขณะที่ครูบาชัยลังก๋ากล่าวอยู่นั้น
    ท่านก็ได้ชี้มือมาที่สามเณรน้อยชัยลังก๋า พร้อมกับกล่าว ว่า

    "อาจจะเป็นเณรน้อยนี้ กะบ่ฮู้ ที่จะมาบูรณะวัดนี้"

    ท่านจึงได้เรียนไปว่า

    "เฮายังเป็นเณร จะสร้างได้อย่างใด"

    ครูบาชัยลังก๋า จึงกล่าวตอบไปด้วยความเมตตา ว่า

    "ถึงเวลาจะมาสร้าง ก็จะมาสร้างเอง"

    คำพูดของครูบาชัยลังก๋า นี้
    ไปพ้องกับคำพูดของ
    ครูบาศรีวิชัย ที่เคยกล่าวกับ หม่องย่นชาวพม่า
    เมื่อตอนที่หลวงพ่อ อายุได้ ๕ ขวบ ในครั้งนั้น ครูบาศรีวิชัย ได้รับนิมนต์จากหม่องย่น
    ให้มารับถวายศาลาที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม หม่องย่นให้ขอนิมนต์ครูบาศรีวิชัยมาบูรณะวัดพระพุทธบาทห้วยต้มให้เจริญรุ่งเรือง

    แต่ครูบาศรีวิชัยได้ตอบปฏิเสธไป ว่า

    "ไม่ใช่หน้าที่กู จะมีพระน้อยเมืองตื๋นมาสร้างในภายภาคหน้า"

    ท่านอยู่กับครูบาชัยลังก๋าที่วัดพระธาตุแก่งสร้อย เป็นเวลา ๑ ปี

    หลังจากนั้น ครูบาชัยลังก๋าได้ออกจาริกธุดงค์ไปโปรดชาวบ้านที่จังหวัดเชียงราย
    ครูบาชัยลังก๋าได้ให้ท่านอยู่เฝ้าวัดกับพระเณรองค์อื่นในช่วงที่ท่านอยู่วัดนี้
    ท่านก็ได้พบกันครูบาศรีวิชัยเป็นครั้งแรกซึ่งท่านเคารพนับถือครูบาศรีวิชัยมาก่อนหน้านี้แล้ว

    ในครั้งนั้นครูบาศรีวิชัย ได้มาเป็นประธาน ในการฉลองพระธาตุที่วัดพระธาตุแก่งสร้อย
    ในโอกาสนี้ท่านจึงได้อยู่ใกล้ชิดปรนนิบัติรับใช้ครูบาศรีวิชัยเป็นเวลา ๗ วัน

    การพบกันครั้งแรกนี้ ครูบาศรีวิชัยก็ได้รับท่านไว้เป็นศิษย์ตั้งแต่นั้นมา

    หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ผ่านพ้นไปแล้ว ท่านก็ยังประจำอยู่ที่วัดพระธาตุแก่งสร้อยได้ไม่นาน เพราะทนต่อการกลั่นแกล้งจากพระเณรอื่นไม่ไหว จึงได้เดินทางกลับมาอยู่กับหลวงน้าของท่าน เพื่อช่วยสร้างพระวิหารที่วัดก้อท่า ซึ่งเป็นวัดร้างประจำหมู่บ้านก้อท่า ตำบลก้อทุ่ง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน

    ในระหว่างอายุ ๑๕-๒๐ ปีนั้น ท่านได้ติดตามครูบาอาจารย์หลายองค์ และได้จาริกออกธุดงค์ ปฏิบัติธรรมตามที่ต่าง ๆ ตลอดจนได้ไปอบรมสั่งสอนชาวบ้านชาวเขาในที่ต่าง ๆ ด้วยเช่นกันในบางครั้งก็ไปกับครูบาอาจารย์ ในบางครั้งก็ไปองค์เดียวเพียงลำพัง
    เมื่อมีโอกาสท่านก็จะกลับมารับการ ฝึกอบรมจากครูบาอาจารย์ทุกองค์ของท่านเสมอ ๆ

    อุปสมบทเป็นพระภิกษุ

    เมื่ออายุ ๒๐ ปี ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ
    โดยมีครูบาพรหมจักร วัดพระบาทตากผ้าเป็นอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า "ชัยยะวงศา"

    ในระหว่างนั้น ท่านได้อยู่ปฏิบัติและศึกษาธรรมะกับครูบาพรหมจักร
    ในบางโอกาสท่านก็จะเดินธุดงค์ปฏิบัติธรรมไปในที่ต่าง ๆ ทั้งลาว และพม่า
    ท่านได้อยู่กับครูบาพรหมจักรระยะหนึ่งแล้ว

    จึงได้กราบลา ครูบาพรหมจักร ออกจาริกธุดงค์ไปแสวงหาสัจจธรรม ความหลุดพ้นจากวัฏสงสารแห่งนี้เพียงลำพังองค์เดียวต่อ เพื่อเผยแพร่สั่งสอนธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กับพวกชาวเขาในที่ต่าง ๆ เช่นเคย

    สอนธรรมะแก่ชาวเขา

    ขณะที่ท่านธุดงค์ไปในที่ต่าง ๆ ท่านได้พบ และอบรมสั่งสอนธรรมะของพระพุทธองค์
    ให้กับชาวบ้านและชาวเขาในที่ต่าง ๆ

    ท่านเล่าว่า ตอนที่ท่านพบชาวเขาใหม่ ๆ นั้น
    ในสมัยนั้น ชาวเขาส่วนใหญ่ ยังไม่ได้นับถือพุทธศาสนา
    ในขณะที่ท่านจาริกธุดงค์ไปตามหมู่บ้านของพวกชาวเขา
    พวกชาวเขาเหล่านี้ก็จะรีบอุ้มลูกจูงหลานหลบเข้าบ้านเงียบหายกันหมด
    พร้อมกับตะโกนบอกต่อๆ กันว่า
    "ผีตาวอดมาแล้ว ๆ ๆ"

    ในบางแห่ง พวกผู้ชายบางคนที่ใจกล้าหน่อย ก็เข้ามาสอบถาม และพูดคุยกับท่าน
    บางคนเห็นหัวของท่าน แล้วอดรนทนไม่ไหว ที่เห็นหัวของท่านเหน่งใส จึงเอามือลูบหัวของท่าน และทักทายท่าน ว่า
    "เสี่ยว" (แปลว่าเพื่อน)

    หลวงพ่อ ว่า ในตอนนั้นท่านไม่รู้สึกเคือง หรือตำหนิ เขาเหล่านั้นเลย
    นอกจากขบขัน ในความซื่อ ของพวกเขา เพราะพวกเขายังไม่รู้จักพุทธศาสนา
    ในสมัยนั้น พวกชาวเขายังนับถือลัทธิบูชาผี บูชาเจ้า

    ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงได้ถือธุดงค์ปฏิบัติกรรมฐาน ในสถานที่แห่งนั้น เพื่อจะหาโอกาสสอนธรรมะของพระพุทธองค์ให้กับพวกชาวเขา การสอนของท่านนั้น ท่านได้เมตตาบอก ว่า ท่านต้องทำ และสอนให้พวกเขารู้อย่างช้า ๆ ค่อยเป็น ค่อยไป โดยไม่ทำให้พวกเขามีความรู้สึกแปลกประหลาด และขัดต่อจิตใจ ความเป็นอยู่ ที่เขามีอยู่ ท่านได้ใช้ตัวของท่านเองเป็นตัวอย่างให้เขาดู ในการที่จะทำให้พวกเขาหันมาปฏิบัติธรรมะของพระพุทธองค์

    เมื่อพวกเขาถามท่านว่า "
    ทำไมท่าน จึงโกนผม จนหัวเหน่ง และนุ่งห่มสีเหลืองทั้งชุด ดูแล้วแปลกดี" ท่านก็จะถือเอาเรื่อง ที่เขาถามมาเป็นเหตุในการเทศน์ เพื่อเผยแพร่ธรรมะให้พวกเขาได้ปฏิบัติ และรับรู้กัน

    หลวงพ่อได้เล่า ว่า

    "การสอนให้เขารู้ธรรมะนั้น ท่านต้องสอนไปทีละขั้น
    เพื่อให้เขารู้จักพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์เสียก่อน

    จากนั้น ท่านจึงสอนพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กับพวกเขา โดยเฉพาะการทำงาน การถือศีล และการนั่งภาวนา ให้พวกเขาได้ปฏิบัติยึดถือกัน

    โดยเฉพาะเรื่องของศีล ๕ ท่านจะสอนเน้น ให้พวกเขาไม่เบียดเบียนผู้อื่น และไม่ทำร้ายผู้อื่น เพื่อจะได้ไม่เป็นเวรกรรมกันต่อไปในภายภาคหน้า ซึ่งการสอนของท่าน ทำให้พวกชาวเขาได้รับความสงบสุข ภายในหมู่บ้านของเขาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พวกเขา จึงยิ่งเคารพนับถือ และเชื่อฟังในคำสั่งสอนของท่านมากยิ่งขึ้น"

    ช่วยสร้างทางขึ้น ดอยสุเทพ

    เมื่ออายุได้ ๒๒ ปี

    ท่านจึงเดินทางกลับมาหา ครูบาศรีวิชัย พร้อมกับชาวกะเหรี่ยงที่เป็นศิษย์ของท่าน
    เพื่อช่วยครูบาศรีวิชัยสร้างทางขึ้นดอยสุเทพในครั้งนี้ ครูบาศรีวิชัย ได้เมตตาให้ท่านเป็นกำลังสำคัญ ทำงานร่วมกับ ครูบาขาวปี ในการควบคุมชาวเขา ช่วยสร้างทางอยู่เสมอ

    โดยเฉพาะในช่วงที่ยากลำบาก เช่น การสร้างถนนในช่วงหักศอกก่อนที่จะถึงดอยสุเทพ (ช่วงที่คนวิพากษ์วิจารณ์ครูบาศรีวิชัยกันมากที่สร้างถนนหักศอกมากเกินไป) ในระหว่างกำลังสร้างทางช่วงนี้ ได้มีหินก้อนใหญ่มากติดอยู่ใกล้หน้าผา จะใช้กำลังคน หรือช้างลากเช่นไร ก็ไม่ทำให้หินนั้นเคลื่อนไหวได้ ชาวกะเหรี่ยงที่ทำงานอยู่นั้น จึงไปกราบเรียนให้ ครูบาศรีวิชัย ทราบ ท่านจึงให้คนไปตามหลวงพ่อ ซึ่งกำลังสร้างทางช่วงอื่นอยู่

    เมื่อหลวงพ่อวงศ์ มาถึงท่านได้ยืนพิจารณา อยู่ครู่หนึ่ง
    จึงได้เดินทางไปผลักหินก้อนนั้น ลงสู่หน้าผานั้นไป เหตุการณ์นี้ทำให้ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์แปลกใจไปตาม ๆ กันที่เห็นท่านใช้มือผลักหินนั้น โดยไม่อาศัยเครื่องมือใด ๆ

    ครูบาศรีวิชัย ได้ยืนยิ้มอยู่ข้าง ๆ ท่าน ด้วยความพอใจ

    ประทับรอยเท้า เป็นอนุสรณ์

    ขณะที่ท่านช่วยครูบาศรีวิชัยสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ
    ท่านได้ประทับรอยเท้า ลึกลง ไปในหินประมาณ ๑ ช.ม. ข้างน้ำตกห้วยแก้ว (ช่วงตอนกลาง ๆ ของทางขึ้นดอยสุเทพ เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่ท่านได้มาช่วย ครูบาศรีวิชัยสร้างทาง

    เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๓
    หลวงพ่อขึ้นไปนมัสการพระธาตุดอยสุเทพ ขากลับท่านได้พาไปนมัสการวัดอนาคามี
    (ซึ่งเป็นวัดที่ครูบาศรีวิชัยได้มอบให้ท่านเป็นผู้ควบคุมการสร้าง ปัจจุบันทรุดโทรมหมดแล้ว)

    ระหว่างทาง ท่านได้พาพวกเราไปดูรอยเท้าที่ท่านประทับไว้
    รอยเท้านั้นลึกลงไปในหินประมาณ ครึ่งเซนติเมตร มีรอยถูกน้ำกัดเซาะ


    พวกเราแปลกใจมากที่เห็นรอยเท้านั้น พอดีกับเท้าของท่านเมื่อท่านเหยียบลงไป
    (การประทับรอยเท้า เช่นนี้ ท่านเคยไปประทับรอยเท้าและรอยมือ ไว้บนแผ่นหิน ณ ประเทศศรีลังกา เพื่อเป็นอนุสรณ์ เช่นกัน เป็นที่ประจักษ์สายตาของคณะศิษย์ที่ร่วมเดินทางไปทุกครั้ง)

    อุปสรรค

    ท่าน เป็นผู้ที่ครูบาศรีวิชัยไว้ใจมาก องค์หนึ่ง
    เพราะ เมื่อครูบาศรีวิชัยมีปัญหา เรื่องขาดกำลังคน ครูบาศรีวิชัยก็จะมอบหน้าที่ให้ท่านไปนำกะเหรี่ยงอยู่บนดอยต่างๆ มาช่วยสร้างทาง

    หลวงพ่อ เล่าว่า การสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ และการสร้างบารมีของครูบาศรีวิชัย นั้น
    ทุกข์ยากลำบากมาก เพราะถูกกลั่นแกล้งจากบุคคลอื่น ที่ไม่เข้าใจ และอิจฉาริษยาอยู่เสมอ

    ทุกครั้งที่ครูบาศรีวิชัยให้ท่านไปนำกะเหรี่ยงมาช่วยสร้างทาง
    ระหว่างการเดินทาง ต้องคอยหลบเลี่ยง จากการตรวจจับของพวกตำรวจหลวง และคณะสงฆ์ที่ไม่เข้าใจ

    ครูบาศรีวิชัยท่านได้เล่าว่า ในเวลากลางวัน ต้องหลบซ่อนกันในป่า หรือเดินทางให้ห่างไกล จากเส้นทางสัญจร เพื่อหลบให้ห่างจากผู้ขัดขวาง ส่วนในเวลากลางคืนต้องรีบเดินทางกันอย่างฉุกละหุก เพราะเส้นทางต่าง ๆ มืดมาก ต้องอาศัยโคมไฟตามบ้านเป็นการดูทิศทาง เพื่อให้ถึงจุดหมายปลายทางเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

    ด้วยบารมี และความตั้งมั่นในการทำความดีของครูบาศรีวิชัยที่มีต่อพระพุทธศาสนา
    ทำให้พุทธบริษัท ทั้งชาวบ้าน และชาวเขา จากในที่ต่าง ๆ จำนวนมาก มาช่วยสร้างทางขึ้นดอยสุเทพได้สำเร็จ ดังความตั้งใจของครูบาศรีวิชัย โดยใช้เวลาสร้างเพียง ๗ เดือน เท่านั้น

    เมื่อครูบาศรีวิชัยสร้างทางขึ้นดอยสุเทพสำเร็จแล้ว หลวงพ่อจึงได้ไปกราบลาครูบาศรีวิชัย
    กลับไปอยู่ที่เมืองตื๋น วัดจอมหมอก ตำบลแม่ตื๋น กิ่งอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่

    ถูกจับห่มขาว
    เมื่ออายุได้ ๒๓ ปี ขณะที่ท่านอยู่ที่วัดจอมหมอก เจ้าคณะตำบลได้มาจับท่านสึก ในข้อหาที่ท่านเป็นศิษย์ และเป็นกำลังสำคัญ ที่ปฏิบัติ เชื่อฟัง ครูบาศรีวิชัยอย่างเคร่งครัด (ซึ่งในขณะนั้นครูบาศรีวิชัยได้ถูกจับมาสอบสวนอธิกรณ์ที่กรุงเทพฯ )

    แต่ตัวท่านเอง ไม่ปรารถนาที่จะสึก จะหนีไม่ได้ เมื่อทางคณะสงฆ์จะจับท่านสึก และให้นุ่งห่มดำ หรือแต่งแบบฆราวาส ท่านไม่ยอม เพราะท่านไม่ได้ผิดข้อปฏิบัติของสงฆ์

    แต่เมื่อคณะสงฆ์ที่ไปจับท่านสึกไม่ให้ห่อเหลือง
    ท่านจึงหาผ้าขาว มาห่มแบบสงฆ์ เลียนเยี่ยงอย่าง
    ครูบาขาวปี วัดผาหนาม
    (ซึ่งเคยถูกจับสึกไม่ให้ห่อเหลืองในข้อหาเดียวกัน)

    ในคราวที่ ครูบาศรีวิชัยถูกอธิกรณ์ ก่อนที่จะมีการสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ และยึดถือข้อวัตรปฏิบัติ เหมือนที่เป็นสงฆ์อย่างเดิม ซึ่ง
    หลวงพ่อครูบาพรหมจักร วัดพระบาทตากผ้า, ครูบาบุญทืม และ เจ้าคุณราชฯ เจ้าคณะจังหวัดลำพูนองค์ก่อนวัดจามเทวีเคยพูด ว่า

    "ในหมู่พระสงฆ์ และฆราวาส ที่เป็นศิษย์ของครูบาศรีวิชัย ก็ยังนับถือหลวงพ่อ เป็นพระสงฆ์เช่นเดิม เพราะการสึก ในครั้งนั้น ไม่สมบูรณ์ ครูบาวงศ์ไม่ได้ทำผิดพระวินัยของสงฆ์ และในขณะที่สึกนั้นจิตใจของท่านก็ไม่ยอมรับที่จะสึก ยังยึดมั่นว่าตัวเองเป็นพระสงฆ์เหมือนเดิม ดังจะเห็นได้จากการที่ท่านยังปฏิบัติข้อวัตร พระธรรมวินัยของสงฆ์ทุกประการ"

    หลวงพ่อได้เล่าว่ า ในคราวนั้นลูกศิษย์ลูกหาของครูบาศรีวิชัย ระส่ำระสาย กันมาก
    บางองค์ก็ถูกจับสึกเป็นฆราวาส บางองค์ก็หนีไปอยู่ที่อื่นบ้าง ในป่าในเขาบ้าง
    เพื่อไม่ให้ถูก จับสึก

    รวมตัวที่บ้านปาง
    หลังจากที่ครูบาศรีวิชัย พ้นจากอธิกรณ์ ครูบาศรีวิชัย ได้เดินทางกลับไปจังหวัดลำพูน
    เพื่อไปบูรณะและสร้างวัดบ้างปาง อันเป็นวัดบ้านเกิดของท่าน หลวงพ่อ และครูบาขาวปี (ซึ่งขณะนั้นนุ่งขาวห่มขาวทั้งคู่) ตลอดจนลูกศิษย์ ทั้งที่ถูกจับสึกเป็นฆราวาส และที่หนีไปในที่ต่าง ๆ ต่างก็ได้เดินทางกลับมาช่วยกันสร้าง และบูรณะวัดบ้านปาง เพื่อให้เป็นที่อยู่ที่ถาวรของ ครูบาศรีวิชัย

    พระสงฆ์ที่เคยช่วยครูบาศรีวิชัยสร้างวัดบ้านปาง ปัจจุบันที่ยังมีชีวิตอยู่ที่หลวงพ่อพอจำได้ คือ
    ครูบาศรีนวล วัดเจริญเมือง จังหวัดเชียงราย, ครูบาก้อน ปัจจุบันย้ายจากวัดสวนดอก ไปอยู่ที่จังหวัดลำปาง (ครูบาก้อน นี้ เป็นผู้นำเถ้าอังคาร ของครูบาศรีวิชัย มาทำพระเครื่องรูปเหมือนครูบาศรีวิชัย ซึ่งปัจจุบันพระเครื่องชุดนี้ ได้รับความนิยม จากคนทั่วไป)

    หลวงพ่อ ได้ช่วยครูบาศรีวิชัยสร้างวิหาร ที่วัดบ้านปางได้ระยะหนึ่ง
    ท่านจึงลาไปบำเพ็ญภาวนาธุดงค์ แสวงหาสัจธรรมต่อไปในป่าในเขา
    และเผยแพร่ธรรมะ ให้กับชาวบ้าน และชาวเขาในที่ต่าง ๆ ต่อไป


    ชีวิตเดินธุดงค์

    ในสมัยนั้น ท่านได้ธุดงค์บำเพ็ญเพียรไปในที่ต่างๆ องค์เดียวเสมอ ท่านชอบธุดงค์ไปอยู่ในป่า ในถ้ำที่ห่างไกลผู้คน หลวงพ่อเล่าว่า ในสมัยนั้นการเดินธุดงค์ไม่สะดวกสบายเช่นสมัยนี้ เพราะเครื่องอัฏฐบริขารและกลดก็หาได้ยากมาก ตามป่าตามเขาก็มีสัตว์ป่าที่ดุร้ายอาศัยกันอย่างมากมาย ในขณะถือธุดงค์ในป่าในเขาก็ต้องอาศัยถ้ำหรือใต้ต้นไม้เป็นที่พักที่ภาวนา เมื่อเจอพายุฝนก็ต้องนั่งแช่อยู่ใน น้ำที่ไหลท่วมมาอย่างรวดเร็วเช่นนั้นจนกว่าฝนจะหยุดตก การภาวนาในถ้ำในสมัยก่อนนั้นก็มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากมาย เช่น เสือ, ช้าง, งู, เม่น ฯลฯ เป็นต้น แต่มันไม่เคยมารบกวน หรือสร้างความกังวลใจให้ท่านเลย ต่างคนต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน

    ท่านเล่าว่า ครั้งหนึ่งท่านได้ไปบำเพ็ญภาวนาในถ้ำแห่งหนึ่งที่ตำบลบ้านก้อ สมัยนั้นยังเป็นป่าทึบ ต้นสักแต่ละต้นขนาด ๓ คนโอบไม่รอบ ในถ้ำนั้นมีเม่นและช้างอาศัยอยู่ บางครั้งก็มีเสือเข้ามาหลบฝนบ่อยครั้งที่ท่านกำลังภาวนาทำสมาธิอยู่นั้น พวกมันจะมาจ้องมองท่านด้วยความแปลกใจ ทำให้ท่านรู้สึกถึงความบริสุทธิ์ และความไร้เดียงสาของสัตว์ที่มองดูท่านด้วยท่าทางฉงนสนเท่ห์ ทำให้ท่านนึกถึงคำสั่งสอนของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า

    "ความไม่เบียดเบียนกันเป็นความสงบสุขอย่างยิ่ง"

    หลวงพ่อ บอกว่าพระธุดงค์ในสมัยก่อน ต้องผจญอุปสรรค และปัญหาต่าง ๆ มากมาย
    จึงต้องเคี่ยวจิตใจ และกำลังใจให้เข้มแข็ง และแกร่งอยู่เสมอ
    ดังนั้น พระธุดงค์รุ่นเก่า จึงเก่งและได้เปรียบ กว่าพระสงฆ์ในปัจจุบัน
    ทั้งในด้านจิตใจ และการปฏิบัติบำเพ็ญภาวนา

    แต่เสียเปรียบกว่า พระสงฆ์ในยุคนี้ ในด้านการใฝ่หาความรู้ทางด้านปริยัติ เพราะในสมัยนี้ความเจริญ ทำให้ไปไหนมาไหนได้สะดวก และเร็วขึ้น พระสงฆ์ในรุ่นเก่าที่อยู่ห่างไกลตัวเมือง จึงต้องบังคับจิตใจ บำเพ็ญเพียร ปฏิบัติภาวนาให้เกิดปัญญา และธรรมะขึ้นในจิตในใจ เพื่อนำมาพิจารณา และ ปฏิบัติให้ถึงพระนิพพาน

    ธุดงค์น้ำแข็ง
    บ่อยครั้ง ท่านได้ธุดงค์จาริกผ่านไปที่กิ่งอำเภออมก๋อย ในฤดูหนาวบริเวณภูเขาของกิ่งอำเภออมก๋อย จะมีเหมยค้างปกคลุมไปทั่ว (เหมยค้าง นี้ ภาษาภาคเหนือ หมายถึง น้ำค้างที่กลายเป็น น้ำแข็ง) ในบริเวณนี้มีต้นสนขนาดต่างๆ ขึ้นเต็มไปหมด ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เลย เวลาย่ำเดินไปบนพื้น น้ำแข็ง ขาจะจมลึกลงไปในน้ำแข็งนั้น ทำให้เกิดความหนาวเย็นเป็นอันมาก เพราะท่านมีแต่ผ้าที่ครองอยู่เพียงชั้นเดียวเท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อมีลมพัดผ่านมา ท่านต้องสั่นสะท้านทุกครั้ง

    ท่านได้เล่าว่า ความแห้งแล้งของอากาศและความหนาวเย็นของน้ำแข็ง
    ทำให้ผิวหนังของท่านแตกปริเป็นแผลไปทั้งตัว ต้องได้รับทุกขเวทนามาก

    สมัยนั้น ในภาคเหนือ จะหากลดมาสักอันหนึ่งก็ยากมาก การธุดงค์ของท่านก็มีแต่อัฏฐบริขารเท่านั้น ที่ติดตัวไปทุกหนทุกแห่ง ช้อนก็ทำจากกะลามะพร้าว ถ้วยน้ำก็ทำจากกระบอกไม้ไผ่ ผ้าจีวรที่ครองอยู่ก็ต้องปะแล้วปะอีก

    การปฏิบัติภาวนา บนภูเขาที่มีน้ำแข็งปกคลุมมากเช่นนี้ ทำให้การปฏิบัติ สมถะ และวิปัสนากรรมฐานนั้น กลับแจ่มชัด และรวดเร็ว ดียิ่งกว่าในเวลาปกติธรรมดา เพราะทำให้ได้เห็นเรื่องของไตรลักษณ์ ได้ชัดเจนดี และการพิจารณาขันธ์ ๕ อันเป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ก็สามารถเห็นอย่างแจ่มชัด ทำให้ในขณะภาวนาทำสมาธิอยู่นั้น จิตสงบดีมาก ไม่พะวงกับ สิ่งภายนอกเลย

    ในบางครั้ง ขณะที่นั่งสมาธิอยู่นั้น ไฟที่ก่อไว้ ได้ลุกไหม้จีวรของท่านไป ตั้งครึ่ง ค่อนตัวท่านยังไม่รู้สึกตัวเลย เมื่อจิตออกจากสมาธิแล้ว ท่านต้องรีบดับไฟที่ลุกไหม้อยู่นั้น อย่างรีบด่วน ทำให้ต้องครองผ้าจีวรขาดนั้นไป จนกว่าจะเดินทางไปพบหมู่บ้าน ท่านก็จะนำผ้าที่ชาวบ้านถวายให้มา ต่อกับจีวรผืนเก่าที่เหลืออยู่นั้น ในบางครั้งท่านจะนำผ้าบังสุกุล ที่พบในระหว่างทางมาเย็บต่อจีวร ที่ขาดอยู่นั้น ตามแบบอย่างที่ครูบาอาจารย์ในยุคก่อน ๆ ปฏิบัติสืบต่อกันมา ตั้งแต่ครั้งสมัยพุทธกาล

    หลวงพ่อ เป็นพระสงฆ์ผู้ถ่อมตน และไม่เคยโอ้อวดเป็นนิสัย
    เมื่อมีผู้สงสัย ว่า ท่านคงเข้าสมาธิจนสูงถึงขึ้นจิต ไม่จับกับ กาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้ว จึงไม่รู้ว่าไฟไหม้

    ตัวท่านมักตอบเลี่ยงไป ด้วยใบหน้าเมตตา ว่า

    "คงจะอากาศหนาวมาก หลวงพ่อ จึงไม่รู้ว่าไฟไหม้จีวร"

    ตรงตาม คำทำนาย

    เมื่อท่านอยู่วัดป่าพลูครบ ๕ พรรษา ตามบัญญัติของสงฆ์แล้ว
    ในขณะนั้นท่านมีอายุได้ ๓๔ ปี นายอำเภอลี้ และคณะสงฆ์ในอำเภอลี้
    ได้ให้ศรัทธาญาติโยมวัดนาเลี่ยงมานิมนต์ ครูบาขาวปี หรือท่านองค์ใด องค์หนึ่ง
    เพื่อไปอยู่เมตตาบูรณะ วัดพระพุทธบาทห้วยข้าวต้ม

    แต่
    ครูบาขาวปี ไม่ยอมไป และบอกว่า

    "ไม่ใช่หนึ่งที่ ของกู"

    ครูบาศรีวิชัย เคยพูดไว้ ว่า

    "วัดพระพุทธบาทห้วยข้าวต้มนั้น มันเป็นหน้าที่ของครูบาวงศ์องค์เดียว"

    ด้วยเหตุนี้ ครูบาขาวปี จึงขอให้ท่านไปอยู่โปรดเมตตาสร้างวัด พระพุทธบาทห้วยข้าวต้ม ซึ่งต่อมาในภายหลังจากที่ท่านได้ไปอยู่ที่วัดพระพุทธบาทห้วยข้าวต้มแล้ว ท่านได้เปลี่ยนชื่อให้สั้นลง เป็น "วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม"

    ในขณะที่ท่านอยู่ที่เมืองตื๋น นั้น ชาวบ้านและชาวเขาต่างเรียกท่านว่า "น้อย" เมื่อท่านมาอยู่ที่วัดพระบาทห้วย (ข้าว) ต้ม ชาวบ้านทั้งหลายจึงเชื่อกันว่า ท่านคงเป็น "พระน้อยเมืองตื๋น" ตาม คำโบราณที่ได้จารึกไว้ ณ วัดพระพุทธบาทห้วย (ข้าว) ต้ม

    และ เหตุการณ์นี้ ก็ตรงตามคำพูดของ ครูบาชัยลังก๋า และครูบาศรีวิชัย

    ดังที่กล่าวมาข้างต้น เมื่อท่านย้ายมาประจำที่วัดพระพุทธบาทห้วย (ข้าว) ต้ม
    และท่านก็ยังออกจาริกไปสั่งสอนธรรมะแก่ชาวบ้านและชาวเขาในที่ต่างๆ อยู่เสมอ ๆ เหมือนที่ท่านเคยปฏิบัติมา

    ผู้เฒ่าผู้รู้เหตุการณ์
    ในระยะแรกที่หลวงพ่อมาที่วัดพระพุทธบาทห้วย (ข้าว) ต้ม ผู้เฒ่าคนหนึ่งในหมู่บ้านนาเลี่ยงได้พูดกับชาวบ้านในละแวกนั้นว่า

    "ต่อไปบริเวณเด่นยางมูล (คือหมู่บ้านห้วยต้มในปัจจุบัน) จะมีชาวกะเหรี่ยงอพยพติดตามครูบาวงศ์มาอยู่ที่นี่จนเป็นหมู่บ้านใหญ่ในอนาคต ในครั้งนี้จะใหญ่กว่าหมู่บ้านกะเหรี่ยง ๔ ยุคที่เคยอพยพมาอยู่ที่นี่ในสมัยก่อนหน้านี้"

    คำพูดอันนี้ ในสมัยนั้นชาวบ้านนาเลี่ยงฟังแล้ว ไม่ค่อยเชื่อถือกันนัก
    แต่ในเวลาต่อมาไม่นาน คำพูดอันนี้ ก็เป็นความจริงทุกประการ หลวงพ่อได้เล่าให้คณะศิษย์ฟังเพิ่มเติม ว่า คนเฒ่าผู้นี้เ ป็นผู้รู้เหตุการณ์ในอนาคต และมักจะพูดได้ถูกต้องเสมอ

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลังจากที่ท่านได้สร้างวิหารที่วัดพระพุทธบาทห้วย (ข้าว) ต้ม เป็น รูปร่างขึ้นแล้ว

    ผู้เฒ่า คนนี้ในสมัยก่อนเคยเห็นคำทำนายโบราณของวัดพระพุทธบาทห้วย (ข้าว) ต้ม มาก่อน ได้มาพูดกับท่าน ว่า

    "ท่านครูบา จะสร้างให้ใหญ่เท่าไหร่ ก็สร้างได้
    แต่จะสร้างใหญ่จริงอย่างไร ก็ไม่สำเร็จ ต่อไปจะมีคน ๆ หนึ่งมาช่วย

    ถ้า คนนี้ มาแล้ว จะสำเร็จได้"




    [​IMG]



    สรุป อาการป่วยและการมรณภาพของหลวงปู่พระครูบาชัยยะวงศาพัฒนา
    วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ต.ลี้ อ.ลี้ จ.ลำพูน

    วันที่ ๑๑ พ.ค. ๒๕๔๓
    หลวงปู่พระครูบาชัยยะวงศาพัฒนา ได้เดินทางไปรักษาองค์ท่านที่ โรงพยาบาลลานนา จ.เชียงใหม่
    ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่หลวงปู่ได้เข้าทำการรักษาองค์ท่านเป็นประจำ

    เนื่องจากมีอาการอ่อนเพลียและมีอาการหลง ๆ ลืม ๆ คณะแพทย์ได้ทำการเติมโปรตีน
    และเปลี่ยนยาให้ท่าน เพราะมียาบางตัวมีผลทางด้านระบบประสาท
    หลวงปู่ มีอาการดีขึ้นเป็นลำดับ
    และกำหนด จะกลับวัด ในวันจันทร์ที่ ๑๕ พ.ค. ๒๕๔๓

    ในคืนวันอาทิตย์ที่ ๑๔ พ.ค. ๒๕๔๓
    เวลาประมาณ ๕ ทุ่มเศษ
    หลวงปู่ ได้มีอาการท้องผูกและ ถ่ายไม่ออก ได้มีการสวนทวาร
    เพื่อให้ท่านถ่าย เพราะหลวงปู่ปวดท้องมาก ช่วงนี้ จนถึงเวลา ๐๖.๐๐ น. เศษ
    ของวันจันทร์ที่
    ๑๕ พ.ค. ๒๕๔๓ หลวงปู่ ได้ถ่ายประมาณ ๔ ครั้ง และมีอาการอ่อนเพลีย
    หายใจไม่ออก
    หลวงปู่ ปรารภว่า เจ็บที่ลิ้นปี่ เจ็บอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน วันนี้หลวงปู่ ฉันไม่ได้
    เวลา ๐๗.๐๐ น. เศษ แพทย์ได้ตรวจดูอาการ
    หลวงปู่ และได้ทราบว่าหลวงปู่มีอาการโรคหัวใจกำเริบ
    แพทย์จึงกราบนิมนต์
    หลวงปู่ เข้ารักษาที่ห้อง ICU

    หลวงปู่ ได้อยู่รักษาที่ห้อง ICU โดยอยู่ในความดูแลของแพทย์ อาการ ของหลวงปู่เริ่มดีขึ้น เล็กน้อย
    ช่วงบ่ายความดันเริ่มต่ำลง ไตเริ่มไม่ทำงานทำให้ปัสสาวะไม่ออก
    แพทย์ได้เชิญแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านหัวใจ และไต มาช่วยรักษาอาการ
    หลวงปู่
    ช่วงเย็นคณะแพทย์ได้พิจารณาสวนปัสสาวะให้หลวงปู่ แต่ปัสสาวะก็ไม่ออก
    คณะแพทย์จึงตัดสินใจเจาะช่องท้องเพื่อเอาปัสสาวะหลวงปู่ออก
    เมื่อปัสสาวะหลวงปู่ออกแล้ว ความดันหลวงปู่ เริ่มดีขึ้น คุยได้ พูดได้
    คณะแพทย์ต้องการให้ ท่านพักผ่อน จึงห้ามเยี่ยมหลวงปู่

    ช่วงกลางคืนจนถึงเช้าของวันอังคารที่
    ๑๖ พ.ค. ๒๕๔๓
    หลวงปู่ ให้พระที่ดูแลท่านแปรงฟันให้ท่าน ท่านยังคุยพูดได้บ้าง แต่ยังมีอาการเหนื่อย
    เช้าวันนี้หลวงปู่ฉันน้ำข้าวได้ ๔-๕ ช้อน เมื่อฉันเสร็จท่านก็พัก ดูอาการหลวงปู่ดีขึ้น
    ช่วงเช้ามีหลวงพ่อพระครูบาพรรณ วัดนาเลี่ยง และท่านพระคำจันทร์ วัดพระบาทห้วยต้ม
    ไปกราบเยี่ยมอาการหลวงปู่ หลวงปู่ท่านก็คุยได้ ยังให้ศีลให้พรหลวงพ่อพระครูบาพรรณได้อย่างชัดเจน
    หลังจากนั้นเวลา บ่ายโมง หลวงปู่เริ่มมีอาการกระวนกระวาย และหายใจไม่ออก ความดันต่ำลงเรื่อย ๆ
    คณะแพทย์ได้ปรึกษากันและลงความเห็นว่า ให้ย้ายหลวงปู่เข้าไปรักษาที่โรงพยาบาลมหาราช (สวนดอก)
    เพราะที่โรงพยาบาลลานนา ไม่มีเครื่องมือที่จะรักษาอาการของหลวงปู่ได้

    เมื่อไปถึงโรงพยาบาลมหาราช ทางคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและไต ได้ทำการรักษาหลวงปู่
    และได้พบว่าหลวงปู่ มีเลือดไปอุดตันที่เส้นเลือดหัวใจข้างขวา ยาวประมาณ ๔-๕ นิ้ว
    ไตไม่ทำงาน ปอดอักเสบและมีไข้

    คณะแพทย์จึงได้ทำการรักษาหลวงปู่ด้วยวิธีสุดท้าย
    คือ ใช้บอลลูนไปช่วยทำให้เลือดที่อุดตันเส้นเลือดใหญ่กระจาย

    เวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น. เศษ หลวงปู่ออกมาจากห้องทำบอลลูน ดูท่านดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
    ยกแขนและคุยได้ดี คณะแพทย์ได้พาหลวงปู่มาอยู่ที่ห้อง CCU ตึกศรีพัฒน์ ชั้น ๘ โรงพยาบาลมหาราช
    เวลาประมาณทุ่มเศษ หลวงปู่เริ่มมีอาการหายใจไม่ออก แน่นหน้าอก

    คณะแพทย์ได้จึงได้ช่วยกัน รักษาหลวงปู่อย่างสุดความสามารถ แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น ไตไม่ทำงาน ความดันต่ำลงเรื่อย ๆ เพราะเลือดที่อุดตันกระจาย ทำให้หลวงปู่ดีขึ้น
    แต่ไม่สามารถผ่านเส้นเลือดเล็ก ๆ ที่ไปเลี้ยงร่างกายได้ เพราะเลือดแข็งตัวเป็นลิ่ม
    จึงอุดตันที่เส้นเลือดเล็ก ทำให้หลวงปู่ทรุดลงอีก หายใจไม่ออกแน่นหน้าอก จนท่านหมดสติ

    คณะแพทย์ได้พยายามให้ยาละลายเลือดที่อุดตัน แต่ก็ไม่ได้ผลความดันเริ่มต่ำลงอีก

    คณะแพทย์ช่วยหลวงปู่ จนถึงเวลาประมาณ ตีหนึ่ง ของ..
    วันที่ ๑๗ พ.ค. ๔๓
    คณะแพทย์ได้แจ้งว่า ไตของหลวงปู่ ไม่ทำงานแล้ว สมองไม่สั่งงาน

    เวลา ๐๑.๑๐ น. คณะแพทย์แจ้งว่า หัวใจของหลวงปู่ ได้หยุดเต้น ไม่มีระบบการตอบรับของร่างกายหลวงปู่แล้ว แต่ยังใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจอยู่ ถึงอย่างไรหลวงปู่ ก็ไม่สามารถกลับมาหายใจได้อีก เพราะเส้นเลือดหัวใจอุดตัน ไตวาย สมองไม่ทำงาน ปอดอักเสบ

    ช่วงนั้น
    หลวงพ่อพระครูบาพรรณ อยู่ในห้อง CCU ด้วย
    ท่าน จึงยังไม่ให้แพทย์เอาเครื่องกระตุ้นหัวใจออก

    จนถึง เวลา ๐๗.๓๐ น.
    คณะศิษย์ นำโดยหลวงพ่อพระครูบาพรรณ วัดนาเลี่ยง อ.ลี้ จ.ลำพูน
    ได้ทำพิธี ขอขมาพระศพหลวงปู่ และให้คณะแพทย์ถอดเครื่องกระตุ้นหัวใจหลวงปู่ออก

    หลวงปู่ จึงนอนพักอย่างสงบ ตั้งแต่นั้นมา

    .
    ..





    (ขอบคุณข้อมูลจากคุณอาแอ๊ด มหาหินเป็นอย่างสูงครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 มกราคม 2010
  8. jasmins

    jasmins เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    258
    ค่าพลัง:
    +1,757
    จะไปปฎิบัติธรรมวันที่ 11 มกรา แล้วจะกลับมาทันลงชื่อไหมนี้เรา ฮือๆๆๆๆ......

    ขออนุโมทนากับทุกท่านที่ได้รับสิ่งที่เป็นมงคลต้อนรับปีใหม่นะค่ะ

    บุญรักษา ธรรมะคุ้มครอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2010
  9. KritZ_2530

    KritZ_2530 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +293
    บุญใดที่ท่านได้ก่อขอให้เป็นเหตุปัจจัยให้ท่านได้เจริญในธรรมเต็มอัตรา
     
  10. sundayparty

    sundayparty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2010
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +107
    ขออนุโมทนาและขอจองด้วย

    ขออนุโมทนานะครับ วันที่ 10 เกรงว่าจะไม่ได้ เปิดเครื่องเพราะไปต่างจังหวัด
    อย่างไรก็ขอโพสแสดงความจำนงค์ไว้พร้อมกันเวลานี้เลยแล้วกันนะครับ
    แล้วต้องทำอย่างไรบ้างครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มกราคม 2010
  11. huten

    huten เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,808
    ค่าพลัง:
    +15,229
    วันนี้ 10 ม.ค ขอจองคิว รับแจกก่อน ค่ะ
    ต้องทำอย่างไรบ้างค่ะ
     
  12. earn1

    earn1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    166
    ค่าพลัง:
    +651
    ขอจองคิวไว้ก่อนเดียวไม่ทันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2010
  13. noppadon_p

    noppadon_p เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2009
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +154
    ขอลงชื่อไว้ด้วยคนครับ
     
  14. i2shadow

    i2shadow เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2009
    โพสต์:
    129
    ค่าพลัง:
    +478
    เย้ ......วันที่ 11 แล้วคับ มานั่งรอล่ะ
     
  15. HipPo*

    HipPo* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    3,101
    ค่าพลัง:
    +7,908
    โปรดรับทราบไว้ด้วยครับ อันดับการจองที่1จะเริ่มนับจากโพสนี้ไป

    ส่วนท่านที่ได้ลงชื่อไว้ก่อนโพสนี้ Pm.ติดต่อผมได้โดยตรงครับจะจัดให้พิเศษหลังไมค์
    (ไม่รวมกับ 30 ท่านหน้ากระทู้ครับ)



    ** เชิญลงชื่อจองได้เลยครับ
    อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 มกราคม 2010
  16. พ่อน้องหนุน

    พ่อน้องหนุน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +5,562
    ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ ขอรับ 1 ชุดครับ ลำดับที่ 1
    นายสัญชาติ เชียงการ ./
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 มกราคม 2010
  17. pongtera24p

    pongtera24p ชมรมศิษย์หลวงปู่เทพโรคอุดร พิจิตร

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    887
    ค่าพลัง:
    +1,905
    ลำดับที่2
    พงษธีระ ขอรับ1 ชุดครับ
     
  18. kajit

    kajit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,656
    ค่าพลัง:
    +3,351
    ลำดับที่ 3
    ศักรพงศ์ ขอรับ1 ชุดครับ
     
  19. tudsanai047

    tudsanai047 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    679
    ค่าพลัง:
    +1,291
    ขอรับด้วยครับ

    ลำดับที่ 4.
    ขอบพระคุณและอนุโมทนาครับ.
    ทัศไนย กวิวังสานนท์
    32 หมู่ 1 ถ.สุดบรรทัด ต.ตาลเดี่ยว อ.แก่งคอย จ.สระบุรี 18110
     
  20. bung2525

    bung2525 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +1,311
    ลำดับที่ 5 นายปกรณ์ ไพบูลย์รุ่งเรือง ครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...