***กสินใน 1 วัน / อรูปฌาน4 ใน 1 วัน***

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย GluayNewman, 18 ธันวาคม 2011.

  1. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    พี่เคยมีปัญหาปวดระหว่างคิ้วไหมตอนนั่งสมาธิแก้ไงครับ แล้วคิดปรามาสมีไหมแก้ไงครับ
     
  2. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ถ้าพได้ี่เป็นพระอรหันต์แล้วถ้าเพิ่งออกจากนิโรคสมาบัติ ขอให้ผมได้ทําบุญกับพี่ด้วยเทอญ
     
  3. ballbeamboy2

    ballbeamboy2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    1,622
    ค่าพลัง:
    +1,618
    อ่อจริงๆครั้งแรกที่ผมนั่งสมาธิ ตอนนั้นยังไม่รู้พุทธภูมิอะไร สาสกภูมิอะไรรู้ว่าตอนนอนนั้นอยากให้จิตใจบริสุทธิ์อยากพ้นทุกข์ก็แค่นั้น เพราะคิดไม่ดีต่อพระรัตนตรัย แล้ววันนั้นวันพระ+กับนั่งที่วัด แล้วผมตอนนั้นไม่สนใจสมาธิเลย เพราะ ตอนอยู่โรงเรียน โรงเรียนจะให้เดินสมาธิ ทุกวันกุมมือไรพวกนี้แล้วเดินขึ้นห้อง ผมทํามาเป็นปี ฌาณไม่ได้เลย ตอนนั้นไม่รู้จักเลยฌาณคือไร มารู้ก็ศึกษาเวปนี้ ตอนนั้นนั่งสมาธิปกติหลับตาได้สักพัก อารมณ์ตอนนั้นสบายมาก จู่ครับ เหมือนอารมณ์มันดิ่งลงไปแล้วสุขดีมาก ถ้าจะให้เหมือน เอาเหล็กมาผูกกับขนมเล็กๆ แล้วเหล็กมันก็ดิ่งลงมา มันสุขจริง แต่สักพักผมก็ครั้งแรก ก็รู้สึกตกใจ เหมือนตกจากที่สูง (คือรู้สึกดิ่งแล้วสุข แล้วตกจากที่สูงก็ตามมา) ตอนนั้น จ้างเงินพันล้าน หญิงสวยๆ มาแค่ไหน บอกคําเดียวไม่เอา สุขแบบนี้มันสุขสุดๆหละในชีวิตผมที่เคยมีมา กินอาหารทาโกยากิ (ผมชอบ) หรือก๋วยเตี๋ยวอร่อยๆก็ไม่เท่าสุขอันนี้เลย สุขสุดหละๆที่ผมเคยเจอ แล้วพี่ได้ฌาณสมาบัติ8 พี่ต้องสุขมากๆแน่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2012
  4. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ขอตอบทีละข้อนะครับ

    ปวดคิ้วระหว่างนั่งสมาธิ เกิดเพราะไปเพ่งมากครับ เป็นมากๆ บ่อยๆ อาจเกิดอาการ "ติดเพ่ง" ได้ ลองไปที่กระทู้นี้ดูนะครับ ผมทำไว้เรื่องติดเพ่งโดยเฉพาะ
    http://palungjit.org/threads/ปัญหาคลาสิก==ติดเพ่ง==.313873/
     
  5. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747

    เรื่องปรามาสพระอริยะ ผมเคยกับตัวเองเลยครับ

    ปรามาสหลวงพ่อฤาษีลิงดำ และหลวงพ่อคูณ ไม่ได้ว่าแรงด้วยครับ แค่ตำหนิท่านที่ออกเหรียญ หรือสร้างวัตถุมากเกินไป
    ทุกวันนี้รับกรรมอยู่ ผมใช้คำว่า "หนักและนาน" ป่วยหนักมา 8 ปี ไม่มีวิธีรักษา ชีวิตการงาน และครอบครัวพังทลายหมด
    วิธีจะให้พ้นกรรมนี้ มีทางเดียวคือปฏิบัติธรรม ปฏิบัติจนกระทั่งออกจากทุกข์ได้จริง จึงจะพ้นครับ ไม่มีวืธีอื่นเลย อ้อ...ก็ต้องขอขมาแก่พระรัตนตรัยด้วยนะ ปฏิบัติไป ขอขมาไปด้วย

    กรรมนี้เป็นกรรมที่ทำง่ายนิดเดียว แต่หนักจนเหลือบรรยาย ถ้าผมไม่ปฏิบัติธรรม ชาติหน้า คงมีนรกเป็นทีหวังแน่นอนครับ

    ถ้าใครเผลอทำกรรมนี้ไปแล้วด้วยมีเจตนาหรือไม่ก็ตาม เกิดความสำนึกแล้ว มาหาผมได้นะครับ ยินดีช่วยเต็มที่ เข้าใจหัวอกเดียวกันครับ

    ***************************************

    เรื่องที่ว่า ถ้าผมเข้านิโรธสมาบัติได้นี่ คงพูดลำบากนะครับ
    ไม่รู้จะไปถึงหรือเปล่า ...ถึงทำได้จริง การที่จะมาประกาศคงไม่ใช่เรื่องที่เหมาะแน่ๆ
    ถ้าถามความรู้สึกกันจริงๆ ถ้าผมไปถึงตรงนั้นได้จริง ก็ต้องการให้ผู้คนได้รับบุญจากการบำเพ็ญตรงนี้มากๆ ครับ ให้ได้รับบุญสูงสุดกันเลย ...
    แต่จะทำได้อย่างไรนั้น หรือการจะประกาศออกไป คงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบที่สุดเลย เป็นดาบสองคมมากๆ

    จริงๆ ถ้าเรารู้จักการทำุบุญ แล้วอธิษฐานดีๆ ก็มีผลมากแล้วนะครับ
    ผมทำบุญทุกครั้ง ไม่เคยอธิษฐานอะไรนอกจาก ขอให้พ้นทุกข์เท่านั้น
    ไม่ได้ต้องการความร่ำรวย ชื่อเสียง เกียรติยศ อะไรเลย
    ถ้าตั้งใจจริง ไม่ย่นย่อ และไม่ติดอัตตาตัวตน วันหนึ่งเราก็จะได้รับผลตามอธิษฐานแน่ๆ ครับ ผมกล้ารับรอง

    อีกอย่างเลย ที่สำคัญ ที่อยากจะบอกให้ทราบทั่วๆ กัน
    ถ้าเป็นไปได้ ช่วยแพร่ความรู้นี้ไปด้วยนะครับ หลวงพ่อท่านสอนไว้

    เรามีจิตพระอรหันต์ได้ครับ ในบางขณะ คือขณะที่ไม่มีความโลภ โกรธ หลง เลย
    ลองสังเกตุดูซิครับ จิตของเราไม่ได้มีกิเลสตลอดเวลาหรอก
    บางครั้งจิตจะว่างจากกิเลส หรือเราสังเกตุปั๊บ มีสติขึ้นมา รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่
    กิเลสมันจะหายไปเลย แปลกไม๊ครับ
    นั่นแหละครับ จิตพระอรหันต์ (แบบชั่วคราว) จิตที่บริสุทธิ์ ปราศจากกิเลส
    เราทำบุญในขณะที่มีจิตของพระอรหันต์ จะตรงกับคำกล่าวที่ว่า
    "ถ้าทำบุญด้วยใจบริสุทธิ์แล้ว ผู้ให้กับผู้รับเสมอกัน"
    เท่ากับตอนนั้นเราทำบุญกับพระอรหันต์แล้ว
    ไม่ว่าผู้รับจะเป็นใครก็ตาม จริงไม๊ครับ

    แบบนี้ไม่ต้องรอพระอรหันต์ ออกจานิโรธสมาบัติเลย ทำบุญกับพระอรหันต์ได้ทุกๆ ครั้ง
    แต่จิตต้องบริสุทธิ์จริงๆ นะ มีความหวังนิดเดียว ไม่บริสุทธิ์ทันที
    หวังว่านี่คือการทำบุญกับพระอรหันต์ ก็ไม่บริสุทธิ์แล้วนะครับ
     
  6. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    เรื่องสุดท้าย ความสุขที่เกิดจากฌาน
    เป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ ผมก็เคย เอาเงินล้านมากอง ก็ไม่สนจริงๆ
    คิดอย่างเดียวว่า ชีวิตนี้ เกิดมาได้แค่นี้ พอแล้ว ไม่เอาแล้ว มรรคผล
    เพื่อนผมที่ได้สุขจากฌานเหมือนกัน ถึงกับออกปากว่า ต่อให้ผู้หญิงมาแก้ผ้าต่อหน้า ยังไม่สนเลย

    ความสุขก็เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงครับ เดี๋ยวมันก็หายไป
    แล้วเราก็อยากให้มันมีใหม่ มันก็เป็นกิเลสน่ะครับ

    เราต้องมีสติ บนพื้นฐานของสติปัฏฐาน 4
    แล้วจิตจะรู้จักสุขจริงๆ ว่ามันเป็นอนิจจังอย่างไร
    แค่คิดๆ นึกๆ เอา ใจมันไม่ตามครับ หรือตามก็ชั่วครั้งชั่วคราว ...ไม่ตามทุกครั้ง

    เมื่อจิตรู้จักความเป็นอนิจจังจริงๆ ...มันจะเกิดนิพิทา /วิราคะ / วิมุติ
    คือเห็นว่าสุขมันน่าระอา มันจะคลายจากกำหนัด (คือความหลงชอบ) และปล่อยหรือพ้นออกมาจากความหลงอันนั้น จิตมันจะวางสุขได้เอง...
    ไม่ใช่เราไปกำหนดให้มันวางนะครับ แบบนั้นแค่ชั่วคราว
    ต้องให้มีกระบวนการตามธรรมชาติเกิดขึ้นเอง จึงจะพ้นได้จริง ที่ผมมักใช้คำว่า อัตโนมัตินี่แหละ...ถึงวันนั้นจะทราบเลย ว่าจิตไม่เอาสุขจริงๆ มันจะไม่หวั่นความทุกข์เลย

    สำคัญคือเราต้องรู้จักสติปัฏฐานจริงๆ รู้จักสติที่บริสุทธิ์ตามธรรมชาติ ที่ปราศจากตัวตนจริงๆ
    ไม่งั้นมี "ตัวเราปฏิบัติ" อยู่ มีผู้กระทำอยู่ ไม่มีทางจะถึงซึ่งความเป็นเอง พ้นได้เอง หรืออัตโนมัติได้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2012
  7. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    คำถามที่พบบ่อยๆ คือ "ต้องทำสมาธิด้วยหรือเปล่า"

    ฌาน คือสิ่งที่ ผู้ที่จะพ้นทุกข์ ทุกคนต้องมี และเรียนรู้มัน
    มิฉะนั้นจะข้ามพ้นภพภูมิไม่ได้ ต้องมาเกิดอีก
    สมาบัติทั้ง 8 คือฌานทั้งหมด ก็คือภพภูมิของความเป็นพรหมทั้ง 20 ชั้น
    ถ้าจิตจะตัดพ้นจากภพภูมิทั้งหมด จึงจำเป็นอยู่เอง ที่ต้องเรียนรู้ในภพภูมินี้ให้หมดด้วย
    รู้เพื่อที่จะข้ามภพ และตัดขาด สู่ความไม่เกิด โดยสมบูรณ์ได้

    ดังนั้น เมื่อถึงเวลา สิ่งนี้จะเกิดเอง ไม่ได้เกิดภายใต้การไปกระทำให้เกิด
    แค่รู้จักตนเอง มีสติ รู้สึกตัวไว้เรื่อยๆ จิตจะเรียนรู้ และมีการพัฒนาไปสู่องค์ฌานได้เอง
    การไปกระทำ อันนั้นเกิดจากความต้องการ ต้องการสงบ ต้องการมีฤทธิ์
    เป็นกิเลสซ่อนเร้น เป็นความอยาก (ในทางกุศล)
    มีกิเลสผลักดันจิต ก็เป็นการสกัดกั้นการเรียนรู้ไปโดยปริยาย

    หรือบางคนมี "ของเก่า" คือเกิดเอง อันนั้นก็เป็นเรื่องที่เกิดจากการกระทำในอดีตชาติ
    เราก็ต้องใช้สิ่งนี้เป็นการเรียนรู้ เพื่อจะข้ามพ้นมัน ไม่ใช่จมอยู่กับความยินดีกับมัน

    สำหรับ ผู้ที่ยังไม่มี อย่างไรก็ตาม...สิ่งนี้มันจะต้องบังเกิดมีอยู่แล้ว เมื่อถึงเวลาของมัน
    เมื่อจิตได้ยกระดับการเรียนรู้ในภพภูมิที่ละเอียดยิ่งๆ ขึ้น
    มันจะหลีกเลี่ยงที่จะไม่มี ไม่ได้เลย

    ถ้าถามผมว่า ต้องทำสมาธิ ทำฌานหรือเปล่า
    ผมจะตอบว่า ทำหรือไม่ทำ วันหนึ่งก็ต้องเกิดขึ้นเองกับจิตอยู่แล้ว
    ถ้าทำแล้วลำบาก เป็นภาระ ก็ไม่ต้องทำครับ
     
  8. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ระบบออโต้ สุดอัศจรรย์

    คนเราทุกวันนี้ เอาชีวิตไปผูกกับความคิดครับ
    เพราะเชื่อว่า เจ้าความคิด มันหาเงิน หาความสุข มาให้เราได้มากๆ...
    หลงกับมันจนไม่เห็นความทุกข์ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเจ้าความคิด ...
    ถึงรู้ว่ามันก่อทุกข์ ก็ไม่รู้จักวิธีควบคุม หรือจัดการกับมัน

    คนเรา...เอาความคิดไปควบคุมความคิด เช่นคิดบวกไปหักล้างคิดลบ
    เอาคิดดีมาหักล้างคิดชั่ว คิดเรื่องธรรมะเพื่อมาแก้ไขอารมณ์ที่เกิดจากความคิดอกุศล
    หรือแม้แต่คิดถึงองค์บริกรรม คิดถึงการเพ่งลมหายใจ เพื่อให้ใจสงบ
    จนเกิดเป็นฌาน ที่เราเห็นว่าเป็นสิ่งวิเศษเหนือคนธรรมดา
    หรือสุดท้าย การคิดวิเคราะห์อารมณ์ต่างๆ เห็นสิ่งนั้นเกิดดับ
    นั่นก็อยู่ในวังวนของความคิดทั้งนั้น
    การเห็นความเกิดดับ ยังไม่พ้นวังวนของความคิดเลย
    ถ้ายังเป็น "เราเห็น" อยู่ ยังอยู่ภายใต้อิทธิพลความปรุงแต่งเป็นเรา
    นั่นแหละครับ วังวนความคิด ...วัฏฏะสงสารตัวจริง
    ความคิดเป็นตัวชักใยอยู่เบื้องหลังความทุกข์ทั้งมวลครับ

    ถ้าเรารู้ว่ามีธรรมชาติที่ควบคุม จัดการ จัดสรร และพัฒนาความคิดอยู่
    เป็นระบบที่เป็นเองโดยอัตโนมัติ ปราศจากความคิดที่เป็น "เรา" เข้าไปกระทำ
    เราก็จะจัดการกับความคิดได้ โดยไม่ยากเลย....
    ....เจ้าสิ่งนั้นคือ ความรู้สึกตัว นั่นเอง...
    มันเป็นธรรมชาติที่ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการบริหารความคิด ...แบบเงียบๆ
    เป็นสิ่งบริสุทธิ์ ที่ทำงานแบบเร้นลับ แต่มีประสิทธิภาพสูงสุด
    อยู่ในชีวิตประจำวัน มีอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้จักมัน
    เพราะเราถูกสอนให้พึ่งพาระบบความคิด
    ไม่พึ่งพาระบบความรู้สึกตัว

    ตั้งแต่ที่เราตื่นขึ้นมา เดินเหิร อาบน้ำ กินข้าว พูดจา ทำงาน ทำกิจกรรมต่างๆ
    ล้วนแต่อยู่ภายใต้การทำงานของระบบความรู้สึกตัวทั้งนั้นเลยครับ
    ความคิดก็อยู่ภายใต้ความรู้สึกตัว ต้องมีรู้สึกตัวเป็นพื้นฐาน ไม่งั้นความคิดเกิดไม่ได้ครับ
    ถ้าเราไม่รู้สึกตัว มันคิดไม่ได้นะครับ เช่นเวลาหลับสนิท
    แม้ฝันก็ต้องมีความรู้สึกตัวนิดๆ มันนิดเดียวเหมือนไม่รู้สึก...ไม่รู้ตัว จะรู้ว่าฝันได้ยังไง ใช่ไม๊ครับ
    ความรู้สึกตัวจึงเป็นระบบใหญ่ที่ควบคุมชีวิจทั้งหมด ตามธรรมชาติ
    หรืออาจเรียกได้ว่า ความรู้สึกตัวก็คือชีวิตเรา นี่แหละครับ

    ปัญหาก็คือ ความรู้สึกตัวมันกลับถูกความคิดครอบงำเสียเอง
    เราจึงสูญเสียระบบใหญ่ มาถูกระบบย่อยบงการชีวิต
    เหมือนมีชีวิตที่มีคนโง่นำทาง คนฉลาดถูกขังเอาไว้
    เราเลยไม่ได้พัฒนาความรู้สึกตัว นั่นเท่ากับชีวิตจริงๆ ไงครับ
    มัวแต่ไปพัฒนาความคิด ซึ่งเป็นระบบย่อย (แต่โคตรเก่ง) ของชีวิต
    แถมพัฒนาแบบไร้การควบคุมด้วย
    ความเก่งมันเลยเป็นพิษ เหมือนเอาคนฉลาดที่ขาดคุณธรรมมาปกครองประเทศ

    ถ้าเรารู้จักความรู้สึกตัวจริงๆ เราจะทราบว่ามันทำงานอย่างน่าอัศจรรย์
    มาดูการทำงานของความรู้สึกตัวต่อความคิด อาทิเช่น
    Auto delete = ลบความคิดขยะ เอง
    Auto detect = คัดสรรความคิด เอง
    Auto manage = จัดระบบความคิด เอง
    Auto learn = เรียนรู้ เอง (โดยเฉพาะเรียรู้เจ้าความคิดนี่แหละ)
    Auto correct = ปรับความคิดให้ถูกทาง เอง
    Auto process = ประมวลผล เอง
    Auto speed = คิดได้เร็ว เอง
    Auto decision = ตัดสินใจ (โดยเฉพาะในยามคับขัน) เอง
    Auto develope = พัฒนาความคิด เอง
    etc = ฯลฯ


    ทุกอย่างลงท้ายด้วย เอง หมด เพราะมันเป็นระบบออโต้ครับ
    ความที่มันบริสุทธิ์ มันจึงไม่มีตัวตน ว่าง เงียบ
    และง่ายๆ อยู่ในชีวิตประจำวันอย่างเหลือเชื่อ
    เหลือเชื่อว่ามันจะมีอยู่ และมีประโยชน์สูงสุดขนาดนี้

    สุดท้ายการจัดระะบบจะถูกพัฒนาไปสูงสุด
    สมาบัติทั้ง 8 (รูปฌาน และอรูปฌาน) ซึ่งถือว่าเป็นระบบสูงสุดทางความคิด
    ก็จะถูกพัฒนาขึ้นในจิตใจด้วย ไม่จำเป็นต้องไปเพ่งๆๆๆ ให้เกิดเลย
    สิ่งดีๆ เยี่ยมๆ เจ๋งๆ ประเสริฐๆ จะถูกพัฒนา จัดการ บริหารได้เองหมด ด้วยระบบออโต้นี้
    พัฒนาไปสูงสุด เรียนรู้ จนเอาชนะจากสิ่งที่ไม่น่าจะพ้นได้
    คือ พ้นจาก เกิด แก่ เจ็บ ตาย
    ตัดขาดจากอัตตา ความเป็นตัวตนหมดสิ้น เข้าสู่ความเป็นอมตะ นิรันดร์การ
    สุดยอดความอัศจรรย์ที่มีอยู่ในตัวทุกคน แค่ไม่รู้จักมันเท่านั้น
    ....ความรู้สึกตัว....
     
  9. ไม่เป็นไร

    ไม่เป็นไร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    57
    ค่าพลัง:
    +142
    ขอ อนุโมทนาด้วยค่ะ:cool:
     
  10. changnoy

    changnoy สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2012
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +3
    เพิ่งเปิดเข้ามาอ่านมีของแท้จากการปฏิบัติเยี่ยมจริงๆประเสริฐแล้ว
     
  11. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ติดตามเรื่อยๆ นะครับ
    จะนำแนวทางปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ มาแบ่งปันให้เรื่อยๆ
    วันนี้แนะให้สังเกตุ..."ยินดี"...ครับ

    ยินดี...จุดกำเนิดของทุกสิ่งในจ<wbr>ิต

    ถ้าเราสังเกตุเห็นอาการยินดี ที่เเกิดขึ้นแว้บนึงได้ทัน
    จะยินดีที่เกิดจากการเห็น การได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส หรือสัมผัส อะไรก็ตาม
    เห็นโดยการเฉย ไม่ตาม ไม่ห้าม ไม่วิเคราะห์ ความยินดีนั้น
    แค่รู้แล้ว รู้จักมันแล้ว เฉยๆ กับมัน
    เฉยอยู่ เป็นผู้สังเกตุกาณ์ ไม่ไปอะไรกับบมันทั้งสิ้น ...นิ่งๆ ไว้
    เราจะค่อยๆ เข้าใจโลกมากขึ้นอย่างรวดเร็วเล<wbr>ย

    ลองดูครับ
     
  12. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    จะเป็นผู้ให้ หรือ ผู้รับ

    เราจะเป็นผู้ให้ความทุกข์ หรือเป็นผู้รับ ในจิตของเราครับ
    ถ้ามีความทุกข์เกิดขึ้น หรือแม้อารมณ์ที่ยังไม่ทุกข์ก็ตาม เราจะให้คืนธรรมชาติไป หรือรับเอาไว้
    อันนี้ถามจิต เพราะบางครั้ง หรือบ่อยๆ ครั้งที่จิตมันบังคับไม่ได้
    เวลาทุกข์มันก็จะรับเข้ามาเต็มๆ กอดเอาไว้ ไม่ยอมให้คืนธรรมชาติ
    มันเคยน่ะครับ คนเราเคยที่รับอะไรๆ เข้ามาในจิต แล้วไม่ยอมจะให้คืนไปง่ายๆ
    มันคือความโลภ ความตระหนี่ของจิต ที่ยังไม่รู้ เรียกว่ายังมีอวิชชา
    จะเอาๆๆ ไม่รู้ว่าเอามาแล้ว สุดท้ายมันบีบคั้น มันเสียดเแทงเท่าไหร่

    แล้วพอมันไม่ไหวแล้ว ปล่อยคืนไม่ออกแล้ว มันติดค้างอยู่ในใจ อย่างกะติดกาว
    มันมีกาวจริงๆ ครับ ในใจมีกาวยี่ห้อ อุปาทาน คือความยึด ยึดติดนี่แหละคุณสมบัติของกาว
    มันเป็นธรรมชาติของจิตครับ รับเข้ามาโดยไม่รู้ แล้วก็เก็บมันไว้ แล้วก็ติด สุดท้ายก็ทุกข์

    ถึงได้ถามไงครับ จะเป็นผู้ให้ หรือผู้รับ
    ถ้าไม่ต้องการรับ ก็ต้องมีสติครับ หมั่นรู้สึกตัวไว้
    จิตเริ่มไปรับอะไรเข้ามา รีบคืนไปเลย อย่าไปเก็บไว้
    มันจะสนุกสนานอะไร ดีเลิศประเสริฐศรียังไง สุดท้ายมันจะเป็นภาระ และก็ทุกข์
    ไม่ทุกข์กับสิ่งที่รับมา เก็บๆ ไว้ก็จะทุกข์กับการสูญเสีย
    เพราะไม่มีอะไรตั้งอยู่ได้ตลอดกาล มีได้ก็มีเสีย ไม่มีอะไรที่เราจะครอบครองได้จริงๆ

    ถามตัวเองบ่อยๆ ครับ จะให้คืนไป หรือจะรับไว้ ...รู้สึกตัวบ่อยๆ ด้วยนะ ไม่งั้นลืมถามตัวเองแน่ๆ




    ******************************************************
    ถ้าเป็นอะไรที่ไม่น่าชอบอก ชอบใ<wbr>จ รู้สึกตัวแล้ว ก็คืนง่าย
    แต่อะไรที่มันสุข มันสนุกสนาน ซึ้งตรึงจิต มันคืนยาก...อันนี้เข้าใจคร<wbr>ับ

    แต่ลองซิครับ ใจถึงๆ หน่อย ทิ้งมันไปเลย ไม่สนใจ ถ้าปล่อยคืนไปได้จริงๆ แล้วจะพบจิตว่างๆ ที่ไม่มีภาระอะไรทางใจเลย นั่นต่างหาก เจ๋งที่สุด เจ๋งกว่าความสุขอย่าเทียบไม<wbr>่ได้เลย...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2012
  13. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ไม่สนใจความคิดความรู้สึก แล้วจะโง่ ...จริงดิ

    ผมพยายามบอกกันบ่อยๆ เวลาคิดอะไร รู้สึกอะไร ไม่ต้องไปสนใจมัน
    มารู้สึกตัวลูกเดียว ปล่อยไปเลยความคิด ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะนั้น
    ทีนี้ เราก็กลัวโง่ครับ ขอไปคิดติดตามมันหน่อย ไม่สนใจความคิด...เดี๋ยวโง่

    เราชินกับการคิด เพราะถูกสอนมาอย่างนั้น ไม่รู้กี่ปี
    เลยเอาชีวิตไปพึ่งมัน ก็จริงอยู่ ความคิดก็ช่วยเรานำพาชีวิตให้ดีขึ้นได้มาก
    แต่ในมุมกลับ ก็ทำร้ายเราได้มาก มากกว่าช่วยเราด้วยซ้ำ ดูดีๆ ครับ

    จะบอกว่าความคิด เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของชีวิตเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด
    ชีวิตเรา สังเกตุดู ตอนนี้เลย มันจะมีทั้ง ตากำลังเห็นอะไรๆ รอบๆ ตัว หูก็ได้ยินเสียง
    ร่างกายอยู่ในอริยาบทต่างๆ ปวดเมื่อย เกร็งโดยไม่ตั้งใจ หายใจ เคลื่อนไหว
    กระพริบตา รู้สึกเย็นหรือร้อน มีความรู้สึกนู่นนี่ ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง เฉยๆ บ้าง คิดๆ นึกอะไรๆ
    ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน พร้อมๆ กัน ไม่หยุดหย่อน
    แต่พอเราไปอยู่กับความคิดแล้ว ทุกอย่างแทบหายไปหมด เหลือแต่ความคิด
    เรื่องราวที่เกิดมีเป็นสิบเรื่อง เราไปรู้อยู่กับเรื่องเดียว
    แบบนี้จะโง่ หรือฉลาดล่ะครับ

    แล้วถ้าเราไม่สนความคิด มารู้สึกตัว เราก็จะรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้ในชีวิตเราพร้อมๆ กัน
    ที่รู้ได้หมด เพราะจิตมีหน้าที่รู้อยู่แล้ว รู้สึกตัว ปล่อยตามธรรมชาติ สบายๆ เค้าจะรู้ได้เองเลย
    เป็นการเรียนรู้อะไรๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ในเวลเดียวเป็นสิบอย่าง
    รวมทั้งเรียนรู้เจ้าตัวความคิดเองด้วย...รู้ว่ากำลังคิดอะไร แม้เราไม่สน มันก็รู้ได้
    เค้าจะเรียนรู้ รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แล้วจะพัฒนาตัวเอง ไปในทางที่ควร
    อะไรที่ไม่ดี จะเป็นทุกข์ จิตเรียนรู้แล้วจะค่อยๆ ปล่อย จะไม่เอาแล้ว
    จิตเค้าเก่ง เค้ารู้ได้ โดยไม่ต้องบอกเรา รู้เงียบๆ พัฒนาตัวเองเงียบๆ
    ถามอีกที แบบนี้จะโง่ไม๊ครับ
    แล้วการที่ไปอยู่กับความคิด จดจ่อ คิดๆๆไป กับมัน แบบนี้จะโง่หรือฉลาด

    เรารู้สึกตัวแล้ว ก็รู้จักที่จะอยู่นิ่ๆ เฉยๆ อย่าไปโฟกัส หรือติดตามอะไรเป็นพิเศษ
    เช่น ไม่ต้องไปตามดูการเคลื่อนไหว ไม่ต้องไปตามดูความคิด ไม่ต้องตามไปเพ่งที่จิต
    ไม่ต้องไปดูลมหายใจ ไม่ต้องไปรู้อะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง ปล่อยๆ ให้จิตรู้เอง รู้ได้ทุกอย่าง
    ปล่อยมันตามธรรมชาติ เฉยๆ นิ่งๆ ไว้ เราจะได้เรียนรู้เต็มๆ ไม่เอียงไปทางใดทางหนึ่ง
    มันจะคิด จะรู้สึกอะไร ไม่ต้องสนใจ ปล่อยให้จิตเค้ารู้เอง อย่าไปแย่งจิตรู้

    ทีนี้ คิดอะไรก็รู้ จะเอายังไงต่อ จะคิดต่อ หรือไม่คิด มีประโยชน์หรือไม่มี จะรู้ได้เลย
    ความรู้สึกก็เหมือนกัน มันจะรู้สึกยังไงเราก็รู้ เฉยๆ กับมัน ก็ได้เรียนรู้มันอีก
    เราไม่ต้องสนใจอะไรซักอย่าง แต่จิตกลับได้เรียนรู้ทุกอย่างพร้อมๆ กัน
    แปลกไม๊ครับ...

    จิตเค้ามีหน้าที่เรียนรู้ และพัฒนาชีวิตอยู่แล้ว
    เป็นหน้าที่ ที่ธรรมชาติกำหนดมา ...แต่เราไม่รู้ ไปแย่งหน้าที่จิตซะ
    แทนที่จะฉลาด กลับโง่ ...ถ้าฉลาด ก็ฉลาดแต่เรื่องหาความทุกข์
    และโง่ในเรื่องทำชีวิตให้ปกติสุข
    เพราะไปแย่งหน้าที่จิต ธรรมชาติก็ลงโทษครับ
    เราก็มาตั้งชื่อว่า กรรม ...กรรมทางใจคือ มโนกรรม ทำแล้วรับผลเป็นความทุกข์

    ให้จิตเค้าเรียนรู้เอง เราก็สบายด้วย ไม่มีภาระต้องไปคิด ไปดู ไปเพ่ง ไปทำอะไรให้วุ่นวาย
    จิตเค้าเก่งจะตาย แบบโคตรเก่งเลย ถ้าคุณรู้สึกตัวเป็น จะรู้เลยว่าจิตเก่งแค่ไหน
    ....แค่ไม่สนใจอะไร รู้สึกตัวไว้....
    ชีวิตคุณจะดีขึ้นแบบรวดเร็ว จากการที่ให้จิตเป็นอิสระในการเรียนรู้ และพัฒนาชีวิตนี่แหละ
    ความทุกข์ในชีวิตจะลดลงแบบฮวบฮาบอย่างไม่น่าเชื่อ และแทบไม่รู้ตัวเลย
    รู้สึกตัวไว้ มารู้อีกทีเวลาไปเจอเหตุการณ์ที่จะทำให้ทุกข์ แล้วมันไม่ทุกข์ หรือุกข์น้อยลง
    ตอนนั้นแหละถึงจะรู้ว่า จิตโคตรเก่งเลย รู้และพัฒนาได้เอง อัตโนมัติ

    เอาซิครับ จะยังกอดความคิดเพราะกลัวโง่กันอยู่หรือเปล่า
    หรือจะลองดู...ไม่สนความคิด แค่รู้สึกตัวให้เป็น เลือกเอาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2012
  14. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif][if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif][if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> [FONT=&quot]เดินจงกรม[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]จงกรม แปลว่ากลับไปกลับมา เดินจงกรมจึงไม่ใช่การเดินเป็นวงกลมแต่อย่างใด[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]เดินจงกรมมีอานิสงค์มากเลยนะครับ ดังนี้[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]เดินจงกรมมีอานิสงค์[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]๕[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]ประการ[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]๑[/FONT][FONT=&quot]. [/FONT][FONT=&quot]ย่อมอดทนต่อการเดินทางไกล[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]จะไม่เหนื่อย[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]๒[/FONT][FONT=&quot]. [/FONT][FONT=&quot]ย่อมอดทนต่อการบำเพ็ญเพียร[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]๓[/FONT][FONT=&quot]. [/FONT][FONT=&quot]ย่อมเป็นผู้มีอาพาธน้อย[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]โรคบางอย่างจะหายได้[/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]๔[/FONT][FONT=&quot]. [/FONT][FONT=&quot]อาหารจะย่อยง่าย[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]ไปเลี้ยงร่างกายสะดวกสบาย[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]
    [/FONT][FONT=&quot]๕[/FONT][FONT=&quot]. [/FONT][FONT=&quot]สมาธิที่เกิดจากการเดินจงกรม[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]จะตั้งได้นานกว่านั่ง[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot]ขณะนั่งจิตจะมีสมาธิเร็วขึ้น[/FONT][FONT=&quot] [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]ผมจะขอแนะการเดินจงกรม ในวิธีของหลวงพ่อสมบูรณ์นะครับ[/FONT]
    [FONT=&quot]จัดพื้นที่สำหรับเดินไปกลับได้ซัก [/FONT][FONT=&quot]8-15 ก้าวนะครับ[/FONT]
    [FONT=&quot]ก่อนอื่นยืนให้สบายๆ ก่อน ดูซิตรงไหนมันตึง มันเมื่อย ก็ยืดหลัง ยืดตัวซะ[/FONT]
    [FONT=&quot]ทำตัวให้สบายๆ ปล่อยใจสบายๆ ไม่ต้องตั้งใจว่าจะทำอะไร [/FONT]
    [FONT=&quot]ให้เป็นธรรมชาติๆ ยืนให้สบาย หายใจให้สบายด้วย[/FONT]
    [FONT=&quot]หายใจยาวๆ จิตใจผ่อนคลาย ไม่อั้น ไม่กลั้นอะไรไว้[/FONT]
    [FONT=&quot]ไม่มีเจตจำนงค์ ว่าจะทำอะไร ไม่ต้องตั้งใจว่าจะเดิน[/FONT]
    [FONT=&quot]เมื่อรู้สึกสบายแล้ว ให้ดูอาการนั้นไว้ [/FONT]
    [FONT=&quot]ถ้ามันคิด ก็ไม่ต้องห้าม แต่ไม่ตามความคิด รู้เฉยๆ ดูเฉยๆ[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]จากนั้นออกก้าวเดิน ด้วยการเห็นความรู้สึกสบายๆ เฉยๆ นั้นไว้[/FONT]
    [FONT=&quot]เอามือประสานกันด้านหน้าหรือหลังก็ดีนะครับ[/FONT]
    [FONT=&quot]ไม่ต้องไปดูที่เท้า ไม่ต้องบริกรรม ดูที่ความรู้สึก ที่เราดูว่าสบายๆ นั่นแหละ[/FONT]
    [FONT=&quot]สังเกตุดูให้ดี ที่ความรู้สึกนั้น เราจะเห็นทั้งหมด[/FONT]
    [FONT=&quot]ปล่อยสบายๆ แล้วจะเห็นหมด เดินอย่างไร[/FONT]
    [FONT=&quot]เท้าสัมผัสพื้นเป็นอย่างไร รู้สึกยังไง คิดอะไร[/FONT]
    [FONT=&quot]เห็นหมด ทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจดูอะไร มันเห็นมันเอง[/FONT]
    [FONT=&quot]แปลกไม๊ครับ ไม่ตั้งใจดู แต่กลับเห็นหมดเลย[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]เห็นแล้วก็เฉย ดูเฉยๆ ไม่ต้องไปวิเคราะห์ หรือ[/FONT]
    [FONT=&quot]วิพากษ์วิจารณ์อะไร เห็นอะไร ก็รู้เฉยๆ รู้แต่ไม่รับ[/FONT]
    [FONT=&quot]ไม่รับเข้ามาในจิต ปล่อยตามธรรมชาติของมัน[/FONT]
    [FONT=&quot]เดินไป กลับตัว เดินกลับ ไม่ต้องถามนะครับว่ากลับตัวยังไง[/FONT]
    [FONT=&quot]เอาตามธรรมชาติน่ะครับ ไม่ได้เน้นตรงนั้น [/FONT]
    [FONT=&quot]สำคัญอย่าเผลอไปตามความคิดเท่านั้น [/FONT]
    [FONT=&quot]เดินนี่ จะคิดมากซักหน่อยนะครับ อย่าไปตาม[/FONT]
    [FONT=&quot]เผลอแล้วก็กลับมาดูใหม่ เรียกว่าดู หรือเห็น[/FONT]
    [FONT=&quot]หรือมีสติ หรืออะไรก็ได้ครับ เป็นเพียงคำพูดน่ะ[/FONT]
    [FONT=&quot]ขอให้เดินให้เป็นธรรมชาติเท่านั้นพอ[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]ถ้าเดินได้ดี จะเห็นว่าร่างกายมันเดิน ไม่ใช่ "เรา" เดินนะครับ[/FONT]
    [FONT=&quot]มันเดินได้เองตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องเป็น "เรา" เดิน[/FONT]
    [FONT=&quot]ไม่ต้องกำหนดว่าเราเดินเลย มันเดินได้เอง [/FONT]
    [FONT=&quot]แล้วมันจะเบา สบาย โปร่ง เป็นผลจากจิตไม่ยึดตัวตนครับ[/FONT]
    [FONT=&quot]ให้รู้นะครับ จิตไม่ได้ยึดตัวตนตลอดเวลนะครับ[/FONT]
    [FONT=&quot]เพียงแต่เราไม่เห็นเวลามันไม่ยึด[/FONT]
    [FONT=&quot]การเดินแบบนี้เป็นอุบายให้เห็นภาวะที่จิตไม่ยึดน่ะครับ[/FONT]
    [FONT=&quot]เดินไปเดินกลับซักครึ่งชั่วโมง ดูไว้ครับ[/FONT]
    [FONT=&quot]คิดมากหน่อย ก็ดูความรู้สึกไป ดูว่าเวลาคิดมันรู้สึกยังไง[/FONT]
    [FONT=&quot]แล้วอิทธิพลของความคิดมันจะค่อยๆ อ่อนตัวลงไปเอง[/FONT]
    [FONT=&quot]จิตจะสดใสมากขึ้น เมื่อความคิดมันจืดจางลงไปครับ[/FONT]
    [FONT=&quot]เวลาความคิดมันครอบงำมากๆนี้ มึนนะครับ ลองสังเกตุดู[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]ทบทวนตามที่ผมแนะนะครับ เดินตามธรรมชาติ[/FONT]
    [FONT=&quot]ดูความรู้สึก [/FONT][FONT=&quot]/เฉยกับความรู้สึก /ไม่อั้น ไม่กลั้น[/FONT]
    [FONT=&quot]ไม่ห้าม [/FONT][FONT=&quot]/ไม่ตาม /ไม่วิพากษ์วิจารณ์ /ไม่ตั้งใจ /ไม่หา ครับ [/FONT]
    [FONT=&quot]ปฏิบัติทุกวันนะครับ มีอานิสงค์เยอะมาก[/FONT]
    [FONT=&quot]ขอให้เจริญในธรรมครับ[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
     
  15. changnoy

    changnoy สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2012
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +3
    ของดีที่ยังมีอยู่ในห้องวิทยาศาสตร์-ทางจิตช่วงนี้หายากอ่านแล้วค่อยอิ่มหน่อย
     
  16. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    จะเป็นของใคร

    เรื่องนี่อาจได้เคยฟังกันมาบ้างนะครับ ผมฟังแล้วโดนมากๆ
    เล่าแบบ ตามที่จำได้นะครับ ผิดพลาดประการใด ขออภัยมาไว้ล่วงหน้าก่อน

    มีพราหมณ์คนหนึ่ง ต้องการมาลองดีกับพระพุทธเจ้า
    ในสมัยนั้น เค้าก็ชอบลองดีกันทางปัญญาครับ ถือเป็นยุคเฟื่องฟูทางปัญญามากที่สุดในประวัติศาสตร์เลย
    พราหมณ์ตั้งใจว่าจะมา "ว่า" ...ถ้าเป็นศัพท์สมัยนี้เรียกว่า ด่า
    จะว่าให้พระพุทธเจ้าโมโหให้ได้ ...แบบให้ตบะแตก ดูซิเป็นพระพุทธเจ้าจะโมโหหรือเปล่า
    ด้วยตนคงจะพบกับผู้ที่อ้างตนเป็นพระพุทธเจ้ามาเยอะ แล้วก็จัดการจนตบะแตกไปซะทุกราย

    ก็เข้าพบพระพุทธเจ้า พอทักทายกันตามธรรมเนียม แล้วก็เปิดฉากโจมตีพระพุทธเจ้าต่างๆ นานา
    พราหมณ์คนนี้ ต้องมีความชำนาญในการยั่วยุแน่ๆ คงมีวาทะศิลป์ในการว่า(ด่า) จนผู้ทรงศีลทั้งหลายตบะแตกกันหมด
    ว่าๆๆๆ นู่น นี่ หลายกระบวน พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงอุเบกขา เฉยอยู่
    ว่าๆๆ จนเหนื่อย..ปรากฎว่า พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงปกติ ไม่มีอาการโกรธเลย
    พราหมณ์แปลกใจครับ ...ไม่เคยเจอ คือ ปกติเสร็จหมด จึงถามว่า ทำไมเราว่าท่านขนาดนี้แล้ว ถึงไม่โกรธล่ะ

    "ดูกร พราหมณ์ เรากล่าวเช่นนี้
    ถ้ามีแขกมาสู่ท่านที่บ้านท่าน... ท่านก็เอาของคาวหวาน และน้ำท่า มาต้อนรับตามมารยาทอันดี
    แล้วแขกไม่ได้แตะต้องของที่ท่านนำมาต้อนรับนั้นเลย พูดคุย เสร็จธุระ ก็ลากลับ
    ถามว่าของเหล่านั้น จะเป็นของใคร" พระพุทธเจ้าตรัสถาม
    "ถ้าแขกไม่รับ ของก็ต้องตกเป็นของเราเหมือนเดิม " พราหมณ์ตอบ
    "ถ้าเช่นนั้น การที่ท่านได้กล่าววาจา ว่าตถาคตต่างๆ นานา แล้วตถาคตไม่โกรธ ไม่รับ
    วาจาเหล่านั้น จะเป็นของใคร" ....

    จบแค่นี้ครับ
     
  17. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ตราบใดที่เราจักไม่รู้จักจิตเดิ<wbr>

    ...ไม่รู้สภาวะจิตที่เดิมๆ ว่างๆ ปราศจากกิเลส ปราศจากทุกข์
    เราก็จะไม่รู้จักนิโรธตัวจริง เห็นแค่ทุกข์กับสมุทัย
    เห็นทุกข์เกิดๆ ดับๆ นั่นแหละครับ เห็นทุกข์กับสมุทัย
    ปฏิบัติแล้วเห็นอารมณ์เกิดๆ ดับๆ ....ยังไม่เห็นความว่าง ที่ไม่เกิดไม่ดับ

    แต่ถ้าเห็นจิตเดิมเมื่อไหร่ จะเห็นนิโรธเมื่อนั้น เห็นความดับสนิทของทุกข์
    แล้วก็จะรู้จักมรรค ทางปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์เอง
    คือรู้ว่าจะเดินไปทางไหน มีเป้าหมายชัดเจน

    เมื่อนั้นจะรู้ อริยสัจ ครบทั้งองค์ 4 จริงๆ
    ไม่รู้จัก ไม่เห็นสภาพจิตเดิม...ไม่มีทางค<wbr>รบครับ
    และการเห็นจิตเดิมก็ไ่ม่ใช่เรื่อง<wbr>ยาก...จนเหลือวิสัย
    เท่าที่ผมชี้แนะไป ...ก็รู้จัก เห็นกันได้หลายคนแล้ว
    ถ้าไปอ่านในตำราจะรู้สึกว่า มันเป็นเรื่องลึกลับ สูงส่ง
    จริงๆ เป็นเรื่องธรรมดา พิ้นๆ เกิดอยู่บ่อยๆ แต่เราไม่เห็นกันเองครับ
    พูดให้ถูกจริงๆ จิตเดิมมีอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้หายไปไหนเลย
    ก็เป็นพิ้นฐานของชีวิตเรานี่เองครับ

    อานิสงค์ของการเห็นจิตเดิม เหลือคณานับ
    แล้วคุณจะรู้เอง...เป็นปัจจัจตั<wbr>งครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มีนาคม 2012
  18. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    [FONT=&quot]ปฏิบัติธรรมเชิงเสวนา[/FONT][FONT=&quot] - ติวขึ้นประถม[/FONT]

    [FONT=&quot].....จิตเห็นทุกข์ ได้เข้าอนุบาล[/FONT]
    [FONT=&quot]เห็นความดับทุกข์สนิทได้ โอ้...ขึ้นประถม[/FONT]
    [FONT=&quot]จิตเดินตามทางอย่างออโต้ ก็เข้ามัธยม[/FONT]
    [FONT=&quot]พ้นทุกข์ตรม ได้เรียนมหาลัย[/FONT][FONT=&quot].....[/FONT]

    [FONT=&quot]**************************************************************[/FONT]
    [FONT=&quot]นักปฏิบัติ แม้ฝึกฝนมานานเป็น [/FONT][FONT=&quot]10ๆ ปี ก็ไม่แน่ว่าจะเห็นความดับสนิทของทุกข์ได้เต็มๆ[/FONT]
    [FONT=&quot]พูดตรงๆ เลย แบบนี้ ก็ยังอยู่ชั้นอนุบาลครับ เห็นทุกข์เกิดๆ ดับๆ แต่ก็ยังไม่มั่นใจในการปฏิบัติ [/FONT][FONT=&quot]100%[/FONT]
    [FONT=&quot]ยังมีคำถามยอดฮิตอยู่ในใจเสมอๆ "ถูกหรือเปล่า ...ใช่หรือเปล่า... จะพ้นทุกข์จริงๆ ได้ยังไง"[/FONT]

    [FONT=&quot]อันนี้ ไม่ได้ว่า หรือดูแคลนกันนะครับ ผมเองก็ติดอยู่ชั้นอนุบาลมากว่า [/FONT][FONT=&quot]18 ปี [/FONT]
    [FONT=&quot]กว่าจะขึ้นประถม นานไม๊ครับ.... [/FONT]
    [FONT=&quot]จะเชื่อผมหรือไม่ก็ตาม แต่จะบอกดังๆ ว่า ที่เห็นทุกข์ หรือเห็นอารมณ์ เกิดๆ ดับๆ นั่น รู้สึกว่าเข้าใจธรรมะแล้ว [/FONT]
    [FONT=&quot]....นั่นคือ คือแค่อนุบาล.... รับรองว่า ยังไม่ไปไหน ....เวลา [/FONT][FONT=&quot]18 ปี ของผมคือเครื่องยืนยัน[/FONT]
    [FONT=&quot]ที่ไม่ได้ขึ้นประถม เพราะไม่มีคนมาชี้เส้นทางให้ นิดเดียวเองครับ ไม่ใช่เหตุผลอะไรอื่นเลย[/FONT]

    [FONT=&quot]ปฏิบัติการเสวนา คราวนี้ ผมจึงตั้งใจจะ [/FONT][FONT=&quot]Pass ชั้นให้ทุกคนขึ้นประถมให้หมด [/FONT]
    [FONT=&quot]เห็นความดับทุกข์ชัดๆ แล้ว หมดสงสัยไปเยอะครับ ชีวิตจะเริ่มเปลี่ยนเลย[/FONT]
    [FONT=&quot]ปัญหาอะไรต่างๆ ในชีวิตจะลดลงอย่างน่าแปลกใจ[/FONT]

    [FONT=&quot]ผู้ที่อยู่ประถม หรือมัธยมแล้ว ก็มาทบทวนวิชา และแบ่งปันกันนะครับ[/FONT]
    [FONT=&quot]คราวนี้ ผมจะบอกเส้นทางให้กระจ่างเลย เป็นคู่มือประจำตัว ประจำใจ[/FONT]
    [FONT=&quot]แบบไม่ต้องถามถึงเส้นทางพ้นทุกข์ ว่าจะต้องไปยังไงกันอีกเลย...[/FONT]
    [FONT=&quot]ตามรายละเอียดนี้ สนใจลงชื่อเลยครับ[/FONT]

    http://www.facebook.com/events/254850791267787/
     
  19. philosophi

    philosophi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +1,896
    อยากให้พวกหลงฌาน ติดสุข มาอ่านบ้างจัง จะได้ตาสว่างขึ้นมาบ้าง แต่คงยากครับ เพราะเขากำลังหลงอยู่ คิดว่าที่เป็นอยู่ คือ "บรรลุแล้ว" โมทนากับท่านครับ (ผมตามอ่านอยู่บ่อย ๆได้ประโยชน์มากมาย สาธุๆ)
     
  20. philosophi

    philosophi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +1,896
    ความทุกข์คือเพื่อนแท้ของผม เป็นโค๊ตที่ดีที่สุดก็ว่าได้.. ที่ว่าสุขก็คือทุกข์น้อยเท่านั้นเอง.. จริงๆแล้วก็ไม่มีทั้งสุขและทุกข์ ทุกอย่างก็แค่ความรู้สึก และในที่สุด แม้แต่ความรู้สึกก็ไม่มีอยู่จริง..โลกมายา ธรรมชาติมีความลับ..
    ค้นกันเอาเองเถอะท่านผู้ชม..
     

แชร์หน้านี้

Loading...