กาย จิต ใจ ใครคือเรา

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 29 เมษายน 2008.

  1. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นโม วิมุตฺตานํ นโม วิมุตฺติยา
    ขอนอบน้อมแด่ท่านผู้หลุดพ้นแล้ว
    ขอนอบน้อมแด่วิมุตติธรรมของท่านผู้หลุดพ้นแล้ว

    หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล
    เรื่องของกรรมคนเรานี้ย่อมมีกรรมเป็นของๆตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมใดไว้ เป็นบุญหรือเป็นบาป เมื่อยังมีชีวิตอยู่กรรมนั้นจักเป็นทายาท ให้เราได้รับผลของกรรมนั้นสืบต่อๆไป

    หลวงปู่มั่น ภูริทัตตมหาเถร
    อวิชชาเกิดมาจากอะไร? ท่านหาได้บัญญัติไว้ไม่ พวกเราก็ยังมีบิดามารดา อวิชชาก็ต้องมีพ่อแม่เหมือนกัน ได้ความตามบาทพระคาถาเบื้องต้นว่า ฐีติภูตํ นั่นเองเป็นพ่อแม่ของอวิชชา ฐีติภูตํ ได้แก่ จิตดั้งเดิม เมื่อ ฐีติภูตํ ประกอบไปด้วย ความหลง จึงมีเครื่องต่อกล่าวคือ อาการของอวิชชาเกิดขึ้น เมื่อมีอวิชชาแล้ว จึงเป็นปัจจัยให้ปรุงแต่งเป็นสังขารพร้อมกับความเข้าไปยึดถือ จึงเป็นภพชาติ คือต้องเกิดก่อต่อกันไป ท่านเรียกปัจจยาการ

    หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
    จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
    ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์
    จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค
    ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต เป็นนิโรธ

    หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    อวิชชารวมตัว ปกปิดจิตแท้ - ธรรมแท้
    การพิจารณาเห็นสภาพทั้งหลายทั้งภายนอกทั้งภายในกาย
    ทั้งในเจตสิกธรรมของตัวชัดขึ้นเท่าไร มันก็เห็นจุดที่อยู่ที่อาศัยของตัวการสำคัญชัดขึ้นๆ เมื่อพิจารณาตะล่อมเข้าไป ความรู้ของจิตมันก็แคบเข้าไป ความกังวลของใจก็น้อยเข้าไป กระแสของใจที่ส่งออกไปก็แคบ พอกระเพื่อมตัวออกไปเกี่ยวกับสิ่งใดก็พิจารณาเกี่ยวกับสิ่งนั้นด้วย พิจารณาความกระเพื่อมของจิตที่ออกไปแสดงตัวด้วย ก็เห็นทั้งสองเงื่อนรู้เหตุรู้ผลกันทั้งสองด้าน คือด้านที่ไปเกี่ยวข้องสิ่งที่ถูกเกี่ยวข้องหนี่ง ผู้ไปเกี่ยวข้องหนึ่ง ปัญญาก็ขยับตัวเข้าไปเป็นลำดับๆ
    เมื่อเข้าไปถึงตัวอวิชชาจริงๆ โดยมากนักปฏิบัติถ้าไม่มีครูอาจารย์คอยแนะนำไว้ก่อน จะต้องไปถือเอาตัวนั้นแลว่าเป็นตัวจริง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างได้พิจารณาเห็นชัดภายในใจแล้วว่า ได้รู้เท่าและปล่อยวางไปหมดไม่มีสิ่งใดเหลือ แต่ผู้ที่รู้สิ่งทั้งหลายนั้นคืออะไรนั่น ทีนี้ก็ไปสงวนอันนั้นไว้ นี่แลที่ว่าอวิชชารวมตัวแล้ว แต่กลับมาเป็นตัวขึ้นโดยไม่รู้สึก จิตก็มาหลงอยู่นั้น ที่ว่าอวิชชาก็คือหลงตัวเองนี่แหละ ส่วนที่หลงสิ่งภายนอกนั้นยังเป็นกิ่งก้าน ไม่เป็นเรื่องของอวิชชาอันแท้จริง ...

    หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
    เราเกิดมาในชาตินี้เป็นบุญลาภอันประเสริฐ ที่ได้มาพบพระพุทธศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐในโลก สมควรที่จะลงมือปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์โดยความไม่ประมาท กิเลสบาปธรรมจะได้น้อยเบาบางจากดวงจิตของตน การที่คนเราจะพ้นทุกข์ไปไม่ได้ก็เพราะไม่ปฏิบัติตามคำสอน ของพระพุทธเจ้านั้นเอง

    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
    คำว่ากรรม คือการกระทำของมนุษย์ที่พร้อมไปด้วยเจตนา คือ ความตั้งใจว่าจะทำ จะพูด จะคิด ทีนี้ ในเมื่อทำลงไปแล้ว จิตเขาบันทึกผลงานเอาไว้โดยธรรมชาติ บางทีเราเผลอทำความไม่ดีลงไป ภายหลังเรานึกว่ามันเป็นบาป เราจะกลับมาเปลี่ยนความคิดว่า "ฉันทำเล่นๆ ฉันไม่ต้องการผลตอบแทน" มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้...

    http://www.wimutti.net/teacher.php
     
  2. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    "ธรรมดาเราดูแต่คนอื่น 90 % ดูตัวเองแค่ 10 %"
    คือคอยดูแต่ความผิดของคนอื่นเพ่งโทษคนอื่น คิดแต่จะแก้ไขคนอื่น.... จริงไม๊นะ ?




    พระอาจารย์สอนคนชอบยุ่งกับเรื่องของคนอื่น
    โดย พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

    อย่ายุ่งกับเรื่องของคนอื่น ภาวนามากๆ ดูตัวเองมากๆ
    หลวงพ่อ ( พระโพธิญาณเถร) บอกว่า
    "ธรรมดาเราดูแต่คนอื่น 90 % ดูตัวเองแค่ 10 %"
    คือคอยดูแต่ความผิดของคนอื่นเพ่งโทษคนอื่น คิดแต่จะแก้ไขคนอื่น

    กลับเสียใหม่นะ ดูคนอื่นเหลือไว้ 10 %
    ดูเพื่อศึกษาว่า เมื่อเขาทำอย่างนั้น คนอื่นจะรู้สึกอย่างไร
    เพื่อเอามาสอนตัวเองนั่นแหละ
    ดูตัวเอง พิจารณาตัวเอง 90 % จึงเรียกว่าปฏิบัติธรรมอยู่

    ธรรมชาติของจิตใจมันเข้าข้างตัวเอง
    โบราณพูดว่า เรามักจะเห็น ความผิดของคนอื่นเท่าภูเขา ความผิดของตนเองเท่ารูเข็ม
    มันเป็นความจริงอย่างนั้นด้วย เราจึงต้องระวังความรู้สึกนึกคิดของตัวเองให้มากๆ
    เห็นความผิดของคนอื่น ให้หารด้วย 10
    เห็นความผิดตัวเอง ให้คูณด้วย 10
    จึงจะใกล้เคียงกับความจริงและยุติธรรม
    เพราะเหตุนี้เราจะต้องพยายามมองแง่ดีของคนอื่นมากๆ
    และตำหนิติเตียนตัวเองมากๆ
    แต่ถึงอย่างไรๆ เราก็ยังเข้าข้างตัวเองนั่นแหละ

    พยายามอย่าสนใจการกระทำ การปฏิบัติของคนอื่น
    ดูตัวเอง สนใจแก้ไขตัวเองนั่นแหละมากๆ
    เช่น เข้าครัวเห็นเด็กทำอะไรไม่ถูกใจ
    แล้วก็เกิดอารมณ์ร้อนใจ
    ยังไม่ต้องบอกให้เขาแก้ไขอะไรหรอก
    รีบแก้ไข ระงับอารมณ์ร้อนใจของตัวเองเสียก่อน
    เห็นอะไร คิดอะไร รู้สึกอย่างไร ก็สักแต่ว่า ใจเย็นๆ ไว้ก่อน
    ความเห็น ความคิด ความรู้สึกก็ไม่แน่ ..... ไม่แน่
    อาจจะถูกก็ได้ อาจจะผิดก็ได้
    เราอาจจะเปลี่ยนความเห็นก็ได้
    สักแต่ว่า ..... สักแต่ว่า ..... ใจเย็นๆ ไว้ก่อน ยังไม่ต้องพูด

    ดูใจเราก่อน สอนใจเราก่อน หัดปล่อยวางก่อน
    เมื่อจิตสงบแล้ว เมื่อจิตปกติแล้ว
    จึงค่อยพูด จึงค่อยออกความเห็น
    พูดด้วยเหตุ ด้วยผล ประกอบด้วยจิตเมตตากรุณา
    ขณะมีอารมณ์อย่าเพิ่งพูด
    ทำให้เสียความรู้สึกของผู้อื่น
    ทำให้เสียความรู้สึกของตัวเอง
    ไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร
    มักจะเสียประโยชน์ซ้ำไป

    เพราะฉะนั้น อยู่ที่ไหน อยู่ที่วัด อยู่ที่บ้าน
    ก็สงบๆ ๆ ไม่ต้องดูคนอื่นว่าเขาทำผิดๆ ๆ
    ดูแต่ตัวเรา ระวังความรู้สึก ระวังอารมณ์ของเราเองให้มากๆ
    พยายามแก้ไข พัฒนาตัวเรา ..... นั่นแหละ
    เห็นอะไรชอบ ไม่ชอบ ปล่อยไว้ก่อน
    เรื่องของคนอื่น พยายามอย่าให้เข้ามาที่จิตใจเรา
    ถ้าไม่ระวัง ก็จะยุ่งกับเรื่องของคนอื่นไปเรื่อยๆ
    หาเรื่องอยู่อย่างนั้น เอาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาเป็นเรื่องของเราหมด
    มีแต่ยินดี ยินร้ายพอใจ ไม่พอใจ ทั้งวัน
    อารมณ์มาก จิตไม่ปกติ ไม่สบาย ทั้งวันๆ ก็หมดแรง

    ระวังนะ
    พยายามตามดูจิตของเรา รักษาจิตของเราให้เป็นปกติให้มาก
    ใครจะเป็นอะไร ใครจะทำอะไร ดีหรือไม่ดี เรื่องของเขา
    แม้เขาจะทำกับเรา ว่าเรา..... ก็เรื่องของเขา
    อย่าเอามาเป็นอารมณ์
    อย่าเอามาเป็นเรื่องของเรา

    ดูใจเรานั่นแหละ
    พัฒนาตัวเองนั่นแหละ
    ทำใจเราให้ปกติ สบายๆ มากๆ
    หัด-ฝึก ปล่อยวาง นั่นเอง
    ไม่มีอะไรหรอก
    ไม่มีอะไรสำคัญกว่าการตามรักษาจิตของเรา
    คิดดี พูดดี ทำดี มีความสุข
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 พฤษภาคม 2008
  3. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ปวารณา คือการปวารณาซึ่งตนอย่างที่ท่านกล่าวว่า "ทิฏฺเฐนะ วา สุเตน วาปริสงฺกาย วา วทนฺตุ มํ อายสฺมนฺโต อนุกมฺปํ อุปาทาย" ด้วยการเห็นก็ดี ด้วยการได้ยินก็ดี ด้วยการรังเกียจก็ดี จะประการใดประการหนึ่ง ขอให้ตักเตือนด้วยความเอ็นดูเมตตาปรารถนาหวังดีต่อข้าพเจ้า"

    คำปวารณามีอย่างนี้ ปวารณาซึ่งกันและกันทุกคนไม่ว่าใครทั้งนั้นผู้ใหญ่ผู้น้อย อายุพรรษามากน้อยเหมือนกัน ปวารณากันให้ว่ากล่าวตักเตือนกันไว้ด้วยความเมตตาปรารถนาหัวงดีต่อกัน ถ้ามีโทสะมานะเกิดขึ้นแต่ในใจของตนแล้วการตักเตือนถึงแม้เป็นของดี ก็ไม่มีประโยชน์แก่ตนอีก ถ้าหากคนฟัง คนที่ถูกตักเตือนยอมรับยอมปฏิบัติตาม จะเป็นประโยชน์ต่อคนนั้นต่อไป แต่ผู้ปฏิบัติจะพูดย้อนผู้สอนผู้ตักเตือนแล้ว ไม่มีประโยชน์ ขาดเมตตาเอ็นดูกรุณาซึ่งกันและกัน การปวารณานี้มีประโยชน์มากไม่เฉพาะแต่เวลานี้หรืออยู่แต่ในวัดนี้ ถ้าไปในที่อื่นเห็นหน้าเห็นตากันเมื่อไรว่ากล่าวตักเตือนกันได้ทุกเมื่อ จึงว่ามีประโยชน์มาก เรามาอยู่จำพรรษาร่วมกัน ด้วยความเห็นด้วยทิฐิมานะอะไรต่าง ๆ ยอมสละทุกสิ่งทุกประการ อ่อนน้อมยอมเข้าหากัน ย่อมมีความสุขสบาย


    refer : http://www.thewayofdhamma.org/page3_1_2/10.html
     
  4. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ....

    ประโยคนี้ ผมเป็นคนพูดเอง โดย จดหมายส่วนตัวไปถึง เพียงนาม

    นี้ถ้าคุณเอาข้อความที่เป็นส่วนตัวออกมาเผยแพร่ได้ ก็มีสองสถาณ คือ
    ไปเปิดอ่านจดหมายของเขา หรือ เขาส่งจดหมายมาเป็นการส่วนตัวถึง
    คุณเพื่อเล่าแจ้ง ซึ่ง ถ้าเป็นกรณที่สอง ถ้าเจตนาแจ้งเพื่อทราบ ย่อม
    หมายถึงกำชับด้วยว่า อย่าเปิดเผยว่าได้ส่งมา เพราะ เพียงนาม จะถูก
    ตัดการตักเตือนไปโดยปริยาย กับ สอง เขาเป็นพวกเดียวกับคุณ ซึ่ง
    แปลว่า ไม่ว่าอะไรที่ผมจะตักเตือนไปถึงเพียงนาม จะกลายเป็นของ
    เล่นเม้าท์แตก ซึ่ง ผมก็ต้องหยุดการเตือนเพียงนามไปโดยปริยายเช่น
    กัน

    ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไร วันนี้ คุณเพียงนาม จะไม่ได้รับการตักเตือน
    จากผมอีกแล้ว

    ที่มาที่ไปของ จม นั้น ก็เพื่อดึง ญาติของเพียงนามที่ชื่อ พิญณ์ ให้ออก
    มาจากมิตรผู้ไม่สนใจในประโยชน์ของผู้อื่น

    วันนี้ ไม่ว่าอย่างไร ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ผู้ใดสนใจ หรือ เคารพ
    ในประโยชน์ของผู้อื่นหรือไม่

    ถ้าแม้นคำตักเตือนของเราที่ส่งไปยังผู้ปราวณาตนของ "เพียงนาม" ให้
    เราว่ากล่าวตักเตือนได้ จะกลายเป็นทุกข์ร้อนเช่นนี้ ก็สมควรที่จะให้
    ถอนคำปารวณาตนนั้นออกไป

    เพื่อให้เขาได้ยินดีในความสุขอันประเสริฐยิ่งจากมิตรผู้ไร้กรรม
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ตราบใดที่เราและเขา ยังเป็นปถุชนอยู่

    ย่อมมีอวิชชา ความหลง มัวเมา กิเลส ตัณหา อยู่ใน

    ในขันธสันดาน จิตใจย่อมหมอง ด้วยอวิชชาครอบไว้

    หลงผิด มัวเมา กระทำไปโดย อวิชชานำพาไป ไม่รู้ตัว

    หากเราไม่ชอบใจ ไม่ต้องใจสิ่งใด ที่บังเกิดแก่ จิต ใจ

    ของเรา โปรดเมตตา สงสาร จิต และใจ ทั้งเขา และเรา

    ล้วนถูก อวิชชา หลอกลวง ให้หลงผิด คิดผิด กระทำผิด

    หากเรารู้ตัวแล้ว โปรดช่วยให้เขารู้ตัว จะเป็นกุศลยิ่งขึ้นไป

    ส่วนกระทำใดๆ ไปแล้ว ด้วยเจตนาดี ย่อมเป็นกุศล สำหรับ

    จิต ใจ ของเราผู้กระทำ ส่วนผู้รับ จะได้กุศล หรือได้อกุศล

    ย่อมไม่อยู่ในอำนาจของเรา ไม่สามารถควบคุมได้

    และไม่ถือเอาสิ่งนั้น มาเป็นสรณะแห่งใจ ควรวางไว้นอกจิต นอกใจ

    เพราะสิ่งเหล่านั้น ก็คืออวิชชา ที่เราไม่ควรถือไว้เป็นสรณะ

    ให้จิต และใจ เศร้าหมอง สู้เขาต่อไป ทาเคชิ

    งุงิ งุงิ ชิมิ หนอ

    เมตตาธรรมค้ำจุนโลก หนอ
     
  6. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นี้ถ้าคุณเอาข้อความที่เป็นส่วนตัวออกมาเผยแพร่ได้ ก็มีสองสถาณ คือ
    ไปเปิดอ่านจดหมายของเขา หรือ เขาส่งจดหมายมาเป็นการส่วนตัวถึง
    คุณเพื่อเล่าแจ้ง
    -------------
    คุณในข้อความนี้คือใครหรือคะ
    สงสัยมันผุดขึ้นมาเรย จิตสอดรู้มันทำงานด้วยความขยัน
    ควรจะให้รางวัล หรือให้โทษ จิตสอดรู้ดีหนอ
    อ้อ รู้แล้ว ฉีดน้ำดับเพลิงมันดีก่า
    อะหนอ อะหนอ
     
  7. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    อ้าว หมายถึง คนที่ใช้ชื่อ ไร้กรรม ครับ

    แล้วก็ให้หมายถึง คนที่ชื่อ ไร้กรรม นะ

    ไม่ได้หมายไปถึง คนที่เป็นที่มาที่ไปจริงๆ

    คุณขวัญกลัมมาแจ่มแล้ว ใครจะไปว่าได้อีก

    ชิมิ ชิมิ
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    โปรดเมตตา สงสาร ใจเรา และใจเขาเถิด
    โดนอวิชชา เล่นงานกันทั้งน้านนน
    ชิมิ ชิมิ หนอ
     
  9. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ลวงตา (คุณอวิโรธนะ)

    เราอาศัยอยู่ในโลก แต่เรารับรู้สิ่งต่าง ๆ อย่างไม่ถูกต้อง
    ด้วยจิตใจที่หลงผิดของเรา

    ความจริงข้อนี้เป็น อวิชา ที่มีอยู่จริง
    เรามักเชื่อสิ่งต่างๆที่เห็น เช่น วัตถุที่ถูกมองเป็นสิ่งคงสภาพอยู่อย่างนั้น
    เพราะตาเราเชื่อนั้น ที่จริงไม่มีอะไรใหม่มีแต่เสื่อมลงทุกขณะ

    หรือ อธิบายในแบบรูปนามเมื่อตาเรามองเห็นวัตถุที่วิ่งผ่านไป
    วิญาณเกิดการรับรู้ว่ามีวัตถุเป็นตัวตน
    ครั้งเมื่อผ่านไปแล้ว รูปดับ นามก็ดับ
    แต่ใจเราเชื่อว่าวัตถุนั้นยังคงมีอยู่ และถูกบันทึกไว้ในความจำเรียบร้อยแล้ว

    กระบวนการเห็น ถูกบันทึกแวปรุงแต่งเป็นความ ชอบ ไม่ชอบ หรือ ความกลัว
    เมื่อไม่รู้เหตุของที่มา จิตเข้าไปรับอารมณ์ ทำให้ต้องเกิดการสนองอารมณ์นั้น
    ทุกอย่างเป็นลูกโซ่ ขับเคลื่อนจาก สิ่งหนึ่งสู่สิ่งหนึ่ง เป็นชาติภพ ต่อไป

    ทุกอย่างเต็มไปด้วยสิ่งลวงตา
    ในบท กาลมาสูตร มีบทหนึ่งกล่าวไว้ " อย่างเชื่อแม้สิ่งที่เห็น "
    มนุษย์มีความสามารถรับรู้สิ่งที่เห็น แต่ไม่เข้าใจสิ่งที่เห็น
    เช่น ครั้งหนึ่งมนุษย์ไม่เคยเข้าใจเรื่องไฟ เมื่อเกิดฟ้าผ่าลงในกิ่งไม้
    เกิดไฟลุกโชน เป็นของร้อน น่ากลัว ลุกลามไม่ทั่วไม่สามารถห้ามได้
    จึงเข้าใจว่าเป็นพระเจ้าพิโรธ
    ถ้าให้ความเครพ พระเจ้าจะให้น้ำฝนเป็นสิ่งตอบแทน

    กับความตาย หลายคนเข้าใจว่า "การจบชีวิต เป็นการจบแล้วของชีวิตหรือ"
    ในสังสารวัฎ การเวียนตายเกิด ไม่มีคำว่าจบสิ้น ถ้ายังไม่สามารถแจ้งในความจริง
    ความจริง คือ การหยั่งถึงวงจรปฎิจจสมุปบาท
    สาวลึกไปหาเหตุแล้วดับที่เหตุของการเกิด

    เราจะเห็นความจริงได้อย่างไร
    ในพุทธศาสนา สอนให้มองเห็นความจริงที่อยู่ข้างในตัว
    ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อหลอกตนเอง โดยขาดปัญญา
    โดยมีหลักการทำ วิปัสสนา เพื่อพัฒนา ปัญญา ให้เท่าทันตามความเป็นจริง

    มีอีก ตามไปอ่านนะคนดี
    <!-- / message -->http://palungjit.org/showthread.php?t=129818
     
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
  11. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ตรงส่วนมัจจุมารนี้ มันส์ ขอเล่าเป็นอุทาหรณ์ เป็นลำดับดังนี้

    1.ปรกติคนทำสมถะสมาธิ จะนั่งมาเรื่อยๆ จนถึงขั้น ปิติ แล้วก็ติดตรงนี้

    2.ผู้สอน จะให้คำสอนมาว่า กลัวอะไร ให้กล้าๆหน่อย ตายเป็นตาย

    3.คนเรียน ก็เอามาทำ จนพ้นปิติไปแล้ว เรียกว่า ธรรมบรรยายข้อ 2 สำเร็จ
    ไปแล้ว แต่พี่แกไม่ทิ้ง

    4.ทำสมาธิไปเรื่อย พอได้วสีนิดหน่อย ก็จะเข้าสู่สุข แต่บางคนมีโลภะเจตนา
    เจือการปฏิบัติ จึงเร่งเข้าภาวะ ฌาณ ซึ่งเรียนรู้มาว่า ลมหายใจจะหายไป ก็จะ
    เผลอปรุงให้ลมหายใจหายไปโดยไม่รู้ตัว ( เพราะ สติพละ ไม่ได้เจริญไว้ )
    หนักเข้า จะเห็นว่าอึดอัด แล้วคำสอนในข้อสองลั่นขึ้นมา เหมือนมากระซิบ
    ( สัญญามันดึง ) ทำให้ยิ่งไปกำหนดลมหายใจให้หายไป ก็จะเกิดอาการ
    ชักกระแด่วๆบ้าง หรือ หมดสติไปบ้าง โดยอาการหมดสติครั้งนี้เกิดจาก
    อาการหมดลมหรือใกล้ตาย ดังนั้น ภาวะใกล้ตายทั่วไปจะมี ภาพนิมิตจำนวน
    มาก (กรรมเก่า สัญญาเก่าเข้ามา ) ก็เป็นทีมาของอาการกระแด่วๆ และพอ
    ตื่นขึ้นมา ก็คิดว่า ตัวเองได้ข้ามกรรมหนักมาแล้ว คิดว่า บรรลุ

    ก็ต้องระวังกัน การทำสมาธิจึงต้องมีครูคอยดูรูปฌาณให้เรา จะได้ไม่เกิดขึ้น
    เพราะ โลภะเจตนาไปสร้างขึ้นเอง อันจะนำมาซึ่ง โมหะมูลจิตจำนวนมาก

    แต่ถ้าทำสมาธิโดยมีการเจริญ สติ เอาไว้ก่อน ก็จะตรวจตนเองได้ และรู้ระงับ
    เหตุแห่งทุกข์อันจะเกิดจาก มิจฉาสมาธิ

    ** โดยส่วนตัว ผมไปถึงขั้นกลั้นลมหายใจ แต่ตรวจทันเสียก่อนว่า มีโลภะ
    มีตัณหาเกาะอยู่ที่ใจ ทำให้หยุดได้ทัน และก็รู้ทางที่ผิด เมื่อรู้ทางที่ผิด ก็
    คือ รู้ทางที่ถูก แต่ให้ดี อย่าไปรู้ทางที่ผิดดีกว่า ก็ขอเล่าเอาไว้ให้ฟังอีกครั้ง
     
  12. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ไม่รุ
    ม่ชิ
    [​IMG]ชิมิ ชิมิ.
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    การอภัยให้ผู้อื่น แท้จริงแล้วคือการอภัยให้ตัวเราเอง
    การที่เราขุ่นข้องหมองใจ ในการกระทำของผู้อื่น
    หรือการกระทำของตัวเอง ล้วนเกิดการจากใจเรา
    หลงในอวิชชา กิเลส ตัณหา พาไป เตลิดไป
    รู้สึกว่าอารมณ์นี้ดี สะใจ การบีบคั้นใจตนเอง
    การหาทุกข์มาไว้ที่ใจ การแบกไว้นั้นเป็นของดี
    เป็นสิ่งที่ควรแบกไว้ เทิดทูนไว้ ไม่วาง
    ไม่อภัย ไม่อโหสิ เพราะคิดว่าผู้อื่นเบียดเบียนเรา
    คนที่ช้ำที่สุดคือใจเราเอง ใจเราหมอง
    ใจเราโดนกิเลสครอบงำไว้ การอภัยให้ผู้อื่น
    และตนเอง คือการชำระกิเลส ให้หลุดออกไปจากใจ
    ให้เบาบางไปจากใจ คนที่ได้กุศลคือใจเราเอง
    โปรดอภัย และอโหสิกรรม ให้เป็นนิสัยจะเกิดกุศล
    สะสมบุญบารมี โดยตัวเราทำได้เอง ตลอดเวลา
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นายหลง....ไวน์

    ...เกิดเป็นไวน์ชั้นยอด...ก็ต้องนับเป็นของดี หากแต่ไม่มีโอกาสได้รับการให้อภัย

    ...แต่แม้ว่าเป็นแค่ไวน์รอง ก็ยังถือว่าดี เพราะมักได้รับการจับตามอง...อย่างเห็นใจ

    ...ชีวิตที่เป็นหนึ่งย่อมเป็นเรื่องดี
    หากแต่ต้องรักษาจุดนั้นให้นิ่งและนาน
    ...ชีวิตที่เป็นรอง...ก็ยังนับได้ว่าดี
    ถึงไม่เป็นหนึ่ง ...แต่ก็มักได้รับกำลังใจ


    http://palungjit.org/showthread.php?t=130014&page=2<!-- End main--><!-- / message -->
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    นายหลง....ไวน์

    ไม่ได้เกิดมาเป็นหนึ่ง


    <!-- Main -->
    [SIZE=-1]<CENTER>...รถตู้ขาวคันใหญ่ปรากฏกายพร้อมเครื่องหมายกากบาทสีแดงเด่น
    ...แล่นเอื่อยมาจอดนิ่งเป็นสง่าหน้าเสาธง
    สร้างความพรั่นพรึงให้หมู่เด็กน้อย...ที่ยืนคอยอยู่เบื้องหน้า
    ภาพจากนั้นคือ นิ้วต่อนิ้วอันแดงฉาน แต่ในแววตาของต่างคน...ล้วนมุ่งหมายจะเอาชัย
    ...หนึ่งเดือนให้หลัง
    “...ได้เท่าไหร่” ...ก็แค่ถาม...หลังเห็นแต้มของตัวเอง
    “A...ว่ะ” ...มันตอบพร้อมชูป้ายชัยชนะ “แล้วเอ็งล่ะ”
    “...เอ่อ...แค่ B เอง”

    ...จากวันนั้นถึงวันนี้...ในความพยายามอีกหลายครั้ง ...ก็ยังไม่เคยประสบความสำเร็จ
    “เลือดกรุ๊ป B ก็ได้วะ ...ไม่ได้ A ก็ไม่ตายนี่หว่า”</CENTER>
    ..........................

    ...ด้วยคล่องแคล่วกับการตั้งบัญญัติไตรยางศ์
    บวกกับความชำนาญการเพียงแค่แก้สูตรสมการสามชั้น

    ...เมื่อมีโอกาสปะปนเข้าไปร่วมกับเหล่าเด็กเรียนซึ่งล้วนเป็นกระบี่มือหนึ่งในวงการธุรกิจ

    ...ชีวิตช่วงนั้นจึงต้องตกระกำลำบาก

    “...ได้อะไร” ...ไอ้เปา...ถามทุกครั้งที่เกรดออก
    “B...อีกแล้วโว้ย” ...เออ! เอ็งมันเก่ง ได้ A ตลอด
    “ได้มากี่ตัวแล้ว” ...ไอ้เปามันไม่ยอมหยุด
    “B ทุกตัว” ...ก็รู้สึกภูมิใจอยู่ “...ถึงจะไม่มี A แต่ก็ไม่เคยติด C เว้ย”
    “นี่ไม่รู้จริง ๆ เหรอว่า MBA เขาให้เกรด B ต่ำสุด”

    http://palungjit.org/showthread.php?t=130014&page=2
    -------------------------------------------

    มาตาหลกกันหน่อยนะ

    ถ้าเส้นลึกก็ขำๆบ้างก็ยังดีนะ

    ชิวิตนี้สั้นจิ๊ดเดว คิดไป2แป๊บก็ม่องเท่งแล้ว

    จะแบกกันไปไย อารมณ์ ความรู้สึกทั้งหลาย

    ก็ของปรุงแต่งจากจิตเรามาเสริฟให้ใจเราหม่ำกันทั้งนั้น

    การอภัย การอโหสิกรรม ทำให้ได้จึงได้ชื่อว่าชนะใจตน

    ชนะกิเลสในใจตน สงครามเพิ่งจะเริ่มต้น

    อย่างเพิ่งนับศพทหาร

    ชิมิ ชิมิ หนอ
    <CENTER>
    </CENTER>[/SIZE]
     
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    วันนั้น...ๆ

    <!-- Main -->[SIZE=-1]...บรรยากาศเหนือผืนผ้าใบสีป่าน...ดูเงียบงัน แม้กลิ่นเหงื่อคราบไคลที่แทรกในทุกอณูของเบาะ...ก็ยังเปลี่ยนไป เพียงแค่วันนั้น...มีการปรับเลื่อนสายตามมาตรฐานของสำนักยูโด “บูโดกัน” โดยมีหลักการแข่งขันกำหนดว่า ต้องชนะผ่านสองในสามคน...จากระดับสายเดียวกัน[/SIZE]

    [SIZE=-1]...ที่มุมห้อง ...ศึกษา...เพื่อนนักยูโดสายเขียวนอนอยู่ใต้ผืนผ้าใบชำรุด[/SIZE]
    [SIZE=-1]“ให้เหงื่อออก...แล้วไข้จะลด” ...เขาพูดก่อนจะคลุมโปงต่อ[/SIZE]
    [SIZE=-1]แต่หลังการแข่งขันแบบพบกันหมด เขากลับมานอนซมที่มุมเดิม[/SIZE]
    [SIZE=-1]“ไม่เป็นไร งวดหน้า...ค่อยเอาใหม่” เขาพูดทั้งนัยน์ตาแดงกล่ำด้วยพิษไข้...และมีน้ำซึมเต็มเบ้า[/SIZE]

    [SIZE=-1]ภาพที่เห็นในวันนั้น...ทำให้ตั้งใจเด็ดขาดว่า เราจะไม่แข่ง...ให้ใครต้องแพ้อีก[/SIZE]


    <CENTER>..................</CENTER>
    [SIZE=-1]...ภายในห้องสอบนั้นดูเคร่งขรึม ทุกคนมีแววตาดูไม่เป็นมิตรเหมือนวันก่อน ๆ[/SIZE]
    [SIZE=-1]เพียงแค่วันนั้น...คือวันแข่งขันชิงทุน AFS เพื่อไปศึกษายังประเทศสหรัฐฯ เป็นเวลาหนึ่งปี โดยมีหลักการว่า จะคัดให้เหลือเพียงสองคนจากนักเรียนชั้นมัธยมสี่ทั้งระดับร่วมสองร้อย ...ซึ่งเมื่อประกาศผลในเดือนถัดมา[/SIZE]

    [SIZE=-1]“ไม่น่าเชื่อว่า...จะเป็นนาย” ...พิเชษ...มือหนึ่งภาษาอังกฤษของรุ่น...เอ่ยด้วยสำเนียงเหยียดหยัน“นี่คงท่องดิคชันนารีมาทั้งเล่มเลยสินะ”[/SIZE]
    [SIZE=-1]...แต่เราทั้งสองโชคร้าย เมื่อทุนทั้งหมดถูกยกเลิก ด้วยปีนั้นเกิดเหตุ...มหาวิปโยค[/SIZE]

    [SIZE=-1]...วันนั้น...สัญญากับตัวเองไว้ว่า เราจะไม่แข่ง...ให้ต้องเกลียดใครอีก[/SIZE]

    <CENTER>..................</CENTER>
    [SIZE=-1]...ครูเสริมศรีขมวดคิ้วอย่างสงสัย เมื่อเด็กทยอยออกจากห้องสอบไปเกือบหมดแล้ว จะเหลือก็แต่เด็กสองคนที่สายตาถมึงทึงใส่กัน ไม่ยอมลุกจากที่นั่ง...จนหมดเวลา[/SIZE]

    [SIZE=-1]“ต้องขยันอ่านมากกว่านี้หน่อยนะ" ...ทวีศักดิ์...ศิษย์เอกวิชาชีววิทยา...ด้วยคะแนนสูงสุดสองเทอมติดต่อกัน ...เอ่ยหลังเจอกันหน้าห้อง แล้วเมื่อประกาศผล ที่สุด...เขาก็คว้ามันไปได้อีกเป็นครั้งที่สาม[/SIZE]

    [SIZE=-1]...นึกถึงวันนั้น...ให้นึกเสียดายว่า เราไม่น่าแข่งกับใคร...เพราะความหมั่นไส้เลย[/SIZE]


    <CENTER>..................</CENTER>
    [SIZE=-1]...หลังเสร็จสิ้นการแข่งขันฉันท์ลักษณ์น้องใหม่ครั้งแรก ...ทีมเราแพ้อย่างจืดชืดเพราะความจริงจังและอยากเอาชนะ[/SIZE]

    [SIZE=-1]“นี่เธอ! แต่ไหนแต่ไรมา...เราไม่เคยชนะเลยแม้แต่ครั้งเดียว” พี่ติ่ง...พี่เลี้ยงที่ดูแลทีมวรรณศิลป์-สถาปัตย์ ...ขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัว[/SIZE]
    [SIZE=-1]“เธอต้องไม่ทำให้สถิตินี้...เสียไป”[/SIZE]

    [SIZE=-1]วันนั้น...สมาชิกถูกเปลี่ยนใหม่เกือบหมด เจนกิจ...เสียงเท่ ธีรกิจ...หน้าหล่อ และ วิชญ...มุขตรึม ถูกเรียกเข้ามาเสริมทีม...เพื่อสร้างความเฮฮา[/SIZE]

    [SIZE=-1]จากนั้นเสียงหัวเราะคิกคักก็ดังอื้ออึงไปทั่วศาลาพระเกี้ยว เราเปลี่ยนมาแข่งกันด้วยอารมณ์ขัน จนแพ้ได้สมใจในทุกนัด และสิ่งที่เราได้คือ...ความสนุกสนานของผู้ชม[/SIZE]

    [SIZE=-1]นึกถึงวันเหล่านั้นทีไร ก็ได้ความรู้สึกดี ๆ ...จนถึงกับเชื่อว่า การไม่ชนะ...นับเป็นลาภอันประเสริฐ[/SIZE]


    [SIZE=-1]
    <CENTER>..................</CENTER>[/SIZE]
    [SIZE=-1]...เวทีนั้น...สว่างจัดจ้านด้วยแสงไฟหลายสิบดวง เพื่อนพ้องคนรักไวน์ห้าท่าน...ร่วมใจกันมายืนเรียงหน้ากระดาน...หน้าตาเหรอหรา[/SIZE]

    [SIZE=-1]“ผมไม่นึกว่าพี่จะมาร่วมแข่ง” ...ก้อง...คนรักไวน์รุ่นน้องที่มาเชียร์พรรคพวกหลังเวทีพูดขึ้น“ผมคิดว่า...พี่ชอบอยู่เงียบ ๆ โลว์โปรฟายเสียอีก”[/SIZE]
    [SIZE=-1]นั่นสิ...แล้วเรามาทำอะไรที่นี่[/SIZE]
    [SIZE=-1]“ไม่มีอะไร...ผมรีบมารีบไป” [/SIZE]

    [SIZE=-1]ก่อนหน้าวันนั้น...สามวัน ได้รับการติดต่อให้ร่วมแข่งขันในรายการ “แฟนพันธุ์แท้...ไวน์” ...ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เรื่องราวของไวน์ได้ออกอากาศทางโทรทัศน์อย่างเป็นเรื่องเป็นราว ...และนี่อาจเป็นครั้งสุดท้าย [/SIZE]

    [SIZE=-1]สาบานได้ว่า...วันนั้น ในใจมิได้คิดอะไรมากไปกว่า...ขอร่วมสนุกด้วยคน ไม่ได้คิดถึงเรื่องแพ้...หรือแม้แต่จะชนะ[/SIZE]

    <CENTER>..................</CENTER>
    [SIZE=-1]...วันนั้น...หลายวันหลังการแข่งขันสิ้นสุด ห้าคนรักไวน์ต่างมารวมตัวกันอีกครั้ง...ด้วยเป้าหมายที่ต่างจากครั้งคราวแข่งขัน เรากลับมาเพื่อร่วมกันดื่มด่ำไวน์ห้าอรหันต์...ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรางวัล ...มาดื่มด่ำกับความเป็นผู้ชนะ...ร่วมกัน [/SIZE]


    [SIZE=-1]<CENTER>..................</CENTER><CENTER>http://palungjit.org/showthread.php?t=130014&page=2</CENTER>[/SIZE]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤษภาคม 2008
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เหมือนกัน...แต่ไม่เท่ากัน



    [​IMG]
    คนเราแม้จะมีมือขาเท่าเทียมกัน แต่ด้วยสภาพแวดล้อมอันหลากหลาย จึงอาจทำให้แต่ละคน...มีชีวิตที่ไม่เท่าเทียมกันffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ผมเที่ยวหาซื้อไวน์ตามที่คอลัมน์ข้าง ๆ เขาเขียนวิจารณ์มาชิมเกือบจะทุกตัว พอดื่มแล้วก็ลองบรรยายตามจินตนาการพร้อมกับให้คะแนนไปด้วย แต่เมื่อเอาไปเทียบแล้วมันไม่เห็นเป็นอย่างที่เขาสาธยายสักเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าใครผิดใครถูก <O:p></O:p>

    สมนึก / บางลำพู<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ผมว่า คงไม่จำเป็นต้องควานหาว่าใครผิดถูกหรอกครับ เพราะเรื่องการชิมรสชาติไวน์นั้นหาความชัดเจนแน่นอนมิได้ ดูเอาแค่ว่าไวน์แต่ละขวด แม้จะยี่ห้อเหมือนกันแถมยังเป็นปีเดียวกัน คุณยังหาซื้อได้ในราคาแตกต่างกันเลย แล้วก็ลองคิดดูสิว่า การจะให้ไวน์มีรสสัมผัสแบบเดียวกันจากลิ้นของคนหลายคนนั้น ต้องถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ยิ่ง<O:p></O:p>
    สาเหตุแท้จริงที่ทำให้รสชาติไวน์ออกมาแตกต่างกันออกไปได้นั้น มันมีปัจจัยอื่นมาเกี่ยวข้องเยอะครับ อาทิเช่น<O:p></O:p>
    ขบวนการขนส่งตลอดจนกรรมวิธีการจัดเก็บของผู้นำเข้า อาจเป็นตัวก่อให้เกิดปัญหา<O:p></O:p>
    แม้จะมาจากแหล่งผลิตหรือแม้จะเป็นปีเดียวกัน มิได้หมายความว่าเนื้อน้ำไวน์นั้น จะปรากฏผลออกมาเหมือนกันทุกขวด เพราะก่อนที่มันจะมาถึงมือคุณ เราไม่มีทางรู้เลยว่า ก่อนหน้านี้ไปตกระกำลำบากที่ไหนมาบ้าง แถมผู้นำเข้าไวน์ตัวเดียวกันนั้นอาจมีมากกว่าหนึ่งราย ซึ่งตรงนี้เป็นที่แน่นอนว่า ด้วยกรรมวิธีการขนส่งและต้นทุนการดูแลจัดเก็บที่ต่างมาตรฐานกัน ย่อมส่งผลให้ไวน์ตัวนั้นแสดงผลลัพธ์ออกมาไม่เหมือนกัน
    <O:p></O:p>
    ดื่มไวน์ในห้วงเวลาที่ต่างกัน<O:p></O:p>
    ไวน์มีการเจริญเติบโตภายในขวดอยู่ตลอดเวลา มีช่วงเวลาของพักผ่อนนอนหลับ บางช่วงสดใสเริงร่า บางเวลาเก็บตัวเงียบขรึม บางอารมณ์ก็กระโดกกระเดกขาดความสุขุม ฯ ห้วงเวลาในแต่ละอารมณ์นั้นเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพพื้นฐานการผลิต ซึ่งทำให้ผลลัพธ์แตกต่างกันไป หากคุณมีโอกาสดื่มไวน์ในช่วงสมบูรณ์สุดได้นั้น ย่อมถือเป็นลาภอันประเสริฐ การสังเกตปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้อาจจะยากสักนิด ต้องใช้ประสบการณ์สูงพอควร เป็นเรื่องยากมากสำหรับคอไวน์หน้าใหม่ โดยเซียนไวน์มักจะทราบดีว่า ช่วงไหนไวน์จะสมบูรณ์เต็มที่หรือกำลังอยู่ในช่วงขาลง
    <O:p></O:p>
    อุณหภูมิไวน์และสถานที่นั้นไม่เหมือนกัน<O:p></O:p>
    คอไวน์หน้าใหม่ส่วนใหญ่มักถูกสอนว่า “ให้ดื่มไวน์ที่อุณหภูมิห้อง” ตรงนี้ผิดพลาดกันมาเยอะแล้ว เราต้องแยกแยะคำว่า “อุณหภูมิห้อง” ให้ชัดก่อนนะครับว่า มันอยู่ที่ไม่เกิน 25 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิห้องแบบยุโรป ไม่ใช่ 32 องศาเซลเซียสอย่างบ้านเรา อีกส่วนที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันก็คือ “อุณหภูมิไวน์” ไวน์แดงควรดื่มที่18 - 20 องศาเซลเซียส ไวน์ขาวอยู่ราว 12 – 15 ส่วนไวน์หวานต้องเย็นขนาด 10 องศาเซลเซียสลงไป ตรงความเย็นสองอย่างที่แตกต่างกันนี่เอง จะโอกาสปิดกั้นความสมบูรณ์ของไวน์ เปลี่ยนสภาพจากเด็กดีเป็นเด็กดื้อไร้ขอบเขต เป็นเด็กแนวไร้เหตุผลไปได้อย่างง่ายดาย
    <O:p></O:p>
    มาตรฐานอุปกรณ์ทีใช้ดื่มไวน์อาจต่างกัน<O:p></O:p>
    ไวน์นั้นมีลักษณะตัวเฉพาะเป็นของตนเอง บางตัวเด่นที่กลิ่น บางตัวเด่นตรงเนื้อน้ำ การเตรียมอุปกรณ์ให้เหมาะสมกับความแตกต่างนั้น จะส่งผลให้ไวน์สะท้อนลักษณะเด่นออกมาชัดเจนขึ้น อย่างเช่น ไวน์กลิ่นเด่นควรเลือกแก้วลักษณะกระเปาะที่อุ้มกลิ่นได้ดี ปากงุ้มเข้า ซึ่งหากใช้แก้วปากกว้าง กลิ่นจะกระจายตัวรวดเร็วเกินไป จนคุณจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ถ้าไวน์นั้นเด่นเรื่องเนื้อน้ำหรือความหนักแน่น ก็ควรเลือกใช้แก้วขนาดใหญ่พอที่จะแกว่งไกวให้สัมผัสอากาศได้เต็มอิ่ม หากคุณใช้แก้วขนาดเล็กเกินไป ไวน์นั้นก็อาจจะฉายความงามได้ไม่เต็มที่
    <O:p></O:p>
    เวลาที่ใช้สำหรับให้ไวน์ได้หายใจอาจไม่เท่ากัน<O:p></O:p>
    ไวน์แต่ละตัวมีลักษณะเนื้อน้ำหนาบางแตกต่างกัน ปกติแล้วพวกไวน์เนื้อหนา (ไม่ใช่สีหนา) ต้องการเวลาหายใจหลังเปิดขวดนานกว่าไวน์สายเนื้อบาง (ไม่ใช่สีบาง) <O:p></O:p>
    เวลาที่ปล่อยให้ไวน์หายใจนั้น โดยทั่วไปให้ถือที่ครึ่งชั่วโมงเป็นหลัก แต่หากเป็นพวกเนื้อหนาพิเศษหรือเป็นไวน์ใหม่มาก ๆ ก็สามารถปล่อยให้ล่วงเลยเป็นชั่วโมงได้ บางตัวที่พิสดารพันลึกอาจเปิดขวดทิ้งไว้ข้ามวันข้ามคืน แต่สำหรับพวกไวน์เนื้อบางพิเศษ อาจรวบรัดเวลาให้สั้นลง ได้เล็กน้อย เพราะหากปล่อยให้เนิ่นนานไป ไวน์นั้นอาจสิ้นใจไปก่อนที่จะได้เชยชมความงดงาม
    <O:p></O:p>
    สภาวะและประสิทธิภาพการรับรสของแต่ละคนนั้นมีพื้นฐานต่างกัน ปุ่มรับกลิ่นในโพรงจมูกและต่อมรับรสของลิ้น แม้จะมีโครงสร้างหลักเหมือนกันโดยธรรมชาติ แต่ประสิทธิภาพการส่งสัญญาณไปสู่สมองเพื่อประมวลผลนั้น อาจจะออกมาแตกต่างและผิดเพี้ยนกันไป บางคนกลับตกหล่นในรสชาติหรือกลิ่นบางอย่าง บางคนอาจจับรายละเอียดเพิ่มเติมได้มากและล้ำลึกกว่า สิ่งเหล่านี้เป็นไปตามสภาวะของอารมณ์และความสมบูรณ์ของร่างกายด้วย<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    นอกจากความแตกต่างตามสภาพข้างต้น ที่มีอิทธิพลต่อผลลัพธ์ในหลายรูปแบบแล้ว ยังมีเรื่องของความรู้สึกส่วนตัวสารพัดเข้ามาปะปน บางคนชอบหวานและเกลียดเปรี้ยว บ้างนิยมเนื้อหนาแต่รังเกียจขม เมื่อเอาความรักชอบมาผูกกับรสนิยม ผลที่ออกมาเลยทำให้ยิ่งห่างไกลกันไปใหญ่<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ผมว่าเรื่องเหล่านี้ต้องแล้วแต่อัธยาศัยครับ อย่าได้ไปยึดติดว่าใครถูกใครผิดเลย <O:p></O:p>

    http://palungjit.org/showthread.php?t=130014
    <!-- / message -->
     
  18. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ศิลปการดื่มไวน์เป็นศาสตร์ระหว่าง
    อารมณ์ และ เหตุผล มาบรรจบกันคนละครึ่ง ไม่ขาดไม่เกิด
    ตรงนี้ ต้องใช้ความละเมียด สติและจินตภาพอย่างมาก
    สำหรับการอ่านไวน์ซักขวด
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ไวน์ทุกขวด ย่อมมีดีในแบบของตนเอง

    แม้แต่ไวน์ ที่ได้ชื่อว่าเลวที่สุด

    ก็ยังมีดีในไวน์นั้น ตามแบบของไวน์

    กินมากก็เมาเหมือนกัน ทุกขวด

    อยู่ที่เราจะมองเห็นหรือไม่ หรือไม่อยากมอง
     
  20. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    อะไรนี้ wyne เวย อะไร ไม่เห็นแจ่ม

    แกว่ง ให้รู้ว่า แกว่ง

    ใจขาดกำลัง หรือ ที่เรียกว่า แห้ง ให้รู้ว่า ใจขาดกำลัง

    แท้ที่จริงการวิปัสสนา ถึงแม้จะไม่มีสมาธิ สมถะ มาช่วยหนุน แต่ก็ทำให้
    เห็นว่า เรื่องของ กำลังใจนั้น Built ได้ทางใดบ้าง ทุกทางก็สรุปไปที่
    -- สุข -- ทั้งนั้น --> การที่ สุขใจ จะเรียกว่า แห้งแล้ง ก็ไม่ถูกนัก แต่ถ้า
    ขาดกำลังใจ แล้วต้องต่อสู่ด้วยใจตนเอง อันนี้เรียกแห้งแล้งได้ แต่มีอีกคำ
    ได้ยินแล้วก็พองกว่า คือ เด็ดเดี่ยว ดังนั้น คนที่ยกวิปัสสนาญาณล้วนๆ จึง
    สามารถออกนอกข่ายทิฏฐิได้ สามารถพบทางเจริญได้ด้วยตนเอง คือ
    สามารถอยู่ในที่ ธุรกันดานจากสหายธรรมได้ ( แห้งแล้ง ) -- แต่พระพุทธ
    องค์ก็ให้คำประเสริฐเรียกกลุ่มนี้ว่า สุขวิปัสสโก ( สามารถเจริญด้วยความ
    สุขที่สร้างด้วยตัวเอง )

    * * * * จบ * * * *

    อันนี้เป็น link ที่มีค่ายิ่งในการสดับ

    การละวิจิกิจฉา โดย อ.ขันธ์

    http://palungjit.org/showthread.php?t=130020
     

แชร์หน้านี้

Loading...