การจะบรรลุธรรมต้องทำอย่างไรบ้าง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เข้าหาธรรม, 6 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. wawa99

    wawa99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +645
    เริ่มจาก

    ทำทาน สม่ำเสมอตามกำลังของตน

    ศีล ห้าข้อ ให้บริสุทธิ์ทุกวัน ถ้าวันไหนพลาดพลั้งก็ตั้งใจใหม่

    สวดมนต์ เป็นประจำก่อนนอน ฝึกนั่งสมาธิเมื่อใจพร้อม ส่วนจะเห็นหรือไม่อยู่ที่บุญเก่าของแต่ละคนที่ทำไว้

     
  2. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    จำเป็นต้องสวดมนต์ด้วยครับ แต่สวดบทที่ตัวเองชอบ
    หรืออย่างน้อยก้สวดทำวัตรเช้า-เย็น

    ทำจิตให้สงบให้ได้ก่อน ต้องจิตสงบเป็นแล้ว ถึงจะฝึกอย่างอื่นได้
    จิตสงบได้จากการมีศีล การสวดมนต์และทำตามแนวสมถะ
     
  3. เบองซูร์

    เบองซูร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    586
    ค่าพลัง:
    +664
    สาธุ อนุโมทนาบุญที่คุณต้องการพ้นทุกข์นะครับ
    ผมแนะนำคุณไปศึกษา

    สถาบันแสงทิพย์อริยธรรม
    www.buddhapoem.com
    www.buddha-dhamma.com
    แสงทิพย์อริยธรรม
    sangthipariyadhamma.com

    เป็นทางลัดตัดตรงเข้าสู้พระนิพพาน
    กรุณาค่อยๆ ศึกษาดูนะครับ
    อย่าปรามาสเด็ดขาดครับเดี๋ยวได้รับโทษหนัก
    ถ้าชอบด้านนี้ก็ศึกาษดูนะครับ
    ผมเป็นกำลังใจให้
    สาธุ
     
  4. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    ไม่ต้องรู้มากก็ได้ถ้าไม่มีพื้นฐานภูมิธรรมมาก่อน ขอให้แค่ว่าทำอย่างไรจึงจะรู้ว่ากายใจนี้ไม่เที่ยง :cool:
     
  5. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    อนุโมทนาด้วย กับ ฉันทะ ที่ต้องการบรรลุธรรม ตามองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า

    คำถามที่ว่าจะต้องทำอย่างไรบ้างนั้น คำตอบคือ

    1 ให้หมั่นเจริญสติให้รู้ตัว ว่า กำลังทำอะไรอยู่ คิดอะไรอยู่ รู้สึกอะไรอยู่ ให้รู้ชัดขึ้น จนเป็นการรู้ไปโดยอัตโนมัติ

    2 อะไรที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดี ให้พยายามละ หรือ ความคิดแบบใด การกระทำแบบใดที่ทำให้เกิดผล ไม่ดี ให้หมั่นละ เช่น พยายามละโกรธ หลง ขี้เกียจ

    3 อะไรที่ทำแล้ว ทำให้จิตใจเบิกบาน มีกำลังใจ ให้พยายามทำให้ดีขึ้น
    เช่น สวดมนต์ทุกวัน ทำสมาธิ ทำบุญ ทำทาน

    4 ค่อยๆ พัฒนาสติ ที่สังเกตุตนนั้น ให้ละเอียดยิ่งขึ้น มาอยู่กับตัวเองมากขึ้น เห็นจิตใจตนเองมากขึ้น

    เห็นการกระทำ ความคิด ที่ดำเนินไปแต่ละขณะมากขึ้น


    แล้วอบรมวิถีชีวิตประจำวัน

    ให้ คิดดี ทำดี พูดดี

    แล้วสุดท้าย เจริญสมาธิ ให้ได้ปฐมฌาณให้ได้ เพราะตัวที่จะบรรลุ จะต้องอาศัยกำลังการเพ่ง จ่อสติลงไปที่ปัจจุบันขณะทุกขณะจิต หากกำลังสมาธิ ไม่มากพอ จะไม่สามารถเอากำลังสติ กำลังสมาธิแหวก อำนาจอวิชชาไปได้
     
  6. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    เข้าหาธรรม

    มี ทำ และรู้
    ในสิ่งที่ทำให้เข้าหาธรรมให้ได้

    เมื่อเข้าหาธรรมไปเรื่อย ๆ
    ก็เข้าถึงธรรม
    เมื่อเข้าถึงธรรม ก็บรรลุธรรม

    ก็สำเร็จอรหันต์...

    แต่มันก็ยากอยู่นะ ในการที่จะเข้าหาธรรมให้ได้
    แต่ถ้าทำไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดไม่ถอย
    ยังไงเสียก็ต้องถึง
     
  7. rwoot

    rwoot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    336
    ค่าพลัง:
    +191
    ให้ทาน(อภัยทาน) รักษาศีล ศีลบริสุธิ์ เกิดสมาธิ...สมาธิดี มีปัญญา...ปัญญาเกิด คิดพิจารณารู้ทันทุกข์...ปัญญาเกิดละเลิกดับกิเลส...กิเลสสูญถึงที่สุดแห่งทุกข์...

    "ยอดของพระศาสนาคือ ศีล สมาธิ ปัญญา" นะครับ...

    ถ้าสั้นๆ ไม่ต้องดูวุ่นวาย "ตามดูรักษาจิต...ตัวเดียว" เราชั่วเรารู้รีบหยุด เราดีเรารู้แล้ววาง...

    "ท่องไว้คำเดียวว่า "ปล่อย" กับทุกสิ่งที่เข้ามากระทบอารมณ์ โดยมีศีลเป็นหลัก เจริญเมตตาภาวนาให้มากเข้าไว้"....

    เอาเท่าที่ตัวผมรู้ เท่าที่ตัวผมเองพอทำได้มาบอกต่อนะครับ.....โมทนาสาธุกับผู้ตั้งกระทู้กับกระทู้ดี(มากๆ) กระทู้นี้ครับผม....
     
  8. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ใช่แล้วครับ การสวดมนต์เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก ตัวผมเองก็สวดอยู่เป็นประจำก่อนเจริญกรรมฐาน
    การสวดมนต์มีประโยชน์มาก ทั้งในด้านสมาธิและปัญญา

    ด้านสมาธิ เป็นการระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นอนุสติกรรมฐาน
    ต่อให้สวดโดยที่ไม่รู้ความหมาย อย่างน้อยก็ได้ศรัทธา

    ด้านปัญญา เมื่อสวดโดยที่รู้ความหมายด้วย เป็นเหตุให้ได้พิจารณาเนื้อความในบทสวดต่างๆ ซึ่งเป็นไปในทางกุศลทั้งนั้น

    เหตุหนึ่งที่สามารถส่งผลให้เกิดการบรรลุธรรมได้ก็คือ การสาธยายธรรม ซึ่งก็คือการสวดมนต์แล้วพิจารณาตามนี่เอง

    โดยส่วนมากบารมีพวกเราไม่เหมือนสาวกสมัยพุทธกาล(ยกเว้นสุดยอดอริยะสาวกบางองค์ เช่น หลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัว) ดังนั้น ประโยชน์ที่ได้จากการสวดมนต์ จะเป็นไปในทางสมถะเสียมากกว่า ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐมากๆแล้ว

    การที่ผมกล่าวไปว่า การสวดมนต์ไม่จำเป็น นั่นสำหรับผู้มีกำลังของสมถะที่สูงมากแล้ว จึงสามารถข้ามในส่วนนี้ได้ อริยสาวกยุคแรก ก็มิได้สวดมนต์มาก่อน ท่านก็บรรลุธรรมกันได้ เนื่องด้วยพลังสมาธิส่วนใหญ่อยู่ในระดับฌาณกันแล้วทั้งนั้น ในยุคปัจจุบัน บางท่านอาจฝึกสมาธิมาดีอยู่แล้ว สามารถยกจิตขึ้นวิปัสสนาได้เลย ประเด็นคือ ไม่ต้องไปยึดติดกับการสวดมนต์ ได้สวดก็ดี ไม่ได้สวดก็ดี อันนี้แล้วแต่สะดวกครับ

    แต่สำหรับตัวผมเอง ยังต้องอาศัยการสวดมนต์หนุ่นเนื่องส่งเสริมกำลังศรัทธาและสมาธิ ก่อนที่จะเข้ากรรมฐานเกือบทุกครั้ง เพราะอินทรีย์ยังอ่อนอยู่มาก
    ดังนั้น การสวดมนต์จึงมีคุณค่าอย่างยิ่ง ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว
     
  9. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    ต้องฝึกสมาธิจนถึงขึั้นไหนคะ และจำเป็นต้องสวดมนต์หรือเปล่า

    ก่อนอื่น ทำความเข้าใจกับคำว่าสวดมนต์จักหน่อย

    คำว่ามนต์ หมายความว่า หลักประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน

    สวดหมายถึง กิริยากล่าวมนต์ ด้วยจิตเป็นกุศล ที่ว่าจิตเป็นกุศลนั้นหมายถึงการใฝ่ดี ใฝ่ดีในที่นี้คือ ใฝ่ นิพพาน ทำเพื่อ สละ วาง สลัดคืน

    คราวนี้ มนต์ของพระพุทธเจ้านั้น สมัยก่อน ไม่มีกระดาษสมุดไว้จดคำสอน มีแต่การบอกกันแบบ ปากต่อปาก การบอกแบบนี้ จึงต้อง จำกันให้ได้ การสวดมนต์นั้นจึงต้องทำให้มาก เพื่อ ต้องจำคำสอนในการปฏิบัติให้ได้

    ที่ต้องจำคำสอน หรือมนต์นั้นก็เพื่อว่า

    เมื่อ ภิกษุเรียนกรรมฐานแล้ว เข้าใจแล้วก็ต้องแยกย้าย ไปอยู่ป่าก็ดี เรือนว่างเปล่าก็ดี โคนต้นไม้ ป่าช้าก็ดี เพื่อกระทำสมณธรรม ตามมนต์ที่ร่ำเรียนมา

    การหมั่นทวนคำสอนนั้น ก็คือนำมนต์มาสวด มาท่อง เพื่อทวน วิธีปฏิบัติ

    เหล่า รูปนาม ที่อยู่ใกล้ๆ แถวนั้น ที่มองเห็นก็ดีและไม่มองเห็นก็ดี เมื่อได้ยิน คำสาธยายมนต์ หรือ คำสนอนพระศาสดา หรือจะเรียกว่า เทศนาธรรมพระศาสดาก็ได้ ก็จะเข้ามารับฟัง เพียงแต่ว่าไม่ใช่พระศาสดาเป็นผู้แสดง แต่เป็นสงฆ์สาวกเป็นผู้แสดงธรรมแทนพระศาสดา

    ผู้ที่มาเหล่านั้น ก็จะได้ความรู้ ความเข้าใจ ในธรรมตามไปด้วย และจะขอบคุณผู้สาธยาย ทำให้เป็นมิตร คอยดูแล อันตรายให้อีกด้วย

    จะเห็นว่า คำสอนพระพุทธเจ้า หรือ มนต์พระพุทธเจ้าทุกบท เป็นไปด้วยคำสัจจริง เต็มไปด้วยเมตตา ผู้ใดได้ฟังก็ชื่นชอบ

    ซึ่งสมัยนั้น ภาษาที่ใช้กันก็คือภาษาบาลี

    พอมาปัจจุบัน คนไทยก็สวดตามบาลี เพราะฉนั้น หากสวดมนต์ ก็พยายามทำความเข้าใจ ในความหมายนั้นๆด้วย แล้วก็ทำตามความหมายนั้นๆ ที่ได้สาธยายมาด้วย ก็จะเรียกว่า ทำตามคำสอนพระศาสดา

    อีกนัยหนึ่ง แม้สวดบาลี แต่ไม่รู้ความหมาย ก็เป็นการฝึกให้จิตสงบลงได้ หรือเรียกว่า เป็นการทำสมถะไปในตัวเพื่อให้จิตมีกำลังเช่นกัน

    ครูโบราณท่านจะสอน สวดมนต์ให้มันได้ เป็นวัตรเช้าเย็น เพื่อเพิ่มพลังจิตไปในตัว การทำอะไรที่เป็นวัตร สม่ำเสมอ ก็คือ ได้ทำ สัจจะบารมีไปในตัว

    การสวดมนต์ไม่ทำให้เนิ่นช้า มีแต่ช่วยส่งเสริม ผู้มีสมาธิ ในพุทธศาสนาที่ก้าวหน้า จะไม่มีความขี้เกียจสวดมนต์ หรือแม้แต่การงานที่ดำรง

    สมาธิในพุทธศาสนา เป็นสมาธิที่อยู่กับโลกได้อย่างพ้นโลก


    ต้องรู้อริยสัจ4 หรือขันธ์ห้า ทำนองนี้มั้ยคะ

    อริยะสัจ ๔ หรือขันธ์ ๕ ผมเข้าใจว่าเป็นการจำแนกธรรม ของพระศาสดา
    เพื่อมาสอนธรรม เพื่อให้เข้าใจในการฟัง



    สรุปคำถามเลยคือ ต้องมี ต้องทำ ต้องรู้อะไรบ้างคะ ถึงจะบรรลุธรรมสำเร็จอรหันต์ ที่ทราบคือว่าต้องมีการสั่งสมบุญและฝึกสมาธิจากชาติก่อนๆมาด้วยถึงจะทำได้เร็ว

    สรุป ต้องมี ศีลเป็นพื้นฐาน

    ต้องทำตามคำสอนที่สอนเกี่ยวกับบวิธีการฝึก

    ผมเข้าใจว่าต้องรู้ปัจจุบันธรรมให้ได้

    การไปนึกถึงอดีต ว่าได้สั่งสมมาเท่าไร ไม่ใช่สาระ เพราะไม่มีใครรู้ได้
    เว้นพระศาสดา

    (ผู้ที่ได้มานับถือพระพุทธศาสนาเป็นผู้ที่มีบารมีมามากแล้ว
    หลวงปู่หล้า เขมะปัตโตกล่าวไว้ )


    สาระอยู่ที่การทำปัจจุบันธรรมให้แจ้ง

    !!! พร้อมหรือยัง ที่จะเข้ามาเรียนรู้
    วิธีการ
     
  10. Tofzz

    Tofzz สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2011
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +2
    ขอเสริมจากคุณวิมุตติ สักนิดนะครับ เห็นว่าพูดถึงเรื่องบทสวดมนต์พอดี

    ในเรื่อง สวดมนต์นั้น ผมแนะนำ ให้สวดบทสวดมนต์แปลครับ สวดเป็นสิบๆบท แต่ไม่รู้ความๆหมาย

    เทียบกับสวด เพียงบทเดียวแต่เข้าใจความหมาย แล้วระลึกตาม ไม่ได้เลย

    สวดแบบไม่แปล ก็จะได้ประโยชน์ในส่วน ศรัทธา กับมีสมาธิจดจ่ออยู่กับบทสวดมนต์เท่านั้น แต่บางท่านนี่ก็ ใจลอยไปก็มี

    แล้วขอเสริมอีกนิดนึงนะครับ สำหรับ หลายๆท่านที่อาจจะได้ประโยชน์จากกระทู้นี้

    ขอให้พึงระลึกเสมอว่า "อย่างน้อยที่สุด" ชาตินี้ ให้ได้ "โสดาบัน"

    งานของการเป็นโสดาบันนั้นจะว่าง่ายก็ง่ายจะว่ายากก็ยาก มี 3 ประการที่ต้องทำให้ได้ เพื่อที่จะเป็น โสดาบัน

    ให้สำรวจตัวเอง ดูความคิด ดูความรู้สึก ผมว่าอย่างน้อยๆที่เราเข้าหาธรรมกันนี่ แสดงว่า เราหมดความลังเลสงสัยในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนแล้ว การสงสัยเพราะไม่เข้าใจ กับสงสัยเพราะไม่เชื่อ นี้ต่างกัน นะครับ งานแรกนี้ ถ้าเรายังไม่สนิทใจ ก็ให้ลอง ฟังธรรม ศึกษาข้อธรรมดู ให้ใช้ความคิดพิจารณา หาเหตุผล ว่า มันเป็นอย่างนั้นจริงๆหรือ

    เรายังเหลืองานอีก 2 อย่างที่ต้องทำ คือเข้าใจธรรม(ชาติ)ที่ว่า ร่างกายนี้ ต้องเหี่ยวย่น และสลายไปในที่สุด มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของๆเรา เราลองดู รูป ตอนเราเด็กๆกับตอนนี้ก็ได้ครับ มันเปลี่ยนไปขนาดไหน พิจารณาบ่อยๆ ให้กลายเป็นสันดานไปเลยก็ดีครับ ในข้อนี้ขอให้เปรียบเทียบ การที่ท่าน "รู้" กับการที่ท่าน "เข้าใจ" มันต่างกันนะครับ

    ข้อสุดท้าย ความบริสุทธิ์ของศีล การรักษาศีลของเรา ให้ออกมาจากปัญญาครับ ไม่ใช่การรักษาศีลที่เกิดจาก "การยับยั้งชั่งใจ" (สำหรับ ฆราวาส ก็ ศีล 5 เณร ก็ ศีล 10 พระ ก็227 ตามแต่บุคคล) อย่างเช่นให้เราโกหกใครสักคนนึง เราจะ "ทำไม่ได้" ไม่ใช่ "ไม่ทำ" เพราะคำว่า ไม่ทำนี้เรายังทำได้อยู่ แต่เราไม่ทำ

    ขอให้เจริญในธรรม กันทุกๆท่านนะครับ :D

    ป.ล. ขออนุโมทนาสาธุกับ หลายๆ ความเห็นด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กุมภาพันธ์ 2011
  11. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    คดีแดง

    ไหว้พระสวดมนต์ก็ทำได้ครับ แต่ไม่จำเป็นต้องทำทุกวัน
    การฝึกสมาธิควรทำทุกวันแต่ก็ไม่ต้องตึงครียดมากไป เกร็งมากไปครับ ทำตัวให้อยู่ในท่าที่สบายๆ ขั้นแรกเข้าหาธรรมต้องศึกษาเรื่อง อธิศีลให้เข้าใจ

    เมื่อรู้เรื่องของศีลจริงศีลแท้ของอริยเข้าหาธรรมก็ยังต้องมา
    ทำตนให้เกิดศีลอริยะ ต่อมาก็ศึกษา
    ขั้นอธิจิต ก็คือการเฝ้าดู ความนึกคิดของตนเอง เรียกง่ายๆ
    คือดูตัวเอง ไม่ใช่เข้าข้างกิเลสตนเอง
    ดำดับต่อมา ก็เป็นเรื่องของปัญญาล้วนๆ
    อธิปัญญา เป็นเรื่องการใช้ปัญญาที่สั่งสมมาทั้งหมด
    ละความหลงพร้อมกับปัญญาก็ทำลายตัวมันเองถือสิ้นอาสวะในโลกบรรลุธรรมสำเร็จอรหันต์ ง่ายไหมเข้าหาธรรมไปลองทำดู<!-- google_ad_section_end --> หากมีผู้รู้ไม่แจ่มแจ้งรู้ไม่จริงบอกว่า บรรลุธรรมสำเร็จอรหันต์
    จะต้องตายภายใน 7 วัน ต้องถือบวชตลอดชีวิต ก็อย่าไปว่าเค้า เค้ายังรู้ไม่จริงยังรู้หลงอยู่ ถ้าเค้าข้ามตัวหลงไปได้แล้ว
    เค้าจะไม่มาติดเงื้อนไขแค่นี้ จะต้องหมดสิ้นความลังเลสังสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
     
  12. Bi-Location

    Bi-Location Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2010
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +49
    ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่มีเจตนาดี ซึ่งกันและกัน เพียรสั่งสมบารมีธรรมแห่งตน ร่วมเดินทางเพื่อก้าวล่วงแห่งกองทุกข์ทั้งปวง

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  13. Bi-Location

    Bi-Location Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2010
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +49
    สำหรับเรื่องนี้ ที่นี่มีคำตอบ
    Luangta.Com -
     
  14. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ต้องทำความเพียรให้ถึงพร้อม ได้แก่
    1. ทาน - การทำบุญด้วยวัตถุทาน อามิสทาน ธรรมทาน อภัยทาน ฯลฯ
    2. ศีล - ต้องมีศีลพื้นฐานเป็นปกติ อันได้แก่ ศีล 5 เป็นต้น
    3. ภาวนา - ฝึกธรรมสมาธิ สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน ระลึกรู้ตัวทั่วพร้อมเป็นปกติ หรือก็คือการฝึกสติ การเจริญปัญญา
    ทั้ง 3 ข้อ ต้องปฏิบัติได้เป็นปกติ สม่ำเสมอจนเป็นอนุสัยนอนเนื่องในสันดาน น้ำหนักของทาน ศีล ภาวนา ต้องเสมอกัน ไม่หนักไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
    4. งดเว้น หลีกเลี่ยงปัจจัยที่จะทำให้ทั้ง 3 ข้อ มัวหมอง
    5. เจริญพรหมวิหาร 4
    6. รู้จักอริยสัจ 4 นั้น ถูกต้องแล้ว แต่ต้องรู้ได้ด้วยตนเอง รู้ด้วยเพราะรู้เช่นนั้นจริงๆ มิใช่รู้เพียงแค่ตำรา ไม่ยึดติดตัวตน เรา เขา
    7. ระลึกรู้ว่าทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เป็นเช่นนั้นเอง ที่ๆ มีอยู่ ล้วนแล้วแต่ไม่เคยมี และที่ๆ ไม่เคยมี ก็เคยมีอยู่ งงมั้ย? ทุกๆ ตารางพื้นที่บนโลกนี้ ล้วนแล้วแต่เคยมีการเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย พิจารณาเอาเองเถิด
    8. รู้จักธรรมชาติ หลักการเดียวกับธรรมชาติเลย เคยเห็นต้นไม้เติบโตมั้ย?
    9. ต้องละ-วางได้ รัก โลภ โกรธ หลง ข้อนี้ ต้องมีปัญญานะถึงจะพิจารณาได้

    ที่กล่าวมาเป็นเพียงหนทางเบื้องต้นสำหรับอริยะ แต่การจะบรรลุได้ถึงระดับใดนั้น ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีที่เคยบำเพ็ญมาด้วยนะ เมื่อถึงเวลามันจะหลุด มันจะถึง มันก็หลุด มันก็ถึงเอง

    อันนี้ไม่ใช่หลักสูตร และก็ไม่มีหลักสูตรอรหันต์นะ แล้วก็ไม่มีที่ไหนเปิดสอนได้ด้วย ยกเว้นตัวเองสอนตัวเอง เมื่อปัญญามันเกิด บารมีมันเต็ม มันจะนำพาไปเรียน ไปรู้เอง ลองพิจารณาเอาเองนะ เพราะคนบอกก็ยังไม่บรรลุอรหันต์เช่นกัน

    ขออนุโมทนา
     
  15. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,307
    อนุโมทนา สาธุ กับธรรมทานของท่านขันธ์ ค่ะ
     
  16. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,307
     
  17. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    อนุโมทนาด้วยครับ ที่เห็นธรรม เข้าใจธรรม
     
  18. pichak

    pichak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +69
    บรรลุธรรม ได้ต้องใช้ปัญญาตัดปัญญาเร็วกว่าการปฎิบัติ(อัครสาวกของพระองค์ ซ้าย ขวา คือ อีกองค์มีฤทธิ์ อีกองค์มีปัญญา) พิพพาน โดยก่อนนิพาน จิตต้องคลาย ไม่ใช่รวมจิต เป็นหนึ่ง เพื่อชาญ ญาณ ปัญญา อาจจะใช้เวลานาน จนเป็นชาติ เป็นกัปล์ เพราะมีฤทธิ์แล้วหลง ไม่ค่อยยอมฟังใคร เพราะทำมานาน-ยาก จะให้ทิ้งเพื่อให้จิตคลายมันยากยิ่ง อย่างที่หลงสุดคือ ติดอยู่ในองค์ภาวณานานจนคิดว่าว่างแล้ว แต่ที่จริงว่างไม่ต้องการภาวณารูปใด ถ้าภาวนาจนว่า จะติดอยู่ใน อรูปพรหม รู้แค่ไหนปฎิบัติมาแค่ไหนหยุดได้ทันที ทิ้งให้จิตคลาย เอง เหมือนพระอานนท์ รู้หมดแต่ไม่สามารถนิพพานได้ แต่พอทิ้งหมด นิพพานทันที (ตัดซะตัวรู้ต่างทั้งหมด นิพพานแล้วรู้เองจากนิพพาน อ้อ แต่อย่าติดนิพพานนะครับ เพราะจะสุขจนไม่ได้เกื้อกูล ไม่มีประโยชน์ต่อสังสารวัฏ เหมือนฆารวาส ที่บรรุธรรมแล้ว ตายเลย เพราะไม่มีปณิธานในการช่วยเหลือ ไม่รู้จะอยู่ต่อไปทำไม) นิพพานไม่มีเส้น ไม่มีสายไหน ๆ ไม่มีความยึดติด อย่างเดียว เช่น ไม่ยึดติดความเป็นจิต ไม่ว่าจิตดี จิตไม่ดี ไร้ศรัธา ตัญหา(อยากนิพพาน) สิ่งเหล่านี้ ไม่เกี่ยวกับจะต้องปฎิบัตถึงขนาดไหนเลย แค่ทิ้งอย่างเดียว หรือ ไม่รู้เลยว่าจะอาศัยอะไรบ้าง อถิฐานนิพพาน แล้ว เหตุปัจจัย จะเข้ามาเชื่อมร้อยเอง(ง่ายดีเข้าประตูแบบง่ายๆ)
     
  19. pichak

    pichak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +69
    นิพพานไม่ใช่สถานที่
    ขอให้ทุกจิตญาณ ผู้ใฝ่ธรรรมทั้งหลาย จงมีส่วนในองค์พุทธะ
    มีแต่ ความไม่ติดไม่ขัดไม่ข้องไม่คาใด ๆ มีแต่ความสว่างไสวในทุกจิตตญาณ
     
  20. ศรัทธานนท์

    ศรัทธานนท์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2010
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +114
    อนุโมทนา ที่เข้าหาธรรมได้ตั้งกระทู้ถามเป็นสิ่งดีมาก ได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในธรรมต่างๆให้ได้รู้ และ จะนำไปปฎิบัติสืบต่อไป
    อยากให้เข้าหาธรรม ทำจิตให้สบายเสียก่อน อย่ารีบอย่าร้อน อย่ากังวล อย่ากระวนกระวายในสิ่งที่ทำ ให้ถามจิตที่แท้ก่อนว่าทำ ทาน ศีล ภาวนา หวังอะไร ถ้าหากยังมีหวังในทาน ศีล
    ภาวนา นั่นหมายความว่าท่านต้องการผลตอบแทน ในทาน ศีล ภาวนา ในการนี้ควรจะทำทาน ศีล ภาวนา เพื่อสละออกให้หมด สรรพสัตว์ทั้งหลายเกิดมาเพื่อละจะใช้เวลานานเท่าไหร่ก็ตามแล้วแต่ใครจะละได้มากได้น้อยก็แล้วแต่ เมื่อละได้เมื่อไหร่ก็จบ
    -ควรจะมีศรัทธา ความรัก ความมั่นใจ เชื่อใจ ในสมเด็จพระไตรโลกนาถพุทธเจ้า ว่าพระองค์สามารถนำพาซึ่งบรมสุขมาให้เราได้ มีความรักพระองค์ดุจบุตรกับมารดา ทุกลมหายใจละลึกถึงเสมือน บุตร เรียกหามารดาอย่าได้ขาด รักพระองค์แนบสนิทใจ ไม่เสแสร้ง
    ฝากชีวิตไว้กับพระองค์ได้เลยโดยไม่ต้องสงสัยใดๆ
    -รักษาศีลให้เป็นปกติ เพื่องด ละ จากความเบียดเบียนต่อตนและสรรพสัตว์ให้มั่นคง
    -เมื่อเห็นผัดกระเพราที่เรากำลังทาน จงพิจารณาดูว่า ที่จริงแล้วไม่ใช่ผัดกระเพรา อันลักษณะอย่างนี้ที่เรียกว่าผัดกระเพราะนั้นก็เพราะว่าเกิดจากชื่อสมมุติ บรรพบุรุษท่านเรียกมาหลายชั่วอายุ คน ว่าลักษณะอย่างนี้ให้เรียก ให้สมมุติ ให้ตั้งว่าเป็นผัดกระเพรา แท้จริงแล้วในโลกนี้มันไม่มีอะไรเลย แม้แต่เรา
     

แชร์หน้านี้

Loading...