การชำระโลกให้สะอาดยังคงดำเนินต่อไป พร้อมคลิปภัยพิบัติทั่วโลก

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย supako, 4 กันยายน 2014.

  1. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,490
    ค่าพลัง:
    +2,364
    พูดยากฮับ ลัทธินี้ต้องเชื่อฟังองค์จจว.ฮับ เดี๋ยวโดนลงทัณฑ์นะฮับถ้าไม่เชื่อฟัง
     
  2. อรรยาณัฏฐ์ ทัพเพ็ชร์

    อรรยาณัฏฐ์ ทัพเพ็ชร์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2019
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +36
    ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุผล...
    เมตตาธรรมค้ำจุนโลก...^_^
     
  3. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
  4. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
  5. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    20191104_070731.jpg
     
  6. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
  7. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    เอาตัวตนไปวางตัวตน ก็เป็นตัวตนซ้อนขึ้นมา
    ยังงัยก็ไม่พ้นวัฏฏะ
    ต้องเข้าใจก่อนว่าอะไรคือ.... ผู้รู้
    และอะไรคือ... สิ่งที่ถูกรู้
     
  8. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ก๊อปปี้จากพระอริยสัจจ์ 4
    แต่มีแค่ 3 หัวข้อ
    ซึ่งไม่ตรงกับคำสอนขององค์
    พระสัมมาฯ
    เป็นแค่คำแนะนำเทียบเคียง
    เพราะ
    ไม่มีสิ่งสำคัญหลักคือพระอริยะมรรคมี
    องค์ 8
     
  9. อรรยาณัฏฐ์ ทัพเพ็ชร์

    อรรยาณัฏฐ์ ทัพเพ็ชร์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2019
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +36
    ^_^
     
  10. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    คนชั่วช้า เลวทรามจะไม่ดูคลิปนี้#2
     
  11. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    <3 พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

    ยังมี "คำบ่น" ไม่สนสาระของเธอคนเดิม
    ที่ยังตกค้างในห้องเรียน ป.วิสุทธิปัญญา
    อันควรนำมากล่าวต่อท่านทั้งหลาย
    เพื่อเป็น "บทเรียน" สำคัญพิเศษ
    ในพระนาม "บุตรเอก" แห่งพระบิดาอยู่อีก
    ซึ่งเราจะขอกล่าวถึงเป็นลำดับไปดังต่อไปนี้

    เธอคนเดิม "บ่น" ไว้ว่า

    "นิพพานในทางพระพุทธศาสนานั้น
    หมายถึงความดับ เย็น
    พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ

    พูดง่ายๆคือไม่ต้องกลับมาเกิดอีกแล้ว
    เพราะจิตได้รับการขัดเกลาจนสะอาด
    ปราศจากผงฝุ่นธุลีจากกองกิเลสทั้งปวง
    ที่เรียกว่าจิตประภัสสรแล้ว"

    <3 พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
    เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

    1.เพราะไม่รู้สัจธรรมขั้นสูงสุด
    ที่เรียกว่า #อนุตรธรรม
    จึงทำให้ "นาง" หลงผิด หลงธรรม หลงทาง

    เพราะยึดติดแต่พระศาสดาองค์เดียว
    กับพระคัมภีร์เล่มเดียว
    จึงปิดกั้นตนเองไว้ไม่ยอมเปิดรับความรู้ใหม่
    มุ่งประพฤติตนเหมือนดั่ง "กบในกะลาครอบ"
    นางจึงขาดความรอบรู้ในสัจธรรมแห่งจักรวาล

    เพราะสัจธรรมแห่งจักรวาลนั้น
    ประกอบด้วยโลกิยธรรม โลกุตรธรรม
    และ อนุตรธรรม
    หากนางยึดติดพระศาสดาองค์เดียว
    กับพระคัมภีร์เล่มเดียว
    นางจะรู้สัจธรรมแค่เพียงบางหน้าเท่านั้น

    ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ความจริงด้วยว่า
    พระศาสดาที่เกิดแต่โลกเองนั้น
    จะสามารถเข้าถึงสัจธรรมด้วยสมองสองซีก
    ได้แค่เพียงโลกิยธรรมกับโลกุตรธรรมเท่านั้น
    เพราะจิตปัญญาในเครื่องยนต์แห่งกรรมมนุษย์
    ถูกสร้างขึ้นไว้อย่างมีข้อจำกัดตั้งแต่แรก
    จนไม่อาจเรียนรู้ คิดรู้ หรือหยั่งรู้
    สัจธรรมระดับ "อนุตรธรรม" ด้วยตนเองได้

    พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ หรือ องค์จิตจักรวาล
    จึงต้องส่งพระบุตรเอกลงมาจุติเป็นพระศาสดา
    เพื่อเข้ามาทำหน้าที่กล่าวความจริง
    ในระดับ #อนุตรธรรม ทั้งหลายให้โลกรู้
    โดยกล่าวในพระนามแห่งพระองค์
    ด้วยการสื่อสารในระบบจิตสู่จิตกับพระองค์
    ผ่านช่องทางการสื่อสารพิเศษ
    ที่พระบุตรเอกถือติดตัวมาจุติเป็นมนุษย์ด้วย

    ดังนั้น
    ถ้านางคนนี้หรือใครคนไหนก็ตาม
    ยึดติดแต่พระศาสดาพระองค์เดียว
    ถือแต่พระคัมภีร์เล่มเดียว
    โดยเฉพาะพระศาสดาที่เกิดแต่โลกเอง
    พวกท่านก็จะรู้แต่สัจธรรมเบื้องต้น
    เท่าที่ครูของท่านเข้าถึงได้เท่านั้น

    ขณะที่ใบไม้นอกกำมือครูของท่านตั้งมากมาย
    กลับถูกปล่อยทิ้งไว้ในป่าประหนึ่งว่าไร้ค่า
    เพราะนางคนนี้หรือพวกท่านบางคน
    อาจคิดว่าใบไม้นอกกำมือครูของตนนั้น
    ไม่รู้ว่าทำไมตนจะต้องเรียนรู้มันด้วย
    เพราะสรุปกันเอาเองว่าถ้าครูของตนไม่สอน
    แสดงว่าธรรมะนั้นไม่สำคัญหรือไร้ประโยชน์
    แค่รู้ธรรมรู้ท่องจำเท่าที่ครูสอนก็พอแล้ว

    เพราะเหตุนี้เอง
    คนที่ยึดติดพระศาสดาที่เกิดแต่โลก
    ยึดติดแต่คัมภีร์ของพระศาสดาที่เกิดแต่โลก
    แล้วปฏิเสธ "พระบุตรเอก" ปฏิเสธพระโอวาท
    จึงมีความขาดพร่องใน "อนุตรธรรม" ทันที

    2.การขาดพร่องในสัจธรรมระดับอนุตรธรรม
    คือ การไม่รู้ความจริงถึงชาติกำเนิดตนเอง
    ไม่รู้ว่าผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของตนเป็นใคร
    ไม่รู้ว่าจิตวิญญาณตนเองมาจากไหน

    ไม่รู้ว่าจิตวิญญาณของตน
    มาเกิดเป็นมนุษย์กันทำไม
    มาเกิดแล้วตนมีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง
    มาเกิดแล้วตนต้องไม่ทำสิ่งใดบ้าง เป็นต้น

    พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

    เพราะนางและพวกเดียวกันกับนางบนโลกนี้
    ไม่รู้ความจริงและไม่ยอมรับความจริงเหล่านี้
    จึงพากัน "ปฏิเสธ" การเป็นมนุษย์ของตนเอง
    โดยมองว่าเกิดแก่เจ็บตายเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
    ไม่รู้ว่าจะมาเกิดเป็นมนุษย์ให้มันวุ่นวายทำไม
    สู้ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดเสียดีกว่า

    นี่ถ้ารู้ความจริงว่า
    จิตวิญญาณของตนนั้นขันอาสามาเกิดกันเอง
    ไม่มีใครบังคับให้มาเกิดด้วยซ้ำไป
    คงจะสำนึก "อาย" กันน่าดูแน่นอน

    ไม่ต่างจากการเข้ามาทำงานในบริษัทโลก
    เมื่อบริษัทคัดเลือกให้เข้ามาทำงานแล้ว
    พอพบว่าในบริษัทโลกมีประชากรมากมาย
    ที่ตนจะต้องร่วมชีวิต ร่วมเห็น ร่วมเป็น ร่วมทำ
    โดยมีผู้คนที่นิสัยสันดานต่างกันหลากหลาย
    นางกับคนพวกนี้ก็มีปัญหาชีวิตเสียแล้ว

    ใครคนไหนที่ตนเองไม่ชอบเมื่อคบก็ทุกข์
    ใครคนไหนที่ตนเองชอบเมื่อคบก็สุข
    ใครคนไหนที่ตนเคยชอบแต่มาทำไม่ดีก็ทุกข์
    ใครคนไหนที่ตนไม่ชอบแต่มาทำดีเมื่อคบก็สุข
    วันทั้งวันชีวิตก็มีแต่ทุกข์กับสุขเท่านั้น

    เมื่อมีการติดทุกข์ติดสุขเกิดขึ้น
    โดยไม่รู้ว่าตนมาเกิดเป็นมนุษย์กันทำไม
    ซึ่งเรื่องนี้เป็นความจริงระดับอนุตรธรรม
    ที่ศาสดาซึ่งเกิดแต่โลกมิอาจเข้าถึงเองได้
    จึงเกิดอาการ "หลงธรรม-หลงทาง" ทันที
    นั่นคือปฏิเสธการเป็นมนุษย์ของตนเอง
    ด้วยการพยายามหาทางหยุดสังสารวัฏ
    เพื่อดับการเกิดแก่เจ็บตายของตนเสียให้ได้
    จึงใช้ชีวิตวิเวกไปวันๆ...ดั่งรอวันสิ้นอายุขัย
    ทำตัวเหมือนคนไม่รู้ค่าแห่งการเป็นมนุษย์

    ที่สำคัญคือ
    พยายามละทิ้งหน้าที่ทางจิตวิญญาณ
    ที่ตนเองขันอาสามาเกิดมาทำบนโลกนี้
    ยังผลให้โลกนี้เสียสมดุลมากขึ้นเรื่อยๆ
    เพราะโลกขาดพลังงาน
    ที่จะใช้เหวี่ยงหมุนรอบตัวเอง

    ทั้งๆที่พระศาสดาที่ตนเองยึดติดอยู่
    ก็ยังกล่าวเตือนกล่าวสอนไว้ด้วยซ้ำไปว่า
    "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก"
    "เราคือโลก โลกคือเรา"
    "ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร คือ อะไร"

    แต่นางกับผู้คนเหล่านี้กลับหมางเมิน
    ไปยึดติดแต่ธรรมะเบื้องต้นที่พระองค์สอนไว้
    ตั้งแต่ยังไม่ทรงตรัสรู้อนุตรธรรมชั้นสูง
    ด้วยอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
    เกี่ยวกับเรื่อง "ธรรมจักร" ด้วยซ้ำไป

    3.นอกจากนั้นนางกับผู้คนพวกนี้
    เก่งแต่อ่านและท่องคัมภีร์
    ไม่มีความฉลาดพอที่จะซึมซับพระธรรมนั้นๆ
    จึงนำมาใช้ในชีวิตจริงไม่ได้หลายภพชาติแล้ว
    นางจึงเป็นประเภทรู้ธรรมะแต่ไม่รู้ทำ
    จนต้องเวียนว่ายตายเกิดมาถึงภพชาตินี้
    ทั้งๆที่ปากว่าไม่อยากมาเกิดอยากนิพพาน

    นางจึงเป็นแค่นักปฏิบัติธรรมด้วยลมปาก
    โดยอาศัยท่องจำคำที่ครูสอนมา
    แล้วเที่ยวโอ้อวดคุยโม้คุยโตไปเรื่อยๆ
    จนกระทั่งเข้ามา "บ่น" ไว้ในห้องเรียนนี้
    อย่างไม่สำรวม ไม่รู้จักกาละเทศะ

    ทั้งๆที่ห้องเรียนนี้
    เราเปิดเอาไว้ให้ทุกคนเข้ามาเรียนรู้
    เข้ามาฝึกฝนทักษะการใช้จิตตปัญญา
    มิได้ปรารถนาให้ใครเชื่อ-ไม่เชื่อ
    ใครไม่เห็นด้วยหรือไม่ถูกจริตก็ผ่านเลยไป
    ใครแลเห็นประโยชน์ก็เฝ้าห้องเรียนนี้ไว้

    ใครมีตาก็ให้ลืมตาเพื่อเอาตาเข้ามาดู
    ใครมีหูก็จงเอาหู้เข้ามาฟัง

    แต่สำหรับนางคนนี้ที่บ่นไว้
    ไส้ในกลวงโบ๋มิได้มีสาระธรรมอะไร
    จะมีดีก็แต่ปากที่อมคำในคัมภีร์มาคุยข่ม
    แต่ไม่มีสมองที่พอจะแสดงภูมิปัญญา
    ให้เคารพนับถือได้เลย
    พระบิดาทรงเปรียบคนจำพวกดีแต่ปากว่า
    เป็นพวกที่ "กบ" กระโดดออกมาจากปาก
    เป็นคนน่ารังเกียจ น่าอาย ไร้สาระคำ

    คนที่น่าสงสารจำพวกนี้
    เป็นคนที่ขาดภูมิปัญญา พร่องในภูมิธรรม
    เพราะทั้งชีวิตแสวงหาแต่ธรรมะ
    แต่ไม่เคยคิดที่จะค้นหาปัญญาในตนเอง
    ทั้งชีวิตหลายภพชาติมาแล้ว
    คนเหล่านี้จึงหลุดพ้นด้วยนิพพานสุกไม่ได้
    เพราะยังเป็นคนดีไม่เป็น
    ยังหมุนธรรมจักรไม่สำเร็จ
    ปฏิบัติธรรมด้วยการท่องจำและทำตามครู
    ไม่เคยรู้ธรรม รู้ทำ และรู้คิดด้วยจิตสามนึก
    เพื่อการปฏิบัติธรรมด้วยตนเองได้
    จึงต้องยึดติดหนึบหนับอยู่กับ "ครูของกู"
    ในทุกภพชาติโดยไม่ยอมเปลี่ยนแปลง

    4.พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
    "นางขี้บ่น" คนนี้ยังกล่าวอีกว่า

    "ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกแล้ว
    เพราะจิตได้รับการขัดเกลาจนสะอาด
    ปราศจากผงฝุ่นธุลีจากกองกิเลสทั้งปวง
    ที่เรียกว่าจิตประภัสสรแล้ว"

    เราจึงขอกล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า
    ความรู้ในเชิงธรรมที่นางกล่าวนี้ไม่ถูกต้อง
    ท่านจงอย่าคล้อยตามนางง่ายๆ
    เพราะนางกล่าวตาม "คนนำทางตาบอด"

    นางกล่าวตามเขาเพราะนางขาดปัญญา
    โดยไม่รู้ว่าไหนคือคำสอนของพระศาสดา
    ไหนเป็นวาทกรรมของคนนำทางตาบอด
    ดูท่าว่าจะมั่วจะสับสนไปหน่อยแล้วล่ะนาง

    เราไม่เข้าใจว่า
    นางคนนี้ไปเอาบทสรุปที่ว่า
    จิตได้รับการขัดเกลาจนสะอาด
    ปราศจากผงฝุ่นธุลีจากกองกิเลสทั้งปวง
    ที่เรียกว่าจิตประภัสสรแล้ว
    สามารถเข้าถึงนิพพานได้
    โดยไม่กลับมาเกิดใหม่อีกมาจากไหนใครสอน

    เราขอถามสั้นๆ 3 ข้อว่า

    1.วันๆที่นางปลีกวิเวก
    นั่งปิดหูปิดตาเหมือนคนตาบอดอยู่คนเดียว
    มันช่วยให้จิตนางประภัสสรได้จริงหรือ

    2.วิธีชำระจิตให้สะอาดปราศจากธุลีกิเลส
    ด้วยการปฏิบัติคนเดียว ตามดูจิตอยู่คนเดียว

    ปฏิเสธการถูกทดสอบจิตผ่านกลไกอายตนะ
    จากคนรอบข้าง จากสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัว
    ปฏิเสธการเรียนรู้จาก "ครู" คนอื่นๆทั่วๆไป
    มันชำระจิตให้ใสชำระใจให้สวยได้อย่างไร

    3.คำว่า "นิพพาน" ของนาง
    คือ ตายแล้วไม่เกิดใหม่อีกนั้น
    ช่วยตอบหน่อยว่า...อะไรไม่มาเกิดอีก
    ที่ไม่มาเกิดอีกเพราะไปลอยแขวนอยู่ที่ไหน
    ที่ไม่มาเกิดอีกเพราะหายไปไหน

    พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

    การนิพพานสุกระดับหลุดพ้นของจิตวิญญาณ
    มิใช่มีคุณสมบัติแค่จิตประภัสสรอย่างเดียว
    จำผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณไม่ได้
    จำบ้านเกิดของจิตวิญญาณไม่ได้
    จำหน้าที่ทางจิตวิญญาณไม่ได้
    จำประตูเข้าออกของจิตวิญญาณไม่ได้

    หากขาดคุณสมบัติเหล่านี้เป็นอาทิ
    อย่าฝันเลยว่า...จะหลุดพ้นได้

    แค่ใช้วาทกรรมที่จำของครูนางมา
    แล้วเข้ามาบ่นมาเบ่งในห้องเรียนนี้นั้น
    มั่นใจแน่หรือว่าชาติหน้านางไม่มาเกิดแน่แล้ว

    เราขอกล่าวด้วยความปรารถนาดีว่า
    อย่าพยายามปีนรั้วเข้าคอก
    ตามคนนำทางตาบอดอยู่เลย

    พระพุทธองค์ซึ่งเป็นครูที่แท้จริงของท่าน
    ทรงดับขันธปรินิพพานให้เห็น
    ก็ตอนที่พระองค์ทรงจุติมาเป็นมนุษย์
    เพราะพระองค์ทรงทราบด้วยว่า
    "นิพพานไม่สุดจะหลุดพ้นไม่ได้"

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    5-7-2019 FB_IMG_1572911448900.jpg
     
  12. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    #สนทนาประสาจิตจักรวาล

    พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
    เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

    ความหมายของคำว่า #นิพพาน
    ที่คนนำทางตาบอดทั้งหลายชี้นำท่านว่า
    หมายถึงการตายไปจากโลกนี้แล้ว
    จิตวิญญาณจะไม่กลับมาเกิดบนโลกนี้อีก
    ไม่ว่าจะเกิดเป็นคนหรือเกิดเป็นสัตว์ก็ตาม

    คำสอนของพวกเขาหมายถึง
    เมื่อตายแล้วสามารถดับการมีสังสารวัฏ
    คือหยุดการเวียนว่ายตายเกิดบนโลกนี้ได้
    แสดงว่าตนสามารถ "นิพพาน" ได้แล้วนั้น
    เป็นคำสอนที่ไม่ถูกต้องไม่ตรงความจริง
    ซึ่งท่านต้องใช้วิจารณญาณก่อนเชื่อตาม

    พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

    คำว่า "นิพพาน"
    หมายถึงการดับอย่างสิ้นเชิง
    ดับแล้วไม่ติดขึ้นมาใหม่อีก
    ดับแล้วไม่อุบัติขึ้นมาใหม่อีก
    เป็นการดับการเกิดดับอย่างสิ้นเชิง

    ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "ดับแล้วดับเลย"
    หมายถึง "ดับสิ้น" หรือ "ดับสูญ" นั่นเอง

    ตัวอย่างเช่น
    ถ้าท่านใช้ชีวิตประจำวันในชาตินี้
    โดยไม่ก่อกรรมใหม่เพิ่มขึ้น
    ทั้งสามารถแก้ไขกรรมเก่าได้หมดสิ้นด้วย

    นี่แสดงว่ากรรมของท่านเป็นศูนย์แล้ว
    ตลอดเวลาแห่งชีวิตที่เหลืออยู่

    ณ บัดนั้นท่านก็จะได้ชื่อว่า
    เป็นผู้ #นิพพานกรรม ได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว

    ตัวอย่างเช่น
    ถ้าท่านสามารถอยู่เหนือ "ความโกรธ" ได้
    ไม่ว่าใครจะยั่วยุท่านอย่างไร
    ด้วยเงื่อนไขด้านลบที่คนทั่วไป
    ต้องไม่สบอารมณ์แน่นอน
    แต่ท่านสามารถวางเฉยได้ทุกครั้งครา
    ไม่รู้จักกับคำว่า "โกรธ" อีกชั่วชีวิตนี้

    ณ บัดนั้นท่านก็จะได้ชื่อว่า
    เป็นผู้ #นิพพานโกรธ ได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว

    ทั้งสองตัวอย่างที่เรากล่าวมานี้
    เพื่อแสดงให้ท่านเข้าใจอย่างเป็นรูปธรรม
    ในความหมายของคำว่า "นิพพาน"
    ทางด้านจิตวิญญาณว่ามันก็มิต่างกัน

    นั่นคือเมื่อท่านตายไปจากการเป็นมนุษย์แล้ว
    แม้จะไม่ย้อนกลับมาเกิดบนโลกมนุษย์อีกได้
    แต่จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
    ก็จะไปเกิดอยู่ในภพภูมิอื่นใดอีกไม่ได้เช่นกัน

    ถ้ายังไปผุดไปโผล่อยู่ในภพภูมิอื่นอยู่
    แสดงว่าจิตวิญญาณนั้นยังนิพพานไม่จริง
    มันเป็นแค่นิพพานเทียมเท็จโดยแท้

    ตัวอย่างเช่น
    เมื่อใครตายไปจากการเป็นมนุษย์แล้ว
    จิตวิญญาณนั้นต้องถูกส่งไปลงนรกอเวจี
    เพราะก่อกรรมทำผิดบาปเอาไว้มาก
    จนต้องถูกจองจำชำระบาปอยู่ในนั้นนานมาก
    ทำให้โอกาสย้อนกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่
    ต้องรอคิวคอยเวลากันยาวนานมากๆ
    จึงทำให้นายคนนี้หายตัวไปจากโลกภูมิ
    เพราะไปตกอยู่ใน "นรกภูมิ" แทน

    ถ้าความจริงเป็นดังเช่นที่ว่านี้แล้ว
    จะถือว่านายคนนี้ "นิพพาน" ได้เช่นนั้นหรือ?

    พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
    กรณีที่จิตวิญญาณหายไปจากโลก
    ไม่กลับมาเกิดอีกเป็นเวลายาวนานมาก
    เหมือนว่าจะดับสังสารวัฏได้แล้ว
    ซึ่งคนนำทางตาบอดเชื่อว่านิพพานแล้ว

    ทั้งๆที่แท้จริงนั้นพวกเขาเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่า
    ที่จิตวิญญาณไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์
    เพราะหลุดลอยไปเกิดเป็นเทพเทวดาแทน
    ซึ่งภพภูมิเทพเทวดานี้พระบิดาก็มิได้สร้าง
    แต่เป็นภพภูมิที่จิตมนุษย์ปรุงแต่งขึ้นมาเอง
    ปรุงจากความ "งมงาย" เพราะไม่รู้แจ้งแท้ๆ

    จากความจริงที่เราอ้างอิงเอาไว้ข้างต้นนั้น
    ถ้าจิตวิญญาณตายไปจากการเป็นมนุษย์
    แล้วยังหลุดลอยไปเกิดเป็นเทพเป็นพรหม
    ติดค้างกันอยู่บนสวรรค์มายา
    โดยยังมีขันธ์ 5 เหลืออยู่ครบ
    จะดันทุรังว่าการลอยไปแขวนอยู่บนนั้น
    หมายความว่านิพพานแล้วจะได้หรือ

    เพราะคนนำทางตาบอด
    เชื่อว่าเส้นทางนิพพานคือการ "หลุดลอย"
    ไปเกิดเป็นเทพเทวดาหรือว่าพรหมอยู่บนนั้น
    พอไปแขวนบนนั้นแล้วก็ยังแบ่งระดับชั้นกันอีก
    แสดงว่าพวกเขาก็ยังคงมีอัตตายังมีอีโก้อยู่
    มันจึงมิได้แตกต่างไปจากการเป็นมนุษย์
    ที่ยังมากมีด้วยอุปกิเลสตัณหาแต่อย่างใด
    ในเมื่อสภาวะจิตพวกเขายังไม่พิสุทธิ์ใส
    สภาวะจิตยังห่างไกลสุญตา
    จึงยังไม่สามารถนิพพานแท้จริงได้

    พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

    คนนำทางตาบอดเมื่อจะครองเพศสมณะ
    จะต้องละทิ้งอาสวกิเลสทางโลกหมดสิ้น
    แต่กลับมาติดบ่วงอาสวกิเลสทางธรรมแทน
    เช่น ติดอัตตา ติดยศ ติดชนชั้น ติดพิธีกรรม
    แม้ว่าจะมีการถือศีลครองธรรมบำเพ็ญบุญ
    เพื่อปิดโอกาสการก่อกรรมใหม่เพิ่มได้ดีมาก
    แต่กรรมเก่าที่จิตวิญญาณถือติดตัวมาเกิดด้วย
    กลับไม่ได้รับการดูแลแก้ไขไม่ใส่ใจที่จะรู้

    เพราะจิตมุ่งมั่นที่จะไม่กลับมาเกิดอีก
    เพราะผลกรรมที่ติดตัวค้างคาอยู่เหลือน้อย
    เพราะจิตติดภาพการเป็นเทพพรหมที่ชมชอบ
    ด้วยเงื่อนไขสำคัญทั้งสามประการที่ว่านี้
    จึงเป็นเหตุให้เมื่อสิ้นอายุขัย
    จิตวิญญาณต้องหลุดลอยไปเกิดอยู่บนนั้น
    หลุดลอยไปตามเส้นทางที่จิตนั้นฝันใฝ่

    ผู้ที่หลุดลอยไปจุติอยู่บนสวรรค์มายา
    ก็ไม่สามารถกลับลงมาบอกใครต่อใครได้ว่า
    อย่าตามพวกเขาไปทางนั้นเพราะมันผิดทาง
    เมื่อไปติดอยู่ตรงนั้นแล้วก็ไม่รู้จะไปไหนต่อ
    จะกลับลงมาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็ยากแสน
    คนนำทางตาบอดที่ยังมีชีวิตอยู่จึงไม่รู้ความ
    ก็ยังคงก้มหน้าก้มตาพานำไปทางนั้นอยู่ต่อไป

    พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

    เราได้กล่าวความจริงอีกด้านหนึ่งเพื่อให้รู้ว่า
    ปลายทางที่คนนำทางตาบอดเขาพาเดินนั้น
    จะไปจบกันที่สวรรค์มายาซึ่งพระบิดามิได้สร้าง
    แต่เป็นการ "หลุดลอย" ไปแขวนค้างอยู่บนนั้น
    ซึ่งเป็นการหลงทางนิพพานนั่นเอง

    เมื่อรู้ว่าคนนำทางตาบอดพาหลงทางแล้ว
    เราจึงแนะนำท่านให้ลืมตาหันกลับมานำตนเอง
    ดำเนินไปตามวิถีแห่งจิตจักรวาลแทน
    เพราะพระพุทธองค์ก็เคยสอนไว้
    ให้ท่านทั้งหลายต้องพึ่งพาตนเองเท่านั้น
    การเชื่อตามแล้วก้าวตามผู้อื่นอย่างว่าง่าย
    ไม่ว่าผู้อื่นนั้นจะเป็นใครก็ตาม
    โดยท่านมิได้คิดพิจารณาด้วยตนเองก่อน
    มันคือความงมงายที่ทำให้หลงผิดหลงทาง
    เหมือนอย่างที่ผ่านมาในอดีตนั่นแหละ

    ส่วนใหญ่ท่านผู้ก้าวตามคนนำทางตาบอด
    จะอาศัยเกาะชายเสื้อผ้าอาภรณ์ผู้นำทาง
    ซึ่งเป็นผู้ทรงศีลและเป็นนักปฏิบัติตัวยง
    โดยหมายว่าจะได้รับถ่ายทอดพลังบุญกุศล
    สู่จิตวิญญาณแห่งตนเพื่อมรรคผลนิพพานด้วย

    ทั้งๆที่สัจธรรมความจริงนั้น
    กรรมดีกรรมชั่วเป็นของตัวเอง
    ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้

    แท้แล้วบุญกุศลที่เกิดขึ้นในชีวิตท่าน
    มาจากการศรัทธาต่อผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
    มาจากการถือศีลครองธรรมของท่านเอง
    มาจากการทำบุญสุนทานหรือการให้
    มาจากจิตใจสงบเย็นเป็นสุข
    มาจากความดีงามในชีวิตที่ท่านประพฤติตน
    จนคนทั่วไปยอมรับนับถือและสรรเสริญ
    ฯลฯ

    บทบาทการดำเนินชีวิตของท่านเองเท่านั้น
    ที่ทำให้ท่านก้าวหน้าทางจิตวิญญาณมาได้
    มิใช่พลังอำนาจที่รับถ่ายทอดกันมา
    จากคนนำทางตาบอดแต่อย่างใดทั้งสิ้น
    พี่ๆน้องๆเหล่านั้นท่านเองก็ยังคงลำบากอยู่

    นอกจากนั้น
    การที่ท่านทั้งหลายเชื่อกันว่า

    การนั่งหลับตาส่องจิตตนเองอยู่คนเดียว
    เพื่อฝึกการบังคับควบคุมจิตตนเอง
    เพื่อเรียนรู้นิสัยทางจิตของตนเอง
    ที่พวกท่านเรียกว่าปฏิบัติ "กรรมฐาน"
    ตามแบบอย่างคนนำทางตาบอดเขาทำกัน
    มันสามารถช่วยจิตวิญญาณให้นิพพานได้
    มันก็เป็นความเชื่อที่ผิดๆอีกเช่นกัน

    แท้แล้วประโยชน์อันพึงได้สำหรับฆราวาส
    ผู้เคร่งครัดปฏิบัติกรรมฐานตามเขาก็คือ

    1.สามารถควบคุมจิตตนเองให้อยู่ในโอวาท
    อันหมายถึงทำให้เป็นผู้ครองสติได้
    โดยไม่ลื่นไหลไปตามสิ่งเร้าทั้งนอกทั้งใน
    จนเป็นเหตุให้ก่อกรรมทำผิดบาปได้ง่ายนัก

    2.สามารถใช้สติปัญญาของสมอง
    ได้อย่างคล่องแคล่วเต็มพลัง
    เพราะสภาวะจิตว่างจากกิเลสตัณหา
    ว่างจากอารมณ์ขยะทั้งปวง
    ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ได้มาจากในข้อ 1.นั้น

    3.สามารถช่วยให้จิตได้พักผ่อนบ้าง
    พักผ่อนจากการทำงานตลอดวันมิได้หยุดพัก
    โดยเฉพาะจิตที่ทำงานหนักมาก
    จากการสั่นสะเทือนไปในทางต่ำ
    เป็นกิเลสตัณหาราคะอารมณ์ขยะตลอดวัน

    จิตที่ว่างจากสิ่งเหล่านี้
    จะกลับมามีชีวิตชีวามีพลังอำนาจดุจเดิม

    มันจะช่วยให้ท่านมีสุขภาพจิตดีขึ้น
    มันจะช่วยให้ท่านมีสุขภาพกายดีขึ้น
    มันจะช่วยให้ท่านฉลาดทางอารมณ์มากขึ้น
    มันจะช่วยให้ท่านฉลาดทางปัญญามากขึ้น
    มันจะช่วยให้ท่านมีกัลยาณมิตรมากขึ้น
    มันจะช่วยให้ท่านมีสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตมากขึ้น
    ฯลฯ

    อานิสงส์จากสิ่งดีๆ 3 ประการที่กล่าวมา
    ถ้าท่านเคร่งครัดปฏิบัติตนตามที่เรากล่าว
    จะช่วยให้ท่านทั้งหลายใกล้นิพพานมากขึ้น
    แต่จงอย่าเชื่อว่าการนั่งหลับตาสมาธิ
    แล้วมันจะช่วยให้ท่านเป็นผู้วิเศษกว่าใครได้
    มันจะช่วยให้ท่านถึงนิพพานได้

    ในเมื่อคนนำทางของท่านเอง
    ถือศีลเคร่งครัดปฏิบัติธรรมเคร่งเครียด
    ก็ยังหลงทางไปนิพพานกันอยู่จนบัดนี้
    ท่านทั้งหลายผู้อ่อนศีลอ่อนธรรมกว่าเยอะ
    จะก้าวตามเขาไปจะไหวหรือ

    ดังนั้น
    ท่านทั้งหลายต้องกลับมาถามตัวเองบ้างว่า

    1.จิตวิญญาณของท่านเป็นใคร มาจากไหน
    2.จิตวิญญาณของท่านมาเกิดเป็นคนทำไม
    3.จิตวิญญาณของท่านมีหน้าที่ต้องทำสิ่งใด
    4.จิตวิญญาณของท่านต้องไม่ทำสิ่งใดบ้าง

    5.จิตวิญญาณของท่าน
    เลือกก้าวตามคนนำทางตาบอดตลอดมา
    จนเกิดความเสียหายมาหลายภพชาติแล้ว
    เช่น จำบ้านเกิดของจิตวิญญาณไม่ได้
    โดยไม่รู้ว่าตนเองมาจากไหน ใครให้มาเกิด
    จึงไม่เคยคิดที่จะกลับบ้าน
    คิดแต่จะตายไปจากโลกอย่างเดียว
    เพียงเพื่อจะพ้นทุกข์ไปจากโลกนี้เท่านั้น

    เพราะจำพันธะสัญญา 6 ประการ
    ที่ให้ไว้ต่อพระบิดาแห่งจิตวิญญาณไม่ได้
    เมื่อจำไม่ได้ก็เลยผิดสัจจะกันมาตลอด
    เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วไม่ทำหน้าที่
    แล้วจะให้ท่านนิพพานจริงๆได้อย่างไร

    เพราะจำบทละครที่ตนเองเขียนมา
    เพื่อแสดงร่วมกันกับคนในครอบครัว
    ที่เรียกว่า "พันธะสัญญากรรม"
    หรือ "ชะตาชีวิต" ไม่ได้

    จึงไม่รู้ว่าการแสดงออกหรือกระทำต่อกัน
    ไม่ว่าด้านดีสุดขีดหรือด้านร้ายสุดชั่ว
    มันล้วนเป็นบททดสอบจิตสามนึก
    ที่ร่วมขีดเขียนกันขึ้นมาก่อนมาเกิดชาติแรก

    เพื่อสั่นสะเทือนจิตสามนึกต่อกันด้านบวก
    เพื่อใช้พลังความรักที่เกิดขึ้นมอบให้โลก
    เพื่อช่วยให้โลกหมุนรอบตัวเองได้ต่อเนื่อง
    จะยังผลให้ดาวโลกดวงนี้สมดุล
    ตามพระคำของศาสดาที่ว่า
    #เมตตาธรรมค้ำจุนโลก ได้อย่างเป็นรูปธรรม
    แต่พวกท่านก็พากันล้มเหลวอีกเพราะไม่รู้

    1.ที่พวกท่านไม่รู้
    เพราะคนนำทางตาบอดก็ไม่รู้

    2.ที่พวกท่านไม่รู้
    เพราะท่านปฏิเสธพระบุตรเอก
    ซึ่งเป็นพระศาสดาที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า
    โดยไม่ยอมพิจารณาว่า

    พระบุตรเอกคือใคร
    พระบิดามีพระบัญชาให้ลงมาจุติเป็นมนุษย์
    ในปลายยุคพลังงานเก่าที่กำลังกลียุคทำไม
    ท่านจะได้รับประโยชน์อะไร
    จากการรับฟังพระบุตรเอกบ้าง เป็นต้น

    3.เพราะท่านเชื่อว่า "มหาคุรุ"
    มีเพียงคนเดียว
    คือคนที่ท่านยึดถือจนยึดติดเท่านั้น

    4.เพราะท่านเชื่อว่า "มหาคัมภีร์"
    มีเพียงเล่มเดียว
    คือเล่มที่ท่านติดยึดจนยึดติดเท่านั้น

    พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

    เวลาที่จะให้ท่านได้มีสติทางวิญญาณ
    มันเหลือน้อยลงทุกที
    ซึ่งมันสวนทางกันกับเวลาที่จะเกิดมหันตภัย
    ตามแผนปฏิบัติการชำระโลก
    เพื่อเปลี่ยนโลกสู่ยุคพลังงานใหม่

    จงอย่ามัวหลับตาปิดหู
    ก้าวตามคนนำทางตาบอดอยู่อีกเลย
    จงเปิดตาของท่านขึ้นสัมผัสกับแสงสว่าง
    เพื่อหันมาต่อสู้กับความรู้แจ้งโดยไว
    เรามาช่วยจุดตะเกียงให้ท่านแล้ว
    จงเร่งรีบเติมน้ำมันใส่ตะเกียงของท่านเถิด
    อย่าทำตัวเหมือนกลัวแสงสว่างอีกเลย

    เราขอยืนยันว่าเรากลับมาเพื่อช่วยท่าน
    เรากลับมาเพื่อแกะท่านออกไปจากโลก
    เราจะพาท่านผ่านประตูมิติกลับเข้าคอก
    กลับไปหาเจ้าของแกะผู้ทรงเป็นเจ้าของคอก
    ซึ่งอยู่นอกทุ่งเลี้ยงแกะคืออนันตจักรวาล

    ใครไม่อยากถูกแขวนอยู่บนสวรรค์มายา
    ใครที่ปรารถนาจะกลับบ้าน
    ใครมีตามีหูมีเท้าก็จงก้าวตามเรามาเถิด
    ประตูนิพพานเพื่อการหลุดพ้น
    พร้อมจะเปิดออกสำหรับท่านทั้งหลาย
    มานาน.........แล้ว

    เอเมน สาธุ
    ป.วิสุทธิปัญญา
    3-11-2019 FB_IMG_1572911476541.jpg
     
  13. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    อย่ากังวลเรื่องน้ำแข็งขั่วโลกละลาย กังวลอย่างอื่นดีกว่านะครับ
     
  14. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    ชำระโลกเสร็จแล้วจะเหลือที่ไหนมั่ง

     
  15. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    คำกล่าวถวายควาทภักดีก่อนฟังธรรม 10/11/62
    ที่ ไอซีซี
     
  16. supako

    supako เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    2,213
    ค่าพลัง:
    +3,407
    สนทนาประสาจิตจักรวาลและภัยพิบัติ จะโพสลงไว้ในเพจนี้นะครับ ติดตามกันเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...