ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    <TABLE class=maintable border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=800 align=center><TBODY><TR><TD style="PADDING-BOTTOM: 5px; PADDING-LEFT: 5px; PADDING-RIGHT: 5px; PADDING-TOP: 5px" vAlign=top width=625 colSpan=2><TABLE style="BORDER-BOTTOM: #cccccc 1px solid; BORDER-LEFT: #cccccc 1px solid; BORDER-TOP: #cccccc 1px solid; BORDER-RIGHT: #cccccc 1px solid" border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#ffffff><TBODY><TR><TD style="PADDING-BOTTOM: 10px; PADDING-LEFT: 10px; PADDING-RIGHT: 10px; PADDING-TOP: 10px" colSpan=2><TABLE class=content border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #e2e2e2 1px solid">รู้ทำไม..รู้เพื่อไม่หลง แต่ต้องฝึกให้เขาละ..เพื่อหลุดพ้น
    วิญญาณไม่ให้ตั้งอยู่นาน ตั้งที่กายเพื่อให้เกิดอุเบกขา หลังจากนั้นละอีกทีให้เห็นว่าอุเบกขาก็ไม่ต้องยึดถือ รู้..รู้..ละ..ละ ไปเรื่อย อย่าแช่ให้รู้อะไร
    เพราะไม่มีอะไรต้องรู้นอกจาก สิ่งเกิดดับ..เป็นทุกข์โดยตัวมันเอง..ว่างจากตัวตน ทุกอย่างโดยเฉพาะเรานั่นแหละตัวดี อย่าคร่ำครวญ รู้แล้วละ อารมณ์ต่างๆล้วนพาเกิดทั้งนั้น
    ละ..เลยได้ไหม โดยไม่ต้องรู้... ได้ ก่อนละก็รู้ไปแป็บนึงแล้วล่ะ นั่นไงสติที่เกิดจากการฝึก ถ้าไม่ฝึกสติใครจะมาเตือนล่ะว่าหลงไป สติเองก็ไม่มีตัวตนเกิดขึ้นดับไปจากเหตุปัจจัยเหมือนกัน
    สุดท้ายก็ของเกิดดับเหมือนกัน มีสิ่งไม่เกิดดับอยู่อย่างเดียวคือ�

    http://www.suanyindee.net/index.php?option=think&task=view&id=27




    ??????


    </TD></TR><TR><TD colSpan=3></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 15px"></TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- -------------------------------- --></TD><TR><TD height=50 colSpan=3><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=5 width=800><TBODY><TR><TD class=footer background=http://suanyindee.net/views/images/bg2.jpg colSpan=2>



    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. Senseless guy

    Senseless guy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    287
    ค่าพลัง:
    +991
    [​IMG]

    ฝรั่งคนหนึ่งมอง “คนไทย”
    (คัดบางส่วนจากบทความ) “คนไทยกับคำสอนในหลวง”
    โดยเปลว สีเงิน คอลัมภ์ คนปลายซอย หน้า ๕ นสพ.ไทยโพสต์ ฉ. 5 พค.49
    --------------------------------

    ....ผมจะนำบทสัมภาษณ์ “นายมาร์ติน วีลเลอร์” ชาวอังกฤษ ผู้มีปริญญาตรีเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยลอนดอน แต่มาปักหลักเป็น “เกษตรกรไทย” มีลูก-มีเมียเป็นคนไทยอยู่ขอนแก่นขณะนี้ ให้อ่านเพื่อได้คิดกัน ซึ่งหนังสือ “เราคิดอะไร” ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ เขาตีพิมพ์ไว้ โดยเริ่มจากตอน
    · นิยามความรวยกับความจน

    มันเป็นเรื่องแปลกนะที่ประเทศไทยคนยากจนมีหนี้สินเยอะ ที่อังกฤษมีแต่คนรวยที่เป็นหนี้สิน คนจนไม่มีหนี้ เพราะเขาไม่ให้คนจนยืมเงิน เนื่องจากกลัวจะไม่มีปัญญาใช้คืน จึงไม่มีสิทธิ์มีหนี้สิน แต่คนรวยยืมเงินได้ คำว่ารวยกับคำว่าจน มันคืออะไรกันแน่ (แต่บ้านเรากลับพยายามให้คนจนได้กู้ยืมเงิน เพื่อจะได้กระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการยกยอล่อลวงด้วยหลักว่า “นำเงินในอนาคตมาใช้” เลยเป็นหนี้กันทุกหย่อมหญ้า ยิ่งจนก็ยิ่งกู้ง่าย-ผู้คัดลอก)
    ที่ขอนแก่นเขาว่าผมบ้าบ้าง ฝรั่งยากจนบ้าง ฝรั่งตกอับบ้าง ฝรั่งขี้นก ฝรั่งไม่มีเงิน แต่ผมบอกว่าไม่ใช่ ผมรวยนะ เขาถามว่ารวยได้ยังไง ผมบอกว่า
    ๑.ผมมีบ้าน ผมทำบ้านเล็กๆ เป็นกระท่อมน้อยๆ เอาหญ้ามามุงหลังคา ชาวบ้านเขาเรียกว่า “เถียงนา” ไม่ใช่บ้านหรอก ผมบอกว่าใช่ มันบ้านของผม ไม่ใช่บ้านเจ้านาย ราคาหนึ่งหมื่นสองพันบาท อยู่ได้ครับ มันกันแดด-กันฝนได้ แค่นั้นผมก็รวยแล้ว
    ๒.มีที่ดินแค่ ๖ ไร่เท่านั้นเอง ที่นั่นเขาบอกว่ากระจอก มีนิดเดียว แต่สำหรับฝรั่งมันเยอะมาก จริงๆผมคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ เป็นพื้นฐานของชีวิตเราต้องมีที่อยู่อาศัยเป็นของเรา ไม่ใช่ของเจ้านาย เพราะว่าถ้ามันเป็นของเจ้านาย เราต้องไปหาเงินให้เขา ถ้าเราไม่มีเงินเขาก็ไล่เราออก เราไม่มีที่อยู่นะ เพราะฉะนั้น ต้องมีบ้านเป็นของตัวเองไว้ก่อน ซึ่งผมก็มีบ้าน คิดว่าลูกของผมจะต้องมีบ้านแน่ๆด้วย
    เรื่องเกษตรผมทำไม่เก่ง แต่ที่ทำได้ง่ายคือปลูกต้นไม้ ไม้ประดู่ ไม้สะเดา ไม้ยาง ปลูกไว้ให้ลูกสร้างบ้าน ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้โตเร็วมาก แค่ ๒๕-๓๐ ปี ตัดได้แล้ว ไม่เหมือนอังกฤษ ๒๐๐ ปี ได้เท่านี้เอง เพราะอากาศเย็น เป็นเรื่องแปลกที่คนไทยจะบ่น โอ๊ย....มันร้อนๆ ผมว่ากลับเป็นเรื่องดี แสงแดดเยอะจะทำการเกษตรได้ตลอดเวลา ๑ ปี ทำได้ทุกวัน แต่คนไทยจะบ่นว่าร้อนๆๆ ไม่เอา...ไม่เอา..อยากเป็นคนผิวขาวดีกว่า แต่คนอังกฤษเขาถือคนผิวขาวเป็นคนจน เพราะว่ามันไม่มีปัญญาจะไปเมืองนอก ซึ่งกลับกันเลย แม้แต่พ่อของผม เขาก็ยังมีเครื่องอาบแดดเพื่อให้ผิวเป็นสีแทน ให้ดูแบบคนมีสตางค์ แต่คนไทยกลับอยากมีผิวขาว (ยิ่งขาวอมชมพูด้วยยิ่งดี ไม่มองข้อเท็จจริงที่ว่า เราเป็นชาวผิวคล้ำเพราะธรรมชาติ ที่ร้อนและแสงแดดจัด กลับไปฝืน ไปพอก ไปทา หมดเท่าไรไม่ว่า โฆษณากันดื่นจอทีวีเกือบตลอดเวลา ธรรมชาติไม่โกหกหรอกครับ สักวันหนึ่งจะเห็นผลของการที่พยายามต่อต้าน-ฝ่าฝืน-ขัดขืนธรรมชาติในข้อนี้-ผู้คัดลอก)


    o วิธีคิดไม่ธรรมดาของมาร์ติน วีลเลอร์

    ผมมีลูก ๓ คน ชาย ๒ หญิง ๑ สิ่งสำคัญที่สุด ๒ เรื่องในชีวิตของเราคือ
    ๑. ต้องมีบ้านเป็นของตนเองให้ได้ จึงจะถือว่าชีวิตประสบความสำเร็จ
    ๒. ต้องมีงานทำทุกวัน ไม่ได้จำกัดว่าเป็นงานอะไร แต่ขอให้มีงานทำทุกวัน ชีวิตจึงจะไม่สูญเปล่า วิธีเดียวที่รับประกันได้ว่าลูกมีงานทำ คือการมีที่ทำกินให้เขา และเราต้องช่วยให้เขาทำเป็น ผมคิดว่าคนชนบทจริงๆ ใครมีที่ดินทำกินแล้วจะไม่ตกงาน เว้นแค่คนขี้เกียจ ซึ่งบางคนมีที่ดินเยอะ แต่ไม่ยอมทำ ถ้าเราสั่งสอนให้ลูกรู้จักทำมาหากิน เขาก็ไม่ตกงาน
    ผมถือว่างานที่อิสระและมีประโยชน์มากที่สุดคืองานเกษตร ซึ่งช่วยให้เรากินอิ่มทุกวัน คนอังกฤษกินไม่อิ่มเยอะมากนะ ผมไม่อยากให้ลูกของผมอดอาหาร อยากให้ลูกกินอิ่มในลักษณะที่ส่งเสริมสุขภาพด้วย กินอาหารที่ไม่มีสารพิษ กินอาหารแบบเรียบง่ายก็ได้ แต่อิ่มทุกวัน เมื่อมีบ้าน มีงาน มีอาหาร ลูกของผมก็จะรวยที่สุด....ฯลฯ (คนไทยกี่คนครับ ที่คิดๆได้อย่างนี้..ผู้คัดลอก)

    [​IMG]

    § จุดอ่อน-จุดแข็งของคนไทย

    ผมคิดว่าคนไทยส่วนมากยังไม่เข้าใจระบบทุนนิยม เห็นฝรั่งที่ไหนก็คิดว่ารวยหมด คิดว่าการพัฒนาในระบบทุนนิยม จะทำให้ทุกคนมีเงิน ไม่เข้าใจว่าประเทศที่พัฒนาระบบทุนนิยมนานแล้ว เช่น อังกฤษ สหรัฐ มีปัญหาเยอะมาก แต่คนไทยก็คิดว่าเมืองนอกดีกว่า อันนี้จุดอ่อนครับ คือคนไทยสนใจเมืองนอก ไม่ได้สนใจประเทศไทย ผมเป็นฝรั่ง คุณเลยนั่งฟังผม ถ้าผมเป็นชาวบ้าน คุณจะไม่สนใจผม อันนี้เป็นจุดอ่อน(ตรงและถูกใจผมจังเลย...ผู้คัดลอก)
    แต่จุดแข็งคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แผ่นดินประเทศไทยอุดมสมบูรณ์มากๆ มีดินเยอะมาก น้ำเยอะมาก แสงแดดเยอะมาก ทำเกษตรอยู่รอดแน่ ใครๆก็อยากได้ประเทศไทย ผมก็ได้ถึง ๖ ไร่
    คนไทยโชคดีมากๆ ที่ได้ในหลวงเป็นผู้นำ พระองค์ท่านเป็นคนที่ทำงานหนักมาก เพื่อช่วยให้คนได้คิด ช่วยให้คนอยู่ได้ จะหากษัตริย์ในประเทศอื่นไม่ค่อยมีแบบนี้ ปัญหาคือคนไทยส่วนมากนับถือในหลวง แต่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสอนของในหลวง พระองค์ท่านบอกว่า ๒๗ ปี ถึงเศรษฐกิจพอเพียง แต่คนไทยไม่รู้จักพอเพียง
    เอาอย่างเดียว ถึงยกมือไหว้ในหลวง แต่เวลาดำรงชีวิต ไม่ได้ทำตาในหลวง ก็ในหลวงบอกไว้แล้วว่าไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเสือ ขอให้มีอยู่มีกินไว้ก่อน
    ถ้าทุกคนเริ่มคิดจริงๆถึงสิ่งที่ในหลวงพูด เราน่าจะช่วยให้ประเทศไทยอยู่ได้ เพราะความคิดของในหลวงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ต้องอาศัยพลังแผ่นดิน ทำได้เฉพาะประเทศไทยนะ เศรษฐกิจพอเพียง ที่อื่นทำไม่ได้หรอก เพราะเขาไม่มีที่ดิน ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเยอะเหมือนประเทศไทย
    พวกคุณโชคดีที่ได้แผ่นดินดีๆ ได้ผู้นำ(ในหลวง)ที่ดีด้วย และเรื่องที่ ๓ เรื่องศาสนาผมคิดว่า ศาสนาพุทธมีความสำคัญมากๆ สำหรับคนไทย ไม่ใช่แค่นับถือไหว้พระ แค่นั้นไม่พอ แต่อยู่ที่การปฏิบัติด้วยนะ มักน้อย สันโดษ พอเพียง ธรรมะคือธรรมชาติ เป็นเรื่องง่ายๆ พึ่งตนเองก็ได้ ปรัชญาของศาสนาพุทธ ทำได้นะ แต่คนไทยจำนวนน้อยที่เข้าใจ (เราท่านเห็นอย่างที่ฝรั่งท่านนี้เห็นกันบ้างไหมครับ-ผู้คัดลอก) จริงๆ แล้วศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ออกแบบให้เหมาะสมสำหรับคนบ้านนอก ให้ใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติ โดยไม่ทำลาย ไม่เอาเปรียบ แต่ให้เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ (ขออนุญาตเห็นเพิ่มเติมว่า ไม่เฉพาะแต่ชนบท แต่เหมาะกับมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็สามารถที่จะไม่ทำลาย ไม่เบียดเบียนธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม รวมทั้งเพื่อนมนุษย์ ซึ่งก็เป็น “ธรรมะ-ธรรมชาติในตัวเองด้วยเหมือนกันครับ-ผู้คัดลอก)

    [​IMG]

    § อยากบอกอะไรคนไทย

    คุณโชคดีมากๆที่เกิดในประเทศไทยที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องไปรบกับใคร ไม่ต้องไปเอาน้ำมันจากใคร ไม่ต้องไปเบียดเบียนคนอื่น ประเทศไทยอยู่ได้ กินอิ่ม มีเหลือแจกด้วย อย่าไปคิดเรื่องเงินอะไรมาก อย่าลดคุณค่าความเป็นไทยของตัวเองลง คนไทยส่วนมากนิสัยดีจริงๆ คนไทยมีน้ำใจ หายากนะ
    คนไทยมีพระเจ้าอยู่หัว มีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีศาสนาพุทธที่ดีมาก ทั้ง ๓ อย่างนี้ พยายามรักษาเอาไว้ให้ได้
    ชีวิตที่ไม่ทะเยอทะยานเกินไป คือชีวิตที่มีคุณภาพ ชาวบ้านทุกคนทำได้ ผมเองถึงยังทำไม่สำเร็จ แต่มั่นใจว่าจะทำได้แน่ในอนาคต ถ้าผมทำได้ คนอื่นก็คงทำได้ง่ายกว่าผมเยอะ ทุกอย่างอยู่ที่เรา ถ้าเราไม่อยากได้อะไรมากเกินไปในชีวิต ชีวิตมันก็ง่าย พยายามทำชีวิตให้มันง่ายขึ้น อย่าให้มันสับสน อย่าให้มันลำบาก พยายามรักษาสิ่งแบบนี้ให้ดี และอย่าเชื่อฝรั่งมากเกินไป.............
    ครับ....เมื่อไหร่ล่ะ ที่คนไทยจะเปลี่ยนพฤติกรรม “เคารพในหลวง” ด้วยปาก มาเป็น “เคารพในหลวง” ด้วยการปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ท่าน

    เพื่อนร่วมโลกทุกท่านครับ
    ผมใช้เวลา ๑ ชั่วโมง ๓๐ นาที ในการพิมพ์ข้อความข้างต้น และได้ให้ลูกกับภรรยาอ่านบทความนี้ด้วยแล้ว หลังจากนี้ จะนำข้อความบางส่วนที่ทำตัวหนาไว้ จัดทำเป็นแผ่นใส เพื่อบรรยายตามชั้นเรียนต่างๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตั้งแต่วันที่ ๙ มิ.ย.นี้เป็นต้นไป ด้วยหวังจะช่วยกันปลุกคนไทยบางคนที่ยังหลับใหล ยังไม่เป็น “พุทธ” คือ ไม่ตื่น ไม่รู้ ไม่เบิกบาน แต่ตรงกันข้าม กลับบานและเต็มไปด้วยหนี้สิน ความทุกข์ ตัณหา ๑๐๘ อย่างทุกวันนี้ (คำว่าตัณหา ๑๐๘ นี้ ไม่ใช่สำนวนเขียนเล่นโก้ๆนะครับ เมื่อวานเพิ่งอ่านเจอว่า ตัณหาในทางพุทธศาสนา มี ๑๐๘ อย่างจริงๆ และเราท่านก็ต้องเจอะเจอกับมันทุกวัน มากบ้างน้อยบ้าง แล้วจะไม่เป็นทุกข์ได้อย่างไรกันครับ

    [​IMG]

    อ่านแล้วโคตรอายฝรั่ง ต้องให้เค้ามาสอน
    คุณมาร์ติน วีลเลอร์ ไม่ได้เห็นในหลวงมาตั้งแต่เกิด แต่เค้าตีคำสอนของในหลวงของเราได้แตก ยิ่งอ่านตรงจุดอ่อนคนไทย ทุกคนก้อรู้นะจุดอ่อนอันนี้ แต่ทำไมปัญหานี้มันแก้ไม้ตก
     
  3. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ประวัติของย่อของกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หรือกองพันทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ เริ่มแต่ใน พ.ศ. 2404 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมบุตรในราชตระกูลและข้าราชการมาฝึกหัดเป็นทหาร ตามยุทธวิธีแบบตะวันตกโดยแรกเริ่มมีจำนวน 12 คน โดยโปรดให้มีหน้าที่ไล่กาที่บินรบกวนขณะที่ทรงบาตร และเรียกทหารเหล่านี้ว่าทหารมหาดเล็กไล่กา


    ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ในปี พ.ศ. 2411 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ทหารมหาดเล็กเดิมจำนวน 24 คน ทำหน้าที่เฝ้าพระฉากที่ห้องพระบรรทม เรียกว่าทหารสองโหล และต่อมาเมื่อจำนวนทหารมีมากขึ้นจึงโปรดเกล้าฯ ให้จัดระเบียบใหม่และเรียกกองทหารมหาดเล็กนี้ว่า กรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ในปี พ.ศ. 2414 คำว่าราชวัลลภ แปลว่าผู้เป็นที่รัก สนิทสนมและคุ้นเคยของพระราชา


    ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นกองทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ ในปี พ.ศ. 2450 และมีการเปลี่ยนแปลงย่อยๆ อีกไม่กี่ครั้งก่อนจะถูกยุบกำลังลงเหลือ 1 กองพันในช่วงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 และให้ใช้ชื่อว่า กองพันทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์


    เพลงมาร์ชราชวัลลภเป็นเพลงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นในปี พ.ศ. 2491 เพื่อใช้เป็นเพลงประจำกองพันทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ และใช้ในพิธีสวนสนาม มีทั้งฉบับร้องและฉบับบรรเลง (เนื้อร้องประพันธ์โดยพันตรีศรีโพธิ์ ทศนุต) โดยฉบับร้องนั้นมีขนาดค่อนข้างสั้นประมาณหนึ่งนาทีกว่าๆ ส่วนฉบับบรรเลงนั้นมีความยาวเกือบ 4 นาที ประกอบไปด้วยดนตรี 5 section (โดย section ลำดับที่ 1,2,4 และ 5 คือทำนองบรรเลงล้วนๆ ส่วน section ลำดับที่ 3 ที่อยู่ตรงกลางก็คือทำนองเพลงที่ถูกนำไปใช้ในฉบับร้องนั่นเอง)


    บุคลิกของมาร์ชราชวัลลภนั้นกระฉับกระเฉงตามบุคลิกของเพลงมาร์ชทั่วๆ ไป แต่มีการสลับเปลี่ยนท่วงทำนองถึงสามแบบที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก ทำให้ไม่น่าเบื่อเช่นเพลงมาร์ชทั่วๆ ไปนัก (ฟังเพลงนี้ได้ที่ มาร์ชราชวัลลภ - วิกิพีเดีย)


    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=p9g-hRd-Afg&feature=player_embedded]YouTube - มาร์ชราชวัลลภ.mov[/ame]

    ข้าพระพุทธเจ้าขอเทิดทูนในหลวงพระเจ้าแผ่นดินผู้ยิ่งใหญ่

    ด้วยเกล้า ด้วยกระหม่อม ขอเดชะฯ

    ทรงพระเจริญ

    ทรงพระเจริญ

    ทรงพระเจริญ
     
  4. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ขออนุญาติใช้คำแรงๆอย่างคุณนายภรภิตาสักครั้งนะคะ

    อ่านแล้วโคตรรักในหลวงเลยค่ะ

    ขออภัยที่ใช้คำไม่สุภาพแต่อยากใช้คำคุณศัพท์ขยายกริยาที่สื่อความหมายได้มากให้เท่าความรู้สึกที่มีต่อพระองค์ท่านได้ค่ะ
     
  5. Senseless guy

    Senseless guy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    287
    ค่าพลัง:
    +991
    9 วิธี ทําดี ได้บุญโดยไม่ต้องใช้เงิน


    คนไทยเรานั้น ได้ชื่อว่าเป็นพวกที่ชอบทําบุญสุนทานอยู่เสมอส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความ เชื่อที่ว่า 'ทําดีได้ดี ทําชั่วได้ชั่ว' ซึ่งแม้ปัจจุบันหลายคนจะรู้สึกกังขาว่า ทําไม คนที่เรารู้สึกว่าชั่ว ยังคงได้ดิบได้ดี เช่น ยังมีเงินทองและใช้ชีวิตที่สุขสบายกว่าเรา
    แต่นั่นก็ยังอธิบายได้ว่าเขาทํากรรมเก่าดี หรือยังกินบุญเก่าอยู่ ซึ่งที่เราเห็นด้วยตาว่า
    เขาสุขสบายก็อาจไม่จริง บางทีเขาอาจกําลังทุกข์ใจ เพราะต้องคอยระแวง ปกปิดความผิดของตน กลัวคนไปล่วงรู้อยู่ก็ได้อย่างไรก็ดี โดยพื้นฐานแล้ว คนส่วนใหญ่ก็มักจะชอบทําบุญเพราะเชื่อว่าเป็นการทําความดีและเป็นการสะสมผลบุญ ที่จะสนองให้เราได้รับสิ่งที่ดีในอนาคต หรือในชาติหน้า ซึ่งโดยแท้จริงการทําบุญนั้น ทันทีที่ทําก็เป็นความสุขแล้วเพราะ บุญคือการทําความดีด้วยวิธีการต่างๆ ที่ทําให้อิ่มเอิบเบิกบานใจโดยทั่วไป คนมักทําบุญกุศลด้วยการบริจาคทรัพย์ สิ่งของ หรือให้ทานเป็นโอกาสๆ เช่นบริจาคช่วยผู้ประสบภัยธรรมชาติ ร่วมสร้างศาสนสถาน ทอดกฐินผ้าป่า
    ช่วยเด็กกําพร้า หรือช่วยซื้อโลงศพ เป็นต้น ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่เชื่อไหมว่า
    ในชีวิตประจําวันของคนเรานั้น เรามีโอกาสทําความดี หรือทําบุญได้ตลอดเวลา
    โดยไม่ต้องใช้เงินทองหรือสิ่งของถึงแม้เราจะไม่ได้มีอาชีพเป็นแพทย์ พยาบาลที่ต้องช่วยเหลือคนเป็นประจําอยู่แล้วก็ตามจะทําได้อย่างไรนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สํานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ขอเสนอแนะ 9 วิธีทําดี ได้บุญแบบไม่ต้องใช้เงิน เพื่อเป็นแนวทางให้ท่านได้สะสมกุศลให้เพิ่มพูนขึ้น ดังต่อไปนี้

    [​IMG]

    1.ตื่นเช้าขึ้นมาก็คิดแต่สิ่งดีๆ

    ทันทีที่ตื่นนอน หากเราคิดถึงแต่สิ่งที่ดีที่งาม ก็จะทําให้จิตใจเราสดชื่น กระตือรือร้น พร้อมที่จะรับมือกับชีวิตประจําวันด้วยความรื่นเริง ไม่หงุดหงิดโมโห แค่นี้ นอกจากเราจะมีความสุขแล้ว คนรอบข้างเราก็มีความสุขไปด้วยถือว่าเป็นการทําบุญอย่างหนึ่ง


    2.ยิ้มแย้มแจ่มใส

    ในแต่ละวัน หากเราจะรู้จักยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ว่าจะยิ้มกับคนรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม หน้าตาของเราก็จะดูเป็นมิตร ทําให้คนอยากเข้าใกล้ถ้าเราเป็นพ่อแม่ยิ้มกับลูกก่อนไปทํางาน ลูกก็ดีใจ ลูกยิ้มกับพ่อแม่ๆก็สบายใจว่าต่างคนต่างไม่มีเรื่องเดือดร้อนใจแน่ หรือหากมีก็กล้าจะมาปรึกษาหารือ หรือหากเป็นเจ้านาย ยิ้มกับลูกน้องๆ ก็รู้ว่าวันนี้นายอารมณ์ดี ทําให้ทํางานด้วยความมั่นใจไม่ต้องระแวงว่าจะถูกเรียกไปต่อว่าและถ้าเรียกก็ดูน่าจะมีเมตตา กว่าเวลาที่นายทําหน้ายักษ์


    3.ทักทาย โอปราศรัย

    คนบางคน นอกจากจะไม่ยิ้มกับใครแล้ว ยังชอบทําหน้าบึ้งตึงไม่คิดจะพูดจาทักทายใครด้วย ซึ่งถ้าเกิดทํางานด้านบริการ คนมาติดต่อคงรู้สึกเกร็งและกังวลตลอดว่าจะถูกเอ็ดตะโรเมื่อไรก็ไม่รู้ ดังนั้นนอกจากยิ้มแย้มแจ่มใสแล้ว เราก็ควรจะเอื้อนเอ่ยวาจาทักทายผู้มารับบริการก่อน การทักทายปราศรัยกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นผู้มาขอรับบริการเพื่อนฝูงคนรู้จัก ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาหรือแม่แต่คนที่มาทํางานให้เรา เช่น แม่บ้าน ยาม ฯลฯ จะทําให้เขารู้สึกเป็นมิตร และอบอุ่นใจ ทําให้บรรยากาศในที่นั้นๆ ดีขึ้น


    4.แบ่งปันน้ําใจไมตรี

    สามารถทําได้ทุกที่และทุกเวลา เช่น ช่วยพ่อแม่จัดโต๊ะอาหารล้างถ้วยชาม ลุกให้เด็ก ผู้หญิงท้อง หรือคนแก่นั่งช่วยถือของหนักให้คนในรถเมล์ หยุดรถให้คนข้ามถนน หรือรถอื่นไปก่อน ช่วยแบ่งเบาภาระงาน ให้เพื่อนในที่ทํางาน เป็นต้นการให้ความช่วยเหลือเช่นนี้ เป็นการทําบุญด้วยการลดความเห็นแก่ตัวของเราลงและทําให้เราได้รับมิตรไมตรีสนองตอบกลับมาด้วย


    5.ปลุกปลอบให้กําลังใจ

    ช่วยแก้ไขปัญหา หลายๆครั้งที่เพื่อนฝูงญาติมิตรอาจประสบปัญหาชีวิต และเกิดความทุกข์ใจแสนสาหัส สิ่งที่ดีที่สุดคือความเป็นมิตรและถ้อยคําที่ปลุกปลอบให้กําลังใจ คําพูดดีๆ ที่มาจากใจจะทําให้ผู้ที่ตกอยู่ในห?วงทุกข์ รู้สึกดีขึ้นและพลังที่ต่อสู้ชีวิตต่อไปได้

    [​IMG] [​IMG]
    6.ให้คําชมด้วยความนิยมยินดี

    การกล่าวคําชื่นชมต่อผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆย่อมจะทําให้ผู้รับคําชมรู้สึกปลาบปลื้มยินดี และมีความสุขได้โดยเฉพาะในเรื่องที่เขาทําสําเร็จ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงและจริงใจด้วยดูอย่างตัวเราเองแค่วันไหน แต่งตัวสวย แล้วมีคนชม เราก็หน้าบานไปทั้งวันแล้ว เช่นเดียวกันคนทุกคนล้วนอยากได้การยอมรับและคําชมทั้งนั้น เพราะคําชมจะเป็นการเสริมเพิ่มกําลังใจให้
    อยากทําดียิ่งๆ ขึ้นไป


    7.แนะนําให้คําสอนที่ดี มีคุณค่า

    ไม่ว่าจะเราจะอยู่ในสถานภาพใด เช่น เป็นลูก เป็นพ่อแม่ลูกน้อง เจ้านาย เพื่อนร?วมงาน เพื่อนร่วมอาชีพ ฯลฯ หากเราจะมีเมตตา แนะนําในสิ่งที่ดี มีประโยชน์และคุณค่าต่อผู้อื่นหรือสอนในสิ่งที่เราชํานาญให้แก่ผู้อื่น ก็จะเป็นการช่วยเกื้อกูลสังคมให้ดียิ่งขึ้น และผลก็จะย้อนมาสู่ตัวเราผู้ทําด้วยเช่น สอนงานให้ลูกน้องต่อไป เมื่อเขาทํางานเป็น เราก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก และเขาก็จะรู้สึกขอบคุณเราแนะวิธีออกกําลังกายให้พ่อแม่ ท่านก็แข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยง่ายเราก็สบายใจ หรือแม้แต่การแนะนําให้ความรู้ที่เรามี หรือทราบมาแก่คนไม่รู้จัก อย่างแนะนําหมอ ยาดีๆ หรือธรรมะที่ดีแก่คนอื่น ทําให้เขาหายป่วยหรือรู้สึกดีขึ้นเขาก็จะอธิษฐานหรือให้พรเราทําให้เราพบแต่สิ่งดีๆ ในชีวิต


    8.การให้อภัยในความผิดพลาดของผู้อื่น

    โดยทั่วไปคนเรามักจะให้อภัยตัวเองง่ายและมีข้อแก้ตัวให้ตนต่างๆ นานา แต่ถ้าผู้อื่นผิดพลาดแล้ว เรามักเห็นเป็นเรื่องใหญ่และตําหนิติเตียนไม่รู้จักแล้วจบ ดังนั้น เราจะต้องหัดมีเมตตารู้จักให้อภัยต่อผู้อื่นให้ง่าย เหมือนให้อภัยแก่ตัวเราเอง เพราะการให้อภัยจะทําให้เราไม่ผูกใจเจ็บ ไม่อาฆาตมาดร้าย ไม่ก่อศัตรู แต่ทําให้จิตใจเราสงบเย็นเป็นการฝึกจิตพื้นฐานอย่างหนึ่ง ที่จะนําไปสู่กุศลขั้นสูงอื่นๆ ต่อไป


    9.ฝึกจิตให้สงบและสบาย

    ด้วยการทําสมาธิหรือสวดมนต์ การทําสมาธิ ฟังดูเหมือนยากแต่จริงๆ เราทําได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หรือทําอะไรอยู่เช่น กินข้าว อาบน้ํา ทําการบ้าน ทํางานบ้าน อ่านหนังสือ อยู่ที่ทํางานหัวใจหลักคือให้เอาใจไปจดจ่อในสิ่งที่ทําเพียงอย่างเดียว จะทําให้เราทําทุกอย่างได้ดีขึ้นเพราะไม่พะวักพะวนคิดหรือทําหลายอย่างในเวลาเดียวกันอันทําให้ขาดสติและทุกๆ คืนก่อนนอน ก็ควรสวดมนต์ไหว้พระที่เรานับถือ โดยอาจเลือกบทสวดสั้นๆ ที่เราชอบเสร็จแล้วก็อย่าลืมแผ่เมตตาให้กับตัวเราเอง และผู้อื่นตามสมควรที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าเป็นการทําความดีที่ไม่ต้องใช้เงินเลยแต่สามารถปฏิบัติในชีวิตประจําวันของเราได้ โดยไม่ยากเย็นเข็ญใจจนเกินไปอีกทั้งปฏิบัติแล้วก็เป็นบุญกุศลที่จะเกื้อหนุนให้เราและคนรอบตัวมีความสุข เพราะ'บุญ' ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ เครื่องชําระกาย ใจให้บริสุทธิ์เป็นการทําประโยชน์ให้แก่ตัวเราเองและผู้อื่น และยังช่วยลดกิเลส ความเศร้าหมองต่างๆ ได้เริ่มทําแต่วันนี้เลยนะคะเพราะมีคนบอกว่า


    "ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทําเอง"

    [​IMG]

    ขอขอบพระคุณข้อมูลจาก วัดอินทาราม บางยี่เรือ เขตธนบุรี กทม.10601<!-- google_ad_section_end -->
     
  6. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    คนปลายซอย :"น้ำพระทัยพ่อต่อพสกนั้น...ยิ่งนัก"


    ....ในโอกาสนี้ ผมขอนำมาให้อ่านกันด้วยจิตใจเบิกบานสบายอีกครั้ง จะเคยอ่านแล้ว-ฟังแล้ว ก็อ่านอีกครั้ง จะต่างกันตรงไหน ขี้เกียจจะนั่งยิ้มแก้มตุ่ยไปเท่านั้น เริ่มตามที่คัดลอกมาเลยนะครับ
    เคยรู้บ้างมั้ยว่า พ่อที่รักยิ่งของพวกเรา ทรงมีพระอารมณ์ขันที่สุนทรีย์ยิ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นที่เคารพรักอย่างสูงของเรานั้น ทรงมีพระราชอารมณ์ขันยิ่งนัก ดังตัวอย่างที่จะเล่าต่อไปนี้
    พวกเดียวกัน
    ในการเสด็จฯ ออกเยี่ยมราษฎรอำเภอไกลๆ ที่กันดารนั้น บางครั้งกำนันก็อยากกราบบังคมทูลด้วยราชาศัพท์ แต่อันที่จริงนั้นไม่ต้องก็ได้ มิได้ทรงเห็นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะทรงถือว่าความจงรักภักดีและความเคารพในหัวใจนั้นสำคัญยิ่งกว่าราชาศัพท์ แต่ถึงกระนั้น กำนันบางคนก็ยังอยากจะกราบบังคมทูลให้ถูกต้องตามแบบแผน อุตส่าห์ไปซ้อมเสียหลายวัน ท่องมาจนจำขึ้นใจ แต่พอเสด็จฯ มาถึงเข้าจริงๆ ท่านกำนันก็รายงานตัวออกไปว่า
    “ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า…”
    “เราพวกเดียวกันนะ…” ทรงรับสั่งด้วยความเมตตาอย่างพ่อพูดกับลูก
    ท่านกำนันเห็นว่าทรงพระกรุณาเช่นนั้น ก็เปลี่ยนใจมากราบบังคมทูลด้วยภาษาธรรมดา
    ผู้หญิงตกเป็นของใคร
    บางครั้ง ในหลวงของเราก็ต้องทรงทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเกี่ยวกับปัญหาครอบครัว เช่น ชาวเขาคนหนึ่งได้มากราบบังคมทูลร้องทุกข์ว่า เขาได้ให้หมูสองตัวกับเงินก้อนหนึ่งแก่เมีย แต่เมียพอได้เงินแล้วกลับหนีตามชู้ไป พระองค์ก็ทรงตัดสินว่า สามีจะต้องได้รับเงินชดใช้ และให้ปล่อยภรรยาไปตามใจของเธอ ญาติของทั้งสองฝ่ายก็พอใจ
    รับสั่งเล่าด้วยพระราชอารมณ์ขันว่า
    “แต่ที่แย่ก็คือ ฉันต้องควักเงินให้ไป…ผู้หญิงนั้นก็เลยต้องตกเป็นของฉัน” รับสั่งแล้วก็ทรงพระสรวล
    สักครู่หนึ่ง หญิงผู้นั้นก็นำสุราพื้นเมืองมาถวาย
    “ถ้าฉันเมาพับไป อะไรจะเกิดขึ้น ก็ไม่รู้…”
    แจกปริญญาหลับใน
    ...ประมาณสองปีมาแล้ว ตอนเช้าได้ทำฟัน คือว่าหมอฟันมาเจาะฟัน เจาะจนเกือบจะทะลุคางไป (เสียงฮา)…เพราะว่าทะลุฟันซี่นั้นถึงราก ถอนเอาประสาทออก แล้วหมอฟันทั้งหลายก็สนุกสนานไป (เสียงฮา) กินเวลาประมาณสองชั่วโมง เวลาบ่ายโมงครึ่งก็ยังไม่ได้รับประทานอาหาร ก็รับประทานไม่ไหว ปากมันชาไปหมดที่เขาฉีดไว้ ประมาณบ่ายสองโมงกว่าๆ ก็ต้องมาแจกปริญญาที่นี่…
    นับจำนวนผู้ที่มารับปริญญาแล้วก็ดูนาฬิกา จะได้รู้เวลา นับไปนับมา แจกไปแจกมา ก็มีคนหนึ่งทำให้ตกใจ เขาเดินเข้ามาหา มารับปริญญา แล้วก็ด้วยความพอใจของเขา เขาร้องออกมาว่า “ทรงพระเจริญ” (เสียงฮา)…แต่บังเอิญตอนนั้นการแจกปริญญาก็ส่วนแจกปริญญา ส่วนปวดฟันก็ส่วนปวดฟัน (เสียงฮา) ส่วนหลับในก็ส่วนหลับใน (เสียงฮา) มีเสียงเขาบอกว่า “ทรงพระเจริญ” ต้องโสตประสาทตกใจตื่นทั้งตัว
    แต่ว่าหลังตกใจตื่นขึ้นมาอาการปวดฟันหายไปจริงๆ นี่พูดตามวิสัยของนักวิทยาศาสตร์หรือนักวิจัย รู้สึกว่ากระปรี้กระเปร่าที่จะแจกปริญญาต่อไป ทำด้วยความรู้ตัวด้วย แล้วก็ทำให้รู้สึกว่าเรามีกำลังใจ ที่เขาบอกว่า “ทรงพระเจริญ”…
    ยิ้มของฉัน
    เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก เป็นที่สนใจต่อสื่อมวลชนของอเมริกาเป็นอย่างมาก จึงได้มีพระราชทานสัมภาษณ์ นักข่าวหนุ่มคนหนึ่งได้ทูลถามว่า “ทำไมพระองค์จึงทรงเคร่งขรึมนัก…ไม่ทรงยิ้มเลย?”
    ทรงหันพระพักตร์ไปทางสมเด็จพระนางเจ้าฯ พลางรับสั่งว่า
    “นั่นไง…ยิ้มของฉัน”
    แสดงให้เห็นถึงพระราชปฏิภาณ และพระราชอารมณ์ขันอันล้ำลึกของพระองค์ท่าน ทำให้เป็นที่รักของประชาชนอเมริกันโดยทั่วไป ในวันที่เสด็จฯ รัฐสภาคองเกรส เพื่อทรงมีพระราชดำรัสต่อสภา จึงทรงได้รับการถวายการปรบมืออย่างกึกก้องและยาวนานหลายครั้ง
    เพื่อนเยอะ
    การเสด็จประพาสอเมริกาครั้งนั้น ควรจะได้เล่าถึง “บ๊อบ โฮ้พ” ไว้ด้วย เพราะทรงคุ้นเคยกับดาราผู้นี้ตั้งแต่ครั้งบ๊อบ โฮ้พ มาแวะกรุงเทพฯ เพื่อจะไปเปิดการแสดงกล่อมขวัญทหารอเมริกันในเวียดนาม ระหว่างแวะพักที่กรุงเทพฯ บ๊อบ โฮ้พ ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ ที่วังสวนจิตรลดา โดยโปรดเกล้าฯ พระราชทานเลี้ยงดินเนอร์ด้วย
    บ๊อบ โฮ้พ กราบบังคมทูลว่า “ข้าพระพุทธเจ้า ขอพาเพื่อนไปด้วย”
    “ได้เลย…ไม่ขัดข้อง” รับสั่งตอบ “พาเพื่อนของคุณมาได้เลย”
    “ต้องขอขอบพระราชหฤทัยแทนเพื่อนหกสิบสามคนของข้าพระพุทธเจ้าด้วย”
    คืนนั้น บ๊อบ โฮ้พ ได้นำวงดนตรีของเขาเข้าไปเล่นถวายอยู่จนดึก จึงกราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ ที่บ้านของเขา รับสั่งว่า “ยินดี…ฉันพาเพื่อนหกสิบสามคนของฉันไปด้วยนะ” บ๊อบ โฮ้พ กราบบังคมทูลเสียงอ่อยๆ ว่า
    “คิดด้วยเกล้าว่า ตกลงพ่ะย่ะค่ะ”
    FBI
    อีกครั้งหนึ่ง ได้พระราชทานสัมภาษณ์แก่ผู้แทนของนิตยสาร Look พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้รับสั่งว่า เมื่อครั้งประธานาธิบดีของท่านมาเยือนประเทศไทย มีพวก FBI และหน่วย รปภ. ห้อมล้อมกันหนาแน่นไปหมด จนหาทางเดินไม่ได้ ถ้าฉันทำเช่นนั้นก็ไม่สามารถใกล้ชิดประชาชนได้ ถ้าผู้คนเบียดกันเข้ามาใกล้เกินไป จะมีคุณยายพูดขึ้นว่า “หลีกทางให้ในหลวงหน่อยเถอะ”
    คุณยายนั่นแหละคือ FBI ของฉัน !
    ทรงพระนามว่าเกาะช้าง
    ครั้งหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทางทะเล ระหว่างทางผ่านเกาะช้าง ทรงถามข้าราชการท้องถิ่นคนหนึ่งว่า “เกาะนั้นชื่ออะไร” ข้าราชการทูลตอบว่า “เกาะนั้นทรงพระนามว่า เกาะช้างพ่ะย่ะคะ”
    ทรงตรัสว่า “ถ้างั้นก็เป็นญาติกับฉันน่ะสิ”
    ครูใหญ่
    เมื่อครั้งหนึ่ง กรมศิลปากรไม่มีครูที่จะประกอบพิธีไหว้ครู เพราะเนื่องจากไม่มีการมอบหมายหน้าที่เอาไว้ ในที่สุดเพื่อแก้ปัญหานี้ ต้องไปกราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะว่าทรงเป็นเสมือนสมมุติเทพ ต้องให้ทรงเป็น ผู้มอบหมาย เมื่อความทราบถึงพระเจ้าอยู่หัว รับสั่งว่า
    “จะให้เป็นครูใหญ่ใช่ไหม”
    หมอลำ
    ครั้งหนึ่ง ได้มีการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางนิติศาสตร์ พระองค์ทรงรับสั่งกับมหาดเล็กใกล้ชิดว่า “ฉันได้เป็นหมอความแล้ว” ต่อมา เมื่อมีการถวายปริญญาทางดิน ก็รับสั่งว่า “ตอนนี้เราเป็นหมอดินแล้ว” ไม่นานก็มีการถวายปริญญาทางดนตรีอีก รับสั่งอีกว่า
    “ในตอนนี้เราเป็นหมอลำ”
    ส่งเสี่ยกลับวัง
    เมื่อสมัยก่อนเสด็จฯ แปรพระราชฐานไปยังหัวหิน มักจะเสด็จฯ ออกไปยังตลาดหัวหินบ่อยครั้ง และบางครั้งโดยลำพังพระองค์ มีครั้งหนึ่งระหว่างจะเสด็จฯ กลับ ซาเล้งที่ตลาดทูลถามว่า “ไปไหมเสี่ย” ปรากฏว่าเสี่ยพระองค์นี้สนพระทัยก็ตรัสจ้างไปยังพระราชวังไกลกังวล โดยที่ซาเล้งคนนั้นไม่รู้ นึกว่าเป็น ข้าราชการ
    แต่พอถึงหน้าพระราชวัง ทหารสั่ง วันทยาวุธ เท่านั้นแหละ ซาเล็งถึงรู้ว่า เสี่ยที่มาส่งน่ะเป็นใคร !!!
    ไม่มีบัตรผ่าน
    นอกจากนี้ยังโปรดจะเสด็จฯ ระยะไกลตามชายทะเลจากหน้าพระราชวังอีกด้วย และเสด็จฯ กลับมาในตอนเย็นๆ เมื่อเสด็จฯ กลับถึงปรากฏว่า ทหารนั้นไม่ให้พระองค์เข้า “ไม่ได้ครับ ไม่มีบัตรผ่านเข้าไม่ได้” ทหารทูล “ขอโทษที ฉันไม่มีบัตร แต่เอาเป็นว่าตอนนี้ เธอมีธนบัตรไหม” ทรงตรัสตอบ
    ทหารว่า “มีครับ ทำไมหรือ” ก็ตรัสว่า
    “นั่นแหละบัตรของฉัน”
    ข้าวกล้องของคนจน
    เมื่อไม่กี่ปีมานี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ พร้อมด้วย สมเด็จพระเทพรัตนฯ ไปทอดพระเนตรกิจการตามพระราชดำริ ซึ่งมีเรื่องเกี่ยวกับข้าวกล้องอยู่ด้วย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า “ข้าวกล้องนี้ดี เรากินข้าวกล้องทุกวัน” สมเด็จพระเทพรัตนฯ เห็นว่าน่าสนใจ แต่นักข่าวไม่สนใจเท่าไร จึงตรัสว่า
    “น่าสนใจนะ น่าจะเก็บไว้”
    ก็เลยมีการทูลขอให้ทรงตรัสอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนฯ ก็ทรงช่วยเหลือ และนำมาซึ่งคำตอบที่ไม่คิดว่าจะได้
    “ข้าวกล้องนี้ดี มีประโยชน์ คนอื่นเขาว่าเป็นข้าวของคนจน เรากินข้าวกล้องทุกวัน เรานี่แหละคนจน”
    ครับ...หวังว่าทุกท่านอ่านแล้วจะมีความสุข หัวใจพองโตไปกับ "พระอารมณ์ขัน" ของพระมหากษัตริย์ที่ทรงรักพสกนิกรของพระองค์ดังบุตร ที่ผมเก็บของผู้อื่นรวบรวมไว้ยังไม่หมด แล้วพรุ่งนี้จะนำมาให้อ่านกันอีกวันนะครับ.

    คัดลอกจาก : คนปลายซอย :"น้ำพระทัยพ่อต่อพสกนั้น...ยิ่งนัก" | ไทยโพสต์
     
  7. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ทรงพระนามว่าเกาะช้าง
    ครั้งหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทางทะเล ระหว่างทางผ่านเกาะช้าง ทรงถามข้าราชการท้องถิ่นคนหนึ่งว่า “เกาะนั้นชื่ออะไร” ข้าราชการทูลตอบว่า “เกาะนั้นทรงพระนามว่า เกาะช้างพ่ะย่ะคะ”
    ทรงตรัสว่า “ถ้างั้นก็เป็นญาติกับฉันน่ะสิ”



    หมอลำ
    ครั้งหนึ่ง ได้มีการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางนิติศาสตร์ พระองค์ทรงรับสั่งกับมหาดเล็กใกล้ชิดว่า “ฉันได้เป็นหมอความแล้ว” ต่อมา เมื่อมีการถวายปริญญาทางดิน ก็รับสั่งว่า “ตอนนี้เราเป็นหมอดินแล้ว” ไม่นานก็มีการถวายปริญญาทางดนตรีอีก รับสั่งอีกว่า
    “ในตอนนี้เราเป็นหมอลำ”

    55555

    พ่อทรงเป็นทุกอย่างในใจของลูกไทยทุกคนค่ะ
     
  8. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=5_JzI37iKoE&feature=related"]YouTube - เพลงของพ่อ - บอย โกสิยพงษ์ Feat. นภ พรชำนิ[/ame]​


    สำหรับผู้สนใจสวดมนต์ถวายในหลวง วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๓ เวลา ๑๗.๐๐ น. เป็นต้นไป ณ.วัดวรเชษฐ์(นอกเกาะ) ได้รับแจ้งข่าวจากพระอาจารย์วัลลภ เมื่อคืนนี้ค่ะ ​

    ทางสายธาตุต้องเดินทางไปทำธุระต่างจังหวัดในวันที่ ๕ พอดีน่าเสียดายที่ไม่ได้ไปร่วมสวดมนต์ แต่หากท่านใดสนใจสวดมนต์ถวายพ่อ เชิญนะคะ

    วัดวรเชษฐ์ที่ถูกลืม อ่านแล้วตรงใจกับกระทู้ในเวปไซด์พันทิพย์กระทู้นี้มาก ต้องนำมาช่วยป่าวประกาศการกระทำของกรมศิลปากร

    <TABLE border=0 width="100%" height=36><TBODY><TR><TD vAlign=top width="80%"><BIG><BIG>สืบเนื่องจากกระทู้......."เมื่อพระนารายณ์ราชนิเวศน์ร้องไห้" [​IMG] </BIG></BIG></TD><TD vAlign=top width="20%" noWrap align=right><!--InformVote=0-->
    <SCRIPT language=JavaScript>MsgStatus(Msv[0], 0);</SCRIPT> </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    <!--VoteBody--><!--MsgIDBody=0-->กระทู้นี้ เกิดจากได้อ่านกระทู้ของคุณ : JOY_KWAn ที่ทำให้เราน้ำตาไหล
    ภาพที่เป็นตัวอย่างให้เห็นในกระทู้ มันทำให้เราสะเทือนใจจริงๆค่ะ

    ขอโทษจริงๆนะคะ ไม่อยากใช้คำพูดไม่ดี แต่ไม่รู้ว่าจะถามด้วยคำไหน
    อยากรู้จริงๆ ว่าจนท.กรมศิลปากร(คนบงการ) "คิดได้ยังไง ใช้อะไรคิด?"
    ถึงได้ทำกับของเก่าทรงคุณค่าของชาติ ให้เป็นของใหม่อย่างในรูปนั้น

    **เราไปเล่นสงกรานต์ ที่ลพบุรี ทุกๆปี กับครอบครัวและญาติพี่น้อง
    ซึ่งรถกระบะที่เรานั่งจะวิ่งรอบๆ วังนารายณ์ ให้เราเล่นน้ำสงกรานต์
    เราชินชากับภาพคนแก่ เด็กเล็กและวัยรุ่นมากมาย
    ออกมาเล่นน้ำกันข้างๆซากกำแพงวังและกำแพงเมืองที่ก่ออิฐสีแดงเก่าๆ
    เนื่องจากการพุพัง ผ่านกาลเวลาเนิ่นนาน จนเกิดเป็นตะกอนสีดำๆ
    มีตะไคร่น้ำสีเขียวเข้มบ้างบางส่วน
    แต่ทุกครั้งที่ได้เห็น เราก็จะรู้สึกถึงความขลังทุกครั้ง
    มันเป็นเหมือนสัญลักษณ์ ว่าจังหวัดนี้เป็นเมืองเก่าที่เคยรุ่งเรือง และมีประวัติศาสตร์ยาวนาน

    แล้วนี่กรมศิลป์กำลังทำอะไรกับโบราณสถานเหล่านี้
    ประเทศชาติจะไม่เหลือสมบัติ แห่งความภาคภูมิใจแล้วนะคะ

    เราอยากถามว่า .......
    แล้วพวกเราประชาชนธรรมดาจะทำอะไรได้บ้าง?
    มีทางไหนที่พวกเราจะช่วยอนุรักษ์มรดกของชาติไว้ได้? (ประท้วงได้ไหม)
    หากประท้วงได้ เราจะได้วังนารายณ์ ในแบบทรงคุณค่ากลับคืนมาหรือไม่? (เมื่อขณะนี้ มันไม่เหมือนเดิมแล้ว)

    ** อีกแล้วหรือ? **
    เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นหลายครั้งหลายหน (เท่าที่เราเคยได้รับความรู้จากผู้ทรงคุณวุฒิที่นับถือ)
    ตัวอย่างหลักๆ คือ พระนครศรีอยุธยา

    --รู้หรือเปล่าค่ะ ว่าถนนที่สร้างให้เราใช้สัญจรไปมารอบเกาะเมืองอยุธยานั้น
    บางส่วนสร้างทับไปบนซากกำแพงเมืองเก่า (เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว)
    ด้วยเหตุผลที่ว่า ทำให้ถนนคงทนแข็งแรง
    และอีกอย่างคือไม่สิ้นเปลืองวัสดุก่อสร้าง (คิดได้ไง?)

    --รู้ไหมค่ะ ว่ากรมศิลปากร พยายามยัดเหยียดวัดเล็กๆ ในเกาะเมือง
    ให้เป็นวัดสำคัญที่ใช้ถวายพระเพลิงพระบรมศพของสมเด็จพระนเรศวรฯ
    เพียงแค่วัดนั้นชื่อ "วัดวรเชษฐาราม" (แค่ชื่อตรงกัน)

    แต่กรมศิลปากรกลับมองข้ามวัดที่อยู่นอกเกาะ อย่างวัดวรเชษฐ์ (วรเชต)
    ที่มีพระเจดีย์เก่าองค์ใหญ่ และพระปรางค์อีก 4 องค์รายรอบ
    และมีเนินดินสูงใหญ่ (เนินดินเก่า ที่สันนิษฐานว่าเป็นจุดที่ใช้ปลงพระบรมศพ)
    ปัจจุบันมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นปกคลุม บ่งบอกถึงความเก่าแก่ของเนินดิน
    อีกทั้งมีถนนโบราณยาว 1.2 กิโลเมตร ถนนบางส่วนกว้างถึง 40 เมตร
    สร้างด้วยการบดอัดอย่างดี ตัดตรงจากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าไปที่สิ้นสุดที่วัดแห่งนี้
    ปัจจุบันถนนโบราณอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์
    ได้โดนถนนของกรมทางหลวงสาย อยุธยา-สุพรรณบุรี สร้างทับไปบางส่วน

    และล่าสุด พ.ศ. 2547 ถนนโบราณที่กล่าวถึง (ในส่วนที่ใกล้กับวัดมาก)
    ถูกทำเป็นสนามยิงปืน ของนักศึกษาวิชาทหาร จ.พระนครศรีอยุธยา T_T

    หลักฐานชัดเจนขนาดนี้ แต่ไม่รู้เพราะอะไรที่ทำให้จนท.กรมศิลปากรในสมัยนั้น
    ชี้ขาดว่าเป็นวัดวรเชษฐาราม (ในเกาะ) ที่ทั้งเล็กและคับแคบไม่สมพระเกียรติ ให้เป็นวัดสำคัญ

    เหตุผลทั้งหมดของกรมศิลปากร คืออะไรหรือ??

    คำตอบคือ สถานที่ตั้งของวัด วัดหนึ่งอยู่ในเกาะ อีกวัดอยู่นอกเกาะ
    วัดในเกาะน่าจะสำคัญกว่าวัดนอกเกาะ และบังเอิญว่าชื่อเหมือนกับในพงศาวดาร (อย่างนั้นหรือ?)
    วัดที่อยู่ในเกาะชื่อ วัดวรเชษฐาราม จริงๆแล้วเป็นวัดที่สมเด็จพระเชษฐาธิราช
    กษัตริย์พระองค์หนึ่งของกรุงศรีอยุธยาทรงสร้างขึ้น

    มีลิงค์ที่ นสพ.แนวหน้า เคยลงบทความสั้นๆ และรูปไว้ หากสนใจลองดูนะคะ
    http://www.naewna.com/news.asp?ID=167008

    สุดท้ายแค่อยากให้ทุกคนช่วยกันค่ะ
    หากมีใครสามารถที่จะช่วยให้สิ่งที่เกิดกับโบราณสถานของเรานี้ ให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม
    หรืออย่างน้อย ไม่ให้มันเกิดขึ้นซ้ำกับสถานที่ทรงคุณค่าแห่งอื่นๆ ของประเทศชาติอีก
    ก็รบกวนให้ช่วยกันหน่อยนะคะ ขอบคุณค่ะ

    ***ป.ล.***
    ไม่ทราบว่า การบูรณะวังนารายณ์ ในคราวนี้ อยู่ในตำราเล่มไหน
    เพราะถ้าหากใช้กันทั่วไป สักวัน เขมร คงมีสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
    คือ "นครวัด นครธม" เป็นสีขาว เพราะการบูรณะแน่นอน <!--MsgFile=0-->

    <TABLE border=0 cellSpacing=1 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=bottom width="10%">จากคุณ</TD><TD>: <!--MsgFrom=0-->bowpond [​IMG] </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom width="10%">เขียนเมื่อ</TD><TD vAlign=bottom>: <!--MsgTime=0-->23 มิ.ย. 53 14:29:19 <!--MsgIP=0--></TD></TR><TR><TD id=xscore0 vAlign=top></TD><TD id=score0></TD></TR></TBODY></TABLE>
    ทางสายธาตุไม่ได้เป็นผู้เขียนกระทู้ในพันทิพย์กระทู้นี้นะคะ พอดีค้นๆไปเจอเข้า หาแนวร่วมต่อสู้เพื่อคืนศิลปะวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ชาติไทยให้กลับมาค่ะ สาธุกับผู้เขียนความเห็นนี้ในกระทู้พันทิพย์ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ธันวาคม 2010
  9. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    แอะจอปา..เรารักในหลวง

    “แอะจอปา” เสียงพูดเป็นภาษากะเหรี่ยงของน้องเผือก - ด.ญ.รัชนี สามารถศิลป์ นักเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนบ้านสามสบ ต.ท่าผา อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ที่ประสานสอดรับกับเหล่าผองเพื่อนชาวเขาเผ่าปกากญอ อันแสดงให้รู้ว่าพวกเขา “รักในหลวง” เพียงใด...

    น้องเผือก ในวัย 13 ปี กับบทบาทประธานนักเรียนตัวโต ฉายภาพในหลวงในห้วงคำนึงด้วยคำพูดซื่อๆ ให้ฟังว่า เมื่อนึกถึงในหลวงก็จะนึกถึงน้ำ เพราะน้ำมีประโยชน์กับเรามาก ถ้าไม่มีน้ำเราก็อยู่ไม่ได้จะทำอะไรก็ต้องใช้น้ำ ปลูกอะไรก็ต้องใช้น้ำ บ้านเราโชคดีที่มีในหลวง เพราะพระองค์ท่านทรงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีน้ำ เนื่องจากในหลวงสั่งให้ไม่มีการตัดไม้ เพราะถ้าตัดไม้น้ำก็จะแห้ง

    ไม่ต่างอะไรกับ “อั๋น - ด.ช.สุรทิน บุญเทียม” แกนนำนักเรียนชั้น ป.6 ในวัย 11 ปี ที่บอกว่า ในหลวงเปรียบเสมือนป่าไม้ที่เมื่อฝนตกจะคอยเก็บกักน้ำ ชะลอการไหลของน้ำไม่ให้น้ำไหลแรง อากาศก็ดี ถ้าขาดต้นไม้อากาศก็จะร้อน ดังนั้นจึงอยากให้พวกเราช่วยกันอนุรักษ์เพราะอยากให้ในหลวงท่านมาเห็นว่าบ้านของเรายังอุดมสมบูรณ์อยู่

    นี่เป็นคำบอกเล่าของ 2 เด็กน้อยในโครงการ 84 พรรษา 84 โรงเรียนทำดีถวายในหลวงที่มูลนิธิรักษ์ไทยจัดทำขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เจริญพระชนมายุครบ 84 พรรษาในปี 2554 โดยเปิดโอกาสให้โรงเรียนในถิ่นห่างไกลทุรกันดารทั่วประเทศ ได้แก่ โรงเรียนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ พื้นที่ชายแดนของภาคอีสาน และหมู่บ้านบนภูเขาในภาคเหนือ ซึ่งโรงเรียนบ้านสามสบเป็นหนึ่งในโรงเรียนที่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการดังกล่าว

    ดิเรก เครือจินลิ ผู้ประสานงานโครงการในพื้นที่ภาคเหนือ อธิบายถึงแนวคิดของโครงการ 84 พรรษา ว่า โครงการนี้เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กแต่ละคนสร้างความฝันของตนเองให้เป็นจริงโดยทางมูลนิธิ จะพยายามสร้างเวทีแห่งการเรียนรู้ให้กับเด็กๆ ได้เรียนรู้นอกห้องเรียน ให้เขาได้เสนอโครงการเข้ามาว่าต้องการทำอะไร พัฒนาอะไร หลังจากที่ได้ไปสำรวจชุมชนของตนเองแล้วซึ่งเด็กๆที่นี่ได้เสนอโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เนื่องจากพวกเขาสำรวจพบว่ามีการทิ้งขวดสารเคมีลงแหล่งน้ำ

    ดังนั้น ปฏิบัติการทำความดีถวายในหลวงกับภารกิจ “นักสืบสายน้ำ” จึงเริ่มต้นขึ้น 4 เดือนให้หลัง นับแต่เริ่มโครงการเมื่อเดือนสิงหาคม 2553 น้องอั๋น เล่าถึงผลที่ได้รับว่า มีการตอบรับที่ดีโดยชาวชุมชนที่นี่ไม่นำเอาถุงอาหาร ขวดสารเคมีทิ้งลงแหล่งน้ำเพราะจะเป็นการทำลายแหล่งต้นน้ำเนื่องจากที่นี้มีแม่น้ำสามสายไหลมาบรรจบกันจึงได้ชื่อว่า “สามสบ” โดยพวกตนได้แนะนำให้นำไปฝังกลบ และได้พยายามอธิบายให้เขาเข้าใจว่าธรรมชาติบ้านเราอุดมสมบูรณ์ มีสัตว์ป่าเยอะการทิ้งพวกนี้เป็นการทำร้ายป่า ถ้าเราตัดไม้จะทำให้เกิดภาวะโลกร้อน น้ำไหลแรง ไม่มีสัตว์ป่ามาอยู่อาศัยจึงอยากให้ช่วยกันอนุรักษ์


    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD height=1 vAlign=bottom width=1 align=right>[​IMG]</TD><TD height=1 vAlign=bottom background=/images/linedot_hori.gif align=middle>[​IMG]</TD><TD height=1 vAlign=bottom width=1 align=left>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=center background=/images/linedot_vert.gif width=1 align=middle>[​IMG]</TD><TD><TABLE border=0 cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=center background=/images/linedot_vert.gif width=1 align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD height=1 vAlign=top width=1 align=right>[​IMG]</TD><TD height=1 vAlign=top background=/images/linedot_hori.gif align=middle>[​IMG]</TD><TD height=1 vAlign=top width=1 align=left>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>เด็กๆกับภารกิจนักสืบสายน้ำ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    “ไม่อยากให้ชาวบ้านทำร้ายป่า ให้ช่วยอนุรักษ์ป่า ถ้าเราตัดไม้ทำลายป่าก็จะมีภาวะโลกร้อน น้ำไหลแรง ไม่มีพวกสัตว์มาอยู่อาศัย ข้างล่างเดือดร้อน น้ำไม่ค่อยจะมี น้ำไม้ค่อยจะไหล” นี่เป็นเสียงบอกเล่าด้วยคำพูดพาซื่อของน้องอั๋น เด็กชายขอบที่คนเมืองต่างเรียกขาน...

    เมื่อหว่านเมล็ดจนเจริญงอกงามในใจเด็กผลผลิตที่ได้จากการเปิดโอกาสให้กลุ่มเด็กบนดอยเหล่านี้ได้คิด ได้ทำ ได้สร้างจิตสำนึกเพื่อชุมชน จนนำมาสู่ความใฝ่ฝันในอนาคตของเด็กทั้งสองที่บอกว่า “หนูอยากเป็นป่าไม้” “ผมอยากเป็นครูสอนธรรมชาติ” เพื่อสานต่อการอนุรักษ์แหล่งต้นน้ำอย่างยั่งยืนต่อไป

    ท้ายที่สุด เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2553 ทั้งคู่ได้กล่าวถวายพระพรในหลวง โดย น้องเผือก กล่าวว่า “ขอให้ในหลวงมีความสุข” ขณะที่ น้องอั๋น กล่าวว่า “อยากให้ในหลวงมีแต่ความสุข มีอายุยืนนาน ให้ในหลวงอยู่กับเรานานๆ”

    โดย..รัชญา จันทะรัง


    Quality of Life - Manager Online - ��Шͻ�..����ѡ����ǧ
     
  10. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
  11. ไก่เหลืองหางขาว

    ไก่เหลืองหางขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +493
    ขออนุโมทนาด้วยคนครับ

    อยากทราบว่าทำไมถึงต้องมีพระปางนาคปรกด้วยน่ะครับ
     
  12. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434

    ไม่รู้ว่าคุณป่าไผ่จะเข้ามาตอบได้ไหม

    เท่าที่ทราบมาพระพุทธรูปที่สมเด็จพระนเรศวรทรงสร้างไว้จะมีสองปาง

    ๑ ปางมารวิชัย

    - พระพุทธสักชัยไพรีพินาศ วัดบูรพาราม จังหวัดเชียงใหม่

    - พระพุทธอุ่นเมือง วัดน้ำฮู เชียงราย

    - พระพุทธไตรรัตนนายก(นักวิชาการบางคนเชื่อว่าพระนเรศวรทรงสร้าง อ้างอิงเอกสารต่างชาติของนาย Jacque de Crute ชาวเฟลมิช) วัดพนัญเชิง อยุธยา

    - พระพุทธชินราช(ความเชื่อของนักวิชาการบางคนเช่นกันว่าสร้างโดยพระองค์จากชื่อที่กล่าวว่า ชินะ แปลว่่า ชนะ รวมกับ ราชะ คือพระราชา แปลโดยรวมว่า พระราชาผู้ชนะ) พิษณุโลก

    - ส่วนพระพิมพ์ขุนแผนบ้านกร่าง ปางมารวิชัย

    ๒ ปางนาคปรก

    - หลวงพ่อทอง วัดทอง อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา

    - พระทองประจำพระบรมโกศใต้พระปรางค์วัดวรเชษฐ์ (นอกเกาะ) ถ้ามีจริง รอกรมศิลปากรมาเปิดพิสูจน์นะคะ ถ้ามีจริง ก็อาจจะจัดสร้างตั้งแต่ทรงมีพระชนม์อยู่ เพราะอาจจะเป็นปางประจำพระชนมวาร แต่ก็อาจจะจัดสร้างภายหลังเพื่องานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพ่อเจ้าท่านก็ได้ค่ะ




     
  13. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    คำปฏิญาณตน เพื่อในหลวง?


    หากท่านผู้ใดสนใจ คลิกเข้าไปอ่านได้ที่นี่ครับ

    http://www.thaipost.net/news/041210/31029
     
  14. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    เรื่องเล่า"พระอารมณ์ขัน"ของพ่อ



    มงคลวัน "อีกวันหนึ่ง" ต่อจากวานนี้ ท่านจะตักบาตรพระตอนเช้า ตกเย็นอาบน้ำ-อาบท่า ทานข้าวทานปลาแล้วชวนลูกหลานไปเดินดูไฟ "วันเฉลิมพระชนมพรรษา" ที่ถนนราชดำเนิน หรือจะไปเดินรอบๆ วังสวนจิตรลดา ดื่มด่ำกับพระราชจริยวัตรผ่านภาพถ่ายที่เขาจัดเป็น "นิทรรศการภาพถ่ายข้างบ้านพ่อ" ที่ด้านถนนราชวิถี แล้วถ่ายรูปกับครอบครัวเก็บไว้เป็นที่ระลึก ก็ไปกันนะครับ ไปเที่ยวงาน "วันพ่อของเรา"
    แต่ก่อนจะได้เวลาออกจากบ้าน มาอ่านเรื่องเล่าเกี่ยวกับ "พระอารมณ์ขัน" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต่อจากวานนี้กันก่อนดีกว่า เป็นการเติมปุ๋ยความสุขช่วงในวันพิเศษ ก็ต้องย้ำว่า มีผู้เมล์มาให้ผมอ่านบ่อยๆ ก็เลยเก็บๆ ไว้ ไม่ได้เล่าเอง-ฟังมาเอง เข้าใจว่าผู้นำมาเผยแพร่คงคัดจากหนังสือ ฟังจากผู้ถวายงานใกล้ชิดนำมาเล่าสู่กันฟังด้วยความเทิดทูนในพระองค์อีกต่อหนึ่ง
    อ่านแล้วเป็นสุข อ่านแล้วไม่รู้เบื่อ ยิ่งอ่านยิ่งรักในหลวงของเรา ฉะนั้น ก็เอามาให้อ่านกันต่อจากวาน ความจริงยังไม่หมด แต่ด้วยจำกัดในเนื้อที่ ก็ลอกเอามาได้เท่าที่จะได้นี่แหละครับ
    คล่องราชาศัพท์
    อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสาน เมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่ง คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายต่างก็แปลกใจในการกราบบังคมทูลที่คล่องแคล่ว และใช้ราชาศัพท์ได้ดีอย่างน่าฉงนของราษฎรผู้นั้น เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้ จึงมีคำกราบทูลว่า
    "ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่า บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวน พระพุทธเจ้าข้า.."
    มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน ก็ตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว.. พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า
    "มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว"
    เรื่องนี้ ดร.สุเมธเล่าว่า เป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะ ไม่ยกเว้นแม้แต่ในหลวง
    ชื่อเดียวกัน
    เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับในหลวง ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดิน เพราะเรียนมาตั้งแต่เล็กแต่ไม่เคยได้ใช้ เมื่อออกงานใหญ่จึงตื่นเต้นประหม่า ซึ่งเป็นธรรมดาของคนทั่วไป และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน หรือกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทในพระราชานุกิจต่างๆ นานัปการ
    ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ รองราชเลขาธิการ เคยเล่าให้ฟังว่า ด้วยพระบุญญาธิการและพระบารมีในพระองค์นั้นมีมากล้น จนบางคนถึงกับไม่อาจระงับอาการกิริยาประหม่ายามกราบบังคมทูล จึงมีผิดพลาดเสมอ แม้จะซักซ้อมมาเป็นอย่างดีก็ตาม ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน มีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงานว่า
    "ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า พลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลรายงาน ฯลฯ"
    เมื่อจบคำกราบบังคมทูล ในหลวงทรงแย้มพระสรวลอย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า "เออ ดี เราชื่อเดียวกัน.. ." ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าฯ ต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัย เพราะผู้กราบบังคมทูลรายงานตื่นเต้น จนกระทั่งจำชื่อตนเองไม่ได้
    รับปริญญาสองครั้ง
    เมื่อวันที่ 28 พ.ย.2528 เป็นวันสุดท้ายของพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของบัณฑิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในวันนั้นเกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับทั่วประเทศในตอนบ่าย เป็นผลให้บัณฑิต 6 คน ที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในช่วงนั้นหมดโอกาสที่จะถ่ายภาพตอนเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์ไว้เป็นที่ระลึก
    แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อเสร็จพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสรับสั่งกับอาจารย์ที่หมอบถวายปริญญาอยู่ข้างๆ ที่ประทับว่า.. ให้ไปตามบัณฑิต 5-6 คนนั้นขึ้นมารับปริญญาใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะได้ถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก ยังความตื้นตันให้กับนิสิตและคณาจารย์กันทั่วทั้งหอประชุม
    หมึกไม่ออก
    ผู้ช่วยศาสตราจารย์อนงค์รัตน์ สุขุม เล่าว่า วันที่ 19 กรกฎาคม 2526 เป็นวันพระราชทานปริญญาบัตรที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่นายกสโมสรอาจารย์จะเป็นผู้ดูแลถวายปากกาให้ทรงลงประปรมาภิไธย แต่ในปีนั้น ดิฉันในฐานะอุปนายกสโมสรอาจารย์ได้รับหน้าที่นี้แทน ก่อนจะเสด็จพระราชดำเนินมา เราก็ดูแลความเรียบร้อยทุกอย่าง อย่างระมัดระวังที่สุด โดยเฉพาะปากกาลองกันหลายครั้งจนมั่นใจว่าไม่มีปัญหาแน่
    พอเสด็จฯ มาถึง ท่านก็ทรงลงประปรมาภิไธย ปรากฏว่าทรงจรดปากกาลงไปแล้วแต่ไม่มีหมึกออกมา เราก็ตกใจมากเลย ไม่รู้จะทำยังไงดี นึกในใจว่าเป็นความบกพร่องของเราแน่ๆ ลองมากไปจนหมึกหมด ดิฉันก็เลยถวายกระดาษทิชชูเปล่าๆ ที่อยู่ในมือให้ท่าน เพื่อจะให้ท่านทรงเช็ดปากกา แต่ท่านทรงพระเมตตามากเลย สีพระพักตร์ที่ท่านมองดิฉันเหมือนกับจะตรัสว่า "ไม่ต้องตกใจ" แล้วก็ทรงนำปากกามาลองที่มือดิฉันที่มีกระดาษทิชชู ปรากฏว่าหมึกออก จากนั้นก็ทรงหันไปลงพระปรมาภิไธยในสมุด
    พอท่านเสด็จพระราชดำเนินไปแล้ว ทุกคนก็รีบเข้ามาดูกระดาษที่ทรงลองปากกาแผ่นนั้นกันใหญ่ ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล วิรุฬห์รักษ์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งคณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ บอกว่า "พี่ๆ ขอหน่อยเถอะพี่ จะเอาไปเป็นมงคล" ก็เลยแบ่งให้อาจารย์ไปส่วนหนึ่ง
    ซุ้มสำหรับในหลวง
    ระยะแรกราวปี พ.ศ.2498 เป็นต้นมา คราใดที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับ ณ วังไกลกังวลนั้น จะทรงขับรถยนต์พระที่นั่งไปยังท้องที่ห่างไกลทุรกันดารย่านหัวหิน หนองพลับแก่งกระจาน ด้วยพระองค์เอง ทำนองเสด็จประพาสต้นของรัชกาลที่ห้า โดยที่ราษฎรไม่รู้ตัวล่วงหน้าว่าทรงมาถึงแล้ว
    วันหนึ่งทรงขับรถยนต์พระที่นั่งผ่านไปถึงยังบริเวณหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ย่านหมู่บ้านห้วยมงคล อำเภอหัวหิน ซึ่งราษฎรกำลังช่วยกันตบแต่งประดับซุ้มรับเสด็จกันอย่างสนุกสนานครื้นเครง และไม่คาดคิดว่าเป็นรถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์ ต้องให้ในหลวงเสด็จฯ ก่อนแล้วพรุ่งนี้ถึงจะลอดผ่านซุ้มได้..
    "วันนี้ห้ามลอดผ่านซุ้มนี้ เพราะขอให้ในหลวงผ่านก่อนนะ"
    ทรงขับรถพระที่นั่งเบี่ยงข้างทางไม่ลอดซุ้มดังกล่าว
    วันรุ่งขึ้นเมื่อทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในหมู่บ้านนี้อย่างเป็นทางการพร้อมคณะข้าราชบริพารผู้ติดตาม และมีพระราชดำรัสทักทายกับชายผู้นั้นที่เฝ้าอยู่หน้าซุ้มเมื่อวันวานว่า
    "วันนี้ฉันเป็นในหลวง..คงผ่านซุ้มนี้ได้แล้วนะ.."
    จะให้เป็นช่างจริง
    มีเรื่องนึงเคยฟังจากผู้ใหญ่เล่าเมื่อนานมาแล้ว มีช่างไปทำฝ้าเพดานในวัง คนนึงกำลังยืนบนบันได ส่วนหัวอยู่ใต้ฝ้า อีกคนคอยจับบันไดอยู่ด้านล่าง พอดีในหลวงทรงพระดำเนินผ่านมา คนที่อยู่ข้างล่างเห็นในหลวงก็ก้มลงกราบ คนอยู่ด้านบนไม่เห็น ก็บอกว่า "เฮ้ย จับดีๆ หน่อยสิ อย่าให้แกว่ง"
    ในหลวงทรงจับบันไดให้ เค้าก็บอกว่า "เออ ดีๆ เสร็จงานนี้จะให้เป็นช่างจริง" (สงสัยคงจะเพิ่งเข้ามาทำงานยังไม่ผ่านโปร) พอเสร็จก็ก้าวลง พอเห็นว่าในหลวงทรงเป็นคนจับบันไดให้ ถึงกับเข่าอ่อน จะตกบันได รีบลงมาก้มกราบ ในหลวงตรัสกับช่างว่า
    "แหม ดีนะที่ชมว่าใช้ได้ แถมจะปรับตำแหน่งให้เป็นช่างอีกด้วย"
    "สามร้อยตุ่ม"
    มีหลายหนที่ทรงงานติดพันจนมืดสนิท ท่ามกลางฝูงยุงที่รุมตอมเข้ามากัดบริเวณพระวรกาย รอบพระศอ พระกร พระพักตร์ รวมทั้งแมลงต่างๆ ที่เข้ามารุมรบกวนพระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะยังทอดพระเนตรแผนที่ อยู่ภายใต้แสงไฟฉายที่มีผู้ส่องถวายอย่างไม่สะดุ้งสะเทือน อย่างมากที่ทรงทำคือโบกพระหัตถ์ปัดไล่เบาๆ เท่านั้น
    ครั้งหนึ่งมีรับสั่งเล่าเรื่อง "ยุง" ด้วยพระอารมณ์ขันว่า
    "..ที่บางจาก แต่ไม่มีจากหรอกนะ ยุงชุมมากเลย ไปยืนดูแผนที่ เลยโดนยุงรุมกัดขาทั้งสองข้าง กลับมาขาบวมแดง ไปสกลนครกลับมาแล้วถึงได้ยุบลง มองเห็นเป็นตุ่มแดง ลองนับดูได้ข้างละร้อยห้าสิบตุ่ม สองข้างรวมสามร้อยพอดี"
    "เหตุใดจึงไม่โปรดเสวยปลานิล"
    มีใจความว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่โปรดเสวยปลานิล ทุกครั้งที่มีผู้นำปลานิลไปตั้งเครื่องเสวย จะโบกพระหัตถ์ให้ย้ายไปไว้ที่อื่น โดยไม่รับสั่งอะไรเลย
    จนวันหนึ่งมีผู้กล้าหาญชาญชัยกราบบังคมทูลถามว่า เพราะเหตุใดจึงไม่โปรดเสวยปลานิล มีรับสั่งว่า
    "ก็เลี้ยงมันมาเหมือนลูก แล้วจะกินมันได้อย่างไร"
    เรื่องนี้มีตำนาน เชิญอ่าน......
    20 ปีก่อน ราวพุทธศักราช 2524 แรกครั้งพระจักรพรรดิอากิฮิโต แห่งญี่ปุ่น ยังทรงฐานันดรศักดิ์เป็นมกุฎราชกุมาร ได้ทรงส่งปลานิลทางเครื่องบินจำนวน 100 ตัวมาทูลเกล้าฯ ถวายในหลวง ปรากฏว่าเมื่อเดินทางมาถึงเมืองไทย ปลาตายเกือบหมด เหลือรอดแบบใกล้ตายเพียง 10 ตัว
    ในหลวงทรงเป็นห่วงเป็นใยปลานิลเหล่านี้ จึงมีพระราชกระแสรับสั่งให้นำไปไว้ในพระที่นั่ง ทรงเลี้ยงอย่างประคบประหงม ให้อาหารด้วยพระองค์เอง จนปลานิลทั้ง 10 ตัวรอดชีวิต
    แล้วปลานิลทั้ง 10 ตัว ได้สนองพระเดชพระคุณแพร่พันธุ์ไปอีกมากมาย ตามพระราชประสงค์เป็นอาหารคนไทย 62 ล้านคน มาจนถึงทุกวันนี้ (คัดลอกจาก สาระแนดอทคอม)
    เคยมีคนต่างชาติสงสัยว่า "ทำไมคนไทยรักในหลวง"
    คำตอบคือ ......."คุณมีเวลามากพอที่จะฟังหรือเปล่า "?

    คัดลอกจาก : http://www.thaipost.net/news/041210/31035
     
  15. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1257233/[/MUSIC]

    วันเฉลิมพระชนม์พรรษาปีนี้คนไทยมีความสุขขึ้นมาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพลานามัยแข็งแรงขึ้น ได้เห็นพระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดคลองลัดโพธิ์และสะพานภูมิพลทางทีวี รู้สึกดีใจเป็นล้นพ้นที่พระองค์ท่านทรงแจ่มใสและแข็งแรง

    ทรงพระเจริญ

    ทรงพระเจริญ

    ทรงพระเจริญ

    ทรงพระเจริญ

    ทรงพระเจริญ
     
  16. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เกร็ดพงศาวดารไท เจ้าขรัวมณีจันทร์

    [​IMG][​IMG]

    หาเจอแต่ปกหนังสือแต่ไม่เจอหนังสือ น่าหามาอ่านนะคะ คิดว่าน่าจะมีพระราชประวัติของพระนางในหนังสือเล่มนี้บ้าง


    รายละเอียด: ผลงานของ ศรีกาญจา
    ประเภทปก แข็ง
    กระดาษ ธรรมดา
    พิมพ์ครั้งที่ 1
    ปีที่พิมพ์ พ.ศ.2472
    สำนักพิมพ์ หลักเมือง
    จำนวนหน้า 243 หน้า
    ขนาด 125x185 มม.
    ราคาจำหน่าย ๗๕ สตางค์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ธันวาคม 2010
  17. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ปวดศีรษะตั้งแต่วันศุกร์ แบบปวดทั่วทั้งศีรษะ ตั้งแต่วันศุกร์ จนต้องงดไปธุระต่างจังหวัด ตอนนี้เบาอาการแล้ว แต่จะไปสวดมนต์ที่วัดวรเชษฐ์ จะไปขอพรท่านให้หายจากโรคด้วย สวดมนต์ถวายในหลวงด้วย ที่วัดวรเชษฐ์พลังงานจักรวาลเยอะ ถ้ามีโอกาศเชิญไปขออธิษฐานขอพรจากพระองค์ท่านกันนะคะ


    เจอกันที่วัดวรเชษฐ์ เพื่อสวดมนต์เย็นถวายในหลวง เย็นนี้ค่ะ
     
  18. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เมื่อคืนอัญเชิญเทพ พรหมสถิตย์ ถ่ายรูปติดดวงธรรมเต็มไปหมดเลย แต่ว่าอยู่กล้องคุณรุ้ง (buddy ธรรม) เอาน้ำมันงาบริสุทธิ์ 100% หนึ่งขวดไปเข้าพิธีด้วย อัญเชิญพลังแห่งเทพเทวดาสถิตย์ในน้ำมันงา จะใช้เป็นยาทั้งกินและทา พอดึกๆ ขึ้นไปล้อมพระปรางค์เพื่อให้หลวงพ่อวัลลภสวดมหาสติงหลวง สวดไปมีผู้สวดแปลด้วย ดิฉันตั้งใจสวด แต่ร่างกายไม่ไหวนอนหลับอยู่หน้าพระปรางค์ด้านตะวันออกนั่นแหละ 555555 เมื่อคืนกลับถึงบางบัวทอง ตีสาม ไปหาข้าวต้มรอบดึกรับประทานบนถนนบางกรวย-ไทรน้อย แล้วเข้าบ้านตอนตีสามครึ่ง

    เมื่อเช้าได้อัญเชิญน้ำมันงาดำพลังเทวดา มารักษาหัวเข่า เพราะเมื่อคืนเท้าพลิกตอนเดินลงจากฐานพระปรางค์ ทาปุ๊บหายปวดปั๊บ อัศจรรย์ หายจริงๆ สาธุ สาธุ สาธุ ได้น้ำมันงาดำเป็นยาเทวดาเป็นของตนเองหนึ่งขวด กราบพระบาทสมเด็จพ่อพระนเรศ และทุกๆพระองค์ที่ทรงสถิตย์ ณ สถานที่แห่งนั้น ที่ทรงเมตตารักษาผู้จงรักภักดี ขอพระญานบารมีสูงส่งหาที่สุดมิได้พระเจ้าข้า สาธุ สาธุ สาธุ
     
  19. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ประวัติวัดสุดสวาสดิ์




    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=verdana10 colSpan=2>หลักฐานอ้างอิงในการเรียบเรียง



    </TD><TD background=../../per_3_files/line-right.gif></TD></TR><TR><TD background=../../per_3_files/line-left.gif></TD><TD class=verdana10 width="8%">


    </TD><TD class=verdana10 width="76%">1.เรื่องตำนานเมืองพิษณุโลก เขียนโดยหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ เมื่อพุทธศักราช 2496</TD><TD background=../../per_3_files/line-right.gif></TD></TR><TR><TD background=../../per_3_files/line-left.gif></TD><TD class=verdana10>


    </TD><TD class=verdana10>2.หนังสือศิลปากรของกรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ ปี 38 ฉบับที่ 2 มีนาคม 2538 ความเป็นมา ตามประวัติศาสตร์</TD><TD background=../../per_3_files/line-right.gif></TD></TR><TR><TD background=../../per_3_files/line-left.gif></TD><TD class=verdana10 colSpan=2>เมืองพิษณุโลกที่อ้างอิง วัดสุดสวาสดิ์เป็นวัดประจำสมัย สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จเอกาทศรถ เช่นเดียวกับ วัดวิหารทอง วัดศรีสุคต ซึ่งอยู่บริเวณพระราชวังจันทร์


    </TD><TD background=../../per_3_files/line-right.gif></TD></TR><TR><TD background=../../per_3_files/line-left.gif></TD><TD class=verdana10 colSpan=2>ครั้งเสด็จไปอยู่เป็นพระบุตรบุญธรรมของพระเจ้าบุเรงนอง ขณะรอพระยายมราช ทหารคู่ พระทัย ซึ่งออกเดินทางจากเมืองยมราช ปัจจุบันมีวัดยมราชเป็นหลักฐานสำคัญอยู่ตำบลบ้านกร่าง ทางกรมศิลปากรกำลังขุดค้นโบราณ วัตถุขณะนี้ พระองค์เสี่ยงทายไก่เหลืองหางขาว ไก่คู่พระทัยที่วัดไก่เขี่ย ซึ่งอยู่รัศมีเดียวกันกับวัดสุดสวาสดิ์ สามกษัตริย์พี่น้องล่ำลากัน


    </TD><TD background=../../per_3_files/line-right.gif></TD></TR><TR><TD background=../../per_3_files/line-left.gif></TD><TD class=verdana10 colSpan=2></TD><TD background=../../per_3_files/line-right.gif></TD></TR><TR><TD background=../../per_3_files/line-left.gif></TD><TD class=verdana10 colSpan=2>

    </TD><TD background=../../per_3_files/line-right.gif></TD></TR><TR><TD background=../../per_3_files/line-left.gif></TD><TD class=verdana10 colSpan=2>ที่วัดสุดสวาสดิ์แห่งนี้ และอีกครั้งหนึ่งพระสุพรรณกัลยาณีเสด็จไปอยู่พม่าก็ทรงมาอำลากับพระเอกาทศรถแห่งนี้ เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้เสด็จกลับประเทศไทย พระองค์ทรงสร้างอนุสรณ์สถาน ความรักต่อพระพี่นางเธอสุพรรณกัลยาณี และสร้างวัดไก่เขี่ยคู่กัน </TD><TD background=../../per_3_files/line-right.gif></TD></TR><TR><TD background=../../per_3_files/line-left.gif></TD><TD class=verdana10 colSpan=2>


    </TD><TD background=../../per_3_files/line-right.gif></TD></TR><TR><TD background=../../per_3_files/line-left.gif></TD><TD class=verdana10>


    </TD><TD class=verdana10>จากการขุดค้น โบราณสถานในบริเวณนี้นั้น นับเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์สำคัญของจังหวัดพิษณุโลกได้ รวมทั้งพระพิมพ์นางพญากรุบางแก ซึ่งคาดว่าได้สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระพี่นางเธอสุพรรณกัลยาณี</TD><TD background=../../per_3_files/line-right.gif></TD></TR><TR><TD background=../../per_3_files/line-left.gif></TD><TD class=verdana10 colSpan=2>



    </TD><TD background=../../per_3_files/line-right.gif></TD></TR><TR><TD background=../../per_3_files/line-left.gif></TD><TD class=verdana10>


    </TD><TD class=verdana10>มีที่ตั้ง ตามเขตปกครองปัจจุบัน ตั้ง ณ.บ้านบางสะแก หมู่ที่ 3 ตำบลบ้านคลอง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก อยู่เหนือ


    </TD><TD background=../../per_3_files/line-right.gif></TD></TR><TR><TD background=../../per_3_files/line-left.gif></TD><TD class=verdana10 colSpan=2>ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทางฝั่งทิศตะวันตกของแม่น้ำน่าน ประมาณ 500 เมตร และห่างจากตัวเมืองจังหวัดพิษณุโลก ประมาณ



    </TD><TD background=../../per_3_files/line-right.gif></TD></TR><TR><TD background=../../per_3_files/line-left.gif></TD><TD class=verdana10 colSpan=2>3 กิโลเมตร จากการเวลาที่ผ่านมา วัดสุดสวาสดิ์ เป็นวัดร้างอยู่ในสภาพทรุดโทรมเหลือร่องรอยเพียงเนินดิน แผ่นอิฐโบราณซากเจดีย์เก่า



    </TD><TD background=../../per_3_files/line-right.gif></TD></TR><TR><TD background=../../per_3_files/line-left.gif></TD><TD class=verdana10 colSpan=2>และต้นโพธิ์เท่านั้นที่แสดงว่าเคยเป็นวัด ตลอดจนพื้นที่วัดดังกล่าวกลายเป็นสวน ทุ่งนา และบ้านเรือนราษฎรไปตามยุคสมัย



    </TD><TD background=../../per_3_files/line-right.gif></TD></TR><TR><TD background=../../per_3_files/line-left.gif></TD><TD class=verdana10>


    </TD><TD class=verdana10>สภาพปัจจุบัน วัดสุดสวาสดิ์ มิได้เป็นวัดร้างดังเช่นแต่ก่อนอีกแล้ว เพราะชาวบ้านบางสะแกและบุคคลในตระกูล อมรวิวัฒน์ ได้ </TD><TD background=../../per_3_files/line-right.gif></TD></TR><TR><TD background=../../per_3_files/line-left.gif></TD><TD class=verdana10 colSpan=2>
    ร่วมใจกันพัฒนาก่อสร้างและบูรณะปฎิสังขรณ์เสนาสนะวัตถุ เจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ กรมศาสนา โดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม





    </TD><TD background=../../per_3_files/line-right.gif></TD></TR><TR><TD background=../../per_3_files/line-left.gif></TD><TD class=verdana10 colSpan=2>จึงประกาศยกวัดสุดสวาสดิ์ขึ้นเป็นวัด มีพระภิกษุอยู่จำพรรษา ณ. วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ.2513 เป็นต้นมา โดยมีพระครูประภัศร์โสตถิคุณ</TD><TD background=../../per_3_files/line-right.gif></TD></TR><TR><TD background=../../per_3_files/line-left.gif></TD><TD class=verdana10 colSpan=2>เป็นเจ้าอาวาสวัดสุดสวาสดิ์ จนถึงปัจจุบันนี้ </TD><TD background=../../per_3_files/line-right.gif></TD></TR><TR><TD background=../../per_3_files/line-left.gif></TD><TD class=verdana10 colSpan=2>
    </TD><TD background=../../per_3_files/line-right.gif></TD></TR><TR><TD background=../../per_3_files/line-left.gif></TD><TD class=verdana10 colSpan=2>ค้นคว้าข้อมูลโดยทีมปฎิบัติการของหมู่ที่ 3

    </TD><TD background=../../per_3_files/line-right.gif></TD></TR><TR><TD background=../../per_3_files/line-left.gif></TD><TD class=verdana10 colSpan=2>ท่านผู้ใหญ่ พรายรน ศรีเมือง

    </TD><TD background=../../per_3_files/line-right.gif></TD></TR><TR><TD background=../../per_3_files/line-left.gif></TD><TD class=verdana10 colSpan=2>ท่านผู้ช่วย เดชา พิมพาภรณ์ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=5 width="100%" height=485><TBODY><TR><TD height=190 vAlign=top width="98%"></TD><TD vAlign=top width="2%"></TD></TR><TR><TD height=126 vAlign=top colSpan=2 align=left>
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=5 width=330 bgColor=#999999 height=277><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff>
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width=315 bgColor=#999999 align=center height=244><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

     
  20. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,897
    ค่าพลัง:
    +6,434
    วัดไก่เขี่ย พิษณุโลก

    [​IMG]
    เป็นวัดประจำสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค์ทรงเสี่ยงทายไก่เหลืองหางที่วัดสุดสวาสดิ์ และเมื่อครั้งเสด็จกลับจากพม่า พระองค์ทรงสร้างอนุสรณ์สถาน ความรักที่มีต่อพระพี่นางฯ และสร้างวัดไก่เขี่ยด้วย
     

แชร์หน้านี้

Loading...