จริงหรือไม่ ?ที่ในดวงจันทร์อีกด้านมีสิ่งนี้!!

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เสขะปฎิสัมภิทา, 13 พฤษภาคม 2015.

  1. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    Apollo program - Wikipedia, the free encyclopedia


    สถิติการเดินทางคร่าวๆ
    Apollo เป็นโครงการที่ตั้งใจจะส่งมนุษย์ไปเหยีบดวงจันทร์ครับ ซึ่งนับเป็นโครงการส่งมนุษย์ไปยังอวกาศโครงการที่3 หลังจาก
    - โปรแกรม Mercury (1959-1963) ส่ง 1 คน วนรอบวงโคจรโลก (ช้ากว่า ยูริ กาการิน จากโซเวียตไปหนึ่งเดือน)
    - โปรแกรม Gemini (1962-1966) ส่ง 2 คน วนรอบวงโคจรโลก ทำการศึกษาเรื่องระบบยังชีพในอวกาศ ชุดอวกาศ การทำภารกิจในอวกาศ การใช้ ชีวิตอยู่ในอวกาศเป็นระยะเวลานาน ฯลฯ ซึ่งเป็นพื้นฐานให้โครงการ Apollo
    - โปรแกรม Apollo ส่ง 3 คน มีเป้าหมายในการไปยังดวงจันทร์และนำคนเหล่านั้นกลับมายังโลกโดยปลอดภัย

    โครงการ Apollo เริ่มนับตั้งแต่ Apollo 4 เป็นต้นไป Apollo 1-3 นั้นไม่มี เพราะว่า ตอนเริ่มต้นทดสอบยานที่จะส่งคนไปดวงจันทร์สามครั้งแรกนั้นใช้ชื่อรหัสว่า AS-201, AS-203 และ AS-202 ตามลำดับ เป็นการทดสอบ Command/Service Module (CSM) (คือส่วนที่นักบินอวกาศจะอยู่ระหว่างการเดินทางไปดวงจันทร์น่ะแหละ) และ จรวด Saturn IB (ยังไม่ใช่ Saturn V หรือ Saturn five ที่คุ้นหูกันดี) ว่ามีการทำงานเป็นยังไงแรงพอมั้ย เครื่องดับแล้วติดใหม่ได้รึเปล่า รับน้ำหนักไหวมั้ย ฯลฯ เป็นต้น

    หลังจากได้ทดสอบจนพอใจแล้วต่อไปก็เป็นคิวของ AS-204 ซึ่งจะเป็นภารกิจแรกของ Apollo ที่จะมีนักบินอวกาศขึ้นไปจริงๆ นักบินเหล่านั้นจึงพากันตั้งชื่อเล่นให้ภารกิจของตนว่า Apollo 1 แล้วเป็นยังไงเหรอครับ...ย่างสด

    เหตุเกิดตอนเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยจริง เป็นการซ่อมเพื่อทดสอบระบบว่าการทำงานของ CSM ทำงานได้ดีหรือไม่หากไม่มีการเชื่อมต่อกับสถานีภาคพื้นโดยสายสัญญาณ คือ อยากรู้ว่าการรับส่งข้อมูลยังดีอยู่มั้ยตอนก่อนส่ง ไม่ใช่ถอดสายสัญญาณปุ้ปวิทยุไม่ทำงาน งานก็ล่มพอดี ทีนี้พอนักบินเข้าประจำที่ทั้งสามคนและเริ่มเชื้อเพลิงเข้าสู่จรวด ในส่วนที่นักบินนั่งอยู่อัดออกซิเจนเต็มเหนี่ยว 100% เพราะกลัวจะเกิดอาการมีฟองไนโตรเจนในเลือด (เรียกว่าอาการ Bend) ปรากฏว่า แก็สรั่ว! และในบรรยากาศที่มีแต่ออกซิเจนบริสุทธิ์ จึงไม่สามารถดับไฟได้ ต้องรอคนข้างนอกมาเปิด ซึ่งใช้เวลา 90 นาทีเท่านั้นเอง ภาพที่เห็นก็คือนักบินอวกาศ 1 คนพยายามเปิดฝาครอบ อีกคน กำลังติดต่อสถานีภาคพื้น อีกคนพยายามดับไฟ ทำไมน่ะเหรอ? เพราะพวกเค้าทำตามสิ่งที่เค้าต้องทำที่เขียนไว้ในคู่มือเมื่อมีเหตุฉุกเฉินจนวินาทีสุดท้ายที่เค้ามีชีวิตอยู่ไงเล่า

    สุดท้ายแล้ว NASA จึงประกาศว่าภารกิจต่อไปจะเริ่มที่ Apollo 4 โดยนับรวมภารกิจที่ทำไปแล้วสามครั้ง และยกเลิกชื่อ Apollo 1 ตามที่เหล่าแม่หม้ายของนักบินที่เสียชีวิตร้องขอ เพื่อเป็นเกียรติแก่เขาเหล่านั้น หลังจากเหตุการณ์นี้ได้มีการตรวจสอบและเปลี่ยนแปลงกันยกใหญ่ ทำให้ภารกิจต่อๆไปล่าช้า แต่ก็มีการปรับปรุงการออกแบบยานอวกาศและชุดอวกาศใหม่ รวมถึงใช้"อากาศธรรมดา"ในห้องนักบิน

    ต่อไปก็ไม่มีไรมาก

    - Apollo 4 ถึง Apollo 6 ยังคงเป็นภารกิจแบบไร้นักบิน ทดสอบระบบ และ จรวดใหม่ว่าเหมาะสมกับภารกิจที่มีนักบิน (Man rated) Saturn IB เปลี่ยนชื่อเป็น Saturn V แล้ว

    - Apollo 7 เป็นภารกิจที่มีนักบินครั้งแรกของโครงการ Apollo เป็นภารกิจโคจรรอบโลก หลังจากอุบัติเหตุ Apollo 1 ทำให้เกิดความตึงเครียดอย่างมาก แต่ทุกอย่างก็เป็นไปได้ด้วยดี NASA มั่นใจมากจึงปล่อย Apollo 8 เพียง 2 เดือนหลังจากนั้น

    - Apollo 8 เป็นครั้งแรกที่นักบินอวกาศออกนอกวงโคจรของโลก เพื่อเดินทางไปยังดวงจันทร์โดยใช้เวลา 3 วัน และโคจรรอบดวงจันทร์ 10 รอบ ใน 20 ชั่วโมง และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์มนุษย์โลกที่ได้เห็นว่าโลกมีทรงกลมจริงๆ จากภาพถ่าย Earth rise ที่หลายๆคนเคยเห็น และยังมีการถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์กลับไปยังโลกเนื่องในวันคริสมาสอีกด้วย
    - Apollo 9 เป็นครั้งแรกที่มีการส่งโมดูลที่จะไปยังดวงจันทร์จริงๆ คือมีทั้งส่วนที่นักบินอยู่ (CSM) และส่วนที่ใช้ลงจอดบนดวงจันทร์ (Lander) เพื่อที่จะทำการ ตัดออก และ เชื่อมต่อ ( Dock, undock) ระหว่างโมดูลทั้งสองซึ่งเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการลงจอดบนดวงจันทร์ ทดสอบชุดอวกาศที่ไม่ต้องเชื่อมต่อกับตัวยานอวกาศ (ที่จะใช้บนดวงจันทร์)

    - Apollo 10 ซ้อมลงจอด คือทำเหมือนจะลงจอดทุกอย่าง ยกเว้นการลงจอดจริงๆ เฉียดดวงจันทร์ 15 กิโลเมตรแล้วขึ้นมา

    - Apollo 11 เป็นภารกิจที่น่าจะเคยผ่านตามาบ้าง เพราะสำคัญ เนื่องจากมีการลงจอดจริงๆ (ซักที) นีล อาร์มสรอง และ บัซ อัลดริน ได้ลงไปเหยีบดวงจันทร์สมใจ เคเนดี้ เก็บตัวอย่างหินดวงจันทร์กลับมายังโลกด้วย 21.6 กิโล
    - Apollo 12 ลงจอดอีกครั้ง โกยดินกลับยาน 34.3 กิโล

    - Apollo 13 ที่เคยทำเป็นหนัง เกือบไม่รอดระหว่างทางไปดวงจันทร์เพราะเจออุบัติเหตุอุกาบาตขนาดเล็กชนจนยานอวกาศเสียหาย ไฟฟ้าลัดวงจร ทำให้มีปัญหาเรื่องออกซิเจน พลังงานไม่พอ และยังต้องลุ้นสุดๆว่าจะมีพลังงานให้ร่มชูชีพทำงานตอนจะหล่นลงทะเลมั้ย ยกเลิกการลงจอดและกลับโลกอย่างทุลักทุเล

    - Apollo 14 ลงจอดอีกครั้ง โกยตัวอย่างกลับบ้านมากกว่าเดิม 42.8 กิโล

    Apollo 15 ถึง 17 จะเน้นการอยู่บนพื้นผิวดวงจันทร์เป็นระยะเวลานานและจัดเต็มทางด้านวิทยาศาสตร์มากขึ้น โดยหอบหิ้วอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ไปด้วย แม้แต่คนที่นอนเฝ้ายานอยู่บนวงโคจรรอบดวงจันทร์ก็ยังต้องถ่ายรูปต่างๆ

    - Apollo 15 ลงดวงจันทร์ หิ้วรถไปด้วยหนึ่งคัน เพราะขี้เกียจเดิน (กระโดด มากกว่ามั้ง) หอบดินกลับโลก 77 กิโล อยู่บนดวงจันทร์ 3 วัน ใช้เวลานอกยานไป 18+1/2 ชั่วโมง
    - Apollo 16 อยู่ยาว สามวัน อยู่นอกยานไป 20 ชั่วโมง เอารถไปด้วยเหมือนกัน เอาหินกลับบ้าน 94.5 กิโล

    - Apollo 17 จัดเต็ม อยู่ยาว สามวัน อยู่นอกยานไป 20 ชั่วโมง เอารถไปด้วยเหมือนกัน แต่พิเศษตรงที่เอานักธรณีวิทยาจริงๆไปด้วย พร้อมอุปกรณ์อีกเพียบ เลยขนดินกลับบ้านเยอะเข้าไปอีก 110 กิโล

    จริงๆ Apollo วางแผนไว้จนถึง Apollo 20 แต่ ศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก โดยหั่นงบไปเสียฉิบ ภารกิจก็เลยหยุดอยู่แค่นี้ ภารกิจอื่นๆที่ตามมาเช่น Space shuttle (ที่พึ่งหมดอายุไปเร็วๆนี้), grand tour(ที่กลายมาเป็น Voyager 1,2 ภายหลัง), Nerva (เครื่องยนต์จรวดพลังงานนิวเคลียร์!! เอาไว้ส่งคนไปดาวอังคาร) เป็นอันว่ายุค Apollo อยู่ระหว่าง 1966-1972 แล้วก็ไม่มีใครได้ออกไปนอกวงโคจรโลกอีกเลย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    Apollo 18 19 หายไปไหน? หรือว่าไม่มี
     
  3. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
  4. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    บทสรุปหลักฐาน UFOและมนุษย์ต่างดาว ที่รอสเวลล์ | เรื่องลึกลับจากทั่วโลก All mystery world
    ในวันที่ 8 กรกฎาคม 1947 เรืออากาศโทวอลเตอร์ โฮท ซึ่งเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ของกองทัพอากาศแห่งสหรัฐเมืองรอสเวลล์ ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า กองทัพได้ครอบครองจานบินลำหนึ่ง ซึ่งตกลงมายังพื้นโลกเมื่อคืนวันที่ 4 กรกฎาคม 1947


    หลังเที่ยงคืนเล็กน้อย วันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ.1947 แม็ค บราเซล ชาวไร่ของฟาร์มนอกเมืองรอสเวลล์ ได้เห็นปรากฎการณ์ประหลาดบนท้องฟ้าในคืนที่มีพายุฝนฟ้าคะนอง มีฟ้าผ่า ในแสงวูบวาบ เขาเห็นยานทรงกลมสีเทาน้ำเงิน ถูกฟ้าผ่าแตกเป็นเสี่ยง แล้วแฉลบร่อนลงท้ายไร่พร้อมกับเสียงดังสนั่น


    เนื่องจากความกลัว เขาไม่กล้าออกมาดู รุ่งเช้าจึงออกไปจุดที่ยานประหลาดตก จึงพบยานทรงกลมสีเทาเงินจอดบนพื้นดิน ในลักษณะตะแคงข้าง ปีกข้างหนึ่งจมปักในพื้นดินเลน
    แม็ค นำเรื่องไปแจ้งกับจอร์จ วิลค็อกซ์ นายอำเภอเมืองรอสเวลล์ในขณะนั้น ซึ่งได้ออกข่าวครั้งแรก โดยสถานีวิทยุท้องถิ่นว่าเกิดเหตุยานยูเอฟโอ.ตกที่ไร่ของแม็ค
    นายอำเภอจอร์จ นำเรื่องไปแจ้งแก่ผู้บังคับการกองบินกองทัพอากาศ เมืองรอสเวลล์ จากนั้นไม่นานก็มีประกาศแถลงการณ์ฉบับใหม่ว่า สิ่งที่ถูกฟ้าผ่าตกลงมาที่ไร่ คือ บอลลูนตรวจอากาศ ซึ่งหุ้มบอลลูนด้วยฟลอยล์ จึงมีสีเทาเงิน


    การรายงานข่าวดังกล่าว เป็นที่โจษขานกันทั่วทั้งสหรัฐและต่างประเทศข่าวดังกล่าวเปิดเผยว่า ฝูงบินทิ้งระเบิดที่ 509 หน่วยที่ 8 ของกองทัพอากาศสหรัฐประจำจุดรอสเวลล์ ได้ยึดครองจานบินลำหนึ่งได้ที่ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โดยความร่วมมือของนายอำเภอที่รอสเวลล์ และเจ้าของฟาร์มแห่งนั้นทราบต่อมาว่า เจ้าของฟาร์มชื่อ แม๊ค บราเซล แม๊ค บราเซลเล่าให้ฟังว่า ตนมีฟาร์มปศุสัตว์ที่โคโรนา นิวแม็กซิโก ในเช้าตรู่ของวันที่ 5 กรกฎาคม 1947 (พศ.2490) ขณะที่กำลังเดินไปถึงกลางไร่ ได้พบว่ามีเศษโลหะกระจัดกระจายเกลื่อนกลาด ดูราวกับมีบางสิ่งบางอย่างขนาดใหญ่มาก ตกลงวมาจากท้องฟ้า สังเกตุได้ว่า เศษเหล็กหรือเศษโลหะกระจายเป็นอาณาบริเวณกว้างประมาณ 300 ฟุต และยาวราว 3 ไมล์ ชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายนั้น มีทั้งเป็นลวด เป็นชิ้นเล็ก ๆ และเป็นแผ่นโลหะเบาและบาง แต่เหนียว ทนทานมาก สามารถพับไปมาได้รายแผ่นกระกาษนอกจากนั้น ยังเศษโลหะคล้ายกระดาษฟอยล์สีตะกั่วกระจายไปทั่ว



    ในตอนแรก แม็คไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพบเห็นนั้นเป็นอะไร เขาได้หยิบเศษโลหะสามชิ้นไปให้เพื่อนบ้านที่ไกลออกไป10 ไมล์ได้ดู เพื่อนบ้านแนะนำว่าให้ไปหานายอำเภอจอร์จ เอ. วิลค๊อกซ์และเอาเจ้าสิ่งนี้ให้นายอำเภอดูด้วย ตอนแรก นายอำเภอไม่ค่อยสนใจเท่าไรนัก ได้แนะนำให้แม็คโทรศัพท์ติดต่อกองบินทหารอากาศรอสเวลล์และเมื่อแม๊คทำตามไม่นาน กองบินทหารได้ส่งทหารอากาศสองนายและพลเรือนนายหนึ่ง ซึ่งบอกกับแม๊คว่า เป็นสมาชิกหน่วยต่อต้านข่าวกรองของกองทัพนายทหารที่มานั้นต่อมาทราบชื่อว่า นาวาอากาศตรี เจสส์ เอ.มาร์เซล อีกคนหนึ่งคือ นาวาเอกวิลเลี่ยม บลันชาร์ด ซึ่งเป็นผู้บังชาการฝูงบินที่ 509 นั่นเอง


    เศษชิ้นส่วนประหลาดที่พบบริเวณจานบินตกที่รอสเวลล์ทั้งหมดไปยังฟาร์มปศุสัตว์ ซึ่งถึงจุดหมายเป็นช่วงเวลาเย็น จึงต้องพักค้างแรมกันที่นั่น จนรุ่งเช้า แม๊ค ก็พาทุกคนไปยังจุดที่จานบินตก และทุกคนก็ตื่นตะลึงกับสิ่งที่เห็น นาวาอากาศตรีมาร์เซล ได้กล่าวว่า เศษโลหะและวัตถุดังกล่าว กระจัดกระจายเกลื่อนกลาด มันประหลาดมาก ไม่เคยพบที่ใดมาก่อน ส่วนใหญ่จะบางเท่ากระดาษหสังสือพิมพ์แต่เหนียว ทนทานมาก เขาใช้ค้อนทุบ ใช้ไฟเผา หักงอ เพียงครู่เดียวกันก็กลับคืนสู่สภาพเดิม และทุกคนก็ช่วยกันเก็บเศษโลหะดังกล่าวใส่รถจี๊บและลำเลียงไปยังใจกลางเมืองรอสเวลล์




    ต่อมาปรากฎว่า กองทัพอากาศสหรัฐและนาวาอากาศตรีเจสส์ มาร์เซล ออกข่าวว่าเศษโลหะดังกล่าวเป็นเพียงเศษซากบัลลูนตรวจอากาศที่ตกลงมาเท่านั้น พลอากาศจัตวางโรเจอร์ เรมีย์ ได้ปฎิเสธช่าวว่า ไม่มีการลำเลียงเศษซากจานบินออกมาจากพื้นที่แต่ประกาศใด


    แต่หลังจากการเปิดเผยของนาวอากาศตรีเจสส์ มาร์เซลเมื่อไม่นานมานี้เปิดเผยว่า มีการลำเลียงเศษซากจานบินไปทางเครื่องบิน และมีพยานหลายคนที่รู้เห็น เช่น สแตนตัน ฟรีดแมน ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์และนิวเคลียร์ซึ่งพลอากาศจัตวาโรเจอร์ เรมีย์ สั่งให้ทุกคนปิดปากเงียบ นาวาอากาศตรี เจสส์ มาร์เซล ได้ออกมาเปิดเผยเมื่อไม่กี่ปีมานี่ว่า ทุกอย่างที่กองทัพอากาศสหรัฐออกแถลงการว่าที่เห็นเป็นเพียงซากบัลลูนนั้น เป็นการสร้างละครลวงตาสื่อมวลชนทั้งสิ้น มาร์เซลกล่าวว่า ซากกระจัดกระจายมีขนาดใหญ่กว้างมาก ซึ่งมากกว่าที่จะเป็นซากบัลลูนตกหลายเท่า จากการเปิดเผยของนาวาอากาศตรี เจสส์ มาร์เซล ทำให้องค์การต่าง ๆ รวมทั้งนักค้นคว้าจานบิน เห็นสมควรว่า น่าจะมีการรื้อฟื้นสอบสวนเรื่องจานบินตกที่รอสเวลล์ เมื่อปี 1947 ใหม่ เพราะหลายคนเชื่อว่า มีจานบินตกจริงที่ฟาร์มของ แม๊ค บราเซล

    แถลงการณ์ฉบับนั้นไม่มีใครเชื่อ เพราะมีประจักษ์พยานผู้รู้ผู้เห็นจากไร่ใกล้ๆ เข้าไปดูที่เกิดเหตุยืนยันว่า พบจานผี ทรงกลมในสภาพแตกหัก และพบร่างมนุษย์ต่างดาว ตาย 1 ศพ และบาดเจ็บ 1 คน อาการบาดเจ็บเกิดจากแผลไฟไหม้

    เมื่อชายคนหนึ่ง ชื่อเกรดีย์ แอล บาร์นีย์ บาร์เนตต์ ได้กล่าวอ้างว่าเขาได้พบซากเศษโลหะของจานบินอีกลำหนึ่ง ขณะนั้นเขากำลังทำงานอยู่ในบริเวณใกล้ที่ราบซานอกุสติน ซึ่งชาวบ้านในแถบนั้น เรียกว่า "ที่ราบไร้วิญญาณ" เป็นที่น่าสังเกตว่า บริเวณดังกล่าวนี้ห่างจากไร่ปศุสัตว์ของแม็ค ประมาณ 120 ไมล์ ไม่เพียงแต่บาร์เนตต์เท่านั้นที่พบเห็นจานบิน บังเอิญนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยกลุ่มหนึ่งขับรถผ่านมาพอดี ซึ่งบาร์เนตก็ลืมถามว่าพวกเขามาจากมหาวิทยาลัยใด สิ่งสำคัญก็คือ พวกเขาได้เห็นศพมนุษย์ประหลาดนอนตายอยู่รอบ ๆ จานบินด้วย




    ต่อมาบาร์เนตต์ได้อธิบายว่า ศพมนุษย์ประหลาดนั้นรูปร่างคล้ายสัตว์ตัวเล็ก แต่มีศีรษะใหญ่คล้ายรูปผลแพร์ แขนและขาผอมมาก และที่น่าสังเกตุก็คือไม่มีขน ศพทั้งหมดสวมชุดคล้ายเกราะเหล็กสีเทา ได้สัดส่วนพอเหมาะ เป็นชุดที่ไม่มีกระดุมและซิป

    ต่อมาทหารก็มาถึง พวกเขาสั่งให้บาร์เตต์และกลุ่มนักโบราณคดีถอยห่างออกไปจากยานบินลำนั้น และนายทหารที่เป็นหัวหน้าได้กำชับว่ามันเป็นหน้าที่ที่ทหารต้องรับผิดชอบ และห้ามทุกคนนำเรื่องที่พบเห็นไปบอกใครเป็นอันขาด มิฉะนั้นจะเดือนร้อน ให้ลืมเรื่องดังกล่าวให้หมด บาร์เนตต์จึงจำเป็นต้องปกปิดเรื่องที่พบเห็นเป็นความลับไม่แพร่งพรายให้ใครรู้แม้แต่ภรรยา ญาติมิตร หรือแม้กระทั่งผู้บังคับบัญชา

    ในปี 1978 นักค้นคว้าจานบินหลายคนลงความเห็นว่า ซากโลหะประหลาดที่แม็ค บราเซลพบมีความเกี่ยวพันกับยานอวกาศและศพมนุษย์ต่างพิภพที่บาร์เนตต์พบอีกแห่งหนึ่งแน่นอน ซึ่งเขาได้สันนิษฐานว่ายานตกลงมาต่างหาก ส่วนมนุษย์ต่างดาวคงดีดตัวออกมาจากตัวยานก่อนจะลงมาถึงพื้นโลก หรืออาจเสียชีวิตเนื่องจากหนีออกจากห้องที่แยกออกจากตัวยานไม่สำเร็จ และบริเวณที่ยานลำนั้นตกลงมาคงอยู่ใกล้ที่ราบซานอกุสติน สตริงฟิลด์ยังได้ข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับการปิดข่าวเกี่ยวกับศพมนุษย์ต่างดาวอีก นั่นคือ นอร์มา การ์ดเนอร์ ซึ่งเคยทำงานเป็นพนักงานพิมพ์ดีดกับฝ่ายแลกเปลี่ยนเอกสารลับสุดยอดที่กองบินทหารอากาศไรท์ แพตเตอร์สัน หน้าที่ที่เธอได้รับมอบหมายอย่างหนึ่งคือ พิมพ์รายงานชันสูตรศพมนุษย์ต่างดาวรายหนึ่ง นั่นก็แสดงว่ามีการพบศพมนุษย์ต่างดาวจริง แต่ก็น่าคิดว่าเพราะเหตุใดฝ่ายทหารจึงปกปิดเป็นความลับ

    วันเวลาผ่านไป 60 กว่าปี เมื่อเร็วๆนี้ 2 นักวิจัย คือ โธมัส เจ.แครีย์ กับนักยูเอฟโอ.วิทยา โดแนลด์ อาร์.ชิตต์ ได้เปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ ซึ่งเป็นผลงานจากการค้นคว้า สืบสวนเก็บข้อมูลมาหลายปี ใช้ชื่อว่า.. “เหตุเกิดที่รอสเวลล์:หลักฐานชิ้นใหญ่ที่รัฐบาลปกปิด”

    “โธมัส กับ โดแนลด์ ใช้เวลาหลายปีสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับข้อเท็จจริงทั้งหมดซึ่งต้องเผชิญกับการให้ข้อมูลจากไม่รู้จริง และจากคนรู้จริง แต่บิดเบือนข้อมูลเพื่อดิสเครดิตมนุษย์ต่างดาว” เอ็ดการ์ มิตเชลล์ อดีตนักบินอวกาศยาน อพอลโล่กล่าว

    “พวกฝ่ายรัฐบาลพยายามออกข่าวว่า ข้อมูลที่เราไปสืบค้นมาได้เป็นเรื่อง ขี้คุย ขี้โอ่ ไม่รู้จริง ล้วนเป็นการบิดเบือนข้อมูล เพื่อปกปิดความจริงต่อประชาชนทั้งสิ้น”

    ทีมงานวิจัยได้นำเสนอหลักฐานเด็ด ที่ไม่ม่ใครกล้าปฎิเสธได้ นั่นคือเศษโลหะประหลาด ซึ่งมีผู้เก็บรักษาไว้ โดยไม่ยอมคืนแก่ทางการ รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญโลหะวิทยา เคยทำงานกับกองทัพอากาศ เคยสัมผัสกับโลหะประหลาดนี้มาแล้วให้การยืนยัน ไม่ใช่เรื่องยกเมฆแต่อย่างใด

    โลหะชนิดนี้เป็นของในยุคนั้น มีสีเทาเงิน อ่อนนุ่ม แต่แข็งเหนียว ทนทานต่อกรด และเครื่องพ่นไฟได้ จุดเด่นสำคัญเมื่อถูกพับงอ หรือโค้งจะคืนสู่รูปทรงเดิมได้


    โลหะพิสดารรู้จักในชื่อ นิทิโนล (Nitinol) เป็นโลหะประหลาดไม่เคยพบในโลก ต่อมาเรียกกันว่า โลหะมีความทรงจำ (memory metal)




    นิทิโนล (Nitinol)

    แอนโทนี บรากาเลีย นักธุรกิจใหญ่ ซึ่งครอบครองวัตถุประหลาด โดยไม่ยอมบอกว่าเขาซื้อมาจากใคร แต่ยืนยันเขาได้มาจากจุดที่ยานยูเอฟโอ.ตก ที่เมืองรอสเวลล์ เมื่อปี 1947 จริง

    นักธุรกิจแอนโทนี ควักกระเป๋าตัวเองว่าจ้างห้องแล็บกองทัพอากาศ และสถาบันบาเตลล์เมมโมเรียล แห่งเมืองโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ ทำการวิเคาระห์วัตถุลึกลับนี้ให้

    จากรายงานสถาบันวิจัยบาเตลล์ กล่าวถึงรายละเอียดโลหะประหลาด นอกจากยืนยันว่าเป็นชิ้นส่วนยานอวกาศที่ตกลงมาที่เมืองรอสเวลล์แล้ว ยังพบว่าเป็นโลหะที่น่าสนใจสามารถนำมาใช้ประโยชน์เชิงธุรกิจอุตสาหกรรมได้อย่างมหาศาล

    โลหะนิทิโนล ที่แท้เป็นโลหะผสมระหว่างแร่นิเกิลบริสุทธิ์กับไททาเนียมบริสุทธิ์ เมื่อผสมสารปรอทเข้าไป ก็สามารถแปรรูป และคืนสู่สภาพเดิมได้

    “โลหะนิทิโนล จะจดจำรูปทรงเดิมของมันได้แม้จะดัดงอ พับ ก็สามารถหวนกลับสู่รูปทรงเดิม โครงสร้างของมันเป็นเส้นใยที่มีความยืดหยุ่นได้สูง แม้เป็นโลหะก็มีน้ำหนักเบา คล้ายโลหะอะลูมิเนียม แต่มีสีในตัวมันเอง สามารถทนทานต่อการเผาผลาญด้วยความร้อนสูงได้” นักธุรกิจแอนโทนีกล่าว

    “ผมไม่อยากยืนยันลงไปว่าใครเลียนแบบใคร ทุกวันนี้ในการผลิตเราใช้โลหะนิทิโทล ใช้ทำกรอบแว่นตา ที่สามารถโค้งงอได้โดยไม่หัก ใช้ทุกอุปกรณ์การแพทย์ และที่สำคัญใช้เกลื่อนพื้นผิวนอกสุดของยานอวกาศ”


    มีข้อสังเกตว่า ช่วงปลายปี 1967 หลังยานยูเอฟโอ.ตกที่เมืองรอสเวลล์ได้ 5-6 เดือน รายงานวิจัยจากวงการอุตสาหกรรมสั่งนำเข้าโลหะไททาเนียม เข้ามายังสหรัฐอเมริกาจำนวนมาก
    ปัจจุบันร้องอ๋อ! กันว่า ที่แท้จู่ๆไททาเนียมมีบทบาทในวงการอุตสาหกรรม ชาติตะวันตกก็เพราะเป็นส่วนผสมหลักในการผลิต โลหะยืดหยุ่นนิทิโทลนั่นเอง

    นอกจากนี้ นักวิจัยยังตั้งข้อสังเกตุอีกว่า หลังปีค.ศ. 1960 เป็นต้นมา ชาวโลกพบกับนวัตกรรมการสื่อสารใหม่ ที่น่าตื่นตะลึงนั่นคือระบบ“อินเตอร์เน็ต” ซึ่งนักวิจัยทั้ง 2 คน ฟันธง ว่าเป็นการลอกเลียนแบบจากเทคโนโลยีจากยานอวกาศ ที่ตกในไร่ชานเมืองรอสเวลล์นั่นเอง




    ลำดับเหตุการณ์ที่รอสเวลล์
    กรกฎาคม 1947 มีจานบินปรากฎเหนือน่านฟ้านิวเม็กซิโก มีการติดตามด้วยเรดาร์ที่ศูนย์เรดาร์ในรอสเวลล์ที่ไวท์แซนด์ และอาลาโมกอร์โด จานบินดังกล่าวบินเร็วมาก ซึ่งยืนยันได้ว่า ขณะนั้นไม่มีเครื่องบินต่าง ๆ ในบริเวณนั้นแต่อย่างใด


    4 กรกฎาคม 1947 กลางคืน ประมาณ 4-5 ทุ่มมีฝนฟ้าคะนอง มีพยานหลายคนพบเห็นลูกไฟตกลงมาจากท้องฟ้า ศูนย์เรดาร์สามารถจับวัตถุบินประหลาดได้และร่วงลงจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว


    แม็ค บราเซล
    5 กรกฏาคม 1947แม็ค บราเซลกับลูกชายชื่อวิลเลี่ยม ดี. พร็อคเตอร์ ได้ขี่ม้าออกสำรวจฟาร์มปศุสัตว์ และพบเห็นซากโลหะประหลาดตกลงมาในไร่ กระจัดกระจายเป็นบริเวณกว้าง

    พันตรีเจสซี่ มาร์เซล (Jesse Marcel)
    6-7 กรกฎคม 1947 กองทัพอากาศของสหรัฐประจำรอสเวลล์ ก็มาถึงรวมถึงนาวาอากาศตรีเจสส์ มาร์เซลด้วย มีการรขึงเชือกกันบริเวณไม่ให้ใครเข้าใกล้ กล่าวกันว่าเพียงสองชั่วโมง ทหารก็เก็บซากโลหะประหลาดออกไปและที่สำคัญ มีพยานเห็นทหารนำศพมนุษย์ประหลาดออกจากซากจานบินตกด้วย และทุกอย่างก็ถูกปกปิดเป็นความลับสุดยอด

    8 กรกฎาคม 1947 - นาวาเอกวิลเลี่ยม บลันชาร์ด เมื่อทราบข่าว ได้สั่งให้วางกำลังรายล้อมคอกปศุสัตว์โดยด่วน

    - แม๊ค บราเซล ถูกสอบหนัก พร้อมทั้งถูกข่มชู่จากนายทหาร
    - บาย2 โมง สำนักข่าวเอพี รายงานข่าวด่วนว่า กองทัพอากาศสหรัฐพบจานบินตกที่รอสเวลล์
    - ทั่วโลกเริ่มประโคมข่าว
    - นาวาอากาศตรี อี เอ็ม เคอร์ตัน ให้ออกข่าวว่า ซากที่พบเป็นเพียงซากบัลลูนตรวจอากาศ
    - ทั้งพลอากาศจัตวาโรเจอร์ เรมีย์ และ เจสส์ มาร์เซล ออกข่าวและถ่ายภาพกับซากประปลาด และกล่าวว่า ซากดังกล่าวตรวจสอบแล้วเป็นซากบัลลูนตรวจอากาศเท่านั้น (เกือบ 10 ปี ต่อมา ที่เจสส์ มาร์เซล เปิดเผยความจริงว่า กองทัพตบตาหลอกลวง เพราะแท้ที่จริงแล้วมันคือซาก จานบินจริง)
    - แม๊ค บราเซล ยังคงถูกคุมตัวในเมืองรอสเวลล์
    - เกลนน์ เดนนิส สัปเหรอ ในรอสเวลล์ ได้ถูกนายทหารนายหนึ่งโทรศัพท์สอบถามถึงการเตรียม โลงศพขนาดเล็ก และการรักษาศพโดยไม่ต้องเปลี่ยน้ำยาเคมี เกลนน์ เล่าว่าทีแรกนึกว่าบุคคลสำคัญ เสียชีวิต แต่ยังไม่อยากเปิดเผย

    9 กรกฎาคม 1947 พยาบาลนางหนึ่งในโรงพยาบาลกองบิน บอกกับเกลนน์ เดนนิสว่า หล่อนเป็นศพมนุษย์ต่างดาว และเขียนภาพให้เกลนน์ดูด้วย

    11 กรกฎาคม 1947 เกลนน์ เดนนิส โทรศัพท์ไปหาเพื่อนพยาบาลคนเดิมเพื่อซักถามบางประการ ปรากฎว่า ทางโรงพยาบาลบอกว่า เธอย้ายออกจากโรงพยาบาล และไม่มีใครรู้ว่าไปอยู่ที่ใด

    15 กรกฎาคม 1947 แม็ก บราเซลกลับบ้าน
    ปลายเดือน กรกฎาคม 1947 ไม่มีใครคาดคิด แม็ค บราเซล เปิดเผยเหตุการณ์จานบินตกที่รอสเวลล์อย่างเปิดอกและกล่าวว่า ตนถูกกองทัพข่มขู่อยางขมขื่นมากกันยายน 1947 นางพยาบาลเพื่อนของ เกลนน์ เดนนิส ถูกฆ่าตายปริศนาที่กรุงลอนตอน ประเทศอังกฤษ

    ปี 1969 จ่าอากาศเมลวิน อี. บราวน์ เปิดเผยว่า ตนเป็นอีกคนหนึ่งที่ช่วยปกปิดความลับที่รอสเวลล์ และยังเป็นอีกคนหนึ่งที่ช่วยนำศพมนุษย์ต่างดาวไปยังโรงพยาบาลที่รอสเวลล์

    ปี 1978 เจสส์ มาร์เซลและอีกหลายคนออกมาเปิดเผยความจริงว่า ซากดังกล่าวไม่ใช่บัลลูนแน่อนอน
    ปี 1980 ชาร์ลส์ เบอร์ลิตช์ และ ลิลเลี่ยม แอล.มัว ได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ The Roswell Incident โด่งดังไปทั่วโลกปี 1989 ศูนย์ค้นคว้าวิจัยจานบิน ของ ดร.เจ อัลเลน ไฮเน็ค ส่งเจ้าหน้าที่ออกสำรวจบริเวณที่พบซากจานบินปี 1991


    หลังจากนั้นอีกกว่า 30 ปีจึงมีหลักฐานใหม่ขึ้นมาอีกชิ้น ในปี 1984 เอกสารลับขององค์กรลับที่ชื่อว่า Majestic 12 หรือ MJ12 ผุดขึ้นต่อสาธารณชน เอกสารฉบับนี้ระบุว่ามีการศึกษาจานบินและมนุษย์ต่างดาวที่พบที่รอสเวลล์ เมื่อปี 1947 มันถูกใช้เป็นหลักฐานยืนยันว่ามีจานบินตกในรอสเวลล์จริง



    ฝ่ายที่เชื่อเรื่องจานบินมีจริง เฮอยู่ได้ไม่นานก็มีการพิสูจน์ว่าเอกสารลับ MJ12 ฉบับนี้เป็นของปลอม สรุปว่าเมื่อตัวเอกสารปลอมเรื่องราวที่อยู่ในเอกสารก็เป็นเรื่องไม่จริงด้วย แต่ถ้าจะว่ากันตามจริงแล้ว การที่เอกสารฉบับนั้นเป็นของปลอมมันบอกแค่เพียงเอกสารฉบับนั้นปลอมเฉยๆ มันไม่ได้พิสูจน์ว่า MJ12 ไม่มีจริงหรือเหตุการณ์ไม่ได้เกิดขึ้นจริง



    ต่อมา

    สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2554 ถึงเรื่องที่หลายคนต่างให้ความสนใจและถกเถียงกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน โดยระบุว่าข้อมูล "เอ็กซ์-ไฟล์" ของหน่วยงาน "เอฟบีไอ" อ้างว่า วัตถุลึกลับจากนอกโลกมีจริง และเคยประสบอุบัติเหตุตกบนโลกมนุษย์ช่วงปี 1950


    บันทึกลับสุดยอดดังกล่าว เผยทฤษฎีสมคบคิด ว่า วัตถุจากต่างดาวเคยตกที่เมืองรอสเวลล์ ในนิวเม็กซิโก ของสหรัฐฯ ก่อนถูกส่งไปตรวจสอบต่อยังฐานทัพอากาศ "แอเรีย 51" ทางตอนใต้ของรัฐเนวาดา ซึ่งวัตถุที่ไม่สามารถระบุที่มาได้นั้น มีรูปร่างเป็นวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางราว 50 ฟุต พบพร้อมร่าง 3 ร่าง สูงเพียง 3 ฟุต แต่ละรายอยู่ในภาวะหมดสติ สวมเครื่องแต่งกายจากโลหะอย่างดี เชื่อว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว

    อุบัติเหตุครั้งดังกล่าวเหมือนหลุดออกมาจากภาพยนตร์แนวไซไฟ หลังข้อมูลของ เอฟบีไอ ถูกเปิดเผยสู่สาธารณะ และมั่นใจว่าจะกระตุ้นทฤษฎีสมคบคิดเรื่องการมีอยู่จริงของมนุยต์ต่างดาว ที่ถูกปกปิดมาโดยตลอดได้ ด้าน นิก โป๊ป ผู้เชี่ยวชาญด้าน อูเอฟโอ ชาวอังกฤษ ผู้สอบสวนวัตถุลึกลับทางอาการของกระทรวงกลาโหม ระบุเมื่อคืนนี้ (10 เม.ย.) ว่า ข้อมูลดังกล่าวสามารถพิสูจน์ได้ว่า มนุษย์ต่างดาวและยานอวกาศ "มีอยู่จริง"

    สำหรับการพบจานผีลึกลับพร้อมนุษยต์ต่างดาวนั้น ให้ข้อมูลโดย กาย ฮอตเทล เจ้าหน้าที่เอฟบีไอประจำวอชิงตัน และภายหลังข้อมูลถูกเปิดเผยสู่สาธารณะเมื่อ 22 ก.ค. 1947 ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านเกลียดชังต่อเจ้าพนักงานคนดังกล่าว เขาเผยว่า ยูเอฟโอ ตกเพราะรัฐบาลติดตั้งเรดาร์พลังงานสูงในพื้นที่นั้น ส่งผลให้ก่อกวนการควบคุมของยานอวกาศ ส่วนรายชื่อของบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการตรวจสอบ ถูกขีดทับด้วยหมึกดำไม่สามารถระบุตัวตนได้

    อย่างไรก็ดี ข้อมูล เอฟบีไอ ชุดดังกล่าวถูกเปิดเผยบนอินเตอร์เน็ตพร้อมกับเอกสารอีกกว่าพันฉบับ เรียกว่า "เดอะ โวลต์" ซึ่งสนับสนุนเหตุการณ์ของ ฮอตเทล 
ทั้งสิ้น และในปีเดียวกันวัตถุลึกลับยังถูกพบอีก แต่เป็นลักษณะ 6 เหลี่ยม จับภาพได้ด้วยเคเบิ้ลบนบอนลูน.




    มีข้อสังเกตอีกว่า

    พี่น้องตระกูลไรท์ ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์โลก ได้คิดค้นเครื่องบินลำแรกของโลกขึ้นเมื่อ 100 กว่าปีก่อน
    (ปี ค.ศ. 1903)
    ถ้าย้อนหลังไปอีก 200 ปี ตรงกับยุคกลางเป็นยุคตะวันตกใช้เรือปืนโบราณออกล่าอาณานิคม เป็นเรือใบ 3 เสา แล่นด้วยความแรงลม

    แต่ถ้านับระยะเวลา 100 ปี ที่ผ่านมา หลังจากพี่น้องตระกูลไรท์สร้างเครื่องบินลำแรก ทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ องค์การนาซาสหรัฐ สร้างยานอวกาศไปสำรวจดาวอังคารแล้ว

    200 ปี ที่ผ่านมา โลกเจริญด้วยเทคโนโลยีล้ำยุคแบบก้าวกระโดด ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่า นี่แค่เราได้ยานยูเอฟโอ. ระดับยานลูกมาเลียนแบบ เรายังไปไกลถึงเพียงนี้



    ถ้าโลหะหรืออโลหะนั้น เป็นเหมือนอย่างที่เราวิเคราะห์พิจารณาในความฝันไว้ ล่ะก็ เตรียมตัวได้เลย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    แม้แต่ดาวอังคารยังไม่มีเว้น

    นี่มันเรื่องอะไรกันนี่

    [url=http://www.yclsakhon.com/index.php?


    เกาะติดการค้นหาชีวิตบนดาวอังคาร กับยาน Curiosity
    การค้นหาสิ่งมีชีวิตที่ดาวอังคาร
    บทความชิ้นนี้ผมเขียนไว้เมื่อสิบปีที่แล้วในคราวที่ดาวอังคารเข้ามาใกล้โลกมากที่สุด แต่ยังไม่ได้เผยแพร่ไปที่ไหน ตอนนี้น่าจะเป็นโอกาสดีเพราะมีเว้ปไซด์ของตัวเอง คิดว่าข้อมูลนี้ยังคงไม่ล้าสมัยและน่าตื่นเต้นสำหรับท่านที่สนใจวิทยาศาสตร์ในทำนองต่างดาวและเอเลี่ยน อย่างไรก็ตามองค์การนาซ่ากำลังใจชื้นขึ้นมาเป็นกองจากข้อมูลที่ได้รับจากยานสำรวจรุ่นต่างๆ นัยว่าคงจะมีข้อมูลเด็ดชนิดเปิดเผยแล้วต้องฮือฮา ดังนั้น เร็วๆนี้จะส่งยานอวกาศรุ่นใหม่ชื่อ Curiosity แปลเป็นไทย "เจ้าหนูสอดรู้สอดเห็น" มีขนาดใหญ่พอๆกับรถเก๋งโตโยต้าวีออส คราวนี้จะพกอุปกรณ์ไฮเทคไปเป็นตันเพื่อฟันธงให้รู้ดำรู้แดงสักทีว่า "มีใครอยู่ที่นั่น"

    เบาะแสจากซากฟอสซิล

    เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ.2544 ดาวอังคารโคจรเข้ามาใกล้โลกมากที่สุดด้วยระยะทางประมาณ 59 ล้านกิโลเมตร เราสามารถมองเห็นดาวสีแดงดวงนี้เด่นเป็นสง่าอยู่ใกล้ๆกับกลุ่มดาวแมลงป่องหรือจักราศี พิจิก (Scorpius) ตั้งแต่หัวค่ำยันเกือบรุ่งสาง จากอดีตที่ผ่านมาเมื่อสหรัฐอเมริกาสามารถส่งยานอวกาศขึ้นไปโคจรรอบๆดาวอังคาร ทำให้องค์การนาซ่าได้อกได้ใจ และยอมลงทุนลงแรงอย่างมากต่อการค้นหาสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงนี้

    ก่อนหน้าที่จะมาถึงยุคของนาซ่า นักดาราศาสตร์รุ่นเก๋าอย่าง กีโอวานี่ เชียร์พาเรรี่ (Giovanni Schiaparelli) ได้ส่องกล้องโทรทัศน์เห็นรอยเส้นขีดๆบนดาวอังคารเมื่อ พ.ศ.2420 พี่แกพูดเป็นภาษาอิตาเลี่ยนว่า Canali แต่มีคนไปแปลเป็นภาษาอังกฤษแบบผิดเพี้ยนว่า Canal เลยทำให้สาธารณชนคิดว่ามีคลองส่งน้ำอยู่บนดาวอังคาร ประกอบกับการใส่ไข่ขยายความของนักดาราศาสตร์สมัครเล่นชาวอเมริกัน ชื่อ เปอร์ซิวาล โรเวล (Percival Lowell) ทำให้คลองบนดาวอังคารกลายเป็นเรื่องฮือฮาไปพักใหญ่ พี่แกเล่นบรรยายว่าคลองเหล่านั้นสร้างขึ้นโดยผู้มีภูมิปัญญาสูง มือพ็อกเก็ตบุ๊กชื่อกระฉ่อนอย่าง เฮจ จี เวล (H.G. wells) จับมุขนี้ไปเขียนเป็นนิยายดังขายดิบขายดีเรื่อง สงครามระหว่างดาว (The War of the Worlds) เมื่อ พ.ศ.2441 เมื่อเร็วๆนี้ประมาณต้นปี 2549 ก็มีภาพยนตร์แนวเอเลี่ยนมาฉายที่เมืองไทย ผมก็ยังได้ดูเขาสร้างได้สนุกครับ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวเข้ายึดครองโลกด้วยเทคโนโลยีเหนือชั้น ปืนผาหน้าไม้และขีปนาวุธสุดยอดไฮเทคของกองทัพสหรัฐกลายเป็นไม้จิ๋มฟันที่ไม่ระคายผิวพวกมันแม้แต่น้อย ทุกคนต่างหนีเอาตัวรอดอย่างเดียว แต่ตอนสุดท้ายโลกมนุษย์มีทีเด็ดแบบหมัดน็อก บรรดาเอเลี่ยนทั้งหลายติดเชื้อแบคทีเรียธรรมดาๆที่กระจายอยู่ทั่วไปตามธรรมชาติป่วยตายเป็นใบไม้ร่วง พวกมันมีเทคโนโลยีสูงส่งเหลือรับประทานแต่ร่างกายไร้ภูมิคุ้มกันแบบซุปเปอร์เอดส์ จุลชีวัน (Micro organism) เพื่อนร่วมโลกตัวเล็กๆที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า กลายเป็นฮีโร่แบบม้ามืดตีนปลาย



    สหรัฐและสหภาพโซเวียต ต่างส่งยานอวกาศของตนมุ่งหน้าสู่ดาวอังคารตั้งแต่ปี พ.ศ.2507 เป็นต้นมา เริ่มต้นด้วย ยานมารีนเน่อร์-4 ของนาซ่า แต่ที่ได้ข้อมูลเป็นเนื้อเป็นหนังชิ้นแรกๆเห็นจะได้แก่ยานสำรวจที่ชื่อ ไวกิ้ง-1และไวกิ้ง-2 ปล่อยออกไปเมื่อ วันที่ 20 สิงหาคม และ 9 กันยายน พ.ศ.2518 ตามลำดับ ทั้งคู่เข้าสู่วงโคจรระยะประชิดของดาวอังคาร ในอีก 10 เดือนต่อมา และได้รับคำสั่งจากศูนย์ควบคุมให้ปล่อยยานลูก (The Lander) ลงสู่พื้นผิวดาวอังคาร เพื่อปฏิบัติการวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือไฮเทคที่เตรียมไป โดยไวกิ้ง-1 เน้นวิเคราะห์เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิต ส่วนไวกิ้ง-2 เน้นการตรวจสอบภาวะสิ่งแวดล้อม เช่น ความเร็วลม องค์ประกอบแร่ธาตุ จากรายงานอย่างเป็นทางการขององค์การนาซ่า มีผลสรุป ดังนี้

    1. ความกดอากาศ ประมาณ 7 มิลลิบาร์ (ความกดอากาศของโลก เท่ากับ 1 บาร์ หรือ 10 มิลลิบาร์)

    2. องค์ประกอบแร่ธาตุ เป็น ซิลิกอน 44% อลูมิน่า 5.5% เหล็ก 18% ไททาเนี่ยม 0.9% โปตัสเซี่ยม

    0.3%

    3. ผลการตรวจวิเคราะห์หาอินทรีย์วัตถุซึ่งเป็นหลักฐานของ " สิ่งมีชีวิต " ปรากฏว่ายังไม่พบ

    แต่นักวิทยาศาสตร์ของนาซ่าก็ยังไม่กล้าฟันธงว่าดาวอังคารไร้สิ่งมีชีวิต เพราะเป็นการวิเคราะห์ในระยะไกล ถ้าจะให้แน่ใจแบบ ชัวร์ป้าดต้องส่งวัสดุกลับมาวิเคราะห์ ในห้องแล็ปที่โลก







    อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่สร้างความตื่นเต้นให้แก่องค์การนาซ่า เห็นจะได้แก่เรื่องราวของ การค้นพบซากฟอสซิลของจุลชีวัน ในก้อนหินจากดาวอังคาร ชื่อว่า ALH84001 ที่ทุ่งน้ำแข็งขั้วโลกใต้

    หินก้อนนี้มีความเป็นมาอย่างไร ติดตามดูนะครับ

    1. ประมาณ 3.5 ล้านปีที่แล้ว พื้นผิวดาวอังคารอุดมไปด้วยน้ำและมีสิ่งมีชีวิตจำพวกจุลชีวัน (Microbes) สิ่งเหล่านี้เมื่อตายลงส่วนหนึ่งกลายเป็นซากฟอสซิลฝังตัวอยู่ในก้อนหิน

    2. สิ่งแวดล้อมของดาวอังคารเสื่อมโทรมลง ชั้นบรรยากาศส่วนใหญ่หายไป กลายเป็นโลกที่รกร้างว่างเปล่า

    3. ประมาณ 16 ล้านปีที่แล้ว แอสตีรอยส์หรือดาวหาง พุ่งเข้าชนดาวอังคาร กระแทกให้ก้อนหินจำนวนหนึ่งกระเด็นหลุดออกไปในอวกาศ

    4. หินจำนวนนี้โคจรอยู่รอบๆดวงอาทิตย์ ตามกฎของแรงดึงดูด และเมื่อ 13,000 ปีที่แล้ว ตกลงสู่ผิวโลกที่ขั้วโลกใต้ในบริเวณเนินเขาชื่อ Allan Hills

    5. ฤดูร้อนปี พ.ศ.2527 นักธรณีวิทยา (หญิง) ชื่อ Roberta Score เธอสังเกตเห็นหินรูปร่างแปลกนอนสงบนิ่งอยู่ในน้ำแข็ง เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่แต่ก็ด้วยสัญชาติยานของนักวิทยาศาสตร์ เธอเก็บมันใส่ย่ามและส่งไปให้ศูนย์วิจัยด้านอวกาศ Johnson Space Centre ที่เมือง Houston รัฐTexas และก็ถูกเก็บแช่ไนโตรเจนเหลวเป็นเวลา 8 ปี ความจริงศูนย์วิจัยแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเก็บหินจากพระจันทร์ในโครงการอะพอลโล่

    6. ปี พ.ศ.2536 หินก้อนนี้ถูกนำมาวิเคราะห์ และพบว่ามันเป็นหินที่มาจากดาวอังคารเพราะมีคุณสมบัติประกอบด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นธาตุหลัก (ยืนยันโดยผลสำรวจของยานไวกิ้ง) มีการแบ่งชิ้นส่วนของหินส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยกันตรวจ โดยไม่ได้บอกว่าหินก้อนนี้มาจากไหน

    7. นักเคมีชาวอังกฤษ ชื่อ ไซม่อน คลีเม้น (Simon Clement) ซึ่งกำลังทำวิจัยระดับปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด รัฐแคลิปฟอร์เนีย ได้รับชิ้นส่วนของหินและทำการตรวจตามกรรมวิธีที่ร่ำเรียนมาจนเสร็จสิ้นขบวนการ ไซม่อน ส่งผลการวิเคราะห์กลับไปให้องค์การนาซ่าโดยไม่ทราบว่าหินก้อนนี้มาจากไหน แต่ที่แน่ๆอีตานักเคมีจากเมืองผู้ดี รับทรัพย์ค่าตรวจไปเรียบร้อยตามระเบียบ

    8. สองปีต่อมา ในเช้าวันหนึ่ง ของต้นเดือนสิงหาคม พ.ศ.2539 ท่านด๊อกเตอร์ไซม่อน (ตอนนี้เรียนจบและกลับมาทำงานอยู่ที่บ้านเกิดในประเทศอังกฤษแล้ว) ต้องถูกปลุกให้ตื่นโดยเสียงโทรศัพท์จากลูกพี่เก่าตอนนี้เป็นผู้บริหารของมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด รัฐแคลิปฟอร์เนีย ที่เคยเรียนปริญญาเอก ลูกพี่เก่าส่งเสียงโว้กเว็กมาตามสายว่า เฮ้ย สู้เจ้ารีบเผ่นชนิดแปดแสนจับเที่ยวบินแรกตรงมายังกรุงวอชิงตัน แกรู้ไม้ว่าตอนนี้แกดังระเบิดแล้ววะ ดูหนังสือพิมพ์เช้านี้ซิเขาลงข่าวของแกกันใหญ่ อีตาด๊อกเตอร์ชาวผู้ดีงงเป็นไก่ตาแตกเพราะพบว่าที่สนามบินกรุงวอชิงตันมีนักข่าวมารุมล้อมเต็มไปหมด หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงท่านประธานาธิบดีรูปหล่อแห่งสหรัฐ บิลส์ คลินตัน กำลังจะเปิดแถลงข่าว การค้นพบฟอสซิลของจุลชีวันจากดาวอังคาร ซึ่งยืนยันว่าที่นั่นมี " ชีวิต "



    ภาษาอังกฤษสำนวนอเมริกัน ใช้คำพูดว่า We are not alone any more!

    วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ.2543 ผมได้รับข่าวด่วนสดๆจาก NASA News ระบุว่านักวิทยาศาสตร์ของนาซ่าพบหลักฐานเพิ่มเติมจากหินก้อนดังกล่าวว่าสามารถตรวจพบร่องรอยของสารประกอบแม่เหล็ก Magnetic compound เรียกชื่อทางเคมีว่า magnetite or Fe3O4 เกิดจากการกระทำของจุลชีวัน นาซ่าเรียกการค้นพบนี้ว่า Martian Micro-Magnets

    ข้อมูลลับ ที่นาซ่าไม่อยากเปิดเผย

    จากการค้นคว้าข้อมูลต่างๆทำให้ผมกล้าพูดได้ว่า องค์การนาซ่า มุมมิบข้อมูลความลึกลับของดาวอังคารเอาไว้มากพอควร ส่วนที่เขาเปิดเผยออกมาดูแล้วมีเล่ห์นัยพิกลเพราะปากหนึ่งก็บอกว่า ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่อีกมือหนึ่งทุ่มงบประมาณก้อนโตเพื่อสำรวจหาสิ่งมีชีวิต หลายครั้งแถลงว่ายังไม่พบอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ทำไมต้องทุ่มเทงบประมาณมหาศาล ส่งยานอวกาศลำแล้วลำเล่าไปสำรวจดาวอังคารอย่างต่อเนื่อง และทุกครั้งจะมีเป้าหมายการค้นหาน้ำ อินทรีย์วัตถุ และร่องรอยของสิ่งมีชีวิตสภาคองเกรสของอเมริกันก็ให้การสนับสนุนเต็มที่ในเรื่องงบประมาณ แม้บางครั้งถูกตัดไปบ้างตามภาวะเศรษฐกิจแต่ก็ยังเป็นเงินหลายพันล้านอยู่ดี ผมรู้นิสัยคนอเมริกันดีครับ พวกเขาไม่ใช่คนสุรุ่ยสุร่ายจะให้เงินลูกแต่ละดอลล่าห์ต้องมีเหตุผลอธิบายว่าจะเอาไปทำอะไร ไม่เหมือนพี่ไทยอย่างเราให้เงินลูกเพราะสงสาร หรือรำคาญเสียงร้องไห้ ผมจึงขอนำมาเปิดเผยให้ท่านที่เคารพได้ชมอย่างจะจะ ดังต่อไปนี้

    Richard C. Hoagland นักวิชาการอิสระเกี่ยวกับดาวอังคารฟันธงเปรี้ยงว่า นาซ่า เม้มข้อมูลเอาไว้มากมาย สิ่งที่นำมาเผยแพร่ก็ถูกบิดเบือน เช่น ภาพถ่ายจำนวนมากถูกดัดแปลงโดยทำให้เบลอๆดูไม่ชัดเจน พี่แกไม่สบอารมณ์กับเรื่องนี้เพราะถือว่าองค์การนาซ่าเป็นหน่วยงานของรัฐบาล ใช้งบประมาณจากภาษีของชาวอเมริกัน เมื่อได้ข้อมูลอะไรมาก็ต้องแจ้งให้สาธารณะชนทราบ แต่ฝ่ายทางการก็มีข้ออ้างโดยอิงกฎหมายว่าด้วยความมั่นคงของชาติ เล่นกันคนละแง่ครับ คุณพี่แกเลยต้องเปิดเวทีของตนเอง เหมือนนักการเมืองนอกสภา มีผู้คนสนใจฟังจำนวนมาก พอๆกับรายการอภิปรายไม่ไว้วางใจผมอ่านข้อมูลของพี่แกดูแล้วน่าสนใจครับ เพราะมีเหตุมีผล มีภาพประกอบ ราวกับอภิปรายไม่ไว้วางใจ ผมเองก็สงสัยเรื่องนี้มานานแล้วเนื่องจากสังเกตเห็นอาการลับๆล่อๆ ขององค์การนาซ่า หลายครั้งแถลงว่ายังไม่พบอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ทำไมต้องทุ่มเทงบประมาณมหาศาล ส่งยานอวกาศลำแล้วลำเล่าไปสำรวจดาวอังคารอย่างต่อเนื่อง และทุกครั้งจะมีเป้าหมายการค้นหาน้ำ อินทรียวัตถุ และร่องรอยของสิ่งมีชีวิต



    ภาพถ่ายจากกล้องของยาน Curiosity แสดงวัตถุบางอย่างที่ไม่น่าจะเกิดจากธรรมชาติ เพราะรูปร่างคล้ายกับส่วนหนึ่งของโครงสร้างอย่างใดอย่างหนึ่ง ภาพซ้ายมือเป็นสีจากภาพต้นฉบับ ภาพขวามือเป็นภาพที่เติมสีเหลืองเข้าไปเพื่อให้มองเห็นรูปร่างชัดขึ้น

    อีกภาพหนึ่งของซากเมืองโบราณบนดาวอังคาร ?

    ผมเชื่อว่าข้อมูลความลี้ลับของดาวอังคารยังมีอีกเยอะ แต่องค์การนาซ่าพยายามปกปิดหรือบิดเบือนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะขืนยอมรับออกมาง่ายๆจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเชื่อในด้านศาสนา เรื่องนี้เข้าตำราปากว่าตาขยิบครับ ปากหนึ่งพี่แกนั่งยันนอนยันว่าไม่มีอะไรในก่อไผ่ ทั้งๆที่สาธารณะชนตั้งคำถามอย่างต่อเนื่องว่า ในเมื่อท่านบอกว่าดาวเคราะห์สีแดงดวงนี้ไม่มีอะไร ทำไมจึงตั้งหน้าตั้งตาทุ่มเทงบประมาณส่งยานอวกาศมูลค่าหลายพันล้านไปสำรวจ ขณะที่ประชาชนชาวเมืองลุงแซมจำนวนหลายล้านครัวเรือนยังมีคุณภาพชีวิตต่ำกว่ามาตรฐาน



    ชาวอเมริกันผิวดำหรือที่คนไทยเราเรียกอย่างคุ้นเคยราวกับสนิทสนมกันมานานปีว่าพี่มืด ยังอาศัยกินอยู่หลับนอนในแหล่งสลัมตามมหานครของรัฐต่างๆ ผมเคยไปดูงานที่มหานคร New York ก็เห็นสภาพชีวิตที่ค่อนข้างรันทดของประชาชนชั้นสอง ของชาติที่เรียกตัวเองว่ามหาอำนาจ นอกจากนี้คนอเมริกันตามบ้านนอกบ้านนายังอ่านหนังสือออกมั่งไม่ออกมั่ง เพราะไม่ได้เรียนหนังสืออย่างเป็นเรื่องเป็นราว ยังดีที่รัฐบาลอเมริกันมีระบบประกันสังคม ไม่งั้นคงเห็นขอทานเดินขวักไขว่ตามเมืองใหญ่ๆ หากทีวีช่องเจ็ดสีไปทำสารคดีลักษณะวงเวียนชีวิตที่นั่น รับรองว่าหาตัวอย่างได้ไม่ยากในประเทศนี้ นี่คือสภาพเศรษฐกิจและสังคมตัวจริงเสียงจริง ผมยังไม่เคยได้ยินคำอธิบายเหตุผลความแตกต่างระหว่างการทุ่มงบประมาณสำรวจดาวอังคาร กับงบประมาณที่ควรจะใช้ในโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน จากปากของรัฐบาลอเมริกันแม้แต่คำเดียว




    ในปี ค.ศ. 2007 องค์การนาซ่า ส่งยานลำใหม่ชื่อ Phoenix Mars Lander 2007 ไปสำรวจดาวอังคารโดยพกพาอุปกรณ์ไฮเทคไปเต็มลำ ปล่อยขึ้นสู่อวกาศในเดือนสิงหาคม 2007 และถึงดาวอังคารเดือนพฤษภาคม 2008 เพื่อสำรวจหาแหล่งน้ำและร่องรอยของสิ่งมีชีวิตในบริเวณขั้วโลก

    ที่สุดของที่สุด องค์การนาซ่า ยอมรับว่าการค้นหาสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารเป็นเรื่องจริง โดยมีหลักฐานเริ่มต้นจากการค้นพบซากฟอสซิลในก้อนหิน (meteorite) ที่มาจากดาวอังคาร ตามข่าวพาดหัว CNN เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2539 ตั้งแต่นั้นมา องค์การนาซ่า จึงมุ่งเน้นการสำรวจไปที่เป้าหมายดาวอังคาร โดยมีการปรับแผนงานด้าวอวกาศให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์นี้ เพราะเริ่มเชื่อว่าดาวดวงนี้เป็นแหล่งกำเนิดของชีวิตเมื่อหลายพันล้านปีที่แล้ว เช่นเดียวกับทฤษฏีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตบนโลก ซึ่งเริ่มต้นจากจุลินทรีย์ตัวน้อยๆ (Microscopic life) จากข้อมูลที่เห็นกันอยู่แล้ว พบว่าดาวอังคารมีแหล่งน้ำ และภูเขาไฟ แสดงว่าต้องมีสิ่งมีชีวิตที่สามารถอาศัยอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่ร้อนสุดๆ โดยแฝงตัวอยู่ในปล่องน้ำพุร้อน ลึกลงไปใต้ดิน เหมือนกับกรณีของบ่อน้ำพุร้อน ที่อุทยานแห่งชาติ เยลโร่สโตนส์ สหรัฐอเมริกา


    สรุป


    การค้นหาสิ่งมีชีวิตที่ดาวอังคาร ยังเป็นภารกิจที่คาใจองค์การนาซ่าอย่างมาก เพราะข้อมูลต่างๆที่ได้รับส่อไปในทางบวกที่มีแนวโน้มว่าดาวอังคารต้องมีอะไรบางอย่าง ผมเชื่อว่าจริงๆแล้วสหรัฐอเมริกามีข้อมูลมากกว่าที่เราๆท่านๆรู้ ไม่งั้นแล้วพี่แกจะต้องร้อนรนควักกระเป๋าอย่างหนักทำไม ยานอวกาศแต่ละลำราคาแพงกว่างบประมาณซื้ออาหารแจกคนจนในอเมริกาทั้งประเทศ ผมทำงานเป็นที่ปรึกษากับ USAID หลายโครงการ รู้เช่นเห็นชาติความขี้เหนียวงบประมาณของฝ่ายการเงินอเมริกันอย่างดี แต่ถ้าโครงการไหนเข้าตากรรมการและมีแนวโน้มอย่างแรงว่าจะประสบความสำเร็จ ลูกพี่แกทุ่มทุนชนิดถึงไหนถึงกัน ถ้าใครว่าอเมริกันเป็นคนสุรุ่ยสุร่ายผมกล้าเถียงว่าไม่จริง ถ้าจะพูดให้ถูกคนอเมริกันควักกระเป๋าไม่อั้นถ้าโครงการนั้นๆมีความเป็นไปได้สูง สำนวนอังกฤษสไตล์อเมริกันใช้คำว่า Sound Project หรือ Sexy Project ดังนั้นโครงการค้นหาสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารก็เข้าทำนองนี้แหละ



    ยานสำรวจ “มาร์คิวริออสซิตี้” (Mars Curiosity) เปิดเกมส์การค้นหาสิ่งมีชีวิตด้วยอุปกรณ์ไฮเทครุ่นล่าสุด

    องค์การนาซ่าได้ของเล่นราคาแพงตัวใหม่อีกแล้วครับท่าน หลังจากที่ได้ส่งยานสำรวจดาวอังคารด้วย “หุ่นยนต์” หลายรุ่นไปเดินต้วมเตี้ยมบนผิวดาวเคราะห์สีแดงดวงนี้ หมดสะตางค์ภาษีของบรรดาชาวมะริกันไปนับไม่ถ้วน จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีอะไรฮือหาให้สมน้ำสมเนื้อ แต่ก็อย่างที่ผมชี้นำในบทความนี้แต่ต้นว่าองค์การนาซ่าอุบไต๋ไว้มากพอดู ผมแน่ใจว่าพี่แกได้ระแคะระคายหลักฐานยืนยันว่าดาวอังคารก็มี “สิ่งมีชีวิต” ไม่งั้นจะทุ่มเทงบประมาณก้อนโตอีก 2.5 พันล้านเหรียญ หาพระแสงอะไร

    เมื่อวันที่ 26 พฤษจิกายน 2554 ได้ส่งยานสำรวจชื่อ “Curiosity rover” ภายใต้ปฏิบัติการ Mars Science Laboratory ยานลำนี้มีขนาดใหญ่กว่ารุ่นก่อนๆมากเปรียบได้กับรถยนตร์เก๋งโตโยต้าวีอ้อส น้ำหนัก 900 กิโลกรัม พกพาอุปกรณ์ไฮเทครวม 10 รายการ ได้แก่ เครื่องมือวิจัยทางธรณีวิทยา อุปกรณ์การย่อยหิน เครื่องยิงแสงเลเซ่อร์ใส่ก้อนหินเพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีฟิซิกส์ และที่ขาดไม่ได้ก็กล้องถ่ายภาพหลายตัว วัตถุประสงค์หลักของปฏิบัติการนี้คือ ค้นหาและวิเคราะห์ว่าดาวดวงนี้มีสภาพความเหมาะสมต่อสิ่งมีชีวิตหรือไม่ (ทั้งอดีตและปัจจุบัน) และแน่นอนครับต้องให้รู้ดำรู้แดงว่ามีร่องรอยของสิ่งมีชีวิต ยานลำนี้จะถึงดาวอังคารวันที่ 5 สิงหาคม 2555 และจะปฏิบัติการเป็นเวลา 23 เดือน หรือ 1 ปีของดาวอังคาร ล่าสุดองค์การนาซ่าให้ข้อมูลว่ายานสำรวจกำลังมุ่งหน้าสู่ดาวอังคารด้วยความเร็ว 15,200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กินระยะทางไปแล้ว 117 ล้านกิโลเมตร (ถึงวันที่ 7 มกราคม 2555) จากระยะทางทั้งหมด 567 ล้านกิโลเมตร



    การผลิตยานสำรวจดาวอังคารรุ่นล่าสุด Curiosity Rover ที่ศูนย์ขององค์การนาซ่า
    การปล่อยยานเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2554

    หน้าตาของยานสำรวจ ดูแล้วน่าจะขลัง





    เปรียบเทียบขนาดของยานสำรวจ Curiosity Rover กับคนอเมริกันทั่วไป

    แสดงการยิงแสงเลเซ่อร์ใส่ก้อนหินเพื่อวิเคราะห์หาองค์ประกอบทางเคมี ฟิซิกส์

    แสดงเส้นทางการโคจรจากโลกถึงดาวอังคาร โดยมีกำหนดการลงจอดในวันที่ 5 สิงหาคม 2555 (ตามเวลาท้องถิ่นของรัฐแคลิปฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา)

    ลำดับขั้นตอนการลงจอด
    เมื่อเข้าใกล้ดาวอังคารยานแม่จะมองหาตำแหน่งเป้าหมายโดยประสานข้อมูลกับยานสำรวจดาวอังคารของเดิมที่โคจรอยู่ที่นั่น
    พอล้อกเป้าหมายได้ที่ก็ลดระดับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโดยมีแผ่นป้องกันความร้อนช่วยคุ้มกัน

    พอเข้าใกล้พื้นดินและผ่านช่วงอันตรายจากความร้อนซึ่งเกิดจากการเสียดสีของชั้นบรรยากาศแล้วร่มชูชีพจะกางออกเพื่อพยุงตัวให้หย่อนลง

    เมื่อเข้าสู่ชั้นบรรยากาศที่หนาแน่นร่มชูชีพจะกางออกเพิ่งพยุงให้ลดระดับอย่างช้าๆ

    ใกล้ลงมาอีกร่มชูชีพถูกสลัดทิ้ง ให้เป็นหน้าที่ของจรวดขับดันช่วยพยุงตัว

    มีการปล่อยสลิงให้ยานทิ้งตัวลง ขณะที่จรวดขับดันยังทำหน้าที่พยุงตัว

    เมื่อยานแตะพื้นเรียบร้อยแล้ว จรวดขับดันและลวดสลิงจะถูกสั่งให้ปลิวหลุดออกไปทิ้งที่อื่น

    พร้อมเริ่มออกปฏิบัติการตามคำสั่ง

    จากรายงานขององค์การนาซ่าเมื่อวันที่ 11 May 2012 แจ้งว่ายาน Mars Curiossity หรือ Mars Science Laboratory ได้มุ่งหน้าไปค่อนทางแล้วคิดเป็น 404,094,567 Km เหลือระยะทางที่จะต้องไปอีก 162,972,003 Km ใช้เวลา 86 วัน


    จากรายงานเมื่อวันที่ 30 กรกฏาคม 2555 ยานลำนี้เดินทางไปแล้ว 554,854,879 กม. และยังเหลือระยะที่จะต้องเดินทางต่อไปอีก 12,211,692 กม. ถ้าวัดเป็นระยะทางแบบตรงๆยานลำนี้อยู่ห่างจากโลก 240,221,159 กม. และห่างจากดาวอังคารเพียง 2,068,032 กม. แต่ที่จะต้องเดินทางอีก 12 ล้านกว่า กม. เพราะต้องโคจรเป็นวงกลมไปรอบดาวอังคารเพื่อปรับให้เข้าสู่ตำแหน่งความสูงที่เหมาะสมต่อการทิ้งตัวลงจอดในเป้าหมายที่กำหนด ทั้งนี้มีกำหนดจะลงจอดในวันที่ 5 หรือ 6 สิงหาคม 2555



    ภาพแสดงแผนที่เป้าหมายสถานที่ลงจอดของยานสำรวจ

    ลงจอดอย่างนิ่มนวลแล้วครับ เมื่อวันอังคารที่ 6 สิงหาคม 2555 ตรงกับเวลาท้องถิ่นไทย 12:32 น.


    เจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การนาซ่าแถลงข่าวก่อนการลงจอดของยานสำรวจราคาแพงลิ่ว 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ว่าทุกคนแทบไม่ได้หลับได้นอนเพราะมีช่วงเสี่ยงชนิดสุดๆประมาณ 7 นาที เนื่องจากมีการออกแบบอุปกรณ์ช่วยหย่อนตัวลงจอดแบบใหม่ชนิดขับดันด้วยไอพ่น ถ้ามันไม่เวิร์กอย่างที่คิดเงินมหาศาลเป็นอันสลายทันที แต่ที่สุดก็ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม





    ทีมงานที่ศูนย์ควบคุมดีใจอย่างสุดๆเมื่อรู้ว่ายาน Curiosity ได้ลงจอดอย่างนิ่มนวลตามแผนทุกประการ โดยได้รับการยืนยันจากภาพถ่ายที่ส่งมายังโลก มองเห็นพื้นดินและเงาของตัวยานปรากฏอยูในจอภาพ

    หลังจากนั้นไม่นานภาพที่สองและภาพต่อๆไปก็ทยอยออกที่หน้าจอแสดงให้เห็นทิวทัศน์รอบบริเวณที่ลงจอด

    ยานลำนี้พกนาฬิกาแดดไปด้วยเพื่อคำนวณหามิติเวลาที่ดาวอังคาร เพราะต่อไปจะต้องใช้เวลาของที่นั่นประกอบกับเวลาของโลก

    นี่คือรูปลักษณ์ของนาฬิกาแดดที่ติดตั้งบนยานสำรวจ

    งานนี้แจ้งเกิด "แฟฟั่นทรงผมใหม่สไตล์ฟั้ง" จากนักวิทยาศาสตร์ขององค์การนาซ่า




    ผมว่าเดี๋ยววัยรุ่นอเมริกันจะตามกันใหญ่เพราะทรงผมแบบนี้ภาษาไทยเรียกว่า "ทรงขัดใจแม่" หรือทรง "โมฮ้อก"









    ภาพทิวทัศน์ของดาวอังคาร

    เริ่มออกเดินครั้งแรก

    หลังจากตั้งหลักอยู่พักใหญ่ศูนย์ควบคุมได้ออกคำสั่งให้ยานเริ่มออกเดินในระยะทางใกล้ๆเพื่อทดสอบอุปกรณ์บังคับการเคลื่อนไหว กล้องที่ตัวยานจับภาพรอยบนพื้นดินเหมือนตีนตะขาบของลูกล้ออย่างชัดเจน





    27 สิงหาคม 2555 ผู้อำนวยการองค์การนาซ่าส่งคำปราศัยไปยังยานคิวริออสซิตี้ที่ดาวอังคาร และถ่ายทอดกลับลงมาที่ห้องศูนย์ควบคุม

    โดยมีข้อความ ดังนี้




    Hello. This is Charlie Bolden, NASA Administrator, speaking to you via the broadcast capabilities of the Curiosity Rover, which is now on the surface of Mars.




    Since the beginning of time, humankind’s curiosity has led us to constantly seek new life…new possibilities just beyond the horizon. I want to congratulate the men and women of our NASA family as well as our commercial and government partners around the world, for taking us a step beyond to Mars.











    This is an extraordinary achievement. Landing a rover on Mars is not easy – others have tried – only America has fully succeeded. The investment we are making…the knowledge we hope to gain from our observation and analysis of Gale Crater, will tell us much about the possibility of life on Mars as well as the past and future possibilities for our own planet. Curiosity will bring benefits to Earth and inspire a new generation of scientists and explorers, as it prepares the way for a human mission in the not too distant future.
    Thank you



    สวัสดีคีครับ นี่คือเสียงของชาล โบลเด้น ผู้บริหารองค์การนาซ่า กำลังพูดกับท่านผ่านการถ่ายทอดสดผ่านยานคิวริออกซิตี้ ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ผิวดาวอังคาร จากกาลเวลาอันยาวนานมนุษยชาติมีความอยากรู้อยากเห็นจนทำให้ต้องพยายามค้นคว้าแสวงหาสิ่งมีชีวิตใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง ความเป็นไปได้อาจจะอยู่ไกลเกินกว่าขอบฟ้า ผมใคร่ขอแสดงความยินดีต่อท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีในครอบครัวนาซ่าของเรา ตลอดจนภาคเอกชนและรัฐบาลที่เป็นพันธมิตรทั่วโลก ในการนำเราไปไกลถึงดาวอังคาร

    ผลงานครั้งนี้นับว่าวิเศษสุดยอด เพราะการนำยานลงจอดบนดาวอังคารไม่ใช่ของง่าย ประเทศ อื่นๆได้เคยพยายามทำมาแล้ว มีแต่อเมริกาเท่านั้นที่ทำสำเร็จ การลงทุนครั้งนี้จะนำไปสู่ความรู้ซึ่งจะได้จากการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลที่บริเวณพื้นที่ของหลุมอุกาบาตชื่อว่า "เกล" เราคงจะรู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่ที่นั่นหรือไม่ ซึ่งจะสามารถนำมาเทียบเคียงเพื่ออธิบายที่มาที่ไปของสิ่งมีชีวิตบนโลกของเราทั้งในอดีตและอนาคตข้างหน้า ยานคิวริออสซิตี้จะยังผลประโยชน์แก่โลกโดยเป็นตัวกระตุ้นและกรุยทางให้นักวิทยาศาสตร์และนักสำรวจรุ่นใหม่ในโครงการส่งมนุษย์ไปยังดาวอังคารในอนาคตที่ไม่ไกลจากนี้

    ขอบคุณครับ



    นายชาล โบลเด้น เจ้านายใหญ่ขององค์การนาซ่า



    นักวิทยาศาสตร์และพนักงานที่ศูนย์ควบคุมองค์การนาซ่ากำลังนั่งฟังคำปราศัยของเจ้านายใหญ่ผ่านการถ่ายทอดสดจากยานคิวริออสซิตี้



    ภาพบรรยากาศในศูนย์ควบคุมขณะที่นายชาล โบลเด้น กำลังปราศัย



    ภาพปริศนาบนดาวอังคารถ่ายทอดสดจากยาน คิวริออสซิตี้

    กล้องวีดีโอของยานคิวริออสซิตี้สามารถจับภาพ "วัตถุลึกลับ" เคลื่อนไหวที่ขอบท้องฟ้า นักวิทยาศาสตร์ของศูนย์ควบคุมยังไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร แต่บรรดาแฟนๆ "ยูเอฟโอ" เริ่มส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ผมเองก็เฝ้าติดตามผลอย่างใกล้ชิดแต่ยังฟันธงอะไรไม่ได้ถนัดนัก ขอเกาะติดข้อมูลไปพลางๆก่อน ตอนนี้เท่าที่ทำได้ก็เอาภาพมาให้ท่านทั้งหลายได้ชม



    กล้องวีดิโอของยานคิวริออสซิตี้จับภาพวัตถุเคลื่อนที่ในขอบฟ้า ผมดูในวีดิโอภาพเคลื่อนไหว (จากต้นฉบับ) ก็เห็นมันเคลื่อนตัวจากซ้ายไปขวา



    นี่ก็เป็นอีกภาพนึงจากวีดิโอของยานคิวริออสซิตี้ ผมดูในต้นฉบับเห็นมันเคลื่อนตัวเข้าไปด้านหลังภูเขาและโผล่ออกมาอีกด้านหนึ่ง





    สองภาพข้างบน เป็นภาพจากยานสำวรวจดาวอังคารที่ชื่อ "สปิริต" เมื่อหลายปีที่แล้วก็มีภาพวัตถุบินได้อยู่ที่ดาวอังคาร

    มุ่งหน้าสู่พื้นที่เป้าหมาย

    ยานคิวริออสซิตี้กำลังออกเดินมุ่งหน้าสู่พื้นที่เป้าหมายที่สงสัยว่าจะมีหลักฐานเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต ขณะเดียวกันทางศูนย์ควบคุมก็สั่งให้ทดสอบการใช้แขนกลยาว 2 เมตร ดูว่ามีอะไรผิดปกติในกลไกหรือไม่เพราะเมื่อไปถึงพื้นที่เป้าหมายแขนกลจะทำหน้าที่ขุดดินขึ้นมาวิเคราะห์



    ยานได้เคลื่อนตัวไปประมาณ 100 เมตร นับจากจุดที่ลงจอด และกำลังมุ่งหน้าสู่พื้นที่เป้าหมายเป็นเชิงภูเขา



    ภาพวาดแสดงการเคลื่อนตัวเข้าหาเป้าหมาย



    ภาพเปรียบเทียบระหว่างดาวอังคารกับแกรนแคนย่อนที่อเมริกา



    แขนกลของยานคิวริออสซิตี้เริ่มขุดตัวอย่างดินเป็นครั้งแรก

    หลังจากที่ไหว้ครูอยู่นานหลายเดือนยานคิวริออสซิตี้ยื่นแขนกลออกไปขุดตัวอย่างดินเพื่อป้อนให้ห้องทดลองที่อยู่ในตัวยานทำการวิเคราะห์โครงสร้างและคุณสมบัติทางเคมี ห้องทดลองมีชื่อย่อว่า SAM มาจากคำเต็ม Sample Analysis at Mars ในชั้นต้นนี้ผลการวิจัยยังไม่พบอินทรีย์วัตถุที่เหมาะแก่สิ่งมีชีวิต แต่ได้พบสารที่น่าจะมีประโยชน์ต่อการดำรงชีพของจุลินทรีย์ เช่น โมเลกุลของน้ำ แร่ธาตุกำมะถัน ธาตุคอลีน และออกซิเจน นอกจากใช้แขนกลขุดตัวอย่างดินแล้วยังได้เก็บตัวอย่างฝุ่นและทรายเม็ดเล็กๆที่ปลิวมากับสายลมด้วยเรียกว่า Rocknest









    ยานคิวรีอ้อสซิตี้เริ่มเจาะก้อนหินเป็นครั้งแรก

    เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2556 ยานสำรวจก็เริ่มใช้สว่านเจาะก้อนหินเพื่อจะดูว่ามีโครงสร้างอย่างไรตามหลักการทางธรณีวิทยา เพราะก้อนหินเป็นวัตถุพยานชั้นดีของวิวัฒนาการที่เกิดจากการตกตะกอนของน้ำย่อมมีซากอินทรีย์วัตถุหรือฟอสซิลตกค้างอยู่ไม่มากก็น้อย ตัวอย่างที่เจาะครั้งแรกนี้มีขนาดกว้าง 1.6 Cm ลึก 6.4 Cm ตัวอย่างหินจะถูกนำเข้าเครื่องวิเคราะห์ที่อยูในตัวยานเพื่อหาข้อมูลต่างๆ อีกไม่นานองค์การนาซ่าคงจะแถลงให้ทราบผล





    ภาพถ่ายตัวเองของยานคิวริอ้อสซิตี้โดยใช้กล้องติดกับแขนกล ขณะกำลังเริ่มขุดเจาะหินด้วยอุปกรณ์พิเศษ



    ผลการเจาะหินเพื่อนำตัวอย่างเข้าวิเคราะห์ในห้องแลปที่ใต้ท้องยาน พบว่ามีคุณสมบัติที่เอื้อต่อสิ่งมีชีวิต เช่น จุลชีวัน (microorganisms)

    ภาพถ่ายปริศนาบนก้อนหิน

    องค์การนาซ่าปล่อยภาพปริศนาหลุดออกมาสู่สายตาของบรรดาแฟนคลับผู้อยากรู้อยากเห็นโดยไม่ได้อธิบายอะไรสักแอะ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญอิสระต้องตีความกันวุ่นว่า เจ้าสิ่งนี้น่าจะเป็นวัตถุเนื้อโลหะเพราะมีลักษณะมันวาว โดยปกติแร่โลหะตามธรรมชาติจะไม่อยู่ในรูปฟอร์มของวัตถุแบบนี้ เพราะต้องผ่านขบวนการถลุงและหลอมให้ได้รูปร่างเสียก่อน และนี้มันคืออะไรกันแน่ละ ก็ต้องติดตามกันต่อไปละคร้าบ





    ภาพปริศนาที่ยังไม่มีคำอธิบาย









    นาซ่าฟันธงว่ากาลครั้งหนึ่งดาวอังคารเคยมีแม่น้ำที่เชี่ยวกราก

    ภาพถ่ายและข้อมูลการวิเคราะห์ทางธรณีวิทยาของยานคิวริออสซิตี้ ยืนยันชัดเจนว่ากาลครั้งหนึ่งเคยมีแม่น้ำไหลอย่างเชี่ยวกรากบนดาวอังคาร โดยดูจากการกัดเซาะบนก้อนหิน และการมีก้อนกรวดที่รูปร่างกลมและผิวเกลี้ยงเกิดจากการกัดเซาะของกระแสน้ำ เหมือนกับหินกรวดในแม่น้ำโขงที่ผู้รับเหมาเอามาผสมปูนก่อสร้างบ้าน













    ภาพจำลองให้เห็นว่าน้ำที่เกิดจากการละลายของหิมะ (สีขาวๆบนขอบ) ลงไปสะสมในหลุมขนาดใหญ่



    หินที่เกิดจากการตกตะกอนของน้ำมีสภาพทางธรณีวิทยาเหมือนกับบนโลกของเรา



    หินที่อยู่ใต้ทะเลสาปเกิดจากการกัดเซาะของน้ำ



    ซากฟอสซิลบนดาวอังคาร

    หลักฐานของการมีแม่น้ำ และภาพถ่ายวัตถุคล้ายฟอสซิลบนผิวดาวอังคาร อาจสัณนิษฐานได้ว่ากาลครั้งหนึ่งนานมากอาจจะหลายร้อยล้านปีมาแล้วดาวอังคารอุดมไปด้วยมีสิ่งมีชีวิตแต่ด้วยเหตุผลของการเสื่อมสภาพแวดล้อมอย่างรุนแรง ทำให้เกิดการสูญพันธ์ุครั้งใหญ่ ประกอบกับภาพถ่ายดูคล้ายสัตว์ขนาดเล็กที่ปรากฏในสาระบบของยานคิวริออสซิตี้ ทำให้คิดถึงการสูญพันธ์ุของไดโนเสาร์และเกิดวิวัฒนาการของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กตามมาในยุคนีโอโซอิก









    ภาพนี้ชวนให้สงสัยว่าจะเป็นซากฟอสซิลของสัตว์ (เปรียบเทียบกับฟอสซิลไดโนเสาร์)

    ต้นปี 2014 ตรงกับวันที่ 504 ของการลงจอดบนดาวอังคาร

    ยานคิวริออสซิตี้ส่งภาพลึกลับมายังศูนย์ควบคุม องค์การนาซ่าก็ไม่กล้าอธิบายว่ามันคืออะไร ปล่อยให้บรรดาแฟนคลับตีความกันเอง





    ขณะที่กำลังขุดดินเพื่อพิสูจน์ตัวอย่างทางเคมีชีวะ กล้องของยาน Curiosity ก็จับภาพไปเรื่อยๆ และหนึ่งในนั้นเป็นภาพวัตถุบางอย่างกำลังบินอยู่บนฟ้าในระยะไกล





    เมื่อขยายภาพก็เห็นเป็นรูปร่างอย่างนี้ ผมดูแล้วมันต้องเป็นยานอวกาศอย่างใดอย่างหนึ่งแต่ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน ศูนย์ควบคุมที่ฮิวตั้นก็ไม่ได้รายงานผลว่ามันคืออะไร ปล่อยให้แฟนคลับตีความกันเองไปพลางๆก่อน ถ้าวิเคราะห์ตามหลักฟิสิกซ์มันต้องเป็นวัตถุประเภทโลหะอย่างใดอย่างหนึ่งเพราะสามารถสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นมันวาว และก็มีแสงเหมือนไอพ่นออกมาด้านหลัง







    ผมไปชมพิพิธภัณฑ์การบินและอวกาศที่รัฐอลาบาม่า สหรัฐอเมริกา







    นาซ่าฟันธงจากหลักฐานล่าสุด "ดาวอังคารเคยมีทะเลขนาดใหญ่"

    จากผลการสำรวจด้วยวิธีผสมผสานระหว่างการถ่ายภาพจากหอดูดาวบนพื้นโลก ดาวเทียมที่โคจรอยู่รอบดาวอังคาร และการเก็บข้อมูลจากยานสำรวจภาคพื้นดินที่ชื่อ Curiosity หลักฐานทั้งหมดยืนยันว่า 4.3 พันล้านปีที่แล้วดาวอังคารเคยมีทะเลขนาดใหญ่ความลึกเฉลี่ย 137 เมตร และลึกที่สุดราวๆ 1.6 กิโลเมตร ครอบคลุม 19% ของผิวดาวอังคาร แต่น้ำเหล่านั้นค่อยๆหายไปในอวกาศจนเหลือเป็นน้ำแข็งอยู่ที่ขั้วเหนือ หากเปรียบเทียบกับโลกของเราเมื่อสี่พันกว่าล้านปีที่แล้วเรายังเป็นเพียงโลกที่ร้อนระอุและไม่มีวี่แววสิ่งมีชีวิต ดังนั้นถ้าเป็นไปตามนี้ดาวอังคารน่าจะเริ่มต้นสิ่งมีชีวิตก่อนโลกหลายพันล้านปีและก็สูญสิ้นดับสลายไปก่อนหน้าโลกเรานับพันล้านปีเช่นกัน





    ภาพจำลองแสดงให้เห็นทะเลที่ดาวอังคาร และภาพหลักฐานทางธรณีวิทยา เช่น ก้อนกรวดกลมๆที่เกิดจากการไหลของน้ำ (ภาพถ่ายแบบ close-up ภาคพื้นดินโดยยาน curiosity ในบริเวณที่มีร่องรอยการกัดเซาะของน้ำ)





    ภาพเปรียบเทียบระหว่างดาวอังคารเมื่อ 4.3 พันล้านปีที่แล้ว (ซ้าย) กับดาวอังคารในปัจจุบัน (ขวา)





    โลกเมื่อ 4.3 พันล้านปีที่แล้วเรายังเป็นดาวเคราะห์ที่ร้อนระอุ และไม่มีวี่แววสิ่งมีชีวิตใดๆเลย



    เรื่องนี้ยังไม่จบ ผมจะติดตามและ update ข้อมูลอย่างต่อเนื่องที่มีความก้าวหน้า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤษภาคม 2015
  6. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    !!??

    เป็นเรื่องไม่ง่าย จริงๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤษภาคม 2015
  7. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ยานสำรวจโฟบอส-2 เงียบหายที่ดาวอังคาร……..อุบัติเหตุ หรือโดนยิง?

    ลองถามดูในเว็บ
     
  8. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เชส แบรนดอน

    สิ่งที่น่าสนใจ นอกจากมนุษย์ต่างดาวแล้ว จานบินของมนุษย์ต่างดาวก็เป็นที่น่าสนใจไม่น้อย มีการเปิดเผยว่า เหตุการณ์ยูเอฟโอตกที่เมืองรอสเวลล์ มลรัฐนิวเม็กซิโก เมื่อ 65 ปีที่ผ่านมานั้น เชส แบรนดอน ซึ่งเคยทำงานเป็นสายลับของซีไอเอนานกว่า 25 ปี ออกมาแฉว่า รัฐบาลวอชิงตันปกปิดความจริงเรื่องจานบินมนุษย์ต่างดาว

    เขากล่าวว่า ข้อมูลหลักฐานการมาเยือนของมนุษย์ต่างดาวทั้งหมด ได้ถูกเก็บไว้ในคลังใต้ดินที่สำนักงานใหญ่ของหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐในเมืองแลงลีย์ มลรัฐเวอร์จิเนีย แต่ทางการพยายามปกปิดว่ามันเป็นบอลลูนตรวจอากาศ มีเอกสารบางชิ้นซึ่งบ่งบอกว่า ทางการอเมริกันปกปิดเรื่องเอเลี่ยน เช่น บันทึกของเอฟบีไอ ซึ่งเผยแพร่ทางออนไลน์ในชื่อห้องใต้ดิน (The Vault) เผยถึงข้อมูลการเก็บชิ้นส่วนจานบิน 3 ลำ ที่ตกในนิวเม็กซิโก มีรายละเอียดว่า



    “จานบินนี้มีรูปทรงกลม ตรงกลางโป่งนูนขึ้น มีความกว้างประมาณ 50 ฟุต แต่ละลำมีร่างของสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ 3 ร่าง แต่สูงแค่ 3 ฟุตร่างเหล่านั้นสวมชุดที่มีเส้นใยโลหะละเอียด และมีชุดปรับความดันแบบเดียวกับที่นักบินใช้กัน “

    แต่การปกปิดเรื่องเหล่านี้ เพราะรัฐบาล ได้นำไปผ่าตรวจเพื่อศึกษา และมีการนำเอาเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ได้จากจานบินที่ตกนั้นมาพัฒนาเป็นอุปกรณ์สมัยใหม่

    จะจริงหรือไม่จริง แน่นอนว่ายังคงเป็นสิ่งที่ต้องใช้วิจารณญาณ ความมีตัวตน และว่าจะถูกรุกรานจากชาวนอกโลกหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ มนุษย์ส่วนหนึ่งก็เตรียมบุกดาวอังคาร ไปตั้งถิ่นฐานรกราก ณ ที่แห่งนั้น หากการสำรวจ ติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกได้สำเร็จในอีก11ปีข้างหน้า

    มนุษย์ จึงเป็นมนุษย์ต่างดาวสำหรับสิ่งมีชีวิตบนดาวอื่นๆ ที่น่ากลัวเช่นเดียวกัน และที่สำคัญ มนุษย์ได้ตั้งมั่น บุก สำรวจ ดาวนอกโลกไว้อย่างชัดเจน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
  10. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    https://youtu.be/0WVyWlqMgbY

    หรือกำลังซุกซ่อนอยู่ใต้ดิน ใต้มหาสมุทร ฯลฯ
     
  11. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
  12. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
  13. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
  14. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
  15. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. สมทิ สมวา

    สมทิ สมวา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +103
    ในระบบสุริยะจักรวาลหนึ่ง จะมีน้ำเหมือนโลกนี้ดวงหนึ่งเท่านั้น
    เพราะน้ำจะมีอุณหภูมิพอเหมาะจึงจะเป็นน้ำได้ และมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้
    ในระบบสุริยะจักรวาลหนึ่ง จะมีกระบวนการขับน้ำให้ไปอยู่ดาวดวงนั้นเอง
     
  17. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
  18. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
  19. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    https://youtu.be/aGqSuyhmhCw
    คลิปผ่าตัดชันสูตรศพเอเลี่ยนที่ผู้เชี่ยวชาญด้านมนุษย์ต่างดาวเชื่อว่า เป็นของจริง !
     
  20. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201

แชร์หน้านี้

Loading...