จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขออนุโมทนา..สาธุกับครูลูกพลังและครูก้องด้วยนะครับ
    ที่ท่านทั้งสองได้กรุณาชี้แจง แถลงไข เรื่องจิต
    ไม่ว่าจะเป็นจิตเดิม จิตประภัสสร หรือ จิตอรหันต์

    พวกเราก็พอจะรู้บ้าง และเป็นแนวทางในการปฎิบัติต่อไป
    และนำผลจากการปฎิบัติของตน แล้วนำไปเทียบกับปริยัติ ก็จะดีมาก
    เพื่อป้องกันการหลงทางในการปฎิบัติของตน ดีกว่าไปคิดหรือรู้สึกเอาเองคนเดียว
    ผู้ปฎิบัติท่านๆนั้น ที่จะต้องตอบตนเองให้ได้ด้วย

    สรุปแล้ว ขอให้ผู้ปฎิบัติตระหนักถึงจิตใจของตนเป็นหลัก
    อย่าได้นำเอาผลการปฎิบัติของตนไปเทียบกับบุคคลอื่น
    ขอให้ปฎิบัติหรือเจริญสติภาวนา จนกว่าชีวิตจะหาไม่
    ส่วนผู้ปฎิบัติท่านใด จะถึงจิตหลุดพ้น หรือ อรหันตมรรค อรหันตผล ประการใดนั้น
    ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องสำคัญยิ่งไปกว่า การที่เราปฎิบัติแล้ว เราเองนั้นยังมีความทุกข์อยู่ไหม
    หรือความทุกข์นั้น ได้ลดลงไปมากน้อยเพียงใด
    หรือจิตใจของเรา เยือกเย็นหรือใจเย็นกว่าเก่าไหม
    ความโกรธ ความน้อยใจ ความถือตัวตนหรือยังมีอัตตา มานะอยู่ไหม
    โดยไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับผู้ใด ขอให้เปรียบก่อนและหลังการปฎิบัติธรรมไปแล้วนั้น

    ส่วนจิตเกาะพระนั้น โดยเฉพาะกับผู้ปฎิบัติที่จิตยก(จิตบุญ)ไปแล้ว
    เรา(จิต)ตั้งอยู่เหนือขันธ์๕ จริงๆไหม?
    เราแยกกาย แยกจิตได้อย่างชัดเจนไหม?
    หรือเราตั้งอยู่เหนือความรู้สึกต่างๆ(สติ) และความนึกคิดหรืออารมณ์ของจิต(เจตสิก) ได้จริงๆกันไหม?
    หรือจิตของเราเข้าสู่ความเป็นอนัตตา(สุญญตวิหาร) หรือ ความว่างกันจริงไหม?

    แต่ทำไมจิตบุญที่ยังทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เพราะมีธาตุอินทรีย์ไม่เท่ากัน
    ก็ไม่เป็นไร อินทรีย์๕ ฝึกฝนกันได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่สนใจมากๆ หรือไม่ประมาทในตน
    หรือพยายามเจริญอิทธิบาท๔ หรือทบทวนสังโยชน์10ประการและกรรมบถ10 เป็นประจำ
    ขอให้ผู้ปฎิบัติทุกท่าน พยายามช่วยตนเองให้มาก โดยเฉพาะเรื่องจิต เพราะไม่มีใครดูแลได้ตลอดเวลา
    เพราะฉะนั้น ผู้ที่ตกฌานหรือไม่สำรวมจิตเพียงตัวเดียวเท่านั้น แล้วปัญหาจะตามมาอีกมากมายทีเดียว
    ขอให้ดูปฎิปทา พระสุปฎิปันโน หรือตัวอย่างของพระอริยเจ้า ถึงท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว
    ท่านก็ยังต้องเจริญสติภาวนาไปจนกว่าจะดับขันธ์
    เพราะตราบใดที่พวกเรายังครองขันธ์๕ ย่อมหลีกหนีกับสิ่งกระทบไม่ได้เลย
    แต่ถ้าเราแยกกาย แยกจิตได้ชัดเจน และทรงฌานเป็นนิจแล้ว ผู้ปฎิบัติท่านๆนั้น จะมีสติสัมปชัญญะ
    หรือมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมดีแล้ว ย่อมมองเห็นความเกิด-ดับของกิเลสหรือจิตเป็นธรรมดาได้
    และไม่มีผลอะไรกับจิตใจได้เลย กระทบอย่างมากก็คือ ร่างกายเท่านั้น

    ขอยกธรรมตัวอย่าง เช่น...เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินเสียงก็สักแต่ว่าได้ยิน รู้ก็สักแต่ว่ารู้...
    เห็นสักแต่ว่าเห็น หมายถึงขณะเห็นจริงๆ ไม่มีความติดข้อง ไม่มีความยินดีใน
    การเห็นอย่างนั้น ต้องเป็นปัญญา เช่น จักขุวิญญาณขณะนั้นไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ
    อบรมให้เหมือนกับจัขุวิญญาณคือการเห็น ไม่มีอกุศลเกิด เป็นต้น

    สักแต่ว่า...ต้องเป็นปัญญาจริงๆในขณะนั้น ไม่มีความวิปลาสคลาดเคลื่อนของจิต
    หรือจิตปัญญาญาณเท่านั้น จึงจะสามารถมองเห็นกาย+ใจเคลื่อนไหว หรือความเกิด-ดับของจิต เท่านั้น

    แต่อย่าลืมนะว่า จิตเท่านั้นที่จะเป็นผู้ที่ทำหน้า ละปล่อยวางกับสิ่งสมมุติ ทั้งหลาย ทั้งปวงนั้นได้
    มิใช่เรา(สติ)

    แต่ถ้าตัวสติเฉยๆ คอยสังเกตให้ดีๆว่า มักจะตามกิเลสไม่ทัน เพราะมองไม่เห็นถึงการเกิด-ดับของสิ่งที่มากระทบ นั่นเอง
    จิตที่เป็นสมาธิหรือฌาน เท่านั้น ที่พอจะรู้เท่าทันกิเลสต่างได้ เพราะในขณะที่จิตมีสมาธิหรือทรงฌานอยู่นั้น เป็นจิตมีปัญญา หรือปัญญาญาณ ที่จิตบุญได้สอบผ่านมาแล้ว
    เพียงเราแค่รักษาอารมณ์ในขณะที่จิตยกไปแล้ว
    เมื่อจิตเขาพัฒนาไปแล้ว จะไม่มีถอยหรือเสื่อม เห็นมีแต่เรา(สติ)ที่เสื่อมตามกาลเวลา

    สรุปแล้วเราไแทบไม่ต้องทำอะไรมากมายนักเลย ก็แค่นำสติ+จิต=ปัญญาแล้ว
    ปัญญาในทางธรรม มิใช่ไปตามหาปัญญาในทางโลกกันนะ
    เพราะปัญญาในทางธรรม ตามที่พระพุทธเจ้าได้กล่าวไปแล้วว่า ปัญญาที่ได้จากจิตเป็นสมาธิ หรือฌาน นั่นเอง (ศีล สมาธิ ปัญญา)

    จิตเรานิ่งได้เมื่อไหร่ ก็สุขเมื่อนั้น ตราบใดจิตเราไม่นิ่ง+เสถียรนั้น เพราะไม่หมั่นเจริญสติบ่อยๆ
    เมื่อจิตไม่นิ่ง ย่อมไหลไปตามกระแสได้ง่าย เพราะสติเราทำงานร่วมกับร่างกาย+อายตนะ
    จบ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 มกราคม 2013
  2. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    ท่าน watjojoj ช่วงนี้เป็นช่วงแจ้งเกิด ...เอ หรือแจ้ง ดับ อี๊ก..ไม่เอา++...ไม่มีไรหรอก แค่เตรียมชาร์ตแบต ให้ ใจสบายพร้อมรับธรรมะดีๆ ในกระทู้ค่ะ ปล่อยให้ท่าน zero... ยึก!!! ดูแลพื้นที่คนเดียวได้ไง5555
     
  3. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    ศรัทธา มีมากเกินไป ขาดปัญญา กลายเป็น “งมงาย”
    ปัญญา มีมากเกินไป ขาดศรัทธา กลายเป็น “ทิฏฐิมานะ”
    สมาธิ มีมากเกินไป ขาดปัญญา กลายเป็น “โมหะ”
    ปัญญา มีมากเกินไป ขาดสมาธิ กลายเป็น “ฟุ้งซ่าน”
    วิริยะ มีมากเกินไป ขาดสมาธิ กลายเป็น “เหน็ดเหนื่อย”
    สมาธิ มีมากเกินไป ขาดวิริยะ กลายเป็น “เกียจคร้าน”
    สติ มีมากเท่าไหร่ยิ่งดี มีแต่คุณ ไม่มีโทษ

    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
     
  4. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    สาธุ..กราบหลวงปู่เทสก์ด้วยครับ
    กราบ1 กราบ2 กราบ3..
     
  5. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ======

    กราบอนุโมทนา สาธุในมหาธรรมทานครับ ท่านพ่อภูกล่าวได้ถูกต้อง ตรงตามสัจธรรม จากการศึกษาและการผฏิบัติที่่ผ่านมานั้น

    กล่าวคือ
    จิตปัญญาญาณเท่านั้น จึงจะสามารถมองเห็นกาย+ใจเคลื่อนไหว หรือความเกิด-ดับของจิต เท่านั้น

    แต่อย่าลืมนะว่า จิตเท่านั้นที่จะเป็นผู้ที่ทำหน้า ละปล่อยวางกับสิ่งสมมุติ ทั้งหลาย ทั้งปวงนั้นได้
    มิใช่เรา(สติ)
     
  6. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    "พระอรหันต์ทั้งหลาย จิตไม่มี มีแต่สติ
    เพราะจิตสังขารมันเป็นตัวสังขาร สังขารไม่มีในจิตของพระอรหันต์"


    โอวาทธรรมของท่านพระอาจารย์มั่น : บันทึกธรรมโดย หลวงปู่หลุย จันทสาโร
     
  7. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    ขยายธรรมอีกหน่อยได้ไหม๊เจ้าค่ะ ◎...ปัญญาน้อย...ขออีกสักหน่อย ...ธรรมโอาทของหลวงปูนั้น หมายถึง จิตกับสติ รวมกันแล้ว กลายเป็นมหาสติแล้วไม? ถึงเรียกว่า มีแต่สติ อะค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2013
  8. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,016
    ค่าพลัง:
    +10,241
    จูฬสุญญตสูตร

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖
    มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์

    [๓๓๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ปราสาทของอุบาสิกาวิสาขา
    มิคารมารดา ในพระวิหารบุพพาราม เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ท่านพระ-
    *อานนท์ออกจากสถานที่หลีกเร้นอยู่ในเวลาเย็น แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่
    ประทับ ครั้นแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอนั่ง
    เรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมัยหนึ่ง
    พระผู้มีพระภาคประทับอยู่สักยนิคมชื่อนครกะ ในสักกชนบท ณ ที่นั้น ข้าพระองค์
    ได้สดับ ได้รับพระดำรัสนี้เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า ดูกรอานนท์ บัดนี้
    เราอยู่มากด้วยสุญญตวิหารธรรม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อนี้ข้าพระองค์ได้สดับดี
    แล้ว รับมาดีแล้ว ใส่ใจดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้วหรือ ฯ
     
  9. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    เอามาให้อ่านดีกว่าให้พอเป็นแนวทาง จะเป็นการเกินภูมิ

    คงจะเคยได้ยิน

    พบผู้รู้ทำลายผู้รู้ พบจิตทำลายจิต นั่นแหละ ฐีติจิต ฐีติภูตัง

    เพราะผู้รู้นั่นคืออวิชชา เคยนำมาลงเมื่อวานในหน้ากระทู้ที่แล้วๆมา
    กับธรรมเทศนาที่หลวงตามหาบัวเทศน์ไว้ "จิตผ่องใส คืออวิชชา"
    เป็นขั้นภูมิของพระอนาคามี เป็นกระบวนการที่จะทำลายอวิชชา หากติดอยู่ ก็ยังหลงอยู่ในสังขาร
    ที่หลวงปู่มั่นดุหลวงตามหาบัว ว่าติดในสมาธิ เพราะในขั้นนี้มีสมาธิสมบูรณ์ นั่นแหละ "ผู้รู้สว่างไสว ผู้รู้ผ่องใส"

    ฝ่ายมหายานบางจำพวกจะมีทัสสะทำนองว่า
    "ทุกสรรพชีวิตมาจากจิตเดิม" หมายว่ามาจาก "นิพพาน สักวันหนึ่งก็จะกลับสู่นิพพาน"
    ซึ่งขัดกับเถรวาท ทำไมต้องมีเกิดอีก หากมาจากนิพพาน

    มหายานกับเถรวาทมีความแตกต่างกันอยู่แล้ว และด้วยกาลเวลามีการรับเข้ามาผสมผสาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2013
  10. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    6. มูลการของสังสารวัฏฏ์

    ฐีติภูตํ อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา อุปาทานํ ภโว ชาติ
    คนเราทุกรูปนามที่ได้กำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์ล้วนแล้วแต่มีที่เกิดทั้งสิ้น กล่าวคือมีบิดามารดาเป็นแดนเกิด ก็แลเหตุใดท่านจึงบัญญัติปัจจยาการแต่เพียงว่า อวิชฺชา ปจฺจยา ฯลฯ เท่านั้น อวิชชา เกิดมาจากอะไรฯ ท่านหาได้บัญญัติไว้ไม่ พวกเราก็ยังมีบิดามารดาอวิชชาก็ต้องมีพ่อแม่เหมือนกัน ได้ความตามบาทพระคาถาเบื้องต้นว่า ฐีติภูตํ นั่นเองเป็นพ่อแม่ของอวิชชา ฐีติภูตํ ได้แก่ จิตดั้งเดิม เมื่อฐีติภูตํ ประกอบไปด้วยความหลง จึงมีเครื่องต่อ กล่าวคือ อาการของอวิชชาเกิดขึ้น เมื่อมีอวิชชาแล้วจึงเป็นปัจจัยให้ปรุงแต่งเป็นสังขารพร้อมกับความเข้าไปยึดถือ จึงเป็นภพชาติคือต้องเกิดก่อต่อกันไป ท่านเรียก ปัจจยาการ เพราะเป็นอาการสืบต่อกัน วิชชาและอวิชชาก็ต้องมาจากฐีติภูตํเช่นเดียวกัน เพราะเมื่อฐีติภูตํกอปรด้วยวิชชาจึงรู้เท่าอาการทั้งหลายตามความเป็นจริง นี่พิจารณาด้วยวุฏฐานคามินี วิปัสสนา รวมใจความว่า ฐีติภูตํ เป็นตัวการดั้งเดิมของสังสารวัฏฏ์ (การเวียนว่ายตายเกิด) ท่านจึงเรียกชื่อว่า "มูลตันไตร" (หมายถึงไตรลักษณ์) เพราะฉะนั้นเมื่อจะตัดสังสารวัฏฏ์ให้ขาดสูญ จึงต้องอบรมบ่มตัวการดั้งเดิมให้มีวิชชารู้เท่าทันอาการทั้งหลายตามความเป็นจริง ก็จะหายหลงแล้วไม่ก่ออาการทั้งหลายใดๆ อีก ฐีติภูตํ อันเป็นมูลการก็หยุดหมุน หมดการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์ด้วยประการฉะนี้

    ---------​

    10. จิตเดิมเป็นธรรมชาติใสสว่าง แต่มืดมัวไปเพราะอุปกิเลส

    ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฐํ
    ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้เสื่อมปภัสสรแจ้งสว่างมาเดิม แต่อาศัยอุปกิเลสเครื่องเศร้าหมองเป็นอาคันตุกะสัญจรมาปกคลุมหุ้มห่อ จึงทำให้จิตมิส่องแสงสว่างได้ ท่านเปรียบไว้ในบทกลอนหนึ่งว่า "ไม้ชะงกหกพันง่า(กิ่ง) กะปอมก่ากิ้งก่าฮ้อย กะปอมน้อยขึ้นมื้อพัน ครั้นตัวมาบ่ทัน ขึ้นนำคู่มื้อๆ" โดยอธิบายว่า คำว่าไม่ชะงก 6,000 ง่านั้นเมื่อตัดศูนย์ 3 ศูนย์ออกเสียเหลือแค่ 6 คงได้ความว่า ทวารทั้ง 6 เป็นที่มาแห่งกะปอมก่า คือของปลอมไม่ใช่ของจริง กิเลสทั้งหลายไม่ใช่ของจริง เป็นสิ่งสัญจรเข้ามาในทวารทั้ง 6 นับร้อยนับพัน มิใช่แต่เท่านั้น กิเลสทั้งหลายที่ยังไม่เกิดขึ้นก็จะทวียิ่งๆ ขึ้นทุกๆ วัน ในเมื่อไม่แสวงหาทางแก้ ธรรมชาติของจิตเป็นของผ่องใสยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด แต่อาศัยของปลอม กล่าวคืออุปกิเลสที่สัญจรเข้ามาปกคลุมจึงทำให้หมดรัศมี ดุจพระอาทิตย์เมื่อเมฆบดบังฉะนั้น อย่าพึงเข้าใจว่าพระอาทิตย์เข้าไปหาเมฆ เมฆไหลมาบดบังพระอาทิตย์ต่างหาก ฉะนั้น ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหลายเมื่อรู้โดยปริยายนี้แล้ว พึงกำจัดของปลอมด้วยการพิจารณาโดยแยบคายตามที่อธิบายแล้วในอุบายแห่งวิปัสสนาข้อ 9 นั้นเถิด เมื่อทำให้ถึงขั้นฐีติจิตแล้ว ชื่อว่าย่อมทำลายของปลอมได้หมดสิ้นหรือว่าของปลอมย่อมเข้าไปถึงฐีติจิต เพราะสะพานเชื่อมต่อถูกทำลายขาดสะบั้นลงแล้ว แม้ยังต้องเกี่ยวข้องกับอารมณ์ของโลกอยู่ก็ย่อมเป็นดุจน้ำกลิ้งบนใบบัวฉะนั้น

    มุตโตทัย พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2013
  11. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    โมทนาสาธุธรรม เจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ หลวงปู่มั่น
     
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=oz8_U4rUcxs]วิปัสสนา ดูจิตตน - YouTube[/ame]​
    ผู้ใดมุ่งดูแต่จิตตน
    มีแต่สุข+สงบ ไม่ไปวุ่นวายกับผู้อื่นหรือโลก
    เจริญสติเป็นอุบายทำให้จิตนิ่ง เมื่อจิตเรานิ่ง ปัญญาก็เกิด
    และปัญญานี้เอง ที่จะทำให้เรารู้อารมณ์ของจิตตน(เจตสิก)
    หรือรู้เท่าทันการเกิด-ดับของกิเลสในจิตของตน

    หรือ
    ดูจิต ก็เพื่อจะดูตัวเจตสิกของเรา..นี่เอง
    เข้าใจกันไหม?​

     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=wZ46ELhKEA4]สุขกาย สุขใจ ตอนที่ ๑ - YouTube[/ame]​
     
  14. klaichid

    klaichid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    234
    ค่าพลัง:
    +807
    ข้าน้อยจะขอปฏิบัติและพัฒนาตนและจิตให้เจริญยิ่งๆขึ้นเจ้าค่ะ สาธุ
     
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=wb5v5sga0ak]บทแผ่เมตตา โดย ชมรมสารธรรมล้านนา - YouTube[/ame]
    ใครแบกทุกข์ จึงทุกข์
    ใครปล่อยวางสรรพสิ่งสมมุติทั้งรูปทั้งนามได้
    จึงสุข เอย!

    ขอให้ทุกท่านในที่นี้
    จงมีแต่ความสุขกาย สุขใจ อย่างที่ข้าพเจ้าเป็นอย่าง ทุกคืน-วัน กันนี้ด้วยเทอญ

    ขอเอาใจช่วยสำหรับผู้ที่ปฎิบัติ ที่ยังทำจิตไม่นิ่งแบบเสถียรนี้ด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 มกราคม 2013
  16. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    ต้องขยาย

    จำ ได้ว่าครูลูกพลัง เคยนำธรรมเทศนานี้ มาลงไว้ในกระทู้นี้

    อนุโมทนาสาธุ

    (^_^)
    _/\_
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มกราคม 2013
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอให้สมพรปากและดั่งใจปรารถนาแห่งตน ทุกประการด้วยเทอญ
    ขอให้สุขกาย สุขใจตลอดไป ขอให้เข้าถึงจิตถึงธรรมตนเอง และถึงจิตพุทธะโดยพลัน
    สาธุๆๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 มกราคม 2013
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอความสวัสดีกับคุณ◎ ด้วยนะครับ

    ที่เข้ามาเยี่ยมเยียนกัน(แขกประจำ)
    โดยเฉพาะเรื่องปริยัติธรรม เพื่อธรรมาทาน
    ข้าพเจ้า ขอขอบพระคุณแทน เพื่อนๆสมาชิกในที่นี้ด้วยนะครับ

    และขอให้เพื่อนสมาชิก จงมองโลกในแง่บวก แล้วท่านจะได้แต่สิ่งที่ดีๆกลับคืนไป
    เพราะทุกคนที่หลงเกิดกันมานี้ ไม่มีใครดี100% ไม่มีใครไม่ดี100%
    และท่าน◎ ท่านก็ดีอยู่หลายประการทีเดียว โปรดพิจาณษกันให้ดี
    ดูคนอย่าไปดูด้านลบเดียว ดูเหรียญบาทสิก็ยังมีหลายด้าน

    เพราะฉะนั้น ขอให้ทุกท่าน ไม่ว่าจะพบคนดีหรือไม่ดีก็ตาม ก็ขอให้พยายามมองในส่วนที่ดีของคนๆนั้น
    แล้วจิตของท่านจะพลอยได้ดีตามไปด้วย

    เจริญพร

    (ขอโทษ ที่ข้าพเจ้า มิได้เป็นพระ แต่จิตที่เป็นพระ จึงอยากกล่าวเช่นนี้)
     
  19. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=XDolsCyxOAo]การ์ตูน พุทธโอวาท ก่อน ปรินิพาน ช่วงสำคัญที่สุด - YouTube[/ame]

    อยากให้ทุกท่านฟังแล้ว ฟังอีก
    จิตจะได้จดจำในธรรม หรือสิ่งที่ดี และอยู่กับพระตลอดไป
    จิตของเราจะได้อยู่กับทางธรรมมากๆ และห่างๆ ทางโลก(บ้าง)

    *สมาคมลืมคราบมนุษย์*
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 มกราคม 2013
  20. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    เรื่อง กรรมฐานไม่มีผลถ้าขาดอิทธิบาท4


    "การเจริญพระกรรมฐาน ถ้าหากว่าขาด อิทธิบาท ๔ ไม่มีผลแน่นอน ขอญาติโยมพุทธบริษัททราบต้นของกรรมฐานไว้ด้วยก็ดี คือผลที่จะสำเร็จได้ต้องอาศัย อิทธิบาท ๔ คือ
    ๑. ฉันทะ มีความพอใจ พอใจว่าเราต้องการเจริญสมาธิและวิปัสสนาญาณ
    ๒. วิริยะ งานทุกอย่างต้องมีอุปสรรค ก็ต้องมีความเพียรต่อสู้
    ๓. จิตตะ จิตจดจ่อในงานนั้น แล้วก็
    ๔. วิมังสา ใช้ปัญญาใคร่ครวญว่า ที่เราทำนี่มันถูกหรือไม่ถูก ถ้าไม่ถูก อารมณ์อึดอัด เกิดขึ้น แสดงว่าไม่ถูกต้อง ผ่อนอารมณ์เสียก่อน"


    คำสอน ... หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
    ที่มา fb ธรรมะหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
     

แชร์หน้านี้

Loading...