ทุกชีวิต...นิพพานกันอยู่แล้ว

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เอกรินทรา, 23 พฤษภาคม 2012.

  1. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    เวทนา ล้วนไม่เที่ยง ดับไปเองตามธรรมชาติของมัน หากเข้าใจแล้ว
    จะข้ามไปที่ทุกสรรพสิ่งปราศจากการปรุงแต่งเลยเหรอครับ
    ไม่มีการละกิเลส ตัดสังโยชน์ หรือกล่าวใน อริยสัจ 4 เลยเหรอครับ
    อืมๆ งี้ ท่องไว้ๆว่า
    ทุกสรรพสิ่งปราศจากการปรุงแต่ง
    ทุกสรรพสิ่งปราศจากตัวตน
    สัญญาตัวนี้จะพาให้พ้นทุกข์เลยเหรอครับ
     
  2. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    ก็กลับไปอ่านที่พ่อโพสต์ไว้ให้ตลอดสิลูก...
    มันเป็นความจริงแห่งธรรมชาติแห่งสัจธรรม...ไม่ใชสัญญาขันธ์
     
  3. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    งั้นก็ไม่ต้องพูดสิ เงียบซะ ดีกว่าไหมครับ
    พอพูดมันก็ไม่จริงแล้วนี่ครับ พาไปเป็นสังขารแล้ว ต่อขึ้นเป็นวิญญาณอีก
    ชอบวาดรูปไหมครับ
     
  4. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    <CENTER>๓. เมตตาสูตร</CENTER><CENTER>
    </CENTER> [๒๘๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธาตุเป็นเครื่องสลัดออก ๖ ประการนี้
    ๖ ประการเป็นไฉน
    คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า เมตตาเจโตวิมุติ
    ข้าพเจ้าเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นดุจยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ตั้งมั่นแล้ว
    อบรมแล้ว ปรารภดีแล้ว ก็แต่ว่าพยาบาทยังครอบงำจิตของข้าพเจ้าอยู่ เธออัน
    ภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวตักเตือนว่า ท่านผู้มีอายุอย่าได้กล่าวอย่างนี้ อย่าได้กล่าว
    ตู่พระผู้มีพระภาค
    เพราะการกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดี เพราะพระผู้มีพระภาคไม่
    พึงตรัสอย่างนี้ ดูกรอาวุโส ข้อนั้นมิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ เมื่อเมตตา-
    *เจโตวิมุติ
    อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นดุจยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง
    ตั้งมั่นแล้ว อบรมแล้ว ปรารภดีแล้ว ก็แต่ว่า พยาบาทจักครอบงำจิตของเธอ
    อยู่ เพราะฉะนั้น ข้อนั้นจึงไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ เพราะเมตตาเจโตวิมุตินี้ เป็น
    เครื่องสลัดออกซึ่งพยาบาท ฯ
    อีกประการหนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า กรุณาเจโตวิมุติ
    ข้าพเจ้าเจริญแล้ว ... ปรารภดีแล้ว ก็แต่ว่าวิหิงสายังครอบงำจิตของข้าพเจ้าอยู่
    เธออันภิกษุทั้งหลายพึงกล่าวตักเตือนว่า ท่านผู้มีอายุอย่าได้กล่าวอย่างนี้ อย่าได้
    กล่าวตู่พระผู้มีพระภาค
    เพราะการกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดี เพราะพระผู้มีพระ
    ภาคไม่พึงตรัสอย่างนี้ ดูกรอาวุโส ข้อนั้นมิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ เมื่อกรุณา-
    *เจโตวิมุติ
    อันภิกษุเจริญแล้ว ... ปรารภดีแล้ว ก็แต่ว่าวิหิงสาจักครอบงำจิตของ
    เธออยู่ เพราะฉะนั้น ข้อนั้นจึงไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ เพราะกรุณาเจโตวิมุตินี้
    เป็นเครื่องสลัดออกซึ่งวิหิงสา ฯ
    อีกประการหนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า มุทิตาเจโตวิมุติ
    ข้าพเจ้าเจริญแล้ว ... ปรารภดีแล้ว ก็แต่ว่าอรติ(ความไม่ยินดีด้วย) ยังครอบงำ
    จิตของข้าพเจ้าอยู่
    เธออันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวตักเตือนว่า ท่านผู้มีอายุอย่า
    ได้กล่าวอย่างนี้ อย่าได้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาค
    เพราะการกล่าวตู่พระผู้มีพระภาค
    ไม่ดี เพราะพระผู้มีพระภาคไม่พึงตรัสอย่างนี้ ดูกรอาวุโส ข้อนั้นมิใช่ฐานะ
    มิใช่โอกาส คือ เมื่อมุทิตาเจโตวิมุติ อันภิกษุเจริญแล้ว ... ปรารภดีแล้ว ก็แต่
    ว่าอรติจักครอบงำจิตของเธออยู่ เพราะฉะนั้น ข้อนั้นจึงไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
    เพราะมุทิตาเจโตวิมุตินี้ เป็นเครื่องสลัดออกซึ่งอรติ ฯ
    อีกประการหนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า อุเบกขาเจโตวิมุติ
    ข้าพเจ้าเจริญแล้ว ... ปรารภดีแล้ว ก็แต่ว่าราคะยังครอบงำจิตของข้าพเจ้าอยู่ เธอ
    อันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวตักเตือนว่า ท่านผู้มีอายุอย่าได้กล่าวอย่างนี้ อย่าได้
    กล่าวตู่พระผู้มีพระภาค
    เพราะการกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดี เพราะพระผู้มีพระภาค
    ไม่พึงตรัสอย่างนี้ ดูกรอาวุโส ข้อนั้นมิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ เมื่ออุเบกขา-
    *เจโตวิมุติ
    อันภิกษุเจริญแล้ว ... ปรารภดีแล้ว ก็แต่ว่า ราคะจักครอบงำจิตของ
    เธออยู่ เพราะฉะนั้น ข้อนั้นจึงไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ เพราะอุเบกขาเจโตวิมุตินี้
    เป็นเครื่องสลัดออกซึ่งราคะ ฯ
    อีกประการหนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า อนิมิตตาเจโตวิมุติ
    (เจโตวิมุติไม่มีนิมิต) ข้าพเจ้าเจริญแล้ว ... ปรารภดีแล้ว ก็แต่ว่าวิญญาณของ
    ข้าพเจ้ายังแส่หานิมิตอยู่
    เธออันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวตักเตือนว่า ท่านผู้มี
    อายุอย่าได้กล่าวอย่างนี้ อย่าได้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาค
    เพราะการกล่าวตู่พระผู้มี-
    *พระภาคไม่ดี เพราะพระผู้มีพระภาคไม่พึงตรัสอย่างนี้ ดูกรอาวุโส ข้อนั้นมิใช่
    ฐานะ มิใช่โอกาส คือ เมื่ออนิมิตตาเจโตวิมุติ อันภิกษุเจริญแล้ว ... ปรารภดีแล้ว
    ก็แต่ว่าวิญญาณของเธอจักแส่หานิมิตอยู่ เพราะฉะนั้น ข้อนั้นจึงไม่เป็นฐานะที่
    จะมีได้ เพราะอนิมิตตาเจโตวิมุตินี้ เป็นเครื่องสลัดออกซึ่งนิมิตทั้งปวง ฯ
    อีกประการหนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่าอัสมิมานะของ
    ข้าพเจ้าหมดไปแล้ว และข้าพเจ้าย่อมไม่ตามเห็นว่านี้เป็นเรา ก็แต่ว่าลูกศรคือ
    ความสงสัยเคลือบแคลงยังครอบงำจิตของข้าพเจ้าอยู่
    เธออันภิกษุทั้งหลายพึงว่า
    กล่าวตักเตือนว่า ท่านผู้มีอายุอย่าได้กล่าวอย่างนี้ อย่าได้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาค
    เพราะการกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดี เพราะพระผู้มีพระภาคไม่พึงตรัสอย่างนี้ ดูกร
    อาวุโส ข้อนั้นมิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ เมื่ออัสมิมานะของภิกษุหมดไปแล้ว
    และเมื่อภิกษุไม่ตามเห็นอยู่ว่า นี้เป็นเรา ก็แต่ว่า ลูกศรคือความสงสัยเคลือบแคลง
    จักครอบงำจิตของเธออยู่ เพราะฉะนั้น ข้อนั้นจึงไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ เพราะ
    อรหัตมัคที่ถอนอัสมิมานะได้แล้วนี้ เป็นเครื่องสลัดออกซึ่งลูกศรคือความสงสัย
    เคลือบแคลง
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธาตุเป็นเครื่องสลัดออก ๖ ประการนี้แล ฯ

    <CENTER>จบสูตรที่ ๓</CENTER><CENTER> </CENTER>
     
  5. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26


    ใกล้ถูกทางแล้วลูก...จะเรียกว่าจิตเป็นอะไรก็แล้วแต่...ก็ล้วนเป็นความนึกคิดปรุงแต่งทั้งสิ้น
    ในพระสูตรนี้...พระพุทธองค์จึงไม่ใช้คำว่าจิตงัยล่ะลูก
    ทำความเข้าใจธรรมะที่พ่อโพสต์ไว้ตั้งแต่ต้นดีๆ...ตรงกับที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ทุกอย่าง และตรงกับ สัพเพ ธัมมา อนัตตาด้วย
    คือธรรมเรื่องนิพพานนี้มีความหมายเป็นอย่างเดียวเท่านั้น คือ ความเป็นเช่นนั้น เป็นอยู่อย่างนั้น และไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น
     
  6. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26

    แล้วทำไมพระพาหิยะจึงหลุดพ้นด้วยพระสูตรนี้ล่ะ...
    หรือว่าหลุดแบบนี้ขั้นตอนเยอะๆ...กับหลุดแบบฉับพลัน
    หรือว่า...พระพุทธเจ้ามั่วเอา...
    ทำไมพระสูตรนี้จึงแตกต่างจากที่คุณโพสต์...ทำไมมันง่ายๆ...

    พาหิยะ เมื่อใดเธอเห็นรูปแล้ว สักว่าเห็น ได้ฟังเสียงแล้ว สักว่าฟัง ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัสทางผิวกาย ก็สักว่า ดม ลิ้มรส สัมผัส ได้รู้แจ้งธรรมารมณ์ ก็สักว่าได้รู้แจ้งแล้ว เมื่อนั้น เธอจักไม่มี เมื่อใดเธอไม่มี เมื่อนั้นเธอก็ไม่ปรากฏในโลกนี้ ไม่ปรากฏในโลกอื่น ไม่ปรากฏในระหว่างแห่งโลกทั้งสอง นั่นแหละคือที่สุดแห่งทุกข์ แล
    อุ. ขุ. 25/83/49
     
  7. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    แสดงว่าท่านพ่อไม่เข้าใจ จิต และเจตสิก(กระบวนการของขันธ์5และปฏิจจสมุปบาท) กระมังครับ ส่วนความเป็นอนัตตา มันใช่แค่โลกสมมุตินี้เท่านั้น หากท่านพ่อเข้า วิมุตติได้แล้ว ท่านคงไม่มาพร้ำสอนหาลูกศิษลูกหาอยู่หรอกกระมั่ง แล้วยังมีการปรุงแต่งเสียเต็มกระดาน
    นิกายเซ็นกระผมก็พอรู้อยู่บ้าง สูตรต่างที่ท่านพุทธทาสนำมาก็อ่านมาบ้างรวมทั้งท่านติชนัชฮัน ด้วย แถมยังเคยคุยกับ ท่านที่บอกว่าให้โทรศัพย์มาแล้วจะทำให้พบกับนิพพานฉับพลันด้วย รู้มั้ยกระผมได้พระพุทธเจ้าชื่ออะไร เป็นผู้นำทาง 55555 สุดยอดเลย

    ความหมายนิพพาน มันต่างกัน จึง เถียงกันไปมา เหมือนคนบางคนบอกว่า หิน20 กิโล นั้นหนักมากยกไม่ไหว แต่บางคนบอกว่ามันเบา ยกได้สบาย นั้นแล

    สาธุครับ
     
  8. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    อ้าว บทเมตตาสูตรตีความไม่ได้ตามคุณคิดหรือ อย่างนี้มีเฮ..
    เรามาโพสต์ให้เพราะมันมีเหตุไปเชื่อมกับอีกคนด้านบนที่เขายกมาค่ะ..

    ทำไมคุณยึดอยู่..แค่พระสูตรตามที่คุณตีความเอาเอง
    ยังมีพระสูตรอีกมากมาย ซึ่งพระพุทธองค์ถึงกล่าวธรรมได้ครอบคลุมทุกด้าน และลงให้กันได้ทั้งหมด และเมื่อจะแยกละเอียดเฉพาะด้าน ก็ทำได้อีก

    ดังนั้น ธรรมทั้งหลายของพระพุทธองค์ล้วนลงให้กันหมดค่ะ
    คุณต้องไปตรวจสอบการตีความของตัวคุณเองแล้ว

    โพสต์ใหม่ จะได้เรียงตามลำดับจ๊ะ..
     
  9. มังคละมุนี

    มังคละมุนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +608
    ความปราถนา ของ ท่านพระพาหิยะ แต่ เก่าก่อน

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" height="50" width="100%"><tbody><tr><td vspace="0" hspace="0" align="center" valign="center">[​IMG]</td> </tr><tr><td vspace="0" align="center" bgcolor="mistyrose" valign="bottom" width="100%">บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ </td></tr> <tr><td hspace="0" vspace="0" bgcolor="peachpuff" height="1" width="100%">
    </td></tr></tbody></table> <table valign="Bottom" align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" vspace="0" width="760"><tbody><tr><td bgcolor="white">[​IMG]</td> <td bgcolor="white">[​IMG]</td></tr> <tr><td bgcolor="white" width="50">
    </td> <td border="1" bgcolor="white" width="660">
    <center><big>อรรถกถา ขุททกนิกาย อุทาน โพธิวรรคที่ ๑ พาหิยสูตร</big><center class="D"></center></center><center> อรรถกถาพาหิยสูตร </center> พาหิยสูตรที่ ๑๐ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
    บทว่า พาหิโย เป็นชื่อของท่าน.
    บทว่า ทารุจีริโย ได้แก่ ผ้าคากรองที่ทำด้วยไม้.
    บทว่า สุปฺปารเก ได้แก่ อยู่ที่ท่าชื่ออย่างนั้น.
    ก็พาหิยะนี้คือใคร. และอย่างไรจึงเป็นผู้ทรงผ้าคากรองทำด้วยไม้, อย่างไรจึงอยู่อาศัยที่ท่าสุปปารกะ?
    ในข้อนั้น มีอนุปุพพิกถาดังต่อไปนี้
    ได้ยินว่า ในกาลแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ในที่สุด<wbr>แสน<wbr>กัป<wbr>แต่<wbr>ภัทร<wbr>กัป<wbr>นี้ กุลบุตรคนหนึ่งกำลังฟังพระธรรมเทศนาของพระทศพลที่หังสวดีนคร เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะแห่งภิกษุผู้เป็นขิปปาภิญญา
    คิดว่า ไฉนหนอ ในอนาคต เราจักบวชในพระศาสนาของพระ<wbr>สัมมา<wbr>สัม<wbr>พุทธ<wbr>เจ้า<wbr>เห็นปานนี้ แล้วพึงเป็นผู้อันพระศาสดาสถาปนาไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ<wbr>เช่น<wbr>นี้ เหมือน<wbr>ภิกษุ<wbr>รูป<wbr>นี้ ได้ปรารถนาตำแหน่งนั้น จึงบำเพ็ญบุญญาธิการอันสมควรแก่ตำแหน่งนั้น บำเพ็ญบุญอยู่ตลอดชีวิต มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ บวชในพระศาสนาของ<wbr>พระ<wbr>กัสสป<wbr>ทศพล มีศีลบริบูรณ์บำเพ็ญ<wbr>สมณ<wbr>ธรรม ถึง<wbr>ความสิ้นชีวิตแล้ว<wbr>บังเกิด<wbr>ในเทว<wbr>โลก.
    ท่านอยู่ในเทวโลกสิ้นพุทธันดรหนึ่ง ในพุทธุปบาทกาลนี้ ถือปฏิสนธิในเรือนมีสกุลในพาหิยรัฐ ชนทั้งหลายจำเขาได้ว่า พาหิยะ เพราะเกิดในพาหิยรัฐ.
    เขาเจริญวัยแล้วอยู่ครองเรือน เอาเรือบรรทุกสินค้ามากมาย แล่นไปยังสมุทรกลับไปกลับมา สำเร็จความประสงค์ ๗ ครั้งจึงกลับนครของตน ครั้นครั้งที่ ๘ คิดจะไปสุวรรณภูมิ จึงขนสินค้าแล่นเรือไป. เรือแล่นเข้ามหาสมุทรยังไม่ทันถึงถิ่นที่ปรารถนา ก็อับปางในท่ามกลางสมุทร.
    มหาชนพากันเป็นภักษาของปลาและเต่า ส่วนท่านพาหิยะเกาะกระดานแผ่นหนึ่ง กำลังข้ามอยู่ถูกกำลังคลื่นซัดไปทีละน้อยๆ ในวันที่ ๗ ก็ถึงฝั่งใกล้ท่าสุปปารกะ.
    ท่านนอนที่ฝั่งสมุทร โดยรูปกายเหมือนตอนเกิด เพราะผ้าพลัดตกไปในสมุทร บรรเทาความกระวนกระวายได้แต่เพียงลมหายใจ ลุกขึ้นเข้าไประหว่างพุ่มไม้ด้วยความละอาย ไม่เห็นอะไรๆ อย่างอื่นที่จะเป็นเครื่องปิดความละอาย จึงหักก้านไม้รัก เอา<wbr>เปลือก<wbr>พัน (กาย) ทำ<wbr>เป็น<wbr>เครื่อง<wbr>นุ่ง<wbr>ห่ม<wbr>ปก<wbr>ปิดไว้. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เจาะ<wbr>แผ่น<wbr>กระดาน<wbr>เอา<wbr>เปลือก<wbr>ไม้ร้อยทำเป็น<wbr>เครื่อง<wbr>นุ่งห่ม<wbr>ปกปิด<wbr>ไว้.
    ท่านปรากฏว่า ทารุจีริยะ เพราะทรงผ้าคากรองทำด้วยไม้ และว่า พาหิยะ ตามชื่อเดิมแม้โดยประการทั้งปวง ด้วยประการฉะนี้.
    ท่านถือกระเบื้องอันหนึ่ง เที่ยวขอก้อนข้าวที่ท่าสุปปารกะ โดยทำนองดังกล่าวแล้ว พวกมนุษย์เห็นเข้าจึงคิดว่า ถ้าชื่อว่าพระอรหันต์ยังมีในโลกไซร้ ท่านพึงเป็นอย่างนี้ พระผู้เป็นเจ้าองค์นี้ จะถือเอาผ้าที่เขาให้ หรือไม่ถือเอาเพราะความมักน้อย ดังนี้
    เมื่อจะทดลอง จึงน้อมนำผ้าจากที่ต่างๆ เข้าไป.
    เขาคิดว่า ถ้าเราจักไม่มาโดยทำนองนี้ไซร้ เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเหล่านี้พึงไม่เลื่อมใสเรา ไฉนหนอ เราพึงห้ามผ้าเหล่านี้เสีย อยู่โดยทำนองนี้แหละ เมื่อเป็นเช่นนี้ ลาภสักการะก็จักเกิดขึ้นแก่เรา.
    เขาคิดอย่างนี้แล้ว จึงตั้งอยู่ในฐานะเป็นผู้หลอกลวงไม่รับผ้า.
    พวกมนุษย์คิดว่า น่าอัศจรรย์ พระผู้เป็นเจ้านี้มักน้อยแท้ จึงมีจิตเลื่อมใสโดยประมาณยิ่ง กระทำสักการะและสัมมานะเป็นอันมาก. ฝ่ายท่านรับประทานอาหารแล้ว ได้ไปยังเทวสถานแห่งหนึ่งในที่ไม่ไกล. มหาชนก็ไปกับท่านเหมือนกัน ได้ซ่อมแซมเทวสถานนั้นให้.
    ท่านคิดว่า คนเหล่านี้เลื่อมใสในฐานะเพียงที่เราทรงผ้าคากรอง จึงพากันทำสักการะและสัมมานะอย่างนี้ เราควรจะมีความประพฤติอย่างสูงสำหรับคนเหล่านี้ จึงเป็นผู้มีบริขารเบาๆ เป็นผู้มักน้อยอยู่. ฝ่ายท่าน เมื่อถูกคนเหล่านั้นยกย่องว่าเป็นพระอรหันต์ ก็สำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์ อนึ่ง การทำสักการะและทำความเคารพ ก็เจริญยิ่งๆ ขึ้น และท่านก็ได้มีปัจจัยมากมาย.
    เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า
    ก็สมัยนั้นแล ท่านพาหิยะ ทารุจีริยะ อาศัยอยู่ที่ท่าสุปปารกะใกล้ฝั่งสมุทร เป็นผู้อันมหาชนสักการะเคารพ.
    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สกฺกโต ความว่า เป็นผู้อันมหาชนสักการะโดยการบำรุงด้วยความเคารพ คือเอื้อเฟื้อ.
    บทว่า ครุกโต ความว่า ผู้อันมหาชนกระทำให้หนัก ด้วยการกระทำให้หนักดุจฉัตรหิน โดยความประสงค์ว่า เป็นผู้ประกอบด้วยคุณวิเศษ.
    บทว่า มานิโต ความว่า ผู้อันมหาชนนับถือด้วยการยกย่องด้วยน้ำใจ.
    บทว่า ปูชิโต ความว่า ผู้อันมหาชนบูชาแล้วด้วยการบูชา ด้วยการสักการะ มีดอกไม้และของหอมเป็นต้น.
    บทว่า อปจิโต ได้แก่ ผู้อันมหาชนยำเกรงแล้วด้วยการให้หนทาง และการนำอาสนะมาเป็นต้น ด้วยจิตเลื่อมใสอย่างยิ่ง.
    บทว่า ลาภี จีวร ฯ เป ฯ ปริกฺขารานํ ความว่า เป็นผู้ได้ด้วยการได้ปัจจัย ๔ มีจีวรเป็นต้น อันแสนจะประณีตที่มหาชนนำเข้าไปยิ่งๆ. อีกนัยหนึ่ง บทว่า สกฺกโต ได้แก่ ได้รับสักการะ.
    บทว่า ครุกโต ได้แก่ ได้รับความเคารพ.
    บทว่า มานิโต ได้แก่ อันมหาชนนับถือมาก และมีใจรักมาก.
    บทว่า ปูชิโต ได้แก่ อันมหาชนบูชาแล้วด้วยการบูชาอย่างยิ่ง ด้วยปัจจัย ๔.
    บทว่า อปจิโต ได้แก่ ได้รับความอ่อนน้อมถ่อมตน.
    จริงอยู่ ชนทั้งหลายย่อมสักการะด้วยปัจจัย ๔ ตกแต่งอย่างดี ทำให้แสนจะประณีตมอบให้ผู้ใด ผู้นั้นชื่อว่า อันเขาสักการะ. คนทั้งหลายทำความเคารพให้ปรากฏแล้วมอบให้ในผู้ใด ผู้นั้นชื่อว่าอันเขากระทำเคารพ, ชนทั้งหลายย่อมมีใจ ประพฤติรักใคร่ และนับถือมากซึ่งผู้ใด ผู้นั้นชื่อว่าอันเขานับถือ, คนทั้งหลายทำสิ่งนั้นทั้งหมดด้วยการบูชาแก่ผู้ใด ผู้นั้นชื่อว่าอันเขาบูชา, ชนทั้งหลายย่อมกระทำการนบนอบอย่างยิ่งด้วยการอภิวาท การต้อนรับและอัญชลีกรรมเป็นต้นแก่ผู้ใด ผู้นั้นชื่อว่าอันเขายำเกรง. ก็คนเหล่านั้น ได้กระทำสิ่งนั้นทุกอย่างแก่พาหิยะ.
    ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า ท่านพาหิยทารุจีริยะ อันเขาสักการะแล้ว อาศัยอยู่ที่ท่าสุปปารกะ. ก็ในที่นี้ท่านพาหิยทารุจีริยะ แม้เมื่อไม่รับจีวร เขาก็กล่าวว่า เป็นผู้ได้แม้จีวรเหมือนกัน ด้วยการน้อมเข้าไปว่า มาเถิดขอรับ จงรับผ้านี้.
    บทว่า รโหคตสฺส ได้แก่ อยู่ในที่ลับ.
    บทว่า ปฏิสลฺลีนสฺส ได้แก่ เป็นผู้อยู่โดดเดี่ยว.
    เมื่อถูกพวกมนุษย์เป็นอันมากกล่าวว่า ท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านก็เกิดความปริวิตกแห่งใจ คือเกิดความดำริผิดแห่งจิต โดยอาการที่กล่าวอยู่ในบัดนี้.
    เกิดความปริวิตกอย่างไร?
    เกิดความปริวิตกขึ้นว่า คนเหล่าใดเหล่าหนึ่งจะเป็นพระอรหันต์ หรือท่านผู้<wbr>บรรลุ<wbr>อรหัต<wbr>มรรค<wbr>ใน<wbr>โลก เราเป็นคนหนึ่งในจำนวนพระอรหันต์ หรือ<wbr>ท่าน<wbr>ผู้<wbr>บรรลุ<wbr>อรหัต<wbr>มรรค<wbr>นั้น
    ความข้อนั้นมีอธิบายดังนี้ ชนเหล่าใด ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะกำจัดข้าศึกคือกิเลสในสัตว์โลกนี้ และเพราะเป็นผู้ควรแก่บูชาและสักการะเป็นต้น หรือคนเหล่าใด ชื่อว่าบรรลุพระอรหัตมรรค เพราะฆ่าข้าศึกคือกิเลสเหล่านั้น บรรดาคนเหล่านั้น เราเป็นคนหนึ่ง.
    บทว่า โปราณสาโลหิตา ได้แก่ เทวดาผู้บำเพ็ญสมณธรรมร่วมกัน เสมือนพวกพ้องร่วมสายโลหิตกันในภพก่อน.
    แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า บทว่า ปุราณสาโลหิตา ได้แก่ เทวดาองค์หนึ่งผู้เป็นมารดาร่วมสายโลหิตในกาลก่อน คือในภพอื่น.
    ในอรรถกถาท่านปฏิเสธคำนั้น ได้ถือเอาความหมายแรกเท่านั้น.
    ได้ยินว่า เมื่อก่อนศาสนาของพระกัสสปทศพลจะเสื่อม ภิกษุ ๗ รูป<wbr>เห็น<wbr>ประการ<wbr>อัน<wbr>แปลก<wbr>ของสหธรรมิกมีสามเณรเป็นต้น เกิดความสลดใจ คิดว่าศาสนายังไม่อันตรธานตราบใด เราจะทำที่พึ่งของตนตราบนั้น จึงไหว้เจดีย์ทองแล้วเข้าป่า เห็นภูเขาลูกหนึ่งจึงกล่าวว่า ผู้มีความอาลัยในชีวิตจงกลับไป ผู้ไม่มีความอาลัยจงขึ้นภูเขาลูกนี้ แล้วพากันผูกบันไดขึ้นภูเขานั้นทั้งหมด แล้วผลักบันไดลง กระทำสมณธรรม.
    บรรดาภิกษุเหล่านั้น พระสังฆเถระบรรลุพระอรหัตโดยล่วงไปราตรีเดียวเท่านั้น. ท่านนำบิณฑบาตมาจากอุตตรกุรุทวีปแล้วกล่าวกะภิกษุเหล่านั้นว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย โปรดฉันบิณฑบาตจากที่นี้เถิด. ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ท่าน<wbr>ได้<wbr>ทำ<wbr>อย่าง<wbr>นี้<wbr>ด้วย<wbr>อานุภาพ<wbr>ของตน ถ้าแม้พวกกระผมจักยังคุณวิเศษให้เกิดขึ้นได้เช่นท่านไซร้ จักนำมาฉันเสียเองทีเดียว จึงไม่ปรารถนาจะฉัน.
    ตั้งแต่วันที่สองไป พระเถระที่ ๒ ก็บรรลุอนาคามิผล. แม้ท่านก็ถือเอา<wbr>บิณฑ<wbr>บาต<wbr>เหมือน<wbr>อย่าง<wbr>นั้นไปยังที่นั้น แล้วนิมนต์ภิกษุนอกนี้ (ฉัน). ฝ่ายภิกษุเหล่านั้นก็ได้ปฏิเสธเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละ.
    บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุผู้บรรลุพระอรหัตก็ปรินิพพานไป. พระอนาคามีก็ไปบังเกิดในชั้นสุทธาวาส. ส่วนพระ ๕ รูปนอกนี้ แม้เพียรพยายามอยู่ก็ไม่อาจทำ<wbr>คุณ<wbr>วิเศษ<wbr>ให้<wbr>เกิดขึ้นได้. ภิกษุเหล่านั้น เมื่อไม่สามารถ (จะทำอะไรได้) ก็ซูบผอมตายลงในที่นั้นเอง แล้วบังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวไปในเทวโลกนั่นแหละ สิ้นพุทธันดรหนึ่ง ใน<wbr>พุทธุป<wbr>บาท<wbr>กาลนี้ ได้จุติจากเทวโลกบังเกิดในเรือนมีสกุลนั้นๆ.
    ก็บรรดาคนเหล่านั้น คนหนึ่งได้เป็นพระราชาพระนามว่า ปุกกุสะ, คนหนึ่งเป็น กุมารกัสสปะ, คนหนึ่งเป็น ทัพพมัลลบุตร, คนหนึ่งเป็น สภิยปริพาชก, คนหนึ่งเป็น พาหิยะ ทารุจีริยะ.
    บรรดาคนเหล่านั้น พระอนาคามีผู้ที่บังเกิดในพรหมโลก ซึ่งท่านหมายเอากล่าวคำนี้ไว้ว่า ปุราณสาโลหิตา เทวตา เทวดาผู้ร่วมสาโลหิต ดังนี้.
    จริงอยู่ แม้เทวบุตรก็เรียกว่า เทวดา เพราะอธิบายว่า เทวดาก็คือเทพ เหมือนเทพธิดา ดุจในประโยคมีอาทิว่า อถ โข อญฺญตรา เทวตา ครั้งนั้นแล เทวดาองค์หนึ่ง. แต่ในที่นี้ พรหม ท่านประสงค์เอาว่า เทวดา.
    ก็เมื่อพรหมนั้นตรวจดูพรหมสมบัติแล้วนึกถึงสถานที่ตนมา ในลำดับที่เกิดในพรหมโลกนั้นทีเดียว การที่พวกชนทั้ง ๗ คนขึ้นภูเขากระทำสมณธรรมก็ดี ความที่ตนบรรลุอนาคามิผล แล้วบังเกิดในพรหมโลกก็ดี ปรากฏแล้ว.
    พรหมนั้นรำพึงว่า ฝ่ายชนทั้ง ๕ บังเกิดที่ไหนหนอ รู้ว่าชนเหล่านั้นบังเกิดในเทวโลกชั้นกามาวจร ครั้นต่อมาตามเวลาอันสมควร ได้ตรวจดูประวัติของชนเหล่านั้นว่า กระทำอะไรกันหนอ. แต่ในเวลานี้ เมื่อรำพึงว่า พวกเหล่านั้นอยู่ที่ไหนหนอ จึงได้เห็นพาหิยะอาศัยท่าสุปปารกะ นุ่งผ้าคากรองทำด้วยเปลือกไม้ เลี้ยงชีพด้วยการหลอกลวง
    คิดว่า เมื่อก่อน ผู้นี้พร้อมกับเราผูกบันไดขึ้นภูเขากระทำสมณธรรม ไม่อาลัยในชีวิต เพราะประพฤติกวดขันอย่างยิ่ง แม้พระอรหันต์จะนำบิณฑบาตมาให้ก็ไม่ฉัน บัดนี้ ประสงค์แต่จะให้เขายกย่อง ไม่เป็นพระอรหันต์เลย ก็ยังเที่ยวปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ มีความปรารถนาลาภ สักการะและชื่อเสียง ทั้งไม่รู้ว่าพระทศพลอุบัติขึ้นแล้ว เอาเถอะ เราจักทำเขาให้สลดใจแล้วให้รู้ว่า พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว.
    ทันใดนั้นเอง จึงลงจากพรหมโลก ปรากฏตรงหน้าท่านทารุจีริยะ ที่ท่าสุปปารกะ ตอนกลางคืน. ท่านพาหิยะเห็นแสงสว่างโชติช่วงในที่อยู่ของตน จึงคิดว่า นี้เหตุอะไรหนอ แล้วได้ออกไปข้างนอกตรวจดูอยู่ เห็นมหาพรหมอยู่ในอากาศ จึงประคองอัญชลีถามว่า ท่านเป็นใคร?
    ลำดับนั้น พรหมได้กล่าวแก่ท่านว่า เราเป็นสหายเก่าของท่าน คราวนั้นเราบรรลุอนาคามิผล บังเกิดในพรหมโลก แต่ท่านไม่สามารถจะทำคุณวิเศษอะไรให้บังเกิดได้ คราวนั้นท่านทำกาลกิริยาเยี่ยงปุถุชนท่องเที่ยวไป บัดนี้ ทรงเพศเยี่ยงเดียรถีย์ ไม่เป็นพระอรหันต์เลย ยังเที่ยวถือลัทธินี้ว่าเราเป็นพระอรหันต์ (เรา) รู้ดังนี้จึงได้มา
    ดูก่อนพาหิยะ ท่านไม่ได้เป็นพระอรหันต์เลย จงสละทิฏฐิอันลามกเช่นนั้นเสียเถิด ท่านอย่าได้เป็นไปเพื่อฉิบหาย เพื่อทุกข์ตลอดกาลนานเลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลก ความจริง พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ จงเข้าไปเฝ้าพระองค์เถิด.
    ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า ครั้งนั้นแล เทวดาผู้เป็นสายโลหิตของพาหิยะ ทารุจีริยะ ดังนี้.
    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนุกมฺปิกา ได้แก่ ผู้มีปกติอนุเคราะห์ คือผู้ยิ่งด้วยกรุณา.
    บทว่า อตฺถกามา ได้แก่ ผู้ปรารถนาประโยชน์ คือผู้ยิ่งด้วยเมตตา.
    ก็ในที่นี้ ด้วยบทแรก ท่านแสดงถึงความที่เทวดานั้นประสงค์จะบำบัดทุกข์ของพาหิยะ ด้วยบทหลัง แสดงถึงการนำประโยชน์เกื้อกูลเข้าไป.
    บทว่า เจตสา ได้แก่ ด้วยจิตของตน. ก็ในที่นี้ พึงทราบว่า ท่านถือเอาเจโตปริยญาณ โดยยกจิตขึ้นเป็นประธาน.
    บทว่า เจโตปริวิตกฺกํ ได้แก่ ความเป็นไปแห่งจิตของท่าน.
    บทว่า อญฺญาย แปลว่า รู้แล้ว.
    บทว่า เตนุปสงฺกมิ ความว่า บุรุษผู้มีกำลังเหยียดแขนที่คู้เข้า หรือคู้แขนที่เหยียดออก ชื่อแม้ฉันใด พรหมอันตรธานจากพรหมโลกเข้าไปปรากฏตรงหน้าพาหิยะ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน.
    บทว่า เอตทโวจ ความว่า พรหมได้กล่าวคำนี้ คือคำที่จะกล่าวในบัดนี้ มีอาทิว่า พาหิยะ ท่านมิใช่พระอรหันต์เลย ดังนี้
    ก็ท่านพาหิยะผู้มิจฉาปริวิตกที่เป็นไป มีอาทิว่า ผู้ใดผู้หนึ่งจะเป็นพระอรหันต์หรือ ดังนี้ เหมือนจับโจรพร้อมทั้งของกลาง. ด้วยบทว่า เนว โข ตฺวํ พาหิยะ อรหา นี้ พรหมปฏิเสธว่าท่านพาหิยะมิใช่พระอเสขะในกาลนั้น. ด้วยบทว่า นาปิ อรหตฺตมคฺคํ วา สมาปนฺโน นี้ แสดงว่าท่านพาหิยะยังเป็นเสขบุคคล. แม้ด้วยบททั้งสองนั้น แสดงว่า ท่านพาหิยะไม่ใช่พระอริยบุคคลเลย. ก็ด้วยคำว่า สาปิ เต ปฏิปทา นตฺถิ ยาย พาหิย ตฺวํ อรหา วา อสฺสสิ อรหตฺตมคฺคํ วา สมาปนฺโน นี้ พรหมปฏิเสธว่า ท่านพาหิยะเป็นเพียงกัลยาณปุถุชน.
    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปฏิปทา ได้แก่ วิสุทธิ ๖ (ข้างต้น) มีสีลวิสุทธิเป็นต้น. ที่ชื่อว่าปฏิปทา เพราะเป็นเครื่องดำเนินไปในอริยมรรค.
    บทว่า อสฺสสิ แปลว่า พึงเป็น.
    ถามว่า ก็ความสำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์นี้ เกิดขึ้นแก่ท่าน เพราะอาศัยอะไร?
    ตอบว่า อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ความสำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์เกิดขึ้นแก่ท่าน เพราะท่านกำจัดกิเลสได้ด้วยตทังคปหาน เหตุได้สร้างบุญญาธิการไว้ตลอดกาลนาน โดยความที่ท่านเป็นผู้มักน้อย สันโดษและเป็นผู้ขัดเกลา.
    แต่อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า ท่านพาหิยะได้ฌาน ๔ มีปฐมฌานเป็นต้น เพราะฉะนั้น ความสำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์ จึงเกิดขึ้นแก่ท่าน เพราะกิเลสไม่ฟุ้งขึ้นด้วยวิกขัมภนปหาน.
    ทั้งสองอย่างนั้น เป็นเพียงมติของเกจิอาจารย์เท่านั้น เพราะมาในอรรถกถาว่า ท่านประสงค์แต่ความยกย่อง และว่า ท่านไม่ปรารถนาลาภสักการะและการสรรเสริญ. เพราะฉะนั้น พึงทราบความในข้อนี้ โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
    ลำดับนั้น ท่านพาหิยะแลดูมหาพรหมผู้ยืนกล่าวอยู่ในอากาศ จึงคิดว่า โอ ข้อที่เราเข้าใจว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นกรรมหนักแท้ และพรหมนี้กล่าวว่า แม้ปฏิปทาเป็นเครื่องบรรลุพระอรหัตก็ไม่มีแก่ท่าน ใครๆ ผู้เป็นพระอรหันต์ในโลก มีอยู่หรือหนอ.
    ลำดับนั้น จึงถามมหาพรหมนั้น
    ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถ เก จรหิ เทวเต โลเก อรหนฺโต วา อรหตฺตมคฺคํ วา สมาปนฺนา.
    บรรดาบทเหล่านั้น ศัพท์ว่า อถ เป็นนิบาตใช้ในอรรถเริ่มคำถาม. บทว่า เก จรหิ แก้เป็น เก เอตรหิ. บทว่า โลเก ได้แก่ ในโอกาสโลก.
    ก็ในข้อนี้ มีอธิบายดังต่อไปนี้
    ครั้งนั้น ในพื้นชมพูทวีปทั้งสิ้นอันเป็นโลกเป็นที่รองรับ บัดนี้ พระอรหันต์หรือผู้บรรลุอรหัตมรรค มีอยู่ที่ไหนอันเป็นที่ที่พวกเราเข้าไปหาท่านเหล่านั้น ตั้งอยู่ใน<wbr>โอวาท<wbr>ของ<wbr>ท่านแล้ว จักพ้นจากวัฏทุกข์.
    บทว่า อุตฺตเรสุ ท่านกล่าวหมายเอาด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จากท่า<wbr>สุป<wbr>ปาร<wbr>กะ.
    บทว่า อรหํ ได้แก่ ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้ไกล (จากกิเลส).
    จริงอยู่ พระอรหันต์นั้น ชื่อว่าเป็นผู้ไกล คือตั้งอยู่ในที่ไกลแสนไกลจากสรรพกิเลส. (และ) ชื่อว่าพระอรหันต์ เพราะกำจัดกิเลสพร้อมทั้งวาสนาด้วยมรรค หรือฆ่ากิเลส<wbr>ดุจ<wbr>ข้าศึก<wbr>เสียได้.
    จริงอยู่ ข้าศึกคือกิเลสทั้งหลาย อันพระผู้มีพระภาคเจ้าฆ่า คือถอนแล้วด้วยอรหัตมรรคโดยสิ้นเชิง. อนึ่ง ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะกำจัดกำคือกิเลสเสียได้.
    จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นทรงยืนหยัดอยู่บนปฐพีคือศีล ด้วย<wbr>พระ<wbr>ยุคล<wbr>บาท<wbr>คือวิริยะ ทรงใช้พระหัตถ์คือศรัทธา จับขวานคือญาณอันเป็นเหตุกระทำกรรมให้สิ้น แล้วทรงประหาร คือกำจัดกำทั้งหมดแห่งสังสารจักรอันมีดุมสำเร็จด้วยอวิชชา ภพและตัณหา มีบุญญาภิสังขารเป็นต้นเป็นกำ มีชราและมรณะเป็นกง สอดใส่เพลาอันสำเร็จด้วยอาสวะสมุทัยประกอบเข้าในรถคือภพ ๓ เป็นไปตลอดกาลไม่มีเบื้องต้น.
    อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้ควร.
    ความจริง พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมควรแก่ปัจจัยมีจีวรเป็นต้นอันยิ่ง และบูชาพิเศษ เพราะพระองค์เป็นพระทักขิไณยบุคคลอันเลิศในโลกพร้อมทั้งเทวโลก.
    อนึ่ง ชื่อว่าพระอรหันต์ เพราะไม่มีความลับ (ในการทำบาป) จริงอยู่ พระตถาคต ท่านเรียกว่าพระอรหันต์ เพราะไม่มีความลับในการทำบาป โดยกิเลสลามกไม่มี เพราะพระองค์ถอนกิเลสมีราคะเป็นต้นได้โดยประการทั้งปวง.
    ชื่อว่าสัมมาสัมพุทธะ เพราะตรัสรู้ธรรมทั้งปวงโดยชอบและด้วยพระองค์เอง.
    จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้ยิ่ง ซึ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง ซึ่งธรรมที่ควรกำหนดรู้ โดยเป็นธรรมที่ควรกำหนดรู้ ซึ่งธรรมที่ควรละโดยเป็นธรรมที่ควรละ ซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง โดยเป็นธรรมที่ควรทำให้แจ้ง ซึ่งธรรมที่ควรเจริญโดยเป็นธรรมที่ควรเจริญ.
    สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า
    <table class="D" border="0" cellspacing="0"> <tbody><tr valign="top"><td> </td><td>อภิญฺเญยฺยํ อภิญฺญาตํ </td><td>ภาเวตพฺพญฺจ ภาวิตํ </td></tr><tr valign="top"><td> </td><td>ปหาตพฺพํ ปหีนมฺเม </td><td>พุทฺโธสฺมิ พฺราหฺมณ. </td></tr><tr valign="top"><td> </td><td colspan="2"> ธรรมที่ควรรู้ยิ่ง เรารู้ยิ่งแล้ว ธรรมที่ควรเจริญ เราเจริญ </td></tr><tr valign="top"><td> </td><td colspan="2">แล้ว ธรรมที่ควรละ เราละได้แล้ว เพราะฉะนั้นแหละ พราหมณ์ </td></tr><tr valign="top"><td> </td><td colspan="2">เราจึงเป็นพระพุทธเจ้า.</td></tr></tbody></table> อีกอย่างหนึ่ง พึงแนะนำอรรถนี้โดยธรรมหมวดสามและสองทั้งปวงเป็นต้น โดยนัยมีอาทิว่า ธรรมชื่อว่าเป็นกุศล เพราะไม่มีโทษมีสุขเป็นผล ธรรมชื่อว่าเป็นอกุศล เพราะมีโทษ มีทุกข์เป็นผล.
    ในข้อนี้มีความสังเขปดังนี้ว่า
    ชื่อว่าสัมมาสัมพุทธะ เพราะตรัสรู้ยิ่งซึ่งธรรมทั้งปวง โดยอาการทั้งปวง ด้วยสยัมภูญาณอันไม่วิปริตด้วยประการดังนี้.
    ส่วนความพิสดาร พึงทราบโดยนัยที่มาในวิสุทธิมรรคนั่นแล.
    บทว่า อรหตฺตตาย ได้แก่ เพื่อได้อรหัตผล.
    บทว่า ธมฺมํ เทเสติ ความว่า ย่อมอ้าง คือแสดงธรรมคือปฏิปทามีศีลเป็นต้น อันควรแก่คุณพิเศษมีไพเราะในเบื้องต้นเป็นต้น หรือธรรมคือสมถะและวิปัสสนาอันเหมาะแก่อัธยาศัยของเวไนยสัตว์นั่นแล.
    บทว่า สํเวชิโต ความว่า ให้ถึงความสลดใจว่า ผู้เจริญ น่าติเตียนจริง ความ<wbr>เป็น<wbr>ปุถุ<wbr>ชน อันเป็นเหตุให้เราผู้ไม่เป็นพระอรหันต์เลย สำคัญว่าเป็นพระอรหันต์ และไม่รู้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เสด็จอุบัติขึ้นในโลกทรงแสดงธรรมอยู่ ก็ความเป็นอยู่รู้ได้ยาก ความตายก็รู้ได้ยาก.
    อธิบายว่า มีใจสลดด้วยอาการตามที่กล่าวแล้ว ด้วยคำพูดของเทวดา.
    บทว่า ตาวเทว แปลว่า ในขณะนั้นนั่นเอง.
    บทว่า สุปฺปารกา ปกฺกามิ ความว่า ผู้มีหทัยอันปิติมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ อันเกิดขึ้นเพราะได้ยินพระนามว่า พุทฺโธ และถูกความสังเวชตักเตือนอยู่ จึงได้จากท่าสุปปารกะหลีกไป มุ่งตรงกรุงสาวัตถี.
    บทว่า สพฺพตฺถ เอกรตฺติปริวาเสน ความว่า ได้ไปโดยอยู่พักแรมราตรีเดียวในหนทางทั้งปวง.
    จริงอยู่ เมืองสาวัตถีจากท่าสุปปารกะ มีระยะทาง ๑๒๐ โยชน์ แต่ท่านพาหิยะนี้ ได้ไปยังกรุงสาวัตถีนั้นโดยพักแรมราตรีเดียว ตลอดระยะทางเท่านี้. ท่านถึงกรุงสาวัตถีในวันที่ออกจากท่าสุปปารกะนั่นเอง.
    ถามว่า ก็อย่างไร ท่านพาหิยะนี้จึงได้ไปอย่างนั้น?
    ตอบว่า เพราะอานุภาพของเทวดา. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เพราะพุทธานุภาพก็มี. เป็นอันท่านแสดงอธิบายไว้ดังนี้ว่า
    ก็เพราะท่านกล่าวว่า โดยพักแรมราตรีเดียวในที่ทุกสถาน และเพราะหนทางมีระยะ ๑๒๐ โยชน์ ในระหว่างทาง ท่านไม่ให้อรุณที่ ๒ ตั้งขึ้นในที่ที่ตนอยู่ตอนกลางคืนในคามนิคมและราชธานี จึงไปถึงกรุงสาวัตถีโดยพักแรมราตรีเดียวในที่ทุกแห่ง.
    ข้อนี้ไม่พึงเห็นอย่างนี้ว่า ท่านอยู่ในหนทางนั้นทั้งสิ้นเพียงราตรีเดียว เพราะประสงค์เอาความนี้ว่า โดยพักแรมแห่งละราตรี ในหนทางทั้งหมด มีระยะทาง ๑๒๐ โยชน์ ในวันสุดท้ายเวลาเย็น จึงถึงกรุงสาวัตถี.
    ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่าพาหิยะมาถึง ทรงพระดำริว่า ชั้นแรก อินทรีย์ของท่านพาหิยะยังไม่แก่กล้า แต่ในระหว่างชั่วครู่หนึ่งจักถึงความแก่กล้า ดังนี้แล้ว รอคอยให้ท่านมีอินทรีย์แก่กล้า จึงแวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จทรงบาตรยังกรุงสาวัตถีในขณะนั้น.
    และท่านพาหิยะนั้นก็เข้าไปยังพระเชตวัน เห็นภิกษุเป็นอันมากฉันภัตตาหารเช้าแล้ว จงกรมอยู่ในอัพโภกาสกลางแจ้ง เพื่อปลดเปลื้องความเกียจคร้านกาย จึงถามว่า บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ไหน.
    ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบาตรยังกรุงสาวัตถี แล้วถามว่า ก็ท่านเล่ามาแต่ไหน? ท่านตอบว่า มาจากท่าสุปปารกะ.
    ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ท่านมาไกล เชิญนั่งก่อน จงล้างเท้า ทาน้ำมัน แล้วพักสักหน่อยหนึ่งในเวลาพระองค์กลับมา ก็จักเห็นพระศาสดา.
    ท่านพาหิยะกล่าวว่า ท่านขอรับ กระผมไม่รู้อันตรายแห่งชีวิตของตน โดยวันเล็กน้อย กระผมไม่ยืนไม่นั่งนานแม้ในที่ไหนๆ มาสิ้นระยะทาง ๑๒๐ โยชน์ พอเฝ้าพระศาสดาแล้วจึงจักพักผ่อน จึงรีบด่วนไปยังกรุงสาวัตถี เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้รุ่งโรจน์ด้วยพุทธสิริหาที่เปรียบปานมิได้.
    ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ก็สมัยนั้นแล ภิกษุเป็นอันมากจงกรมอยู่ในโอกาสกลางแจ้ง. ลำดับนั้นแล ท่านพาหิยะ ทารุจีริยะได้เข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นถึงที่อยู่ ดังนี้เป็นต้น.
    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กหํ เป็น กตฺถ แปลว่าที่ไหน. ศัพท์ว่า นุ ใช้ในอรรถว่าสงสัย. ศัพท์ว่า โข ใช้ในอรรถว่าทำบทให้เต็ม. อธิบายว่า ในประเทศไหนหนอแล.
    บทว่า ทสฺสนกามา แปลว่า เป็นผู้ใคร่จะเห็น. ท่านแสดงไว้ว่า ก็เราปรารถนาจะเฝ้าและเข้าไปใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เหมือนคนบอดปรารถนาจักษุประสาท เหมือนคนหนวกปรารถนาโสตประสาท เหมือนคนใบ้ปรารถนาการกล่าวให้รู้เรื่อง เหมือนคนมีมือเท้าวิกลปรารถนามือเท้า เหมือนคนขัดสนปรารถนาทรัพย์สมบัติ เหมือนคนเดินทางกันดารปรารถนาที่อันปลอดภัย เหมือนคนถูกโรคครอบงำปรารถนาความไม่มีโรค เหมือนคนถูกเรืออับปางในมหาสมุทรปรารถนาแพใหญ่ ฉะนั้น.
    บทว่า ตรมานรูโป ได้แก่ เป็นผู้มีอาการรีบด่วน หรือผู้มีการสงเคราะห์อันน่าสรรเสริญ.
    บทว่า ปาสาทิกํ ความว่า นำมาซึ่งความเลื่อมใสรอบด้านแก่ชนผู้ขวนขวายในการเห็นพระรูปกาย เพราะความสมบูรณ์ด้วยความงามแห่งสรีระของพระองค์ อันนำความเลื่อมใสมารอบด้าน อันประดับด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ อนุพยัญชนะ ๘๐ พระรัศมีด้านละวา และพระเกตุมาลารัศมีที่เปล่งเหนือพระเศียร.
    บทว่า ปสาทนียํ ความว่า เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส เหมาะที่จะควรเลื่อมใส หรือควรแก่ความเลื่อมใสของคนผู้มีปัญญาเห็นประจักษ์ เพราะธรรมกายสมบัติอันประกอบด้วยจำนวนพระคุณหาประมาณมิได้ มีทศพลญาณ ๑๐ เวสารัชชญาณ ๔ อสาธารณญาณ ๖ อาเวณิยพุทธธรรม ๑๘ เป็นต้น.
    บทว่า สนฺตินฺทฺริยํ ได้แก่ อินทรีย์ ๕ ที่สงบระงับ เพราะปราศจากความหวั่นไหวในอินทรีย์ห้า มีจักขุนทรีย์เป็นต้น.
    บทว่า สนฺตมานสํ ได้แก่ มีใจสงบระงับ เพราะเข้าถึงภาวะที่มนินทรีย์ที่หกหมดพยศ.
    บทว่า อุตฺตมทมถสมถมนุปฺปตฺตํ ความว่า ถึงโดยลำดับ คือบรรลุความฝึกฝนและสงบอันสูงสุด กล่าวคือ ปัญญาวิมุตติและเจโตวิมุตติอันเป็นโลกุตระตั้งอยู่.
    บทว่า ทนฺตํ ความว่า ชื่อว่าฝึกกาย เพราะมีกายสมาจารบริสุทธิ์ดี และเพราะไม่มีการเล่น โดยไม่มีการคะนองมือคะนองเท้าเป็นต้น.
    บทว่า คุตฺตํ ความว่า ชื่อว่า คุ้มครองวาจา เพราะมีวจีสมาจารบริสุทธิ์ดี และเพราะไม่มีการเล่น โดยไม่มีวาจาไร้ประโยชน์เป็นต้น.
    บทว่า ยตินฺทฺริยํ ได้แก่ ชื่อว่า มีอินทรีย์สำรวมแล้ว ด้วยการประกอบฤทธิ์อันเป็นของพระอริยะ เพราะมีมโนสมาจารบริสุทธิ์ด้วยดี และด้วยอำนาจมนินทรีย์ เพราะมีความวางเฉยในการไม่ขวนขวายและการไม่พิจารณา.
    บทว่า นาคํ ความว่า ชื่อว่า ผู้ประเสริฐ เพราะเหตุเหล่านี้ คือการไม่ลุอำนาจฉันทาคติเป็นต้น กิเลสมีราคะเป็นต้น ที่ละได้แล้วไม่กลับเกิดอีก คือไม่หวนกลับมา บาปแม้อะไรก็ไม่ทำแม้โดยประการทั้งปวง และไม่ไปสู่ภพใหม่.
    ก็ด้วยบทว่า ปาสาทิกํ นี้ ในอธิการนี้ ท่านแสดงถึงความสำคัญของพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยรูปกาย. ด้วยบทว่า ปสาทนียํ นี้ แสดงถึงความสำคัญของพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยธรรมกาย. ด้วยบทมีอาทิว่า สนฺตินฺทฺริยํ นี้ แสดงถึงความสำคัญพระคุณที่เหลือ. เพราะเหตุนั้น พึงทราบว่าท่านประกาศความสำคัญของพระผู้มีพระภาคเจ้าแก่เหล่าสัตว์โดยสิ้นเชิง ในโลกสันนิวาสที่เชื่อถือประมาณ ๔ พวก.
    ก็ท่านพาหิยะได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นอย่างนั้นกำลังเสด็จไปในถนน ร่าเริงยินดีว่า นานจริงหนอ เราจึงได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้ามีสรีระอันปีติ ๕ ประการถูกต้องตลอดเวลา ดวงตาก็นิ่งเพราะปีติซาบซ่าน น้อมสรีระลงตั้งแต่ที่ๆ ได้เห็นแล้ว ก็หยั่งลงท่ามกลางรัศมีพระวรกายของพระผู้มีพระภาคเจ้า จมลงในพระรัศมีนั้น เข้าไปใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ นวดฟั้นพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า จุมพิตอยู่ พลางกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์เถิด.
    เพราะเหตุนั้น จึงกล่าวว่า ท่านหมอบลงแทบพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า<wbr>ด้วย<wbr>เศียร<wbr>เกล้า แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดแสดงธรรม<wbr>แก่<wbr>ข้า<wbr>พระ<wbr>องค์ ขอพระสุคตโปรดแสดงธรรมอันเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุขแก่<wbr>ข้า<wbr>พระ<wbr>องค์<wbr>สิ้น<wbr>กาล<wbr>นาน<wbr>เถิด.
    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุคโต ความว่า ชื่อว่าสุคต เพราะเสด็จไปงาม คือเสด็จไปสู่ที่อันงาม เสด็จไปโดยชอบ มีพระวาจาชอบ.
    จริงอยู่ การไปท่านเรียกว่า คต. ก็การไปนั้นของพระผู้มีพระภาคเจ้างาม คือบริสุทธิ์ไม่มีโทษ.
    ถามว่า ก็การไปคืออะไร?
    ตอบว่า คือ อริยมรรค.
    จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเสด็จไปสู่ทิศเกษมไม่ติดขัดด้วยการไปนั้น. แม้คนอื่นพระองค์ก็ให้ดำเนินไปด้วย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าสุคต เพราะเสด็จไปงาม. ก็พระองค์เสด็จไปสู่ที่อันดี คือ<wbr>อมต<wbr>นิพ<wbr>พาน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าสุคต เพราะเสด็จไปสู่ที่อันดี. พระองค์ชื่อว่าสุคต เพราะเสด็จไปชอบ เหตุไม่หวนกลับมาสู่กิเลสที่พระองค์ประหารด้วยมรรคนั้นๆ.
    สมจริงดังพระดำรัสที่ตรัสว่า
    ชื่อว่าสุคต เพราะไม่มาอีก ไม่กลับมา ไม่หวนกลับมาสู่กิเลสที่พระองค์ประหารได้ด้วยโสดาปัตติมรรค. ชื่อว่าสุคต เพราะไม่หวนกลับมาสู่กิเลสที่พระองค์ประหารได้ด้วยสกทาคามิมรรค ฯลฯ ด้วยอรหัตมรรค.
    อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สมฺมาคตตฺตา ความว่า เพราะเสด็จไป คือดำเนินไปด้วยดีด้วยสัมมาปฏิบัติ แม้ในการกำหนดทั้ง ๓ อย่าง.
    จริงอยู่ ชื่อว่าสุคต เพราะเสด็จไปโดยชอบแม้ด้วยอาการอย่างนี้ว่า พระ<wbr>องค์<wbr>ทรง<wbr>บรรลุ<wbr>ที่สุดญาตัตถจริยา โลกัตถจริยา พุทธัตถจริยา ด้วยสัมมาปฏิบัติอันบริบูรณ์ด้วยพระบารมี ๓๐ ถ้วน จำเดิมแต่บาทมูลพระพุทธเจ้าทีปังกร ตราบเท่าถึงมหาโพธิมณฑล ทรงพอกพูนเฉพาะ<wbr>หิต<wbr>สุข<wbr>แก่โลกทั้งปวง ต่อแต่นั้นจึงเสด็จไป คือดำเนินไป ด้วย<wbr>การ<wbr>เป็น<wbr>ใหญ่<wbr>ใน<wbr>ธรรม<wbr>ที่<wbr>พระ<wbr>องค์<wbr>ทรง<wbr>บรรลุ<wbr>ใน<wbr>อริย<wbr>สัจ ๔ ด้วยมัชฌิมาปฏิปทา กล่าวคือ<wbr>โพช<wbr>ฌงค<wbr>ภาวนา<wbr>อันยอดเยี่ยม ไม่ข้องแวะที่สุดเหล่านี้ คือ สัสสตทิฏฐิ อุจเฉททิฏฐิ กามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานุโยค และด้วยสัมมาปฏิบัติอันไม่ใช่วิสัยในสัตว์ทั้งปวง.
    ก็พระผู้มีพระภาคเจ้านี้ตรัสโดยชอบ คือตรัสพระวาจาเฉพาะที่ควร ในฐานะอันควร เพราะเหตุนั้น ชื่อว่า สุคต.
    สมจริงดังพระดำรัสที่ตรัสว่า
    เราตถาคตเป็นกาลวาที พูดตามกาล ภูตวาที พูดตามที่เป็นจริง อัตถ<wbr>วาที พูดตาม<wbr>อรรถ ธัมม<wbr>วาที พูดตามธรรม วินัย<wbr>วาที พูด<wbr>ตาม<wbr>วินัย พูดวาจาที่มีหลักฐาน มีที่อ้างมีที่สุดประกอบด้วยประโยชน์ตามกาลอันควร.
    ตรัสไว้อีกอย่างมีอาทิว่า วาจาใด ไม่เป็นจริงไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และวาจานั้นไม่เป็นที่รักไม่เป็นที่พอใจของชนเหล่าอื่น เราตถาคตไม่พูดวาจานั้น.
    ชื่อว่าสุคต แม้เพราะตรัสชอบด้วยประการฉะนี้.
    บทว่า ยํ มมสฺส ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย ความว่า การแสดงอ้างถึงกรรมใดพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล<wbr>แก่<wbr>ฌาน<wbr>และ<wbr>วิโมกข์<wbr>เป็น<wbr>ต้น และ<wbr>เพื่อ<wbr>สุข<wbr>ที่<wbr>จะ<wbr>พึง<wbr>บรรลุ<wbr>ฌาน<wbr>และ<wbr>วิโมกข์<wbr>เป็น<wbr>ต้น<wbr>นั้น<wbr>แก่<wbr>ข้า<wbr>พระ<wbr>องค์<wbr>ตลอด<wbr>กาล<wbr>นาน.
    บทว่า อกาโล โข ตาว ความว่า ดูก่อนพาหิยะ ไม่ใช่กาลเพื่อแสดงธรรมแก่ท่านก่อน. อธิบายว่า ก็เพราะเหตุอะไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่มีกาลในการปฏิบัติประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์เล่า เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นกาลวาที.
    ก็ในคำว่า กาโล นี้ ประสงค์เอากาลที่เหล่าเวไนยสัตว์มีอินทรีย์แก่กล้า.
    ด้วยว่าเพราะเหตุที่ในขณะนั้น รู้ได้ยากว่า อินทรีย์ทั้งหลายของท่านพาหิยะแก่กล้าหรือไม่แก่กล้า ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่ตรัสเทศนานั้น เมื่อทรงอ้างถึงเหตุแก่เขาว่า พระองค์ประทับยืนอยู่ระหว่างถนน จึงตรัสว่า อนฺตรฆรํ ปวิฏฺฐมฺหา ดังนี้.
    บทว่า ทุชฺชานํ แปลว่า พึงรู้ได้ยาก.
    ด้วยบทว่า ชีวิตนฺตรายานํ ท่านพาหิยะประสงค์จะ<wbr>กล่าว<wbr>ว่า การเป็นไปหรือไม่เป็นไปแห่งธรรมอันทำอันตรายต่อชีวิต จึงกล่าวว่า ชีวิตนฺตรายานํ ดังนี้ ด้วยอำนาจการหมุนเวียน. จริง<wbr>อย่าง<wbr>นั้น ชีวิตคือความเป็นไปเนื่องด้วยปัจจัยเป็นอันมาก และอันตรายต่อชีวิตนั้นก็มีมาก.
    สมจริงดังที่ตรัสว่า
    <table class="D" border="0" cellspacing="0"> <tbody><tr valign="top"><td> </td><td>อชฺเชว กิจฺจมาตปฺปํ </td><td>โก ชญฺญา มรณํ สุเว </td></tr><tr valign="top"><td> </td><td>น หิ โน สงฺครนฺเตน </td><td>มหาเสเนน มจฺจุนา. </td></tr><tr valign="top"><td> </td><td colspan="2"> พึงรีบทำความเพียรในวันนี้แหละ ใครเล่าจะรู้ </td></tr><tr valign="top"><td> </td><td colspan="2">ความตายในวันพรุ่ง เพราะว่าความผิดเพี้ยนด้วย </td></tr><tr valign="top"><td> </td><td colspan="2">มฤตยู อันมีเสนาใหญ่ ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย.</td></tr></tbody></table> ก็เพราะเหตุไร ท่านพาหิยะนี้จึงมุ่งแต่อันตรายชีวิตเท่านั้นเป็นอันดับแรก. อาจารย์<wbr>บาง<wbr>พวก<wbr>แก้<wbr>ว่า เพราะท่านรู้แต่อารมณ์ที่เป็นนิมิตหรือฉลาดในสิ่งที่ตนไม่เห็น. อาจารย์อีก<wbr>พวก<wbr>หนึ่ง<wbr>กล่าว<wbr>ว่า เพราะท่านได้ยินอันตรายชีวิตในสำนักของเทวดา.
    ก็ท่านถูกอุปนิสัยสมบัติตักเตือน จึงกล่าวอย่างนั้น เพราะเป็นผู้มีภพสุดท้าย.
    จริงอยู่ ท่านเหล่านั้นยังไม่บรรลุพระอรหัต จึงไม่สิ้นชีวิต. ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระประสงค์จะทรงแสดงธรรมแก่ท่านนั่นแหละ จึงห้ามไว้ถึง ๒ ครั้ง?
    ได้ยินว่า พระองค์มีพระดำริอย่างนี้ว่า ตั้งแต่เวลาที่พาหิยะนี้เห็นเรา สรีระทั้งสิ้นอันปีติถูกต้องไม่ขาดระยะ กำลังปิติมีความรุนแรง แม้จักฟังธรรมแล้ว ก็ไม่สามารถแทงตลอดได้ จึงห้ามไว้ ตราบเท่าที่มัชฌัตตุเปกขาจะดำรงอยู่ก่อน แม้ความกระวนกระวายในกายของท่านก็มีกำลัง เพราะท่านมาสู่หนทางสิ้นระยะทาง ๑๒๐ โยชน์ แม้ท่านระงับความกระวนกระวายอยู่ก่อน เพราะเหตุนั้น จึงทรงปฏิเสธถึง ๒ ครั้ง.
    แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทำอย่างนั้น เพื่อให้เกิดความเอื้อเฟื้อในการฟังธรรม.
    แต่พระองค์ถูกขอร้องถึงครั้งที่ ๓ ทรงเห็นมัชฌัตตุเปกขาเป็นเครื่องระงับความกระวนกระวาย และอันตรายชีวิตที่ปรากฏแก่ท่าน ทรงดำริว่า บัดนี้ เป็นกาลเพื่อแสดงธรรม จึงเริ่มแสดงธรรมโดยนัยมีอาทิว่า ตสฺมาติห เต ดังนี้.
    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะท่านเป็นผู้เกิดความขวนขวายอ้อนวอนเราอย่างยิ่ง หรือเพราะท่านกล่าวว่าอันตรายชีวิตรู้ได้ยาก และอินทรีย์ของท่านแก่กล้าแล้ว. ศัพท์ว่า ติห เป็นเพียงนิบาต.
    บทว่า เต แปลว่า อันท่าน. ด้วยคำว่า เอวํ นี้ ตรัสถึงอาการที่จะกล่าวในบัดนี้.
    บทว่า สิกฺขิตพฺพํ ความว่า พึงทำการศึกษาโดยสิกขาแม้ทั้ง ๓ มีอธิศีลสิกขาเป็นต้น.
    แต่เมื่อพระองค์จะทรงแสดงอาการที่จะพึงศึกษา จึงตรัสคำมีอาทิว่า ทิฎฺเฐ ทิฏฺฐ<wbr>มตฺตํ ภวิสฺ<wbr>สติ เมื่อเห็น ก็เป็นเพียงแต่เห็น.
    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทิฎฺเฐ ทิฏฺฐมตฺตํ ได้แก่ สักว่าการเห็นรูปายตนะ ด้วยจักขุวิญญาณ.
    อธิบายว่า เธอพึงศึกษาว่า จักขุวิญญาณเห็นซึ่งรูปในรูปเท่านั้น หาเห็นสภาพลักษณะมีอนิจจลักษณะเป็นต้นไม่ ฉันใด รูปที่เหลือจักเป็นเพียงอันเราเห็นด้วยวิญญาณที่เป็นไปทางจักขุทวารนั้นเท่านั้น. อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า การรู้แจ้งซึ่งรูปในรูปด้วยจักขุวิญญาณ ชื่อว่าเห็นรูปในรูปที่เห็น.
    บทว่า มตฺตา แปลว่า ประมาณ. ประมาณแห่งรูปนี้ที่เห็นแล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ทิฏฐมัตตะ. อธิบายว่า จิตเป็นเพียงจักขุวิญญาณเป็นประมาณเท่านั้น. ท่านอธิบายไว้ว่า จักขุวิญญาณ ย่อมไม่กำหนัด ขัดเคือง หลงในรูปที่มาปรากฏฉันใด เราจักตั้งชวนจิตไว้โดยประมาณแห่งจักขุวิญญาณอย่างนี้ว่า ชวนจิตของเราจักเป็นเพียงจักขุวิญญาณเท่านั้นเพราะเว้นจากราคะเป็นต้น.
    อีกอย่างหนึ่ง รูปที่จักขุวิญญาณเห็น ชื่อว่า ทิฏฐะ. จิต ๓ ดวงคือสัมปฏิจฉนจิต สันติรณจิตและโวฏฐัพพนจิต ที่เกิดขึ้นเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละ ชื่อว่า ทิฏฐมัตตะ.
    พึงทราบความในข้อนี้อย่างนี้ว่า จิต ๓ ดวงนี้ ย่อมไม่กำหนัด ขัดเคือง ลุ่มหลง ฉันใด เมื่อรูปมาปรากฏ เราก็จักให้ชวนจิตเกิดขึ้นโดยประมาณสัมปฏิจฉนจิตเป็นต้นนั้นนั่นแหละ เราจะไม่ให้ก้าวล่วงประมาณนั้นเกิดขึ้นด้วยความกำหนัดเป็นต้น ฉันนั้น. ในสุตะและมุตะก็นัยนี้เหมือนกัน.
    ก็บทว่า มุตํ พึงทราบคันธายตนะ รสายตนะและโผฏฐัพพายตนะกับด้วยวิญญาณ ซึ่งมีคันธายตนะ รสายตนะ และโผฏฐัพพายตนะนั้นเป็นอารมณ์.
    ก็ในคำว่า วิญฺญาเต วิญฺญาณมตฺตํ นี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้
    ชื่อว่าวิญญาตะ ได้แก่ อารมณ์ที่มโนทวาราวัชชนจิตแจ้งแล้ว เมื่อรู้แจ้งอารมณ์นั้นก็เป็นอันชื่อว่ามโนทวาราวัชชนจิตรู้แจ้งแล้ว เหตุนั้นจึงชื่อว่ามีอาวัชชนจิตเป็นประมาณ.
    ในข้อนี้มีอธิบายดังนี้ว่า
    อาวัชชนจิตย่อมไม่กำหนัด ขัดเคือง ลุ่มหลง ฉันใด เราจักพักจิตโดยประมาณแห่งอาวัชชนจิตเท่านั้น ไม่ยอมให้เกิดขึ้นด้วยความกำหนัดเป็นต้น ฉันนั้น.
    บทว่า เอวญฺหิ เต พาหิย สิกฺขิตพฺพํ ความว่า พาหิยะ เธอพึงศึกษาโดยคล้อยตามสิกขาทั้ง ๓ ด้วยปฏิปทานี้อย่างนี้. ดังนี้นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงจำแนกอารมณ์อันแตกต่างโดยประเภทอารมณ์ ๖ พร้อมวิญญาณกาย ๖ อย่างย่อและตามความพอใจของพาหิยะ ด้วยวิปัสสนา โดยโกฏฐาสะทั้ง ๔ มีรูปอันตนเห็นแล้วเป็นต้นแล้ว จึงทรงแสดงญาตปริญญาและตีรณปริญญาในข้อนั้นแก่เธอ. อย่างไร? เพราะว่า ในข้อนี้รูปารมณ์เป็นอันชื่อว่าทิฏฐะ เพราะอรรถว่าอันจักขุวิญญาณพึงเห็น. ส่วนจักขุวิญญาณพร้อมวิญญาณที่เป็นไปทางจักขุทวารนั้น ชื่อว่า ทิฏฐะ เพราะอรรถว่าเห็น. แม้ทั้งสองอย่างนั้น เป็นเพียงธรรมที่เป็นไปตามปัจจัยเท่านั้น.
    ในข้อนี้ ใครๆ จะทำเองหรือให้ผู้อื่นทำก็หาได้ไม่.
    จริงอยู่ ในข้อนี้มีอธิบายดังนี้ว่า จักขุวิญญาณนั้นชื่อว่าไม่เที่ยง เพราะมีแล้วกลับไม่มี ชื่อว่าเป็นทุกข์ เพราะถูกความเกิดขึ้นและดับไปบีบคั้น ชื่อว่าเป็นอนัตตา เพราะอรรถว่าไม่เป็นไปในอำนาจ เหตุนั้น ในข้อนั้นจะจัดเป็นโอกาสของธรรมมีความกำหนัดเป็นต้นแห่งบัณฑิตได้ที่ไหน.
    พึงทราบวินิจฉัยแม้ในสุตะเป็นต้น บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงปหานปริญญาพร้อมมูลเหตุเบื้องสูง แก่บัณฑิตผู้ตั้งอยู่ในญาตปริญญาและตีรณปริญญา จึงเริ่มคำมีอาทิว่า ยโต โข เต พาหิย ดังนี้.
    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยโต ได้แก่ ในกาลใดหรือเพราะเหตุใด.
    บทว่า เต ได้แก่ ตว แก่เธอ. บทว่า ตโต ได้แก่ ในกาลนั้นหรือ เพราะเหตุนั้น.
    บทว่า เตน ความว่า ด้วยรูปอันเธอเห็นแล้วเป็นต้น หรือด้วยกิเลสมีราคะเป็นต้น อันเนื่องกับรูปที่เธอเห็นแล้วเป็นต้น.
    ตรัสคำนี้ไว้ว่า พาหิยะ ในกาลใด หรือเพราะเหตุใด เพียงรูปที่เธอเห็นแล้วเป็นต้น จักมีแก่เธอผู้ปฏิบัติตามวิธีที่เรากล่าวแล้วในรูปที่เห็นแล้วเป็นต้น ด้วยการหยั่งรู้สภาพที่ไม่วิปริต ในกาลนั้นหรือเพราะเหตุนั้น เธอจักไม่มีพร้อมด้วยกิเลสมีราคะเป็นต้น ที่เนื่องด้วยรูปที่เธอเห็นแล้วเป็นต้น เธอจักเป็นผู้ไม่กำหนัด ขัดเคือง หรือลุ่มหลง หรือจักไม่เป็นผู้เนื่องกับรูปที่เธอเห็นแล้วเป็นต้นนั้น เพราะละราคะเป็นต้นได้แล้ว.
    บทว่า ตโต ตฺวํ พาหิย น ตตฺถ ความว่า ในกาลใดหรือเพราะเหตุใด เธอจักเป็น<wbr>ผู้<wbr>กำหนัด<wbr>เพราะ<wbr>ราคะนั้น ขัดเคืองเพราะโทสะ หรือลุ่มหลงเพราะโมหะ ใน<wbr>กาล<wbr>นั้น<wbr>หรือ<wbr>เพราะเหตุนั้น เธอจักไม่มีในรูปที่เห็นแล้วเป็นต้นนั้น หรือเมื่อรูปนั้นที่เห็นแล้ว หรือเสียงและอารมณ์ที่ทราบแล้ว เธอจักไม่เป็นผู้ข้องตั้งอยู่ด้วยตัณหามานะและทิฏฐิว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา.
    ด้วยคำเพียงเท่านี้ พระองค์ทรงให้ปหานปริญญาถึงที่สุดแล้วแสดงขีณาสวภูมิ.
    บทว่า ตโต ตฺวํ พาหิย เนวิธ น หุรํ น อุภยมนฺตเรน ความว่า พาหิยะ ในกาลใด เธอจักไม่เป็นผู้เกี่ยวเนื่องในรูปที่เห็นแล้วเป็นต้นนั้น ด้วยกิเลสมีราคะเป็นต้นนั้น ในกาลนั้น เธอจักไม่มีในโลกนี้ ในโลกหน้าและในโลกทั้งสอง.
    บทว่า เอเสวนฺโต ทุกฺขสฺส ความว่า จริงอยู่ ในข้อนี้ มีอธิบายเพียงเท่านี้ ว่า ก็ที่สุด เขต กำหนด และความหมุนเวียนแห่งกิเลส ทุกข์และวัฏทุกข์เท่านี้.
    ก็อาจารย์เหล่าใดถือบทว่า อุภยมนฺตเรน แล้วจึงปรารถนาชื่อระหว่างภพ คำของอาจารย์เหล่านั้นผิด.
    จริงอยู่ ภาวะระหว่างภพ ท่านคัดค้านแล้วในพระอภิธรรมทีเดียว.
    ก็คำว่า อนฺตเรน เป็นการแสดงวิกัปอื่น. เพราะเหตุนั้น ในข้อนี้มีอธิบายดังนี้ว่า ก็วิกัปอื่น ไม่มีในโลกนี้โลกหน้าหรือทั้งสอง.
    อีกอย่างหนึ่ง คำว่า อนฺตเรน เป็นการแสดงความไม่มีวิกัปอื่น. คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า ก็ที่ตั้งอื่นไม่มีในโลกนี้โลกหน้า ถึงระหว่างภพก็ไม่มี.
    อนึ่ง อาจารย์แม้เหล่าใด ถือเอาโดยไม่แยบคายซึ่งอรรถสุตตบทเหล่านี้ว่า อัน<wbr>ต<wbr>รา<wbr>ปริ<wbr>นิพ<wbr>พา<wbr>ยี และว่าสัมภเวสี แล้วกล่าวว่า ภพอื่นยังมีอยู่เหมือนกัน อาจารย์แม้เหล่านั้น เพราะถูกคัดค้านว่า อรรถ<wbr>สุต<wbr>ต<wbr>บท<wbr>ต้นว่า ชื่อว่า<wbr>อัน<wbr>ตรา<wbr>ปริ<wbr>นิพ<wbr>พา<wbr>ยี เพราะไม่ผ่านท่ามกลางอายุในภูมินั้น<wbr>มี<wbr>อวิหา<wbr>พรหม<wbr>เป็น<wbr>ต้น แล้ว<wbr>ปริ<wbr>นิพ<wbr>พาน<wbr>ด้วยกิเลสปรินิพพานสิ้นเชิง เพราะบรรลุอรหัตมรรคในระหว่าง หาได้มีในภพอื่นไม่ และ<wbr>ถูก<wbr>คัด<wbr>ค้าน<wbr>อรรถ<wbr>สุต<wbr>ต<wbr>บท<wbr>หลังว่า สัตว์เหล่าใดจักไม่เป็นอย่างนั้น สัตว์เหล่านั้นจักเป็นผู้สิ้นอาสวะมีในภพก่อน
    อธิบายว่า ชื่อว่า สัมภ<wbr>เว<wbr>สี เพราะแสวงหาภพใหม่ ผิดตรงข้ามกับ<wbr>อัน<wbr>ตรา<wbr>ปริ<wbr>นิพ<wbr>พา<wbr>ยี<wbr>บุคคล<wbr>นั้น และชื่อว่า เสขปุถุชน เพราะยังละภวสังโยชน์ไม่ได้
    อนึ่ง บรรดากำเนิด ๔ อัณฑชสัตว์และชลาพุชสัตว์ยังไม่ทำลายกระเปาะไข่<wbr>หรือ<wbr>กระเปาะ<wbr>หัว<wbr>ไส้<wbr>อยู่<wbr>ตราบ<wbr>ใด ก็ชื่อว่าสัมภ<wbr>เว<wbr>สี อยู่ตราบนั้น สัตว์ที่ออกไปจากกระเปาะไข่และกระเปาะหัวไส้ ก็ชื่อว่าภูต สังเสทช<wbr>สัตว์และอุป<wbr>ปา<wbr>ติก<wbr>สัตว์ ชื่อว่าสัมภ<wbr>เว<wbr>สี ในขณะจิตดวงแรก ตั้ง<wbr>แต่<wbr>ขณะ<wbr>จิต<wbr>ดวง<wbr>ที่ ๒ ไป ชื่อว่าภูต
    อนึ่ง สัตว์ทั้งหลายเกิดด้วยอิริยาบถใด ยังไม่ถึงอิริยาบถอื่นจากนั้นตราบใด ก็ยังชื่อว่าสัมภ<wbr>เว<wbr>สี อยู่ตราบนั้น ต่อจากนั้น จัดเป็นภูต
    เพราะเหตุนั้น จึงถูกคัดค้านว่า ไม่มี ดังนี้.
    ก็เมื่อมีอรรถที่คล้อยตามบาลีตรงๆ จะเป็นประโยชน์อะไรด้วยอรรถที่กำหนดด้วยภพอื่นซึ่งไม่สามารถจะขยายได้แล. ก็อาจารย์เหล่าใดกล่าวข้อยุติว่า จะเห็นธรรมที่เป็นไปด้วยความสืบต่อปรากฏในส่วนอื่นไม่ขาดสาย ข้อนั้นพึงปรากฏแม้ในความสืบต่อแห่งอวิญญาณกทรัพย์มีข้าวเปลือกเป็นต้น ฉันใด แม้ในความสืบต่อแห่งสวิญญาณกสังขาร ก็พึงปรากฏในส่วนอื่นโดยไม่ขาดสายฉันนั้น
    อนึ่ง นัยนี้ย่อมเหมาะในเมื่อมีภพอื่น หาใช่โดยประการอื่นไม่.
    ก็เพราะเหตุนั้น ท่านผู้มีฤทธิ์บรรลุความเชี่ยวชาญทางใจ อธิษฐานกายคล้อยตามจิต พึงคัดค้านข้อยุติ โดยการจากพรหมโลกมายังโลกนี้ หรือจากโลกนี้ไปยังพรหมโลกขณะเดียวกัน ถ้าปรารถนาความเป็นไปของธรรมในส่วนที่ไม่ขาดสายในที่ทุกสถานไซร้ แม้ถ้าท่านผู้มีฤทธิ์ทั้งหลาย จะพึงมีอิทธิวิสัยเป็นอจินไตยไซร้
    คำนั้นจะพึงเสมอกันแม้ในที่นี้ เพราะพระบาลีว่า กมฺม<wbr>วิ<wbr>ปา<wbr>โก อจินฺ<wbr>เตยฺ<wbr>โย ผลกรรมเป็นอจินไตย เพราะเหตุนั้น คำนั้นเป็นเพียงมติของอาจารย์เหล่านั้นเท่านั้น. เพราะว่า สภาวธรรมมีสภาพเป็นอจินไตย สภาวธรรมเหล่านั้นบางแห่งจึงปรากฏในส่วนที่ขาดสายด้วยปัจจัย บางแห่งปรากฏในส่วนที่ไม่ขาดสาย. จริงอย่างนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยมีรูปเปรียบและเสียงสะท้อนเป็นต้น ย่อมเกิดปรากฏในส่วนหนึ่งมีส่วนแห่งกระจกและภูเขาเป็นต้น จากปัจจัยมีเสียงกึกก้องข้างหน้าเป็นต้น. เพราะเหตุนั้น จึงไม่พึงน้อมสิ่งทั้งหมดในที่ทุกอย่างแล. ในข้อนี้มีความสังเขปเท่านี้. ส่วนความพิสดารมีการวิจารณ์เรื่องของภพอื่นอันให้สำเร็จอุทาหรณ์เป็นต้นของรูปเปรียบ พึงค้นดูในฎีกากถาวัตถุปกรณ์เถิด.
    ส่วนอาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า บทว่า อิธ ท่านกล่าวหมายเอา กามภพ. บทว่า หุร ํ กล่าวหมายเอาอรูปภพ. บทว่า อุภยมนฺตเรน กล่าวหมายเอารูปภพ.
    อาจารย์พวกอื่นกล่าวว่า บทว่า อิธ ได้แก่ อายตนะภายใน. บทว่า หุรํ ได้แก่ อายตนะภายนอก. บทว่า อุภยมนฺตเรน ได้แก่ จิตและเจตสิก.
    อีกอย่างหนึ่ง อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า บทว่า อิธ กล่าวว่า ปัจจยธรรม. บทว่า หุรํ กล่าวว่า ปัจจยุปปันธรรม ธรรมเกิดแต่ปัจจัย. บทว่า อุภยมนฺตเรน กล่าวว่า บัญญัติธรรม.
    คำนั้นทั้งหมด ไม่มีในอรรถกถา.
    ธรรมอันเป็นไปในภูมิ ๓ พึงสงเคราะห์ด้วยอาการ ๔ โดยรูปที่จักขุวิญญาณเห็นแล้วเป็นต้น ด้วยคำมีอาทิว่า ทิฏฺเฐ ทิฏฺฐมตฺตํ ภวิสฺสติ เมื่อจักขุวิญญาณเห็นรูป ก็เป็นเพียงแต่เห็น อย่างนี้ก่อน ในธรรมเหล่านั้น ท่านแสดงถึงอสุภภาวนา ทุกขานุปัสสนา อนิจจานุปัสสนาและอนัตตานุปัสสนา โดยมุขคือการเว้นจากการยึดถือว่างาม เป็นสุข เป็นของเที่ยง และเป็นตัวตนแล. เมื่อว่าโดยสังเขป ท่านกล่าววิปัสสนากับวิสุทธิเบื้องต่ำ. ด้วยคำว่า ตโต ตฺวํ พาหิย น เตน นี้ ตรัสถึงมรรคเพราะประสงค์เอาการตัดกิเลสมีราคะเป็นต้นได้เด็ดขาด. ด้วยคำว่า ตโต ตฺวํ พาหิย น ตตฺถ นี้ ตรัสถึงผลจิต. ด้วยคำว่า เนวิธา เป็นต้น พึงเห็นว่า ตรัสถึงอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ.
    เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถ โข พาหิย ฯเปฯ อาสเวหิ จิตฺตํ วิมุจฺจติ ดังนี้.
    จิตของท่านพาหิยะหลุดพ้นจากอาสวะด้วยการแสดงบทย่อนี้.
    บทว่า ตาวเทว ได้แก่ ในขณะนั้นนั่นเองไม่ใช่กาลอื่น.
    บทว่า อนุปาทาย แปลว่า ไม่ยึดมั่น.
    บทว่า อาสเวหิ ความว่า จากกามราคะเป็นต้นที่มี ชื่อว่าอาสวะ เพราะไหลไปคือเป็นไปจาก<wbr>ภวัคค<wbr>พรหม<wbr>จน<wbr>ถึง<wbr>โคตร<wbr>ภู และเป็นเหมือนเครื่องหมักดองมีสุราเป็นต้น โดยอรรถว่าหมักไว้นาน.
    บทว่า วิมุจฺจติ ความว่า หลุดพ้นคือสลัดออก (กามราคะเป็นต้น) ด้วยสมุจเฉทวิมุตติและปฏิปัสสัทธิวิมุตติ.
    ก็ท่านพาหิยะนั้นพอฟังธรรมของพระศาสดาเท่านั้น ชำระศีลให้หมดจด อาศัยสมาธิจิตตามที่ได้แล้ว เริ่มวิปัสสนาเป็นขิปปาภิญญาบุคคล ให้อาสวะทั้งปวงสิ้นไป บรรลุพระอรหัตพร้อมปฏิสัมภิทาขณะนั้นนั่นเอง. ท่านตัดกิเลสดุจกระแสน้ำในสงสาร ทำที่สุดแห่งวัฏทุกข์ทรงร่างกายครั้งสุดท้าย ถูกธรรมดาเป็นไปด้วยปัจจเวกขณญาณ ๑๙ อย่างตักเตือน จึง<wbr>ทูล<wbr>ขอ<wbr>บวช<wbr>กะ<wbr>พระ<wbr>ผู้<wbr>มี<wbr>พระ<wbr>ภาค<wbr>เจ้า
    ถูกตรัสถามว่า เธอมีบาตรและจีวรบริบูรณ์แล้วหรือ กราบทูลว่ายังไม่บริบูรณ์ พระเจ้าข้า
    ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะเธอว่า ถ้าเช่นนั้น เธอจงแสวงหาบาตรและจีวร ดังนี้แล้วเสด็จหลีกไป.
    เพราะเหตุนั้น จึงกล่าวว่า อถ โข ภควา ฯเปฯ ปกฺกามิ ดังนี้.
    ได้ยินว่า ท่านพาหิยะนั้น เมื่อกระทำสมณธรรมสิ้น ๒๐,๐๐๐ ปี ในพระศาสนาของพระ<wbr>กัส<wbr>สป<wbr>ทศ<wbr>พล คิดว่า ธรรมดาว่า ภิกษุ เมื่อตนได้ปัจจัยแล้วทำทานตามสมควรจึงฉันด้วยตนจึงควร ดังนี้ แล้วไม่ได้ทำการสงเคราะห์ด้วยบาตรหรือจีวรแม้แก่ภิกษุรูปหนึ่ง. เหตุนั้น ท่านจึงไม่มี<wbr>อุป<wbr>นิสัย<wbr>เอหิ<wbr>ภิกขุ<wbr>อุป<wbr>สัม<wbr>ป<wbr>ทา.
    แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ได้ยินว่า ท่านเป็นโจรคราวว่างพระพุทธเจ้า ผูกมัดธนูตั้งตัวเป็นโจรในป่าเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง เพราะความโลภในบาตรและจีวร จึงใช้ธนูยิงท่าน แล้วถือเอาบาตรและจีวรไป ด้วยเหตุนั้น บาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ จักไม่เกิดแก่ท่าน
    พระศาสดาทรงทราบดังนั้นแล้ว จึงมิได้ทรงประทานบรรพชาด้วยเอหิภิกขุแล. แม้ท่านกำลังเที่ยวแสวงหาบาตรและจีวรอยู่ แม่โคตัวหนึ่งวิ่งมาโดยเร็วขวิดให้เธอถึงสิ้นชีวิต ซึ่ง<wbr>ท่าน<wbr>หมาย<wbr>กล่าว<wbr>ว่า อถ โข อจิรปกฺกนฺตสฺส ภควโต พาหิยํ ทารุจีริยํ คาวี ตรุณวจฺฉา อธิปติตฺวา ชีวิตา โวโรเปสิ
    ครั้งนั้นแล เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จหลีกไปไม่นาน แม่โคลูกอ่อน<wbr>ขวิด<wbr>ท่าน<wbr>พาหิย<wbr>ทารุ<wbr>จีริยะ<wbr>ให้<wbr>ล้ม<wbr>ลง<wbr>สิ้น<wbr>ชีวิต.
    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อจิรปกฺกนฺตสฺส แปลว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จหลีกไปไม่นาน.
    บทว่า คาวี ตรุณวจฺฉา ได้แก่ นางยักษิณีแปลงเป็นแม่โคลูกอ่อน.
    บทว่า อธิปติตฺวา ได้แก่ กดขี่คือย่ำยี.
    บทว่า ชีวิตา โวโรเปสิ ความว่า แม่โคนั้น ให้เกิดจิตก่อเวรขึ้นด้วยเหตุเพียงได้เห็น เพราะได้ความอาฆาตในอัตภาพก่อน จึงเอาเขาขวิดให้สิ้นชีวิต.
    พระศาสดาทรงบาตรแล้วเสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว พร้อมภิกษุจำนวนมากเสด็จออกจากนคร ทอดพระเนตรเห็นท่านพาหิยะตกอยู่ที่กองหยากเยื่อ ทรงบัญชาภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอยืนอยู่ที่ประตูเรือนหลังหนึ่งช่วยกันนำเตียงออกมา นำร่างนี้ออกไปจากนครทำฌาปนกิจ ก่อสถูปไว้.
    ภิกษุทั้งหลายได้ทำอย่างนั้น.
    ก็แลครั้นทำแล้วไปยังวิหารเฝ้าพระศาสดา กราบทูลกิจที่ตนทำแล้ว จึงทูลถาม<wbr>ถึง<wbr>อภิ<wbr>สัม<wbr>ป<wbr>ราย<wbr>ภพ<wbr>ของ<wbr>ท่าน<wbr>พาหิยะ.
    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสบอกแก่ภิกษุเหล่านั้นว่า ท่าน<wbr>พาหิยะ<wbr>ปริ<wbr>นิพ<wbr>พาน<wbr>แล้ว. ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงตรัสบอกว่า ท่านพาหิยทารุจีริยะ<wbr>บรรลุ<wbr>พระ<wbr>อรหัต<wbr>แล้ว<wbr>หรือ ท่าน<wbr>บรรลุ<wbr>พระ<wbr>อรหัต<wbr>ที่<wbr>ไหน.
    และเมื่อตรัสว่า ในเวลาที่ฟังธรรมของเรา พวกภิกษุจึงทูลถามว่า ก็พระองค์แสดงธรรมแก่ท่านในเวลาไหน.
    พระศาสดาตรัสว่า เมื่อเรากำลังบิณฑบาตยืนอยู่ระหว่างถนนวันนี้เอง. ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมที่พระองค์ยืนตรัสในระหว่างถนนนั้นมีประมาณน้อย ท่านทำคุณวิเศษให้เกิดด้วยเหตุเพียงเท่านั้นได้อย่างไร.
    พระศาสดา เมื่อทรงแสดงว่า ภิกษุทั้งหลาย เธออย่าประมาณธรรมของเราว่ามีน้อยหรือมาก แม้คาถาตั้งหลายพัน แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ไม่ประเสริฐเลย ส่วนบทคาถาแม้บทเดียวซึ่งประกอบด้วยประโยชน์ยังประเสริฐกว่า
    จึงตรัสคาถานี้ในธรรมบทว่า
    <table class="D" border="0" cellspacing="0"> <tbody><tr valign="top"><td> </td><td>สหสฺสมปิ เจ คาถา </td><td>อนตฺถปทสญฺหิตา </td></tr><tr valign="top"><td> </td><td>เอกํ คาถาปทํ เสยฺโย </td><td>ยํ สุตฺวา อุปสมฺมติ.</td></tr></tbody></table> ถ้าคาถาแม้ตั้งพัน แต่ประกอบด้วยบทอัน
    ไม่เป็นประโยชน์ บทคาถาบทเดียวซึ่งบุคคลฟัง
    แล้ว ย่อมสงบระงับได้ยังประเสริฐกว่า ดังนี้.
    เมื่อทรงแสดงว่า เธอเป็นผู้ควรแก่การบูชาด้วยเหตุเพียงปรินิพพานอย่างเดียวก็หาไม่ โดยที่แท้ เธอเป็นผู้สมควรแก่การบูชาแม้ด้วยภาวะอันเลิศกว่าภิกษุสาวกของเราผู้เป็นขิปปาภิญญา จึงทรงสถาปนาท่านไว้ในเอตทัคคะว่า
    ภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุสาวกผู้เป็นขิปปาภิญญา ท่านพาหิยทารุจีริยะเป็นเลิศ
    ซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า อถ โข ภควา สาวตฺถิยํ ปิณฺฑาย จริตฺวา ฯเปฯ ปรินิพฺพุ<wbr>โต ภิกฺข<wbr>เว พาหิโย ทารุ<wbr>จีรโย ดังนี้.
    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปจฺฉาภตฺตํ ได้แก่ หลังจากเสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว.
    บทว่า ปิณฺฑปาตปฏิกฺกนฺโต ได้แก่ เสด็จกลับจากทรงบิณฑบาต. แม้ทั้งสองบท ท่านก็อธิบายว่า เสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว.
    บทว่า นีหริตฺวา ความว่า ให้นำออกไปภายนอกพระนคร.
    บทว่า ฌาเปถ แปลว่า จงทำฌาปนกิจ.
    บทว่า ถูปญฺจสฺส กโรถ ความว่า และจงนำสรีรธาตุของท่านพาหิยะมาก่อพระเจดีย์ไว้.
    ในข้อนั้น พระองค์ตรัสเหตุไว้ดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพื่อนสพรหมจารีของพวก<wbr>เธอ<wbr>ปริ<wbr>นิพ<wbr>พาน<wbr>แล้ว. ข้อนั้นมีอธิบายว่า ท่านพาหิยะนั้นได้ประพฤติธรรม คือข้อปฏิบัติมีอธิศีลเป็นต้น ที่พวกเธอประพฤติแล้วและกำลังประพฤติอยู่ที่ชื่อว่าพรหม เพราะอรรถว่าประเสริฐ ได้ประเสริฐเสมอกับพวกเธอ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า สพรหมจารี ได้ทำกาละแล้วตามปกติแห่งมรณกาล
    เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า พวกเธอจงเอาเตียงหามสรีระของท่านไปทำฌาปนกิจ และก่อสถูปของท่านไว้.
    บทว่า ตสฺส กา คติ ความว่า บรรดาคติทั้ง ๕ ท่านมีคติอุปบัติภพเป็นอย่างไร. อนึ่ง บทว่า คติ แปลว่าบังเกิด อธิบายว่า คติของท่านตกลงอย่างไรว่าเป็นพระอริยะหรือปุถุชน.
    บทว่า อภิสมฺปราโย ได้แก่ ท่านละไปแล้วเกิดในภพหรือดับในภพ.
    ว่าโดยอรรถ เป็นอันทรงประกาศว่าท่านปรินิพพานด้วยการตรัสสั่งให้สร้างสถูปไว้ ก็จริง แต่ถึงกระนั้น เหล่าภิกษุผู้ไม่รู้ด้วยเหตุเพียงเท่านั้น ก็จะทูลถามว่า คติของท่านเป็นอย่างไร หรือผู้ประสงค์จะ<wbr>ให้<wbr>ทำ<wbr>ให้<wbr>ปรากฏ<wbr>ชัด จึงทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนั้น.
    บทว่า ปณฺฑิโต ความว่า ชื่อว่าบัณฑิต เพราะไป คือดำเนินไป ได้แก่เป็นไปด้วยปัญญา ชื่อว่าปัณฑะ เพราะบรรลุด้วยปัญญาอันสัมปยุตด้วยอรหัตมรรค.
    บทว่า ปจฺจปาที แปลว่า ดำเนินไปแล้ว.
    บทว่า ธมฺมสฺส ได้แก่ โลกุตรธรรม.
    บทว่า อนุธมฺมํ ได้แก่ ธรรมคือปฏิปทามีสีลวิสุทธิเป็นต้น.
    อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ธมฺมสฺส ได้แก่ นิพพานธรรม.
    บทว่า อนุธมฺมํ ได้แก่ ธรรมคืออริยมรรคและอริยผล.
    บทว่า น จ มํ ธมฺมาธิกรณํ ความว่า ก็เหตุแห่งการแสดงธรรม ไม่ทำเราให้ลำบาก เพราะปฏิบัติตามที่ทรงพร่ำสอน.
    จริงอยู่ ท่านฟังธรรมหรือเรียนกรรมฐานในสำนักของพระศาสดา ไม่ปฏิบัติธรรมตามที่ทรงพร่ำสอน ชื่อว่าทำพระศาสดาให้ทรงลำบาก ซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า
    วิหึสสญฺญี ปคุณํ น ภาสึ
    ธมฺมํ ปณีตํ มนุเชสุ พฺรหฺเม
    เรามีความสำคัญในความลำบาก จึงไม่กล่าวธรรม
    ให้คล่องแคล่ว ให้ประณีต ในหมู่ชน ในหมู่พรหม.
    อีกอย่างหนึ่ง บทว่า น จ มํ ธมฺมาธิกรณํ ความว่า จะเป็นเหตุแห่งธรรมนี้ก็หามิได้. ท่านอธิบายคำนี้ไว้ว่า ชื่อว่าไม่ทำเราให้ลำบาก เพราะปฏิบัติศาสนธรรมของเรานี้ด้วยดี อันเป็นเหตุนำสรรพสัตว์ออกจากวัฏทุกข์. ก็ผู้ปฏิบัติชั่ว ทำลายศาสนธรรม ชื่อว่าให้การประหารสรีระ คือธรรมของพระศาสดา. แต่ท่านพาหิยะนี้ทำสัมมาปฏิบัติให้ถึงที่สุดแล้ว ปรินิพพาน<wbr>ด้วย<wbr>อนุ<wbr>ปา<wbr>ทิ<wbr>เสส<wbr>นิพพาน<wbr>ธาตุ ด้วยเหตุนั้น พระองค์จึงตรัสว่า ปรินิพฺพุโต ภิกฺขเว พาหิโย ทารุจีริโย.
    บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า ทรงทราบว่าพระพาหิยเถระปริ<wbr>นิพพาน<wbr>ด้วย<wbr>อนุ<wbr>ปา<wbr>ทิ<wbr>เสส<wbr>นิพพาน<wbr>ธาตุ และว่าคติของพระขีณาสพทั้งหลายผู้ปรินิพพานแล้วเช่นนั้นอันคนจำนวนมากรู้ได้ยาก โดยอาการทั้งปวง.
    บทว่า อิมํ อุทานํ ได้แก่ ทรงเปล่งอุทานอันแสดงอานุภาพแห่งปรินิพพานอัน<wbr>ไม่<wbr>ประดิษ<wbr>ฐาน<wbr>อยู่<wbr>แล้ว<wbr>นี้.
    บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยตฺถ ความว่า อาโปธาตุ ปฐวีธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุไม่หยั่งลง คือไม่ประดิษฐานอยู่ใน<wbr>นิพพาน<wbr>ธาตุ<wbr>ใด.
    เพราะเหตุไร? เพราะพระนิพพานมีสภาวะเป็นอสังขตรรม.
    จริงอยู่ แม้สิ่งเล็กน้อยแห่งสังขตธรรมก็ไม่มีในพระนิพพานนั้น.
    บทว่า สุกฺกา ความว่า ดาวพระเคราะห์และดาวนักษัตรอันได้ชื่อว่า สุกกะ เพราะมีรัศมีขาว ไม่โชติช่วงคือไม่สว่างไสว.
    บทว่า อาทิจฺโจ นปฺปกาสติ ความว่า แม้พระอาทิตย์อันสามารถแผ่แสงสว่างไปขณะเดียว ๓ ทวีป ก็ไม่แผดแสงด้วยอำนาจรัศมี.
    บทว่า น ตตฺถ จนฺทิมา ภาติ ความว่า แม้เมื่อพระอาทิตย์มีรัศมีแรงกล้า ฝ่ายพระจันทร์มีรัศมีเยือกเย็นน่าใคร่ ก็ไม่รุ่งโรจน์ เพราะกำจัดรัศมีอันสว่างของตน เหตุที่ไม่มีในพระนิพพานนั้น.
    พระองค์ตรัสว่า ตโม ตตฺถ น วิชฺชติ ความมืดไม่มีในพระนิพพานนั้น ดังนี้ ทรงหมายเอาความสงสัยว่า ถ้าพระจันทร์และพระอาทิตย์ไม่มีในพระนิพพานนั้นไซร้ พระนิพพานนั้นก็จะพึงมืดมิดทีเดียว ดุจโลกันตนรก.
    จริงอยู่ เมื่อรูปมี ความมืดก็มี.
    บทว่า ยทา จ อตฺตนา เวทิ มุนิ โมเนน พฺราหฺมโณ ความว่า พราหมณ์ผู้เป็นพระอริยสาวก ซึ่งได้นามว่ามุนี เพราะประกอบด้วยมรรคญาณอันได้ชื่อว่าโมนะ เพราะรู้สัจจะ ๔ และประกอบด้วยโมเนยยปฏิปทาทางกายเป็นต้น ละอาการมีการฟังตามๆ กันมาเป็นต้นด้วยตนคือตนเอง ในขณะอรหัตมรรค ในกาลใด คือในเวลาใดด้วยปฏิเวธญาณ กล่าวคือโมนะนั้นนั่นเองแหละรู้ คือรู้แจ้งพระนิพพานกระทำให้ประจักษ์แก่ตน.
    ปาฐะว่า อเวทิ ดังนี้ก็มี. อธิบายว่าได้รู้ทั่วถึง.
    ศัพท์ว่า อถ ในคำว่า อถ รูปา อรูปา จ สุขทุกฺขา ปมุจฺจติ แปลว่า ภายหลังแต่การตรัสรู้พระนิพพานนั้น.
    บทว่า รูปา ได้แก่ รูปธรรม. ด้วยบทว่ารูปานั้น เป็นอันท่านถือเอาปัญจโวการภพและเอกโวการภพ.
    บทว่า อรูปา ได้แก่ อรูปธรรม. ด้วยบทว่าอรูปานั้น เป็นอันท่านถือเอาอรูปภพ เพราะไม่เจือปนกับรูปที่เรียกว่า จตุโวการภพก็มี.
    บทว่า สุขทุกฺขา ความว่า จากวัฏฏะแม้ที่มีทั้งสุขทั้งทุกข์อันเกิดขึ้นในที่ทุกแห่ง.
    อีกอย่างหนึ่ง บทว่า รูปา ได้แก่ เพราะปฏิสนธิในรูปโลก.
    บทว่า อรูปา ได้แก่ เพราะปฏิสนธิในอรูปโลก.
    บทว่า สุขทุกฺขา ได้แก่ เพราะปฏิสนธิในกามาวจรภูมิ.
    จริงอยู่ กามภพมีทั้งสุขและทุกข์เจือปนกัน. พราหมณ์นั้นย่อมพ้นจากวัฏฏะแม้ทั้งสิ้นนั้นโดยสิ้นเชิงทีเดียว ด้วยประการฉะนี้แล.
    แม้ด้วยคาถา ๒ คาถา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า พระนิพพานเห็นปานนี้ เป็นคติแห่งพาหิยะผู้เป็นบุตรของเราแล. <center>
    จบอรรถกถาพาหิยสูตรที่ ๑๐
    จบโพธิวรรควรรณนาที่ ๑ </center></td></tr></tbody></table>
     
  10. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    แล้วพระพุทธองค์หลุดพ้นแล้วยังกินข้าวใช่มั้ย
    เวลาเดินท่านต้องคิด ไม่นั้นชนต้นไม้แน่ๆ

    ก็ดังพระสูตรอีกบทนี้อีกแล้ว...
    พาหิยะ เมื่อใดเธอเห็นรูปแล้ว สักว่าเห็น ได้ฟังเสียงแล้ว สักว่าฟัง ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัสทางผิวกาย ก็สักว่า ดม ลิ้มรส สัมผัส ได้รู้แจ้งธรรมารมณ์ ก็สักว่าได้รู้แจ้งแล้ว เมื่อนั้น เธอจักไม่มี เมื่อใดเธอไม่มี เมื่อนั้นเธอก็ไม่ปรากฏในโลกนี้ ไม่ปรากฏในโลกอื่น ไม่ปรากฏในระหว่างแห่งโลกทั้งสอง นั่นแหละคือที่สุดแห่งทุกข์ แล
    อุ. ขุ. 25/83/49


    พระสูตรบทนี้ คือเครื่องยืนยันว่า...
    ...นี้ เป็นธรรมอันดีเยี่ยมสำหรับผู้เริ่มต้น ในการหันเหออก นำออก สำรอกออก จากต้นเหตุแห่งการเกิดความนึกคิดปรุงแต่งทั้งปวง เมื่อเข้าใจความจริงแห่งธรรมชาติแห่งสัจธรรมแล้ว เมื่อตาเห็นรูป เมื่อหูได้ยินเสียง เมื่อจมูกได้กลิ่น เมื่อลิ้นรู้รส เมื่อร่างกายรับรู้การสัมผัส เมื่อใจรับรู้ถึงสิ่งที่ปรุงขึ้นมา เมื่อไม่อะไรกับอะไร ในสิ่งที่ตาเห็น ในสิ่งที่หูได้ยิน ในสิ่งที่จมูกได้กลิ่น ในสิ่งที่ลิ้นรู้รส ในสิ่งที่ร่างกายรับรู้การสัมผัส ในสิ่งที่ใจปรุงขึ้นมา ก็เป็นธรรมชาติแห่งการเห็น เป็นธรรมชาติแห่งการได้ยิน เป็นธรรมชาติแห่งการได้กลิ่น เป็นธรรมชาติแห่งการรู้รส เป็นธรรมชาติแห่งการรับรู้การสัมผัส เป็นธรรมชาติแห่งการคิด ซึ่งไม่สามารถสร้างเหตุปัจจัยให้เกิดความนึกคิดปรุงแต่งได้เลย
    ...นี้ เป็นธรรมที่บ่งบอกความหมายว่า เมื่อเข้าใจธรรมชาติแห่งการเห็น ธรรมชาติแห่งการได้ยินธรรมชาติแห่งการได้กลิ่น ธรรมชาติแห่งการรู้รส ธรรมชาติแห่งการรับรู้การสัมผัส และธรรมชาติแห่งการคิด แล้วปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามหน้าที่ของมัน โดยไม่มีความเป็นเราเข้าไปกำหนด บังคับ ควบคุม "เมื่อนั้นเธอจักไม่มี (ไม่มีตัวตน)" และนี่คือ "ที่สุดแห่งทุกข์ (นิพพาน)"
    ...นี้ เป็นธรรมที่เป็นเครื่องยืนยันว่า ไม่มีขั้นตอน หรือวิธีการปฏิบัติใดๆเลยในเรื่องของนิพพาน เป็นเพียงการเข้าใจ กระจ่าง หมดสงสัย ตระหนักชัด และเป็นหนึ่งเดียวกับความจริงแห่งธรรมชาติแห่งสัจธรรมที่ว่า...
    ...โดยธรรมชาติโดยความเป็นจริง ทุกสรรพสิ่งปราศจากความหมายแห่งการมีตัวตน
    ...โดยธรรมชาติโดยความเป็นจริง ทุกสรรพสิ่งปราศจากการปรุงแต่งอยู่แล้วโดยธรรมชาติของมัน
    ...โดยธรรมชาติโดยความเป็นจริง ทุกสรรพสิ่งนั้นบริสุทธิ์หลุดพ้น หรือนิพพานอยู่แล้วโดย ธรรมชาติของมัน และเป็นเช่นนั้นอยู่อย่างนั้นทุกวันทุกเวลา...
     
  11. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    แล้วมันไปเกี่ยวกันตรงไหน...พระพุทธองค์กล่าวจบ พาหิยะก็หลุดพ้น
    แล้วผู้หลุดพ้นแล้วที่ไม่มีชื่อในพระไตรปิฏกจะทำอย่างไรล่ะ...ต้องกลับไปเป็นไม่หลุดพ้นเหรอเพราะบารมีไม่มากพอ...จะทำอย่างไรดีล่ะ ดันฉลาดหลุดพ้นมาเสียแล้ว

    ก็ดังพระสูตรอีกบทนี้อีกแล้ว...
    พาหิยะ เมื่อใดเธอเห็นรูปแล้ว สักว่าเห็น ได้ฟังเสียงแล้ว สักว่าฟัง ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัสทางผิวกาย ก็สักว่า ดม ลิ้มรส สัมผัส ได้รู้แจ้งธรรมารมณ์ ก็สักว่าได้รู้แจ้งแล้ว เมื่อนั้น เธอจักไม่มี เมื่อใดเธอไม่มี เมื่อนั้นเธอก็ไม่ปรากฏในโลกนี้ ไม่ปรากฏในโลกอื่น ไม่ปรากฏในระหว่างแห่งโลกทั้งสอง นั่นแหละคือที่สุดแห่งทุกข์ แล
    อุ. ขุ. 25/83/49


    พระสูตรบทนี้ คือเครื่องยืนยันว่า...
    ...นี้ เป็นธรรมอันดีเยี่ยมสำหรับผู้เริ่มต้น ในการหันเหออก นำออก สำรอกออก จากต้นเหตุแห่งการเกิดความนึกคิดปรุงแต่งทั้งปวง เมื่อเข้าใจความจริงแห่งธรรมชาติแห่งสัจธรรมแล้ว เมื่อตาเห็นรูป เมื่อหูได้ยินเสียง เมื่อจมูกได้กลิ่น เมื่อลิ้นรู้รส เมื่อร่างกายรับรู้การสัมผัส เมื่อใจรับรู้ถึงสิ่งที่ปรุงขึ้นมา เมื่อไม่อะไรกับอะไร ในสิ่งที่ตาเห็น ในสิ่งที่หูได้ยิน ในสิ่งที่จมูกได้กลิ่น ในสิ่งที่ลิ้นรู้รส ในสิ่งที่ร่างกายรับรู้การสัมผัส ในสิ่งที่ใจปรุงขึ้นมา ก็เป็นธรรมชาติแห่งการเห็น เป็นธรรมชาติแห่งการได้ยิน เป็นธรรมชาติแห่งการได้กลิ่น เป็นธรรมชาติแห่งการรู้รส เป็นธรรมชาติแห่งการรับรู้การสัมผัส เป็นธรรมชาติแห่งการคิด ซึ่งไม่สามารถสร้างเหตุปัจจัยให้เกิดความนึกคิดปรุงแต่งได้เลย
    ...นี้ เป็นธรรมที่บ่งบอกความหมายว่า เมื่อเข้าใจธรรมชาติแห่งการเห็น ธรรมชาติแห่งการได้ยินธรรมชาติแห่งการได้กลิ่น ธรรมชาติแห่งการรู้รส ธรรมชาติแห่งการรับรู้การสัมผัส และธรรมชาติแห่งการคิด แล้วปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามหน้าที่ของมัน โดยไม่มีความเป็นเราเข้าไปกำหนด บังคับ ควบคุม "เมื่อนั้นเธอจักไม่มี (ไม่มีตัวตน)" และนี่คือ "ที่สุดแห่งทุกข์ (นิพพาน)"
    ...นี้ เป็นธรรมที่เป็นเครื่องยืนยันว่า ไม่มีขั้นตอน หรือวิธีการปฏิบัติใดๆเลยในเรื่องของนิพพาน เป็นเพียงการเข้าใจ กระจ่าง หมดสงสัย ตระหนักชัด และเป็นหนึ่งเดียวกับความจริงแห่งธรรมชาติแห่งสัจธรรมที่ว่า...
    ...โดยธรรมชาติโดยความเป็นจริง ทุกสรรพสิ่งปราศจากความหมายแห่งการมีตัวตน
    ...โดยธรรมชาติโดยความเป็นจริง ทุกสรรพสิ่งปราศจากการปรุงแต่งอยู่แล้วโดยธรรมชาติของมัน
    ...โดยธรรมชาติโดยความเป็นจริง ทุกสรรพสิ่งนั้นบริสุทธิ์หลุดพ้น หรือนิพพานอยู่แล้วโดย ธรรมชาติของมัน และเป็นเช่นนั้นอยู่อย่างนั้นทุกวันทุกเวลา...<!-- google_ad_section_end -->
     
  12. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    แล้วทำไมคุณปุณฑ์ถึงไม่ยอมอธิบายความเข้าใจใน 4สูตร
    ที่ผมลงไว้ล่ะครับ อธิบายตามตัวน่ะ...ไม่ต้องเอาขยะจากที่อื่นมาใส่ เอากันตรงๆในบทนั้นๆ มัวเฉไฉไปมาอยู่นานแล้วนี่
     
  13. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    คุณกำลังบอกว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา เป็นเรื่องสมมุติของพระพุทธองค์เหรอ
    งั้นทุกๆเรื่องพระพุทธองค์ก็มั่วเอาล่ะสิ รวมถึงเรื่อง ตถตา ความเป็นเช่นนั้น เป็นอยู่อย่างนั้น และไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น...
     
  14. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    ตรงสีน้ำเงิน เป็นข้อความจากพระสูตรเหรอครับ บอกที่มาได้ไหมครับ
     
  15. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ก็ยกอรรถกถามาด้วยแล้วไงคะ ทั้งลิงค์ให้เข้าไปดูที่อ้างมาแบบฉบับเต็ม
    แล้วหลายคนก็เข้ามาอธิบายเรื่องท่านพาหิยะที่ตรัสรู้เร็วแล้วหลายคน

    ..ชั่วขณะของการบรรลุธรรมนั้นแค่ขณะจิตเดียว
    แต่ช่วงเวลาที่อินทรีย์จะแก่กล้าพละห้าจะพร้อม จนอริยมรรคสมังคีได้นั้น จะยาวนานต่างกันแล้วแต่เหตุปัจจัยที่สั่งสมกันมาของแต่ละท่าน

    ที่ท่านพาหิยะตรัสรู้เร็ว (ตามที่ท่านมังคละมุนียกการสั่งสมบารมีเก่าของท่านพาหิยะมา)
    เพราะ ณ ปัจจุบันที่ท่านพาหิยะได้พบพระพุทธเจ้านั้น เรียกว่ามีอินทรีย์แก่กล้าพละห้ามีกำลัง มีการเจริญสติตลอดเวลา พร้อมที่อริยมรรคจะสมังคีทันที ที่ได้เกิดปัญญาถูกต้อง ระลึกรู้ตามรู้หยุดสร้างเหตุปัจจัย(อาสวะกิเลส)ใหม่(สักว่าแต่ได้ยิน ได้กลิ่น..ฯลฯ)ทันที

    ที่เราว่าธรรมของพระพุทธเจ้าลงกันได้หมด
    เพราะเมื่อโยงคำสอนต่างๆมาบรรจบกัน ไม่มีอะไรขัดแย้งกันเลย

    ไม่ว่าท่านจะทรงกล่าวธรรมหรือการเข้าถึงธรรมอย่างไร พระองค์ท่านทรงแจกแจง อธิบายธรรมนั้นการเข้าถึงธรรมนั้น ได้กระจ่างแจ้ง งดงามทั้งเบื้องต้นกลางและปลาย การเข้าถึงธรรมไม่ว่าจะอธิบายด้านใดก็ชัดเจนแจ่มแจ้ง..
    อย่างปฏิจจสมุปบาท
    ก็อวิชชาดับ สังขารดับ วิญญาณดับ นามรูปดับ (ไล่ไปเรื่อยๆ)
    อย่างวิสุทธิเจ็ด
    ก็สีลวิสุทธิ จิตวิสุทธิ ทิฏฐิวิสุทธิ กังขาตรณวิสุทธิ มัคคามัคคญาณวิสุทธิ ปฏิปทาวิสุทธิ์ ญาณทัสนวิสุทธิ
    อย่างโพธิปักขิยธรรม37
    ก็สติปัฏฐานสี่ สัมมัปธานสี่ อิทธิบาทสี่ อินทรีย์ห้าพละห้า โพชฌงค์เจ็ด อริยมรรคองค์แปด
    อย่างสัมมัตตสิบ
    ก็สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาญาณ สัมมาวิมุตติ
    อย่างเมตตาสูตร
    ก็เมตตาเจโตวิมุตติ กรุณาเจโตวิมุตติ มุทิตาเจโตวิมุตติ อุเบกขาเจโตวิมุตติ อนิมิตตาเจโตวิมุุตติ อัสมิมานะถอดถอน(สลัดคืน)
    อย่างสัมมาฌาน(สมาธิ)
    ก็ปฐมฌานมีสติแล้วแลอยู่..ฯ ทุติยฌานมีสติแล้วแลอยู่..ฯ ตติยฌานมีสติแล้วแลอยู่...ฯ จตุตถฌานมีสติแล้วแลอยู่..ฯ
    อื่นๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤษภาคม 2012
  16. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    กระผมบอกท่านว่า
    ความหมายนิพพาน มันต่างกัน จึง เถียงกันไปมา เหมือนคนบางคนบอกว่า หิน20 กิโล นั้นหนักมากยกไม่ไหว แต่บางคนบอกว่ามันเบา ยกได้สบาย นั้นแล

    สาธุครับ
    อ่านยังไง กลายเป็นเรื่องสมมุติ ของพระพุทธองค์ แสดงว่าก็ไม่รู้จักโลกสมมุติกับโลกวิมุตติ อีกด้วยละซิท่าน
    สัพเพ ธัมมา อนัตตา หมายถึง ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ธรรมทั้งหลายไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
    แล้วท่านเข้าใจคำว่า อนัตตา แปลว่า ไม่มีตัวตนแบบไม่มีอะไรเลยอย่างเดียวหรือ :'(
    ส่วน ตถตา นั้นลองหาอ่านหาฟังจากท่านพุทธทาส ให้มากขึ้นอีกนิดนะครับ

    แล้วท่านได้พระพุทธเจ้าชื่ออะไร เป็นผู้นำทาง เหรอครับ เป็นสาย วิริยะ มั้ยละครับ :'(
    สาธุครับ
     
  17. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    พ่ออธิบายไว้เองลูก...จะเถียงอะไรก็จัดมา
     
  18. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    จะโลกสมมุติหรือโลกวิมุตติ...มันก็ปรุงแต่งขึ้นมานั่นแหละลูก...พระพุทธองคกล่าวไว้เอง...นิพพานน่ะ...ไม่เกี่ยวกับโลกนี้หรือโลกหน้าและโลกอื่น

    สัพเพ คือ ทุกสรรพสิ่งในสากลจักรวาล
    ธัมมา หรือ ธรรมะ มันก็มาจากคำว่า ธรรมชาตินั่นแหละลูก
    อัตตา แปลว่า ความเห็นเป็นตัวเป็นตน อนัตตา คือ ความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
    หรือมึงจะแปลว่า...ขนมจีนน้ำยาล่ะลูก....

    ไอ้พวกหัวชนฝานี่...ชอบสร้างกรรมให้ตัวเองจริงๆเลย...ยุคพระศรีอารย์เค้าเป็นสัมมาทิฏฐิกันหมด...แล้วพวกเจ้าจะไปเกิดยุคนั้นได้ยังงัย...ในเมื่อชอบสร้างกรรมให้ตัวเองอยู่แบบนี้
    เอาล่ะกูจะอธิบายให้ฟังลูก...
    จากหนังสือ อิทัปปัจจยตา (พุทธทาส อินทปัญโญ) หน้า56 วรรคที่2 บรรทัดที่3-5
    ...ตถตา แปลว่า...ความเป็นเช่นนั้น...
    ...อวิตถตา แปลว่า...ไม่ผิดไปจากความเป็นเช่นนั้น...
    ...อนัญญถตา แปลว่า...ความไม่เป็นอย่างอื่น...
    คราวนี่มึงพอใจยังล่ะลูก....

    อย่าถามกวนๆนะลูกว่าพระพุทธเจ้าชื่ออะไรสอน...เดี๋ยวมึงจะอายไม่กล้าเข้ามาโพสต์อีกน่ะลูก....
     
  19. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    แล้วทำไมพระพุทธองค์ไม่กล่าวว่า...พระสูตรบทนี้พิเศษสุดเฉพาะพาหิยะเท่านั้นล่ะ...คนอื่นหากตามพระสูตรนี้ต้องกลับไปทำตามพระสูตรอื่นๆที่คุณโพสต์มาให้ได้ก่อน...เพราะนี่เฉพาะพาหิยะเท่านั้น...ซึ่งมีบุญบารมีปัญญาเต็มที่แล้ว

    แต่ที่นี่ทำไมพระพุทธองค์กล่าวไว้เพียงแค่นี้แล้วจบล่ะ...หรือพวกคุณไปไม่เป็นแล้วไปคิดแทนพระพุทธเจ้า

    พาหิยะ เมื่อใดเธอเห็นรูปแล้ว สักว่าเห็น ได้ฟังเสียงแล้ว สักว่าฟัง ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัสทางผิวกาย ก็สักว่า ดม ลิ้มรส สัมผัส ได้รู้แจ้งธรรมารมณ์ ก็สักว่าได้รู้แจ้งแล้ว เมื่อนั้น เธอจักไม่มี เมื่อใดเธอไม่มี เมื่อนั้นเธอก็ไม่ปรากฏในโลกนี้ ไม่ปรากฏในโลกอื่น ไม่ปรากฏในระหว่างแห่งโลกทั้งสอง นั่นแหละคือที่สุดแห่งทุกข์ แล
    อุ. ขุ. 25/83/49<!-- google_ad_section_end -->
     
  20. เอกรินทรา

    เอกรินทรา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +26
    อึดอยู่แล้วลูก...จะเถียงกันจนหมดลมหายใจกันก็ได้ลูก...
    ไม่ได้ทำไปเพื่ออะไรกับอะไรทั้งนั้น...
    ความจริงก็คือความจริง...ไม่มีใครหน้าไหนหนีพ้นความจริงได้สักคนลูก
    มันคือความจริงแห่งธรรมชาติแห่งสัจธรรม
     

แชร์หน้านี้

Loading...