ธรรมหลังกึ่งกลางพุทธกาลเป็นต้นไป เป็นธรรมบัวบาน จะเปิดเผยครั้งแรกในยุคนี้นะ

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 12 พฤษภาคม 2016.

  1. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    นัก ปชต. ที่แท้จริง ที่ไม่ใช่นักการเมือง​



    นักเคลื่อนไหวเพื่อ ปชต. หลายคน มักติดบ่วงการเมือง และกลายเป็น "ตัวหมากตัวหนึ่ง" ของการเมืองอยู่เสมอ พวกเขาไม่รู้ว่าการที่พวกเขาทำเพื่ออุดมการณ์นั้น แท้แล้ว กลายเป็นการเดินเกมเพื่อใครกันแน่? หลายครั้ง พวกเขาเอาชีวิตไปทิ้ง แล้วไม่เคยได้อะไรกลับมาตามอุดมการณ์นั้นเลย ส่วนคนที่ได้ประโยชน์กลับกลายเป็นมือที่สาม นักการเมืองที่บงการอยู่อย่างเงียบเชียบ ในความคิดของเปาโล เฟรเรนั้น ได้กล่าวถึง การเป็นผู้ปลดปล่อย ให้อิสรภาพแก่มวลมนุษย์อย่างแท้จริง ซึ่งมีลักษณะสำคัญ 3 ประการ ดังต่อไปนี้

    1 ไม่สร้างระบบใดๆ ครอบงำผู้คน
    หาก "นัก ปชต." เป็นผู้สร้างระบบระบอบหรือนำเอาระบบระบอบใดๆ ไม่ว่าจะเป็นระบอบ ปชต. ก็ดี มาใช้เพื่อให้ผู้คนทั้งหลายยอมรับมัน เขาก็ไม่ต่างอะไรกับ "ผู้กดขี่" เพราะต่างก็ใช้ระบบระบอบในความคิดของตนเองในการครอบงำผู้อื่นเช่นกัน นัก ปชต. ที่แท้จริงที่ไม่ใช่นักการเมือง จึงต้องมุ่งเน้นไปที่ความเป็น ปชต. ที่แท้จริงที่จะเกิดขึ้นในใจ จากภายในของคนแต่ละคนในฐานะปัจเจก ไปจนถึงการขยายผลไปสู่คนจำนวนมาก ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ระบอบอะไรทั้งสิ้น มันเป็นเพียง ปชต. ที่แท้จริง ที่เกิดขึ้นจากใจเราเท่านั้น

    2 ไม่หวังผลเชิงอำนาจการเมือง
    นัก ปชต. ที่แท้จริง ไม่ใช่นักการเมือง ดังนั้น เขาจึงไม่จำเป็นต้องทำหน้าที่ด้านการเมือง คือ ไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าหาอำนาจ หรือแย่งชิงอำนาจ หรือล้มล้างรัฐบาลที่มีอำนาจอยู่เลย "เปาโล เฟรเร" กล่าวถึง การไม่ครอบครองสิ่งใดๆ เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับทุกสรรพสิ่งอยู่แล้ว การมองว่าเราเป็นอย่างหนึ่ง อำนาจเป็นอย่างหนึ่ง เราจึงต้องไปไขว่คว้าแย่งชิงโดยการล้มล้างรัฐบาล จึงไม่ใช่แนวคิดของเขาแน่นอน หลายคนศึกษางานของเปาโล แล้วคิดว่าจะต้องไปปฏิวัติ ล้มล้างรัฐบาลเปลี่ยนแปลงอำนาจอะไร แท้แล้วไม่ใช่ครับ

    3 มุ่งเน้นยกระดับความเป็นมนุษย์
    นัก ปชต. ในมุมมองของเปาโล เฟรเร เขาเรียกว่า "ผู้ปลดปล่อย" นั้น มีหน้าที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ คือ การปลดปล่อย ซึ่งไม่ใช่เพียงปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่เท่านั้น แต่หมายรวมถึงทั้งผู้กดขี่ด้วย เพราะเขาไม่ได้มองแบบแบ่งแยก และเราไม่อาจแบ่งแยกจากกันได้อย่างแท้จริง เพียงแต่ "ผู้ถูกกดขี่" เท่านั้นที่จะได้รับการศึกษาที่แท้จริง และสามารถพัฒนาตัวเอง ยกระดับตัวเองไปสู่การเป็นผู้ปลดปล่อยได้ ผู้ปลดปล่อยนั้นจะเน้นภารกิจสำคัญ ก็คือ การยกระดับความเป็นมนุษย์ของมวลมนุษยชาติ ไม่ใช่เรื่องอำนาจ

    * นักเคลื่อนไหวเพื่อ ปชต. ในไทยหลายคน ยังทำได้ไม่ถึงขั้นนี้ครับ
     
  2. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    พระนิตยโพธิสัตว์แบบวิริยะธิกะ


    ดังที่หลายท่านทราบดีกว่าพระนิตยโพธิสัตว์มีสามแบบคือ ปัญญาธิกะ (เน้นบำเพ็ญบารมีโดยอาศัยข้อมูลหรือความรู้), ศรัทธาธิกะ (เน้นบำเพ็ญบารมีโดยอาศัยความเชื่อถือ, จงรักภักดี, ศรัทธา), วิริยะธิกะ (เน้นบำเพ็ญบารมีโดยอาศัยความเพียร) และท่านคงทราบดีอีกว่าพระศรีอาริยเมตตรัยนั้นเป็นพระนิตยโพธิสัตว์แบบวิริยะธิกะ ซึ่งมีบุญบารมีมากที่สุดถึง 16 อสงไขย ในกระทู้นี้ จะขอแสดงข้อสังเกตุเป็นพื้นฐานเบื้องต้นในการพิจารณาดูว่าใครเป็น "วิริยะธิกะ" ดังต่อไปนี้

    1 ไม่อยู่ภายใต้ข้อมูลความรู้
    เหล่าวิริยธิกะ จะไม่บำเพ็ญบารมีอยู่ภายใต้ข้อมูลหรือความรู้ใดๆ ในขณะที่พวกปัญญาธิกะจะทำกัน การบำเพ็ญบารมีโดยอาศัยข้อมูลความรู้ หรือการมีข้อมูลบอกล่วงหน้าจึงไม่ใช่วิสัยของเหล่าวิริยะธิกะ บางครั้ง เหมือนเหล่าวิริยะธิกะจะทำไปแบบมั่วๆ หรือแบบไม่มีความรู้จริงอะไรเลย เหมือน "ก๊วยเจ๋ง" ที่เป็นคนซื่อไม่ค่อยรู้อะไร หรือเตียบ่อกี้ ที่เป็นชาวเกาะ, คนป่า มาก่อน จึงไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร

    2 ไม่อยู่ภายใต้ความศรัทธา
    เหล่าวิริยะธิกะ จะไม่บำเพ็ญบารมีโดยอาศัยความเชื่อถือ, ศรัทธาหรือแม้แต่ความจงรักภักดีใดๆ แต่เขาก็สามารถบำเพ็ญบารมีไปได้ โดยความเพียรเป็นที่ตั้ง เอาชนะอุปสรรคไปได้ด้วยความวิริยะไม่ใช่ความศรัทธา ผู้คนทั้งหลายอาจไม่ศรัทธาพวกวิริยะธิกะเลย แต่ว่าไม่ว่าพวกวิริยะธิกะทำอะไร บริวารก็จะต้องเพียรพยายามทำตามอยู่เสมอ เพื่อให้ได้บารมีเสมอเหมือนกัน พอที่จะไปด้วยกันได้นั่นเอง

    3 ไม่นิยมเชื่อตามคำทำนาย
    เหล่าวิริยะธิกะ จะไม่บำเพ็ญบารมีโดยอาศัยคำทำนายของใคร แต่พวก "ศรัทธาธิกะ" จะอาศัยคำทำนายแล้วทำให้ได้ตามนั้น ทว่า เมื่อมีพระโพธิสัตว์สองแบบบำเพ็ญบารมีด้วยกันแล้ว พระโพธิสัตว์แบบอื่นๆ ล้วนไม่อาจเทียบพระโพธิสัตว์แบบวิริยะธิกะได้เลย ด้วยบารมีอ่อนด้อยกว่ากันมาก พระโพธิสัตว์แบบอื่นย่อมมีอันเป็นไป ส่วนพระโพธิสัตว์แบบวิริยะธิกะก็จะโดดเด่น เป็นผู้นำเหนือผู้อื่นได้

    4 ไปถึงด้วยวิริยะของตนเอง
    เหล่าวิริยะธิกะ จะอาศัยความเพียรไปถึงสิ่งที่เกินกว่าข้อมูลความรู้มีบอกไว้, เกินกว่าสิ่งที่ผู้คนเชื่อถือศรัทธากันมา ฯลฯ ทั้งหมดนี้ก็ด้วยความเพียรของตน เฉกเช่น พระถังซัมจั๋ง ที่เดินเท้าจากจีนไปจนถึงอินเดีย เพื่อศึกษาพุทธศาสนา ในยุคนั้น คนจีนยังไม่รู้จักนาลันทา ไม่มีข้อมูลอะไรบอกทั้งนั้น และไม่มีใครเชื่อเรื่องนี้ด้วย แต่ท่านก็ยังเพียรพยายามไปจนถึงได้ ทั้งยังรจนาคัมภีร์ใหม่เองโดยไม่มีข้อมูล

    5 เหนือกว่า-ดีกว่าแบบอื่นๆ
    เหล่าวิริยะธิกะ จะนำมาซึ่งสิ่งที่ดีกว่า, เหนือกว่า สิ่งที่พระโพธิสัตว์แบบปัญญาธิกะ และแบบศรัทธาธิกะทำไว้ หรือทำได้ อย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่ใช่เพราะท่านมีข้อมูลที่ดีกว่า หรือมีคนเชื่อถือศรัทธาท่านมากกว่าก็หาไม่ ทั้งหมดเป็นเพราะความวิริยะพากเพียรของท่านและท่านต้องต่อสู้กับความ "ไม่เชื่อถือ-ไม่ศรัทธา" ของผู้คนมากมาย จนสามารถอยู่เหนือความเชื่อถือศรัทธาทั้งปวงได้ด้วยวิริยะนั้นๆ

    หากไม่กลัวคนไม่เชื่อถือ-ไม่ศรัทธา จึงจะบำเพ็ญวิริยะธิกะได้ครับ
     
  3. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    การกดขี่จากระบอบการปกครองทั้งสาม​



    ตามทัศนะของ "เปาโล เฟรเร" นั้น ผู้ปลดปล่อยที่แท้จริงจะต้องไม่กลายเป็นผู้กดขี่เสียเอง การที่เราปฏิวัติแล้วเอาระบอบการปกครองใดก็แล้วแต่ แม้แต่ ปชต. เข้ามาใช้ปกครองผู้คนนั้น เราเองก็ไม่ต่างอะไรกับผู้กดขี่คนเก่า เรากลายเป็นผู้กดขี่รายใหม่ที่ใช้ระบอบการปกครองนั้นๆ มากดขี่ผู้คนต่อไป ถามว่าระบอบการปกครองเหล่านี้ ใช้ในการกดขี่ผู้คนได้อย่างไร? ชายจะขอแสดงตัวอย่างให้เห็น ดังนี้

    1 ระบอบการปกครองแบบกษัตริย์
    ระบอบการปกครองแบบนี้ จะกดขี่ผู้คนด้วย คุณธรรม, ความดี, การเป็นสมมุติเทพมาจุติ เพื่อให้เรายอมจำนนอยู่ในสถานะที่ต่ำกว่าทั้งที่จริงแล้ว ไม่ใช่ มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่เท่าเทียมกัน ทว่า ระบอบนี้จะอาศัย "พราหมณ์" สร้างวรรณะหรือชนชั้นขึ้นมา ให้รางวัลเป็นที่นาเพื่อแสดงระดับที่แตกต่าง (ศักดินา) เพื่อกดให้คนกลุ่มหนึ่งอยู่ในฐานราก เพื่อให้พวกเขาได้เสวยสุขอย่างฟุ้งเฟ้อต่อไป อนึ่ง การใช้คุณธรรม, ความดี ฯลฯ กดขี่นั้น เป็นเครื่องมือกดขี่ที่แนบเนียนมาก ทำให้ผู้คนยอมจำนนโดยง่าย เหมือนลูกแหง่ที่ขาดพ่อไม่ได้นั่นเอง ทว่า ประชาชนไม่ใช่เด็กแล้ว พวกเขาโตพอที่จะยืนหยัดได้เองครับ

    2 ระบอบการปกครองแบบเผด็จการ
    ระบอบการปกครองแบบนี้ จะกดขี่ผู้คนด้วย อำนาจ, การทหาร ฯลฯ เพื่อให้ทุกคนหวาดกลัวและยอมจำนนแต่โดยดี ใครขัดขืนไม่ตายก็ต้องถูกจับ เป็นต้น เราเข้าใจการกดขี่แบบเผด็จการดี ทว่า การกดขี่แบบสังคมนิยมก็มีเช่นกัน เช่น เราต้องทำตัวเรียบร้อยเมื่อเข้าสังคม ทว่าเรากำลังถูกลดทอนความเป็นตัวเอง ความเป็นธรรมชาติอย่างที่เราเป็น เราถูกสังคมกดขี่และลดทอนความเป็นธรรมชาติของเรา สังคมจะกลืนเราให้เหมือนๆ กันไป หากเราแตกต่าง เราจะผิดทันที เมื่อเรากลัวเป็นคนแปลกแตกต่างจากสังคม เราจึงยอมสูญเสียตัวตนและธรรมชาติของเรา ความเป็นมนุษย์ก็ถูกลดทอนลงไปด้วย

    3 ระบอบการปกครองประชาธิปไตย
    ระบอบการปกครองแบบนี้ จะกดขี่ผู้คนด้วย ความรู้, กฏหมาย และระบบทุนนิยม โดยเฉพาะระบบทุนนิยม เป็นเครื่องมือสำคัญในการกดขี่ผู้คน เมื่อเราถูกระบบการศึกษาแบบธนาคารครอบงำ เราต้องยอมเชื่อตามพวกเขา ยอมรับโลกที่พวกเขายัดเยียดให้ เมื่อเราจบการศึกษาไปแล้ว เราต้องยอมเป็นขี้ข้าชั้นดี ภายใต้ระบบทุนนิยมนี้ เราต้องเป็น "ลูกน้อง" เราต้องมี "เจ้านาย" อยู่เหนือหัวเรา เราต้องมี "ลูกค้า" เป็นพระเจ้าที่เราต้องยำเกรง ทั้งหมดนี้ คือ เครื่องมือในการกดขี่ให้เรายอมจำนนและทำให้เรายอมอยู่ในระบบแต่โดยดี โดยมีสินจ้างรางวัลหรือเงินเดือน ล่อใจให้เรายอมเป็น "มนุษย์เงินเดือน"

    * ผู้ปลดปล่อยที่แท้จริง จึงต้องไม่เอาระบอบใดๆ มาครอบงำผู้คน!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 ตุลาคม 2016
  4. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    เขียน ๒๑.๔๙

    จีนฝันไกลไป ยังห่างจากความสำเร็จอีกไกล มากกก
    คิดจะครองโลกในเวลาไม่กี่สิบปี เพ้อเจ้อซะไม่มี
    มีประเทศเกลียดเพียบ มิอาจครองใจผู้คน

    ประเทศอื่นไม่ได้โง่นะ ไอ้เจ๊ก เค้าอ่านเกมส์เอ็งออกหมดแล้วว่ะ
    แม้แต่ประเทศไทยที่ว่า "กระจอก" ก็เริ่มมีแนวต้านแล้ว
    คลื่นใต้น้ำเริ่มก่อตัวแล้วล่ะ เราเริ่มเห็นฟองคลื่น
    อีกไม่นานก็คงเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ มั้งนะ

    ระบบการผลิตของไทย หลายส่วนพังไปบ้างแล้ว
    แต่ความหลากหลายก็ยังช่วยไว้ได้บ้าง นะ
    ในระยะยาว ใครจะกลืนใคร ยังไม่แน่
    แต่ "ฝั่งโน้น" ของไทย เริ่มแล้ว
    รอเลือดรักชาติกระฉูดก่อน



    เขียน ๒๑.๕๙

    เบื่อเหมือนกัน พวกรักแต่ปาก
    เหนื่อยมาหลายสิบปี ได้แค่เนี้ยย
    หวังว่าลูกนิมิตร จะโชว์พาวได้ดี นะ


    กระต่ายป่า แห่งประเทศไทย / ชาวหมู่บ้านในนิทาน

    .
     
  5. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    อยากให้เป็น ใช้กิเลสเป็นโพธิ


    "กิเลสหรือความอยาก" แท้แล้วเป็นธรรมะ ธรรมชาติอย่างหนึ่ง ไม่เที่ยงในตัวมันเอง และเราผู้เป็นมนุษย์สามารถมีกิเลสได้ หากใช้กิเลสเป็นโพธิ ก็จะเจริญในธรรมได้ อนึ่ง คนเราควรมีกิเลสแต่พอดี พอควรในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ควรมีกิเลสมากเกินขอบเขต ในกระทู้นี้จะขอยกตัวอย่างกิเลสที่เกินพอดีไว้เตือนสติ ดังนี้

    1 อยากเกินตัว เกินจะซื้อหาได้
    ความอยากในสิ่งที่ "เกินกว่าจะหามาได้" สิ่งที่เงินก็ซื้อไม่ได้ ทำเองก็ไม่ได้ เช่น อยากได้ระบอบการปกครองตามใจตัวเอง, อยากได้กษัตริย์ตามใจตัวเองเป็นที่ตั้ง, อยากให้คนที่ตายฟื้นคืนมา, อยากให้คนที่ถึงเวลาตาย ไม่ตาย ฯลฯ ความอยากเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เกินตัว เกินกว่าจะซื้อหรือหามาได้ เราเป็นมนุษย์ธรรมดาควรมีความ "เจียมตัว" อย่าไปอยากได้อะไรที่เกินตัว เกินกำลัง กว่าที่เราจะซื้อหาได้

    2 อยากในสิ่งที่เป็นไปได้ยาก
    ความอยากในสิ่งที่ "เป็นไปได้ยาก" หรือเป็นไปไม่ได้ทั้งหลาย เช่น อยากให้คนเป็นอำมตะ หรืออยากเป็นอำมตะ อยากมีชีวิตอยู่ยืนยาวผิดปกติมนุษย์ ฯลฯ ความอยากเหล่านี้ เป็นความอยากที่มากเกินไป เกินขอบเขต คนเราอยากรวย อยากแต่งตัวสวยๆ อยากได้ของนั่นนี่ นี่ไม่แปลก ไม่ต้องไปว่าอะไรเขา แต่ถ้าเขาอยากได้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ก็ควรบอก ควรเตือนเขาว่ามันฝืนธรรมชาติ ไม่ควรไปไขว่คว้า

    3 อยากได้ในสิ่งที่มีเจ้าของอยู่
    ความอยากแบบนี้ ทำให้ต้องก่อกรรม ไปแย่งชิงเอามาจากเจ้าของเดิม เป็นความอยากที่ไม่ควรจะมี ของที่ไม่มีเจ้าของ ยังมีอยู่มากมาย เราไม่ต้องไปแย่งเอาของใครเขา ก็ได้ แต่บางคนยิ่งของที่มีเจ้าของ ยิ่งต้องแย่งจากคนอื่น ก็ยิ่งอยากได้ ยิ่งต้องเอามาให้ได้ ถ้าเอามาไม่ได้แล้วจะรู้สึกพ่ายแพ้ รู้สึกเหมือนต้องยอมคนอื่น จึงต้องแย่งเขาอยู่เรื่อยไป ความอยากเช่นนี้เป็นภัยทั้งตนเองและผู้อื่น

    4 อยากได้สิ่งที่ผิดศีลธรรม
    ความอยากแบบนี้ ไม่ควรจะมี เช่น อยากเอาชีวิตผู้อื่น เป็นสิ่งผิดศีลธรรม เกินขอบเขตของศีลธรรม แบบนี้ไม่ควร ไม่ดีเลย คนเราม่ีความอยาก มีกิเลสแบบ "มนุษย์ปกติ" พึงมี ไม่ผิดอะไร กิเลสก็จะขับดันให้เราทำงานแบบมนุษย์ปกติ เมื่อเราทำงานเราก็ได้ปฏิบัติธรรมไปในตัว เพราะงานฝึกคน พัฒนาคนได้ ทำให้อินทรีย์ทั้งห้าของเราเจริญได้ แต่ความอยากที่ผิดศีลธรรมนี้ ไม่ทำให้ใครเจริญ

    5 อยากได้ทั้งที่ไม่รู้ตัวเอง
    ความอยากได้แบบนี้ ทำให้เรา "ไม่ได้อะไรเลย" จะได้เพียงความว่างเปล่าเท่านั้น เช่น เราเห็นใครได้อะไร มีอะไร เราก็อยากได้บ้าง อยากมีอย่างนั้นบ้าง ทั้งที่เรายังไม่รู้ตัวเองเลยว่าเราควรมีไหม เราจำเป็นต้องใช้หรือเปล่า? แต่เพราะเราไม่อยากน้อยหน้าใคร เราก็อยากได้อย่างเขา เอาเขาเป็นที่ตั้งของความอยาก ทำให้หลงลืมตัวเอง สติไม่อยู่กับตัว ไม่รู้ว่าตัวเองอยากได้หรือปรารถนาอะไรจริงๆ

    * ความอยากทั้ง 5 ประการนี้ ให้ท่านลองเอาไปสำรวจตัวเองดูครับ
     
  6. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ความพยายามในการสร้างภาวะไร้ขื่อแปร (Chaos) ในไทย​



    ผลจากการแย่งชิงอำนาจของฝ่ายศักดินา ที่มีอยู่ด้วยกัน 3 ฝ่ายใหญ่ๆ คือ ฝ่ายที่ทำตามกฏระเบียบเดิม, ฝ่ายที่ทำสิ่งที่คิดว่าดีกว่า และฝ่ายที่ทำตามคำทำนายของพราหมณ์ สามฝ่ายนี้ กำลังแย่งชิงอำนาจกัน โดยฝ่ายหนึ่งได้เริ่มสร้างภาวะไร้ขื่อแปรขึ้นแล้ว ดังนี้

    1 จำลองสถานการณ์ขึ้นก่อน
    คือ การทดลองสร้างภาวะไร้ขื่อแปรแบบเล็กๆ ย่อยๆ ขึ้นมาก่อนในภูเก็ตและพังงา อย่างที่เป็นข่าวไปครับ ทว่า การเลือกภูเก็ตและพังงา ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวทันที ทำให้ผู้คนไม่กล้าไปเที่ยวเพราะกลัวเหตุร้าย เมื่อตำรวจไม่ทำงาน รัฐบาลทำเป็นนิ่งเฉย พวกเขาก็จะเดินเกมขั้นต่อไป ไปยังเป้าหมายที่แท้จริง

    2 สร้างเงื่อนไขในการยอมรับ
    เงื่อนไขในการทำให้คนอื่นๆ ยอมรับว่าสิ่งที่ทำเป็นความดี ไม่ใช่สิ่งที่ผิดก็คือ "ทำเพื่อพ่อ" รักพ่อ แบบนั้น เมื่อพวกเขาสร้างเงื่อนไขหรือข้ออ้างบ้าๆ นี้ได้แล้ว ก็จะสามารถทำผิด ทำเลวอะไรก็ได้ โดยไม่มีความผิดอะไรเลย แถมตำรวจก็ไม่จับ รัฐบาลก็ไม่ทำอะไร พวกเขาก็สร้างความชอบธรรมจอมปลอมให้คนยอมรับได้สำเร็จ

    3 มี Back up คอยหนุนหลังให้
    พวกเขามีคนหนุนหลังให้ ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจทางการเมืองในประเทศครับ จุดประสงค์ก็เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมือง ทำให้สิ่งที่จะเกิดขึ้น ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ กษัตริย์องค์ต่อไปที่จะขึ้นมามีอำนาจ ก็จะขึ้นมาไม่ได้ และรัฐบาลที่หนุนกษัตริย์องค์ต่อไปอยู่ ก็จะถูกเล่นงานให้ตกจากอำนาจไปตามๆ กัน พวกเขาจึงกล้าทำครับ

    4 โจมตีจุดยุทธศาสตร์เป้าหมาย
    เมื่อพวกเขาทดลองทำในภูเก็ตและพังงาสำเร็จแล้ว ไม่มีใครกล้ามาจับเขา ตำรวจก็กลัวรัฐบาลก็กลัว เขาก็จะเดินเกมต่อไปยังเป้าหมาย ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ คือ "กรุงเทพ" เพื่อที่จะสร้างภาวะไร้ขื่อแปรนี้ให้เกิดขึ้นในกรุงเทพให้ได้ เมื่อกรุงเทพไร้ขื่อแปรแล้วเขาก็จะล้มรัฐบาลเป็นขั้นตอนต่อไป เพื่อขวางไม่ให้เกิดกษัตริย์องค์ใหม่

    5 สร้างภาวะไร้ขื่อแปรเต็มรูปแบบ
    ขั้นนี้ พวกเขาจะทำให้กฏหมายที่มีอยู่ใช้การไม่ได้ ตำรวจไม่อาจจะควบคุมสถานการณ์อะไรได้ เป็นภาวะไร้ขื่อแปรเต็มรูปแบบ เพื่อที่จะล้มรัฐบาล และขวางไม่ให้รัฐบาลตั้งกษัตริย์องค์ใหม่ได้ นั่นเอง ภาวะไร้ขื่อแปรที่เขาสร้างขึ้นตามทฤษฎีไร้ระบบ (Chaos theory) นี้ จะจำกัดวงแคบลงไปที่จุดยุทธศาสตร์คือ "กรุงเทพ" เป็นสำคัญครับ

    * รัฐบาลจ้องเล่นงานชาย ชายไม่น่าบอก แต่ชายก็ทำเพื่อชาติครับ
     
  7. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    มนุษย์ที่แท้จริง มีลักษณะอย่างไร?


    ในโลกของเรานี้ มีคนอยู่มากมาย คนเรามีสังขารเหมือนๆ กัน แต่จิตวิญญาณข้างในของเราไม่เหมือนกัน ทำให้จิตใจและพฤติกรรมของเราไม่เหมือนกัน บางคนฆ่าได้แม้แต่ลูกในใส้ แบบนี้ยังมีความเป็นมนุษย์อยู่ไหม? ไม่มีหรอก แต่ยังมีสังขารเป็นคนอยู่แน่ เขายังไม่ตายและอยู่ร่วมโลกกับเรา ในกระทู้นี้จะขอกล่าวถึงมนุษย์ที่ต่างจากคนที่ไม่ใช่มนุษย์แต่มีร่างเป็นคนเช่นกัน สามารถสังเกตุได้ ดังนี้

    1 มีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์จริงๆ
    มนุษย์จะอยู่ในโลกธาตุที่เรียกว่า "โลกมนุษย์" จะไม่ดำรงอยู่ในภพภูมิหรือมิติอื่นๆ เช่น มิติไซเบอร์, มิติสื่อ ฯลฯ หลายคนไม่ใช่มนุษย์ เพราะไม่ได้มีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์จริงๆ ตื่นเช้ามาไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ออกไปทำงานอยู่หน้าเครื่องมือสื่อสาร แล้วมีชีวิตในโลกแห่งการสื่อสาร มีตัวตน มีสัมพันธ์กับคนที่รู้จักกันผ่านสื่อก็มี

    2 มีศีลอันเป็นปกติของมนุษย์
    สัตว์ทั้งหลายมีความเป็นปกติที่จะไม่กระทำ หรือละเว้นการกระทำบางอย่าง แม้แต่วัวควาย มันยังไม่กินเนื้อสัตว์ นั่นคือ ปกติของเขาที่ไม่ฆ่าสัตว์อื่นกิน เทวดาก็มี "เทวธรรม" มีศีลอันเป็นปกติของท่าน มนุษย์เราจะไม่มีศีลตามปกติของมนุษย์เชียวหรือ? ไม่จริง เราก็มีศีลเป็นปกติตามธรรมชาติ เรียกว่า "ความเป็นปกติของมนุษย์"

    3 มีความรักแบบมนุษย์ปกติ
    มนุษย์ปกติจะมีความรักกันในชีวิตจริง เจอกันจริง อยู่ร่วมชีวิตกันจริงๆ แต่คนบางคนไม่ได้มีความรักแบบมนุษย์ เช่น มีความรักผ่านสื่อ มีความรักเกินขอบเขตประเพณีของมนุษย์ เช่น รักเพศเดียวกัน ความรักของคนที่ไม่ใช่มนุษย์ปกติ อาจเป็นความรักขั้นเทพ หรือความรักแบบปีศาจก็ได้ แต่มนุษย์ปกติจะไม่มีความรักแบบนั้นๆ

    4 การดำรงชีวิตเป็นปกติมนุษย์
    มนุษย์ปกติ จะมีการดำรงชีวิต คือ การกิน, การขับถ่าย, การสืบพันธุ์, การนอนหลับ ฯลฯ เป็นปกติของมนุษย์ แต่คนบางคนไม่ได้มีชีวิตที่เป็นปกติเช่นนี้ บางคนกลางวันนอนหลับ กลางคืนหากิน พึงเข้าใจว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่หากินเวลากลางวัน ไม่ใช่กลางคืน พอค่ำลงเขาจะไม่หิวแล้วหลับนอนเสีย คนบางคนดึกๆ ก็ยังกินอยู่เลย (ผิดเวลา)

    5 มีความสามารถตามปกติมนุษย์
    มนุษย์ปกติสามารถทำได้ทุกอย่างที่มนุษย์ด้วยกันทำ เช่น ผู้ชายก็ทำครัวได้ ผู้หญิงก็ชกต่อยป้องกันตัวเองได้ ทว่า จะไม่เก่ง ไม่ดีเท่า "พวกเหนือมนุษย์" ซึ่งเก่งเฉพาะด้าน (Professional) ไม่ใช่มนุษย์ หลายคนเป็นร่างกึ่งเทพ หรือครึ่งมนุษย์ครึ่งเทพ และบางคนก็เป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งปีศาจ ครึ่งซาตานก็มี จึงมีความสามารถพิเศษได้

    มนุษย์สามารถพัฒนาไปเป็น "มนุสสเทโว" หรือมากกว่านั้นได้ครับ
     
  8. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ชีวิตที่แท้จริงนั้นอยู่เหนือความตาย


    "ชีวิต" ไม่ใช่ความตาย ไม่ใช่ความตายตัว ความมีชีวิตคือความแปรผันไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดุจดั่งพวงมาลาของเหตุและผลที่ร้อยเรียงเชื่อมโยงกันไป ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีจุดเริ่ม ไม่มีจุดจบ ทว่า เมื่อเหตุดับ ผลก็ดับลงด้วย อุปมาดั่งพวงมาลาที่ขาดสะบั้นลง ดอกไม้ที่ถูกร้องเรียงอยู่ก็กระจัดกระจายออกจากกัน สรรพสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน อิงอาศัยกันเกิดเช่นนี้ เหตุก็อิงอาศัยผลเกิด ผลก็อิงอาศัยเหตุเกิด ไม่มีเหตุมาก่อน ผลย่อมไม่มี ไม่มีผล จะมีเหตุได้อย่างไร? เหตุและผลจึงเป็นดั่งภาพสะท้อนของกันและกัน เหตุเป็นภาพสะท้อนของผล ผลเป็นภาพสะท้อนของเหตุ ทว่า ทั้งเหตุและผลล้วนเป็นเพียง "ภาพสะท้อน" เป็นมายาการ หาใช่สัจธรรมไม่ เพราะสัจธรรมนั้นล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีเขาและเรา ไม่มีเหตุและผล ไม่อิงอาศัยกันเกิดและดับ ชีวิตที่แท้จริงก็เป็นเช่นนี้ ผันแปรไม่สิ้นสุด เป็นความจริง เป็นสัจจะ และเป็นนิรันดร์ เรียกว่า "ชีวิตนิรันดร์" คือ ชีวิตที่อิสระจากสังขาร จากการปรุงแต่ง จากเหตุและผลใดๆ เป็นชีวิตที่มีมาก่อนสังขารจะเกิด และยังมีอยู่หลังสังขารดับสิ้นลง ชีวิตจึงไม่ใช่ความตาย ไม่ใช่ความตายตัว แต่ความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ความตาย ความเกิด ความไม่แน่นอน คือ ลักษณะหนึ่งชีวิต เพราะเหตุนี้ ชีวิตจึงไม่ตายตัว ไม่แข็งทื่อ และมี "ชีวิตชีวา" เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ด้วยรสชาติแห่งชีวิต สมบูรณ์พร้อมด้วยธรรม

    ความสุขไม่เที่ยง ความทุกข์ก็ไม่เที่ยง นี่แหละชีวิต เราจึงมีชีวิตชีวาได้เพราะผันแปรไปตามธรรมะ ธรรมชาติ สุขบ้าง ทุกข์บ้างคละเคล้าปะปนกันไป หากมีความสุขเที่ยงแท้แน่นอนแล้ว ไม่มีทุกข์แล้ว เราก็จะ "สุขตายตัว" เมื่อนั้น เราจะไม่มีชีวิต เราจะขาดชีวิตชีวา เราจะมีแต่ความตาย ซึ่งไม่มีอยู่จริง ซึ่งเป็นเพียงอุปทานของเราเท่านั้น ในทางกลับกัน หากเรามี "ทุกข์ตลอดกาล" จนต้องแสวงหาความสุข จนต้องแสวงหาทางพ้นทุกข์ เราก็จะไขว่คว้าหาความสุข พยายามหนีทุกข์ ทั้งๆ ที่จริงแล้ว ทุกข์ก็เป็นเพียงมายาการ เป็นเพียงภาพสะท้อนของสุข สุขและทุกข์ล้วนเป็นมายาการ เป็นภาพสะท้อนของกันและกัน ไม่ใช่สัจธรรม ไม่เที่ยง เกิดดับ และผันแปรไป เมื่อใดที่เราคิดว่าทุกข์เที่ยง เราไม่เชื่อว่าทุกข์เป็นอนิจจัง ทุกข์เกิดแล้วดับไปตามธรรมะ ธรรมชาติ เราไม่เชื่อ เราจึงต้อง "ดับทุกข์" เราจึงต้องแสวงหาหาทางให้พ้นทุกข์ เราจึงต้องแสวงหาบรมสุข เราจึงต้องทำให้เกิดสุขแท้ เมื่อนั้น เราก็เริ่มต้นไล่คว้าจับเงา วิ่งไล่ตามภาพมายา อันไม่มีอยู่จริง แล้วพยายามประคับประคองภาพมายานั้นให้ดำรงอยู่ถาวรตลอดไป พยายามทำให้ทุกข์ดับเที่ยงแท้ พยายามทำให้สุขเกิดถาวร พยายามทำให้เกิดภาวะตายตัวเช่นนี้ เราจึงได้สร้าง "ความตาย" ขึ้นมาแล้ว ความตายอันไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงแต่อุปทานของเรา ถูกเราสร้างขึ้นเพืื่อปิดบัง "ชีวิต" อันผันแปรไม่แน่นอนไว้ เพราะเราอ่อนแอเกินไปกว่าที่จะเผชิญหน้ากับชีวิตนั้นๆ

    ความมีชีวิตชีวาจะมีอยู่บนความผันแปรของชีวิต มิใช่ความตายตัว!
     
  9. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    จงต่อสู้เพื่อการปลดปล่อย เพราะนั่นคือพลังแห่งรักแท้!​



    "เปาโล เฟรเร" ได้กล่าวถึง "ความรักแท้" ไว้ เขาได้ให้ความหมายของความรักแท้ว่าเป็น "การทำให้ความเป็นมนุษย์สูงขึ้น" ครับ การทำให้ความเป็นมนุษย์สูงขึ้นเท่านั้นจึงจะเป็นความรักแท้ได้ ในทางตรงข้าม หากเราทำลายความเป็นมนุษย์หรือลดทอนความเป็นมนุษย์ของผู้ใดลง เราก็ไม่ได้มีความรักแท้ต่อเขาแล้ว โลกใหม่ที่ถูกสร้างด้วยความรัก จึงต้องเป็นโลกที่สร้างขึ้นเพื่อมนุษย์ เพื่อความเป็นมนุษย์ที่สูงขึ้น เพื่อยกระดับความเป็นมนุษย์ให้สูงขึ้น นั่นก็คือ เราต้องต่อสู้กับ "ผู้กดขี่" เพราะการต่อสู้กับผู้กดขี่ เป็นการทำให้ความเป็นมนุษย์สูงขึ้นทั้งสองฝ่าย คือ ฝ่ายผู้ถูกกดขี่จะได้ความเป็นมนุษย์ที่สูงขึ้น และการต่อต้านหรือยับยั้งผู้กดขี่ ก็เพื่อให้เขาไม่เสื่อมไปจากความเป็นมนุษย์ และยังคงมีความเป็นมนุษย์ หรือยกระดับความเป็นมนุษย์ของเขาให้สูงขึ้นได้ มีแต่การต่อสู้ต่อการถูกกดขี่เท่านั้นที่จะแสดงถึงความรักที่แท้จริงนี้ได้ นี่ไม่ได้หมายถึงการปฏิวัติแต่อย่างใดเลย การต่อสู้นี้เป็นการต่อสู้แบบ "ผู้มีการศึกษา" ไม่ใช่การต่อสู้ของอันธพาล เป็นการต่อสู้ภายใต้ "การศึกษาของผู้ถูกกดขี่" โดยแท้ และยิ่งไม่เกี่ยวกับระบอบการปกครองใดๆ อีกด้วย เพราะไม่ว่าระบอบการปกครองใดๆ ก็ใช้ปกครองได้ไม่ต่างกัน ไม่มีความถูกผิดในทางรัฐศาสตร์ และไม่ว่าระบอบการปกครองใดๆ ก็ใช้ในการกดขี่เช่นกัน ดังนั้น หน้าที่และภารกิจของเราที่ควรกระทำต่อมวลมนุษยชาติจึงไม่ใช่ การปฏิวัติหรือการเรียกร้องระบอบการปกครองใดๆ แต่หมายถึง "การเป็นผู้ปลดปล่อยที่แท้จริง" ต่างหาก

    "ผู้ปลดปล่อยที่แท้จริง" จะสร้าง "โลกใหม่" ด้วย "ความรักแท้" และความรักแท้จะแสดงออกด้วยการ "ต่อสู้" เพราะมีแต่การต่อสู้เพื่อการปลดปล่อยเท่านั้น ที่จะยกระดับความเป็นมนุษย์ของมวลมนุษยชาติให้สูงขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผู้กดขี่หรือฝ่ายผู้ถูกกดขี่ก็ตาม เปาโล ชี้แจงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการเป็นผู้ปลดปล่อยที่แท้จริง ที่ไม่ใช่ "การย้ายขั้วข้าง" ไม่ใช่การเปลี่ยนข้างจากผู้ถูกกดขี่ไปอยู่ข้างผู้กดขี่ ก็หาไม่ ไม่ใช่การเป็น "ผู้กดขี่รายใหม่" แทนที่รายเก่าก็หาไม่ แต่เป็นการปลดปล่อยทุกคน ทุกฝ่าย อย่างไม่เลือกขั้วข้าง เป็นการยกระดับความเป็นมนุษย์ให้ทั้งฝ่ายผู้ถูกกดขี่และผู้กดขี่ไปในคราวเดียวกัน ซึ่งเปาโลได้กล่าวว่าการจะกระทำเช่นนี้ได้จะต้องเป็น "คนใหม่" เสียก่อน หรือก็คือ "การกำเนิดใหม่" เหมือนหนอนที่ออกจากดักแด้กลายเป็นผีเสื้อนั่นเอง เพราะการเป็น "คนใหม่" นั้น ทำให้เราไม่เป็นทั้งผู้ถูกกดขี่และผู้กดขี่ ไม่ใช่การเลือกข้าง ไม่ใช่การย้ายข้าง ไม่ใช่การอยู่ข้างผู้ถูกกดขี่ เพื่อล้มผู้กดขี่ และไม่ใช่การอยู่ข้างผู้กดขี่ เพื่อกลายเป็นผู้กดขี่รายใหม่ เพราะการเป็นคนใหม่ของเรานี้เอง ทำให้เราไม่มีขั้วข้าง ทำให้เราไม่แบ่งแยกเขาเรา ทำให้เราไม่ใช้การย้ายข้าง และไม่กลายเป็นผู้กดขี่รายใหม่เสียเอง และทำให้เราปลดปล่อยมวลมนุษยชาติทั้งหลายได้อย่างแท้จริง ยกระดับความเป็นมนุษย์ให้แก่พวกเขาทั้งหลายได้อย่างแท้จริง และเป็นการให้ "อิสรภาพ" แก่เขาอย่างแท้จริง นี่จึงเป็น "ความรักที่แท้จริง"

    และปชต. ที่แท้จริงก็จะเบ่งบานจากภายใน "หัวใจ" ของชนทั้งหลาย
     
  10. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    "องค์ธรรมบิดา องค์ธรรมมารดา"


    บุคคลที่บรรลุธรรมนั้น เหมือนคนเก่าได้ตายลงไปแล้ว คนใหม่ได้เกิดขึ้นมาแทนที่ คนใหม่ที่เกิดมานี้จะมี "พ่อแม่ทางธรรม" อยู่ครับ เรียกว่า องค์ธรรมบิดา และองค์ธรรมมารดา ซึ่งจะเป็นเหมือนผู้วางรากฐานแนวทางธรรมให้แก่เรา แต่ท่านจะไม่บรรลุธรรมนะครับ คือ ท่านจะรวบรวมธรรมมากมายตามแนวทางของท่านไว้ เราไปศึกษาปฏิบัติแล้วเราสามารถบรรลุธรรมได้ ผู้บำเพ็ญที่มีองค์ธรรมบิดาและองค์ธรรมมารดานี้อาจเรียกได้อีกอย่างว่า "พระบุตร" ในความหมาย กว้างๆ (ในความหมายแคบๆ พระบุตรหมายถึงพระเยซู) ซึ่งเราเลือกได้ครับว่าจะ "กำเนิดใหม่" กับพ่อแม่ทางธรรมองค์ใด ข้อน่าสังเกตุประการหนึ่งคือ เราจะถือกำเนิดผ่านทางบิดาหรือมารดา องค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ครับ เหมือนพระพิฆเนศจะกำเนิดจากพระอุมาก็ได้หรือพระศิวะก็ได้ องค์ใดองค์หนึ่ง แต่ถือว่าเป็นพระบุตรร่วมกันของทั้งคู่ครับ เทพหลายองค์บางองค์กำเนิดจากองค์พระบิดา แต่บางองค์ก็กำเนิดจากองค์พระมารดา แตกต่างกันได้ครับ การเกิดของเทพนั้นไม่ได้เกิดจากการร่วมประเวณีของเทพสององค์เหมือนมนุษย์ ซึ่งองค์ธรรมบิดามารดานี้ มักให้ผู้อื่นเรียกตนเองว่าพ่อหรือแม่ครับ

    องค์ธรรมบิดาและองค์ธรรมมารดา คือ ผู้ที่รวบรวมธรรมไว้มากแต่ไม่อาจไปถึงจุดหมายปลายทางได้ ไม่อาจบรรลุปณิธานได้ด้วยตนเอง ดังนั้น จึงเรียกหา "ลูกหลาน" เพื่อให้ลูกหลานสืบทอดและทำให้สำเร็จต่อไป และตัวของเขาเองก็อาจไม่รู้ตัวว่าตนเองไม่อาจบรรลุธรรมได้ครับ แต่ละองค์จะมีบารมีสร้างมาไม่เหมือนกัน เรียกง่ายๆ เช่น พ่อเสือ, พ่อวัว ฯลฯ คำว่า พ่อเสือ หมายถึง องค์ธรรมบิดาที่เคยเกิดเป็นต้นตระกูลเสือ ทำให้มีลูกหลานมากมายที่บำเพ็ญมาทางเสือ จึงมีบริวารมากมายที่ดุร้ายเหมือนเสือครับ เช่น พ่อเลี้ยงของพระศรีอาร์ฯ ในชาติที่ท่านเกิดเป็นสัตว์แรกๆ เป็นนกครับ ส่วนพ่อเลี้ยงของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน จะเป็น "วัว" หรือ "พ่อวัว" คือ องค์ธรรมบิดาที่เกิดเป็นต้นตระกูลวัว ปัจจุบัน เราจึงเห็นคนไม่กินวัวกันเยอะมากครับ ทั้งนี้ เราสามารถเลือกองค์ธรรมบิดามารดาได้ ไม่จำเป็นต้องยึดมั่นถือมั่นคนหนึ่งคนใดตลอดไป และทั้งคู่จะบำเพ็ญอะไรคล้ายๆ กันครับ เช่น เป็นศรัทธาธิกะทั้งคู่ หรือวิริยะธิกะทั้งคู่ก็มี องค์หนึ่งอาจอยู่ทางธรรม อีกองค์อาจอยู่ทางโลกก็ได้ครับ หลายคนไปแสวงหา "หลวงปู่, หลวงพ่อ" นี่ก็เข้าข่ายองค์ธรรมบิดา องค์ธรรมมารดาเช่นกัน เราจะบรรลุธรรมได้ จะมีองค์ธรรมบิดามารดามาบำเพ็ญบารมีร่วมเสมอ มันเป็นธรรมะ ธรรมชาติอย่างหนึ่งครับ

    ซึ่งผู้บำเพ็ญเราจะเรียกว่า "พระบุตร" ก่อน จนกว่าจะบรรลุธรรมครับ
     
  11. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    กระบวนการศึกษาของผู้ถูกกดขี่ 5 ขั้น ของ "เปาโล เฟรเร"​



    หลายท่านศึกษางานของเปาโล แต่อาจเข้าใจผิดไปมาก เช่น คิดว่าเปาโลสนับสนุนให้ปฏิวัติ ยึดอำนาจจากรัฐบาล แล้วเอาระบอบ ปชต. มาใช้ ซึ่งไม่จริงครับ เปาโล กล่าวอย่างชัดเจนว่าการที่เราทำแบบนั้น เราเองก็ไม่ต่างจากผู้กดขี่เดิม เราเองก็แค่เอาระบอบที่เราคิดว่ามันดีในความคิดของเรา มากดขี่ประชาชนต่อไป ต่อให้เป็นระบอบที่ดี หรือ ปชต. ก็ตาม แท้แล้วเปาโล ไม่ได้ต้องการให้เราทำเช่นนั้น แต่ให้เราศึกษาก่อน จะได้ไม่กระทำอย่างคนไร้การศึกษาหรืออันธพาลทำกัน ในบทความนี้ ชายขอเรียบเรียงแนวคิดของเปาโล ตามความเข้าใจของชายอย่างง่ายๆ ให้ศึกษากันดังนี้

    1 ยอมรับการถูกกดขี่
    ขั้นตอนแรกของการศึกษาแบบผู้ถูกกดขี่ เราจะต้องยอมรับการถูกกดขี่ก่อนครับ เพราะถ้าเราไม่ยอมรับการถูกกดขี่ เราจะมีการศึกษาของผู้ถูกกดขี่ได้อย่างไร? เราต้องยอมรับก่อนว่าการกดขี่มีอยู่ตามธรรมชาติ เหมือนสัตว์กินกันเป็นทอดๆ มนุษย์มีหลายชนชั้นนั่นเอง แต่การยอมรับนี้ไม่ใช่การยอมจำนนนะครับ แค่ "ยอมรับความจริง" ก็เท่านั้นเอง ว่าเราไม่อาจหนีวังวนของการกดขี่เหล่านี้ได้เลย

    2 การตระหนักรู้เท่าทัน
    ขั้นตอนที่สองคือ การตระหนักรู้เท่าทันการกดขี่ ตอนแรกหลายคนอาจไม่รู้ตัวว่าตนเองถูกกดขี่อยู่ เหมือนสัตว์ที่ถูกเลี้ยงไว้ในกรงจนเชื่องมากๆ ก็จะไม่รู้ตัวเองว่าตนเองสามารถมีอิสระได้ สามารถที่จะบินได้เอง การสร้างความตระหนักรู้จะทำให้เราพร้อมที่จะ "ต่อสู้" ซึ่งการที่เราจะต่อสู้ได้นั้น เราต้อง "ศึกษา" รู้เขา รู้เราก่อน ดังนั้น ความตระหนักรู้ตรงนี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการศึกษาครับ

    3 ศึกษาแบบผู้ถูกกดขี่
    ขั้นตอนที่สามคือ การศึกษาที่แท้จริง ซึ่งต่างจากการศึกษาแบบเก่า ที่เรียกว่า "แบบธนาคาร" นะครับ เพราะการศึกษาแบบนี้ จะไม่ได้เข้าชั้นเรียน นั่งฟังการบรรยายอะไร แต่จะเป็นการอยู่ในชีวิตจริง ได้รับการกดขี่จริงๆ และเกิดการเปลี่ยนแปลง พัฒนาภายในตัวเราจริงๆ ซึ่งจะรู้สึกเหมือนมีสองตัวตนขัดแย้งกัน เป็นทั้งผู้กดขี่และผู้ถูกกดขี่ คือ เราจะไม่อยากเป็นผู้ถูกกดขี่ และเราจะเริ่มเลียนแบบผู้กดขี่

    4 การกำเนิดใหม่
    ขั้นตอนที่สี่คือ การกำเนิดใหม่ หรือ "เป็นคนใหม่" เพราะหากเรายังเป็นคนเก่าอยู่ เราจะตกอยู่ในวังวนของการเป็นผู้กดขี่หรือไม่ก็ผู้ถูกกดขี่ สองอย่างนี้เท่านั้นเอง การกำเนิดใหม่ ทำให้เราเป็นคนใหม่ที่หลุดพ้นออกจากวังวนนี้ได้ ทำให้เราได้รับอิสรภาพ เหมือนผีเสื้อที่ออกจากดักแด้ เราจึงมี ปชต. ที่แท้จริงจากภายใน และสามารถใช้สิ่งนี้ปลดปล่อยผู้อื่น ออกจากวังวนของการกดขี่ได้อย่างแท้จริง

    5 การปลดปล่อย
    ขั้นตอนที่ห้าคือ การปลดปล่อยมวลมนุษยชาติ ซึ่งไม่ใช่การแบ่งแยกเขาเรา หรือฝ่ายผู้กดขี่หรือผู้ถูกกดขี่อีกต่อไป เพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นเหยื่อของวังวนนี้ เราจึงต้องช่วยเหลือทั้งสองฝ่ายโดยไม่แบ่งแยก ผู้กดขี่นั้นในขณะกดขี่ก็ทำลายความเป็นมนุษย์ในตัวเองและผู้ถูกกดขี่ไปด้วย ในขณะที่ผู้ถูกกดขี่เท่านั้นที่จะได้รับการศึกษาของผู้ถูกกดขี่ และสามารถกำเนิดใหม่เป็น "ผู้ปลดปล่อย" ได้

    ซึ่งท่านสามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้ในหนังสือของเปาโล เฟรเรครับ
     
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ชนเผ่า. ซาไก. ที่มีอิสรภาพ เหนือตำราว่าด้วยเสรีภาพ. ยังมีสำนึก. รับรู้ คุณของแผ่นดิน

    ไม่ได้เกิดมา. อยู่อย่างหนักแผ่นดิน

    ......


    <IMG src=http://www.mx7.com/i/c81/flktmP.jpg>
     
  13. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    เวลาแห่งการทดสอบมาถึงแล้ว


    ไม่มีใครเรียนจบได้โดยไม่ผ่านการสอบ เช่นกัน ไม่มีใครบรรลุธรรมได้โดยไม่ผ่านการทดสอบก่อน หลายคนคิดว่าเรียนธรรมมามาก ได้อ่านมาเยอะ มีความเข้าใจแล้ว เป็นของจริงแล้ว บรรลุธรรมแล้ว ยังไม่ใช่นะครับ นั่นคือ "สุตตมยปัญญา" เท่านั้น ถ้าถูกต้องเหมือนพระอรหันต์เลย ก็เรียกว่ามี "สัมมาทิฏฐิ" คือ แค่มีความคิดเห็นเป็นกลางตรงต่อธรรมเท่านั้นเอง ยังไม่ใช่การบรรลุธรรมครับ คนเราจะบรรลุธรรมได้จะต้อง "ผ่านการทดสอบ" ก่อน ทุกคน ในการทดสอบนั้นจะทำคนเดียวไม่ได้ เพราะไม่ใช่พระปัจเจกฯ ไม่ใช่ไปนั่งทรมานตัวเองแล้วบอกว่าเราผ่านการทดสอบแล้ว ไม่ใช่นะครับ แต่จะมีผู้ที่มาทำการณ์ทดสอบให้เรา เช่น พญามาราธิราช ที่มาเล่นงานพระสมณโคดม ซึ่งพญามาราธิราชคือ "นิรมาณกาย" ของพระนิตยโพธิสัตว์ที่มีปัญญาบารมีมาก กล่าวง่ายๆ ก็คือ การทดสอบนี้จะเอาปัญญาของพระนิตยโพธิสัตว์องค์นี้ มาเทียบกับของพระสมณโคดม ว่าไม่ด้อยกว่ากันแล้วใช่หรือไม่? ถ้าไม่ด้อยกว่าก็นับว่า "สอบผ่านได้" ปกติจะมีพระนิตยโพธิสัตว์หลายองค์ "ถือบารมีธรรม" ไว้เทียบสอบกับผู้รับการทดสอบครับ เช่น พระศรีอาร์ฯ จะถือ "วิริยบารมี" ไว้ทดสอบกับผู้บำเพ็ญท่านอื่นๆ ถ้าคุณสร้างวิริยบารมีมาก จะได้พบเจอท่าน หากคุณพากเพียรได้ ก็จะสอบผ่านได้ (แต่ไม่ได้บอกว่าบรรลุธรรมนะ)

    ยกตัวอย่างเช่น วิริยบารมี หรือความเพียรพยายาม ไม่ได้แปลว่าคุณต้องทรมานตัวเอง, ทำร้ายตัวเอง หรือทำทุกขกริยา เพื่อให้พระศรีอาร์ฯ สงสารแล้วจะให้สอบผ่านได้ ไม่ใช่ ไม่เกี่ยวกัน ความเพียรไม่ได้อยู่ที่คุณทุกข์ทรมานแค่ไหน? หรือเหนื่อยยากเพียงใด? บางครั้ง คุณอาจไม่ต้องเหนื่อยยากอะไรเลย แต่คุณมีความเพียรพยายามอันสม่ำเสมอ ไม่ขาดตกบกพร่องหรือไม่? หรือคุณละความพยายามไปเสียก่อน? ความเพียรไม่จำเป็นต้องบรรลุเป้าหมายก็ได้ มันก็แค่คุณได้เพียรพยายามเต็มที่แล้ว แค่นั้นเอง หากคุณสอบผ่านได้ คุณก็จะมีกำลังบารมีแก่กล้ามากพอที่จะบรรลุธรรมเท่านั้นเอง ต่อไปคุณก็จะได้รับ "แบบทดสอบ" ซึ่งมักเป็นโจทย์ปัญหา หรือปัญหาในชีวิตจริงของคุณ ทำให้คุณต้องเหนื่อยยากและเผชิญหน้ากับความทุกข์ และตรงนั้น คุณมีโอกาสที่จะบรรลุธรรมได้ ไม่ใช่ตรงที่พระศรีอาร์ฯ มาทดสอบแล้วบอกว่าคุณบรรลุธรรมหรือไม่ แต่การที่พระโพธิสัตว์มาทดสอบคุณ เพื่อดูกำลังบารมีของคุณว่าพร้อมที่จะรับโจทย์ในการปฏิบัติไปทำให้แจ้งจนบรรลุธรรมหรือเปล่าเท่านั้นเอง และเวลานี้ ก็ถึงเวลาที่จักรวาลเปิดพลังธรรมให้ผู้บำเพ็ญบารมีได้รับโจทย์เอาไปปฏิบัติเพื่อให้บรรลุธรรมแล้ว ดังนั้น หากคุณปฏิบัติธรรมอยู่ ก็อาจพบพระโพธิสัตว์มาทดสอบธรรมได้ จากนั้นคุณก็สามารถรับเอาโกอานหรือปริศนาธรรม ไปทำให้แจ้งได้ เป็นลำดับต่อไปครับ

    ซึ่งชายเองก็ถือหน้าที่อย่างหนึ่งไว้ทดสอบผู้ปฏิบัติธรรมเช่นกันครับ
     
  14. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ไทยจะรับมือกับการครอบงำของต่างชาติได้อย่างไร?​



    ในสถานการณ์นี้ ที่ใกล้จะเกิดสงคราม หากประเทศมหาอำนาจไม่ยึดครองเราแบบเบ็ดเสร็จ เขาเองก็จะเป็นอันตราย เพราะเราอาจจะไปอยู่ฝ่ายตรงข้าม มาเล่นงานเขาก็ได้ เข้าใจนะครับ ดังนั้น เขาเองก็ต้องพยายามเต็มที่ ที่จะครอบงำเราให้ได้ ถ้าไม่ได้เขาก็จะโดนเราเล่นงานกลับ เพราะเราจะอยู่ฝ่ายตรงข้ามแทน นั่นละ เงื่อนไขนี้เอง ทำให้เขาต้องเล่นงานเราอย่างหนัก เพื่อให้เรายอมเขาเช่นกัน ทีนี้ เราจะทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้? เราไม่อาจที่จะประกาศตนเองเป็นอิสรภาพได้ตอนนี้ครับ เพราะ "สงครามโลกยังไม่จบ" หากเราไม่ทันได้รบก็ทำเช่นนั้นเสียแล้ว เราก็จะไม่มีทางได้มันจริงๆ เราจะได้เพียงไม้ผุปักขี้เลน ไม่มั่นคง และถูกรุมเล่นงานจากทั่วโลก จนกว่าสงครามจะเสร็จสิ้นครับ ทางที่ดี เราต้อง "อดทน" รอเวลาที่สงครามใกล้จะจบแล้ว เราจึง "จัดการ" อย่างแท้จริง กระทำอย่างแท้จริงตอนนั้นก็พอ แต่ช่วงเวลานี้เรายังทำอะไรจริงๆ ไม่ได้ เราจะทำได้คือ "ตามน้ำไปก่อน" อย่าฝืนธรรมชาติ อย่าหักดิบใช้หลักวิชาไทเก๊กไปก่อน สรุปเป็นหลักการปฏิบัติในภาวะวิกฤติได้ง่ายๆ ดังนี้

    1 ยอมรับไปก่อน (แต่ไม่ได้ยอมจำนนจริง)
    2 รับการถูกกดขี่ (เพื่อศึกษาแบบผู้ถูกกดขี่)
    3 ศึกษาแบบผู้ถูกกดขี่ (ทำให้รู้เขา รู้เราได้)
    4 พัฒนาตัวเองจนกำเนิดใหม่ (เป็นดั่งผีเสื้อ)
    5 ปลดปล่อยทุกคน (ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้าย)

    ดังนั้น การที่เราหนุนหลังให้ ปชช. ไปด่าคนจีน, ทัวร์จีนอะไรนั่น ให้ยกเลิก อย่าทำครับ มันไม่ใช่แล้ว มันคือการต่อต้าน ซึ่งจะทำให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายแทน หรือการที่บางคนให้ทหาร-ตำรวจปลอมเป็น ปชช. ไปไล่กระทืบพลเรือน นั่นก็ไม่ถูกต้อง จะก่อให้เกิดความแตกแยกในชาติบ้านเมืองแทน แต่สิ่งที่ถูกต้องและควรทำคือ การยอมรับ "การถูกกดขี่" ไปก่อนครับ รับด้วย "ความตระหนักรู้" ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ แต่เราต้องสู้แบบสันติวิธีเพื่อเอาชนะในท้ายที่สุดแบบสันติวิธี ด้วย "การศึกษาของผู้ถูกกดขี่" ที่ชายพยายามนำเสนออยู่นี้ หลายคนกลัวว่าถ้าไม่ทำอะไรเลย ไม่ต่อสู้ ไม่ต่อต้านกับอิทธิพลของจีน ประเทศไทยก็จะถูกกลืน แต่ทว่า ถ้าท่านสู้แล้วชนะ สงครามโลกก็ยังไม่จบ ท่านก็จะถูก "ฝ่ายตรงข้าม" กลืนต่อทันทีคือ มันยังไม่จบไงคุณ เข้าใจไหม? ชัยชนะของคุณ จะได้ก็แค่ชั่วคราวหรือของเก๊ เหมือนไม้ผุปักขี้เลนเท่านั้น คุณต้อง "อดทน" รอเวลาที่สงครามโลกใกล้จบก่อน แล้วเราจะมาพลิกเกมกันในตอนนั้นครับ

    เราต้อง "ไหลตามน้ำไปก่อน" แล้วสู้ด้วยการศึกษาแบบเปาโลครับ
     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ประเทศที่คอยเสี้ยม สั่งสอน ความเสรี

    ประเทศเหล่านั้นเองที่เปนตัว จักร ก่อสงคราม

    มันเปนเรื่องความจานลายของ คนโง่ ที่ประกาศ
    ยกย่องความเปนเสรี ที่พวกประทศเหล่านั้นกล่อมๆ

    มันเปนไปไม่ได้เลย ที่ประเทศเหล่านั้น พอรบชนะ
    จะประกาศให้เสรี ไม่มีการกดขี่ใดๆ

    ควา ยา เท่านั้น ที่รู้ทั้งรู้ว่าเขากดขี่แน่ๆ แต่ก้ยังบอกว่า ตัวเองมีความคิดเสรี


    แปลกแต่จริง ผู้นำใด จะประกาศตนเปนมหาอำนาจ

    ความที่มนุษย์เปนสัตวสังคม จึงเลี่ยงไม่ได้เลย
    มี่ผู้มีอำนาจ จะต้องเชิดชู เกีรยติของมหาอำนาจ

    จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องหยิบบุคคลในประวัติศาสตร์โลก
    มาประกอบการบรรยาย สรรเสริญ เพือ่ให้ผู้อยู่ใต้อำนาจ
    ยอมรับ นบน้อบโดยดุษฎี

    และ ไทย ก้ได้สร้าง บุคคลอ้างอิงนั้นไว้แล้ว

    ไทยจึงรอดพ้นสงครามแน่นอน และ เปนมหาอำนาจแน่นอน


    โดยไม่ต้องรบ


    ประเทศใดหลังจากนี้ร้อยปี หากโจมตีไทย ไม่ว่าจะ
    ด้วยสงครามร้อน สงครามเย็น

    สิ่งที่ประเทศนั้นจะได้ คือ การประกาศประเทศตนเปน ทรราช อัปยศอดสู ชั่วกาลปาวสาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ตุลาคม 2016
  16. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722

    คิดแบบนี้ไม่ถูกหรอก

    เพราะอาศัยแค่ "บุคคลอ้างอิง" แล้ว "ไม่ทำอะไรเลย"
    แล้วบอกว่าเราชนะแล้ว แถมเราไม่ได้ไปรบอะไรด้วย

    แบบนั้น ประชาชนจะอ่อนแอและไม่พัฒนาตัวเองได้เลย

    เพราะอาศัยเกาะแต่ "บุคคลอ้างอิง" คนเดียวไปตลอด
    แต่ไม่รู้จักการต่อสู้ด้วยตัวเอง ยืนหยัดให้ได้ด้วยตนเอง
    แม้แต่สงครามเกิด ก็ขี้ขลาด ไม่กล้าเผชิญหน้ากับมัน

    การเผชิญหน้ากับสงคราม ไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงเสมอไป
     
  17. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    แล้วบุคคลอ้างอิง อะไรนั่น ก็ค่อยๆ เสื่อมไปตามกาลเวลา
    ต่างชาติเขาไม่ได้มาสนใจบุคคลอ้างอิงอะไรนั่นด้วย


    ช่างเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ ของพวกโลกสวยโดยแท้
     
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เชยระเบิดระเบ้อ

    การรณรงค์สรคราม ก็ไม่รู้จัก

    ถามว่า ในโลกเพลาเช่นนี้ จะมีเขตขันธ์ประเทศใด
    จะมีจิตใจเหี้ยมหาญ สู้อย่างพลีชีพ เฉกเช่นอโยธยาศรีรามเทพนคร หามีไม่

    การจะทำลายเมือง เทพบิดร ก้เหมือนเอาขรี้ยัดใส่สมองตนเปนแน่
     
  19. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    "ชนะโดยไม่ต้องรบ" โดยใช้สื่อครอบงำให้คนเชื่อเรื่องโกหก
    ทั้งที่ในความเป็นจริง "แพ้แม้กระทั่งกัมพูชา" จนต้องเสียเขาพระวิหารไป


    แถมเป็นการแพ้แบบไม่ทันได้รบเสียด้วยสิ! ตื่นเถอะครับ ตื่น ...
     
  20. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เอาหน่า

    ลองนึกดูดิ หากมีพวกเสรีนิยม

    พอเขาเข้ามารบ

    พวกไหนจะแพ้โดยขี้เล็ด เข่าอ่อน กลางเวทีทั้งๆที่ เขาตั้งให้เปนประธาน

    พวกไหนจะสู้ แม้จะแพ้ แต่ไม่มีวันตาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ตุลาคม 2016

แชร์หน้านี้

Loading...