ธรรมหลังกึ่งกลางพุทธกาลเป็นต้นไป เป็นธรรมบัวบาน จะเปิดเผยครั้งแรกในยุคนี้นะ

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย anakarik, 12 พฤษภาคม 2016.

  1. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    เขียน ๑๙.๐๓

    ไอ้น้องก็พูดเกินไป
    เรื่องสื่อยังไม่ต้องพูดถึง
    แต่เรื่องเสียภูเขาไป ไม่ใช่
    เสียไปเพราะความไม่รู้ ตะหาก
    พลาดไปตั้งกะหลายสิบปีก่อนโน้น
    แล้วตอนรบกันล่าสุด เราแพ้ที่ไหนกัน
    เขมรโดนปืนใหญ่ถล่ม ตายตั้งหลายร้อย เนอะ


    กระต่ายป่า แห่งประเทศไทย / แสงแห่งค้างคาว

    .
     
  2. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    อย่าไปหลงเขาเกินไป เขาอาจจะคิดผิดก็ได้


    ผู้วางแผนให้ไทย "ปลดแอกเป็นเอกราช" นั้น "ยังใจร้อนเกินไป" เพราะอะไร? เพราะเขาคิดจะสับเปลี่ยนองค์กษัตริย์ เพื่อปลดแอกจากจีนในตอนนี้เลย ซึ่งเกมมันยังไม่จบ สงครามยังไม่จบ หากเราฝืนประกาศเอกราชตอนนี้ เราจะถูกรุมจากทั้งจีนและอเมริกา ทำไม? เพราะถ้าเราเป็นอิสระ จีนก็จะกลืนเราให้ได้ อเมริกาก็จะกลืนเราให้ได้เหมือนกัน นั่นเพราะ "ผิดจังหวะ" ใจร้อนเกินไป เราจะประกาศเอกราชตอนนี้ เหมือน ปธ. ฟิลิปปินส์ยังไม่ได้ เราต้องไหลตามน้ำไปก่อน คล้อยตามธรรมชาติไปก่อน แล้วรอจังหวะที่เหมาะคือ ตอนสงครามโลกจบลง

    เราจึงจะมา "พลิกเกม" กันในตอนนั้นครับ
     
  3. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    โลกทัศน์สองแบบ ...


    เมื่อใดที่อัตตาทำงานอยู่ เราจะมองโลกแบบตัวกูของกู เราจะเห็นตัวเราเป็นอย่างหนึ่ง สิ่งต่างๆ เป็นอย่างหนึ่ง จากนั้น เราจะพยายามไขว่คว้าหรือครอบครองสิ่งต่างๆ เราเอา "การมี" เป็นที่ตั้ง เราจึงวัดความสำเร็จจากการ "มีมากขึ้น" เช่น มีรายได้มากขึ้น, มีเงินมากขึ้น, มีเงินเดือนสูงขึ้น ฯลฯ ทว่า สิ่งเหล่านี้ทำให้เรามีโลกทัศน์ที่แคบลง อยู่เพียงตัวเราและของเรา (ตัวกูของกู) และยิ่งแบ่งแยกเราออกจากสรรพสิ่ง ทำให้เราไม่อาจเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่งได้ เราไม่เข้าใจว่าอะไรคือชีวิตที่แท้จริง อะไรคือความเป็นหนึ่งเดียวกัน เราจึงเสียเวลาในชีวิตไปกับการพยายามครอบครองสิ่งต่างๆ ให้มากขึ้นไปเรื่อยๆ บางคนหลงเตลิดไปไกล เพียงเพื่อให้ได้ "มี" อย่างคนอื่นแต่เขายังไม่รู้เลยว่าตัวเองปรารถนาอะไรอย่างแท้จริง ตัวเองต้องการอะไรอย่างแท้จริง เพียงเพราะกลัวว่าจะไม่มีอย่างใครเขา กลัวว่าจะด้อยกว่าผู้อื่น พวกเขาจึงต้องเสียเวลาในชีวิตไปเพื่อให้ "มี" แค่นั้น ผู้ที่มีโลกทัศน์แบบนี้ จึงไม่เคย "เป็น" หนึ่งเดียวกับธรรมะ ธรรมชาติ พวกเขาเพียงแต่ "มอง" สิ่งต่างๆ แล้วพยายามไขว่คว้าเพื่อครอบครองสิ่งเหล่านั้น พวกเขาต้องการ "มี" แต่ไม่ใช่การ "เป็น" ที่แท้จริง

    ในขณะที่ผู้เข้าถึงสภาวะอนัตตานั้น จะไม่มองโลกแบบตัวกูของกูแต่จะมองเห็น "ความเป็นหนึ่งเดียวกันของธรรมะ ธรรมชาติ ของสรรพสิ่ง" ที่ไม่อาจแบ่งแยกเป็นตัวกู หรือของกูได้ เขาได้เห็นแจ้งแล้วว่า ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องไขว่คว้า, แย่งชิง หรือครอบครอง เขาเข้าถึง "ชีวิตที่แท้จริง" และใช้ชีวิตของตัวเองได้อย่างเต็มที่ อยู่บนโลกนี้อย่างคนเต็มคน เขาไม่เสียเวลาในชีวิตไปเพื่อให้ได้ ให้มีอย่างใครๆ เขาไม่ต้องหาเงินเพื่อซื้อเสื้อผ้าสวยๆ เพื่อแต่งตัวไปให้ใครก็ไม่รู้ ได้ดู โดยที่ตัวเองก็ไม่ได้รู้จัก เพียงเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากสังคม ก็หาไม่ ณ จุดนี้ เขาหลุดพ้นจากการนิยามและการมองโลกแบบ "ตายตัว" หรือการเห็นโลกเป็นของตาย แต่เขากลับเห็นโลกเป็นชีวิต และเป็นหนึ่งเดียวกับชีวิตของเขา ความหมายของคำว่า "ชีวิต" ของเขาจึงเปลี่ยนไป เพราะมันไม่ใช่ชีวิตของเราหรือของใคร แต่มันหมายถึงทั้งหมดที่เป็นหนึ่งเดียวกัน เขาไม่ใช่ "นักนิกายนิยม" ที่สร้างนิยามของความจริงให้ตายตัวในแบบที่ตัวเองมอง เช่น การสรุปว่าทุกอย่างเป็นความว่าง, การสรุปว่าต้องอยู่กับปัจจุบันขณะ หรือการสรุปอย่างหนึ่งอย่างใด นั้น ไม่มีแก่เขาอีก เพราะทุกอย่าง "ล้วนมีชีวิต" ไม่ใช่ความตายตัว แปรผันไป ไม่อาจสรุปได้ด้วยนิยามใดๆ ทั้งนั้น ไม่อาจอธิบายได้ด้วยถ้อยคำใดๆ แต่สามารถเข้าถึงได้ด้วยตนเอง คือ เข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันนั้น คือ เข้าถึงสภาวะที่เรียกว่า "อนัตตา" นั้น ซึ่งเป็น "สัจจะ" เป็นความจริงอยู่แล้ว โดยไม่ต้องเข้าถึงหรือบรรลุถึงแต่อย่างใดเลย

    สัจธรรม ไม่ใช่สิ่งที่ถูกมอง แต่เป็นสิ่งที่ "เป็น" เช่นนั้นเองอยู่แล้ว
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    มันมีความแตกต่าง ระหว่าง. ผู้ที่ลงมือกระทำ มีความเพียร มีสติและสัมปชัญญะ

    กับ พวกกาโหลหนาปานยา ควา ยา. ตรงที่


    คนที่พบอนัตตาด้วยความอุตสาหะ. จะพยายาม. นำจิตวิญญานอื่นให้พบประโยชน์
    ที่เขาได้รับ. ด้วยการ. สัททา ใส่ใจ. กราบเพราะเหนคุณค่าของการกระทำความดี
    เปน. พ่อของทุกสรพวิญญาน

    ส่วนคนที่ใข้กาโหลหนาปานยาควา ยา จะกล่าวลอยๆถึงอิสระ. ไม่เหนคุณค่าในการ
    ขึ้นเปนผู้นำทางจิตวิญญาน. ซ้ำร้าย. เพราะไม่เปน. จึงไม่รู้ประโยชน์ ก้เลยไปเชิญ
    ปรัชญาโค ตรา ควายาฝาหรั่งหนาสันติ มากล่าวบ้าง. เอาปรัชญาเจี๊ยตีญ ซูสันติบ้าง
    มาพล่ามไปวันๆว่ารู้ แต่ กลับเอาสันติกระทืบหัวจายคนทางชาก

    หากสงครามมีจริง แล้ว รหัสพ่อรหัสแม่อิสระเสรีอะไรนั่นมันมาเปนจ้าว


    ถามหน่อยว่า. ผู้นำจานลายที่ไหน จะขนพลเมืองของมานมาเปนชาวนา
    ชาวไร่ กรรมกร

    เขามีแต่จะหลอกคนที่หลอกง่าย ด้วยเป่าหูเรื่องความรู้ในการมีอิสระ นั่นแหละ
    ที่ต่อไป. พวกจานลายพวกนี้จะมีประโยชน์มาก. ในการไปรองมือรองตีมพวกเขา

    แต่ไม่ต้องถามหา. พวกจงรักภักดีเขานะ. เขารบจนตัวตายหมดแล้ว. จึงได้แพ้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ตุลาคม 2016
  5. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ทำไมต้องต่อสู้ด้วย "การศึกษาของผู้ถูกกดขี่" ?​



    หลายคนอาจสงสัยว่าชายกำลังหลอกให้ทุกคนอยู่ในความสงบและยอมจำนนโดยไม่มีการต่อสู้หรือเปล่า? ไม่จริงครับ ชายกำลังหาวิธีต่อสู้ที่ดีที่สุดอยู่ต่างหาก และชายก็ค้นพบแล้ว ซึ่งชายไม่ได้คิดเอง แต่เป็นแนวคิดของ "เปาโล เฟรเร" ครับ เป็นเหตุให้ชายแสดงความเห็นที่แตกต่าง ไม่เห็นด้วยกับการต่อสู้เพื่อ ปชต. ของหลายๆ กลุ่มที่ผ่านมา แต่กลับพยายามเสนอการต่อสู้แบบเปาโล ซึ่งคิดว่าหลายท่านก็ศึกษามาเหมือนกัน เพราะอะไร? ชายจะขออธิบายดังต่อไปนี้

    1 เพราะเป็นกลยุทธ์ใหม่ล่าสุด
    ประเทศจีนนับว่ามีภูมิปัญญาด้าน "กลยุทธ์" สูงอันดับต้นๆ ของโลก ไทยเองได้รับอิทธิพลมาจากจีนและอินเดีย ดังนั้น หากเราจะสู้กับประเทศจีนด้วยกลยุทธ์แบบจีน รับรองว่าไม่มีทางชนะเลย เพราะเขาคือต้นตำรับกลยุทธ์เหล่านั้น การที่เราจะชนะได้ เราจะต้องไม่ใช้ตำราเดียวกันกับเขา แต่เราต้องมีตำราใหม่ของเราเอง ที่เขาอาจยังไม่เข้าใจ หรือยังไม่ได้ศึกษามาก่อน เป็นกลยุทธใหม่ล่าสุด นั่นเอง

    2 เพราะเป็นการต่อสู้ที่สันติวิธี
    การต่อสู้แบบ "การศึกษาของผู้ถูกกดขี่" ตามแนวคิดของ "เปาโล" นี้ เป็นการต่อสู้แบบสันติวิธี เปาโล ไม่ได้แนะนำให้เราปฏิวัติหรือใช้สงครามในการเอาชนะ ตรงข้าม เปาโล แนะนำให้เราต่อสู้อย่างผู้มีการศึกษา ไม่ใช่อันธพาล และเราสามารถศึกษาได้โดยไม่ต้องเข้าโรงเรียนใดๆ เราศึกษาจากชีวิตจริง ประสบการณ์จริงของเราได้เลย การต่อสู้แบบนี้จึงไม่เน้นใช้ความรุนแรง หรือใช้กำลังเข้าหักหาญ

    3 เพราะทำให้เกิดปชต. แท้จริง
    ปชต. ที่แท้จริง ไม่ใช่แค่ระบอบการปกครอง แต่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น "ภายในใจ" ในตัวตนของเรา มันเป็นสิ่งที่เราเป็น ไม่ใช่สิ่งที่เราไปไขว่คว้ามาครอบครองได้ด้วยการเรียกร้อง หรือให้ใครมาประทานให้เรา เราไม่อาจเรียกร้องเอาจากรัฐบาลได้ แต่เราต้อง "เป็น" ด้วยตัวของเราเอง ไม่ใช่การมี หรือการไปเอาจากที่ใด หรือใครๆ ทั้งนั้น การต่อสู้ด้วยการศึกษาของผู้ถูกกดขี่ ทำให้เราเป็น ปชต. ได้แท้จริง

    4 เพราะเหมาะสมกับสถานการณ์
    สถานการณ์นี้ เรายังไม่อาจหักหาญเอาชนะศัตรูได้ทันทีทันใด และยิ่งไม่อาจต่อสู้แบบ "แข็งปะทะแข็ง" เราต้องใช้ "อ่อนสยบแข็ง" เราต้องยอมอ่อนข้อก่อน เราต้องยอมรับแต่ไม่ยอมจำนน เพราะเรายังอยู่ในภาวะที่สงครามยังไม่ใกล้จบ ยังมีความไม่แน่นอนอีกยาวนาน หากเราฝืนต่อสู้แบบแข็งปะทะแข็ง จะมีแต่ความปั่นป่วนวุ่นวาย และเราก็จะไม่ได้ชัยชนะที่แท้จริง เราจึงต้องอดทนรอเวลาที่เหมาะสม

    5 เพราะสูญเสียชีวิตน้อยที่สุด
    การต่อสู้แบบนี้ ไม่ใช่การต่อสู้แบบเก่า การต่อสู้แบบเก่านั้นเป็นการ "สังเวยชีวิต" เพื่อ "แลก" กับสิ่งที่ตัวเองอยากได้ เช่น ถ้าอยากได้ ปชต. ก็ต้องเอาชีวิตของ ปชช. ไปแลกมา มันคือการบูชายัญเพื่อให้ได้บางสิ่งจาก "ซาตาน" นั่นเอง และมันไม่มีวันจะเป็นสิ่งที่แท้จริงได้เลย เพราะสิ่งที่ได้มาด้วยการแลกด้วยชีวิต สังเวยซาตานนั้นย่อมเป็นสิ่งจอมปลอมโดยแท้ แต่การต่อสู้แบบนี้ ไม่เน้นให้ใครตายครับ

    * ด้วยเหตุนี้ ชายจึงแนะนำการต่อสู้ตามแนวคิดของ "เปาโล" ครับ
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เชยะเบิดระเบ้อ

    สงคราม. เรารบกันที่ ขันธ์5

    จะรบกันก้เปนเรื่องขันธ์5

    จะไม่รบกันก้เปนเรื่องขันธ์5

    พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ นำพา มหาชนให้ภาวนา พุทธานุสติ ...เทวตานุสติ...

    ก้เพื่อรบชนะขันธ์5.

    จะรบก้ได้ ไม่รบก้ได้ ชนะขันธ์5ได้ ชนะทุกหมู่ มาร มนุษย์ อิน พรหม. ปราศจากการเบียดเบียน เอาชีวิตล้านเปอรเซนต์

    แพ้ ชนะ แบบฝาหรั่ง เปนเพียง อุปทานขันธ์ เกืด
    จาก ความปราศจากการแจ้งชัด สัจจ อริยะ ที่แท้

    ตกลง รู้เรื่อง. ตำราพิชัยสงครามกับเขาไหม

    ไปตามก้นฝาหรั่ง. ก้เปนขี้ข้าเขาวันยันค่ำ. เว้นแต่
    ขายวิญญาน. เอาสมอหมาแลกเปนเศษเงิน. เลี้ยง
    ชีพ มันจะเกิดความกลวงๆ อุปทานว่า อิสระ

    ไม่เชื่อ ไปดูประวัต เปรตโต อะไรนั่น มันเขียน ตำรา แลกเงิน ไปซื้อข้าวกิน อะเป่า

    ปล. สำหรับคนที่สัททาคำสอนพ่อหลวง ข้าวทุก
    เม็ด จะกลืนกินพร้อมระลึกเทวดานุสติ ชาวนา
    เปนเทวดานิรมิตข้าวให้ทาน จึงพร้อมสละตัวตน
    เพียรเผา เพื่อชนะสงครามเขตปัญจขันธ์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ตุลาคม 2016
  7. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    .
    เขียน ๙.๕๙

    ดอกไม้น้ำแข็ง ก็หลุดออกทะเลเป็นพักๆ นะ
    ในเท็จมีจริง ในจริงมีเท็จ หลอกบ้าง จริงบ้าง มั้ง
    ใครอ่านแล้ว ก็ต้องแยกออกให้ได้ล่ะ ว่าอะไรใช่ บ้าง

    เรื่อง ปชต.บ้าบอนั่นน่ะ จะเอามาเห่าทำไม วะ
    ใครก็รู้ ว่านั่นไม่ใช่ความต้องการของคนในชาติไทย
    ชาวบ้านทั่วไป ไม่เห็นใครเค้าจะโวยวายต้องการกันเลย

    มีแต่ไส้ศึก หอกข้างแคร่ รับจ้างเผาเมือง แค่นั้นมั้ง นะ
    สรุปสั้นๆ ก็มีแค่เด็กไอ้แมว ของไอ้กัน กะชาติอื่นๆ
    แล้วก็พวกอยากดัง กะสมองหมาปัญญาควาย
    กลุ่มอื่นๆ อีกเล็กน้อย ที่ป่วนประเทศอยู่

    ไทยทุกวันนี้น่ะนะ เราว่า มันก็เป็น ปชต.จะแย่แล้ว
    เรียกร้องกันจนมั่วไปหมด รู้แต่สิทธิ์แต่ไม่รู้หน้าที่
    ปัญหาที่ต้องแก้ ไม่ได้อยู่ตรงนั้น หลงกลอยู่ได้
    ก็ไม่รู้ว่าจะโง่ เล่นเกมส์ของศัตรูไปถึงไหน วะ


    กระต่ายป่า แห่งประเทศไทย / แสงแห่งค้างคาว

    .
     
  8. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,283
    ค่าพลัง:
    +1,505
    .
    เขียน ๑๐.๑๓

    เฮ้ย นิวรณ์ เลิกเขียนภาษาบ้าบอซะทีเหอะวะ
    รำคาญลูกตาชิปหาย น่าเบื่อหน่ายจริงเชียว
    เสียดายของด้วย อุตส่าห์มีเนื้อปนอยู่มั่ง


    กระต่ายป่า ข้างวัด / แสงแห่งค้างคาว

    .
     
  9. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    55 เสียดายเนื้อ
     
  10. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    ความจริงสูงสุดคือสิ่งใด?
    ใครตอบได้ช่วยตอบที?
     
  11. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    กลุ่มนักรักประชาธิปไตยของไทยที่ว่าเก๋าๆนี่ ถ้าจะขอไปเป็นเป็นพลเมืองของยูเอส ทางสภาความมั่นคงยูเอสคง
    คิดหนักอยู่นะเพราะไม่ถูกใจเมื่อไรวอชิงตันดีซีอาจกลายเป็น
    กองขี้เถ้าทั้งเมือง (ฮา )
     
  12. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    เห็นเหตุรู้ผล เห็นผลรู้เหตุ อย่างเอกอุ
    สมาธิเหมือนเนื้อติดฟัน
    การพิจารณาด้วยปัญญาต่างหาก
    คือ"ธรรมของจริง".
    (หลวงปู่มั่นสอนไว้)
     
  13. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    จงเป็นตะเกียงของตัวเอง
    จงตื่นอยู่เสมอ..
    จง อย่าเดินตามผู้อื่น
    (นี่คือคำสอนสุดท้ายของเรา.ตถาคต)
     
  14. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    ไม่ว่าเราหรือใคร ไม่มีใครควบคุมใคร
    นั้นเพราะ ความรัก จะควบคุมเราทุกคน
    โชคดีนะ..เพื่อนรัก.
     
  15. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    สังคมต้องอยู่ภายในกรอบและกฎเกณฑ์ที่ได้กำหนด
    เป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฏหมายประกอบ
    ต่างๆ ที่กำหนดโดยสภาผู้แทนนี่ก็เปรียบเหมือนโดยประชาชน
    เพราะประชาชนเป็นผู้ส่งมาถึงไม่เลิศเลอแต่ก็พอใช้ได้ตามสภาพบริบทสังคมไทย
    ดังนั้น กฎหมายที่บัญญัติจึงต้องไม่ถูกละเมิดโดยใฝ่ใด ฝ่ายหนึ่ง
    ไม่ว่าฝ่ายผู้พิทักษ์กฎหมายหรือผู้ถูกใช้กฏหมาย
    คือประชาชนทั่วไป
    หากเกิดภาวะละเมิดกฏหมายมากๆ ขึ้นก็จะมีการรัฐประหาร
    เกิดขึ้น
    ฝ่ายเสียอำนาจก็จะเรียกร้องอำนาจคืนโดยอ้างประชา
    ธิปไตยที่ฝ่ายตนเองเพิ่งได้ทำลายลงไป จนเป็นต้นเหตุ
    ของรัฐประหารนั่นเเหละ
    แต่ไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นสาเหตุ55
    ฉลาดไหมคนพวกนี้

    ดังนั้น ความจริงสูงสุด คือเราต้องรู้ความจริงตามที่กล่าวมา
    ข้างต้น
    ส่วนหลักการทฤษฎีที่โหยหาต่างๆ เป็นการมโนที่ทำ
    ไม่ได้ไปไม่ถึง
    แค่หลักการพื้นๆ ที่กำหนดเองยังทำลายเองจะไปเอาอะไร
    เลิศเลอ55
     
  16. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +3,394
    กรรมของประเทศจริงๆ ไม่รู้เอาอำนาจมาจากไหนเยอะแยะ
    แทนที่จะเอามาพัฒนาบ้านนอกตามในหลวง รึจะเป็นลิงจั๊กๆ กันส่วนใหญ่
     
  17. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    "อยู่กับโลก ไม่หลงโลก" เป็นอย่างไร?


    "อยู่กับโลก" คำว่า อยู่กับโลกนี้ หลายคนเข้าใจผิดมาก เข้าใจผิดอย่างไร? เช่น วันๆ อยู่แต่มิติของการสื่อสาร โลกแห่งการสื่อสาร ไม่ได้มีชีวิตจริงๆ ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างในชีวิตจริงๆ แต่ไปคิดว่าตัวเองอยู่กับโลกแล้ว แบบนี้ ไม่ใช่นะครับ แบบนี้คือ ไม่ได้อยู่กับโลกจริงๆ แต่ไปอยู่กับ "โลกเสมือนจริง" ทีนี้ โลกเสมือนจริงในยุคนี้ มัน "ถูกสร้างขึ้น" มาเยอะมากๆ เรียกว่า "มิติ" ก็ได้ มันมีหลากหลายมิติมากๆ ที่ดึงเราออกไปจากโลกที่แท้จริง ชีวิตจริงๆ ของเรา พอเราหลงเพลินเข้าไปในมิตินั้นๆ โลกนั้นๆ เช่น โลกแห่งอินเตอร์เน็ต เราก็จะเผลอลืมตัว แล้วหลุดออกมาจากโลกที่แท้จริงได้ หลายคนไม่รู้ตัวนะ ว่าจิตใจ จิตวิญญาณ ไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ได้อยู่บนโลกที่แท้จริงแล้ว แต่ไปอยู่ใน "โลกเสมือนจริง" ไปแล้ว สาเหตุเกิดจาก "การแบ่งแยกตัวเองกับโลก" เช่น เบื่อโลก คิดว่าไม่เอาโลกแล้ว จะเอาทางธรรมอย่างเดียว หันหลังให้โลก หนีไปบวช แบบนี้ก็ทำให้หลุดออกจากโลกที่แท้จริงไปอยู่ในโลกเสมือนจริงได้ ในโลกเสมือนจริงนั้น ถูกสร้างขึ้นไว้เพื่อหลอก เพื่อดักเราและใครอีกหลายคน "ตามความคิดฝัน" ของเรา เช่น ถ้าเราคิดอยากได้สังคมอุดมธรรมะ เขาก็สร้างสังคมแบบนั้นดักรอเราเลย เราไปเจอเข้า เราถูกใจ เราก็ "ตั้งเจตนาเลือกสังคมนั้น" เพื่ออยู่อาศัย แล้วก็ปฏิเสธชีวิตจริง คนจริงๆ ในชีวิตของเรา เช่น พ่อแม่ที่น่าเบื่อของเราไปสู่โลกเสมือนจริงที่เรา "ตั้งเจตนา, ก่อกรรมด้วยการเลือก" นั้น

    "ไม่หลงโลก" คำว่า ไม่หลงโลกนั้น จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอยู่กับโลกที่แท้จริงให้ได้ก่อน เมื่อเราอยู่กับโลกที่แท้จริงได้เหมือนหยดน้ำบนใบบัวแล้ว เราไม่หลงโลก ก็เหมือนหยดน้ำที่ไม่ติดใบบัว กลิ้งไปมาได้อย่างนั้น ทว่า หลายคนหลงโลก ก็จะไม่สามารถทำได้แบบนี้ แต่จะมีสักกี่คนที่จะมีสติ รู้ตัวว่าตัวเองกำลังหลงโลกอยู่ เพราะมัวแต่หลงเพลิดเพลินกับสิ่งที่โลกให้ โลกมี และโลกเป็นอยู่ เช่น คนทางโลกมายกย่องให้เราเป็น "พระอรหันต์" ทั้งๆ ที่เราอาจยังไปไม่ถึงจุดนั้นเลย เขามาขวางเราไว้ก่อน แล้วมาอุปโลกน์เราขึ้น หลอกให้เราเป็นอรหันต์ทั้งๆ ที่ยังไม่เป็น เราอาจหลงเพลินไปกับเขาได้ พอหลงเพลินไปแล้ว เราก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อแล้ว กลายเป็นพัวพันกับฝูงชนมากมาย รายล้อมรอบตัว เพลิดเพลินไปกับการรับเงินทอง ลาภสักการะ วันๆ มีแต่คนมาหมอบกราบ ฯลฯ จนเราแทบไม่มีเวลาที่จะได้ปฏิบัติธรรม ให้ถึงที่สุดแห่งธรรมจริงๆ จนเกินเลยไปถึงการสร้างวัด ทำนั่นทำนี่อะไรมากมาย ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องเชิงวัตถุทั้งนั้น ทว่า ในเรื่องจิตใจกลับไม่ก้าวหน้ามีแต่จะเสื่อมถอยลง นี่เรียกว่า "หลงโลก" แล้ว ไม่อาจเป็นน้ำกลิ้งบนใบบัวได้แล้ว ยุคหลังๆ นี้ ทางโลกเขาทำ "หลุมพราง" เอาไว้หลอกผู้ปฏิบัติธรรม ให้คิดว่าได้ถึงทางธรรมแล้วแบบนี้เยอะมากๆ หลอกให้เราหลงตัวเอง คิดว่าตัวเองเป็นอรหันต์แล้ว ที่ไหนได้ มันก็ไม่พ้นโลกธรรมแปด มีลาภสักการะ มีสรรเสริญ เต็มไปหมด เราจะยังไม่ได้หลุดพ้นจากโลก ยังวนอยู่ในโลกธรรมแปดอยู่เลย แต่หลายคนก็ "ละความเพียร" ไปเสียก่อน เพราะพอใจในสิ่งที่ได้ตรงนั้นแล้ว เลยไม่อยากก้าวหน้าทางธรรมไปอีกก็มีครับ

    คำว่า อยู่กับโลก ไม่หลงโลก ฟังดูเหมือนง่าย จึงกลายเป็นยากดังนี้
     
  18. anakarik

    anakarik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +1,722
    ขับเคลื่อน ปชต. ด้วย Butterfly effect ได้อย่างไร?​



    "การกระทำที่แท้จริง" ในทัศนะของเปาโล ไม่ใช่การกระทำในฐานะที่เราเป็นเพียงจิ๊กซอว์หนึ่งของระบบใดๆ เช่น กระทำในฐานะลูกน้อง หรือขี้ข้าใคร เพราะการกระทำเช่นนั้น ก็เป็นเพียงแค่ฟันเฟืองของระบบใดระบบหนึ่งเท่านั้น การกระทำที่แท้จริงจะต้องเป็นการกระทำที่อิสระอย่างแท้จริง จึงเป็นการกระทำของเราที่เป็นตัวของเราเองจริงๆ เรียกว่า "การกระทำที่แท้จริง" ในการขับเคลื่อนเพื่อ ปชต. ก็เช่นกัน หากเรายังไม่มีการกระทำที่แท้จริง ทว่า เราเป็นแค่เพียงจิ๊กซอว์หนึ่ง หรือหมากตัวหนึ่งของระบบหรือของใครบางคน เราก็ยังไม่ได้กระทำอะไรเลยอย่างแท้จริง ความพยายามของเราก็ล้วนสูญเปล่า ดังนั้น จะเรียกว่าเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อ ปชต. ก็ไม่ได้ จะเรียกตัวเองว่าเป็น "นักเคลื่อนไหว" เพื่อ ปชต. ก็ไม่ได้ ทว่า ในไทยมีหลายคนที่เป็นเช่นนี้ พวกเขาไม่ได้มีอิสระที่แท้จริง ทว่า ได้รับการสนับสนุนจากใครบางคนอยู่เบื้องหลัง คอยให้เงินและสิ่งต่างๆ ทั้งยังบอกบท ให้แสดงบทบาทต่างๆ ในฐานะนักเคลื่อนไหวเพื่อ ปชต. ด้วย การกระทำตามใบสั่งเหล่านี้ จึงไม่ใช่การกระทำที่แท้จริง ยิ่งมิใช่การเคลื่อนไหวเพื่อ ปชต. ที่แท้จริงอะไรได้เลย

    Butterfly effect เป็นปรากฏการณ์ เหมือนผีเสื้อขยับปีกสะเทือนถึงดวงดาวได้ เนื่องจากสรรพสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน เชื่อมโยงสัมพันธ์ถึงกันทั้งหมดนั่นเอง ดังนั้น แม้เราจะเป็นเพียงแค่คนตัวเล็กๆ อุปมาดั่งผีเสื้อตัวน้อย แต่การเคลื่อนไหวของเราก็สามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนถึงดวงดาวได้ ด้วยหลักของทฤษฎีนี้ ทว่า การที่เราจะทำได้เช่นนั้นเราจะต้องมี "การกระทำที่แท้จริง" ก่อน ไม่ใช่กระทำในฐานะหมากทางการเมืองตัวหนึ่งที่อยู่ภายใต้ระบบอะไรสักอย่างหนึ่ง ที่มีใครบางคนบงการอยู่ เราจะทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนถึงดวงดาวได้ก็ต่อเมื่อเราจะต้องมี "อิสรภาพที่แท้จริง" ให้ได้ก่อน เหมือนผีเสื้อที่โบยบินอย่างอิสระ นั่นคือ เราเองจะต้องมี ปชต. จากภายในของเราเองก่อน เมื่อเรามีแล้ว เราจึงสามารถมี "การกระทำที่แท้จริง" และ "การเคลื่อนไหวที่แท้จริง" เมื่อนั้น จึงจะสั่นสะเทือนถึงดวงดาวที่เรียกว่า Butterfly effect ได้ หลายครั้งมักเห็นปรากฏการณ์เลียนแบบ ซึ่งสร้างขึ้นโดย "คนหรือกลุ่มคน" ที่อยู่เบื้องหลัง จึงไม่ใช่การกระทำแบบ Butterfly effect ที่แท้จริง เช่น มีคนวางแผนบอกบทให้ยายไปอาบน้ำกลางถนน แล้ววางแผนให้นักข่าวไปทำข่าวพอดี ก็เลยกลายเป็นข่าวดังสะเทือนไปถึงนายกได้ แบบนี้ คือ การเลียนแบบ ยังไม่ใช่ของจริงครับ เพราะของจริงจะต้องกระทำอย่างอิสระ ไม่มีการบงการ การบงการเบื้องหลังนั้นเข้าข่ายทฤษฎี Ice burg คือ ภาพที่เห็นส่วนน้อยเหมือนน้ำแข็งลอยเหนือน้ำนั้น เหมือน Butterfly effect แต่ส่วนที่จม มองไม่เห็นมันคือการบงการตามทฤษฎีสมคบคิด มันจึงยังไม่ใช่ Butterfly effect ที่แท้จริง ดังที่ชายกล่าวข้างต้น

    นักเคลื่อนไหวเพื่อ ปชต. จะต้องมี "การกระทำที่แท้จริง" ให้ได้ครับ!
     
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    Butterfly effect. คือ กระบวนการตื่นเงา. คล้าย สำนวนกระต่ายตื่นตูม

    ความแตกต่าง อยู่ที่ กระต่ายตื่นตูม. สัตว์ทั้งป่าวิ่งหนี แต่เนื้อหาสาระ คือ. บอกถึงความ
    เบาปัญญา

    ส่วน. บัตเตอรฟลายเอฟเฟก. มันเปนเรื่องราว. โง่ซ้อนโง่ คือ. แทนที่ตะเหนว่า
    เปนเรื่องตื่นตูม. มนุษย์ที่โง่ ไปมองเปนความสวยงามในการคำนึงบางอย่าง
    ที่กระทบกับอีกสิ่งที่ห่างไกลออกไป


    ปล. บัตตอรเอฟเฟก. จริงเปน สมมติญานทางวิทย์ แต่การนำมาใช้เชิงสังคม
    จะเปนเรื่องที่กร่อนไปทาง. กระต่ายตื่นตูม. ต้องเกิดจากโง่บริสุทธิ ไม่มีการจัดฉาก
    แล้ว. หวังว่าคนโง่ต่อๆไป. จะยิ่งโง่บริสุทธิแตกต่างกันไป. แบบกู่ไม่กลับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2016
  20. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    จะเห็นว่าทางธรรมและทางโลกไม่สามารถมามิกซ์กันได้ในยุคปัจจุบัน
    อย่างดีก็จะได้แค่วาทะกรรมทางการเมือง
    ของใครของมัน


    นอกเสียจากเป็นยุคที่มีการปกครองแบบธรรมภิบาลเท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2016

แชร์หน้านี้

Loading...