ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย na_krub, 12 ตุลาคม 2017.

  1. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
     
  2. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    CC6E08C3-F032-41B3-85F1-B22D76706B39.jpeg ลูกศิษย์ : สวดมนต์ออกเสียงกับสวดมนต์ในใจมีผลต่างกันอย่างไรครับ
    หลวงปู่ : ถ้าเอาตรงๆก่อน เสียงดังกับเสียงไม่ดังเหรอจ๊ะ อ้าว..เสียงดังโยมก็ได้ยิน ใช่มั้ยจ๊ะ คนอื่นได้ยิน ถ้าสวดในใจ โยมได้ยิน คนอื่นไม่ได้ยิน

    ลูกศิษย์ : ถ้าสวดในใจ พวกแบบที่เรามองไม่เห็นแบบนี้ เขาได้ฟังได้ยินมั้ยครับ
    หลวงปู่ : เขาไม่ได้ยินหรอกจ้า ก็โยมได้ยินคนเดียวไงจ๊ะ หมายถึงว่าสิ่งที่โยมสวดภาวนาในจิตในใจนั้นเขาเรียกว่าองค์ภาวนา แต่การสวดสาธยายมนต์น่ะคือการตั้งจิตสาธยายมนต์คุณงามความดีเพื่อประกาศให้เทพเทวดาเจ้าทั้งหลาย เขาได้สดับฟัง เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วแว่วเสียงที่โยมสวดนั้นมีจิตศรัทธาตั้งมั่นและมีกำลัง เพราะการสวดมนต์น่ะผู้ที่ไม่มีกำลังจิตที่ดีจะสวดได้ไม่นาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นคนที่สวดออกเสียงดังพอประมาณ สวดสุดใจ สวดตั้งใจ มีอานิสงส์มากมายมหาศาล เสียงนั้นยังให้ประโยชน์กับสัตว์นรกที่เขายังถูกลงทัณฑ์ได้อีก แต่การเจริญภาวนาสวดให้โยมได้ยิน..สวดในใจเขาเรียกว่าช่วยเหลือตัวเองก่อน แต่คนที่สวดออกมาแล้วเรียกว่ามั่นใจแล้วถึงสวดออกมา ยังเป็นทานเสียงให้กับสรรพสัตว์ เหล่าเทพเทวดา

    แต่การเจริญภาวนาในจิตนี้เรียกว่าเรากำลังกู้จิตขึ้นมาก่อน ก็มีอานิสงส์ทำให้จิตเรานั้นสงบ เพราะการภาวนาจิตให้สงบนี้เพื่อให้เกิดความเมตตาขึ้นมาก่อน เมื่อเรามีเมตตาแล้วเราถึงได้เกิดดำริว่ามีความมั่นในมนต์ ดังนั้นผู้ที่สวดเสียงมนต์ออกดังๆแล้ว มีพอประมาณ สวดไม่กระแทก จึงเรียกว่าสวดพอประมาณ มีจังหวะจะโคลน มีสติมีสมาธิกำกับแล้ว..มนต์นั้นมีความขลังครอบคลุมจักรวาลพิภพ เรียกว่าไม่ว่าจักรวาลไหนเขาก็ได้ยินโยมสวด เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ฉันถึงบอกว่าสวดมนต์นั้นเป็นยากิน ไม่ใช่ยาทา จำเอาไว้นะจ๊ะ โยมมนุษย์เขาเรียกว่ายังเข้าใจผิดกันมหาศาลว่าสวดมนต์เป็นแค่ยาทา..ไม่จริงจ้ะ เขาบอกวิปัสสนาเป็นยากิน ถ้าโยมไปกินวิปัสสนาเลยโยมจะรู้หรือไง อันไหนมันเกิดมาได้อย่างไร ใช่มั้ยจ๊ะ ดีหรือไม่ดีโยมกินหมดน่ะ โยมต้องเกิดจากกรรมฐานก่อน สมถภาวนาก่อน

    เพราะการสวดมนต์น่ะเป็นสมถภาวนาอย่างหนึ่ง ทำให้จิตใจโยมรวมตัวเป็นหนึ่ง..เป็นเอกัคคตา ญาณทั้งหลายทั้งปวงบารมีมันก็บังเกิดมีความเชื่อศรัทธาบังเกิด วิริยะปิติทั้งหลาย นั้นเรียกว่าศีล สมาธิ ทาน บารมี ๑๐ นั้นมันจึงบังเกิดมารวมตัวเป็นหนึ่ง ถึงจะก่อเกิดเป็นพลังบุญขึ้นมา แสงสว่างจิตของโยมก็ตื่นรู้ พอเกิดการตื่นรู้ก็เกิดประธานคือพระพุทธขึ้นมา คือพุทโธ ธัมโม สังโฆ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นถึงได้บอกว่าสวดมนต์นี้มีอานิสงส์มาก เพราะบ้านใดใครสวดมนต์เป็นนิจ..ให้ปิดไฟมันก็สว่าง เพราะเทวดาเขาเห็น แต่บ้านใดเปิดไฟสว่างไว้แค่ไหน แต่จิตมืดบอดก็หามีประโยชน์ไม่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๙๒ ๓๔๑๗๒๖๖ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  3. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
     
  4. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    A50FCC03-1386-49FD-93FD-5A2E4576ABE7.jpeg มนุษย์บางทีบางอารมณ์มันก็เป็นพรหม บางทีจิตก็เป็นเทวดา บางทีจิตก็เป็นเปรตวิสัย บางทีจิตนั้นก็เป็นสัตว์นรก บางทีจิตก็เป็นอรหันต์ บางทีจิตก็เข้าสู่พระนิพพานโดยไม่รู้เรื่อง คือจิตไม่อยากยึดมั่นถือมั่นอะไรเลย..แม้ชั่วขณะจิตแค่คิดอย่างนั้น เพราะอะไร..เพราะมันมีแต่ความเบื่อหน่ายไม่ได้ดั่งใจ จิตมันเลยสลัดออกเป็นแค่ชั่วขณะจิต แต่พอเมื่อมีความพอใจเข้ามาเกี่ยวข้องอีก..ก็หลงอีก อะไรที่ใจยังมีความพอใจอยู่ไม่ต้องให้ใครเรียกร้อง..ใจมันเรียกร้องอยู่ตลอดเวลา มันจะมีมารได้อีก เพราะเราเป็นเชื้อแห่งมารมาเกิด จะหมดเชื้อมารได้เมื่อตอนไหน เมื่อโยมไม่อยากเป็นทาสเค้า หรือโยมเปลี่ยนสายเลือดใหม่ เป็น"สายเลือดของพุทธบุตร" นั่นแหล่ะจ้ะ คือเข้ามาอยู่ในทะเบียนบ้านของพระรัตนตรัยซะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ถ้าโยมไม่เปลี่ยนไม่ถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะเมื่อไหร่ เชื้อแห่งการเกิดนั้นก็ยังมีอยู่ร่ำไป การจะเปลี่ยนมาเป็นพระรัตนตรัยให้โยมยึดมั่นถือมั่น โยมต้องมีความเชื่อความศรัทธานอบน้อมเสียก่อน จะเห็นอย่างไรบ้างว่านอบน้อม คือมีการกล่าวสรรเสริญพระรัตนตรัย การเจริญมนต์ก็ดี มาอบรมบ่มจิต การเจริญภาวนาจิตก็ดีเหล่านี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เค้าเรียกว่าทำทาน ศีล ภาวนาจิต อบรมบ่มจิตให้เข้าถึงตัวปัญญา เหล่านี้มีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย เชื่อมั่นอะไร เชื่อมั่นพระพุทธ ว่าพระพุทธเจ้าท่านนั้นได้เกิดขึ้นมาจริง พระธรรมคำสอนท่านนั้นเมื่อเราประพฤติปฏิบัติตามแล้ว เราจะเข้าถึงความสุขที่แท้จริง พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พวกที่ปฏิบัติไม่ชอบก็อย่าไปสนใจเค้าสิ คนดีคนชั่วก็ยังมีปนกันเลย แล้วโยมว่าพระจะดีหมดหรือยังไง อ้าว..พระก็ไม่ดีหมด เพระว่ามันมีสมมุติสงฆ์กับวิมุติสงฆ์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ คนมันก็ยังมีคนกับมนุษย์เลย คือคนที่ยังไม่เต็มคนเรียกว่าครึ่งคนครึ่งมนุษย์ เค้าเรียกว่าอมนุษย์มาเกิด แต่ถ้าคนเต็มคนมันจะเต็มด้วยศีล แล้วจะเป็นมนุษย์สัตว์ประเสริฐทีนี้

    ดังนั้นขอให้โยมเห็นค่าของการเกิดที่มีกายสังขาร แล้วโยมจะรู้เลยว่าบิดามารดาผู้ให้กำเนิดมีความสำคัญเพียงใด เพราะถ้าขาดจากบิดามารดา ตาทวด ปู่ย่าตายายแล้ว โคตรเหง้าศักราชแล้ว เราจะไม่มีลมหายใจ ดังนั้นบุญกุศลทุกครั้งที่โยมได้กระทำแล้วเกิดสุข..ให้นอบน้อมจิตระลึกถึงแผ่เมตตาจิตให้ท่านไป ถ้าจะให้ลึกกว่านั้นให้นึกถึงผู้ที่ให้แผ่นดินเกิดเรา เพราะถ้าเรามีกายสังขารมีลมหายใจก็จริง แต่เราไม่มีแผ่นดิน ไม่มีธรณี เราก็ไม่สามารถสร้างบารมีสร้างคุณงามความดีได้เช่นเดียวกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นทุกครั้งที่โยมจะไปที่ไหน ถ้าโยมไปเจริญบุญเจริญกุศลแล้วเกิดประโยชน์แก่จิตวิญญาณของตัวเองแล้ว แผ่เมตตาจิตให้เทพเทวดาเจ้าที่เจ้าทาง พระแม่ธรณี ณ ที่แห่งนั้น แล้วถ้าถามขึ้นมาอีกว่าพระแม่ธรณีไม่ใช่องค์เดียวกันหรือยังไง องค์เดียวกันมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ใช่องค์เดียวกัน) แต่เจ้าที่เจ้าทางที่ครอบครองที่มันคนละเขตกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ เดี๋ยวจะบอกว่าพระพุทธเจ้าองค์เดียวกันหรือเปล่า ไปตรงโน้นตรงนี้ก็ต้องบอก อ้าว..ทุกที่มันก็เป็นต่างภพต่างภูมิ เหมือนบ้านเมืองก็จะมีตำบล มีหมู่บ้าน เห็นมั้ยจ๊ะ ก็เรียกว่าเขตปกครอง สิ่งที่ฉันกล่าวก็เช่นเดียวกัน..มันก็ต้องมีเขตปกครอง

    ดังนั้นอยากให้โยมนั้นมีความตั้งใจมั่น ทุกครั้งที่โยมได้มาเจริญความเพียร ร่างกายสังขารแม้มันจะหดหู่เศร้าหมอง อ่อนล้ามันเป็นเรื่องของสังขาร ขอให้จำไว้พอเราจะสร้างความดีขึ้นมาเมื่อไหร่ ร่างกายจะมีการตอบโต้ขึ้นมาทันที ไอ้วิญญาณภายในมันจะมีความเกียจคร้าน หดหู่ เศร้าหมอง แล้วเราต้องทำยังไง..เราต้องฝืน เหมือนเราเลี้ยงลูกตามใจมันก็จะดื้อกับเรา

    ดังนั้นถ้าเราจะต้องการให้ลูกได้ดั่งใจเรา เราต้องรู้จักอบรมให้มันดี เหมือนจิตของเรา มันดื้อเป็นเพราะเรานั้นไปตามใจมัน ใช่มั้ยจ๊ะ งั้นต้องมาตกลงกันใหม่ เวลาจะต้องสวดมนต์ จะต้องเจริญภาวนาจิต จะต้องทำบุญกุศล..ต้องฝืนทำ แม้จะเป็นการฝืนก็ต้องทำ เพราะถ้าความดีโยมไม่ฝืนทำเลย มันจะเปิดช่องว่างให้มาร..มันแข็งข้อกับโยม เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นการเลี้ยงลูกต้องเลี้ยงลูกให้โต เช่นเวลานี้เราทำอะไรก็รู้ อย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องให้ตัดออกไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    การสวดมนต์แล้วมันหาวเกิดขึ้น มันไม่ได้เป็นความว่าง่วง เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นโยมกำลังถูกพิษ..เค้าเรียกว่าถอนพิษออก จำไว้นะจ๊ะ อ้าว..หาวนี้เค้าเรียกว่าถอนพิษออก นั้นการที่โยมสาธยายมนต์ไปมีอานิสงส์มาก ถอนพิษ ถอนคุณลมคุณไสย พอมันถอนมากๆจิตโยมตั้งมั่นกับบทสวด จิตมันจะตื่นเป็นปรกติทีนี้ ศีลมันจะเกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติของมัน

    โยมรู้มั้ยจ๊ะว่าศีลเปรียบเหมือนกำแพง เหมือนผนัง อากาศความเย็นอะไรก็ดี ถ้ามันจะผ่านมามันก็กระทบเรายาก นี่เค้าเรียกว่าอำนาจแห่งพระรัตนตรัยมันเป็นอย่างนี้ คนถ้ายังไม่ทุกข์ไม่ร้อนมันจะไม่รู้คุณของพระรัตนตรัยเลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นจะทำยังไงให้เรารู้คุณอยู่ตลอดเวลา..คือต้องเพ่งโทษตัวเอง ไม่ใช่ให้โทษมันเกิดขึ้นมาก่อนแล้วมันจะไม่ทันกาล ถ้าให้ดีเราเพ่งโทษให้มันมาก ว่ากล่าวตำหนิติเตียนเตือนตนสอนตนให้มันมากๆ เมื่อเราสอนตนเองได้แล้วเตือนตนเองได้แล้ว ทีนี้เราก็จะฟังผู้อื่นได้ ถ้าเราสอนตัวเองไม่ได้ ไม่เคยตำหนิติเตียนตัวเองเลย เราจะไม่เคยฟังใคร ใครว่าใครเตือนก็จะโกรธบีฑาอยู่ตลอดเวลา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  5. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    1EFEBE7B-F284-4AB9-A909-E119ABA9C2F3.jpeg
     
  6. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    ลูกศิษย์ : อย่างช่วงจังหวะชีวิตของคนที่ว่าดวงจะขึ้นอยู่กับเวลาเกิดที่เค้ากำหนดมามั้ยครับหลวงปู่
    หลวงปู่ : โยมจะตกฟากตกใต้ถุนตกในส้วม คนเกิดมา..แม้เกิดดีเกิดไม่ดีก็ตาม..มันมีทั้งดีและไม่ดีทั้งนั้น แต่ว่าความดีหรือสิ่งดีมันจะให้ผลอะไรก่อนกันแค่นั้นเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นในเวลาตกฟากนี่มันเป็นผู้กำหนดกรรมเราก็จริง แต่มันไม่ใช่กำหนดชีวิตเรา

    กรรมคือการที่เราต้องเสวย แต่ชีวิตเราต้องเป็นผู้กำหนด ถ้าโยมไม่กำหนดจะไม่มีการเปลี่ยนได้ มันก็ต้องเดินไปตามวิบากกรรมนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นการเกิดขึ้นมาแล้ว เราจะเกิดเวลาไหนก็ตาม ให้ดีแสนดีอย่างไร ชื่อว่าการเกิด..ย่อมไม่พ้นวิบากกรรมไปได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นการลิขิตขึ้นมานี้ไม่ได้ว่าพรหมลิขิต พรหมจะไปลิขิตชีวิตมนุษย์ไม่ได้ มนุษย์ต่างหากที่ลิขิตไว้แล้วก็คือสร้างกรรมไว้ กรรมจึงเรียกว่าลิขิต ไม่ใช่พรหมองค์เทพไปลิขิต แม้พรหมเค้ายังต้องมีกรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นกรรมต่างหากที่ลิขิต

    การเกิดดีไม่ดีก็เรียกว่าเป็นการที่ต้องมาเสวยในกรรมชั่วในวิบากกรรม บางคนเกิดมาลำบากยากจนมากเลย..นี่เรียกว่าเกิดมามืด แต่อาศัยความมืดบอดนั้นแลเรียนรู้จนเติบโตมีปัญญา จนเริ่มสบาย เหล่านี้ เหมือนคนเกิดมาแล้วมีทุกข์ ก็พึ่งพาอาศัยใบบุญพระศาสนา บวชเรียนจนเข้าใจว่าการเป็นทุกข์เป็นอย่างไร เหล่านี้เค้าเรียกว่าก็ไปทางสว่างได้เช่นกัน

    นั้นการเกิดมาไม่ได้วัดว่าเวลาตกฟากแล้วบุคคลนั้นจะดีไม่ดีอย่างไร มันก็ยังพ้นกรรมไปไม่ได้ นอกจากโยมรู้กรรมตัวเอง แล้วโยมลิขิตมันขึ้นมาใหม่ เพราะกรรมในอดีตแก้ไขไม่ได้ นั้นการเกิดตกฟากนั้นโยมไปแก้ไขไม่ได้เลย โยมเกิดมาเวลานี้ อ้าว..จะไปเปลี่ยนแปลงใหม่ โยมก็เปลี่ยนการเกิดหรือความจริงไม่ได้อยู่ดี เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นแล้วไม่มีอะไรแก้ไขกรรมได้..นอกจากผู้นั้นจะเป็นผู้แก้เอง พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า "สิ่งที่ให้ไม่ได้ คือท่านช่วยแก้กรรมใครไม่ได้ ใครทำกรรมอันใดไว้ กรรมนั้นย่อมสนองในกรรมนั้นเอง" นั้นถ้าโยมอยากเหนือกรรม อยากหลุดพ้นกรรม โยมต้องมาเจริญกรรมฐานเพื่อสร้างการงาน..คือกรรมใหม่ขึ้นมา ไม่ได้บอกว่าจะตัดให้โยมนั้นในกรรมเก่า กรรมมันตัดกันไม่ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่เราไม่ทำกรรมเพิ่ม

    เมื่อเราไม่ทำกรรมเพิ่ม กรรมมันก็ให้ผลกำเริบไม่ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ คือไม่เพิ่มเชื้อนั่นเอง เมื่อเราทำกรรมดีขึ้นมาใหม่เรียกว่าผดุงกรรมไว้ กรรมเก่ามันจะให้ผลมันก็ยังให้ผลไม่ได้เต็มที่ อาจจะมีบ้างทำให้เราทุกข์ร้อนใจเป็นธรรมดา แต่คนที่สร้างกรรมดีไว้จะมีทางออกอยู่ตลอดเวลา

    แต่ถ้าใครทำกรรมชั่วแล้วไม่ค่อยได้ทำกรรมดีมาผดุงไว้เลย เมื่อถึงกรรมมันให้ผลในกรรมชั่วนั้น..ดิ้นยังไงก็ดิ้นไม่ออก จำไว้นะจ๊ะ เหมือนถูกมัดตราสังข์ แต่ถ้าโยมทำกรรมชั่วมาเพียงใด แต่ในปัจจุบันโยมทำกรรมดี เมื่อถึงกรรมชั่วมันมาให้ผล..มันจะมีทางออก เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เหมือนคนที่สร้างบุญอยู่ตลอดเวลา พอยามไม่มีจะกินหรือมีอะไรก็ตาม..เทวดาเค้าก็ต้องเมตตา มีคนมาอนุเคราะห์ช่วยเหลือ คือไม่ตกต่ำ ไม่อดอยาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้าเรียกว่าคนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้แบบนั้น

    ดังนั้นเรื่องเวลาตกฟากนี่ให้เกิดมาดีแค่ไหน มันก็เป็นทุกข์อยู่ดี เกิดมาดีจริง ดวงดีหมด ฤกษ์ดีหมด แต่กรรมที่มันทำไว้มันไม่ดีมันจะให้ดีได้อย่างไรเล่า ไปรดน้ำมนต์หลวงพ่อให้พร บอกว่าให้อย่างนี้ๆ มันไม่เป็นไปตามพรหรอกจ้ะ มันเป็นไปตามกรรมต่างหาก ถ้าโยมทำกรรมดีมาแล้ว ในขณะนี้ใครจะสาปแช่งโยม มันก็ไม่ฉิบหายวายป่วงเพราะคนสาปแช่ง จำไว้นะจ๊ะ มันจะเป็นไปตามกรรมที่โยมทำ ไม่มีใครสาปแช่งว่าไอ้คนนั้นเลวไอ้คนนั้นชั่วได้..นอกจากไอ้คนนั้นมันทำขึ้นมาเอง นั้นสิ่งที่สำคัญคือ"กรรมลิขิต"

    กรรมลิขิต..ถ้าคนอยากจะพ้นกรรมก็ให้"ลิขิตกรรม" เอาคำว่าลิขิตมานำหน้าดวงซะ ดวงมันอยู่ข้างหลัง เราเป็นผู้กำหนดตัวลิขิต ถ้าเราอยู่หน้าแล้วดวงมันต้องตามเรา แต่ถ้าโยมให้กรรมลิขิตหรือดวงลิขิตเมื่อไหร่..มันมีแต่ความฉิบหายเมื่อนั้น โยมไปตามดวง เชื่อดวง ทั้งๆที่ดวงมันอยู่ข้างหลังมันจะเห็นได้อย่างไร นั่นเค้าเรียกว่าวัดดวง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    แต่ถ้าโยมลิขิตดวงขึ้นมา เรียกว่าลิขิตกรรม เป็นผู้กำหนดกรรม กำหนดดวง ถ้าดวงไม่ดีก็แก้ไขที่ตัวเรา การกระทำเราไม่ดีใช่มั้ย เราพูดจาไม่ดิใช่มั้ย อันนี้อยู่ในกรรมบถ ๑๐ ทั้งนั้นเลย ก็คืออยู่ในศีล คือความประณีตละเอียดของศีลของกรรมบถ ในกายทุจริต วาจาทุจริต ใจทุจริต เมื่อเราทำกาย วาจา ใจให้มันชอบเสียแล้วด้วยศีลด้วยธรรม..มันก็เป็นกรรมดี ดังนั้นแล้วกรรมเท่านั้นที่มาลิขิตมนุษย์

    แล้วคำว่ากรรมมันจะมีความปราณีตละเอียดเกิดจากอะไร..ก็เกิดจากศีลไปกำหนด เพราะมันบอกไว้ตายตัวแล้วว่าศีลเป็นผู้รักษาใจ คุมใจ ใจมนุษย์ถ้าไม่มีศีลมนุษย์นั้นก็เป็นอมนุษย์ หรือเรียกว่าครึ่งผีครึ่งคน เป็นคนไม่เต็มคน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ) 778FB2EE-695E-4D9C-ACCB-5821DBEA0B32.jpeg
     
  7. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
     
  8. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    97B85168-7D20-4AA6-AB94-D69B99538FC7.jpeg เราไม่สามารถรักษาศีลได้ตลอดเวลา แต่ในขณะใดที่เราระลึกได้ก็ให้สำรวมกาย วาจา ใจ กำหนดรู้ลม เราจะอยู่ที่ไหนสามารถทำได้ทั้งนั้น เพราะลมนี้ทำไมต้องกำหนดรู้ ลมนี้คือลมเกิดลมตาย..มันจึงสำคัญ ลมนี้มันเป็นของใครให้มา..เป็นบิดามารดาให้มา ใครระลึกรู้ถึงลมเข้าลมออกนั่นแล..ให้ระลึกถึงบิดามารดาได้เลย เพราะถ้าไม่มีบิดามารดาเราจะไม่มีลมหายใจ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    แสดงว่าลมเข้าลมออกนี่คือบิดามารดา ลมเข้านี่คือ..พ่อ ลมออกคือ..แม่ เพราะแม่ต้องเบ่งให้ออกมา พ่อผู้ให้กำเนิด ผู้ให้ลม ผู้ให้เชื้อ แม่เป็นผู้ให้การเกิด โยมเอาลมเข้าแต่ลมไม่ออกนี่ก็ตายอีก เห็นมั้ยจ๊ะ นั้นโยมต้องทำลมนี้ให้ถึงลม ใช้ให้เป็นประโยชน์ให้เข้าถึงจิตวิญญาณของเรา

    นั้นวิญญาณทั้งหลายเหล่านี้คืออารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่มันไม่ดับ มันจึงเรียกเป็นจิตวิญญาณตามอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าเราดับอารมณ์ได้หมด เราจะเหลือแต่"จิตดวงเดียว" เข้าใจมั้ยจ๊ะ อารมณ์เหล่านี้ทำให้เรานั้นกลัดกลุ้มกังวล หดหู่เศร้าหมอง เรียกว่าอารมณ์ทั้งนั้น ก็จึงบอกว่าอารมณ์ใดที่มากระทบผัสสะอันใดทำให้เกิดวิญญาณ ทำให้จิตเข้าไปสิงสู่ทันที แต่ถ้าเรารู้อารมณ์นั้น..เราจะวางใจให้เป็นกลาง อารมณ์นั้นก็จะดับไป

    พอดับไปแล้วก็เหลือแต่จิตดวงเดียวที่เป็นผู้รู้ ดังนั้นโยมต้องไปละอารมณ์ให้มากๆ งั้นไม่เป็นปรกติแน่นอนถ้าโยมนั่งไปน่ะ จะคิดดีคิดชั่วมันเป็นธรรมดา ฉันถึงบอกว่ากายสังขารถ้าโยมไม่มีเวทนา โยมจะไม่รู้เลยว่าทุกข์มันเป็นอย่างไร พอมันไม่รู้ทุกข์มันก็ไม่อยากจะมีสุข พอมีสุขก็ไม่รู้ว่าสุขนั้นจริงหรือไม่ ก็จะหลงอีก
    เพราะเค้าบอกว่าเป็นมนุษย์นั้นแสนสุขแล้ว..จริงๆมันไม่ใช่ มันไม่ใช่มันเป็นยังไง มันก็ต้องไปดูให้มันถึงที่สุด ดังนั้นการที่มีเวทนา มีอารมณ์เข้ามาผัสสะนี้ที่มากระทบนี้..เรียกว่าทำให้เรานั้นฝึกจิตได้ ถ้าไม่มีอะไรมาผัสสะมากระทบเลย เราจะเอาอะไรพิจารณาธรรมเล่า

    ถ้าไม่เคยมีคนด่าเราเลย มีแต่คนชมอย่างเดียว เราก็หลงตัวเองไปหมด ใช่มั้ยจ๊ะ อ้าว..การที่คนเค้าด่าเราตำหนิติเตียนเรา แสดงว่าเรามีข้อบกพร่อง ไอ้ข้อบกพร่องน่ะคือศีลแล้ว แล้วทำไมพระองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านยังมีคนตำหนิแล้วศีลท่านมันด่างพร้อยหรือยังไง เปล่าหรอกจ้ะ ไอ้คนที่ตำหนิน่ะมันด่างพร้อย เค้าเรียกว่าการปรามาสศีล ไปปรามาสธรรมอย่างนี้

    นั้นคนที่มีศีลปรกติแล้วเค้าจะไม่โต้ตอบ ไม่มีอาฆาตพยาบาทตอบ เข้าใจมั้ยจ๊ะ อ้าว..ถ้าทำอย่างนั้นมันจะมีหมาเห่าอีกตัวเกิดขึ้น มันจะรับเป็นทอดๆกันไป มันเห่ากันมากๆ ยั่วไปยั่วมาเดี๋ยวก็ต้องกัดกัน ลับเขี้ยวลับฟันกันทีนี้ ดังนั้นถ้าเราเป็นผู้มีศีลมีธรรมแล้วมันจะสงบ แต่สิ่งที่เค้ากระทบมา ผัสสะมาให้เรามาพิจารณาสิ่งที่เค้าว่ามานี่มันจริงมั้ย เค้าอาจจะมาเตือนเราก็ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  9. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    29110C36-DF23-4BE0-AA04-F751C8646C7A.jpeg

    บุคคลใดปราศจากศีล ไม่รักษาศีล ไม่เชื่อมั่นในศีล นั่นคือยังปรามาสในศีลอยู่ ลบหลู่ครูบาอาจารย์อยู่ ไม่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนแล้วไซร้..ย่อมไม่เข้าถึงแก่นแท้แห่งธรรมได้ แต่ตรงกันข้ามที่ฉันกล่าว เมื่อผู้ใดเจริญศีลให้บังเกิด เชื่อมั่นในศีล เชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีการอ่อนน้อมถ่อมตน สาธยายมนต์เป็นนิจทุกค่ำเช้า..

    คำว่าวัตรนั้น เมื่อโยมรู้ว่าวัตรเป็นอย่างไร วัดอยู่ที่ไหน อารามอยู่ที่ไหน วิหารโบสถ์วิสุงคารามอยู่ที่ไหนแล้วไซร้ บุคคลผู้นั้นจะทำวัตรเช้าวัตรเย็นมิได้ขาด วัตรนั้นจะมีแต่วัตรเจริญ นั้นคือวัดจิตวัดใจของโยมอยู่ตลอด เมื่อโยมวัดอยู่ตลอด โยมจักรู้ได้ว่าใจโยมนั้นใหญ่แค่ไหน เล็กแค่ไหน กำลังแค่ไหน..นั้นคือบารมี

    แต่ถ้าโยมไม่วัดอยู่เป็นนิจ ไม่เจริญอยู่เป็นนิจแล้วไซร้ ไม่พิจารณา โยมจะตามหาวัดข้างนอก ไปถามผู้นั้นผู้นี้อยู่ไม่จบสิ้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ แก่นแท้ไม่ได้อยู่ที่ไหน แก่นแท้อยู่ที่ใจของบุคคลผู้นั้น เช่นบุคคลผู้นั้นเชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ผู้นั้นเรียกว่ามีแก่น แต่แก่นนั้นยังไม่ได้ขุด ยังใช้ประโยชน์ในแก่นนั้นไม่ได้

    บุคคลจะใช้ประโยชน์ในแก่นไม้ หรือนำไม้ต้นไม้นั้นไปใช้ประโยชน์..ต้องรู้เสียก่อนว่าไม้นี้มีแก่นหรือไม่มี ดังนั้นเราต้องทำตัวเราให้มีแก่นเสียก่อน คือมีความเชื่อเสียก่อน มีความศรัทธา เมื่อเชื่อและศรัทธา..โยมก็ต้องลองไปพิสูจน์ดู คำว่าพิสูจน์คือต้องไปลองประพฤติกาย วาจา ใจ คือประพฤติพรหมจรรย์

    "พรหมจรรย์"เป็นอย่างไร ในขณะที่เรานั้นสาธยายมนต์เรียกว่าการประพฤติพรหมจรรย์ ทำไมถึงถึงเรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์ เหตุเพราะว่าในขณะที่เรานั้นสดับสาธยายมนต์ก็ดี กาย วาจา ใจเราไม่เร่าร้อน สองไม่เป็นเวรเป็นภัยกับใคร สามจิตเราไม่ส่งไปภายนอก นั้นเรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    บางคนไม่รู้ว่าประพฤติพรหมจรรย์ต้องไปประพฤติอย่างไร เห็นมั้ยจ๊ะ ฉันถึงให้เป็นอุบายให้โยมนั้นสวดมนต์ให้มาก ในขณะที่โยมสวดโยมจะสวดตั้งมั่นหรือไม่ตั้งมั่น คำว่าตั้งมั่นและไม่ตั้งมั่นเป็นอย่างไร บางคนสวดแล้วเอนไปเอนมา บางคนสวดแล้วไม่เอน..นั้นเรียกว่าตั้งมั่น เข้าใจมั้ยจ๊ะ ก็เพราะความอ่อนล้ากายสังขาร แต่โยมยังมีสติในการสาธยายออกไปอยู่ ไม่นานมันโยกไปโยกมา โยกไปโยกมา เดี๋ยวมันก็แน่นของมันเอง

    ดังนั้นโยมต้องเอาลมเข้าลมออกอยู่บ่อยๆ เพราะโยมมีแต่ของเสียเข้าออกอยู่เป็นนิจนั่นเอง..คืออารมณ์ โยมต้องเอาพุทธคุณ ธรรมคุณไปล้าง ทำให้ดิน น้ำ ไฟ ลมนั้นมันเกิดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เกิดคุณวิเศษเสียก่อน นั้นคือไปชำระล้างเสียก่อน โยมชำระล้างร่างกายสังขารได้ แต่โยมไม่สามารถเอาน้ำไปล้างสิ่งเหล่านี้ภายในได้ นั่นคือธาตุกายสิทธิ์นี้..ไม่สามารถล้างด้วยน้ำได้ แต่ต้องล้างด้วยมนต์แห่งพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่เรียกว่าน้ำอมตะฤทธิ์

    สิ่งเหล่านี้เมื่อโยมเข้าถึงและศรัทธา..โยมจักมีพลังจักรวาล พลังจักรวาลคืออะไร คือความไม่มีประมาณ ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีขอบเขต นั้นคือความเชื่อศรัทธา เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้าไม่อย่างนั้น โยมยังมีความลังเลสงสัยโยมจักไม่สามารถได้รับพลังนี้ได้เลย เพราะอะไรจ๊ะ โยมยังถูกปิดกั้นอยู่ แต่เมื่อโยมเปิดใจและเปิดจิตนั้นแล..ทุกอย่างเมื่อเราเปิดพร้อมที่จะรับ สิ่งนั้นมันก็เข้ามาหาโยมได้เต็มที่ เมื่อเต็มที่จิตมันก็ตื่นมันก็เบิกบาน มนต์ที่โยมสวดจักมีพลังดังไกลถึงทั่วจักรวาลนั้นเอง

    บางคนบอกว่า แหม..สวดมนต์จะไปทั่วจักรวาลได้อย่างไร แล้วโยมรู้มั้ยจักรวาลอยู่ไหน คำว่าจักรวาลพิภพ เรามาดูว่าจักรวาลคืออะไร พิภพคืออะไร จักรวาลคือแห่งมิติ พิภพคือมันซ้อนกันอยู่ แต่เมื่อโยมไม่มีอะไรปิดกั้นที่โยมจะเชื่อศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือโยมมีความเชื่อศรัทธาในธรรม..มนต์ที่โยมสวด แล้วไม่มีความสงสัย หมดจดในทุกอย่าง คือน้อมรับด้วยความเต็มใจ

    ความยิ่งใหญ่ ความเป็นอิสระ ความพอใจนั้นแล จักรวาลพิภพนั้นมันถึงจะถูกเปิด จักรวาลอยู่ในดวงจิตอยู่ในดวงใจ จิตและใจถูกซ่อนถูกปิดอยู่เพราะอวิชชา เมื่ออวิชชากิเลสตัณหาอุปาทานไม่มีแล้วในความสงสัย นั้นเรียกว่าความกว้างขวางแห่งอิสระดวงจิต จึงไปรอบทั่วจักรวาล..

    เมื่อจิตที่โยมตั้งมั่นสวดสาธยายมนต์แล้วไซร้มันจึงไปทั่วได้นั่นเอง คือไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ เช่นเดียวกับคุณของนิพพาน ไม่มีประมาณ ไม่มีอาณาเขต นั่นคือจิตที่เป็นอิสระ เข้าใจมั้ยจ๊ะ บุคคลที่อิสระแล้วจะไม่ตกอยู่ในอาณัติสิ่งใด นั่นแหล่ะจ้ะ..มนต์ที่โยมสวดนั้นได้ยินไปทั่วจักรวาลพิภพ แล้วจักรวาลพิภพนั้นเต็มไปด้วยเทพเทวดาทั้งหลายทุกชั้นฟ้าแห่งพรหม ย่อมสรรเสริญโมทนาโยมก้องพิภพเช่นเดียวกัน

    แล้วเมื่อโยมอธิษฐานจิตในขณะนั้นเมื่อโยมสงบแล้ว..จะมีอำนาจมหาศาลทั่วพิภพจักรวาล เมื่อบุญของโยมมาถึงก็ไม่มีอะไรต้านทานได้ในสิ่งที่โยมปรารถนาจะให้เป็นในสิ่งๆนั้น แต่ต้องอยู่ในกฎแห่งกรรม อยู่ในกฎแห่งโลกวิญญาณ ดังนั้นสิ่งใดเล่าที่สมควรกระทำ..ก็คือโยมทำสิ่งใดแล้วขอให้มีความตั้งใจ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  10. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
     
  11. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    66100EF3-CD4E-4D38-9855-4D461C64DB88.jpeg
     
  12. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    6B501400-DAD7-463A-9478-4607D9CFCD7B.jpeg

    ศีลโยมจะตั้งมั่นมั่นคง จิตโยมจะสว่างไสว..ก็ต่อเมื่อโยมกำจัดนิวรณ์ทั้ง ๕ ได้ นี่คือ"ข้าศึกแห่งพรหมจรรย์" แล้วถ้าโยมทำลายกำแพงเหล่านี้ออกไปได้ จิตโยมจะเป็นอิสระต่อบ่วงมาร

    อารมณ์แห่งกามราคะพอใจในสุขนี้ ถ้าเราดำริออกเสียได้จิตย่อมเป็นอิสระ ในความอาฆาตพยาบาทแห่งไฟโทสะเราต้องเจริญเมตตาจิต แผ่เมตตาอุทิศบุญกุศลออกไป..

    ในความง่วงก็ดีสิ่งเหล่านี้ให้เรามีสติ อธิษฐานจิตลงไปว่าวันนี้ แค่ราตรีเดียว เรามีความสุขมาตั้งมากมายแล้ว วันนี้จะขอเจริญสติปัญญาภาวนาจิตเพื่อตอบแทนคุณบิดามารดา ผู้มีคุณทั้งหลาย บรรพชนวีรบุรุษผู้กล้าที่ให้เราได้อาศัยแผ่นดิน ได้สร้างกุศลบารมี

    ความหดหู่เศร้าหมองใจทั้งหลายเหล่านี้ให้ระลึกเสียว่าไม่ควรคำนึง ไม่ว่าใครจะทำกรรมกับเรา เราก็ต้องให้อภัยทานเขาไป ให้ถือเสียว่าเป็นการชดใช้ อันใดก็ตามในกรรมทั้งปวง ถ้าเรานั้นไม่เคยล่วงละเมิดกับใคร เราจักไม่เจอการกระทำแบบนั้น แต่ถ้าเมื่อใดเราได้เจอการกระทำแบบนั้นที่ทำให้เราต้องเสียใจ เศร้าหมองใจ หดหู่ใจ รู้สึกน้อยใจเหล่านี้ ล้วนแล้วเรานั้นได้กระทำกรรมเหล่านี้มาทั้งนั้น หาว่ามันเกิดขึ้นมาลอยๆไม่ ดังนั้นต้องขออโหสิกรรม ขอขมากรรมให้อภัยทานเค้าไป แล้วมีความเชื่อมั่นตั้งมั่นในพระรัตนตรัย แล้วอธิษฐานบารมีลงไป หยิบยกบุญบารมีในอดีตที่เคยสะสมมา

    ทำไมจึงต้องมาอ้างบารมี ในปัจจุบันโยมมาประพฤติปฏิบัติเจริญสติเจริญพระกรรมฐานนี้ได้ แสดงว่าในอดีตโยมก็เคยได้กระทำมา เป็นสิ่งที่โยมได้อธิษฐานเพื่อให้บุญกุศลในครั้งเก่าของโยมนั้นได้มาหนุนนำ เรียกว่า"เรียกกำลังใจ" เมื่อโยมทำกำลังใจดีแล้ว บารมีเก่ามันก็มาหนุนบวกกับบารมีใหม่ ย่อมนำพาให้โยมนั้นเจริญความเพียรได้นาน

    เมื่อโยมทำลายกำแพงเหล่านี้ไปได้ จิตโยมนั้นจะ"ประภัสสร" นั่นเรียกว่า"ปิติสุข"ก็บังเกิด อันว่าปิติสุขบังเกิดนี้หมายถึงว่าโยมนั้นได้เข้าถึงในพระรัตนตรัย ความหดหู่เศร้าหมองใจนั้นมันจะถูกนิโรธดับลงไป อันนี้แลก็เรียกว่าโยมนั้นได้เจริญฌาน..คือเพ่งดูจิตมาเนิ่นนานแล้ว จนรู้อาการของจิต รู้อารมณ์ของใจที่เรานี้มีความตั้งมั่นหมายไว้ว่าต้องการอะไร นี่เรียกว่า"รู้ความปรารถนา"ของตัวเอง

    เมื่อโยมรู้ความปรารถนาของตัวเองแล้ว โยมย่อมรู้ได้ว่าทางเดินนี้ที่โยมจะไปนั้นมีความน่าเชื่อศรัทธาแค่ไหน เมื่อโยมมีความเชื่อศรัทธาเข้าถึงในพระรัตนตรัย แสงสว่างแห่งดวงจิต ความสว่างของศีลก็ดีจะมาปกคลุมป้องกันภัย เมื่อศีลมาปกคลุมโยมจะรู้สึกมีความอบอุ่น ความกลัวหดหู่ใจ ความเศร้าหมองใจมันจะถูกทำลายออกไป

    ดังนั้นเมื่อโยมจะออกรบปราบปรามข้าศึกกับกิเลสของตัวเองในไฟสามกอง หากโยมไม่มีเสื้อเกราะ หากโยมนั้นเอาแต่ตัวลำพังแต่ฝ่ายเดียวแล้ว ถามว่าความเร่าร้อนที่โยมต้องเจอ โยมจะทนกับมันได้หรือไม่ เราต้องมี"เสื้อเกราะ" เรียกว่าเสื้อกันภัย..ก็คือ"ศีล" "อาวุธ"ก็คือตัว"สติ" ถ้าโยมขาดสติเมื่อไรอาวุธอยู่ในมือของโยมมันก็จะหลุด เป็นการเปิดทางให้ศัตรูเข้ามาเล่นงานโยมได้ การเจริญพระกรรมฐานก็ดีหากไม่มีครูบาอาจารย์แล้วก็เป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งนัก ดังนั้นจะทำอะไรแล้วขอให้มีความตั้งใจ ความตั้งใจนี้ครูบาอาจารย์ เทพเทวดาเค้าย่อมรู้จิตผู้ประพฤติปฏิบัติชอบได้...

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  13. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    8381184B-2756-4314-A610-DD02155AFA49.jpeg

    ลูกศิษย์ : หลวงปู่ครับ อย่างการที่เรามาปฏิบัตินี่ จุดประสงค์คือจริงๆแล้วเพื่อให้แยกจิตออกจากกายใช่มั้ยหลวงปู่
    หลวงปู่ : โยมจะไปแยกมันทำไม่ล่ะจ๊ะ อันที่จริงการมาฝึกอย่างนี้เพื่อให้โยมนั้นมาฝึกสติให้รู้เท่าทันอารมณ์ต่างหาก ไปแยกจิตออกจากกายเนี่ยะ กาย..ก็คือใจคือความคิด จิต..คืออารมณ์ ถ้าโยมรู้ว่าตัวคิดกับตัวอารมณ์ที่เกิดขึ้นแล้วโยมเท่าทันมัน โยมก็แยกกายแยกจิตได้แล้วแบบนี้

    เมื่อใครมาด่าทอเราเรารู้สึกไม่พอใจ แต่เรามีสติกำหนดรู้ มีความเมตตาให้อภัย นั่นแหล่ะจ้ะเรารู้กายเรา เรารู้จิตเรา เราเท่าทันจิตเรา เรารู้เท่าทันความคิดเรา เพราะความคิดอารมณ์ที่เกิดขึ้นก็คืออกุศลเกิดขึ้นคือความไม่พอใจ แล้วจิตนั้นเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในกาย ตัวโทโสโมหะมันก็บังเกิดขึ้นนั้นแล เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    แต่เมื่อโยมมาฝึกจิตอย่างนี้ให้เท่าทันมีสติมากขึ้นแล้ว โยมก็จะข่มกาย ข่มอินทรีย์ ข่มอารมณ์ ข่มจิตโยมได้ เท่าทันได้ เมื่อเราเท่าทันอกุศลมันก็ดับไปเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นการประพฤติปฏิบัติพระกรรมฐานไม่ได้บอกว่าให้กิเลสหมดไป แต่ให้เรารู้ทัน เมื่อรู้ทัน..อกุศลและกิเลสนั้นมันก็เบาบางและดับไปเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่จงจำไว้นักปฏิบัติทั้งหลาย เมื่อปฏิบัติปฏิบัติไปจะเริ่มหมดตัว เพราะจะไม่ค่อยสร้างอะไรเพิ่ม แต่มีแต่ให้อย่างเดียว เพื่อเอามาแลกกับบุญบารมีที่ตัวเองนั้นได้สะสมประพฤติปฏิบัติ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    คนโลภเท่านั้นที่จะสะสมของ พระพุทธองค์ท่านบอกว่าเมื่อปฏิบัติธรรมไปแล้วจะได้อะไร พระพุทธองค์ท่านบอกว่าจะไม่ได้อะไรเลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ จะไม่เหลืออะไร บางคนอาจจะไม่เหลือสามี ลูกผัวเค้าก็ตัดขาด มันก็ต้องเลือกเอาเมื่อถึงเวลา แต่โชคดีหน่อยถ้ามาทั้งผัวทั้งเมียก็สาธุ ถือว่าเป็นคู่บารมี

    อันว่าคู่บารมีคือเกิดมาแล้วเห็นไปในทางเดียวกัน คู่บารมีจะต้องมีคุณสมบัติว่าศีลต้องเสมอกัน ความคิดต้องเสมอกัน จาคะคือทานต้องสร้างมาเหมือนๆกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ จึงเรียกว่าคู่บารมี ไม่ได้ทำกันได้โดยง่าย แต่ต้องสะสมมาเป็นภพเป็นชาติ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ศีลก็ต้องสร้างกันมา ฉันจึงต้องมาขอโมทนา แบบนี้ก็จะไปได้ไว เพราะไม่มีการขัดกัน

    ดังนั้นแล้วถ้าเราไม่มีคู่บารมี เราก็เอาธรรมนี้แลเป็นคู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เอากัลยาณมิตรที่มีธรรมเหมือนกันไปประพฤติปฏิบัติเหมือนกัน..ก็ให้กำลังใจกันได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นปฏิบัติไปแล้วไม่ได้บอกว่าจะทำให้แยกอะไรกันได้ แต่ทำให้รู้ว่ามีสติเท่าทันมากน้อยเพียงใด นั่นก็เรียกว่าหิริโอตัปปะ คือความยับยั้งชั่งใจ การมีสติคือการรู้จักช่าง..ช่างมัน มึงจะด่ากูก็ช่างมัน จะว่ากูบ้าก็ช่างมัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  14. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    73B21308-897C-4790-B0CD-39218E620F5C.jpeg

    ลูกศิษย์ : มีคำถามครับหลวงปู่ เกี่ยวกับธาตุทั้ง ๔ ว่าธาตุไหนมาก่อน ที่เกิดก่อนน่ะครับ
    หลวงปู่ : ฉันว่า ก.ไก่ มาก่อน ข.ไข่ นะ โยมจะรู้ไปทำไมจ๊ะ อันว่าดิน น้ำ ไฟ ลม บอกตรงๆว่าไม่มีอะไรมาก่อนมาหลังเลย เพราะว่าธาตุทั้ง ๔ นั้นมันเป็นธรรม จะบอกว่าอันนี้มาก่อนอันนั้นมาหลังไม่ได้ เพราะถ้าขาดจากธาตุใดธาตุหนึ่งมันก็ประชุมธาตุกันไม่ได้ จึงบอกว่าอันไหนมาก่อนมาหลังไม่ได้นั่นเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เพราะถ้าไม่มีดิน ไม่มีน้ำ ดินไม่มีน้ำ..มันก็เป็นดินสมบูรณ์ไม่ได้ ดินและน้ำถ้าไม่มีลม มีกระแสความร้อนอบอุ่นของไฟ มันก็เป็นธาตุขึ้นมาไม่ได้ สักแต่ว่าเป็นธาตุขึ้นมา ดังนั้นแล้วมันต้องเรียกประชุมธาตุ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่นี้โยมจะไปพิจารณาธาตุใดก่อนนี้แล..ธาตุนั้นมันก็มาก่อน ใช่มั้ยจ๊ะ แต่โยมจะไปบอกว่าธาตุไหนมาก่อนธาตุนั้นธาตุนี้ไม่ได้ เพราะมันต้องมาพร้อมๆกัน

    ถ้ามันไม่มาพร้อมกัน กายและสังขารโยมนั้นก็จะไม่กระปรี้กระเปร่า มันก็จะเศร้าๆหดๆหู่ๆ มันก็จะเป็นอย่างนี้ เค้าเรียกว่าจิตไม่ตื่นสมบูรณ์ ต่อใดเมื่อใดที่โยมนั้นกระแสธาตุทั้ง ๔ เสมอเหมือนๆกันเป็นเอกัคตานั้นแล..จิตโยมจะตื่นขึ้นมาอีกที เค้าเรียกว่า"ประชุมธาตุ" เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันจะมีกำลัง หรือเรียกว่าลูกสูบทำงานครบ ๔ ลูก เข้าใจมั้ยจ๊ะ พลังงานก็จะเกิดขึ้น ถ้าเราทำแค่สูบเดียว..กำลังแรงม้าน้อยมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ช้าครับ) เออ..มันก็ไปช้า ถ้าเป็นเครื่องสูบน้ำก็ออกเป็นเยี่ยวมด ถ้าเอามาสองสูบเริ่มเป็นเยี่ยวแมว ออกมาสามสูบเยี่ยวหมา พอออกมาสี่สูบเยี่ยวช้างเลยทีนี้

    ดังนั้นแล้วจะบอกว่าอะไรมาก่อนมาหลังไม่ได้ เพราะคำว่าเป็นธรรมจะมาพร้อมๆกัน แล้วถามว่าดับอะไรดับก่อนทีนี้ มันก็ค่อยๆดับออกไป แยกออกไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันมามันก็จะมาพร้อมกัน เค้าเรียกว่าธรรมธาตุมันจะดึงดูดกันมา เมื่อตอนที่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมีพระอรหันต์สาวกมาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ถ้ามีคนถามว่าองค์ไหนมาก่อน ท่านก็บอกว่าท่านมาพร้อมๆกัน เพราะท่านรู้วาระแบบเดียวกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    อ้าว..จะบอกว่าพระโมคคัลลามาก่อน พระสารีบุตรมาหลัง..หือ..แล้วบอกว่าอย่างนั้นเหรอจ๊ะ เพราะท่านรู้พร้อมๆกันท่านก็มาพร้อมกัน เพราะรู้ด้วยว่าสภาวธรรมมันเป็นอย่างไร อันว่าดิน น้ำ ไฟ ลมนี้มันก็ประชุมธาตุขันธ์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นแล้วเมื่อมันมาแล้ว..มันก่อตัวขึ้นมามันก็จะมีกำลังขึ้นมา

    ถ้าธาตุทั้ง ๔ นี้ไม่เสมอเหมือนกันไม่เป็นหนึ่ง จิตของโยมนั้นมันจะตื่นรู้ได้ยาก เพราะว่ากายนี้ประกอบด้วยดิน น้ำ ไฟ ลม จิตมันอาศัยธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมของธาตุขันธ์อยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ทุกวันนี้ที่แบกๆหามๆที่เป็นทุกข์ก็เพราะไอ้ดิน น้ำ ไฟ ลม ใช่มั้ยจ๊ะ จะไม่เอาเลยก็ไม่ได้..

    ดังนั้นอันว่ากายมันเป็นของเป็นทุกข์ของมันอยู่แล้ว แต่เราจะทำยังไงว่าจะอยู่กับมันให้มีความเคยชิน ดังนั้นโยมต้องเห็นทุกข์อยู่บ่อยๆ ทนทุกข์ให้ได้อยู่บ่อยๆ แล้ววางทุกข์ของมันให้ได้ พิจารณาซะว่ากายนี้ก็คือทุกข์ สักแต่ว่าอันนี้มันเป็นทุกข์อย่างนี้..มันเป็นทุกข์อย่างนี้ของมันอยู่แล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันเป็นที่รังของโรค เราต้องทานยาโอสถอยู่ทุกวี่วันคืออาหารหรือน้ำก็ดี

    เห็นมั้ยจ๊ะ แสดงว่าร่างกายเรานี้มันเป็นโรคอยู่ตลอดเวลา ต้องรักษาทุกวี่วัน ใช่มั้ยจ๊ะ ดังนั้นแล้วเมื่อปราศจากธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ธาตุทั้ง ๔ นั้น..กายสังขารนี้ก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ดินก็จะไปตามดิน น้ำก็จะไปอยู่ตามน้ำ ไฟก็ไปอยู่ตามไฟ อากาศธาตุก็กลับไปคืนสู่ธาตุของเขา ใช่มั้ยจ๊ะ นั้นจะสักหาว่ากายนี้เป็นของเรา..บอกว่าอย่างนั้นก็ไม่ได้

    ถ้ามันเป็นของเราจริง เราคงห้ามหรือสั่งมันได้ ไม่ให้เสื่อม ไม่ให้ป่วย ไม่ให้เจ็บ ถ้าอันไหนที่ไม่อยู่ในใต้อำนาจบังคับบัญชาของเรา..สิ่งนั้นไม่ใช่ของเราเลย เป็นเพียงแค่เราได้อาศัย หรือเป็นเรียกว่ากรรมสิทธิ์ชั่วคราวนั้นเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ คำว่ากรรมสิทธิ์ มันก็บอกอยู่แล้วสิทธิแห่งกรรมที่โยมต้องรักษา ถ้าโยมไม่รักษากาย..กายมันก็เป็นโทษ ถ้าโยมรักษาเค้าดีมันก็ให้ประโยชน์

    แต่ถ้าโยมมีกายที่มีกำลังแล้ว โยมก็ต้องดูว่าจะเอากายนี้ไปทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อจิตวิญญาณของเรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะที่แน่ๆอีกไม่นานกายสังขารนี้หรือบ้านเรือนที่โยมอาศัยอยู่นี้ที่ให้เป็นร่มเงา เป็นที่หลับนอนก็ดี เป็นที่อาศัยก็ดี ให้ความสุขก็ดี ไม่นานมันก็ต้องได้จากกันไป ไม่ช้าก็เร็ว กายสังขารนี้ก็เช่นเดียวกัน แล้วถามว่าโยมได้อาศัยมันแล้วโยมได้สร้างประโยชน์อะไรไว้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เมื่อเราไม่อยู่แล้วมันก็ไม่ใช่ของเราอีกต่อไป บ้านเรือนทรัพย์สิน เงินทอง สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตามที่โยมนั้นผูกพันและหวงแหน มันก็ต้องตกเป็นสมบัติของคนอื่น..หาใช่ว่าของโยมเลย เพียงแต่ว่าโยมมีกรรมสิทธิ์ชั่วคราวเท่านั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ กายก็เช่นเดียวกัน

    ดังนั้นในขณะที่โยมพิจารณาธรรมในกายนี้ ก็ขอให้พิจารณาเสียว่า..กายนี้มันประกอบขึ้นมาด้วยธาตุทั้ง ๔ หาควรไม่ที่ว่าจิตนั้นจะไปยึดมั่นว่านี่ตัวกูของกู ถ้ามันเป็นตัวกูของกูจริง เราต้องห้ามมันได้ว่าไม่ให้เจ็บไม่ให้ป่วย ใช่มั้ยจ๊ะ ถ้ามันเป็นอย่างนี้อย่างที่ฟังแล้วก็ให้พิจารณาตาม มันจะได้ละอารมณ์ ละความยึดมั่นถือมั่นในกาย แล้วจะเห็นประโยชน์ว่า อ้อ..ตอนนี้แลเรามีกายแล้ว ได้เป็นกรรมสิทธิ์แล้วชั่วคราว

    จริงๆแท้จริงแล้วความตายไม่น่ากลัวเลย ถ้ามนุษย์ได้เจริญสติมากๆเข้าแล้ว..สติและปัญญามันจะบอกว่า..ที่ตายตายด้วยกายสังขาร เพราะสังขารมันเสื่อม มันตายอยู่ทุกขณะจิต แต่จิตวิญญาณเราไม่มีตายเลย กุศลและอกุศลที่เราทำไว้ยังตามส่งผลเราอยู่ตลอดเวลา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สิ่งที่เราตาย..เราไม่ได้ตายที่จริง แต่ที่มันไม่จริงมันจึงตาย..ก็คือกาย กายนี้ไม่ใช่ของจริง..เพราะมันของชั่วคราว ดังนั้นโยมอย่าได้กลัวตาย แต่จงกลัวว่าเกิดมาแล้วไม่ได้สร้างความดีแล้วจะตายก่อน เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะถ้าโยมถึงธรรมที่แท้จริงแล้ว ความตายไม่ได้น่ากลัวเลย แต่คนที่ประมาทในการทำความดีต่างหาก ที่ปล่อยให้อกุศลนั้นแลมาพลัดพรากความดี ถ้าเวลาที่โยมนั้นจะประพฤติปฏิบัติให้เข้าถึงในความดี อันนี้มันน่าเสียดาย...

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  15. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    88281180-6A71-4892-853C-5A1E72053044.jpeg
     
  16. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
     
  17. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    ABC6ADA2-9B9C-4932-A6DD-CD1B4774654C.jpeg

    การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง แต่การไม่เกิดก็เป็นทุกข์อีกนั่นแล แต่เมื่อถึงวาระที่ต้องเกิด..แล้วเกิดมาทำอะไร เหมือนเช่นโยมเกิดมาแล้วโยมรู้ชะตาเกิดว่าโยมเกิดมาทำอะไรนั้นแล ผู้ที่รู้ชะตาเกิดว่าเกิดมาทำอะไร..ย่อมเป็นผู้รู้ชะตากรรมเหนือการเกิดการตาย แต่ถ้าโยมไม่รู้ว่าเกิดมาทำอะไร ผู้นั้นจะเรียกว่า..รอแต่วันตาย เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    อันที่จริงแล้วยังไงเราก็ต้องตายจากกันอยู่แล้ว แต่ก่อนตายโยมทำอะไรที่ยิ่งใหญ่กันหรือยัง ทำบุญ..ถ้าเกิดมาถ้าเป็นฉันก็อยากทำบุญให้ฟ้าสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด ดังนั้นอย่าคิดว่าตัวเองนั้นด้อยค่าต่ำศักดิ์..ไม่จริง คนที่เป็นผู้มีศีลมีธรรมเป็นผู้สูงศักดิ์ ไปที่ไหนเทวดาเค้าก็ยกย่องสรรเสริญ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะผู้ที่มีศีลมีธรรมเหยียบที่ใด..ที่นั่นเคยแห้งแล้งที่นั่นก็จะชุ่มชื่นขึ้นมา ที่นั่นฝนไม่เคยตกก็จะมีฝนตกลงมา เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่อำนาจแห่งผู้มีศีลมีธรรมมันเป็นอย่างนี้

    เหมือนโยมเกิดมาเป็นผู้มีบารมี จงใช้บารมีให้เป็นประโยชน์ต่อสัตว์โลกและตัวเองให้มากๆ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เราสวดมนต์ก็ดี เจริญภาวนาก็ดี แม้จะมีความง่วงก็ดีมันเป็นเรื่องของธรรมดา นั่งแล้วมันหลับไม่เห็นอะไรก็นั่งไป ขอให้มีใจศรัทธาเดี๋ยวมันก็ตื่นของมันเองทำให้มันชิน

    การฟังธรรมนี่แหล่ะจ้ะทำให้จิตตื่นได้ ทำให้เกิดปัญญาได้ ทำให้อินทรีย์ผ่องใสได้ เห็นมั้ยจ๊ะ ดังนั้นการสนทนาธรรมกันก็มีอานิสงส์..ทำให้เกิดปัญญา ทำให้คลายความสงสัย ทำให้สิ่งที่รู้ยิ่งรู้ยิ่งเข้าใจกระจ่างแจ้งขึ้นไปอีก

    ฉันจึงบอกว่าถ้าเวลาที่โยมว่าง ถ้ามันไม่เกิดจากการปฏิบัติก็ดี ขอให้โยมได้มีการสนทนาธรรมกัน แลกเปลี่ยนธรรมกัน..อย่างนี้เป็นประโยชน์ อย่างนี้มีอานิสงส์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วการลดการนินทามันจะลดลงไปโดยปริยาย ความบาดหมางซึ่งกันและกันก็หมดไปโดยปริยาย เพราะมีธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องแทน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ถ้าโยมไม่สนทนาธรรมกัน โดยปรกติวิสัยของมนุษย์จะต้องนินทา เพราะโลกธรรมจะเข้ามาเกี่ยวข้องทันที แต่ถ้าโยมเอาธรรมมาสนทนาธรรมกัน มาวิเคราะห์กัน มาเพ่งพิจารณากันเสียแล้ว..โลกธรรมมันก็จะถูกดับลงไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นอะไรที่เป็นสิ่งที่ดีก็ควรทำ อย่าให้สิ่งที่ไม่ดีนั้นมันเข้ามามีอำนาจเสียก่อน เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าโยมให้ฝ่ายดีมีอำนาจปกครองฝ่ายไม่ดีเสียแล้วมันก็จะคุมกันได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นคนจะดีหมด..มันก็ไม่มี ดังนั้นโยมต้องมีเมตตาให้โอกาสกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ ฉันถึงบอกว่าธรรมธาตุเดียวกันมันจะอยู่ใกล้กัน ดังนั้นเราอินทรีย์อ่อนเราก็ต้องฝึกตัวเราอยู่ใกล้คนที่เค้ามีอินทรีย์ที่ผ่องใส เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  18. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    E612F194-7F02-4EAD-A487-5DCBE2007E82.jpeg

    การเจริญภาวนาจิตนี้เป็นการบ่มจิต ให้จิตนี้มันเกิดความร้อนภายใน..ให้มันเกิดความสว่างภายใน คือโยมต้องเจริญมนต์ เจริญภาวนา เพราะมันกำจัดอวิชชาหรือคุณลมคุณไสยทั้งปวงที่เรานั้นถูกถอดถอนมา ด้วยอำนาจเวรกรรมที่เราสร้างมา ด้วยการสาปแช่งก็ดี สิ่งเหล่านี้เรียกว่าคุณลมคุณไสยทั้งนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    คนที่ถูกสาปแช่งซะแล้วชีวิตหาความเจริญได้ยาก แต่ถ้าเราไม่เคยสาปแช่งใครแต่ถ้าใครสาปแช่งมา..สิ่งนั้นย่อมเข้าตัวบุคคลนั้นไม่ได้ ย่อมไปทำลายพินาศกับบุคคลที่เป็นผู้บุคคลที่สาปแช่ง มันก็ไม่ต่างอะไรกับบุคคลที่มีไฟย่อมให้โทษกับบุคคลที่ถือ

    ดังนั้นการภาวนานี้จะทำให้โยมนั้นจิตตื่นรู้ จิตสว่าง แม้โยมจะอยู่ในที่มืดก็ตาม เมื่อใครมีองค์ภาวนาแล้วความกลัวก็ดี ความสะดุ้งผวา ขนลุกขนพองสยองเกล้าก็ดีนั้นจักไม่มี ด้วยอำนาจการ"ภาวนา"

    ถ้าผู้ใดกลัวตกนรกให้ภาวนาว่า
    "พุทธัง สรณัง คัจฉามิ"
    "ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ"
    "สังฆัง สรณัง คัจฉามิ"

    ให้ภาวนาไว้..นรกจะไม่ต้องการโยม เพราะแม้ในขณะจิตสุดท้ายโยมแม้จะมีเวทนามาคืบคลานจิต มัดจิตตราตรึงจิตในกายสังขาร แม้โยมเกิดเวทนาเพียงใดก็ตาม แต่อานุภาพที่โยมเคยภาวนาไว้จักมารวมตัวในจิตสุดท้าย จักให้ผลน้อมนำโยมนั้นให้หลุดจากนรกอเวจีหรือภัยพิบัติทั้งปวง

    แต่ถ้าโยมต้องการไปสวรรค์นิพพานมันต้องมีคาถาสืบสร้างเสียก่อน รู้จักมั้ยจ๊ะ คาถาสืบสร้างสวรรค์นิพพานน่ะจ้ะ ใครรู้จักคาถาสืบสร้างสวรรค์นิพพานบ้างจ๊ะ

    ลูกศิษย์ : พุทธะ พุทธา พุทเธ พุทโธ พุทธัง อะระหัง พุทโธ อิติปิ โส ภะคะวา นะโม พุทธายะฯ

    โยมต้องจำไว้นะจ๊ะ คราใดที่โยมออกเปล่งวาจาในคาถาใดก็ตาม ต้อง"พนมมือ" ถ้าว่าในใจไม่จำเป็นต้องพนมมือ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นไม่ว่าคาถาอันใดนั้นเราต้องนอบน้อมเพราะจักเป็นคุณแล้วก็จักเป็นโทษ ดังนั้นการภาวนานี้สำคัญนัก แม้องค์พระสัพพัญญู พระอรหันต์ขีณาสพทั้งหลายก็จักภาวนา

    เพราะการภาวนานี้บอกได้ว่ามีคุณวิเศษอย่างไร แม้ภัยจะมาทั่วสารทิศแต่ผู้ใดมีภาวนาอยู่ ภัยนั้นก็จักกล้ำกรายไม่ได้ ด้วยอานิสงส์อานุภาพแห่งการภาวนาจิตนี้ ย่อมตราตรึงไตรภพอยู่ทั้งสามโลกธาตุ สามภพภูมิทั้งหลายทั้งปวง ดังนั้นการภาวนาจิตนี้เมื่อจิตรวมตัวกันแล้ว ด้วยอำนาจแห่งดินน้ำไฟลมจิตย่อมตั้งมั่นในคุณงามความดีทั้งหลาย พระธรรมธาตุทั้งหลาย เทวดาทั้งหลายย่อมมาห้อมล้อมในขณะบุคคลผู้นั้นเจริญจิตอยู่..ย่อมมีอานุภาพมาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เมื่อจิตโยมตั้งมั่นแล้ว ไม่มีความกลัวแล้ว ไม่มีความหดหู่เศร้าหมองใจแล้วให้โยมแผ่เมตตาออกไปหนึ่งครั้ง เทพยดาเจ้าทั้งหลายที่เขาได้มานอบน้อมโมทนาบุญ แล้วบุญกุศลในครั้งนั้นจักติดตราตรึงไปทั่วนานแสนนาน เพราะอะไรเล่าจ๊ะ มันไม่ต่างอะไรว่าโยมนั้นได้ให้ข้าวคนขอทานก็ดี คนจะตายในมื้อสุดท้ายก็ดี เหล่าสรรพสัตว์ก็ดี เขาจะระลึกถึงบุญคุณ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วยังทำให้โยมอิ่มใจ คืออิ่มอกอิ่มใจ คือปิติก็บังเกิด..นี่คืออานิสงส์การเจริญภาวนา

    เพราะการเจริญภาวนาโยมได้เจริญเมตตาไปในตัว เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะดวงจิตขณะที่ภาวนาอยู่นั้นจิตโยมก็ไม่เร่าร้อน จิตไม่มีความอาฆาตพยาบาทผู้ใด นั่นแหล่ะจ้ะ ดังนั้นโยมอย่าได้เห็นว่าไม่มีประโยชน์ แท้ที่จริงแล้วก็ภาวนาทั้งนั้นพระอรหันต์ทั้งหลายถึงได้บรรลุกันได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ..

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  19. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    F4D76CCE-B2B6-4A6D-95D2-7C0DCEC1C6C5.jpeg

    อันว่าการ"เจริญกรรมฐาน"มันคืออะไร การเข้าถึงจิตที่บริสุทธิ์ การเข้าถึงพระรัตนตรัย การเข้าถึงคุณงามความดี นั้นกรรมฐานเราทำไปทำอะไรกัน..มันก็เป็นการงานอย่างหนึ่งของจิต เป็นสิ่งที่จิตมันต้องมาตั้งมั่นอยู่ในกาย มาละความอาฆาตพยาบาทโทสะ หรือเรียกว่า"ไฟสามกอง"นั้น ทำไมถึงเรียกไฟสามกอง แม้จะเป็นไฟราคะมันก็มีความเร่าร้อนจิตใจ เมื่อมันเกิดขึ้นคราใด ไฟโทสะเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ทำให้จิตใจนั้นร้อนรน โมหะก็เช่นเดียวกัน..๓ อย่างนี้ทำให้ขาดสติขาดปัญญา

    คนที่มีปัญญาย่อมเห็นทางออกได้ คนที่ขาดซึ่งปัญญาแล้วย่อมสิ้นแสงสว่าง อาจจะคิดอะไรอย่างชั่ววูบ อันดับต่อไปเหตุก็เพราะวิบากกรรมนั้นมาตัดรอน นั้นถ้าโยมนั้นปรารถนาจะส่งบุญช่วยเหลือบิดามารดา ผู้มีคุณ ควรสนองคุณท่านด้วยการอุทิศ
    เอาอะไรมาอุทิศได้บ้าง ก็เอาชีวิตเอาร่างกายสังขารที่เรามีลมหายใจนี่แลมาอุทิศ คำว่า"อุทิศ"คือการสละ เช่นสละความสุขส่วนตัวมาอุทิศมาสร้างคุณงามความดี มาเจริญพระกรรมฐาน ก็เรียกว่าเจริญกุศลเจริญบุญอย่างนี้ จึงชื่อว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เพราะมันต้องทำด้วยใจ

    กรรมทั้งหลายทั้งปวงหากไม่ประกอบด้วย"ใจ"ที่เป็นประธานแล้วไซร้..ก็ยากยิ่งนักที่จะสำเร็จเป็นบุญเป็นกุศล คือครบองค์ประชุมองค์สามให้เข้าถึงในพระรัตนตรัยได้ นั้นถ้าเมื่อเรามีบุญวาสนาเก่า มีความเชื่อความศรัทธานอบน้อมในพระรัตนตรัยซะแล้ว ก็ควรหมั่นเจริญทาน ศีล ภาวนาให้บังเกิดขึ้น

    "ทาน"เจริญอย่างไร คำว่าเจริญเค้าเรียกว่าการอบรมบ่มจิตให้รู้จักการสละ รู้จักการให้ แม้ว่าเรานั้นไม่ได้ไปวัดไปวาที่จะสละอะไร แต่ความโกรธ..โทสะ โมหะ ความอาฆาตพยาบาทเหล่านี้ ก็เรียกว่าสละอารมณ์ที่เป็นอกุศลนี้..ละลงไป จนจิตเรานั้นสงบตั้งมั่นได้นั่นแล เมื่อจิตสงบตั้งมั่นได้ดีแล้วก็ให้แผ่เมตตาจิตออกไปให้กับบุคคลที่ไม่ชอบหน้า ให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้คู่อาฆาตพยาบาทมาดร้าย..เหล่านี้เรียกว่า"เจริญทาน"เป็นกุศลอย่างหนึ่ง

    การ"เจริญศีล"เป็นอย่างไร ศีลอยู่ที่ใด ศีลอยู่ที่วัดหรือไม่ หรือว่าอยู่ที่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง อยู่ที่พระสงฆ์หรือไม่ ศีลอยู่ที่กาย ศีลอยู่ที่วาจา ศีลอยู่ที่ใจ อยู่ที่รวบรวมความสงบไว้ได้จนจิตตั้งมั่นเป็นสมาธินั่นแล..เรียกว่ามีสติรู้ในขณะนั้นของอารมณ์ของจิต..ชื่อว่าใจที่ตั้งมั่นนั่นแลเรียกว่า"ศีล"

    เมื่อเราอบรมบ่มจิตมีองค์บริกรรมภาวนาจิตกำกับไว้ ไม่ให้จิตของเรานั้นส่ายเซออกไปภายนอกก็ดี ให้รู้อยู่แต่อารมณ์ในปัจจุบันก็ดี อดีตและอนาคตนั้นก็ขอให้ควรวางไว้อยู่ในฐานะนั้น เมื่อเราสำรวมจิตได้ ใจมันตั้งมั่นได้จนจิตสงบมั่นแล้ว อยู่ในกายก็ดี อยู่ในขณะหนึ่งของจิตก็ดี อยู่ในตัวรู้ก็ดี..เหล่านี้ชื่อว่าศีล

    อันว่า"สมาธิ"เมื่อศีลบังเกิดแล้วโดยธรรมชาติของจิตสมาธิก็พึงบังเกิด สมาธิเกิดจากอะไร ก็เกิดจากความสงบกาย วาจา ใจจนจิตนั้นตั้งมั่นเป็นอารมณ์หนึ่งอารมณ์เดียวเป็นเอกัคตาก็ดี จิตนั้นไม่ฟุ้งซ่านแล้ว ไม่มีความกังวล ไม่มีอดีตหรืออนาคตที่จะเกิดขึ้น อยู่แต่อารมณ์เดียวคืออารมณ์ในปัจจุบันของจิตนั่นแล..ชื่อว่าใจที่ตั้งมั่นจึงว่า"สมาธิ"

    เมื่อเราอบรมบ่มจิตอยู่บ่อยๆก็จะทำให้เกิดปัญญา "ปัญญา"คืออะไร ปัญญาคือความรอบรู้ในกองทุกข์ก็ดี รอบรู้ของอารมณ์ก็ดี เหล่านี้เรียกว่าปัญญา สิ่งไหนก็ตามที่เราเห็นแล้วด้วยจิตในกายสังขาร เห็นภัยในวัฏฏะ เห็นทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว มันเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..และดับไป ทุกสภาวะที่เกิดขึ้นแม้ว่าสุขก็ดี ทุกข์ก็ดีก็ไม่เรียกว่าเป็นของเที่ยง..ไม่จีรัง

    เหตุที่ไม่จีรังไม่เที่ยงเพราะว่าสุขก็ดี ที่ว่าสุข..ถ้ามันสุขจริงจะไม่แปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ยังคงสุขอย่างนั้น แต่ในความสุขนั้นไม่นานมันก็จางหายไป เมื่อเรานั้นไม่พอใจซะแล้ว..ก็แปรเปลี่ยนเป็นความทุกข์เกิดขึ้นมา

    ดังนั้นแล้วอันที่จริงไม่มีอะไรสุข ไม่มีอะไรทุกข์ ที่สุขและทุกข์นั้นเพราะใจเราต่างหาก ที่เรายังโหยหา ถ้าเราหยุดโหยหา หยุดอยากแล้วจะไม่สุขไม่ทุกข์ เพราะเรายังอยากมีความสุข คนที่ยังอยากมีความสุขก็ต้องเจอกับความทุกข์แลกเปลี่ยนเป็นขงอธรรมดา ถ้าผู้ใดไม่อยากสุขแล้วไม่นานผู้นั้นจะหมดทุกข์

    ดังนั้นการที่โยมได้มาเจริญกรรมฐานก็ดีเพื่อละอารมณ์แห่งความสุขความพอใจ เหล่านี้เรียกว่ากำลังถอนเชื้อไฟจากไฟ ๓ กองที่มันลุกโชนอยู่นั้นก็คือตัวทุกข์ เมื่อเราละอกุศลก็ดี ถอดถอนอุปาทานก็ดีแห่งกองขันธ์ก็เรียกว่ากองทุกข์ เมื่อเราไม่เพิ่มเชื้ออยู่บ่อยๆ เชื้อนั้นสักวันเมื่อมันน้อย เราก็สามารถควบคุมเขตทุกข์นั้นได้ก็ดี เห็นทุกข์นั้นได้อย่างชัดเจนก็ดี..นี่เรียกว่าเป็นการเจริญขันติธรรมอย่างหนึ่ง

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  20. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    5AB3F27D-A532-42DD-8611-20592207A507.jpeg

    นั้นกายสังขารไม่ว่าจะครบองค์ประชุม ครบอาการ ๓๒ หรือไม่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ว่ามีบุญมาเกิดทั้งนั้นเมื่อยังมีสติ ยิ่งเรานั้นได้มาพบพระพุทธศาสนาแล้ว ได้มีความศรัทธานอบน้อมในพระรัตนตรัยไม่มากก็น้อยก็ตามที..เรียกว่าเป็นผู้มีบุญบารมี

    นั้นอันว่าบุญวาสนานี้ หากมันไม่มีหรือมันมีน้อยก็ทำให้มันมากขึ้นได้ อย่าได้ไปท้อแท้ว่าเรานั้นยังไม่เข้าถึงในพระรัตนตรัย ประพฤติปฏิบัตินั้นยังไปไม่ถึงไหน สิ่งเหล่านี้เรียกว่าวาสนาบารมี..มันสะสมได้มันสร้างขึ้นมาได้ ดังนั้นอะไรก็ตามที่เราสำนึกผิดไป หรือจะเป็นบาปในจิตในใจที่เราเมื่อระลึกแล้วทำให้จิตเรานั้นเกิดความเศร้าหมองหดหู่ใจนี้..เรียกว่าเป็นตราบาปทั้งนั้น

    บาปทั้งหลายก็ดี กุศลอะไรก็ดีที่เกิดขึ้นแล้วในดวงจิตในดวงใจ การจะชำระบาป..อดีตนั้นเราไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงได้ แต่ถ้ามันเกิดขึ้นในปัจจุบันก็ขอให้รู้ไว้ว่ามันเป็นผลพวงมาจากในอดีต เมื่ออดีตนั้นเราไม่ได้แก้ไข..มันย่อมตามมาในปัจจุบัน เมื่อปัจจุบันมันให้ผล..แสดงว่ากรรมนั้นเรานั้นต้องชดใช้แล้ว เมื่อเราสำนึกในบาปก็ขอให้กำหนดในกุศลอกุศลที่เรานั้นได้เคยกระทำได้เคยเสวยไว้

    นั้นการจะตัดกรรมก็ต้องตัดที่ใจแก้ที่เหตุ นั้นเหตุใดที่เป็นธรรมแล้วหรือไม่เป็นธรรมก็ดี ควรหยิบยกมาพิจารณาละอกุศลนั้นลงเสีย เป็นเพราะอะไร ก็เพราะเกิดจากอัตตาตัวตนที่เราหลง คือความไม่รู้จริงเหล่านี้ เมื่อเรารู้แล้วสำนึกแล้วในบาปกรรมชั่วนั้น ขอให้เราอธิษฐานจิตว่าบุญกุศลอันใดทานอันใดที่ข้าพเจ้าได้ทำแล้ว ณ โอกาสต่อไปนี้ ข้าพเจ้าขอถึงในพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระบิดามารดา ครูบาอาจารย์ ในเทพพรหมทั้งหลาย ขอให้เจ้าที่เจ้าทางพระแม่ธรณีจงเป็นทิพย์พยานในกุศลที่ข้าพเจ้านี้ได้สำนึกในบาปกรรมชั่วด้วยกาย วาจา ใจ กายทุจริต วาจาทุจริตเหล่านี้ ขอบุญกุศล ขอการสำนึกผิดในบาปกรรมนี้ ขอจงเข้าถึงอำนาจแห่งพระรัตนตรัย ขอจงอดอาฆาตพยาบาทมาดร้าย ขออโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า จวบจนข้าพเจ้านั้นจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน

    เหล่านี้เมื่อจิตใจเรานอบน้อมต่อในพระรัตนตรัยแล้ว แม้ว่าเราจะมีกรรมอันใดก็ขอให้เราระลึกถึงกรรมอันนั้นแล้วขอขมากรรม เมื่อกรรมอันนั้นเราไม่ติดใจ เรารู้แล้วว่าที่เรากระทำไปพลาดพลั้งไปด้วยรู้เท่าไม่ถึงการณ์อย่างนี้ สิ่งใดที่เรารู้ไม่ถึงการณ์ก็ดี..ไม่มีอะไรหรอกจ้ะที่ว่าใครจะมาถือโทษโกรธเคืองเรา นอกจากตัวเราเองนั้นแลที่สำนึกในบาปกรรมนั้น

    เมื่อคำว่า"สำนึก" อันว่าสำนึกได้แล้ว..กรรมนั้นเมื่อสำนึกได้จริง แล้วควรสำรวมระวังว่าจะล่วงเกินในครั้งต่อไปได้..แบบนี้เค้าเรียกเป็นผู้เจริญสติ เมื่อเป็นผู้มีสติแล้วก็จะไม่ก้าวล่วงในกรรมนั้นที่เราเคยกระทำไว้ ที่จะทำให้จิตใจเราหม่นหมอง หดหู่ใจ เศร้าหมองใจ ที่จะเป็นอคติแห่งจิต

    เมื่อเรามีสติแล้ว เมื่อสำนึกแล้วในบาปกรรมนั้น บาปกรรมใดก็ตามเมื่อเราสำนึกได้..กรรมนั้นจะถูกตัดรอนไปครึ่งหนึ่ง แล้วเมื่อกรรมนั้นส่วนอีกครึ่งหนึ่งที่มันติดอยู่ในใจ เมื่อเราชำระล้างอยู่บ่อยๆ เมื่อเจริญด้วยการทำทานก็ดี ศีลก็ดี ภาวนาก็ดี จะเป็นผู้จิตนั้นตื่นรู้ เมื่อตื่นรู้แล้ว ไม่มีอวิชชามาครอบงำในขณะนั้น เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นกุศลก็ขออธิษฐานจิตที่จะไม่ข้องแวะในสิ่งนั้นในกรรมชั่วนั้น ที่เราล่วงละเมิดล่วงเกินในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ก็ตามที ก็จะเป็นการสำรวมครั้งต่อไป ว่าเรานั้นจะไม่ละเมิดล่วงเกิน

    เมื่อเราสำรวมระวังอย่างนี้ ทำการขอขมาต่อพระรัตนตรัยเสียได้อย่างนี้ เราก็ขอเข้าถึงกระแสพระรัตนตรัยไปเสีย ให้พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งพา นำทาง รักษาดวงจิตดวงวิญญาณของเราให้เข้าถึงการพ้นทุกข์ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป อย่างนี้แล้วกรรมชั่วอันใดที่เราเคยกระทำล่วงเกินมาแล้วก็ตามทีก็ถือว่าเป็น"โมฆะกรรม" เหตุเพราะอะไรเล่า เพราะนั้นเป็นกรรมที่เราเกิดจากใจโดยที่ไม่มีคู่กรณี เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ก็คือตัวของเรานั้นเองต้องสำนึกได้ด้วยใจจริง กรรมอะไรที่เราสำนึกได้ด้วยใจที่เป็นประธานแล้ว ขอให้อ้างบุญกุศล อ้างพระรัตนตรัย บิดามารดาผู้ให้กำเนิดก็ดี ขอให้ได้รับรู้เป็นพยานเป็นสักขีพยานให้เทพยดาเจ้า พระแม่ธรณี บุญกุศลอันใดที่ข้าพเจ้าได้กระทำแล้วในขณะนี้ และในโอกาสต่อไปนี้ ข้าพเจ้าขอเข้าถึงกระแสพระรัตนตรัยจงนำพาดวงจิตวิญญาณของข้าพเจ้าที่มืดบอดด้วยอวิชชา กิเลสตัณหา อุปาทานทั้งหลาย ช่วยเปิดทางให้ดวงจิตแสงสว่างให้ดวงจิตดวงวิญญาณ ให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงคุณงามความดีในทาน ศีล ภาวนา นับแต่บัดนี้เป็นต้นไปด้วยเทอญ

    อย่างนี้แล้วก็เรียกว่าเป็นการสมาทานที่เรานั้นจะขอเป็นพุทธบริษัทผู้ที่จะเจริญรอยตามทางแห่งมรรคขององค์พระศาสดา เมื่อเราจะเจริญรอยตามแล้วนั่นแลเรียกว่าเรานั้นมีที่พึ่งที่เป็นสรณะแล้ว ที่พึ่งอย่างอื่นนั้นอย่าได้เข้ามาอีกเลย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจิตย่อมเกาะกระแสพระนิพพานก็ดี เกาะกระแสความสว่างพระรัตนตรัยก็ดี ความชั่วอันใดก็ดีที่จะมาก้าวล่วงละเมิดที่จะทำให้จิตเรานั้นตกต่ำไปในที่ๆเป็นความชั่วแล้วก็ตามที..ย่อมมาเบียดเบียนได้ยาก..

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     

แชร์หน้านี้

Loading...