ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย na_krub, 12 ตุลาคม 2017.

  1. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    E31073C8-7AF1-4823-9085-0E897B110923.jpeg
     
  2. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    82271C57-4CA3-4ECA-8C08-140BC2421E87.jpeg

    การเจริญวิปัสสนาญาณ อันว่าวิปัสสนาญาณไม่ได้รู้ด้วยสัญญาหรือความจำ แต่รู้ด้วย"ปัญญา" รู้ด้วยปัญญา..รู้ได้อย่างไร รู้ด้วยการเอาจิตนั้นไปหยั่งในรู้ ในอารมณ์ เหตุต่างๆทีเกิดขึ้น เช่นนั่งไปแล้วจิตตั้งมั่นสงบนิ่ง เห็นทุกข์ในกายที่เกิดขึ้น ก็พิจารณาให้เห็นว่าทุกข์นี้ในกายนี้มีแต่ทุกข์ที่เกิดขึ้น..

    เมื่อมีทุกข์ขนาดนี้แล้วสมควรมั้ยที่เรานั้นต้องไปยึดมั่นถือมั่นในกายนี้ เราจะเห็นทางสละทางออกว่ากายนี้ไม่ควรยึดถือ เป็นสักแต่ว่าเป็นกายที่เราได้อาศัยอยู่ ยิ่งกายมันทรุดโทรมเพียงใดทุกข์เพียงใด ยิ่งเป็นชนวนบอกเหตุให้เรานั้นต้องรีบละออกจากกายนี้ให้มากๆขึ้น นั่นก็คือการละอารมณ์..ละอัตตาตัวตน

    "อัตตา"คืออะไร..ความยึดมั่นถือมั่นว่านี้ตัวกูของกู เหล่านี้เมื่อมีมากเพียงใด..ทุกข์ก็มีมากเพียงนั้น ดังนั้นการจะสละออก การยึดติดเหล่านี้ต้องทำอย่างไร ต้องเห็นโทษภัยในวัฏฏะ เห็นโทษภัยในกายก่อน นั่นก็เรียกว่าเห็นโทษในการเกิดก่อน เมื่อใครเห็นโทษในการเกิดเมื่อไหร่ จิตย่อมคลายจากความยึดมั่นถือมั่น..

    เมื่อจิตคลายความยึดมั่นถือมั่นเมื่อไหร่แล้ว จิตจะเห็นความเบื่อหน่าย ถ้าจิตยังไม่คลายความยึดมั่นถือมั่นเมื่อไหร่ มันจะหาความเบื่อหน่ายไม่ได้ แล้วถ้าจิตไม่เข้าไปเห็นโทษภัยในวัฏฏะแห่งการเกิด ว่าสังขารเรานี้แท้ที่จริงมันประกอบไปด้วยอะไร หากเรารู้ต้นเหตุแห่งอวิชชาที่มันเกิดขึ้น โดยที่เราไม่รู้ด้วยปัญญาเสียแล้ว เราก็จะหลงพอใจมัน..ที่มีหนังห่อหุ้มร่างกายสังขารน้ำเลือดน้ำหนองอย่างนี้

    หนังตัวนี้มันปิดบังอวิชชาปิดบังโลกอยู่..ก็เรียกว่า"กาม" กามนี้สร้างภพสร้างชาติมาเนิ่นนาน ทำให้ทุกข์ ทำให้สุข ทำให้พลัดพราก ก็เพราะด้วยกามทั้งนั้น เมื่อกามเกิดขึ้นเมื่อไหร่..ทุกข์ ความวิปโยค ความพลัดพรากก็บังเกิดขึ้นเมื่อนั้น ดังนั้นโยมเห็นโทษเพ่งโทษในกามให้มาก มันให้สุขเพียงชั่วครู่ แต่ทุกข์ที่โยมต้องเสวยยาวนานเป็นวัฏฏะ

    อันว่าวัฏฏะมันเป็นอย่างไร ภพชาติ..ยังเทียบกับวัฏฏะไม่ได้ เพราะวัฏฏะนี้มันหมุนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่จบสิ้น คำว่า"ไม่จบสิ้น"นี้จึงเทียบไม่ได้ว่าอายุยาวนานเท่าไหร่..จึงเรียกวัฏฏะ มีเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไปอย่างนี้ ทุกขณะจิตที่เกิด..นั่นเรียกว่าภพ ทุกขณะจิตที่ดับ..นั่นเรียกว่าชาติ คือชรา มรณา เหล่านี้จึงเปรียบเทียบไม่ได้เลยว่ามนุษย์นั้นเกิดขึ้นเกิดตายอยู่ตลอดเวลา

    คนๆหนึ่งมีกระดูกเอาแค่ประมาณก็หนึ่งภูเขาเลากา แม้มนุษย์อีกเป็นเท่าไหร่ ถ้ามนุษย์ไม่มีการตายเลย มนุษย์จะไปอยู่ที่ไหน โลกใบนี้คงไม่มีที่พอให้อยู่ของสัตว์ทั้งหลาย แต่เพราะมันมีการเกิดและมีการดับ มันจึงทำให้เกิดการสมดุลเกิดขึ้น แต่ที่ไม่สมดุลก็เพราะว่ามนุษย์ที่ดีก็ทำคุณประโยชน์ให้โลก มนุษย์ที่ไม่ดีทำความเสียหายกับโลกนี้แล..จึงเรียกว่าขาดความสมดุล ก็เรียกว่าศีลมันเสื่อมนั่นเอง

    ดังนั้นการเจริญศีลให้บังเกิดขึ้น จะทำให้เกิดความสมบูรณ์ เกิดความสมดุล แม้ไม่สมดุลกับโลก อย่างน้อยมันก็สมดุลกับตัวเราเอง สมดุลกับธรรม ทำให้เรานั้นประคับประคองอยู่ได้

    โลกนี้ไม่ได้น่าอยู่อย่างที่เราคิด แต่โลกนี้เป็นเพียงที่อาศัยหรือเรียกว่าเป็นที่ผ่านทาง เป็นที่ตั้งแห่งจิตวิญญาณ มันไม่ใช่ว่าถาวร แต่มันเพียงแค่ชั่วคราว แม้ร่างกายสังขารโยมเองก็เป็นเพียงชั่วคราว เพราะว่าอีกไม่นานโยมก็ต้องละดับจากโลกนี้ไปเช่นเดียวกัน บ้านไหนไม่มีคนตาย..ไม่มี

    ดังนั้นเมื่อโยมเห็นว่าเป็นของธรรมดา ไอ้ธรรมดา..แต่มันไม่ธรรมดา เพราะโยมเห็นว่ามันเป็นธรรมดา คราใดโยมเห็นโทษมันเมื่อไหร่โยมจะเห็นความน่าสะพรึงกลัวว่าความตายมันน่ากลัวเพียงใด จริงๆความตายไม่ได้น่ากลัวเลย แต่เพราะว่ามนุษย์มันมีความกลัว ขาดหลัก หากโยมมีที่พึ่งแห่งจิตแล้ว เป็นที่ตั้งหมายที่มั่นคงแล้วในพระรัตนตรัย เห็นว่ากายนี้มันไม่ใช่ของจริง ถ้าจริงมันต้องไม่ตายต้องไม่สลาย

    อะไรที่จริง..กุศลและอกุศลต่างหากที่ว่าเป็นของจริง อะไรที่ติดตามจิตวิญญาณเราได้..นั่นแลเค้าเรียกว่าของจริง กายไปกับเราไม่ได้จึงเรียกว่ามันไม่ใช่ของจริง ดังนั้นไม่ควรอาลัยในกายนี้ แต่ควรเอาประโยชน์ในกายนี้มาใช้ให้เป็นประโยชน์กับจิตวิญญาณของเราให้มากๆ..

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  3. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    DD616A58-9483-443D-86A6-C14C123E30B0.jpeg

    บุคคลที่ไม่มีภัยแล้ว..เรียกว่าบุคคลนั้นมีหลักยึดแล้ว เชื่อมั่นแล้วในพระรัตนตรัยนั่นคือที่หลบภัยโดยแท้ โยมมีกันหรือยังจ๊ะ ถ้าโยมยังไม่มีหรือยังไม่เชื่อในพระพุทธ ไม่เชื่อมั่นในพระธรรม ยังไม่เชื่อมั่นในพระสงฆ์แล้ว โยมก็จะรอดปลอดภัยจากภัยไม่ได้ โยมจะนอนที่ใดก็ตาม ที่ว่าแข็งแรง ที่มีที่ว่าให้ความปลอดภัยโยมได้..โยมก็ไม่พ้นภัยไปได้

    เพราะกรรมไม่ว่ามนุษย์ผู้ใดจะอยู่ที่ไหน เขาย่อมเห็นกรรมโยม ทำไมถึงกล่าวเช่นนี้ โยมทำกรรมชั่วโยมรู้มั้ยจ๊ะ เมื่อยามทุกข์น่ะ..โยมรู้มั้ยจ๊ะ ก็ไอ้"ตัวรู้"นั่นแหล่ะจ้ะ..มันบอกว่าโยมอยู่ที่ไหน มันอยู่ในใจของโยมนั่นแล

    แต่ถ้าใครมีพระรัตนตรัยแล้ว มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้วเป็นที่พึ่งพาแล้ว เป็นสรณะแล้ว โยมจักไม่มีความกลัว คือโยมจะมีสติตื่นรู้อยู่ตลอดเวลา "สติ"นั้นแล..ที่โยมไประลึกถึงนั้นแล..เขาจะพาโยมไปพ้นภัยว่าที่ที่ใด..ที่ตรงไหน ที่ที่พ้นภัยได้

    แล้วโยมไม่ต้องมาถามหาฉันว่า ที่ตรงนี้ที่ฉันอยู่จะพ้นภัยมั้ยจ้ะหลวงปู่..โยมไม่ต้องถามหา โยมอยู่ที่ไหนก็ตาย เพราะไอ้นั่นมันกลัวตายโยมก็ตายทั้งเป็นแล้ว ใช่มั้ยจ๊ะ แต่ถ้าโยมไม่อยากตาย โยมต้องมารู้..เรียนรู้จักความตายเสียก่อน

    ความตายมันมาพร้อมกับความกลัว บางคนถามว่า เดี๋ยวก็ตายแล้วก็เฉยกันหมด เพราะอะไรล่ะจ๊ะ ก็ตอนนี้ยังไม่ตายนี่จ๊ะ โยมไม่รู้หรอกจ้ะว่าโยมจะตายเมื่อไหร่ ใช่มั้ยจ๊ะ โยมรู้แต่เวลาเกิดแต่โยมไม่รู้เวลาตาย

    ฉันจะบอกให้เวลาตายของโยมนั้น ตายตอนไหน จะตายตอนไหนโยมรู้มั้ยจ๊ะ ใครบอกได้บ้าง ตอนเกิดโยมเกิดมาอย่างไรเล่าจ๊ะ เกิดมาอย่างไรจ๊ะ (ลูกศิษย์ : เกิดมาจากบิดามารดาจ้ะ) บิดามารดาให้โยมเกิดเหรอจ๊ะ ใช่มั้ยจ๊ะ หรือว่าใครเกิดจากอย่างอื่นจ๊ะ มีมั้ยจ๊ะ

    เมื่อโยมเกิดจากบิดามารดา แล้วตอนตายล่ะจ๊ะ ใครเป็นผู้ทำให้โยมได้ตาย ใครมาพลัดพรากความตายโยมไปจากโยมเล่าจ๊ะ ถ้าโยมบอกว่าบิดามารดาเป็นผู้ให้ชีวิต เป็นผู้ให้กำเนิดโยม แล้วความตายล่ะจ๊ะใครมาพลัดพราก

    ตอนโยมเกิดน่ะ โยมได้อะไรมาจากบิดามารดาจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ได้สังขารได้ร่างกายครับปู่) โยมได้จิตวิญญาณมามั้ยจ๊ะ แล้วความตายนี้คือพญามัจจุราชเหรอจ๊ะ ก็คือเขาจะกระชากจิตวิญญาณโยมหรือจ๊ะ แล้วเขาจะกระชากตอนไหนเล่าจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ตอนที่หมดบุญน่ะจ๊ะ)

    แล้วบุญน่ะมันไปไหนล่ะจ๊ะ ตอนนั้นบุญมันไปไหนล่ะจ๊ะ ท่านพญามัจจุราชถึงจะมากระชากจิตวิญญาณออกไปได้ ถ้าท่านไม่มากระชากจะหมดลมได้ยังไงเล่าจ๊ะ ถ้าโยมไม่ไปมีเรื่องกับใคร เขาจะมากระชากต่อยโยมมั้ยจ๊ะ โยมไปทำกรรมไว้มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ใช่ค่ะ เพราะไปทำกรรมไว้)

    แสดงว่าบุญนั้นจึงสำคัญมั้ยจ๊ะ แล้วบุญทำได้ตลอดมั้ยจ๊ะ แล้วมันเกิดจากไหนเล่าจ๊ะ บุญเกิดจากอะไรบ้างเล่าจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ทาน ศีล ภาวนา) ศีลน่ะเมื่อโยมจะหลับนอนก็ควรหมั่นระลึกนะจ๊ะ ก่อนนอนก็ระลึกถึงศีลได้จ้ะ ก็เป็นบุญแล้ว..ศีลก็รักษาโยม

    ฉันจึงบอกว่าเมื่อโยมมีศีลนั่นแล..อุปมาเหมือนกำแพงแก้วทั้งเจ็ดชั้นมาปกป้องคุ้มครองโยม ใช่มั้ยจ๊ะ เรียกว่าบุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล สำเร็จด้วยการให้ทาน การ"ให้ทาน"ในขณะที่โยมนั้นจะนอนแล้ว โยมจะไปให้ทานได้อย่างไร สงสัยมั้ยจ๊ะ โยมก็ลดละโลภ โกรธ หลงสิจ๊ะ โยมไปโกรธใครไว้ล่ะจ๊ะ โยมก็ลดให้เขาสิจ๊ะ ให้อภัยทานเขาสิจ๊ะ

    เมื่อให้อภัยได้แล้วจิตโยมก็เป็นบุญแล้ว บุญกุศลบารมีโยมก็แผ่เมตตาออกไปสิจ๊ะ ให้ใครอีกล่ะจ๊ะ อย่าลืม..เมื่อกรรมปัจจุบัน..เมื่อโยมเคยมีอาฆาตพยาบาทต่อผู้ใดในอดีตโยมก็ยังมีอยู่..ก็ให้กรรมเก่าโยมงัยล่ะจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ให้เจ้ากรรมนายเวร) ถ้าจะเปรียบว่ากล่าวอย่างนั้นก็ได้จ้ะ

    นี่เรียกว่าการให้ทาน บุญสำเร็จด้วยการให้ทาน เมื่อโยมให้ไปแล้ว ทานนั้นจะกลับเป็นบารมีเรียกว่าทานบารมี เพราะทานก็เป็นบารมีอย่างหนึ่ง ใช่มั้ยจ๊ะ สำเร็จด้วยการภาวนา ก็จิตเมื่อโยมสงบแล้วน่ะ มันตั้งมั่นแล้ว โยมก็ภาวนาได้ ให้จิตใจมันตั้งมั่น ให้เข้าถึงคุณงามความดี เข้าถึงศีล เข้าถึงสมาธิงัยจ๊ะ แล้วมันก็สงบไปเอง เมื่อธาตุดินน้ำไฟลมมันสงบแล้ว สงบตอนไหนก็หลับตอนนั้นล่ะจ้ะ ที่โยมนอนไม่หลับก็เพราะธาตุไม่สงบจ้ะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    จึงได้บอกว่าพญามัจจุราชนั้นแล บุคคลที่จะตายก็ตายที่ว่าบุญนั้นไม่รักษาแล้ว คือประมาทในบุญในทานในศีลนั้นเอง งั้นก่อนนอนขอให้โยมจงรักษาศีล ระลึกถึงศีล แล้วก็ให้ทาน..ให้อภัยทาน คือละความโกรธ สิ่งไหนที่อยากได้ ถ้าคิดแล้วระลึกแล้วมันเป็นทุกข์ก็ให้วางเสีย สิ่งไหนที่มันหลงก็ให้ภาวนาให้มากคือเจริญปัญญา นี่ก็เรียกเป็นบุญ บุญตรงนี้เมื่อโยมแผ่ออกไป ก็เรียกว่าจะทำให้โยมนั้นมีความอายุยืน แต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะพ้นตาย แต่ถ้าโยมจะตายนั้นโยมจักได้สร้างบุญใหญ่ก่อนตาย..

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  4. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    5B61984A-8359-473D-A42B-6AA102F53B1A.jpeg

    ลูกศิษย์ : หนูมีความสงสัย ที่ว่าติดหนี้สงฆ์..เช่นไรถึงเรียกว่าติดหนี้สงฆ์ แล้วก็เราจะชำระหนี้สงฆ์ได้อย่างไร อย่างหนูไปตามวัดเค้าก็จะเป็นตู้บอกว่าชำระหนี้สงฆ์ ถ้าเราหยอดแล้วเราจะชำระได้จริงมั้ยคะ
    หลวงปู่ : แล้วโยมไปเอาของสงฆ์เค้ารึเปล่าล่ะจ๊ะ

    ลูกศิษย์ : อย่างเช่นเวลามีพวกผลไม้ที่เกิดในบริเวณวัดอย่างนี้ค่ะ มันหล่นแล้วเราเก็บแบบนี้จะติดหนี้สงฆ์มั้ยคะ
    หลวงปู่ : อ้าว..แล้วโยมขออนุญาตใครล่ะจ๊ะ เอาแค่ง่ายๆแค่โยมเดินเท้าเข้ามาแล้วเดินออกไปเนี่ยะ ผงธุลีดินติดเท้าโยมไปมันก็เป็นของสงฆ์อยู่แล้ว เค้าถึงบอกให้โยมไปชำระหนี้สงฆ์ คือความตั้งใจไม่ตั้งใจอะไรก็ตาม..ให้เราทำบุญอธิษฐานไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    การติดหนี้สงฆ์..เป็นอย่างไร คือการไปทำกรรมกับสงฆ์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ทำกรรมกับสงฆ์เป็นยังไง ทำให้สงฆ์แตกแยกอย่างนี้ กล่าวร้ายพระสงฆ์อย่างนี้ อันนี้เกี่ยวกับสงฆ์ทั้งนั้น เค้าถึงได้บอกว่าวันสงกรานต์ก็ดีเค้าให้มาก่อเจดีย์ทราย เอาดินเอาทรายมาถวายวัดอย่างนี้..ก็เรียกเป็นประเพณีที่ควรทำ เข้าใจมั้ยจ๊ะ พอเราปั้นเจดีย์รู้ว่าหน้าตาเป็นเจดีย์ก็พอแล้ว..ก็อธิษฐานไป..อธิษฐานไปถึงเจดีย์พระจุฬามณี อธิษฐานให้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระรัตนตรัย อธิษฐานให้เทพเทวดาทั้งหลายเค้ามาอนุโมทนาบุญ

    นั้นการติดหนี้สงฆ์เอาของสงฆ์ไปโดยที่เราไม่เจตนา บางทียืมของวัดของวาไปแล้วไม่เอามาคืน เข้าใจมั้ยจ๊ะ สิ่งเหล่านี้เมื่อเราไม่รู้ แล้วเราคิดแล้วเราไม่รู้น่ะ..ก็เอาของนั้นซื้อมาถวายมันก็ใช้ได้ทั้งนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ บางคนขโมยถึงสบงพระไปก็ไม่เอามาคืนก็มี แล้วโยมไปสงสัยอะไรจ๊ะหนี้ของสงฆ์

    ลูกศิษย์ : ก็โยมเคยไปเก็บผลไม้ที่อยู่ในบริเวณวัดน่ะค่ะ
    หลวงปู่ : ก็ไม่ได้ยากโยมก็ซื้อต้นมะม่วงมาปลูกสิจ๊ะ

    ลูกศิษย์ : ปู่เจ้าคะแล้วถ้าเกิดอย่างเราไปเก็บกับน้อง แต่น้องเราเค้าเสียชีวิตไปแล้วแบบนี้ เค้าจะติดด้วยมั้ยคะ เราจะช่วยเค้าได้ยังไง
    หลวงปู่ : กรรมอะไรที่เรานั้นรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เมื่อเราอธิษฐานขอขมากรรมต่อพระรัตนตรัย กรรมนั้นก็จบไปแล้วจ้ะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ที่มันติดมันติดในใจโยมไม่ใช่เหรอจ๊ะ เมื่อโยมไปขอขมากรรมต่อพระรัตนตรัยต่อแม่ธรณี เมื่อเรารู้สึกว่าเราได้สำนึกผิดแล้วกรรมตรงนั้นมันก็บังเกิดขึ้นมันก็ไม่ติดในใจ เมื่อไม่ติดในใจมันก็ไม่ติดในกรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะใจเป็นประธานแห่งกรรมทั้งปวง..

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  5. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    2EFBB76F-66C7-4D18-A6F4-73312A668B54.jpeg

    ตอนขณะที่เราเจริญสมาทานศีลก็ดี ปลงพระกรรมฐานก็ดีเพื่อจะประพฤติปฏิบัติในทาน ศีล ภาวนาแล้ว กรรมชั่วอันใดเมื่อเราขอขมากรรมไปแล้ว..ขอให้ละวางเสียในอารมณ์นั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ ให้ยกจิตขึ้นมาตั้งใจเสียใหม่ ว่าต่อไปนี้เราจะมุ่งมั่นเพื่อกระทำความดี ระลึกดี คิดดี พูดดีอย่างนี้..ให้ทำบ่อยๆ แม้ว่ามันจะล่วงไปบ้างพลาดไปบ้างแล้วไซร้ แม้ทุกขณะที่เราได้มีโอกาสประพฤติปฏิบัติในพรหมจรรย์แล้วให้ตั้งใจใฝ่แบบนี้บ่อยๆ

    เมื่อเราตั้งใจบ่อยๆแล้วความผิดพลาดพลั้งนั้นมันก็เล็กน้อย เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อเราตั้งใจบ่อยๆมีสติมากๆเข้า..สัมปชัญญะมันก็บังเกิด มันจะรู้เท่าทันในอารมณ์นั้น ในขณะที่เรารู้เท่าทันตัดอารมณ์วางอารมณ์ได้เท่าทันได้แล้ว..อารมณ์เมื่อเราไม่มีใจนั้นไปกังวล ไปห่วงหา ไปอุปาทาน..กรรมย่อมไม่เกิด นิโรธมันก็บังเกิด..ในกรรมนั้นก็ดับลง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    อย่างนี้แล้วก็เรียกว่าเป็นผู้เห็นทุกข์ เห็นภัยในวัฏฏะ เห็นว่ากุศลทั้งหลายทั้งปวง..หรืออกุศลทั้งหลายทั้งปวงนั้นควรละ กุศลนั้นถ้าเป็นสิ่งที่ดีแล้วควรสร้างให้บังเกิด แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อยก็อย่าได้เห็นว่าไม่มีประโยชน์อันใด ฉันจึงบอกว่ากรรมฐานมันเป็นบุญใหญ่อย่างไร บุญใหญ่ที่ว่ามีเงินร้อยล้านพันล้านก็ไม่สามารถจะจ้างใครให้มาประพฤติปฏิบัติได้แล้วตัวเองจะได้บุญ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    บุญกรรมฐานต้องลงมือกระทำด้วยตัวของตัวเราเอง เพราะเงินร้อยล้านพันล้านไม่สามารถซื้อสวรรค์นิพพานได้ ต้องลงมือประพฤติปฏิบัติอย่างเดียวถึงจะเข้าถึงซึ่งความสิ้นสงสัยในธรรมขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่าน เรียกว่าเป็นการประพฤติปฏิบัติบูชา

    ดังนั้นก็ขอให้เห็นความสำคัญ แม้ร่างกายสังขารเราจะอ่อนล้า ทุกคราที่เราประพฤติปฏิบัติ แต่ขอให้รู้ไว้ว่านั่งถ้าเวทนาเกิด ความง่วงเกิดก็ดีขอให้เรามีสติกำหนดรู้ไอ้สิ่งที่เกิด และดูมันตั้งอยู่ว่านานเพียงใดในสติที่เราเท่าทัน มันจะตั้ง..เคลื่อนคลายสลายไปตอนไหน จะดับไปตอนไหน..นั่นแลชื่อว่านิโรธก็บังเกิด เรียกว่าสติเราเท่าทันในสภาวธรรมที่เกิดขึ้น..ตั้งอยู่..และดับไป แม้เวทนาก็ดี ความง่วงก็ดี สิ่งเหล่าใดก็ดีเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วมันตั้งอยู่..แต่ไม่นานมันจักสลายไป ขอให้โยมมีขันติธรรม

    กายเรานี้ก็เป็น"ขันธมาร" ทำไมถึงเรียกว่าขันธมาร อะไรเรียกว่ามารจึงเรียกว่าตัวอุปสรรคหรือตัวขัดขวางทั้งนั้น กายนี้ก็เป็นอุปสรรคให้เราบรรลุธรรม เพราะว่ากายนี้มันจะหาแต่ความสุขอย่างเดียว เราสุขมามากพอแล้ว อย่างที่บอกเมื่อเราสุข แสวงหาความสุข..นั่นแหล่ะเรียกว่า"กับดักของนายพราน" แต่ถ้าเราละสุขเมื่อไหร่โยมจะได้สุขที่ถาวรและจะได้สุขที่เป็นบรมสุข

    ดังนั้นพยายามทรมานกายให้มาก การทรมานกายทรมานอย่างไร พอเห็นว่าเป็นสุขขอให้ละเสีย อาหารว่าพอใจในรสก็ขอให้วางเสีย อย่างนี้เรียกว่าละสุข เป็นการทรมานกายสังขารอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่เป็นผู้อดอาหารทำร่างกายให้ลำบากอย่างนี้ แต่การเจริญอินทรีย์ด้วยการขันติ..อย่างเช่นว่าจะงดอาหาร..อันนี้เรียกเป็นการบำเพ็ญธรรม เป็นการฝึกขันติธรรม ก็เรียกว่าเป็นการอธิษฐานจิตขึ้นมา

    ดังนั้นทุกอย่างหากเรามีเจตนาใฝ่ไปในทางประพฤติพรหมจรรย์เสียแล้ว..ก็เรียกเป็นความพอใจ เรียกว่าเป็นการเจริญอิทธิบาท ๔ ไม่เรียกว่าเป็นการทรมานกายสังขาร ดังนั้นแล้วขอให้พิจารณา เมื่อเรานั่งแล้วหาความสงบไม่เจอ หรือสงบจนตั้งมั่นจนเกินไปไม่มีสติครองอยู่ ขอให้โยมกำหนดลุกเดินไปเสียจากที่ตรงนั้น เดินเราต้องเดินให้มันล้าให้สังขารมันล้า เมื่อเราล้าพอเรานั่งมันจะสงบ

    เดิน..ยืน..ให้เรารู้ว่าเราทำอะไรอยู่ เดินหนอ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียดหนอ สัมผัสหนอ คำว่าหนอนี้เป็นการลงให้จิตมันสัมผัสด้วยสติของเรา บางคนเดินด้วยความว่องไวแต่สติเรากำหนดอยู่ที่พุทโธที่ลมหายใจเข้าออก แต่อาศัยในอิริยาบถเดิน อย่างนี้ก็เรียกเป็นการเจริญสติด้วยการเดินเปลี่ยนแค่อิริยาบถ

    การยืนเพื่อการฝึกการทรงตัวเป็นฌานอย่างหนึ่ง ถ้าเรายืนแล้วมีความสงบตั้งมั่นอย่างนี้..ให้รู้ทั่วตัวของเราว่าเรายืนอยู่เป็นอย่างไรก็เรียกเป็นการทรงฌาน ทรงฌานคืออะไร ฌานเค้าเรียกว่าการควบคุมอารมณ์ทรงจิตได้ อารมณ์ที่เราข่มได้ อารมณ์ที่จิตมันฟุ้งแล้วเราข่ม อารมณ์ที่กายสังขารเรานี้มันอ่อนล้าแล้วเราทรงให้มันทรงปรกติ..อย่างนี้เรียกเป็นการทรงฌาน อย่างนี้เรียกเป็นการเพ่งจิตอย่างหนึ่ง

    เมื่อจิตเราเพ่งอยู่นานๆเข้า..จิตที่เห็นจิต เห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป..จึงเรียกว่านิโรธบังเกิด อย่างนี้เป็นการเรียกว่าไม่ส่งจิตออกไปภายนอก เป็นการฝึกจิตอย่างหนึ่ง

    เมื่อเราเดินไปแล้วเกิดความง่วงอ่อนล้ากายสังขารรู้สึกว่ามันโคลงเคลงในกาย ให้มีสติกำหนดยืนสงบระงับอารมณ์ซักครู่หนึ่ง แล้วกำหนดลมเข้าไปในปอดให้ทั่วร่างกาย..ออกทำความรู้สึกให้ลมนั้นสบาย แล้วตั้งใจกำหนดเดินใหม่ อย่างนี้ก็ยังไม่ได้ชื่อว่าเรานั้นได้ละความเพียรออกไป ยังอยู่ในจุดหมายปลายจงกรมของเราอยู่ เรียกว่ายังอยู่ในทางเดินแห่งมรรคอยู่ ถ้าเรายังมีสติยังมีความปรารถนาในความเพียรอยู่ เรียกว่าเรานั้นยังเดินอยู่ในขณะนั้น ไม่ใช่ว่าเรานั้นคลายออกจากสมาธิ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  6. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    9D207A44-96AD-4279-9470-A90B59F75B77.jpeg
     
  7. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต วันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๒
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  8. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    2E2E7DCE-84B0-40DE-AD24-F69B2136EC2D.jpeg

    ประตูที่โยมต้องเฝ้าระวัง ที่ตรงไหนบ้างจ๊ะที่เรียกเป็นประตู (ลูกศิษย์ : ทวารทั้งหก) ไหนมีอะไรบ้างจ๊ะประตูของโยม (ลูกศิษย์ : ตาหูจมูกลิ้นกายใจ) ประตูนี้น่ะ..ตามีกี่คู่จ๊ะ แล้วบอกว่าตานี้เป็นมีเป็นคู่ใช่มั้ยจ๊ะ เพราะมันจะคอยสอดส่องดูแลกัน ตาเดียวก็เห็นไม่ถนัดใช่มั้ยจ๊ะ เห็นได้ไม่ไกล นั้นตานี้ต้องเฝ้าระวัง ใช่มั้ยจ๊ะ

    เพราะตานี้มันทำให้เกิด..มันทำให้ตายอยู่ตลอดเวลา อะไรที่มันเกิดเล่าจ๊ะ..เกิดอกุศล เมื่อโยมมันเกิดอกุศลทางตาแล้ว อะไรที่มันตายเล่าจ๊ะ..ก็บุญไงจ๊ะมันก็ตายลงไปด้วย เพราะอกุศลนั้นแลมันได้มาเกิดแทน มันมีพื้นที่แล้ว การเกิดดับเกิดดับนั่นแล มันเกิดได้ตลอดเวลา หาใช่ว่าโยมต้องไปตายแล้วเกิดไม่

    จึงได้ว่ามนุษย์นั้นตายซ้ำตายซ้อนซ้ำซากจำเจ จิตก็เกิดดับอยู่ตลอดเวลา ก็อะไรเล่าจ๊ะที่มันเกิดดับ..ก็อารมณ์งัยเล่าจ๊ะ ผ่านไป ๑๐ อารมณ์ดี..ผ่านไปอีก ๑๐ อารมณ์เสีย ใช่มั้ยจ๊ะ นี่แลจึงต้องรักษาอารมณ์ไว้อยู่ตลอดเวลาแต่ถ้าโยมรักษาอารมณ์ไม่ ได้ ให้โยมทรงอารมณ์ไว้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ อย่าให้มันทรุดนั่นเอง

    ดังนั้นข้าศึกมันจะเข้ามาทางไหน ก็ทางที่โยมบอกงัยเล่าจ๊ะ ก็โยมบอกว่าเข้ามาทางตาแล้วโยมต้องระวังในการอะไรจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ให้ระวังในการพิจารณา) ไม่ต้องไปพิจารณาอะไรหรอกจ้ะ โยมจะมองอะไรน่ะสิ่งนั้นไม่ใช่กิเลสทั้งนั้น แต่โยมน่ะมองต้องให้สุด..สุดอะไรจ๊ะ สุดลูกตาของโยม ถ้าโยมมองอะไรไม่สุดลูกตา โยมจะเห็นอะไรไม่แจ้ง

    การมองให้สุดลูกตามองอย่างไร..โยมต้องมองผ่าน เพราะถ้าโยมไม่มองผ่านมันก็ติดลูกตา ใช่มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : มองให้มันทะลุไปเลย) ถูกต้องจ้ะ เพราะสิ่งที่โยมเห็นมันไม่ใช่กิเลสไม่ใช่สิ่งโสมม ไม่ใช่สิ่งที่ชั่วร้าย แต่สิ่งที่เห็นที่แท้จริงมันเกิดขึ้นกับ"ใจ" นั้นคือวิญญาณไปจุติเกิด..วิญญาณตัวนั้นเป็นวิญญาณอะไรเป็นอารมณ์อะไร ใช่มั้ยจ๊ะ ก็มันดำริมาเป็นแบบนั้น นั่นต่างหากที่เป็นกิเลส เป็นอกุศลเป็นบุญและเป็นบาป ก็เกิดจากใจทั้งนั้น ที่โยมต้องระวังสำรวม

    แต่ไม่ได้สำรวมที่ลูกตาโยม ไม่ได้ไปสำรวมที่จมูกโยม แต่ไปสำรวมที่ไหนจ๊ะ (ลูกศิษย์ : กายวาจาใจค่ะ) ทำไมสำรวมแค่ตรงนั้นเล่าจ๊ะ อะไรที่โยมได้อาศัยนั้นแลโยมต้องรักษา โยมใช้กายมั้ยจ๊ะ โยมใช้ปาก..วาจามั้ยจ๊ะ แล้วโยมใช้อะไรบังคับเล่าจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ใช้ใจค่ะ) โยมไปควบคุมใจให้ได้สิจ๊ะ (ลูกศิษย์ : สรุปแล้วใจสำคัญที่สุดแล้วต้องรักษาให้ดีที่สุด)

    นั่นแหละจ้ะคือของวิเศษที่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ เธอจงรักษาของดีไว้หนึ่งสิ่ง นั่นก็คือใจของเธอเอง คือรักษาใจให้เป็นปกติอยู่ทุกราตรี

    ถ้าไม่ปกติ ถ้ามันผิดปกตินั่นแลให้ไปกำหนดรู้ นั่นเรียกว่าธรรมได้เกิด เหตุได้เกิดนั่นแล เหตุและผล..เหตุและธรรมที่บังเกิดเป็นผลที่โยมได้ทำมาแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ เหตุนั้นจึงบังเกิดอยู่ ไม่จบสิ้น เพราะโยมไม่ได้ไปดับเหตุ ผลจึงตามมา ผลนั้นแลคือการเสวยวิบากกรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะโยมนั้นยังดับอารมณ์ไม่ได้ในขันธ์ ๕ นั่นเอง นั้นย่อมต้องไปอบอบรมบ่มจิตอยู่บ่อยๆ..คือการเจริญปัญญา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  9. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    6B608DC6-BA75-4331-BFAB-F736D26F99AB.jpeg

    อันที่จริงการสวดมนต์ การท่องกับการสวดมันต่างกัน อันว่าท่องมนต์เป็นยังไง ท่องมนต์ก็เรียกว่ายังจำไม่ได้ ต้องใช้ตำรับตำราเค้าเรียกว่าท่องมนต์ แต่ถ้าสวดมนต์เค้าเรียกว่าคนท่องได้แล้วท่องจำ มันไม่ต้องดูแล้ว อันนั้นเค้าเรียกว่าสวดมนต์ ท่องมนต์นี้เค้าเรียกว่าการฝึก ดังนั้นเมื่อโยมท่องแล้ว..เราก็ต้องหัดสวดบ้าง มันจะได้เกิดกำลังใจ เพราะถ้าโยมสวดมนต์ได้บทใดบทหนึ่งโดยที่โยมไม่ต้องดูตำรับตำราแล้ว มันจะมีกำลัง มีความขลังมากกว่า เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    แต่เมื่อเราไปติดตำราน่ะ แม้เราสวดได้เราก็ยังไม่มั่นใจ เข้าใจมั้ยจ๊ะ อ่ะ..ก็มันติดในตำราแล้ว ทีนี้เมื่อเราสวดไปแล้ว เราจะได้รู้ว่าเราสวดได้หรือยัง เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าเราสวด..อ้อ..เราสวดแล้วยังไม่ได้ก็ต้องค่อยดูกัน ไม่งั้นเค้าเรียกว่าโยมจะติดตำรา แต่ถ้าโยมสวดได้ โยมไปไหนโยมก็มีตำราติดไป เค้าเรียกว่ามีวิชา จะเข้าป่าเข้าเขา อ้อ..ไม่มีตำราไปกาง ก็ยังกางในสมองได้..ความจำ โยมเคยสวดเคยชินในจิตวิญญาณ มันบันทึกในจิตวิญญาณ อ่ะ..ถ้าสวดไปแล้วมันสวดผิดก็สวดไปเถอะ..ใช้ได้ทั้งนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถ้ามันผิดเราก็ค่อยมาดูมาแก้ไขมัน ว่ามันผิดตรงไหนอะไร

    ดังนั้นท่องมนต์กับสวดมนต์จึงต่างกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าโยมสวดมนต์น่ะโยมจะไม่เหนื่อย ถ้าโยมท่องมนต์จะเหนื่อย ทำไมจะไม่เหนื่อยล่ะจ๊ะก็โยมไปท่องน่ะ ใช่มั้ยจ๊ะ แต่การสวดมนต์มันออกมาจากจิต ยิ่งสวดมากจิตยิ่งมีกำลัง เข้าใจมั้ยจ๊ะ อาจจะออกเสียงสั้น เสียงเล็ก เสียงน้อย เสียงใหญ่ โอ้..จิตมันทำได้..จิตมันพิศดาร แต่ถ้าท่องมนต์ภาวนา..เดี๋ยวหนังสือตก

    ดังนั้นท่องมนต์กับสวดมนต์จึงต่างกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อเราท่องได้แล้วก็ลองสวดดู ปากมันสวดจิตมันต้องจำออกมา แต่ตอนที่เราท่องอยู่มันอาศัยสัญญาคือความจำ แต่เมื่อจำเข้าไปแล้วมันจำเข้าไปที่ไหน มันจำเข้าไปที่จิต..คือสัญญา จำไปที่วิญญาณคืออารมณ์ที่เราสวด อารมณ์ที่โยมสวดโยมตั้งมั่นหรือเปล่า ทีนี้โยมสวดยังไม่ศรัทธาเลย..ไม่ตั้งมั่น โยมสวดอีกสักร้อยปีก็ยังจำไม่ได้ เห็นมั้ยจ๊ะ นั้นมันอยู่ที่ความตั้งใจนั่นเอง

    โยมตั้งใจฟังอาจารย์สอนครั้งเดียวโยมก็ต้องรู้เรื่องแล้ว ถ้าโยมไม่ตั้งใจน่ะฟังกี่ครั้งก็ไม่รู้เรื่อง นี้คือความศรัทธาไงจ๊ะ มันต้องฝังไปในจิตวิญญาณ ว่าวิญญาณในขณะนั้นอารมณ์นั้นของวิญญาณที่โยมสวดในจิต..โยมตั้งมั่นแค่ไหน ถึงร้อยมั้ย ถ้าถึงร้อยน่ะ..มนต์ที่โยมสวดมันก็ให้ผลเต็มร้อย คือมนต์มันจะแก่กล้าอ่อนกำลังก็อยู่ที่จิตเรา

    มนต์..คาถา..ขลังทุกบทแหล่ะจ้ะ แต่มันอยู่ที่คนสวด เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันอยู่ที่จิตคนสวด ใช่มั้ยจ๊ะ คราวนี้เค้าถึงบอกว่าจิตแต่ละคนน่ะมันมีไม่เท่ากัน แต่มันเอามารวมกันน่ะ..มันก็เลยมีพลัง แล้ววันไหนไม่มีใครสวด เราต้องสวดคนเดียว บางคนสวดๆไป โอ้..พรุ่งนี้ค่อยต่อหลวงพ่อ อย่างนี้เค้าเรียกว่าจิตมันไม่มีกำลัง ไม่มีศรัทธานี่จ๊ะ พอไม่ศรัทธาอารมณ์อื่นก็เข้ามาแทรกแล้วทีนี้ บางคนสวดไปฟุบหน้าหิ้งพระก็มี เห็นมั้ยจ๊ะ เพราะอย่างนั้นมันสำคัญที่เราศรัทธา..ต้องมีศรัทธา

    การท่องมนต์เพื่อให้เราจำ พอเราจำได้แล้วเราก็ไปลองไปสวดดู อ้าว..แล้วการสวดมนต์จะสวดได้ตอนไหนบ้าง อ้อ..สวดได้ทุกตอนที่โยมระลึกได้ เพราะการสวดมนต์ก็เรียกเป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง เอาว่าเอาจิตสวดนั้นเรียกว่าเป็นธรรมทั้งนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ โยมจะสวดภาวนา..สวดภาวนาจึงว่ามาเป็นคู่กัน มันก็ทำให้เกิดสมาธิ มันจะเป็นมงคลกับตัวเอง พอเราจำอันไหนไม่ได้เราก็ไปท่องใหม่

    การที่เราไปท่องบ่นต่อหน้าพระรัตนตรัยเค้าเรียกว่าท่องบ่นต่อหน้าครูบาอาจารย์ เค้าจะดูว่าโยมมีความพากเพียรศรัทธามากแค่ไหน เค้าถึงจะประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ บางคนสวดเป็นทำนองเค้าเรียกว่าสวดเป็นคะนองสวดตลก สวดทำเป็นเล่น ไอ้พวกนี้เค้าเรียกว่าบิดามารดาครูบาอาจารย์เค้าไม่แยแสอะไรหรอกจ้ะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นมันถึงต้องมีการขอขมาพระรัตนตรัยในการสาธยายมนต์ เพราะมนต์นี้เป็นพิธีของสูง เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าเราทำเป็นเล่นมันก็เป็นโทษกับเรา

    เค้าถึงบอกว่าการสวดมนต์แล้ว ถ้าเราไปสวดมนต์แล้วเราไม่มี.. ถ้ามนต์บทใดนั้นมีครูบาอาจารย์ มีเทวาเทพอารักษ์คอยรักษาซะแล้ว เรามาทำเป็นเล่นซะแล้ว สติสตังเราก็ฟั่นเฟือนได้ เห็นมั้ยจ๊ะ อ้าว..แล้วถ้าเรามีการนอบน้อม เขาก็มากัน ขอบุญบารมีขอเทพเทวดานั้นเปิดทางเปิดแสงสว่าง ให้ข้าพเจ้าจดจำในพระคาถานี้ได้ ขอให้ข้าพเจ้านั้นเอาเป็นที่พึ่งรักษาเป็นมงคลแก่ข้าพเจ้า เห็นมั้ยจ๊ะ เมื่อเราได้อ่อนน้อมต่อธรรมซะแล้ว ธรรมเค้าก็เมตตาให้เรานั้นจดจำได้ง่าย เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นการสาธยายมนต์จึงเป็นอุบาย..ทำให้เรานั้นน้อมจิตเราให้ไปเพื่อให้เราลดอัตตาตัวตนนั่นเอง แล้วอัตตาตัวตนนี้แลถ้าใครละไม่ได้ ลดไม่ได้ ก็ยากยิ่งนักที่จะเข้าถึงธรรมทั้งปวง เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นมีเวลาน้อยก็ภาวนาเอา มีเวลามากก็สวดมนต์เอา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  10. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    3D479ECD-637E-4E91-B5F1-47C65EDB11D5.jpeg

    ศีลนี้ทำไมมันถึงพร่อง..เพราะเราไม่ได้รักษาไว้ เพราะเราไม่รู้ไปรักษาที่ไหน เค้าให้มารักษาที่กายเรา วาจาเรา ที่ใจเรา ว่าวาจาที่เราพูดเป็นวาจาที่เป็นโทษหรือเป็นคุณ พูดเสียดสีใครหรือเปล่า ว่าร้ายใครหรือไม่ พูดคำหยาบคายลามกหรือไม่ เหล่านี้..เรียกเป็นวาจาที่ชั่วทั้งนั้น

    อะไรที่ว่าผิดไปจากปรกติแล้วจากศีลจากธรรมแล้วมันจึงเรียกบกพร่อง กาย..เรานำกายของเรานี้ไปทำทุจริตหรือไม่ ไปลักเล็กขโมยน้อยหรือไม่ ไปผิดลูกผิดเมียเขาหรือไม่ เหล่านี้..เรียกว่ากายชั่ว กายทุจริต ใจทุจริตคือมโนคือความคิด คิดอยากได้ของคนอื่น คิดพยาบาท เหล่านี้..เรียกว่ากายชั่ว เรียกว่าจิตคิดชั่ว เหล่านี้..เรียกว่าบกพร่องทั้งนั้น

    เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้วเราฟื้นฟูจิตขึ้นมาใหม่ จิตถ้าต่ำมากความชั่วมันก็ครอบงำได้มากได้ง่าย อย่างที่ฉันบอกถ้าศีลเราบกพร่อง อุปสรรคก็ดีมันก็จะเข้ามาในชีวิต สิ่งที่เราสบายอยู่ก็จะเริ่มลำบาก เอาดูง่ายๆว่าเมื่อเรามีสรรเสริญก็เริ่มเสื่อมแล้ว เมื่อก่อนมียศดีๆก็เริ่มเสื่อม คนไม่เคยนินทาเริ่มนินทา เหล่านี้..จึงบอกว่าศีลเราบกพร่อง มันเกิดจากสิ่งเหล่านี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นควรรักษากาย วาจา ใจให้เป็นปรกติ การเป็น"ปรกติ"เป็นอย่างไร วาจาต้องไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน กายก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่เราคิดก็เช่นเดียวกัน ไม่มีความอิจฉาพยาบาทคนอื่นเค้า เมื่อเราคิดอิจฉาพยาบาทเมื่อไหร่จิตเราก็จะร้อนรน เห็นมั้ยจ๊ะ เราทำตนให้เดือดร้อน อย่างนี้เราควรละอกุศลเสียแบบนี้

    ถามว่าเราน่ะเป็นมนุษย์เราจะพอใจอะไรเราทำได้ทั้งนั้น..ขอให้เรามีสติอยู่กับกายอยู่กับจิตของเรา กาย วาจา ใจถ้าไม่เป็นโทษเป็นภัยกับใคร แล้วก็ไม่เป็นโทษเป็นภัยกับตัวเองแล้ว..เค้าเรียกว่าที่เราอยู่ขณะนั้นดีเป็นมงคลทั้งนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้ากาย วาจา ใจมันทำให้เราเดือดร้อน หรือทำให้คนอื่นเค้าเดือดร้อน..แสดงว่าเรากำลังมีความอัปมงคลเกิดขึ้น บ่งบอกได้เลยว่าเราจะมีเคราะห์กรรมเกิดขึ้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นเคราะห์กรรมไม่ต้องไปดูดวง ดูที่กาย วาจา ใจ ดูที่ศีลเรา ถ้าศีลเราบกพร่องบอกได้เลยว่าเคราะห์กำลังจะมา เคราะห์มันกำลังจะมาเตือน ก็เพราะว่าอารมณ์ที่มาสัมผัสมากระทบนั้นมันบอกเหตุว่าเราพอใจไม่พอใจ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อเค้าเคาะแล้วโยมไม่รู้สึกรู้สาอะไร..เดี๋ยวกรรมก็มากระทบ เกิดกลายเป็นเคราะห์กรรมขึ้นมา นั้นเราต้องรู้จักควบคุมกรรมให้ได้..คือการกระทำ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ปากถ้าจะพูดอะไรนี่..ควบคุมให้มันได้ก่อน ก่อนพูดมันเกิดมาจากอะไรก่อน..เกิดจากความคิดมั้ยจ๊ะ บางคนคิดปั๊บไปก่อนหลุดไปแล้วส่งไปแล้วยังไม่ทันอะไรเลย คำพูดมันลบได้มั้ยจ๊ะ นั้นจะพูดจะจาอะไรให้มีสติ มันก็เกิดมาจากความคิดเรานั่นแล นั้นข้อสำคัญว่าโยมอยู่ด้วยกันแล้ว..มองหาส่วนดีๆให้กัน เพราะส่วนไม่ดีเราก็มีกันอยู่แล้วทุกคน ความชั่วอะไรทั้งหลายทั้งปวงก็มีกันอยู่แล้วทุกคน แต่ส่วนดีส่วนมากคนไม่ค่อยมองกัน ใช่มั้ยจ๊ะ เพราะมันมองเห็นได้ยาก เราก็ไม่อยากให้ใครเกินหน้าเรา..เราจึงมองแต่ของส่วนเสียเค้าทั้งหมด จึงไม่ได้มาเพ่งโทษในความชั่วช้าของเราเอง

    นั้นไม่ว่าถ้าโยมจะไปที่ไหนขอให้มองส่วนดีเค้า..ส่วนชั่วนั่นให้มาพิจารณาดูตัวของเรา นั้นเค้าจะชั่วเป็นเรื่องของเค้า ถ้าเค้าชั่วแล้วโยมไปยึดไปกังวลในความชั่วของเค้า เดี๋ยวโยมก็ได้รับเชื้อนั้นมา..มาเพิ่มความชั่วของโยมอีกทีนี้ นั้นขอให้มองส่วนดีกัน ต่างคนต่างมองส่วนดี..แล้วส่วนเสียเราก็มาต่างแก้ไขกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ อันนี้เค้าเรียกว่าเป็นกรรมฐานโดยแท้..คือมาเพียรละอกุศลมูลนั่นเอง

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  11. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    BD5665BE-8735-42CC-94E9-DDFE565DBD59.jpeg

    ลูกศิษย์ : ปู่เจ้าคะ ลูกอยากจะเรียนถามเรื่องเวลาเราทำบุญ ไม่ว่าเราจะแผ่เมตตาหรือทำบุญทุกอย่างก็จะแผ่ให้คนอื่นสิ่งอื่นตลอด แต่ว่าเราไม่ได้เอ่ยถึงเทวดาประจำตัวอย่างนี้ หมายความว่าท่านจะได้บุญอัตโนมัติมั้ยเจ้าคะ
    หลวงปู่ : บุญอัตโนมัติ..

    ลูกศิษย์ : หมายความว่าแม้ไม่เอ่ย..ท่านก็จะได้รับใช่มั้ยคะ
    หลวงปู่ : แล้วโยมจะรู้มั้ยจ๊ะ เทวดาโยมชื่ออะไร พ่อโยมแม่โยมก็เป็นเทวดาโยมทั้งนั้นแหล่ะจ้ะ บิดามารดาเรียกผู้มีคุณทั้งหลาย..เรียกว่าเทวดาทั้งนั้น อันว่าโยมทำความดีเมื่อเราเอ่ยระลึกในความดี..จิตวิญญาณที่เค้าดีเค้าก็ได้รับ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ทีนี้จิตวิญญาณที่ไม่ดีเล่าจ๊ะ..เค้าจะได้รับหรือไม่..อันนี้เราต้องอุทิศ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เพราะบุญเมื่อเกิดขึ้นแล้วบิดามารดาเค้าได้รับผลโดยตรงอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ว่าที่เค้าจะรับไม่ได้ก็เป็นพวกโอปปาติกะ พวกเปรต พวกสัมภเวสี..พวกนี้เราต้องอุทิศบุญให้เค้า เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นบุญกุศลสิ่งที่โยมทำในคุณความดี ทายาทแห่งกรรมหรือผู้ที่ให้กำเนิดขึ้นมาเค้าต้องได้รับผลบุญโดยธรรมชาติของบุญนั้นอยู่แล้ว แต่พวกเปรต โอปปาติกะ สัมภเวสีทั้งหลายที่มันสิงอยู่ในจิตวิญญาณของเรานั้น..ต้องอุทิศให้เค้าไปเกิด

    หนึ่งก็ด้วยการเจริญปัญญา ด้วยการเจริญทานคือการสละคือการให้ ให้มันมากมันก็ไปกับสิ่งนั้น ยึดมากของมันก็มามันก็มากับสิ่งนั้น ทาน ศีล การภาวนาจิตให้เกิดปัญญา รู้จักอบรมบ่มจิต รู้จักการสละคือการให้ สิ่งเหล่านี้คือความโลภโมโทสันคือเปรตอสุรกายทั้งหลายเค้าจะไปผุดไปเกิด..ก็จะทำให้ลดน้อยลงมา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สิ่งเหล่านี้มันสิงอยู่กับโยม เพราะอะไรจ๊ะ เชื้อพวกนี้แม้เราเกิดมันก็ยังไม่ได้หมดไป จะหมดไปต่อเมื่อเราหมดอยาก แต่จะมีฤทธิ์มีอำนาจมากแค่ไหนก็อยู่ที่เรานั้นไปให้กำลังมัน ไปให้ท้ายมัน คือเรายังหล่อเลี้ยงมันอยู่ ยังไม่ได้เห็นโทษเห็นภัยมัน ต่อเมื่อเราเห็นโทษเห็นภัยมันนี้แล..เราจะปล่อยเค้าเป็นอิสระ..คือไม่ยึด สิ่งสภาวะที่ยึดนี้แหล่ะจ้ะ อะไรมันก็เข้ามาหาทั้งหมด เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นในขณะที่โยมอุทิศบุญแผ่บุญกุศลโยมต้องให้โดยไม่มีประมาณทั้งคนรักทั้งคนเกลียด ทั้งชอบหน้าไม่ชอบหน้า เข้าใจแบบนี้มั้ยจ๊ะ นี่แล้วเค้าจะได้บุญแบบที่โยมบอก แต่ถ้าโยมให้โดยที่มีข้อจำกัด..อันนี้ไม่เรียกอัตโนมัติแล้ว ทำอะไรเค้าเรียกว่าให้โดยไม่มีประมาณ การให้ที่เรียกว่าไม่มีประมาณจึงเรียกว่าไม่มีข้อแม้ในบุญนั้น เมื่อไม่มีข้อแม้ในบุญนั้นแล้วใครมีกำลังบุญพอเค้าจะได้รับไปเอง แล้วแต่อำนาจแห่งบุญกรรม

    อันนี้เรียกว่าให้ไปแล้ว..อันนั้นเป็นเรื่องของผลที่เค้าที่จะได้รับ เราไม่สามารถไปกำหนดกรรมหรือไปแก้ไขกรรมใครเค้าได้ เมื่อเรามีจิตที่ปรารถนาเราเป็นหน้าที่ที่จะให้แล้ว เค้าจะรู้สภาวะของจิตวิญญาณที่เค้าจะได้รับบุญกุศลได้มากน้อยเพียงใด แต่เราได้เรียกว่าทำหน้าที่แล้ว..คือทาน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    แต่ว่าทานนี้จะมีอานิสงส์ไปไกลแค่ไหนก็อยู่ที่"ศีล"ของเรา ใช่มั้ยจ๊ะ ศีลของเราจะมีอำนาจเข้มแข็งได้แค่ไหนก็อยู่ที่การอบรมบ่มจิต คือการภาวนาจิตของเรา จิตที่ขณะให้จิตเราเป็นกุศลมั้ย จิตเราตั้งมั่นในกุศลมั้ย หลังให้ที่เราให้ไปแล้วจิตเราเป็นยังไง เบิกบานมั้ย เสียดายรึเปล่า นี่..ตรงนี้ต่างหาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    โยมต้องเข้าใจการจะให้บุญ การอุทิศบุญ การสร้างบุญ..อยู่ที่"ใจ"ตัวเดียว ใจโยมยังโลภอยู่แต่โยมให้มันก็ยังเป็นมลทินอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ให้ด้วยใจสบายใจ หลังให้ก็สบายใจ พอคิดทีไรก็สบายใจ นั่นแหล่ะจ้ะโยมจะทำอะไรมีโชคตลอดกาลนานแบบนี้ ดังนั้นบุญสำคัญตอนให้ โยมให้หมดใจมันก็มีกำลังมหาศาล..

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  12. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    70D06032-618B-42CC-813C-8367E72AF2DD.jpeg

    มนุษย์ไม่ว่าจะพูดภาษาใด มนุษย์ผู้นั้นล้วนแล้วแต่มีสุขมีทุกข์ เกลียดทุกข์รักสุขกันทั้งนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ ฉันจึงบอกว่าเมื่อโยมแผ่เมตตาออกไปให้โยมนั้นเจริญเมตตานั้นไม่มีประมาณ ไม่ว่ามนุษย์ชาติใด ภาษาใด เชื้อใด ประเทศใด ทวีปใดก็ตาม ขอให้เขานั้นพ้นทุกข์เป็นสุขอยู่ทุกเมื่อ เพียงเท่านี้โยมก็เรียกว่ามีจิตที่ผ่องใส แต่โยมต้องทำได้อยู่บ่อยๆ ฉันจะบอกว่าการเจริญเมตตาในยามใดมีอานิสงส์มากกว่าโยมเจริญเมตตาทั้งวี่ทั้งวัน อ้าว..ฟังไว้นะจ๊ะ
    ๑.เวลาที่โยมจะนอน
    ๒.เวลาที่โยมตื่นนอนใหม่ๆ

    นี่แหล่ะจ้ะ เพราะว่าการที่จะโยมจะนอนนี้เรียกว่าโยมกำลังจะตายแล้ว ให้โยมแผ่เมตตาเจริญเมตตาจิตไปนี่แหล่ะจ้ะ เขาเรียกว่าได้ใช้บุญครั้งสุดท้าย จึงเรียกว่าเป็นอาหารมื้อสุดท้าย มีอานิสงส์มาก

    สองยามที่โยมตื่นคืออาหารมื้อแรก จึงมีอานิสงส์มาก ไม่เชื่อโยมลองทำดู เมื่อโยมแผ่เมตตาจิตให้อธิษฐานจิต เมื่ออธิษฐานจิตไปแล้ว ขอให้โยมจงหลับเป็นสุข ไม่ต้องสนใจอะไรอีก แล้วผลบุญที่โยมอธิษฐานนั้นจะให้ผลอย่างไร โยมจักรู้เองว่าด้วยแรงอธิษฐานแห่งที่โยมนั้นเจริญเมตตามีอานุภาพแค่ไหน เพียงแค่เจริญเมตตาอย่างเดียว แต่โยมต้องรู้จักเวลานะจ๊ะ

    เวลาก่อนนอน..อาหารมื้อสุดท้าย เวลาตื่นนอน..อาหารมื้อแรก สำคัญนะจ๊ะ ตายไปก็พร้อมกับบุญกุศล นักโทษที่เขาจะถูกประหารเขาก็ให้กินอาหารมื้อสุดท้ายเช่นเดียวกัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นถ้าจิตโยมนั้นดับไปด้วยความอาฆาตพยาบาทริษยาแล้วไซร้ บุญกุศลที่โยมอธิษฐานบารมีนั้นจักไม่เป็นผล เพราะว่ากรรมที่โยมนั้นไปกระทำนั้นดับไปพร้อมกับโยมนั้นไปปิดกั้นบุญกุศลโยม เข้าใจมั้ยจ๊ะ โยมลองไปแก้ไขในสิ่งนี้ดู ถ้าโยมอยากเจริญโภคทรัพย์สมบัติ และไปที่ใดมีแต่คนรักเมตตา และอยู่เย็นเป็นสุข แม้จะหลับและตื่น เป็นที่รักของเทวดาและอมนุษย์ทั้งหลาย เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    แม้โยมจะนอน..ก่อนจะนอนอย่างที่บอก โยมนอนตอนไหน โยมก็แผ่เมตตาตอนนั้น (ลูกศิษย์ : ต้องไหว้พระก่อนมั้ยคะ) แล้วที่โยมไหว้พระโยมไหว้ยังไงเล่าจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ก็..อะระหัง สัมมา ก่อนค่ะ) ดีจ้า ถ้าโยมทำได้อย่างนั้น ถ้าโยมตายไปในขณะนั้น โยมจะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่จุฬามณีทันทีเลย อ้าว..ก็จิตโยมนมัสการท่านแล้ว ขุมนรกใดๆก็รับไปไม่ได้ ถึงแม้โยมจะทำกรรมอะไรมาก็ตาม แต่ด้วยอานุภาพแห่งพุทธคุณ พุทธานุภาพ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    อย่าลืมนะจ๊ะ บุคคลที่เจริญเมตตาก็ดี กราบพระสวดมนต์อธิษฐานจิตก็ดี ไม่ใช่ว่าโยมได้กระทำเพียงชาติเดียวชาตินี้ แต่โยมทำมาเป็นอสงไขยแล้ว จิตมันจึงรวมตัวเป็นหนึ่ง ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้ นี่แหล่ะจ้ะมันจึงเป็นบุญนั้นตามรักษาจิต เมื่อโยมทำเป็นความดีแล้วมันจะเรียกว่าทำให้เกิดชำนิชำนาญอยู่ในสายเลือด ในจิตวิญญาณของโยมเอง เพราะไม่มีใครฝืนให้โยมทำได้ จึงได้บอกว่าการทำความดีนั้นต้องทำความดีทั้งต่อหน้าและลับหลังนั้นเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  13. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    18CE904D-89CC-4236-A7EA-95A73A9C30AE.jpeg
     
  14. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๒
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  15. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    097A68AA-743C-433E-B4DB-34EEDF9835CE.jpeg

    เราต้องรู้ด้วยตัวของเราเอง ไม่ใช่ใครมาบอกให้เรารู้ เพราะเมื่อคนที่มาบอกให้เรารู้..มันเป็นความรู้ของคนอื่น ยังไม่ใช่รู้ของเรา เมื่อนั้นแล้วเราจะพึ่งพาตัวเองด้วยสติปัญญาของตัวเราเองไม่ได้ แล้วเราก็จะไม่มีรู้ทางได้จริงเลยว่าสิ่งนั้นที่เราไปฟังมานั้นมันใช่จริงหรือไม่

    เหมือนธรรมคำสั่งสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็ดี เค้าเรียกเป็นธรรมะที่ท่านได้ค้นพบได้ประสบมา ยังไม่ใช่ธรรมะของเรา เมื่อเราฟังมาเราสดับมาแล้ว เราก็ต้องน้อมนำในธรรมท่านมาพิจารณาให้เห็นตามความจริงในธรรมนั้นว่าใช่หรือเปล่า ถ้าเราเห็นตามความเป็นจริงของท่านจริง..เราก็จะได้ธรรมจริง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    แต่ถ้าเรายังไม่ได้ทำแต่ไปรับมาในธรรมคำสั่งสอนท่าน..มันได้แค่รู้ธรรม แต่ยังไม่ได้เข้าถึงธรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั่นจึงเรียกว่าไม่รู้จริง ไม่มีธรรมของตัวเอง เมื่อไม่มีธรรมของตัวเองแล้วจะไปอวดอ้างอะไรกับคนอื่นเค้า ก็เรียกว่าคุณวิเศษเราไม่มี แต่คนที่ประพฤติปฏิบัติเองรู้เองเทพเทวดาเจ้าเค้าก็โมทนา แต่ถ้าโยมไปเอาธรรมคนอื่นมากล่าวขานมาบอกอย่างนั้นอย่างนี้ อานิสงส์ก็ยังสู้บุคคลที่ประพฤติปฏิบัติให้เข้าถึงธรรมเองไม่ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นเราทำอะไรอยู่ประพฤติอยู่..ไม่ใช่ว่าใครไม่รู้ แต่อย่างน้อยเรารู้ว่าเราทำอะไร กรรมดีหรือกรรมชั่ว เป็นกุศลหรืออกุศล เข้าใจมั้ยจ๊ะ โยมจะบวชจิตเทวดาเค้าก็รู้ ไม่ต้องประกาศว่าฉันนี่นั่งได้นาน การนั่งนานนั่งทนเค้าเรียกว่ามีขันติ อาจจะมีความอดทนในสิ่งนี้ แต่ถ้าโยมไม่เคยได้อดทนอารมณ์เวทนาหรือละอารมณ์นั้น โยมจะทนต่อเวทนาหรืออารมณ์ที่คนมาทำให้โยมโกรธโยมไม่พอใจ..ไม่ได้เลยนะเมื่อโยมออกจากฌาน ออกจากการเจริญสมาธิแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    แต่ถ้าโยมหยิบยกอารมณ์มาพิจารณาแล้วละอารมณ์นั้น แล้วเพ่งโทษในอารมณ์นั้นแล เมื่อใครมาทำให้โยมไม่เข้าใจ ไม่สบายใจ ไม่พอใจ โยมจะเท่าทันในอารมณ์ในความคิดที่มากระทบได้..นี่เรียกว่าเป็นผู้เจริญสติจริง เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าเจริญสติจริงโยมจะรู้ได้เลยว่าสติโยมนั้นมีกำลังเพียงใด เรียกว่าโยมเท่าทันในไฟ ๓ กอง (โลภะ โทสะ โมหะ) ได้ หรือว่าลดอารมณ์จากไฟ ๓ กองได้ เท่าทันได้นั่นแล เรียกว่าโยมมีสติจริง เป็นผู้เจริญสติจริง เรียกว่าใช้ได้ แสดงว่าสิ่งที่โยมประพฤติปฏิบัติมาก้าวหน้า

    แต่โยมมานั่งปิดหูปิดตาอยู่อย่างนี้เป็นวรรคเป็นเวร แต่พอใครเค้าว่าตำหนิติเตียนอะไรแล้ว..ไม่ได้เลย ตัวตนสะเทือนทันที นี่แสดงว่าสิ่งที่โยมประพฤติปฏิบัติมามันไม่ได้อะไร มันไม่ใช่สมาธิ เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันมาอาศัยแค่ความสงบ มาอาศัยเพื่อความหลับนอน มาอาศัยเพื่อว่าหนีทุกข์มา เข้าใจมั้ยจ๊ะ อย่างนี้เค้าเรียกมันไม่ได้อะไร..

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  16. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    831B959E-F6F8-40AA-BC92-08284BCFAA06.jpeg

    อันว่ากิเลสนี้จะทำให้หมดไปในทีเดียวนั้นมันก็ทำได้ยาก ก็เหมือนวัชพืชถ้าเราไม่หมั่นถากถางแล้ว ปล่อยให้มันรกรุงรังอยู่อย่างนั้น พอเราจะกำจัดซักทีมันก็เสียกำลังมาก นั้นเราจะทำอย่างไรให้เป็นอุบายที่มาช่วยผ่อนแรงทำหนักให้เป็นเบา ถ้าวัชพืชคือตัวกิเลสนั้นมีมาก นั้นเราก็ต้องลดเชื้อมัน ไม่ให้มันเติบโตขึ้นมา ลดปริมาณการบริโภคอาหารเหล่านี้ ลดการพูด ลดความคิดเพื่อไม่ให้จิตมันฟุ้งกระจาย เพื่อไม่ให้มันแพร่เชื้อ

    เพราะถ้าโยมนั้นขาดจากการประพฤติปฏิบัติภาวนาจิตก็ดี เจริญสมถะธรรมก็ดีเหล่านี้ กิเลสนั้นมันก็ได้สบได้ช่องเข้ามาโจมตี เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นทางที่เราเดินไปในทางมรรคเราต้องหมั่นถากถางอยู่ เราก็ไม่ค่อยคุ้นไม่ค่อยเคย คราวนี้ก็ต้องเริ่มถากถางกันใหม่อีก นั้นทางไหนที่โยมเดินอยู่แล้วถากถางอยู่เป็นประจำ..เรียกว่าเป็นความคุ้นเคย เราจะเดินตอนไหนก็ได้เมื่อเราหมั่นมาดูแลจิตหมั่นทำความสะอาด อบรมบ่มจิต จิตมันจะคอยสอนคอยบอกคอยตกคอยแต่งว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้..นี่แลเค้าเรียกผู้มีปัญญาญาณย่อมรู้ด้วยเฉพาะตน

    อารมณ์คือสิ่งที่ทำให้เกิดความอยาก ความพอใจความไม่พอใจ ความอยากเป็นนั่นเป็นนี่..เหล่านี้เรียกว่าวิญญาณทั้งนั้น ก็ต้องไปดับอารมณ์ในขันธ์ ๕ คือต้นเหตุแห่งทุกข์ ดับในรูปก็ดี ดับในเวทนาก็ดี อะไรที่เราดับได้เหมือนเราตัดเชื้อแล้ว รากเหง้ามันแล้วนี่แล รากกิ่งก้านสาขาที่เป็นบริวารเสียแล้ว..เมื่อไม่มีอาหารหล่อเลี้ยง ไม่มีแม่ไม่มีบิดามัน มันก็เหมือนลูกที่ขาดพ่อ มันก็เคว้งคว้างอับเฉาตายลงไปในทันใดนั้นเอง

    กิเลสก็เหมือนกัน ถ้าเราไปให้กำลัง ไปสนับสนุนมันอยู่อย่างนั้น มันก็ย่อมแพร่เชื้อกระจายถึงลูกถึงหลานเป็นธรรมดา เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อมันมีกำลังมากเราจะกำจัดนั้นมันก็เป็นไปโดยยาก ดังนั้นการจะไปแก้ไขบุคคลอื่นว่าเค้าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้..มันก็มีทั่วไปในคนเลวและคนดี นั้นต้องหันกลับมาดูและกำจัดที่ตัวของเราเองดีกว่า เพราะเราก็มีความดีความชั่วอยู่เช่นกัน เมื่อเรากำจัดเราได้ในความชั่วในอกุศล เราก็จะไม่ว่าใครเลวใครดีอีกต่อไป เพราะเราก็จะเห็นว่าบุคคลทั้งหลายล้วนมีวิบากกรรมเป็นของตนเอง..แม้ตัวเราเองก็เช่นกัน

    บัณฑิตผู้เจริญแล้วมักจะพิจารณาเพ่งโทษแห่งตนอยู่เป็นนิตย์ จะเพียรระวังไม่ไปปรามาสเพ่งโทษคนอื่นๆ เพราะเหตุที่จิตส่งไปภายนอกนั่นแลจึงเรียกว่าเป็นสมุทัย นั่นแลคือต้นตอเหตุแห่งทุกข์ เพราะเมื่อเราส่งจิตออกไปภายนอกแล้ว เมื่อจิตที่เราส่งออกไปภายนอกนั้นเป็นอกุศลจิต จิตนี้แลจึงว่าเป็นบุญเป็นบาป เพราะมีเจตนาที่ส่งไป ดังนั้นควรกำหนดรู้และพิจารณาดับอารมณ์เหล่านั้น

    เหล่านี้แลจะทำให้วิบากกรรมมันเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เป็นตัวเป็นอุปสรรคที่จะขจัดความเจริญก้าวหน้าทั้งทางธรรมและทางโลก เมื่อเราปรารถนาความสุขความเจริญในทางธรรมและทางโลกก็ดี นั่นก็เรียกว่าต้องดับขจัดตัวอกุศลมูลของจิตที่มีความคิดร้ายอาฆาตพยาบาท อิจฉาริษยาเหล่านี้ เพราะตัวเหล่านี้มันเป็นตัวขัดขวางความสำเร็จ ขัดขวางความเจริญ หรือง่ายๆเรียกว่าขัดขวางความสุข

    เพราะว่าเมื่อเรามีความอาฆาตพยาบาท มีความอิจฉาริษยาเสียแล้ว ขณะใดก็ตามที่เรามาเจริญภาวนาจิตอยู่ จิตมันจะสงบได้ยาก ก็เพราะอารมณ์เหล่านั้นแลมันยังมาสิงมาสู่ ยังมาวนมาเวียน ที่ทำให้เรานั้นยังคอยคิดอาฆาตพยาบาทเอาแต่ชนะอยู่...อย่างนี้ต้องกำจัดด้วยการเจริญเมตตาจิตและการอโหสิกรรม คือกำหนดรู้โทษ การขอขมากรรมต่อพระรัตนตรัย เพื่อให้เรานั้นน้อมจิตเข้าเป็นที่พึ่งมีสรณะแล้ว เอามายึดเหนี่ยวจิตใจแทน แล้วถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชาไปเสีย

    ดังนั้นไม่ว่าโยมนั้นจะผูกอาฆาตพยาบาทกับผู้ใดนั้นก็ตามที..ยังตัดยังให้อภัยไม่ได้ก็ดี ก็ให้ตั้งจิตขึ้นมาเป็นกุศล จิตนี้ที่พยายามที่จะละความเบียดเบียนอาฆาตพยาบาทนั่นแลเป็นจิตที่เป็นกุศล แม้เรายังไม่ได้ให้หรือมันยังไม่มอดสนิทก็ตาม แต่นี่แลเค้าเรียกว่าเป็นการละแล้วในตัว เมื่อเรามีความพยายามเพียรละลงไป..เชื้อนั้น อำนาจแห่งไฟโทสะ โทสะ โลภะเหล่านั้นมันก็จะลดน้อย..นี่เรียกว่าเราบั่นทอน ไม่เพิ่มเชื้อ นี่แลเรียกว่าการเจริญกรรมฐานคือการละอารมณ์ในขันธ์ ๕

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  17. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    B3F1759D-2C89-4E54-967C-B842FB99E586.jpeg

    การที่เราจะนอนขอให้เราน้อมจิตเข้าไป นอนคือร่างกายสังขารธาตุมันสงบมันก็หลับของมัน เค้าเรียกธาตุมันสงบมันหลับ แต่จิตเมื่อเรามีองค์ภาวนาแล้วกำหนดจิตไป..จิตมันก็ปฏิบัติธรรมของมันเองในตัว มันจะมีเผลอไปบ้างอะไรบ้าง แต่ในขณะนั้นก็ยังมีสติ เข้าใจมั้ยจ๊ะ อย่างนี้เค้าเรียกว่าแม้จะตายลงไปก็ดี..ก็ยังมีสุคติภูมิเป็นที่หมาย เพราะในขณะที่เราภาวนาจนหลับไป..เป็นฌาน อย่างน้อยถ้าจิตมันไปแล้วก็ไปพรหมโลกเลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นแล้วถ้าร่างกายสังขารมันอ่อนล้าเราก็นอนภาวนาไป อ้าว..วันนี้อยากจะฟังธรรม การฟังธรรม..เมื่อจิตจดจ่อในการฟังธรรมมันก็เป็นสมถะอย่างหนึ่ง เมื่อจิตเราจดจ่อมันก็เป็นฌานเกิดขึ้นมา เมื่อฟังแล้วเข้าใจเกิดปัญญาอีก เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อปัญญามันเกิดขึ้นตอนนั้นโยมตายตอนนั้น..โยมก็สำเร็จตอนนั้นเช่นเดียวกัน

    เค้าถึงบอกว่าสติหรือการประพฤติปฏิบัติธรรมมันเกิดการตั้งอยู่..ดับไปได้ตลอดเวลา อย่าได้ประมาท บุญเล็กน้อยอย่าได้มองข้าม การฟังธรรมก็ดี การสวดมนต์ภาวนาก็ดีเหล่านี้ ขอว่าก่อนที่โยมจะนอนขอให้คิดดี ให้เข้าไปสู่ในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์

    เพราะการฟังธรรม..ฟังจากพระอริยสงฆ์ก็ได้ทำให้เกิดปัญญา ฟังธรรมก็ดี เช่นเราฟังประวัติของพระองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ดี ทำให้เราเกิดมีปิติมีศรัทธา มีศรัทธาปสาทะ ทำให้จิตเราน้อมเข้าอยากเจริญรอยตามในพระธรรมคำสอนของท่าน เห็นมั้ยจ๊ะ สิ่งเหล่านี้เรียกเป็นมงคลทั้งนั้น

    เค้าถึงบอกว่าก่อนนอนให้ละอกุศลเสียให้หมด เช่นเราเล่นอะไรของเรานี่..ก็อย่าได้เพลินจนเกินไป เราต้องละจากความเพลินบ้าง เข้าใจมั้ยจ๊ะ พอเราละเสร็จแล้ว อ้าว..ลองดู สิ่งที่จิตเราเป็นกังวลตัดออกให้หมด ไอ้สิ่งที่เป็นกังวลโยมจำไว้นะจ๊ะถ้าโยมตายไป..หรือว่านอนเป็นกังวลอย่างนี้..เค้าเรียกเป็น"บ่วง"ทั้งนั้น บ่วงคือมัดตราสังข์ จิตจะไม่เป็นอิสระได้ นั้นขอให้โยมตัดอารมณ์ที่เป็นกังวลออกไป

    แล้วหาจิตหาอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งที่ทำให้จิตนั้นมันตั้งมั่นมันสงบได้ เช่นเข้าไปฟังธรรมก็ดี ไปภาวนาก็ดี เปิดบทสวดมนต์บทหนึ่งบทใดก็ดีที่เราชอบฟัง เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันต้องเอาสิ่งที่เราชอบก่อน เพราะเราชอบเราจะเกิดความเพลิน ในความเพลินนั้นจะเกิดสุขขึ้นมา จิตเมื่อมันเกิดสุขแล้วมันก็จะเกิดปิติ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ก็ต้องมีความพอใจเข้าไปนอบน้อมก่อนมันถึงจะเกิดอิทธิบาท ๔ ขึ้นมา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นอะไรที่โยมพอใจ..ถ้ามันเป็นไปในทางฝ่ายอกุศลทำให้จิตมันตกต่ำ พอมันถึงเวลามีสติให้โยมละจากความเพลินนั้นเสีย การที่โยมละออกจากความเพลิน ถอดถอนออกจากสิ่งนั้นได้..เรียกการถอดถอนอุปาทานแห่งขันธ์ เพราะสิ่งที่โยมไปยึดอยู่..สิ่งใดยึดสิ่งนั้นเรียกว่าทุกข์ สิ่งที่โยมเพลินพอใจเรียกว่าอุปาทาน คือการปรุงแต่งแห่งจิต เมื่อเราถอนอุปาทานออกมา มันก็เรียกมีสติตื่นขึ้นมารู้ใหม่ ให้โยมเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติเปลี่ยนอารมณ์ใหม่เข้ามา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ก่อนนอน..ระลึกถึงการที่โยมประพฤติปฏิบัติก็ดี ปรารภความเพียรที่โยมประพฤติปฏิบัติธรรมของโยมได้ก็ดี ระลึกถึงบุญกุศลที่โยมได้กระทำมาแล้วก็ดี เข้าใจมั้ยจ๊ะ แล้วแผ่เมตตาออกไปแบบนี้ เรียกว่าผู้นั้นได้เจริญอยู่ในอู่บุญอู่กุศลอยู่ตลอดเวลา ย่อมมีเทพเทวดาคอยดูแลอารักขาอยู่ตลอดเวลา เข้าใจมั้ยจ๊ะ อย่างนี้เค้าเรียกว่าคนไปที่ไหนเป็นที่รักของอมนุษย์และเทวดา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นขออย่าบอกว่าแม้ตอนหลับตอนนอนทำกุศล..ทำอะไรไม่ได้ ทำบุญไม่ได้..ไม่จริง บุญเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ฉันก็บอกแล้วถ้าบุญโยมไม่ดีจริง..ตื่นขึ้นโยมจะไม่มีลมหายใจ ถ้าโยมยังกินอิ่มนอนหลับอยู่ ถ่ายได้อยู่..นั่นเรียกว่าบุญรักษาทั้งนั้น ไปไหนแล้วยังกลับบ้านได้อยู่ไม่มีเวรภัย..ชื่อว่า"บุญรักษา" หรือว่าไปแล้วเกิดอุบัติเหตุก็ยังรอดมาได้..ก็ยังบุญรักษาอีก เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  18. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต วันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๒
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
  19. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต วันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๒ ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙(เพชรบุรี) “๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ ,๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒(กรุงเทพ)
     
  20. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    ED6955AB-1D6C-4169-81A7-07BB04D46823.jpeg

    ร่างกายมันเป็นธรรมดา..มันก็ต้องมีความเหนื่อยล้า แต่ร่างกายมันเหนื่อยล้าเพียงใด โยมพักไม่นานมันก็หาย เพราะสิ่งใดที่โยมทำไปนั้นหากโยมทำด้วยใจแล้ว..มันจะผลักดันมาเป็นสุขแทน คือมีความสุขที่ได้ทำ ทุกครั้งที่โยมมาทำโยมจะไม่มีความเหนื่อยล้า คือไม่เหนื่อยใจ ไม่อ่อนล้า ไม่หมดใจ เมื่อมีแรงก็ทำอีก เมื่อมีแรงก็ทำอีกอยู่อย่างนี้..

    เหมือนการประพฤติปฏิบัติในความเพียร พอกายสังขารมันไหวเราก็ทำให้มาก มันล้าเราก็พักมันดูมันไป เราก็ฝึกจิตไป เมื่อมีกำลังเราก็สร้างความเพียรไปอีก เอากายนี้แหล่ะจ้ะเคี่ยวเข็ญมัน ถ้ากายไม่ไหวเราก็ฝึกจิต เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไม่นานทั้งกายและจิตมันก็จะรวมเป็นหนึ่ง มันจะกล้าแกร่งขึ้นมาทีนี้ พอเราไม่อยากทำทีนี้มันก็จะรู้ของมันเอง มันก็จะฝึกจะฝนมันเองในตัว เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นเรามีกายแล้วเรามีโอกาสที่จะเลือกว่าจะเอากายนี้ไปสร้างความดี สร้างความชั่ว สร้างบุญสร้างกุศลอันใด..ก็เป็น"สิทธิ์"ของโยม แต่เมื่อโยมได้ละโลกนี้ไปแล้ว..โยมจะหาสิทธิ์นั้นไม่มี ทีนี้แลบุญกุศลและกรรมนั้นแลจะเป็นสิทธิ์ที่ทำหน้าที่แทนโยม เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ตอนนี้โยมมีสิทธิ์ แต่ถ้าตายไปแล้ว..หมดสิทธิ์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เพราะตายไปแล้วอำนาจธาตุทั้ง ๔ ประกอบธาตุสังขารไม่ได้..ก็หมดสิทธิ์แล้ว หมดสิทธิ์ที่จะสั่งการมัน แต่ตอนนี้โยมสามารถสั่งประชุมธาตุได้ เล่นแร่แปรธาตุได้ ก็อยู่ที่ตัวของโยมเองที่จะเลือก ดังนั้นแล้วฤทธิ์ทั้งหลายก็อยู่ที่ใจของโยม กรรมทั้งหลายที่จะหมดได้ก็อยู่ที่ใจดวงเดียว ศีลก็เช่นเดียวกัน..รักษาใจให้ตั้งมั่นเป็นปรกตินั่นแล..ศีลหมื่นข้อพันข้อทั้งหลายก็รวมอยู่ที่นั่น เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ใจที่เป็นสุข ใจที่ไม่วุ่นวาย ใจที่ไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ ไม่มีหลง แต่ถ้ามันมี..ก็รู้ เมื่อรู้แล้วมันก็วางก็ดับ..มันก็หาย เมื่อมันเกิดขึ้นอีกก็รู้มันอยู่บ่อยๆ แล้วน้อมนำสิ่งที่เป็นโทษเป็นคุณนั่นแลหากว่าเรายังไปละเมิดอยู่ ไปพอใจไปติดอยู่ก็ค่อยไปแก้ไปไขมัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นเมื่อโยมมีโอกาสที่จะมารักษาศีลเจริญภาวนา เจริญทานบารมี..โยมอย่าได้มีข้อแม้ คำว่าไม่มีข้อแม้เป็นอย่างไรในบุญนี้ เมื่อถึงเวลาวาระที่บุญกุศลโยมมาที่โยมจะได้รับอะไร เขาจะไม่มีข้อแม้ต่อโยมเช่นเดียวกัน แต่ถ้าโยมมีข้อแม้ในบุญกุศล เมื่อสิ่งที่โยมจะได้สิ่งใดมาก็ตามเมื่อจะถึงเขาก็จะมีข้อแม้ มีอะไรมาขัดขวาง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นทำอะไรอย่าได้หวังผลและอย่าได้มีข้อแม้ ขอให้ทำด้วยใจที่ตั้งมั่นเป็นกุศล แรงตรงนี้แลจะผลักดันให้โยมนั้นสำเร็จทุกอย่างทุกประการได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่คือ"ฤทธิ์ทางใจ" ไม่มีฤทธิ์อะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ถ้านอกเหนือจากนี้แล้ว โยมจะได้อะไรมาแล้ว..ไม่ใช่ของฟรีเลย จะต้องมีการทดแทนและเสียไป

    แต่ของอะไรที่เราไม่ได้อยากได้แล้วเราปรารถนาไว้ แม้เรานั้นยังไม่พึงประสงค์ว่าอยากได้มัน..มันก็จะมาหาเราเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ นี่เค้าเรียกว่าบารมี แต่สิ่งที่เราอยากได้แต่บารมีเราไม่ถึงแล้วเราไปฝืนมัน แม้จะได้มาไม่นานก็รักษาไว้ไม่ได้ ต้องอันตรธานสูญหายไป เสียหายไป พังไป พินาศไป..ด้วยอำนาจแห่งกรรมทางใดทางหนึ่งนั่นเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๔ ๘๙๓๖๙๖๑ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     

แชร์หน้านี้

Loading...