ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต

ในห้อง 'สมเด็จโต พรหมรังสี' ตั้งกระทู้โดย na_krub, 12 ตุลาคม 2017.

  1. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    DC1780D3-F931-426B-8BEE-000C5371A188.jpeg

    คนจะไปนิพพานต้องละอัตตาตัวตน เพราะประตูนิพพานเป็นประตูที่แทบจะมองไม่เห็นเลย แต่จะรู้ด้วยสภาวะจิตเท่านั้น โยมว่าจิตมีสภาพเป็นยังไง โยมว่าสภาวะจิตเป็นยังไง โยมเคยเห็นจิตมั้ยจ๊ะ ลมมองไม่เห็นหรอกจ้ะแต่จับต้องได้รู้สึกได้ว่าลมเย็นๆ ลมมันร้อน ลมพัดกระพือ อันนี้มองไม่เห็นแต่ว่าจับต้องได้รู้สึกได้มั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : ได้ค่ะ) แล้วจิตเล่าจ๊ะ จิตมันเป็นรูปร่างหน้าตาอย่างไร

    จิตมันเป็นอย่างไร..สภาวะจิต? จิตมีหน้าตามั้ยจ๊ะ จิตมีหน้าตา จิตใจดีหน้าตาจะยิ้ม จิตที่เป็นโทสะหน้าจะเป็นยักษ์เป็นมาร จิตที่มีราคะหน้ามันจะดำๆ เห็นมั้ยจ๊ะ จิตมันมีหน้าตา มันออกมาทางกิริยา มันออกมาทางที่การแสดงของอารมณ์นั่นแหล่ะจ้ะ แต่มันรับรู้อารมณ์ได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทวารเหล่านี้มันมีวิญญาณอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ พอหูมันรับรู้สิ่งที่ไม่พอใจมันเกิดโทสะ..ควันออกหู ถ้ามันได้ยินอะไรที่มันเพลิดเพลินพอใจ..มันจะเคลิ้ม มันจะใหลหลง เหมือนจะบินได้เหาะได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    งั้น..จิตมีตัวตนมั้ยจ๊ะ? (ลูกศิษย์ : จิตมันอาศัยร่างกายอยู่ค่ะ) จิตมันอาศัยทุกอย่างในร่างกายอยู่ ดังนั้นเราจะรู้อาการของจิตได้เราต้องรู้อารมณ์ก่อน อารมณ์ที่มากระทบนั่นแล ที่มันผ่านอะไรมา..ก่อนจะเข้ามาถึงตัวรู้ ถึงตัวที่เรารู้สึกสัมผัสได้..ก็คือผัสสะ อารมณ์เข้ามากระทบทำให้เราเกิดผัสสะ เกิดความยินดียินร้าย เกิดความพอใจไม่พอใจ นี่แหล่ะจ้ะคือความหลง ความขัดข้องใจ ความหดหู่ใจ ความเศร้าหมองใจ เหล่านี้ มันเกิดขึ้นก็ตรงนี้ ด้วยอายตนะภายนอกและภายใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทวารทั้งหลายเหล่านี้

    นั้นจิตเค้ามีรูปร่างหน้าตา จิตดีเค้าก็ยิ้มแย้มแจ่มใส จิตมักโกรธเป็นอย่างไร เค้าเรียกว่าจิตมักโกรธนี่พูดอะไรก็ขัดหูไปหมด จิตมีความอิจฉาริษยา เค้าจึงบอกว่าจิตนี่สามารถดูได้เห็นได้ แล้วถามว่าโยมจับต้องมันได้มั้ยจ๊ะ มันเป็นความรู้สึกเฉพาะภายในของจิต จิตเสียใจเป็นมั้ยจ๊ะ จิตเสียใจเป็น เจ็บร้องไห้เป็น จิตมีความรักมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : มี) จิตมีความอยากมั้ยจ๊ะ (ลูกศิษย์ : มี) ไอ้ที่โยมตอบมาเพราะโยมรู้ใช่มั้ยจ๊ะ

    คราวนี้ไอ้ตัวรู้นี่..โยมรู้แบบนี้มา..มันเป็นความจำมาตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว เพราะจิตนั้นมันถูกปลูกฝังมาแบบนี้ หิวก็กิน ใช่มั้ยจ๊ะ ไม่พอใจก็โกรธ พอใจก็มีความสุขดีใจ เสียใจ..พอไม่ได้ดั่งใจ นี่คือตัวรู้ จิตมันคือรู้ แต่พอว่าถ้าโยมอยากจะรู้สภาวะจิตที่แท้จริง พอจิตมันรับรู้มากๆแล้วมันไม่ได้ดังใจ มันสะสมความอยาก สะสมความหลง ความไม่รู้จริง..มันเป็นอย่างไร..สะสมมาเป็นอัตตาขึ้นมา เป็นตัวตน เป็นเขา เป็นเรา นี่..มันก็มีความทะยานอยากไม่จบสิ้น จึงเกิดภพน้อยใหญ่ เกิดชาติคือการเสวยภพ

    แต่เมื่อเรารู้สภาวะจิตที่แท้จริงแล้ว เช่นเมื่อเรารู้ว่ามีคนมากระทบในอารมณ์แห่งความโกรธไม่พอใจ แต่ถ้าจิตที่มันฝึกแล้วมันจะไม่โกรธตอบ เพราะจิตที่ฝึกด้วยมีสติแล้วจะเกิดความเมตตา จิตมันก็จะวางคลายอารมณ์นั้น เพราะจิตไม่เข้าไปยึด..แต่แค่รู้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อมันรู้แล้วมันก็วางในอารมณ์นั้น..อารมณ์นั้นมันก็ดับไป นิโรธมันก็บังเกิด จิตที่แท้จริงแล้วเค้าไม่รับรู้อะไรเลย ที่มันมีอาการ..นั่นแลคือเจตสิกของจิตที่มันแตกออกไปมากมาย เพราะเรานั้นไม่สามารถดับอารมณ์ที่เกิดได้ คือภพชาติมันเกิดซ้อนเกิดตาย นั้นจิตเกิดตายอยู่ตลอดเวลา เพราะจิตก็ไม่เที่ยงเช่นกัน เกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป คือสภาวะจิตทั้งนั้น

    บางทีเกิดแล้วเราไม่เท่าทันในตัวเกิด ตั้งอยู่เราก็ยังไม่เท่าทัน ดับไปตอนไหนก็ยังไม่รู้ นี่คืออวิชชา..ทำให้เกิดภพเกิดชาติมันซ้อนอยู่อย่างนั้น เห็นมัยจ๊ะ เค้าถึงบอกว่าจิตหรือเราที่มันตายทุกขณะจิตอยู่แล้ว พระพุทธองค์ท่านก็เลยบอกว่า..ถ้าต้องการจะพ้นทุกข์ก็ให้ค้นลงไปตรงที่จิตตัวเดียว

    แล้วถามว่าใจคืออะไร ใจก็เรียกว่าเป็นตัวประธาน เป็นเชื้อกรรมเก่า ใจกับจิต ถ้าโยมเข้าใจโยมก็เข้าถึงจิต ใจเหมือนเป็นตัวห่อหุ้มจิตไว้ ถ้าใจโยมดีจิตมันก็ดี ถ้าใจโยมเสียจิตโยมก็เสีย ถ้าสรุปว่าจิตคืออะไร จิตคือพลังงานปรมาณูอย่างหนึ่งที่เชื่อมต่อจักรวาล จิตเหมือนเป็นนิวเคลียร์ แม้มองไม่เห็นเป็นจุลภาคเล็กๆแต่มีพลังงานมหาศาล

    โยมรู้มั้ยจ๊ะว่าคนๆนึงเมื่อเกิดโทสะแล้ว..ถ้าเค้ามีอำนาจแห่งไฟโทสะก็ทำลายล้างโลกได้ จิตเห็นมั้ยจ๊ะ..ที่มันคิดสร้างปรมาณูขึ้นมาทำลายล้างโลกได้มั้ยจ๊ะ เพราะจิตมันเกิดมีโทสะ มีความโลภ ความหลง มันอยากจะยึดครองไปหมด..จิตตัวเดียว แต่เกิดจากใจที่มีความอยาก..ใจมันของมาร นั้นพระพุทธองค์ท่านจึงเอาศีลมารักษามนุษย์ ไม่งั้นมนุษย์จะทำลายมนุษย์ด้วยกันหมด เห็นมั้ยจ๊ะ ลูกเมียผัวใครมันก็เอาหมด เพราะจริงๆจิตมันไม่รู้เรื่องอะไรเลย ศีลธรรมมันต้องเกิดขึ้นมา..ถึงจะรู้อันนี้ลูกเมียนะ..อันนี้คือสิ่งที่ไม่ควรทำ ศีลเค้าบัญญัติไว้แล้ว มีขอบเขตเท่านี้ แต่มนุษย์นั้นมันล่วงล้ำอาณาเขตถึงได้มีปัญหา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  2. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    7B27C7EA-EA40-4A46-852C-F6F1B59CE51E.jpeg

    ผู้ใดเห็นภัยในวัฏฏะ แม้ชั่วขณะจิตเดียว เรียกว่ามีอานิสงส์มหาศาลยิ่งกว่าผู้เจริญฌานมากว่าร้อยปี ดังนั้นขอให้โยมนั้นจงมีสติ จงดูกายตนนี้ นี่แล..แหล่งรวมธรรมแห่ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แห่งพระไตรปิฎก แห่งกฎแห่งไตรลักษณ์ แห่งความเป็นจริงที่พญามารเขานั้นได้สาปด้วยมนตราที่โยมนั้นหลงติดว่า"ตัวกูของกู" จึงหลงกายหลงตน เมื่อหลงกายหลงตนจึงเพาะเชื้อ ทำให้เกิดความฮึกเหิมไปหลงกายผู้อื่น แล้วก็ไปดึงกรรมผู้อื่นเขามา จนกรรมน้ันพัวพันจนเกิดวิบากกรรม เกิดเวรพยาบาทตามมาไม่จบสิ้นจบชาติกันไป

    ดังนั้นหากโยมไม่อยากมีเวร โยมก็อย่าไปสร้างพยาบาทจิตกับใคร ดังนั้นทุกครั้งที่โยมจะเจริญกรรมฐานภาวนา กรรมฐานคือการงาน การงานเมื่อโยมตั้งตนตั้งใจที่ชอบ อยู่กับสติอยู่กับกายในตน นั้นเรียกว่าโยมนั้นมีสติครองสติได้ การงานคือสมถะ โยมจะภาวนาสิ่งการใดดูจิตดูใจ เจริญวิปัสสนา พิจารณากาย เขาเรียกว่าเป็นสมถะ เรียกว่าเป็นการงาน เรียกว่าจิตนั้นได้พิจารณาแล้ว นั่นเรียกว่าเกิดวิปัสสนาญาณ ย่อมทำให้รู้เห็นทำตามความเป็นจริง

    หากโยมนั้นมีจิตที่ข้องเกี่ยวกับการงาน จิตโยมนั้นจะไม่มีอะไรมาข้องเกี่ยวเรียกว่าจิตนั้นเป็นหนึ่ง เป็นเอกัคคตาในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ใจย่อมตั้งมั่นในสิ่งนั้น เรียกว่าอารมณ์ทางภายนอกทางโลกภายนอก ในรูป รส กลิ่น เสียงย่อมเข้ามาสัมผัสไม่ได้ เมื่อเข้ามาสัมผัสในขณะที่โยมเจริญสติอยู่ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง เรียกว่าเท่าทันในอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้จริง ดังนั้นโยมต้องพิจารณาให้จงหนัก

    เมื่อโยมต้องการพ้นทุกข์จริง ถ้าโยมมีการขอ มีการปรารถนา โยมต้องรู้เสียก่อนว่า "โยมเกิดมาทำอะไร" คราใดที่โยมกำหนดรู้ได้แบบนี้ อดีตที่โยมเคยอธิษฐานมาจักเข้ามาบอก นั่นเรียกว่าเทพเทวดาได้นิมิต เกิดลางสังหรณ์ได้บอกทางโยม ชี้ทางโยม เมื่อนั้นการอธิษฐานบารมีที่โยมได้เคยกระทำบารมีมานั้นจักรวมตัวเข้ามาอยู่ในห้วงในจิตในขณะนั้น จะทำให้โยมนั้นตื่น เรียกว่าจิตนั้นเบิกบานแจ่มใส นั่นแลเหมาะแก่การบำเพ็ญจิตประกอบคุณงามความดี แผ่บุญกุศลให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้บิดามารดา ทวดหญิงชาย ผู้มีเวรอาฆาตพยาบาทของโยม ที่ได้กระทำเบียดเบียนด้วยกายวาจาใจมา ทั้งในอดีตถึงปัจจุบันของโยมนั้นแล

    ดังนั้นหากผู้ใดที่ปรารถนาจะพ้นทุกข์ โยมอย่าได้หนีทุกข์ แล้วจงจำเอาไว้ ถ้าผู้ใดมีทุกข์ในขณะนี้ ไม่ว่าทุกข์นั้นจะมาด้วยกายวาจาใจ หรือกรรมในอดีต หรือกรรมที่ไม่ใช่ของเรา แต่จงจำไว้แม้กรรมนั้นไม่ใช่ของเรา ถึงแม้เป็นผู้อื่น แต่อย่าลืมว่าโยมก็เคยไปพัวพันกรรมมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จงรับกรรมนั้นซะ แล้วอย่าได้หนี

    เมื่อโยมตั้งสติรับกรรมได้ด้วยมีสติแล้ว หากโยมมีบุญพอ ก็ให้อธิษฐานบารมีแผ่เมตตาอยู่บ่อยบ่อย หากโยมมีมากพอแล้ว..ถึงไม่มากพอ ก็เรียกว่าหนักจักกลายเป็นเบา จากเบาจักไม่มี แต่ถ้าโยมหนี แม้โยมหนีไปเมื่อไหร่ ๑๐ ปี..มันก็ยังหนีได้ แต่โยม"หนีกรรมไม่พ้น"

    ดังนั้นขอให้กรรมทั้งหลายนั้น จงจบสิ้นด้วยการ"อโหสิกรรม" กรรมทั้งหลายทั้งปวงแพ้อโหสิกรรม ดังนั้นโยมก่อนจะเข้ากรรมฐาน ขอให้อธิษฐานอโหสิกรรมก่อน ไม่ว่ากรรมทางกายวาจาใจทั้งหลายทั้งปวง กรรมติดหนี้บุญคุณกุศลทั้งหลายทั้งหลายทั้งปวง ทั้งหลายทั้งปวงที่โยมไปทำมาที่รู้หรือไม่รู้ก็ตาม และที่รู้ในปัจจุบัน ขอให้กำหนดรู้ แม้จะเป็นบุคคลที่ชอบหน้าไม่ชอบหน้าไม่พอใจทั้งหลายทั้งปวง ขอให้โยมอโหสิกรรม บุญกุศลที่โยมมีส่วนกระทำได้ขึ้นมานั้น จงมอบให้กับเขาไป อย่าได้หวงแหน ถ้าโยมหวงเมื่อไหร่ นั่นเรียกว่าเป็น"การติดหนี้" หวงบุญ..นั่นไม่เรียกว่าการให้อภัยทาน อโหสิกรรมนั้นจักไม่เป็นผล

    ดังนั้นเมื่อที่โยมทำบุญให้ใครเมื่อโยมให้..บุญนั้นจักยังอยู่ไม่หมดไป แต่คราใดเมื่อโยมนั้นหวงบุญ..กลัวบุญจะหมด บุญนั้นก็หมดในขณะนั้น แต่เมื่อใดโยมให้ใครไป เทวดาที่จักรับรู้โมทนาเขาจะรักษาไว้ คราใดในบุญที่โยมให้ใครไป ให้มากแค่ไหน ในขณะปัจจุบันแห่งดวงวาสนาโยมตกอับ บุญนั้นจะมาหนุนนำให้โยมนั้น..ให้ประคองไม่ให้ทรุด ไม่ให้ต่ำลงกว่าเดิม นั้นเรียกว่ากรรมจักพยุงไว้ ด้วยอำนาจแห่งบุญ

    สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นไม่ได้เพราะว่าเหตุบังเอิญที่เกิดขึ้นมา กรรมทั้งหลายที่โยมได้เสวยในวิบากกรรมทั้งหลายนั้น ล้วนแล้วแต่มีเหตุ หาใช่ว่าบังเอิญ หรือใครกระทำไว้ไม่ แต่เป็นเราต่างหากที่ไปกระทำไว้ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

    ดังนั้นการจะเข้ากรรมฐานเจริญบุญกุศลและการกระทำบุญใดๆที่เป็นบุญกุศลแล้วไซร้ ให้อธิษฐานอโหสิกรรมบุญเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ขอให้เขามาโมทนาบุญ ทุกๆบุญให้โยมกระทำไปอย่างนี้ จนจิตของโยมนั้นปราศจาก"ไฟ" เรียกว่าโทสะไม่เร่าร้อน เมื่อนั้นบุญแม้โยมไม่เจริญภาวนาก็ตาม แม้โยมไม่ทำอะไรก็ตาม เพียงโยมรักษาจิตให้โยมนั้น ใจของโยมนั้นให้เป็นปกติ โยมก็เกิดบุญ ทำไมฉันจึงกล่าวเช่นนี้ เมื่อใจของโยมเป็นปกติ คำว่าเป็นปกตินั่นคือ"ศีล" แสดงว่าศีลนั้นบังเกิดอยู่ตลอดเวลา ก็เท่ากับโยมรักษาศีล บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล บุญสำเร็จด้วยการให้ทาน บุญสำเร็จด้วยการภาวนา เมื่อศีลโยมมี ทานโยมก็ต้องมีได้ ภาวนาโยมก็ต้องมีได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  3. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
     
  4. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    AF8DDE3F-8A01-4C99-8D9D-322B1D536E4D.jpeg

    การเห็นนรก..เห็นสวรรค์..ก็ยังไม่วิเศษเท่ากับเห็นใจตนเพียงแค่ครั้งเดียว เห็นว่าใจเรานั้นยังหลงอะไรอยู่ ยังติดอะไรอยู่..นี่แลประเสริฐนัก เข้าใจมั้ยจ๊ะ เห็นอย่างอื่นยังไม่ประเสริฐยังไม่วิเศษ ถ้าเห็นใจตนได้ว่าเราหลงอะไรอยู่ มีไฟอะไรครอบงำอยู่ในขณะนั้น ถ้าโยมเห็นได้อย่างนั้น..นั่นเค้าเรียกว่าเห็นชอบ นั่นเรียกว่าเห็นทางเดินแห่งมรรค ประเสริฐยิ่งที่สุด แม้เทพยดาเค้ายังสรรเสริญโมทนาสาธุการลั่นสะเทือนแผ่นฟ้าแผ่นดิน

    การเห็นนรกเห็นสวรรค์ไม่ใช่ของวิเศษอะไรเลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันเป็นธรรมดา ถ้าจิตเราเป็นกุศลหรือจิตมันสงบมันก็ย่อมเห็นกันได้ เช่นจิตมันเป็นนิมิตขึ้นมา เพราะสวรรค์ก็ดี นรกก็ดี..ทำไมถึงเห็นได้ ก็เพราะเราเคยไปอยู่แล้ว..นั่นแลคือสัญญา เข้าใจมั้ยจ๊ะ อ้าว..ถ้าโยมไม่เคยไปอยู่ ไม่เคยไปรับรู้ ไม่เคยไปสัมผัส มันจะเห็นได้อย่างไร..เพราะมันเป็นสัญญา

    อะไรที่มันผุดขึ้นมาแสดงว่าเราได้เคยเจอ ได้เคยประสบ ได้เคยเสวยนั่นเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะจิตมันเป็นธาตุรู้มันย่อมเกิดนิมิตให้รู้ให้เห็นได้ จะได้รู้จะได้เข้าใจ จะได้ละวางอัตตาตัวตน การถือดีอวดดี จะได้เร่งบำเพ็ญบารมีให้มากๆยิ่งๆขึ้นไป ไม่ใช่เห็นสวรรค์นรกแล้วเป็นผู้วิเศษ อวดดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่ได้เห็นกิเลสตน โอ้..พวกนี้น่าเวทนานัก เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นนักปฏิบัติแล้วอย่าได้หลงกับสิ่งนี้หรือนิมิตใดๆ

    อันว่านิมิตมันก็บอกอยู่แล้ว..มันคือมายาของจิต เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่สิ่งที่เราเห็นกิเลสและรู้ว่าจะกำจัดกิเลสได้อย่างไร อันนั้นไม่ใช่มายาไม่ใช่นิมิต..แต่อันนั้นเรียกว่าปัญญา นั้นถึงว่าเมื่อมีปัญญาแล้วนั่นแล บุคคลใดที่มีปัญญาย่อมออกจากทุกข์ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีหลัก

    ลูกศิษย์ : แล้วการที่เราจะทำให้จิตมันแข็งแรงขึ้นต้องทำยังไงคะ
    หลวงปู่ : โยมต้องภาวนาอยู่ทุกขณะจิตเท่าที่โยมระลึกได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แม้จะหลับจะนอน แม้จะตื่นนอน แม้ยังเคลิ้มๆอยู่ก็ควรภาวนา อย่าให้มีอารมณ์ใดนิวรณ์ใดเข้าไปแทรก แม้มันแทรกได้แต่เราก็ต้องมีสติอยู่ในขณะนั้น..แม้จะอ่อนก็ดี ทำให้มันชิน ชินนั่นแล..คือฌาน ฌานนั้นคือกำลัง กำลังนั้นแลคือเบื้องบาทของวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาญาณเมื่อเราพิจารณามากๆนั่นแล..มันเป็นกำลังของอภิญญา อภิญญานั่นแล..เป็นกำลังของตัวปัญญา ญาณหยั่งรู้อย่างยิ่งยวด เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ไม่ว่าเราจะทำอะไรสวดมนต์ภาวนา ประพฤติปฏิบัติอะไรก็ตาม ภาวนาระลึก สิ่งเหล่านี้เค้าเรียกเป็นการสะสมพลังงานของจิตทั้งนั้น คือไม่ส่งจิตออกไปภายนอก จิตที่เราส่งไปภายนอกนี้แลเค้าเรียกต้นเหตุแห่งทุกข์..มันจะทำให้เกิดผล เราต้องดับเหตุอยู่บ่อยๆ นั้นเหตุมันไม่ได้อยู่ที่ภายนอก มันอยู่ที่ใจของตัวเราเอง เราต้องกำหนดรู้กรรมอยู่บ่อยๆ ว่ากรรมในขณะนี้อกุศลหรือกุศลมันเกิดขึ้น มันเป็นคุณหรือเป็นโทษ..

    เมื่อเรารู้โทษรู้คุณมันได้อย่างนี้แล้ว..เราจะเท่าทันกรรม ถ้าเราเท่าทันมัน..เราสามารถจะแก้ไขมันได้มั้ยจ๊ะ แต่ถ้าเราไม่เท่าทันมัน..มันแก้ไขไม่ทันหรอกจ้ะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เรารู้ว่าการด่าใครมันไม่ดี แต่เราขาดสติมีโทสะมันก็พลั้งออกไปแล้ว เข้าใจมั้ยจ๊ะ เช่นนี้เค้าเรียกว่าสิ่งไหนที่มันล่วงไปแล้ว..แม้จะเป็นกรรมชั่วอะไรก็ตาม เมื่อสำนึกได้แล้วขอให้เราตั้งใจเสียใหม่ เมื่อเราตั้งใจใหม่บ่อยๆ นั่นแหล่ะเค้าเรียกว่าสติ ที่มีสติกำกับ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มันก็จะช่วยประคับประคองให้เรานั้นเท่าทันมันได้ เมื่อเราเท่าทัน..กรรมมันก็จะดับของมันเอง นิโรธมันก็บังเกิด เมื่อนิโรธบังเกิดแล้ววิปัสสนาญาณหรือปัญญามันก็บังเกิด ให้รู้เท่าทันเห็นตามความเป็นจริงในโทษภัยของสิ่งนั้น ในกรรมชั่วในอกุศลนั้นได้ มันก็ต้องว่าต้องอบรมบ่มจิตอยู่บ่อยๆ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นการที่โยมสาธยายมนต์แล้ว ข้อสำคัญที่สุดและไม่ควรจะละเลย นั่นก็หมายถึงว่าถ้าได้สาธยายมนต์ลงไปแล้ว จิตมันปักลงไปที่พระพุทธมนต์แล้ว สมาธิฌานมันได้บังเกิดแล้ว ควรจะนั่งเจริญภาวนาจิต พิจารณาธรรมให้เกิดขึ้น มันจะได้ครบองค์ประชุม คือทาน ศีล ภาวนา

    เพราะการสาธยายมนต์มันเป็นทาน การเปล่งพุทธมนต์ทำให้จิตมันรวมเป็นหนึ่ง ชื่อว่าสมาธิจิตที่ตั้งมั่น สิ่งที่เรากล่าวพุทธมนต์ออกไปมันเป็นการภาวนาจิต ที่ทำให้จิตมีกำลัง นั้นเรียกว่าเป็นทาน ศีล ภาวนาครบองค์ ๓ ทำให้จิตเรานอบน้อมเข้าถึงในพระรัตนตรัย เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  5. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    C44F05CB-1677-44FF-81CB-2B028657666F.jpeg

    การที่โยมสาธยายมนต์แล้ว ข้อสำคัญที่สุดและไม่ควรจะละเลย นั่นก็หมายถึงว่าถ้าได้สาธยายมนต์ลงไปแล้ว จิตมันปักลงไปที่พระพุทธมนต์แล้ว สมาธิฌานมันได้บังเกิดแล้ว ควรจะนั่งเจริญภาวนาจิต พิจารณาธรรมให้เกิดขึ้น มันจะได้ครบองค์ประชุม คือทาน ศีล ภาวนา

    เพราะการสาธยายมนต์มันเป็นทาน การเปล่งพุทธมนต์ทำให้จิตมันรวมเป็นหนึ่ง ชื่อว่าสมาธิจิตที่ตั้งมั่น สิ่งที่เรากล่าวพุทธมนต์ออกไปมันเป็นการภาวนาจิต ที่ทำให้จิตมีกำลัง ดังนั้นเรียกว่าเป็นทาน ศีล ภาวนาครบองค์ ๓ ทำให้จิตเรานอบน้อมเข้าถึงในพระรัตนตรัย เข้าใจมั้ยจ๊ะ ทำด้วยกาย กายคือกระทำการพนมมือนอบน้อมกราบทำอัญชลีก็ดี วาจาที่เรากล่าวมนต์ที่เป็นมงคลสรรเสริญในคุณงามความดีขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระขีนาสพทั้งหลายอย่างนี้

    พระสงฆ์เป็นผู้ประพฤติปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ถ้าเดินตามรอยตามพระองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วได้พ้นจากมลทินทั้งปวงได้อย่างนี้ เมื่อเราเข้าถึงอย่างนี้ได้ จิตเรานั้นมันก็จะละเอียด ไม่หยาบ ไม่กระด้างกระเดื่อง กราบโดยที่เรานั้นสุจริตใจ ไม่มีความเคอะเขิน ว่าใครจะมองว่าเรางมงาย แต่เราทำด้วยจิตที่เป็นกุศลนี้แลจึงมีอานิสงส์มาก
    เมื่อเราเข้าถึงนอบน้อมในพระรัตนตรัยได้ จิตเรานั้นจะเป็นผู้อ่อนโยน..แต่ไม่อ่อนแอ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นอ่อนโยนกับอ่อนแอจึงต่างกัน คนภายนอกที่แข็งมาก..ภายในย่อมร้าวได้ง่าย แต่คนใดที่ภายนอกอ่อนโยนมาก..ย่อมแข็งแกร่งอยู่ภายใน เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นการเจริญมนต์นี้แลที่จะทำให้โยมนั้นแข็งแกร่งก็คือจิต และเป็นผู้อ่อนโยนออกมาภายนอกนั่นคือความเมตตา คือความอ่อนน้อม เจอใครก็ทักยกมือไหว้อ่อนน้อมทำอัญชลีคารวะ แม้เค้าจะมีอายุน้อยกว่าก็ตาม เราจะรู้ได้ยังไงว่าภูมิธรรมเค้านั้นมีมากเพียงใด เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นการจะยกมือคารวะทำความรู้จักนอบน้อมนั้นเป็นสิ่งที่สมควร อย่าได้กระด้างกระเดื่องเขินอายว่าเค้านั้นอายุน้อยกว่า ภูมิธรรมบารมีเค้าอาจจะมากกว่าเราก็ได้ เค้าอาจจะสำเร็จโสดาบันแล้วก็ได้ ใครจะไปรู้..

    นั้นการมาประพฤติปฏิบัติธรรมไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ใด ขอให้เรามีการนอบน้อมถ่อมตน เราไหว้เค้านั้นเมื่อเค้ามาประพฤติปฏิบัติธรรม..เราจึงไหว้ธรรมคุณงามความดีเค้า เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อเราไหว้ธรรมคุณงามความดีเค้าแล้วโมทนาในคุณงามความดีของเค้า..ส่วนกุศลเราก็ได้แล้วในขณะที่เรายังไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นทำให้อานิสงส์เรานั้น"ลดอัตตาตัวตน"ลงนั่นเอง ลดทิฏฐิมานะ อย่างนี้ชื่อว่าเป็นผู้สร้างมิตร เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เค้าจะไหว้เราไม่ไหว้เราไม่ต้องไปสนใจ ขอให้เราได้ให้เถอะจ้ะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั่นชื่อว่าเมื่อเราระลึกพิจารณาแล้วนั่นก็คือกรรมฐานแล้ว คือการละอัตตาตัวตนนั่นเอง สิ่งเหล่านี้ทำไมถึงต้องมาพูดแล้วบอกว่ามันเกี่ยวอะไรกับวิปัสสนาญาณ มันเกี่ยวอะไรกับการสร้างบารมี ก็สิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านี้แลเค้าเรียกว่ากายหยาบโยมยังทำไม่ได้ แล้วจิตโยมจะละเอียดได้อย่างไร เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นการสวดมนต์หากโยมยังไม่ได้นอบน้อมมุ่งตรงลงไป คือการสำรวมกาย วาจา ใจ ศีลโยมก็ยังบกพร่องอยู่ดี เที่ยวไปสอดส่องคนอื่นเค้าแต่จิตเราไม่ได้สำรวมอย่างนี้ นี่เรียกการไปเพ่งโทษบุคคลอื่น..โยมก็จะได้โทษคนอื่นเค้ามา ก็คือเศษกรรมที่ติดมา เข้าใจมั้ยจ๊ะ
    นั้นขณะที่เค้าเจริญบุญกุศลโยมยังจะไปเพ่งโทษเค้าอยู่ ยังไม่ได้ละวางในอกุศลจิตในอาฆาตพยาบาท ในความพอใจไม่พอใจ ในความอิจฉาริษยาเหล่านี้ มันก็ทำให้เรานั้นไม่อยากทำคุณงามความดีแล้ว สวดมนต์ก็ไม่มีเรี่ยวมีแรง เพราะเรานั้นไม่มีกำลังจิตที่ดี เพราะเราส่งจิตออกไปภายนอก ไปบั่นทอนบุญบารมีกุศลกำลังใจเรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นโยมต้องแผ่เมตตาให้กับอกุศล ใครไม่ชอบหน้าให้วางเฉยไปเสียก่อน ใครเค้าทำดีมีความนอบน้อมในพระรัตนตรัยให้เราโมทนาสาธุกับเค้า เราจะได้เอาเป็นเยี่ยงยาเป็นกำลังจิตกำลังใจเรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  6. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    4645868C-DF4E-4B7C-A72C-A91A69CF6FAA.jpeg

    การสวดมนต์นี้แลเป็นการแบ่งเวลาให้เทพพรหม เมื่อเราสวดมนต์มากๆเข้า จิตเราสงบมากๆเข้า เราก็สามารถสื่อสารท่านก็สามารถสื่อสารกับเราได้ คอยบอกคอยกล่าวว่าควรทำอะไรไม่ควรทำอะไร เมื่อเรามีเทพเทวดารักษาเราก็จะมีความละอาย หิริโอตัปปะมากยิ่งขึ้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    แต่ถ้าเราไม่มีเวลาให้เทพพรหมเลยนี้ มารก็ดี สัตว์อสรพิษก็ดี มันก็จะเข้ามาครอบงำจิตเราให้จิตเราสกปรก เมื่อมันสกปรกแล้ว อสรพิษทั้งหลายมันก็มาฉกกัดเรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    แต่มนุษย์ทั้งหลายก็มีกรรม การที่จะแก้ไขกรรมได้ เราต้องมารู้กรรมก่อนว่ากรรมนั้นคืออะไร สิ่งไหนที่เรากระทำมา นั่นแลเรียกว่ากรรมในอดีตก็ดี มันไม่สามารถแก้ไขได้ในอดีตแล้ว แต่เราสามารถกำหนดกรรมขึ้นมาในปัจจุบันได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะกรรมในอดีตนั่นแลมันส่งผลในปัจจุบัน

    เมื่อเรารู้กรรมก็ควรแก้ไข เหมือนเรามีหนี้ถ้าเราไม่ใช้ โยมจะพ้นจากความเป็นมลทินหรือไม่ แม้เงิน ๕ บาท ๕ เฟื้อง สลึงเฟื้องก็ดี มันก็พ้นจากมลทินนั้นไม่ได้ ถ้าเจ้าของเค้าไม่ได้ยกให้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้าเรียกว่ายังติดกรรมอยู่ อันว่าติดมันจะหลุดพ้นได้หรือไม่..ไม่ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะเราติดอะไรเล่า..ก็ต้องไปแก้ไขที่ตรงนั้น การไม่ยึดไม่ติดเสียได้นั่นแล..ถึงจะหลุดได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นการที่เรานั้นมาแก้ไขกรรม เพื่อรู้กรรมรู้ชะตากรรม เพื่อให้เรานั้นได้เป็นผู้กำหนด เมื่อเราแก้ไขแล้วมันถูกต้องในศีลในธรรมแล้ว ทีนี้เราจะประพฤติปฏิบัติในศีลในธรรม..มันก็ไม่มีอุปสรรคอีกต่อไป กำลังใจมันก็เต็ม..ที่เราจะไปตามเส้นทางมรรคนี้ โดยที่เรานั้นไม่ต้องห่วงอะไรอีกเลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นเค้าเรียกว่าเข้าถึงความเบื่อที่จะไม่อยากเกิดอีก เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ถ้าเรายังอยากเกิดอยู่อย่างนี้ ตัวอยากนี้แลที่ทำให้เกิดภพเกิดชาติ เมื่อมีความอยาก..การจุติในครรภ์ก็ดี ในรังไข่ก็ดี มันก็ยังบังเกิดอย่างนี้อยู่ร่ำไป การตัดห่วงหาอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงนั่นแล ซึ่งเป็นผู้ไม่มีอารมณ์แล้ว ไม่ยึดแล้ว วางแล้วนั่นแล..เป็นผู้ดับได้ สูญได้..ก็คือกิเลสตัณหา

    แต่จิตของเรามันไม่ได้ดับสูญไป ยังมีธาตุรู้สิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติ นั้นกรรมฐานที่โยมประพฤติปฏิบัติมา ไม่ว่าที่โยมจำได้หรือมาถึงในขณะนี้แล้ว..เป็นเวลาเท่าไหร่ก็ตาม มันยังไม่ได้มากหรอกจ้ะ ถ้าเทียบกับสิ่งที่โยมได้เคยตายมาทนทุกข์ทรมานมา..ไม่มีมากเลย เป็นแค่เศษแค่เพียงเล็กน้อย เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นแล้วจึงได้บอกว่าเมื่อเรายังมีลมหายใจ มีโอกาสเราต้องทำทุกขณะจิตที่ระลึกได้..ระลึกการเจริญภาวนาก็ดี ให้ทำอยู่บ่อยๆ ให้เป็นนิสัย แล้ววาสนามันก็จะเต็มของมันเอง ดวงมันจะอยู่หลังเรา เราต่างหากเป็นผู้กำหนดดวง ก็คือกำหนดกรรมนั่นเอง นั้นดวงจะมาเหนือกรรม..มันเหนือไม่ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เพราะมนุษย์มันเกิดจากกรรมดีและกรรมชั่ว ดวงมันคือเวลาที่โยมได้เกิด..มันแก้ไขอะไรไม่ได้ กรรมต่างหากที่เป็นผู้กำหนด และเมื่อโยมรู้กรรม..โยมก็สามารถแก้ไขได้ ถ้าโยมไม่รู้กรรม..แม้โยมดวงจะเกิดมาฤกษ์งามยามดีเพียงใดก็ตาม แต่กรรมที่โยมทำมาแล้วนั้นมันให้ผล ไม่ว่าใครหน้าไหน ยาจก ผู้ดี กษัตริย์..ก็มีทุกข์อยู่ดี ไม่พ้นทุกข์ไปได้ ก็เห็นตายกันทุกคน เกิดมามีวาสนาดีมั่งมีเงินทองอยู่สุขสบาย..ก็เห็นตายกันทุกราย เข้าใจมั้ยจ๊ะ มีทุกข์กันทุกราย

    แต่ผู้ที่กำหนดเหนือกรรมได้นั่นแลที่จะพ้นทุกข์ได้ ย่อมอยู่เหนือโลกได้เมื่อไม่ยึดในโลกนี้แล้ว นั้นขอให้โยมรู้อานิสงส์ของการประพฤติปฏิบัติว่ามันให้คุณประโยชน์อย่างไร

    การอธิษฐานบุญกุศลด้วยที่ตัดกรรมตัดเวรพยาบาทอาฆาตมาดร้ายต่อเจ้ากรรมนายเวร ผู้ที่มาเบียดเบียนทั้งทางกายและทางจิตของเราทางใจได้นั่นแล เมื่อเราได้กระทำได้..เป็นผู้ที่ว่าเรานั้นได้สละไฟโทสะ ละวางไฟโทสะ เป็นผู้ไม่จุดไฟ เมื่อเราไม่เป็นผู้จุดไฟเราย่อมไม่เร่าร้อน แม้ว่าเจ้ากรรมนายเวรเค้ายังมีไฟอาฆาตพยาบาทเราเพียงใด เราก็เจริญเมตตาให้มากเพียงนั้น เมื่อมีความเย็นมากกว่า สักวันหนึ่งกระแสบุญกุศลนั่นแลมันจะไปช่วยดับไฟเค้าได้ เมื่อเราอธิษฐานปรารถนาให้เค้านั้นพ้นทุกข์ ให้เค้ามีสุข เค้าเรียกว่าศัตรูก็อาจจะกลายเป็นมิตรได้

    ดังนั้นเมื่อเราทำอะไรด้วยไม่หวังผลแล้ว แต่เราปรารถนาความสุข..เราก็จะได้สิ่งนั้น ขออย่างเดียวดับเหตุให้ได้ ผลมันจะไม่เกิดเอง ถ้าเหตุเรายังดับไม่ได้ ผลมันก็จะเกิดอยู่ตลอดไป เข้าใจมั้ยจ๊ะ คือถ้าเหตุมันไม่ดีผลมันก็ไม่ดี ผลคือกรรมที่มันจะสนอง เหตุก็คือสิ่งที่เราได้กระทำลงไปแล้ว เมื่อมันให้ผลมันจะรู้เหตุได้ หากผลนั้นมันกระทบกระเทือนให้เรานั้นไม่รู้สึกอะไรเลย เราจะไปรู้เหตุนั้นมันก็ได้ยาก ต่อเมื่อผลที่มันกระทบถึงเรานั้นเป็นทุกข์เป็นร้อนมาก เราถึงจะรู้เหตุมันมาอย่างไร คือเกิดที่ใจเรานั้นเอง ที่เราไม่ละวางในไฟ ๓ กองนั้นได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  7. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    CB1C80CA-4BA2-4FB6-9D73-695190814016.jpeg

    อันว่ากรรมฐานคือการละอารมณ์ ละ..ให้ดับอารมณ์วิญญาณในขันธ์ ๕ ในรูป ในเวทนาที่เราไปติดไปพอใจ รูป กลิ่น เสียง สัมผัสอะไรเหล่านี้ ให้เรามาเท่าทัน เมื่อเราเท่าทันแล้วมันก็จะดับของมันเอง เมื่อมันดับอยู่บ่อยๆ เชื้อที่มันจะเกิดมันก็มีน้อย เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไม่นานเมื่อมันหมดเชื้อ..มันก็หมดอยาก เมื่อหมดอยากแล้วเหมือนไม้ที่มันหมดยาง ไม่นาน..มันจะเกิดขึ้นมาอีกก็ได้ยาก

    ดังนั้นเมื่อเรายังมีความพอใจมีเชื้ออยู่ต้องทำอย่างไร เราก็ต้องมีสติ ไม่ให้เชื้อนั้นมันลุกลามบานปลายไปใหญ่โต นี่เค้าเรียกว่าควบคุมไฟควบคุมกรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าโยมไม่ควบคุมมัน ไฟนั้นเมื่อมันเผาผลาญลุกลามไปใหญ่โตเกินในอำนาจบุญกุศลบารมีที่เราจะควบคุมได้..มันก็จะให้โทษ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นอะไรที่เรายังควบคุมยังเท่าทันได้อยู่เป็นผู้สำนึกได้นั้นแล เค้าเรียกว่าไฟแม้มันจะลุกลามบานปลายเพียงใด ถ้าเราสำนึกในกรรมนั้นได้ว่ามันให้โทษให้คุณอย่างไร กรรมนั้นมันก็ลหุโทษได้ เบาบางลงได้ ถ้ากรรมอันใดที่เราทำไปแล้วนั้น เราไม่ได้สำนึกในบาปบุญคุณโทษเลย แม้เป็นกรรมเล็กน้อยเมื่อเราทำอยู่บ่อยๆมันก็ให้ผลมากได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ขอให้โยมจงไปเจริญปัญญาพิจารณาดูให้ดี

    ดังนั้นเมื่อเรามาเจริญพระกรรมฐานแล้ว เราต้องรู้กาลรู้เวลา สังขารมันจะอ่อนล้ามันเป็นธรรมดาของมัน แต่ถ้าเราไม่สนใจเรารู้หน้าที่ ไม่นานจิตมันจะตื่นรู้ของมันเอง คือจิตมันตื่นรู้หน้าที่ เมื่อเราทำอยู่บ่อยๆเป็นนิสัยแล้ว เราก็จะเกิดความเคยชิน เกิดความพอใจ เกิดความชอบ..นั้นอิทธิบาท ๔ มันก็เกิดขึ้น เมื่อผู้ใดเจริญอิทธิบาท ๔ อยู่บ่อยๆ อยู่เป็นนิตย์แล้ว การปรารถนาต่ออายุมันก็ย่อมเป็นไปได้ ที่เราจะต่ออายุการสร้างบารมี ดังนั้นขอให้โยมสะสมบุญแห่งกรรมฐานไว้มากๆ

    บุญแห่งกรรมฐานนี้เราสามารถช่วยสัตว์นรกได้ แต่ถ้าสัตว์นรกดวงจิตวิญญาณใดที่เค้ายังตกนรกใช้กรรมอยู่ บุญอาจจะไปไม่ถึง แล้วต้องทำอย่างไร ขอให้เราอธิษฐานบุญฝากบุญกุศลนี้ให้กับพญายมราชเจ้าท่าน ให้เค้าได้รับบุญกุศล ฝากไปถึงดวงจิตวิญญาณทั้งหลายที่ยังได้รับโทษทัณฑ์ ที่เค้ามีบุพกรรมมีบุญต่อเรา เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถึงบิดามารดาของเรา ให้อธิษฐานไป

    ยิ่งเป็นวันพระวันเจ้าแล้วยิ่งดียิ่งมีอานิสงส์ เค้าเรียกว่ามันปลอด เมื่อวันพระวันเจ้าหรือวันปลอด..ปลอดอย่างไร นรกเค้าจะหยุดทำงาน มันก็เป็นการเยี่ยมหาญาติมิตรได้โดยตรง เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นแลบิดามารดาตาทวดของเรายังได้ชดใช้กรรมอยู่ เรานั้นเป็นทายาท นั้นบุญกุศลอันใดที่เราจะตอบแทนผู้มีคุณเราควรเจริญไปให้มากๆ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    บิดามารดาที่เค้าอยู่หรือล่วงลับไปแล้ว ถ้าเค้าไม่ได้เคยเจริญกรรมฐานจะพ้นนรกไปไม่ได้หรอกจ้ะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แม้แต่เราเองก็ตาม ถ้าไม่ได้เจริญกรรมฐานก็จะหาว่าพ้นนรกได้ไม่ ต่อเมื่อเราได้รู้กรรมฐานแล้วนี่แลที่จะช่วยสัตว์นรกได้ แล้วก็ช่วยเลื่อนภพเลื่อนภูมิตัวของเราเองได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นแล้วถ้าเรายังไม่เจริญ ยังไม่สุข บิดามารดาผู้ให้กำเนิดของเราเค้าก็ยังไม่สุขหรอกจ้ะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้ายังร้อนอยู่ เพราะไฟเรายังไม่ดับ ที่ไม่ดับเพราะอะไร เพราะเรายังมีกรรมเป็นทายาทอยู่ เรายังไปรับเชื้อมาอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ มันยังดับไม่ได้หรอกจ้ะ เมื่อยังดับไม่ได้ต้องทำอย่างไร เราก็ต้องมาละมาตัดซะ เมื่อดับมันเย็นได้ เมื่อเย็นได้เราก็แผ่เมตตาจิตออกไป เพื่อเอาความเย็นของบุญกุศลนี้แลเพื่อไปชโลมให้การทุกข์ทรมานของสัตว์นรกนั้นได้เบาบาง

    แล้วโยมจะรู้ได้หรือไม่ว่าสัตว์นรกของโยม ว่าคนนี้ไม่ใช่ญาติเรา คนนี้ดวงจิตนี้ไม่ได้มีบุพกรรมกับเรา ล้วนแล้วสรรพสัตว์ในโลกทุกจิตวิญญาณไม่ว่ามีช่องว่างไม่เว้นที่เราจะรู้ไม่รู้ก็ตามที..ล้วนแล้วเคยเกิดมามีบุพกรรมร่วมกันทั้งสิ้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ ดังนั้นโยมสามารถแผ่เมตตาจิตให้ทั่วจักรวาลพิภพได้ทั้งหมดเลย แม้โยมที่จะมาเกิดในโลกนี้ แม้ยังไม่เคยเจอหน้า แม้เคยเจอหน้าแล้วก็ดีจะด้วยวาระบุพกรรมอันใดก็ตาม เป็นมิตร เป็นศัตรูอะไรก็ตาม ล้วนแล้วเคยเกิดมาเป็นญาติพี่น้อง เป็นบิดามารดา เป็นคู่สามีภรรยา เป็นลูกเป็นหลานหมดแล้วทั้งสิ้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เค้าถึงว่ามีศีลเพื่อเป็นการเป็นเกราะป้องกัน เพราะเกิดมาพอก็มีลูกมีหลาน เกิดระลึกชาติได้ว่าลูกคนนี้เคยเป็นสามีภรรยากัน เกิดความกำหนัดเกิดกิเลสตัณหา อันว่ามีศีลมาเพื่ออะไร พระพุทธองค์ท่านได้เล็งเห็นแล้วว่า สัตว์นรกนั้นเมื่อขาดจากศีลแล้วความละอายหรือการจะมีหิริโอตัปปะนั้นมันเกิดขึ้นได้ยาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นขอให้โยมจงเจริญเมตตาจิตเจริญพรหมจรรย์ให้เข้าถึง เพื่อเป็นที่ๆจะไปช่วยเหลือปลดปล่อยดวงสรรพวิญญาณทั้งหลาย เข้าใจมั้ยจ๊ะ โยมสวดมนต์เจริญเมตตา ณ ที่ใด แผ่เมตตา ณ ที่ใด ที่ตรงนั้นมันก็ดับความเร่าร้อนได้ เมื่อดับความเร่าร้อนได้ เทวดาก็จะมีมากที่นั่น เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิเมื่อสดับฟังมนต์ไปมากๆแล้ว เค้าก็จะเลื่อนภพเลื่อนภูมิได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เมื่อเรามีมนต์เจริญอยู่บ่อยๆ ย่อมทำให้สถานที่นั้นได้เจริญ ลาภก็ดีมันก็จะบังเกิดขึ้น ยิ่งเทวดาหรือบุคคลที่มีจิตที่เป็นกุศลเป็นผู้ใจบุญเค้าจะมาอุดหนุนค้ำชู เข้าใจมั้ยจ๊ะ ก็จะมีลาภสักการะ แม้เราไม่ปรารถนามันก็จะบังเกิดขึ้น นั่นคืออานิสงส์แห่งการสวดมนต์และแผ่เมตตาจิต เข้าใจมั้ยจ๊ะ แม้กระทั่งตัวของบุคคลนั้นเองก็จะมีลาภสักการะ เรียกว่าเทพเทวดาเค้าเลี้ยงดู

    ในโลกนี้ก็หาใช่ว่าจะมีของฟรีไม่ แต่เรียกว่าเป็นการพึ่งพาประโยชน์ซึ่งกันและกัน หากเราไม่ได้ให้ประโยชน์เสียแล้วกับใคร ใครจะมาให้ประโยชน์กับเรา..เป็นไปไม่มี เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  8. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    อาสาฬหบูชา.jpg

    วันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘

    ข้าพเจ้า ขออนุโมทนาบุญแด่ผู้ปฏิบัติธรรมทุกๆท่าน ในการปฏิบัติบูชาวันสำคัญอีกหนึ่งวันทางพระพุทธศาสนา เพื่อการหลุดพ้นจากวัฏสงสาร ด้วยจิตบูชาแด่พระรัตนตรัย อันมีพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นที่พึงเป็นสรณะ

    สาธุ สาธุ สาธุ

    "จงทำที่สุดแห่งทุกข์เถิด ทุกข์นี้จะหมดสิ้นไป ทุกข์นี้จะไม่เกิดขึ้นอีก"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2019
  9. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    BCC6A378-3B52-4055-B920-08C6A12A28B7.jpeg
     
  10. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    EF796E84-BEC8-47AB-880D-E8DACD830D88.jpeg

    เค้าบอกว่าบุญที่เราทำไว้ไม่รู้กี่ชาติ..แต่นึกไม่ได้ ก็ขอให้เราอธิษฐานที่เราเคยสร้างมา อะไรที่เราสร้างในปัจจุบัน แสดงว่าอดีตเราก็เคยทำ..จำเอาไว้ ให้เราระลึกถึง เค้าถึงบอกว่าถ้าโยมเคยเจริญทาน ศีล ภาวนา ในปัจจุบันนี้โยมก็ยังทำอยู่ ในชาติที่ผ่านมาโยมก็เคยได้ทำแล้ว ให้อธิษฐานไป ให้มันมารวมกำลังเป็นหนึ่ง เค้าเรียกว่าสร้างกำลังบารมีให้เกิดขึ้น เค้าเรียกว่าเป็นการอธิษฐานบารมี เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เมื่อโยมอธิษฐานบารมีแล้ว โยมก็ต้องรู้จักวัดบารมี อ้าว..ในทางโลกเค้าเอาอะไรไปวัดกัน (ลูกศิษย์ : เอาศีลไปวัด) โยมจะเอาอะไรไปวัดว่ากำลังบารมีเรามีแค่ไหน เอาอะไรไปวัดจ๊ะ เอาปิ่นโตไปวัด หรือเอาอะไรไปวัดดี เค้าบอกว่าวัดคนน่ะ..ว่าเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์แล้ว ไม่พิการบกพร่องแล้ว เค้าบอกว่าให้ไปวัดที่ศีล เครื่องมือวัดอยู่ที่ใด จะรู้ว่าศีลโยมมีกำลังแค่ไหน..ไปวัดที่ใด โยมต้องไปวัด"ที่ใจ"

    โยมเชื่อมั่นในศีล ศรัทธาในพระรัตนตรัยเต็มร้อย ศีลโยมก็มีกำลังเป็นร้อย คำว่าศีลมีกำลังเป็นร้อย..จึงเรียกว่าบริวารโยมมีมาก เมื่อบริวารมีมาก..ไม่ว่าโยมจะเกิดอุบัติเหตุแห่งกรรมทั้งหลายทั้งปวงก็ดี แต่ถ้าโยมเคยเจริญรักษาศีลอยู่แล้วจึงเรียกว่าบริวาร บริวารจะทำหน้าที่ขัดขวาง เข้าไปหยุดยั้ง เข้าไปปะทะป้องกัน ไม่ให้กรรมนั้นเข้าถึงตัวโยมได้ง่าย แต่ถ้าโยมไม่มีศีล จึงเรียกว่าไม่บริบูรณ์บริวาร ถามว่าจะมีอะไรบังโยมมั้ยจ๊ะ เพราะศีลนี้เรียกว่าเท่ากับว่ากำแพงหรือภูเขา หรือกำแพงแก้วทั้ง ๗ ชั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เพราะถ้าโยมมั่นในศีล ๕ โยมก็บรรลุธรรมได้ แต่ที่ศีล ๕ มันไม่มั่น เพราะโยมไม่เข้าถึงในศีล เค้าเรียกว่าศีลนั้นไม่บริสุทธิ์ จึงมีคำว่าไม่บริสุทธิ์..ก็ต้องตรงกับคำว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามา เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นที่ให้โยมรักษาศีลก็เพราะว่าให้โยมนั้นชำระล้างโรค..ก็คือยาพิษ
    พญามัจจุราชได้ใส่ยาพิษไว้ในบ่อน้ำ ที่โยมดื่มกินเข้าไปทุกวันๆ คืออกุศลมูล เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะเค้าไม่ต้องการให้โยมหนีออกจากคุก เข้าใจมั้ยจ๊ะ สังโยชน์นี้คือความกว้างใหญ่ไพศาลของอาณาเขตแห่งวัฏจักรของคุก เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ทำไมโยมจึงเกิดมาเป็นมนุษย์ อ้าว..เพราะว่าโยมได้เป็นนักโทษชั้นดี จึงเลื่อนภพเลื่อนภูมิมาอยู่ใจกลางแห่งภพ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่ถามว่าโยมหมดกรรมหรือยัง อ้าว..เค้าเพียงแต่ว่าให้โยมนั้นมาเปลี่ยนแดนขัง เข้าใจมั้ยจ๊ะ เค้ามาเปลี่ยนแดนขัง พอถึงเวลาเค้าก็ให้เสวยสุข แต่ถ้าโยมไปไกลจนเกินเขตอภัยทานเมื่อไหร่ โยมจะหลุดออกนอกจากพิภพจักรวาลนี้

    ดังนั้นผู้ใดมีศีลนั้นแล โยมก็สามารถกลับมาได้ โยมอยู่ในโลกใบนี้คือภพชาติแห่งปัจจุบัน โยมอย่าได้ไปหลงในภพใหม่ที่โยมยังไม่เห็น เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะโยมหลงเข้าไปเมื่อไหร่โยมจะไปเจอพวกเปรตอสุรกาย ถามว่าอยู่ในโลกใบนี้หรือไม่..แน่นอนเค้าอยู่ในโลกใบนี้ อยู่คนละภพละภูมิเช่นเดียวกับไส้เดือนตุ๊กแก ถามว่าอยู่ในโลกเดียวกับโยมมั้ยจ๊ะ โยมเห็นเค้ามั้ยจ๊ะ นั่นแหล่ะจ้ะ นั่นก็คือภพภพหนึ่งของเดรัจฉาน

    ดังนั้นเมื่อโยมได้เกิดมาแล้วเป็นมนุษย์อันว่าเป็นสัตว์อย่างหนึ่ง ความประเสริฐที่ได้เกิดมาที่โยมสามารถมีปัญญาให้เข้าถึงทางออก เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นมีผู้หนึ่งที่ท่านมาชี้ทางออกไว้ แต่ท่านบอกว่าไม่ได้ให้เชื่อท่าน เพราะสิ่งนี้กล่าวลอยๆไม่ได้ ท่านจุดแสงสว่างเอาไว้ให้เห็น หากใครพอใจจะไป..ก็ไป..ก็ออกได้ แต่ใครไม่พอใจ..แสงสว่างนั้นก็จะดับลงดับลงริบหรี่กับสำหรับคนนั้น จึงเรียกว่า"มาสว่างไปมืด"

    ทุกคนเกิดมาแล้วล้วนมีบุญวาสนา เกิดมาด้วยความสว่างคือบุญกุศล แต่ความสว่างของโยมนั้นจะยังอยู่เหมือนเดิมหรือเท่าเดิมอยู่หรือไม่..อยู่ที่โยมรักษาไว้ เห็นคุณค่าแห่งการเกิดว่าเป็นมนุษย์นั้นมีคุณค่าเพียงใด นั้นท่านได้ชี้ทางบอกทางเอาไว้ คือทางออกแห่งคุกใหญ่นี้ คุกนี้หนาแน่นซ้อนภพกันจนโยมนั้นเข้าไม่ถึง ถ้าโยมจะออกไปทางใดในโลกนี้..ไม่มีทาง ฆ่าตัวตายโยมก็ต้องกลับมาฆ่าตัวตายอีกเป็นร้อยๆชาติ

    เพราะการตายไม่ได้บอกว่าโยมจะหลุดพ้นจากโทษภัย..ยิ่งซ้ำเข้าไปอีก แล้วทำยังไงเล่าจ๊ะ โยมเกิดมาถือกำเนิดมาให้ได้เกิดมามีตัวมีตน ใช่มั้ยจ๊ะ แต่ก่อนที่โยมจะเกิดโยมเป็นอะไรก่อน (ลูกศิษย์ : เป็นวิญญาณ) ถ้าเป็นวิญญาณโยมก็เรียกว่าตายใช่มั้ยจ๊ะ ทำยังไงโยมจักไม่ไปเกิดอีก โยมเคยโกงความตายมั้ยจ๊ะ บุคคลยังโกงอายุได้เลย อ้าว..ถ้าโยมไม่อยากเกิดเพราะว่าเกิดแล้วเป็นทุกข์ ก่อนที่โยมจะเกิดโยมเป็นวิญญาณ แสดงว่าโยมได้ตายไปแล้ว มีทางเดียวโยมต้องไม่ตาย ทางไหนเล่าจ๊ะที่ไม่ตาย

    อันว่านิพพานไม่มีที่ว่าให้เกิด แก่ เจ็บ ตายอีกต่อไป เค้าเรียกว่าพ้นการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ใช่มั้ยจ๊ะ ท่านก็ได้ชี้ทางไว้ในข้อปฏิบัติให้ถึงการหลุดพ้น ในการเจริญทาน ศีล ภาวนา โยมจะเชื่อศรัทธาหรือไม่ ท่านไม่ได้บังคับ ฉันก็บังคับโยมไม่ได้ แต่ที่แน่ๆเมื่ออายุขัยโยมมากขึ้นๆเท่าไหร่ ไฟในกายสังขารโยมก็ริบหรี่เท่านั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นเมื่อโยมยังเห็นว่าไฟโยม หรือเรียกว่ากำลังโยมยังคงมีอยู่ ขอให้โยมลองเดินดูว่าทางออก..มันใช่ทางออกจริงหรือไม่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ แต่โยมอย่าลืมนะจ๊ะ ถ้าโยมจะเข้าไปในทางเดินนี้จะมีพญามัจจุราชแห่งมารคอยหลอกหลอนอยู่ คือเค้าจะทดสอบโยมว่าโยมมีความศรัทธาถึงหรือไม่ เพราะถ้าโยมศรัทธาไม่ถึง โยมจะเห็นแสงสว่างแห่งธรรมนั้นเป็นไฟของกระสือกระหัง ก็คิดว่าทางนี้เป็นทางที่ลวง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  11. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    72AB01BC-B67F-4795-91CD-1C8FC34D6605.jpeg

    จิตต้องมีสติกำกับ ถ้าโยมไม่มีสติเมื่อไหร่ก็เรียบร้อย งั้นเราต้องมีขึ้นกองกรรมฐานให้มีที่ตั้งของการงานของจิต ถ้าจิตไม่มีการงานจิตมันจะว่าง เมื่อจิตว่างแล้วเป็นอย่างไร จิตมันก็สงบจนเกินไป เดี๋ยวความง่วงมันก็มาอีก จิตที่ว่างมีอะไรบ้าง จิตที่วางจากความคิด ในจิตที่ว่าง..มันต้องมีตัวสติอยู่ จิตมันไม่นิ่ง ในสภาวะของจิตมันเป็นอย่างไร ถ้าบอกว่าจิตว่างมันเป็นอย่างไร เค้าเรียกว่าจิตว่างคือจิตที่มันสงบ..จึงเรียกว่าจิตว่าง ถ้าจิตมันไม่สงบมันไม่ว่าง เช่นมีความคิดเข้ามา อุปาทานขันธ์เข้ามา มีสัญญาเข้ามาเหล่านี้ มีสัญญา เวทนา สังขาร..ยังทำงานอยู่อย่างนี้ นิโรธมันก็จะดับไม่ได้ จิตมันก็จะไม่สงบได้ เมื่อจิตไม่สงบมันจะว่างได้อย่างไร เค้าเรียกว่าจิตมันไม่ได้พักเลย จิตที่ไม่ได้พักเค้าเรียกว่า..นั่นเค้าเรียกว่างานทางโลกทั้งนั้นที่เราแบกหามอยู่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั่นก็คือ"ตัวยึด"นั่นเอง

    งั้นงานทางธรรมเป็นอย่างไร งานทางธรรมเป็นการวางโลก หลีกหนีจากโลก หันหลังให้โลก คือไม่สนใจโลก ไม่สนใจอินทร์พรหมยมยักษ์ทั้งหลาย เมื่อถึงเวลาตอนนี้สวดมนต์เราก็สวด ถึงเวลานี้เราปฏิบัติเราตั้งไว้เท่าไหร่ สัจจะเรา ความเพียรเรา อธิษฐานเท่าไหร่เราควรจะทำของเรา เมื่อยังไม่ถึงเวลาใครจะเป็นจะตายเราก็ไม่สนใจ เพราะเรานั้นไม่สามารถไปเปลี่ยนวิถีกรรมใครได้

    นั้นถ้ามีจิตอย่างนี้ที่มีความง่วงเข้ามาให้ขึ้นกองกรรมฐาน อันว่าขึ้นกองกรรมฐานก็คือให้รู้ลม เมื่อรู้ลมแล้วทำอย่างไร การระลึกถึงพุทธานุสติเป็นกรรมฐานอย่างหนึ่ง ธรรมานุสติก็เป็นกรรมฐานอย่างหนึ่ง สังฆานุสติก็เป็นกรรมฐานหนึ่ง คอยระลึกถึงความตายก็เป็นกรรมฐานอย่างหนึ่ง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ถ้าเราไม่มีกรรมฐานเมื่อไหร่..มันจะไปข่มนิวรณ์ได้ยาก เพราะนิวรณ์เป็นข้าศึกของสมาธิ กามคุณ ๕ เป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ ดังนั้นสมาธิเราต้องสะสมให้มาก สะสมได้อย่างไรจึงชื่อว่าสมาธิ สมาธิเป็นจิตที่ตั้งมั่นเป็นอารมณ์หนึ่งอารมณ์เดียว นั้นถ้าเราทำอยู่บ่อยๆ เราก็จะคุ้นเคยกับสมาธิ

    สมาธิมันทำอย่างไรถึงให้เกิดสมาธิ สมาธิมันก็ต้องสงบอยู่ภายใน ตัดความกังวลทั้งหลายทั้งปวงออกไป เรียกว่ารู้กายอยู่ในกายแล้วก็วางกายเสีย ถ้าเราเจริญสมาธิมาแล้วแต่ไม่รู้คุณประโยชน์ของสมาธิว่าสมาธิมีไว้ทำอะไร พอว่าโยมไม่รู้คุณของสมาธิ สมาธิที่โยมมีมันก็เสื่อมเรื่อยเสื่อมเรื่อย

    นั้นถามว่าสมาธิมันจะเกิดอย่างไร สมาธิมันต้องมีศีลกำกับอยู่ด้วย ถ้าโยมไม่มีศีล โยมก็ต้องภาวนา ถ้าไม่มีภาวนาทำอย่างไร เราก็ต้องมีทาน ทานคืออะไร การอบรมบ่มจิต รู้จักการสละ รู้จักการให้ ให้อภัย ให้ละความโกรธอาฆาตพยาบาทอย่างนี้ เรียกว่าเป็นการเจริญเมตตาจิตอย่างหนึ่ง เข้าใจมั้ยจ๊ะ อย่างนี้ชื่อเรียกว่าสมาธิทั้งนั้น

    นั้นสมาธิจะเกิดขึ้นอยู่ได้ไม่นานหรือไม่ได้เลย ถ้าขาดจากการทาน ศีล ภาวนา การอบรมบ่มจิต มันจะเกิดขึ้นได้ไม่นาน เพราะไม่งั้นแล้วจิตพอมีอารมณ์อื่นเข้ามา เดี๋ยวจิตอกุศลมันก็ผุดขึ้นมาอีกอย่างนี้ ดังนั้นเราต้องสร้างจิตที่เป็นกุศลให้เกิดขึ้นมาก่อน ดึงอำนาจส่วนดีขึ้นมาเสียก่อน พอเราดึงอำนาจส่วนดีขึ้นมาแล้ว โลกธาตุหรือกุศลในจักรวาลมันก็จะมาหล่อหลอมดวงจิตของเราเอง ทีนี้เรานั้นจะปกป้องอกุศลจิตและกรรมชั่วทั้งหลาย เรียกว่าเราต้องมีภูมิต้านทานของจิตก่อน นั้นก็คือระลึกดี ระลึกถึงกุศลที่เราทำมา เช่นระลึกถึงองค์ภาวนาก็ดีอย่างนี้

    ดังนั้นการจะรักษาสมาธิได้อยู่ตลอดเวลาเพื่อให้จิตมีกำลัง..ก็คือทาน คือการอบรมบ่มจิตให้รู้จักการสละ รู้จักการให้ ถ้าเรายังไม่รู้ให้อะไรได้ เราก็ให้อภัยทานเสีย ถ้าลองมีคนที่เค้ามาทำให้เรานั้นไม่พอใจ ไม่ถูกใจ ขัดใจ ให้เรามีโทสะอย่างนี้ ให้เราให้อภัยทานเสีย ให้อโหสิกรรม นั่นแลเรียกว่าการเจริญเมตตาอย่างหนึ่ง มีอานิสงส์มาก เมื่อเรามีการอบรมบ่มจิตในทานแล้ว ก็มีภาวนากำกับจิตไว้เพื่อให้จิตมันตั้งมั่น

    การที่ทำให้จิตมันตั่งมั่นอย่างเดียวมันทำได้ยาก เพราะจิตนั้นมันวอกแวกอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อเรามีภาวนาเกลี้ยกล่อมเข้าไป มีความคุ้นเคยกับจิตแล้วเราย่อมรู้ได้ว่าจิตนี้ต้องการปรารถนาอะไร เราก็เจริญธรรมในกรรมบถนั้นได้ เมื่อเรามีภาวนาปัญญามันก็จะบังเกิดของมันเอง แล้วเอาปัญญาไปทำอะไร เอาปัญญาเพื่อเอาไปละ ไปดับ ไปดูเหตุที่มันเกิดขึ้นมา นี่แลเมื่อเราเอาปัญญาน้อมจิตเข้าไป เพื่อไปรู้ที่เหตุที่ทำให้เราทุกข์ นี่เค้าเรียกว่าวิปัสสนาญาณมันก็บังเกิด

    นั้นถ้าเราอยู่แต่ความสงบอย่างเดียว สมาธิมันก่อตัวแล้วมันก็จะหายไป แต่เมื่อใดโยมนำสมาธิที่ได้ และจิตที่มีพลังงานแล้ว แล้วโยมน้อมจิตนั้นไปพิจารณาธรรม ทีนี้จิตนั้นมันจะเก็บพลังงานไว้ แล้วเมื่อมันแปรออกไปเป็นปัญญาธรรม มันเกิดวิปัสสนา..ทีนี้ญาณมันก็บังเกิด

    เมื่อเราพิจารณาอยู่บ่อยๆ มันก็เกิดความรู้ยิ่งก็คืออภิญญา มันจะเกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติของมัน แต่มันต้องมีขั้นตอนของมันว่า เมื่อเราหยิบยกมาพิจารณาอยู่บ่อยๆ อบรมอยู่บ่อยๆนั่นแลมันทำให้จิตเราเติบโต ก็เรียกว่าอภิญญาความรู้ยิ่งมันก็บังเกิด รู้ยิ่งนี้รู้อย่างไร รู้ด้วยจิตของเค้า ไม่ใช่รู้ด้วยความคิดที่เราไปคิดนึกเอา แต่รู้ด้วยจิตโดยธรรมชาติ รู้ด้วยจิตอันเป็นทิพย์ ถ้ามันรู้อย่างนี้แลนั่นก็คือเรารู้อย่างแท้จริง โดยที่ไม่มีอะไรไปปรุงแต่งของมัน มันจะรู้มันจะรู้ของมันเอง

    เหมือนเราพิจารณาธรรมไปเราปฏิบัติไป เราจะรู้ได้ว่าเรามีความเบื่อหน่ายแล้ว เบื่อในกายนี้ เบื่อในการเกิดนี้ เบื่อในคู่ครองนี้ นี่มันจะรู้ของมันเองอย่างนี้ เหมือนเราทานอาหารเข้าไปทีละเล็กทีละน้อย ทีละเล็กทีละน้อย พอความอิ่มมันเกิดขึ้นมีความพอก็จะรู้ของมันเองว่าพอแล้วอย่างนี้ นั้นการประพฤติปฏิบัติไปมันต้องปฏิบัติไป ถามว่าจะหยุดปฏิบัติเมื่อไหร่..จนกว่าเรานั้นจะหยุดหายใจเราถึงจะหยุดได้ ถ้าเรายังหายใจอยู่ยังบริโภคอยู่เรียกว่าเราก็ยังหยุดปฏิบัติไม่ได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  12. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
     
  13. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    27F15072-BF09-4B0A-8A44-4616E3EC5459.jpeg

    เมื่อเรายังติดโลกอยู่..ต้องทำยังไง ติดโลกจำไว้นะจ๊ะเราต้องรักษา กลับมารักษากาย วาจา ใจเราใหม่ อ่ะ..ศีลจะชำระล้างโลกได้อย่างดี เข้าใจมั้ยจ๊ะ ศีลจะรักษาล้างโลกได้อย่างดี แต่ตัวอะไรเล่าจ๊ะที่จะเป็นคนพาศีลนี้กลับมา เหมือนจะพาไปหาหมอ..คือ"ตัวสติ"ตัวนี้ต้องไปหาศีลมา ไปบอกไปเอายามา..คือตัวสติ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ถ้าไม่มีตัวนำพาตัวดึงพาตัวระลึกได้หมอจะมาหาเรามั้ย ยาจะมามั้ย..ไม่มีอะไรมา เพราะศีลเค้าก็อยู่ของเค้าอย่างนั้นอยู่แล้ว เราต่างหาก..เหมือนโยมมีทุกข์มีร้อนปวดทุกข์หนัก สุขาลอยมาหาฉันหน่อยฉันปวดท้องแล้ว..มันมามั้ย (ลูกศิษย์ : ไม่มาค่ะ) เหล่านี้ก็เช่นเดียวกัน นั้นตัวระลึกได้นี้แล โยมจะระลึกอะไรเล่าโยมก็ต้องระลึกให้ดี เช่นระลึกถึงศีล ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย อันนี้เค้าเรียกว่าเป็นการระลึกที่ดี

    ดังนั้นตัวสติจึงสำคัญนั่นเอง..ในเมื่อเรายังข้ามสมมุติบัญญัติของโลกไม่ได้..เรียกว่ายังติดโลกอยู่ คำว่าติดโลกอยู่แสดงว่าเรายังสกปรกอยู่ เมื่อเราขาดสติ..ศีลเราก็หายไปในขณะนั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ เมื่อสติมันขาด คำว่าขาดนั่นแล..แสดงว่าสิ่งที่คุ้มกายเราอยู่ก็ดีมันชำรุดมันเป็นรูแล้ว เมื่อเป็นรูเป็นช่องโหว่เมื่อไหร่อำนาจแห่งนรกภูมิที่เป็นดวงจิตวิญญาณที่มีความอาฆาตพยาบาทกับเรามันก็ผุดโผล่ช่องขึ้นมา

    เค้าถึงบอกว่าการเจริญภาวนาจิตสวดมนต์เรียกว่าเป็นการปิดอบายภูมิชั่วขณะ ทำไมถึงบอก..รู้ได้ยังไงว่าอบายภูมิเปิด ก็เพราะตอนนั้นจิตเราเร่าร้อน..เราสัมผัสได้ เค้าถึงบอกว่านรกอยู่ที่ไหน (ลูกศิษย์ : ในใจ) สวรรค์อยู่ใน..(ลูกศิษย์ : อก) แล้วอกกับใจมันอยู่ที่เดียวกันหรือเปล่า..มันอยู่ที่เดียวกันแต่ซ้อนกันอยู่ อกมันซ้อนมันคลุมใจอยู่ใช่มั้ยจ๊ะ เค้าเรียกว่าเปลือกโลกกับแกนโลก ดังนั้นแล้วเมื่อมันอยู่ภายในนี้ เมื่อคราใดเรามีจิตที่ร้อนเร่าเราไปเปิดทางให้สัตว์นรก แล้วเค้าถึงบอกว่าอำนาจแห่งไฟโทสะเมื่อใครทำไปแล้วเมื่อขาดสติแล้ว มันจะทำให้พวกผีวิญญาณทั้งหลายที่เราเคยไปล่วงเกินเบียดเบียนที่มันจองตามมามันได้สบช่อง เข้าใจมั้ยจ๊ะ จึงเรียกว่า"ผีซ้ำด้ำพลอย"อย่างนี้

    นั้นเมื่อเรามีความเร่าร้อนจิตก็ให้ระลึกถึงองค์ภาวนา หรือถ้าเรามีความกลัวก็ดีให้ภาวนาจิต เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะเมื่อเราภาวนาจิต..แม้ในขณะนั้นเราจะมีวิบากกรรมหรือมีอุบัติเหตุอะไรก็ตามในเคราะห์กรรมนั้น..หนักก็จะเป็นเบา เพราะอะไรเล่าจ๊ะ ไอ้พวกนี้มันจะดึงราเราไปไม่ได้ด้วยเต็มกำลังของมัน เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะในขณะที่เราเจริญภาวนาอยู่นั้นจิตเราเริ่มมีหลักแล้ว พอมีหลักแล้วพวกนี้มันก็จะทำอะไรเราได้ยาก เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นั้นเค้าถึงบอกว่าการที่มนุษย์เข้าถึงกระแสพระโสดาบันหรือว่ากระแสพระนิพพานชั้นต้น..เค้าเรียกว่าปิดอบายภูมิได้อย่างถาวร คือไม่มีการลงไปเกิดจุติเสวยทุกข์อีก เข้าใจมั้ยจ๊ะ ฉันถึงบอกว่าโยมได้มาฝึกปฏิบัติประพฤติในโลกนี้ในภพนี้..ไม่ต้องเอาอรหันต์ เอาแค่กระแสพระโสดาบันพอ..ให้มันได้เถอะ เข้าใจมั้ยจ๊ะ เอาให้มันได้ ให้มันได้อย่างไร..เมื่อโยมจะมีคู่ก็มีไป แต่เมื่อถึงพอมีแล้วเมื่อถึงเวลาโยมต้องละ..ต้องละ เข้าใจอย่างนี้มั้ยจ๊ะ ต้องละ..นั่นแหล่ะจ้ะ ถ้าไม่ละก็ไปไม่ได้

    แม้ว่ากระแสพระโสดาบัน..ยังมีการครองเรือนได้อยู่ก็จริง แต่เมื่อครองไปแล้วเมื่อโยมประพฤติปฏิบัติไปแล้ว เจริญกรรมฐานฌานวิถีอยู่บ่อยๆ มันจะเริ่มมีความเบื่อหน่าย เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าความเบื่อหน่ายไม่เกิดขึ้นกับโยมก็ยังไปไม่ได้ แล้วภาระหน้าที่อย่างนี้ต้องเป็นของใคร มันต้องเป็นตัวของโยมเอง เข้าใจมั้ยจ๊ะ นั้นต้องรู้โทษรู้คุณให้มันเยอะให้มันมาก ว่าโทษคุณมันเป็นอย่างไร มันให้ทุกข์ร้อนอย่างไร โยมจงไปพิจารณาเอา

    เอาแค่กระแสให้ปิดอบายภูมิให้ได้ เมื่อโยมปิดได้แล้วโยมไม่ต้องไปกลับว่าจะไปเกิดในที่เดิมอีก ไม่ต้องไปเสวยทุกข์อีก เพราะการเป็นมนุษย์..ขนาดเป็นมนุษย์ยังทุกข์ขนาดนี้ แล้วถ้าโยมไม่มีกายที่เป็นมนุษย์เล่าจะทุกข์ขนาดไหน แล้วคนที่เค้าไม่มีกายเล่า เข้าใจมั้ยจ๊ะ อันนี้ยังทุกข์นี้โยมก็ยังทนได้ ยังรู้ว่าทุกข์แค่นี้ว่าจะพอหรือไม่ โยมยังกำหนดได้ ใช่มั้ยจ๊ะ แล้วไอ้ที่ทุกข์ที่ว่าไม่สามารถกำหนดได้เลยว่า เค้าต้องทรมานไม่มีเดือนไม่มีตะวันเลย..อันนี้ในขุมนรกที่ว่าทำบาปมาก ไม่มีความสว่างอะไรเลย มีแต่ความมืดอย่างเดียว เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    นี่โยมยังได้เจอสว่าง ยังได้เจอสุข ยังได้รู้ทุกข์ นั้นก็ขอให้รู้ว่าเมื่อเราเป็นมนุษย์แล้ว จงเจริญเมตตาจิตให้มาก เพราะคนที่เค้าไม่ได้เป็นมนุษย์นั้นเค้าทุกข์กว่าเราอีกมากมาย นั้นถ้ามีโอกาสได้มาเจริญบำเพ็ญในความดีขอให้โยมตั้งใจให้มาก

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  14. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
     
  15. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    EA28EB49-EB6A-40DD-9D33-D1B794EF3BA5.jpeg

    ขอให้จำไว้ง่ายๆ ถ้าในปัจจุบันโยมนั้นมีความวุ่นวายใจ แม้ทั้งทางโลกและทางธรรม หรือในกายเรียกว่าทุกข์ทั้งกายและจิตและใจนั้นแล เรียกว่ากรรมนั้นให้ผลแล้ว แสดงว่ากรรมโยมหรือบุญกุศลโยมบกพร่อง มันลดน้อยลงแล้ว โยมต้องรีบสร้างบุญกุศลอย่างมาก
    อย่างแรกที่โยมต้องทำ ให้ไปทำสังฆทานเสียก่อน สังฆทานนี้จะไม่เจาะจงแม้เป็นการปล่อยสัตว์นกปล่อยปลานี้ก็เรียกเป็นสังฆทานอย่างหนึ่งคือให้ชีวิตก่อน เพราะชีวิตโยมมีปัญหาโยมก็ต้องไปตัดตรงนั้นก่อน คือไปให้ชีวิตคือต่อชีวิตก่อน ให้เกิดแสงบุญ

    อันที่สองคือการให้ทาน ให้กำลังคืออาหารถวายให้สงฆ์ อันที่สามคือแสงสว่างเช่นเทียนก็ยังดี เข้าใจมั้ยจ๊ะ สามอย่างนี้ต้องทำ อย่าเพิ่งไปอุปาทานกรรมให้ใครไปแก้กรรมให้โยม โยมให้มีสติไว้ หนึ่งให้ชีวิตเป็นทาน สองให้กำลังเป็นทานแต่ต้องให้ผู้ที่มีศีล ศีลเขาจะมีแค่ไหนไม่สำคัญให้อธิษฐานใส่ไป สามคือแสงสว่างแทนแสงปัญญา เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    การให้ชีวิตนั้นแล ชีวิตที่จะถูกตัดชีวิตนั้นแล ได้บุญมากที่สุด เข้าใจมั้ยจ๊ะ เช่นเดียวกับพระสงฆ์ที่ออกจากการเจริญนิโรธสมาบัติก็ดีหรือเป็นอาหารมื้อแรกก็ดีเช่นเดียวกับที่เราจะไปช่วยสัตว์ที่เขากำลังจะต้องถูกชีวิตจะหาไม่แล้วนั่นเอง จึงเป็นบุญที่ดีที่สุด เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะให้ผลทันตา เข้าใจมั้ยจ๊ะ อย่าคิดว่าสัตว์นั้นจะเป็นสัตว์ที่มีชีวิตเล็กน้อย...ไม่จริง ทุกสรรพสิ่งล้วนมีค่าเท่ากันหมด ถ้าสิ่งนั้นมีชีวิต เข้าใจมั้ยจ๊ะ เพราะทุกอย่างเขามีความรู้สึกมีเวทนา รักตัวกลัวตายทั้งสิ้น

    ดังนั้นขอให้โยมนั้นจงมีสติ และอย่ารอให้สิ่งนี้มันเกิดขึ้นบ่อยๆเพราะมันจะทำให้จิตหรือดวงของโยมมันช้ำ คือมันบอบช้ำ เข้าใจมั้ยจ๊ะ บางคนบอกว่าชีวิตไม่ดีต้องดูดวงซักหน่อย เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไม่รู้ว่าดวงเป็นอย่างไร โยมยังไม่รู้ดวงตัวเองเลยแล้วโยมจะให้ใครเค้าดูเล่าจ๊ะ คนอื่นจะมารู้ดวงดีกว่าโยมได้อย่างไร เพราะโยมเป็นผู้กระทำน่ะ ใช่หรือไม่

    สามอย่างที่โยมต้องทำนะจ๊ะ แล้วโยมทำมากเท่าไร..มันก็เกิดผลดีกับโยมมากเท่านั้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ หนึ่งทำให้โยมอายุยืนผิวพรรณดี ทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง เข้าใจมั้ยจ๊ะ การให้ทานกับผู้ทรงศีลทำบุญตักบาตรนี้ทำให้เรานั้นไม่มีวันจน สิ่งเหล่านี้ควรกระทำเป็นบุญโดยแท้ แสงสว่างนี้ทำให้เกิดปัญญา จะนำทางให้เรานั้นให้พ้นทุกข์พ้นภัยพ้นกรรมได้

    โยมว่าแสงสว่างนี้นอกจากถวายสิ่งนี้สิ่งอื่นทำได้มั้ยจ๊ะ สิ่งใดก็ตามชื่อว่าปัญญาเรียกว่าแสงสว่าง การให้ธรรมะเป็นทานก็เช่นกัน โยมว่าเป็นแสงสว่างมั้ยจ๊ะ นี่แหละจ้ะควรกระทำ การเผยแพร่ธรรมก็เป็นแสงสว่างอย่างหนึ่ง แต่โยมต้องรู้ก่อนว่าแสงสว่างนั้นเป็นแสงสว่างที่ดีหรือไม่ ต้องทำด้วยสติ ไม่ใช่ทำเพราะความงมงาย อย่ายึดถือในสิ่งสิ่งเดียว สิ่งใดที่เป็นแสงปัญญานั่นคือแสงสว่าง นี่ก็เรียกว่าเป็นการแก้ดวงอย่างแท้จริง เพราะสิ่งนี้จะตามให้ผลโยมตลอดไป

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  16. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    3ABB3D3B-C393-4B34-B155-74BE2924C66D.jpeg
     
  17. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    4EDDABA7-AAA0-4BA0-9A49-4D058D96027D.jpeg

    ถ้าเมื่อใดสติโยมมีกำลัง สมาธิโยมสมบูรณ์ดีแล้ว ธรรมจะเกิดขึ้นกับผู้นั้นอยู่ตลอดเวลา เมื่อธรรมเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาแม้โยมจะมีความเมื่อยล้าในสังขาร แม้โยมจะหลับพักผ่อนไป โยมก็จะไม่ละจากความเพียรเลย โยมก็จะพิจารณาธรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้นจนเห็นแจ้งในกฎแห่งไตรลักษณ์ ว่าทุกข์ทั้งหลายสิ่งทีเกิดขึ้นล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์ทั้งนั้น ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น แม้คำด่าทอ สรรเสริญ ยินดี ทั้งหลายทั้งปวงนั้นแลก็หาใช่ที่เราจะเอามาเป็นอารมณ์ไม่..อย่างนี้มันเป็นอนิจจัง

    เมื่อเราไปยึดไปถือมันก็เป็นทุกข์ แต่ถ้าเราไม่ยึดแล้วมันก็เป็นอนัตตา คำว่าไม่ยึดนั้นแล..เค้าเรียกว่า"อนัตตา" ตัวยึดนี้..เรียกว่าตัว"อัตตา" หากโยมเข้าใจได้อย่างนี้ การประพฤติปฏิบัติในพรหมจรรย์ของโยมนั้นก็จะก้าวหน้า เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ตัวสติคือกำหนดรู้ ระลึกรู้ เท่าทันในการกระทำ ในวาจา คำพูด ความคิด ในอารมณ์ที่รู้สึก เหล่านี้เรียกว่าตัวสติทั้งนั้น นี่เค้าเรียกว่ารู้กาย รู้ใจ รู้มโนของจิต เรียกว่ารู้ธรรมารมณ์ที่ผัสสะมากระทบในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หากโยมรู้อย่างนี้..ไม่ต้องรู้อย่างอื่นเลย เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    การรู้อย่างนี้เรียกว่ารู้ธรรม รู้ภายใน เรียกว่าไม่ส่งจิตออกไปภายนอก เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วเรียกว่าเป็นการรักษาพรหมจรรย์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไม่ต้องไปอยากรู้อย่างอื่น ไม่ต้องไปอยากรู้สวรรค์ รู้นรก รู้จิตคนนั้น รู้จิตคนนี้ ให้รู้จิตของเราอย่างเดียวว่าจิตเรานี้เรามีอารมณ์เข้ามา..มีอารมณ์อะไรเข้ามา มีโทสะหรือไม่ มีโมหะหรือไม่ มีราคะหรือไม่ มีความยินดีหรือไม่ยินดี รู้สึกขัดข้องจิตอย่างไร ให้รู้อย่างนี้ เมื่อรู้แล้ว..ก็วางรู้ตัวนั้น..แล้วกำหนดพิจารณาแก้ไข นี่แลเรียกว่าการเจริญวิปัสสนาญาณไปในตัว

    หากทุกข์ใดที่เกิดขึ้นแล้วก็ให้รู้ทุกข์ในเวทนานั้น เวทนาคือความรู้สึกที่เมื่อผัสสะมันมากระทบแล้วรู้สึกว่าไม่พอใจนั่นแล..เรียกว่าเวทนา คือความรู้สึกได้ ตัวรู้สึกนี้เรียกตัวผัสสะ ตัวนี้ให้เราตัดด้วยอะไร..ให้ตัดด้วยการกำหนดรู้หรือมีองค์ภาวนากำกับเข้าไปแทรกแทน มันจะทำให้เรามีสติตั้งมั่นขึ้นมา เรียกว่าตื่นรู้ในขณะนั้น ไม่ต้องไปรู้อย่างอื่นอย่างใด รู้อยู่ในอินทรีย์อยู่ในกายสังขารของเรานี้แล รู้การเกิดดับของอารมณ์ รู้การเกิดดับของความคิด รู้การเกิดดับของผัสสะธรรมารมณ์ที่เข้ามากระทบ รู้อย่างนี้ รู้แล้วถึงรู้..แล้ววาง

    การว่ารู้เรียกว่า"ตัวสติ" ถึงรู้เป็นอย่างไร ถึงรู้..เรียกว่าเข้าใจ อ้อ..มันเป็นอย่างนี้ ว่าจิตเราเป็นอย่างนี้ แล้วก็วางรู้คือการวางเฉย นี่เรียกว่าพรหมวิหาร ๔ หมายถึงว่ามีคนมาด่าทอเรา..เรารู้ แต่เมื่อผู้ใดเจริญเมตตาอยู่บ่อยๆ เราก็จะไม่มีความอาฆาตพยาบาทเค้า เราจะให้อภัยเค้า อ้อ..ก็เพราะว่าเค้านั้นขาดจากสติขาดจากปัญญา เค้าจึงมาด่าทอว่าเรา แสดงว่าเค้ากำลังเป็นทุกข์ เราต้องแผ่เมตตาให้เค้าไปมากๆ ว่าให้เค้าพ้นทุกข์ นี่แลเราก็เรียกว่าถึงรู้ ถึงรู้ด้วยปัญญา ถึงรู้ด้วยเมตตา ถึงรู้ด้วยกรุณา ถึงรู้ด้วยอุเบกขา เราก็จะวางเฉยเสียได้ จิตเรานั้นแลก็ไม่เศร้าหมอง แถมยังเป็นประโยชน์ให้เรานั้นได้สร้างบารมีด้วยการแผ่เมตตาจิตออกไปอีก แบบนี้แล้วโยมไปที่ใดนั้น..ไม่ต้องกลัวเลยว่าโยมจะมีภัย หรือจะมีศัตรู เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    แต่ถ้าทำตรงข้ามอย่างที่ฉันกล่าว แม้โยมอยู่ลำพังเพียงคนเดียวก็มีศัตรูได้ ศัตรู..เกิดจากความคิด พอความคิดมันเป็นศัตรูมากๆ แม้มันไม่เกิดขึ้นแต่มันเกิดจากมโนทวาร เห็นภาพหลอน ไอ้นั่นจะมาฆ่าเรา เพราะวิญญาณมันมาได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ พอมันหลอนว่าจะมาฆ่า เมื่อจิตมันเสื่อมถอยมาก มันก็จะกำหนดจิตเรา เดินออกไปให้รถชนเล่นก็มี เดินออกไปอยากจะดิ่งจากที่สูงก็มี เห็นมั้ยจ๊ะนี่แล

    ดังนั้นแล้วอำนาจแห่งการแผ่เมตตาจิตจึงสำคัญมาก เพราะว่ามันจะเป็นการปกป้องไม่ให้วิญญาณร้ายทั้งหลายที่เราเคยล่วงเกินนั้นเข้ามามีอำนาจได้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    ดังนั้นการตามรู้จิต แม้เราไม่ต้องไปตามรู้มัน ให้เรารู้อยู่ในกาย เดี๋ยวมันก็มีของมันเอง เพราะว่ากายนี้เป็นของเป็นทุกข์อยู่แล้ว กายนี้แลเป็นที่อยู่ของธรรมทั้งหลายทั้งปวงทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แม้โยมรู้ธรรมข้อใดข้อหนึ่งแค่ขันธ์เดียว คือรู้ตัวทุกข์แค่ตัวเดียว..และดับทุกข์นั้นได้ ทุกข์ที่เหลืออีกไม่ว่ามากมายแค่ไหนก็จะดับเหมือนกัน เกิดขึ้นเหมือนกัน เช่นเดียวกัน ไม่ว่าใครก็ตาม สัตว์ทั้งหลาย สิ่งของทั้งหลายที่ประกอบด้วยธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ทั้งหลายทั้งปวงเมื่อถึงเวลา ถึงกาลของเค้าแล้วต้องเสื่อมสลาย แตกธาตุขันธ์นั้นออกไปหาคงอยู่ได้ไม่มี เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  18. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917


    ธรรมะมหัศจรรย์ วันที่ ๑๓ กรกฏาคม ๒๕๖๒
    ณ สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี บ้านโปร่งวิเชียร จ.เพชรบุรี โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ (เพชรบุรี)
    ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒ (กรุงเทพ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กรกฎาคม 2019
  19. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    0135FD03-D8D0-4F35-9BEF-1D6909537A24.jpeg

    ลูกศิษย์ : เวลาที่พระท่านให้ศีล โยม(แม่ชี)ก็รับศีล ๘ เจ้าค่ะ แต่ว่าชาวบ้านเค้ารับศีล ๕ เค้าก็จะกล่าวอาราธนาศีล ๕ แล้วพระท่านก็ให้ศีล ๕ แก่โยม ทีนี้พอท่านให้ศีล ๕ พวกโยมชาวบ้านก็อาราธนาศีล ๕ แต่แม่ชีว่าศีล ๘ แล้วแม่ชีจะต้องพนมมืออาราธนาศีล ๕ ไปพร้อมกับเค้ารึเปล่าเจ้าคะ โยมยังไม่เข้าใจตรงนี้เจ้าค่ะ คือว่าโยมชาวบ้านเค้ารับศีล ๕ เค้าพนมมือแล้วพระท่านให้ศีล ๕ มาแล้วโยมศีล ๘ เค้าไม่พนมมือเจ้าค่ะ จะต้องทำยังไงเจ้าคะ พนมมือไปด้วยรึเปล่า?

    หลวงปู่ : แม่ชีต้องเข้าใจเสียก่อนว่า สิ่งใดก็ตามที่ใจยังขัดข้องอยู่ล้วนแล้วเป็นเหตุแห่งธรรมทั้งนั้น ไม่ว่าอะไรก็เป็นธรรม ธรรมนั้นมีธรรมที่เป็นกุศล ธรรมที่เป็นอกุศล จะมีแต่ธรรมที่เป็นกุศลอย่างเดียวไม่ได้ หากจะมีแต่ความดีแล้วไม่มีความชั่วแล้ว ย่อมไม่รู้ได้ว่านั่นน่ะดีจริง..หรือไม่ดีจริง เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    สิ่งที่แม่ชียังสงสัยและขัดข้อง แท้ที่จริงแล้วถ้าพระเค้าให้ศีลให้พร เราไม่ว่าเป็นแม่ชีเราควรพนมมือรับ แล้วให้จำไว้..แม้จะมีศีล ๘ ศีลอะไรก็ตาม แต่ถ้าขาดจากศีล ๕ ไปเสียแล้ว..ศีลที่ยึดถืออยู่ก็ไม่บริบูรณ์ ดังนั้นศีล ๕ เป็นศีลของความเป็นมนุษย์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เรารับเราก็รู้ว่าศีลของเราศีลอะไร คนที่เค้ามีที่จะรับศีล ๕ เค้าก็อาราธนาว่าตามไป เราพนมมือโมทนากับเค้า แต่เมื่อเป็นศีลของเรา..เราก็ระลึกได้ว่าเรารักษาศีลอะไร อย่างนี้ก็ย่อมได้ประโยชน์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไม่ทำให้จิตเรานั้นขัดข้อง เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วเราก็จะเข้าใจว่าคำว่าศีลนี้คืออะไร

    ศีลนั้นเป็นเครื่องช่วยให้เราเตือนจิตเตือนใจเรานั้น เพื่อเป็นการรองรับธรรมภูมิธรรมที่เรามาประพฤติปฏิบัติ สละที่จะมาเจริญบารมีเจริญธรรมในศีลนี้ ดังนี้จึงว่าไม่ว่าพระเจ้าท่านจะให้ศีลอะไรก็ตามให้เราพนมมือโมทนากับญาติโยมเค้า ที่เค้ามารับศีลรับพรกัน แต่เมื่อเราเป็นศีลของเราก็ให้เราระลึกรู้ว่าศีลที่ข้อต่อไปมีอะไรบ้าง แล้วให้ทบทวนไตรสิกขาในศีลว่าเรานั้นบกพร่องล่วงเกินในศีลหรือไม่

    ถ้ามันบกพร่องให้เราขอขมาในพระรัตนตรัย เอาพระสงฆ์นั่นแลเป็นประธาน เอาพระพุทธ..ให้ระลึกถึงแล้วขอขมากรรมที่ได้ล่วงเกินแล้วตั้งใจเสียใหม่ ถ้าเป็นอย่างนั้นศีลเราก็จะเริ่มเข้ามาเป็นความบริสุทธิ์ขึ้นใหม่ เราก็รักษาขึ้นมาใหม่อย่างนี้ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ไม่ได้ให้ไปยึดในศีล แต่ให้รู้ว่าศีลเรารับมาแล้วมีเอามาเพื่ออะไร มีประโยชน์อย่างไร เมื่อเรานั้นไปละเมิดแล้วจะมีโทษอย่างไร อย่างนี้ก็ขอให้เข้าใจ..

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต จ.เพชรบุรี
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     
  20. na_krub

    na_krub "นโม ธรรมะสุขัง อรหังพุทโธ นโมพุทธายะ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    1,514
    ค่าพลัง:
    +2,917
    4D744A4F-613A-46D0-9D22-9DD032AF47EA.jpeg

    เงินทองร้อยล้านพันล้านแสนล้าน..แม้โยมจะมีมากมายในยุคนี้ แต่มันก็เป็นแค่ภพที่โยมเสวย เมื่อเราละจากโลกนี้ไปแล้วอะไรเราก็เอาไปไม่ได้ สิ่งที่เอาไปได้คือเป็นของของเราที่ติดเราไป..ก็คือกุศลและอกุศลที่เราได้สร้างไว้แล้ว เพราะนั่นคืออยู่"เหนือสมมุติบัญญัติ" เช่นเรากำหนดที่จะเจริญภาวนาจิต อย่างนี้เค้าเรียกว่าอยู่เหนือสมมุติบัญญัติ

    อะไรที่มันตกอยู่ใต้สมมุติบัญญัติที่เราไปยึดแล้วทำให้ทุกข์..สิ่งนั้นไม่สามารถเอาไปได้เลย แม้กายของเราที่ว่าเป็นของเราก็ยังไม่ใช่ของเราเลย เพราะอะไรที่บอกว่าไม่ใช่ของเรา ที่ไม่ใช่ของเรา..อะไรก็ตามที่มันอยู่นอกเหนือการควบคุม การบังคับบัญชา การออกคำสั่งกำหนดรู้ก็ดีในทุกข์ในเวทนาในเวรภัย แม้ความเจ็บความเสื่อมความชรา..อย่างนี้ มันไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรานั้นจะบังคับบีฑามันได้ เมื่อเป็นอย่างนั้นแสดงว่ามันอยู่นอกเหนืออำนาจของเรา

    จึงบอกว่าอะไรที่อยู่นอกเหนืออำนาจของเราที่เราจะบังคับบัญชามัน..สิ่งนั้นมันคือไม่ใช่ของเราจริง แต่อันไหนที่เราบังคับบัญชาได้ว่าเราจะนั่งลงไปภาวนาจิตลงไปหนึ่งชั่วยามครึ่งชั่วยามอย่างนี้..เมื่อทำได้นั่นเป็นของเราจริง เพราะเราบังคับเราได้จริง

    การข่มจิตข่มใจเพื่อข้ามพ้นเวทนาเพื่อทนต่อเวทนา..เพื่อทนเพื่ออะไร เพื่อให้รู้ในเวทนาให้ถึงในเวทนา เราจะได้รู้ว่าเวทนาที่เราทนอยู่เจ็บอยู่ทรมานอยู่สัมผัสอยู่นั้นมันเกิดจากที่ใด หากมันเกิดในกายก็ให้ไปเพ่งโทษในกาย ให้ละความพอใจในกาย ในกามคุณทั้ง ๕ ในรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสนี้..มันทำให้เราเป็นทุกข์อยู่เพียงใด ให้เกิดตายมาเพียงใด ให้เรามีความพลัดพรากเพียงไหน ให้พิจารณาน้อมจิตเข้าไปให้เกิดความสลดสังเวช

    เมื่อเราเห็นความสลดสังเวชอยู่บ่อยๆนั่นแลเราจะเห็นความเบื่อหน่ายในกายนี้ คือไม่ยึดถือไม่ยึดมั่น..นั่นแลอุเบกขาแห่งธรรมก็บังเกิด เมื่อเราไม่ยึดถือไม่ยึดมั่นอารมณ์แห่งนิพพิทาญาณมันก็บังเกิด ให้เราทำอย่างนี้น้อมจิตเข้าไปพิจารณา เค้าบอกว่าอารมณ์แห่งธรรมแบบนี้จะเกิดได้ตอนไหน..ตอนที่จิตเราสงบแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะใด จะนั่งก็ดี ยืนก็ดี เดินก็ดี หรือพูดคุยอยู่ก็ดี

    ธรรมเมื่อมันเกิดแล้ว..ไม่เลือกสถานที่ ไม่เลือกวรรณะ ไม่เลือกภูมิประเทศ ไม่เลือกเวลา แต่สตินี้จะเป็นผู้กำหนดทุกอย่าง เมื่อเราฝึกมากๆแล้วเมื่อมันรวมตัวเข้าเป็นความสงบ เมื่อมันมีธรรมใดปรากฏในจิตนั่นแลก็ให้ยกจิตนั้นธรรมนั้นมาพิจารณา..เรียกว่าตรึกตรองในธรรม ก็สามารถเข้าถึงธรรมบรรลุธรรมได้

    ดังนั้นอันว่าการเจริญพระกรรมฐาน เมื่อเราฝึกไปแล้วเมื่อมันให้ผล..ให้ผลอย่างไร จะรู้ได้อย่างไร ให้ผลว่าความสงบมันเกิดแก่เราอยู่ตลอดเวลาได้จริง เมื่อเกิดปัญหาทุกข์ร้อนแล้วกรรมฐานที่เราฝึกนี้สามารถควบคุมความทุกข์ไม่ให้มันกำเริบเสิบสานไปมากกว่านี้ แล้วมีสติเท่าทัน แล้วที่สำคัญคืออยู่กับคนรอบข้างได้หรือส่วนรวมได้โดยที่เรานั้นไม่เป็นทุกข์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    คือใครจะทำให้เราวุ่นวายใจก็ไม่สำคัญเท่ากับใจเรานั้นไม่วุ่นวายตาม ถ้าใจเราสงบแล้วจะอยู่ที่ไหนก็สงบ แต่ถ้าใจโยมไม่สงบต่อให้อยู่ในที่สงบเพียงใดสัปปายะเพียงใด..ก็ไม่มีประโยชน์อันใด เหมือนกับคนที่มีความกลัวอยู่ไปอยู่ในท่ามกลางผู้คนมากมายที่รายล้อมที่ให้แต่ความรักแก่เรา..ความกลัวนั้นก็หาว่าจะหายไปไม่ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ถ้าเราไม่รู้ต้นเหตุมันที่ทำให้เรากลัวขึ้นมา นั้นทุกข์ทั้งหลายที่จะดับลงไปได้ต้องไปดับที่เหตุแห่งธรรมแห่งทุกข์นั้น ถ้าอย่างอื่นอย่าได้หมายว่ามันจะมีหรือมีทางเป็นทางไปได้ ถ้าเรานั้นไม่รู้ต้นเหตุแห่งทุกข์..นั่นแลคือต้นเหตุแห่งธรรม

    อันว่าต้นเหตุแห่งธรรม ไม่มีใครเป็นเหตุให้โยมทุกข์ แต่มนุษย์ที่ทุกข์ล้วนแล้วแต่มีเหตุกรรมที่เกิดขึ้น ล้วนแล้วต้องมาร่วมกันแก้ไขกรรมของตัวเอง คือการเพ่งโทษของตัวเอง เพราะว่ามนุษย์ทั้งหลายก็มีกรรมเป็นกงเกวียนตามล้อเป็นเงาอยู่แล้ว ดังนั้นฉันจึงบอกว่าการอยู่กับคนส่วนรวมได้ด้วยจิตเรานั้นสงบ ไม่ว้าวุ่น ไม่วุ่นวายนั่นแล..เป็นผู้มีธรรม เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    เพราะคนรู้ธรรมแม้จะอยู่ที่มีความสงบ..ก็หาความสงบไม่ได้ เพราะไม่สามารถควบคุมในตัวรู้นั้นได้ เพราะไม่เคยกำหนดรู้ แต่ผู้มีธรรมจะมีความเยือกเย็น หนักแน่น สุขุม..นั่นก็คือมีขันติ เข้าใจมั้ยจ๊ะ ก็คือมีอำนาจแห่งสมาธิเป็นทิพย์ มีอำนาจแห่งจิต ดังนั้นการเจริญภาวนาอยู่บ่อยๆ อบรมบ่มจิตอยู่บ่อยๆ จิตโยมจะมีอำนาจมีกำลังเหนือกว่ามนุษย์ธรรมดา

    คำว่าเหนือกว่ามนุษย์..คือเข้าใจความเป็นมนุษย์นั่นเอง เรียกว่าเหนือแล้ว ว่ามนุษย์มีโลภ มีโกรธ มีหลง มีแบบนี้เป็นธรรมดา เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้ เราก็จะเกิดเมตตาคืออภัยทานเกิดขึ้น เข้าใจมั้ยจ๊ะ คนที่มีอภัยทานอยู่ที่ไหนก็ดี จะอยู่ในสภาวะใดก็ดี ย่อมไม่มีวันขาดแคลนมิตร ขาดแคลนทรัพย์ เข้าใจมั้ยจ๊ะ

    มูลนิธิเมืองธรรมพรหมรังสี สมเด็จพระพุฒาจารย์โต
    โทร ๐๙๕ ๕๖๙๕๑๙๙ , ๐๘๑ ๙๒๙๓๒๒๒
     

แชร์หน้านี้

Loading...