น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ตอบปัญหาธรรมตามหลักพระพุทธศาสนา

    นมัสการมาด้วยความเคารพ ขอเรียนถามว่าท่านบวชมากี่พรรษา?

    ปัญญาในความหมายของพระองค์ คือ ปัญญาทางธรรม ไม่ใช่ ปัญญาทางโลก<O:p</O:p
    ปัญญาในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง ผู้เรียนจบปริญญา อ่านหรือเขียนตำรามากมาย<O:p</O:p
    ผู้รู้สรรพวิชาการต่างๆในโลก..ฯลฯ อย่างแน่นอน<O:p</O:p
    อันนั้นคือ ปัญญาทางโลก หรือสัญญา ความจำได้หมายรู้ ไม่ใช่ปัญญาทางธรรม<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ยิ่งมีปัญญาทางโลกมากเท่าไหร่ ยิ่งมีความยึดมั่นถือมั่นมากเท่านั้น ตัวอย่างเช่น<O:p</O:p
    ***หนังสือของอาตมามีแต่ความจริง ไม่มีการเดาสวดเด็ดขาด ตรงไหนที่ว่าเดาสวด ช่วยบอกที ***<O:p</O:p

    หรือตัวอย่าง เช่น ดร.อาจารย์ ฆ่าเมียตัวเองตาย<O:p</O:p
    อันนี้แสดงว่ามีปัญญาทางโลก แต่ไม่มีปัญญาทางธรรม จึงขาดพลังสติที่จะควบคุมอารมณ์<O:p</O:p

    แต่ผู้มีปัญญาทางธรรม ถึงไม่จบ ดร.ก็ไม่ฆ่าใครหรอก
    <O:p</O:pเพราะผู้มีปัญญาทางธรรม จะมีพลังสติจากการฝึกปฏิบัติสัมมาสมาธิตามหลักอริยมรรค ๘ ขนาดที่ว่า<O:p</O:p
    จิตอยู่ที่ไหน สติอยู่ที่นั่น<O:p</O:p
    สติอยู่ที่ไหน สมาธิอยู่ที่นั่น<O:p</O:p
    สมาธิอยู่ที่ไหน ปัญญาอยู่ที่นั่น<O:p</O:p
    และปัญญาอยู่ที่ไหน ศีล (เจตนางดเว้น)ก็อยู่ที่นั่นด้วย<O:p</O:p

    ศีล สมาธิ ปัญญา ( มรรค ๘ ) จะทำงานสัมพันธ์กัน กลมเกลียวกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน<O:p</O:p
    จนจิตพ้นทุกข์ในที่สุด<O:p</O:p

    ผู้ปฏิบัติจะมีพลังถ่ายถอนความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ต่างๆที่พบเจอในชีวิตประจำวันมากน้อย<O:p</O:p
    ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพลังปัญญาที่อบรมจิตที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติสมาธินั่นเอง

    ^_^<O:p</O:p
     
  2. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ตอบปัญหาธรรมตามหลักพระพุทธศาสนา

    ได้ยกมาแสดงหลายหนแล้วว่า<O:p</O:p
    ปัญญาเกิดขึ้นเพราะความประกอบ ไม่ประกอบปัญญาก็หมดสิ้นไป
    บุคคลรู้ทางแห่งความเจริญและความเสื่อมทั้ง ๒ทางนี้แล้ว
    พึงตั้งตนไว้ในทางที่ปัญญาจะเจริญ<O:p</O:p

    นั่นคือ ต้องปฏิบัติสัมมาสมาธิตามหลักอริยมรรค ๘<O:p</O:p
    และเมื่อจิตตั้งมั่นชอบเป็นสมาธิแล้ว จะเกิดปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริง<O:p</O:p
    คือ รู้อริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง<O:p</O:p

    รู้ว่า การที่จิตแส่ออกไปหาอารมณ์และยึดถืออารมณ์ไว้ ทำให้เกิดทุกข์ ( ทุกข์ )<O:p</O:p
    รู้ว่า การที่จิตแส่ออกไปหาอารมณ์ที่จะไม่ทุกข์เป็นไม่มี ( สมุทัย เหตุแห่งทุกข์)<O:p</O:p
    รู้ว่า เมื่อจิตตั้งมั่นชอบเป็นสมาธิ จิตปล่อยวางอารมณ์และความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ออกไปได้<O:p</O:p
    ทุกข์ดับไปจากจิต (นิโรธ )<O:p</O:p
    รู้ว่า การปฏิบัติสัมมาสมาธิในมรรค ๘ ทำให้จิตตั่งมั่นชอบเป็นสมาธิ ทำให้จิตพ้นจากทุกข์ได้<O:p</O:p
    เพราะสามารถปล่อยวางอารมณ์และความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ออกไปได้นั่นเอง ( มรรค )<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    รู้อริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง คือ สัมมาทิฐิ (ความเห็นชอบ เห็นอริยสัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค )<O:p</O:p
    ความสามารถในการปล่อยวางอารมณ์ คือ สัมมาสังกัปปะ
    ( ความดำริชอบ ดำริในการออกจากกาม ดำริในการไม่พยาบาท ดำริในการไม่เบียดเบียน )<O:p</O:p

    สัมมาทิฐิ และ สัมมาสังกัปปะ คือ ปัญญา ในองค์มรรค ๘<O:p</O:p
    มรรค ๘ ( ศีล สมาธิ ปัญญา )<O:p</O:p
    สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ ( ปัญญา )<O:p</O:p
    สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ( ศีล )<O:p</O:p
    สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ (สมาธิ )<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    รู้เห็นตามความเป็นจริง คือ รู้อริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง ( ไม่ใช่รู้จากอ่านตำรา)<O:p</O:p
    เกิดปัญญาปล่อยวางอารมณ์ ความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ต่างๆออกไปได้<O:p</O:p
    เพราะเมื่อรู้แล้วว่า การยึดถืออารมณ์ เป็นทุกข์<O:p</O:p
    และ การปฏิบัติสัมมาสมาธิ ทำให้ปล่อยวางอารมณ์ออกไปได้ ทำให้ทุกข์ดับ<O:p</O:p

    เมื่อรู้เห็นตามความเป็นจริงแล้ว มีแต่จะหมั่นฝึกปฏิบัติให้ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ<O:p</O:p
    และพร้อมที่จะแนะนำ ชี้แนะผู้อื่นให้ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ โดยไม่คลางแคลงสงสัย<O:p</O:p
    ปฏิบัติตนให้สมกับฐานะพุทธบุตรของพระองค์

    ^_^<O:p</O:p
     
  3. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ตอบปัญหาธรรมตามหลักพระพุทธศาสนา


    ปัญญาเกิดขึ้นเพราะความประกอบ ไม่ประกอบปัญญาก็หมดสิ้นไป
    บุคคลรู้ทางแห่งความเจริญและความเสื่อมทั้ง ๒ทางนี้แล้ว
    พึงตั้งตนไว้ในทางที่ปัญญาจะเจริญ<O:p</O:p

    ปัญญาย่อมไม่บริบูรณ์ แก่ผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น
    ไม่รู้แจ่มแจ่งซึ่งพระสัทธรรม มีความเลื่อมใสอันเลื่อนลอย

    สมาธึ ภิกฺขเว ภาเวถ สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จงยังสมาธิให้เกิดขึ้นเถิด
    ผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง ดังนี้

    สรุปคือ
    ต้องปฏิบัติสมาธิตามหลักอริยมรรค ๘
    จึงจะเกิดปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริง
    และเกิดปัญญาปล่อยวางความยึดถืออารมณ์ออกไปได้

    เมื่อเกิดปัญญา...รู้เห็นตามความเป็นจริงแล้ว
    ที่จะไม่ปฏิบัติสมาธิต่อไปให้ก้าวหน้าขึ้น...เป็นไม่มี
    ที่จะไม่สอนคนอื่นให้ปฏิบัติสมาธิตามพระองค์...เป็นไม่มี
    ที่จะมาถกเถียงเอาชนะน้ำคำกับฆราวาส...เป็นไม่มี

    มีแต่จะหมั่นเพียรปฏิบัติสมาธิให้ก้าวหน้าขึ้น
    มีแต่จะแนะนำให้ฆราวาสหันมาปฏิบัติสมาธิกันมากขึ้น
    มีแต่จะถกข้อธรรมกับฆราวาส โดยไม่ดูแคลนว่าฆราวาสไม่เข้าใจธรรม

    ^_^
     
  4. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ตอบปัญหาธรรมตามหลักพระพุทธศาสนา

    ที่ถามมาทั้งหมด ไม่ใช่เดาสวดหรือคะ เพราะถามแบบไม่เข้าหลักปฏิบัติเลยน่ะค่ะ
    ถามแบบผู้มิได้น้อมนำคำสอนของพระองค์มาปฏิบัติ<O:p</O:p
    ผู้ปฏิบัติจริง จะไม่คลางแคลงสงสัยในคำสอนของพระองค์<O:p</O:p
    และพร้อมจะชี้แจงชี้แนะโดยอิงหลักปฏิบัติกับคำสอนของพระองค์ค่ะ

    ***หนังสือของอาตมามีแต่ความจริง ไม่มีการเดาสวดเด็ดขาด ตรงไหนที่ว่าเดาสวด ช่วยบอกที ***
    เขียนแบบนี้ ก็ชัดเจนว่าเดาสวด แถมโฆษณาชวนเชื่ออีกแหนะว่าหนังสือของอาตมามีแต่ความจริง<O:p</O:p

    พระองค์สอนแล้ว จริงแท้มี ๔ ประการเท่านั้น คือ อริยสัจ ๔ ค่ะ<O:p</O:p

    การที่ยึดมั่นถือมั่นว่าหนังสือของอาตมามีแต่ความจริงไม่มีการเดาสวดเด็ดขาด ทำให้เป็นทุกข์ นะคะ
    เมื่อยึดมั่นถือมั่นแล้ว ที่จะไม่ทุกข์เป็นไม่มี เพราะจะอยากรู้ว่า ตรงไหนที่ว่าเดาสวด ช่วยบอกที
    อันนี้เป็น สมุทัย เหตุแห่งทุกข์ค่ะ
    นมัสการมาด้วยความเคารพ
    ถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าหนังสือของอาตมามีแต่ความจริงไม่มีการเดาสวดเด็ดขาด ทุกข์จะไม่เกิดนะคะ
    เนื่องจากความกังวลว่า ตรงไหนที่ว่าเดาสวด ช่วยบอกที จะไม่เกิดค่ะ (นิโรธ)
    เพราะปฏิบัติสัมมาสมาธิตามหลักอริยมรรค ๘ นั่นเอง<O:p</O:p
    ทำให้จิตเกิดพลังถ่ายถอนความยึดมั่นถือมั่น ความกังวลว่า ตรงไหนที่ว่าเดาสวด ช่วยบอกที ออกไปได้ (มรรค)

    และพร้อมจะสั่งสอนสาธุชนให้ปฏิบัติสมาธิ เพื่อให้รู้เห็นอริยสัจ ๔ ชอบตามความเป็นจริง<O:p</O:p
    เพื่อให้เกิดพลังปัญญาถ่ายถอนความยึดมั่นถือมั่นอารมณ์ออกไปได้<O:p</O:p
    สังคมก็จะมีแต่ความสงบสุข และทุกคนก็จะรู้หน้าที่ของตนเอง<O:p</O:p
    ว่าตนอยู่ในฐานะใด ควรทำหน้าที่ใด เพื่อความเจริญรุ่งเรืองและธำรงพระศาสนาสืบไปค่ะ

    ^_^<O:p</O:p

    <O:p</O:p
     
  5. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ตอบปัญหาธรรมตามหลักพระพุทธศาสนา

    ไม่เข้าใจค่ะ เพราะถ้าบอกว่าอย่าเชื่อ แล้วจะอ่านทำไมล่ะเจ้าคะ ?
    ในเมื่อท่านบอกเองนี่คะว่าอย่าเชื่อ....
    แล้วจะฟังไปทำไมคะ? ในเมื่อก็เชื่อไม่ได้อีก
     
  6. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบบ้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ถ้าพระภิกษุผู้บวชเข้ามาในพระศาสนา
    ยังคลางแคลงสงสัยไม่รู้ได้ว่าคำสอนใดเป็นของพระพุทธเจ้าจริงหรือไม่

    ก็ย่อมปรากฏชัดแจ้งให้พวกเราเห็นได้ว่า เป็นผู้แค่แต่งเครื่องแบบแสดงความเป็นพระ
    อาศัยผ้าเหลืองหากิน แต่หาใช่ พระ ในความหมายของพระพุทธองค์ไม่


    ***?????????????****



    ("ฉันคืออะไร?" เวบไซต์สำหรับบุคลอัจฉริยะ
    www.whatami.net - www.whatami.8m.com)
     
  7. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบบ้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ถ้าตัวเองยังเชื่อไม่ได้ ชีวิตนี้ก็ไม่ต้องเชื่ออะไรแล้วค่ะ

    ***ต้นตอของปัญหาท้งหมดมาจากตรงนี้***

    ***คือตรงที่มีความเข้าใจว่า"มีตัวเอง"(หรือมีตัวเรา)***

    ***เมื่อรู้มาผิด มันก็ทำให้เกิด-ความเข้าใจผิด,ความเห็นผิด,ความเชื่อที่ผิด,และความยึดถือ(คือนำเอามาปฏิบัติ)ที่ผิดตามไปด้วย***

    ***เมื่อปฏิบัติผิด ทุกข์มันก็ไม่ดับ***

    ***ลองค้นหาตัวเองดูซิว่า มันมีเราอยู่จริงหรือไม่?***

    ***แล้ว"เรา"มันเกิดขึ้นมาและตั้งอยู่ได้เพราะมีเหตุปัจจัยอะไรมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่?***

    ***ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยนั้นแล้วมันจะเกิดขึ้นและตั้งอยู่ได้หรือไม่?***

    ***ถ้าเข้าใจจุดนี้แล้วก็จะมีดวงตาเห็นธรรม***

    ***เมื่อมีดวงตาเห็นธรรมแล้วก็จะไม่ต้องไปถามใครอีกว่า อย่างไร?หรือทำไม?***

    ***รวมทั้งก็จะไม่เชื่อจากใครๆอีกด้วย***


    ("ฉันคืออะไร?" เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.8m.com)
     
  8. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260


    เรียน ท่านเตชะปัญโญ

    ผมได้ติดตามอ่านเรื่องราวของกระทู้นี้มานานพอสมควร ขอสรุปให้
    ท่านไปพิจารณา เป็นการเตือนด้วยความเมตตาในความหลงผิดของท่าน
    จริงแล้วเรื่องความเห็น ความรู้ในการปฏิบัติธรรมเป็นสิทธิของแต่ละบุคคล
    ใครจะปฏิบัติแบบใด มีความเห็นอย่างไร ก็ได้ จะถูกจะผิดก็เป็นความรู้ความ
    เห็นของตนเอง ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ก็คงไม่มีปัญหาอะไร กรรมใครกรรมมัน แต่
    ท่านนำสิ่งที่ท่านรู้ ท่านเห็น ที่ผิดไปจากพระธรรมคำสอน ไปสอน คนอื่น
    ทำเป็นบทเรียนไปสอนเด็กและเยาวชน คนที่เชื่อท่านก็จะกลายเป็นมิจฉาทิษฐิ
    ทำให้ท่านผู้รู้ทั้งหลายต้องออกมา แสดงข้อคิดเห็น ชี้แจงเหตุผลต่าง ๆ ที่
    น่าอนุโมทนา เพราะถูกต้องตามพระธรรมคำสอน แต่ท่านกลับทำตัวเหมือน
    พวกชาล้นถ้วย ไม่ฟังใครทุกท่านเตือนด้วยความหวังดีกับถูกคำกล่าวที่เยาะเย้ย
    ถากถาง ซึ่งมันไม่ใช่สมณะวิสัยจะพึงทำ แค่นี้ก็แสดงออกถึงภูมิธรรมภูมิจิต
    ของท่าน ว่าเป็นอย่างไร คิดว่าตัวเองดี เก่ง ฉลาด แต่จริงแล้วโง่สุด สุด บรมโง่
    เพราะอะไร เพราะโง่แล้วอวดฉลาด คิดว่าตัวเองมีความรู้มีภูมิธรรมสูง
    เขียนบทความมาเหมือนผู้บรรลุแล้ว พูดธรรมะขั้นหลุดพ้นเชียวนะ คนไม่รู้
    อ่านแล้วน่าศรัทธา แต่มันเป็นน้ำตาลเคลือบยาพิษ ใครหลงผิดไปเชื่อท่าน
    ก็โชคร้าย เพราะมันผิดไปจากพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ผู้รู้ท่านเห็น
    ข้อเขียนของท่านที่แสดงมาคงสมเพชเวทนา เพราะผู้ใดปรามาสพระรัตนตรัย
    บิดเบือนพระธรรมคำสอน ขององค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
    โทษหนักมากนี่ขนาดทำผิด คิดผิดเองนะ ถ้าไปเผยแพร่ให้คนอื่นเชื่อและทำตาม
    ไม่รู้ว่ามันจะหนักขนาดใหน

    ตัวท่านเองเคยสำรวจศีลของท่านว่ามีครบหรือไม่ เพราะแม้แต่ศีล ๕
    ซึ่งเป็นศีลของฆราวาสท่านยังมีไม่ครบเลย การพูดสิ่งที่ถูกให้ผิดมันเป็น
    โทษทำให้ผู้อื่นเดือนร้อนจากการพูดนั้น ผิดศีลข้อมุสา เพราะถ้าใครเชื่อ
    ท่านก็จะกลายเป็นพวกมิจฉาทิษฐิ คิดผิด พูดผิด ทำผิดจากทำนองคลองธรรม
    ทำให้พวกเขาต้องลงอบายภูมิ มันไม่ใช่เรื่องเล็กนะครับ อย่างความจริงที่ตาย
    แล้วไม่สูญ ท่านก็มาบอกว่าตายแล้วสูญ แค่ข้อนี้ข้อเดียวก็แย่แล้ว และท่าน
    เป็นนักบวชแต่ศีล ๕ ไม่ครบก็น่าคิดนะครับ คำว่าพระจริงๆ ต้องเป็นพระอริยะ
    ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ถ้าบวชแล้วปฏิบัติดีมีศีลบริสุทธิ์ พระพุทธองค์ยัง
    ทรงเรียกว่าสมมุติสงฆ์ ยังไม่เป็นพระนะครับ

    คนที่เขาทำบุญใส่บาตรกับท่านจะได้บุญมากหรือน้อย อย่างน้อยก็คง
    ได้มากกว่าให้ทานกับสัตว์เดรัจฉาน ตามที่พระท่านเทศน์ไว้ ว่าทำบุญกับ
    สัตว์เดรัจฉาน ๑๐๐ ครั้ง ได้บุญน้อยกว่าทำบุญกับคนไม่มีศีล ๑ ครั้ง
    ดูแล้วมันไม่คุ้มกันเลยนะครับ ผมว่าแทนที่จะได้บุญน่าจะเป็นบาปมากกว่า
    เพราะไปให้กำลังกับอลัชชี โจรปล้นพระศาสนา อาศัยศาสนาเลี้ยงชีพ
    แต่กลับปรามาสพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า อย่างนี้เขาเรียกคนเนรคุณ
    ไม่สมควรอยู่ในเขตพระพุทธศาสนา

    ผมจะไม่พูดอะไรลึกซึ้งเหมือนที่ท่านยกมาถามคนโน้นคนนี้ เอาแค่ที่ผม
    กล่าวมาก็น่าจะนำไปพิจารณาตัวเอง แค่ศีล ๕ ท่านก็สอบตกแล้วป่วยการที่
    ท่านจะยกคำพูดที่ดูเหมือนจะเป็นผู้หลุดพ้นมากล่าวให้คนไม่รู้เขาเชื่อถือท่าน
    ศรัทธาท่าน คำพูดใดที่ผิดจากพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามันผิดหมด
    ไม่ต้องไปพูดถึงพระนิพพาน เพราะมันห่างไกลเหลือเกินกับคนที่เป็นมิจฉาทิษฐิ
    อย่างท่าน ถ้าคิดได้ก็ควรรีบขอขมาโทษต่อพระรัตนะตรัย หยุดทำในสิ่งผิดๆ
    คนเราทุกคนไม่มีใครที่เกิดมาแล้วไม่เคยทำผิด รู้ว่าผิดแล้วแก้ไขให้ถูกต้อง
    โทษก็จะเบาบาง อย่างพระเทวทัตก่อนตายมีจิตขอขมาต่อพระพุทธเจ้า
    โทษก็จะลดลง ท่านจะเชื่อไม่เชื่อก็เป็นเรื่องของท่าน เพราะสัตว์โลกย่อมเป็น
    ไปตามกรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2008
  9. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ในธรรมวินัย(ศาสนา)ใด ไม่มีอริยมรรคมีองค์ ๘
    ในธรรมวินัยนั้น ย่อมไม่มีสมณะที่ ๑,สมณะที่ ๒, สมณะที่๓ และ สมณะที่ ๔

    ในธรรมวินัยใด มีอริยมรรคมีองค์ ๘
    ในธรรมวินัยนั้นย่อมมีสมณะที่ ๑,สมณะที่ ๒, สมณะที่๓ และ สมณะที่ ๔

    จำเพาะในธรรมวินัยนี้เท่านั้น ที่มีอริยมรรคมีองค์ ๘
    ดังนั้นในธรรมวินัยนี้(ศาสนาพุทธ)จึงมีสมณะที่ ๑,สมณะที่ ๒, สมณะที่๓ และ สมณะที่ ๔

    ลัทธิอื่น(ศาสนาอื่น)ว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง(ไม่มีสมณะ)
    ถ้าภิกษุนี้พึงอยู่โดยชอบ(ปฏิบัติมรรค ๘) โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์

    สมณะ ในความหมายของพระองค์คือ ผู้ที่มีจิตสงบปราศจากการถูกกิเลสเข้าครอบงำ
    ไม่ได้หมายเฉพาะ ผู้ที่บวชเป็นพระสงฆ์

    การเป็นสมณะนั้น ไม่ใช่เป็นที่โกนศีรษะ
    แต่ต้องปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ เพื่อเป็นผู้สงบอย่างแท้จริงในพระศาสนานี้
    และจะไม่คลางแคลงสงสัยไม่รู้ได้ว่าคำสอนใดเป็นของพระพุทธเจ้าจริงหรือไม่

    ^_^
     
  10. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ความเข้าใจผิดๆ ทำให้สอนคนอื่นๆผิดตาม

    การตรัสรู้ของพระพุทธองค์ เป็นการปฏิบัติทางจิต
    เพราะร่างกาย ใครๆก็รู้ว่าต้องตายเน่าเข้าโลง

    ท่านลองกลับไปถามอุปัชฌายะของท่าน ว่าท่านอุปัชฌาน่ะเชื่อตัวท่านเองรึเปล่า
    ในเมื่อท่านบวชให้ได้ ....ถ้าท่านไม่เชื่อตัวท่านเอง ท่านจะเที่ยวบวชให้ใครได้รึ?

    แล้วตัวท่านเองล่ะ ถ้าไม่เชื่ออุปัชฌายะ จะบวชทำไม? บวชกับคนที่ตัวเองไม่เชื่อ...

    และตอนบวช พระอุปัชฌายะ ท่านก็สอนปัญจกรรมฐานให้แล้ว
    เกษา โลมา นขา ทันตา ตโจ ก็เป็นที่รู้กันแล้วว่าร่างกายนี้ยึดไว้ไม่ได้

    พระพุทธองค์ไม่เคยทรงสอน ว่าอย่าเชื่อใคร แม้แต่ตัวเอง
    ทรงสอนว่า ตนเป็นที่พึ่งแก่ตน
     
  11. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ตอบปัญหาธรรมตามหลักพระพุทธศาสนา

    ค่ะ มนัสการมาด้วยความเคารพ ทุกท่านที่มาอ่านคงได้เห็นประจักษ์ชัดแจ้งขึ้นอีกว่า<O:p</O:p

    ต้นตอของปัญหาทั้งหมดมาจากตรงนี้<O:p</O:p
    การเผยแพร่ความรู้แบบผิดๆ(อย่าเชื่อใคร แม้แต่ตัวเอง)<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    คือตรงที่มีความเข้าใจว่า"มีตัวเอง"(หรือมีตัวเรา)<O:p</O:p
    คือตรงที่มีความเข้าใจว่า
     
  12. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญภิกขุ

    แต่
    ท่านนำสิ่งที่ท่านรู้ ท่านเห็น ที่ผิดไปจากพระธรรมคำสอน ไปสอน คนอื่น
    ทำเป็นบทเรียนไปสอนเด็กและเยาวชน คนที่เชื่อท่านก็จะกลายเป็นมิจฉาทิษฐิ


    ***ถ้าจะบอกว่าใครผิดก็ต้องบอกให้ละเอียดว่าผิดอย่างไร?ไม่ใช่เอาแต่บอกว่าผิดอย่างเดียว***

    ***แล้วรู้ได้อย่างไรว่าผิด มีอะไรมายืนยัน?***

    ***แล้วของใครถูก และรู้ได้อย่างไรว่าถูก มีอะไรมายืนยัน?***

    ***ขออภัยที่ทำให้เกิดโทสะ***


    ไม่ใช่ กับ ไม่มี คนละความหมายนะเจ้าคะ<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p< p O:p<>
    เช่น นายมา ไม่ใช่พ่อของ น้องตุ๊กตา<O:p< p O:p<> ไม่ได้หมายความว่า น้องตุ๊กตา ไม่มีพ่อ

    **จากคำที่ว่า "สัพเพ ธรรมา อนัตตา" - "สิ่งทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน"***

    ***ก็ในเมื่อมันไม่มีอะไรที่"ใช่"เลย มันก็มีค่าเท่ากับ "ไม่มี" มิใช่หรือ?***

    ***อย่าเชื่อใครแม้แต่ตนเอง***

    (ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net)
    </O:p<></O:p<>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2008
  13. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    การแสดงออก "ทางกาย" และ "ทางวาจา"

    ก็เพราะว่า มี "ใจ" เป็นผู้กำหนด

    ให้แสดง(ทางกาย).. ให้กล่าว(ทางวาจา)..
    ตามที่ "ใจ" ปรารถนา

    "ใจ" แต่ละดวง ของแต่ละคน
    ก็เป็นไป ตามบุญ ตามกรรม ตามบารมี

    "ใจ" ของแต่ละบุคคล ก็จะแสดง หรือ กล่าววาจา
    "ที่สามารถเข้าถึงธรรมได้" ในลำดับขั้นตามบุญ กรรม และบารมี
    ของในห้วงเวลาในขณะนั้น ๆ

    ที่กล่าว ว่า.. เป็นไป ตามบุญ ตามกรรม ตามบารมี นั้น..

    ตามบุญ..
    เมื่อ กุศลกรรม เข้าถึง ก็จะทำบุญ ทำทาน รักษาศีล บำเพ็ญภาวนา
    สั่งสม กรรมดี ไป

    ตามกรรม..
    เมื่อ อกุศลกรรม เข้าถึง ก็จะไม่เห็นความสำคัญของ ทาน ศีล ภาวนา
    และกระทำความชั่ว(ผิดศีล) สะสม กรรมชั่ว ไป

    ทั้งกรรมดี และกรรมชั่ว ที่รวบรวมไว้ ในแต่ละภพภูมิ แต่ละชาติ
    นั้น ก็คือ การบำเพ็ญ เป็นไปตาม "บารมี" (บารมี นี่.. คือ กำลังใจ)

    กำลังใจ ที่จะทำความดี หรือ เลว ในห้วงเวลานั้น ๆ

    "ใจ" แต่ละ ดวงจิต ต่างก็ต้องบำเพ็ญบารมี
    ผ่านภพ ผ่านชาติ เพื่อให้ถึงซึ่ง "พระนิพพาน"

    แต่ทว่า กว่าจะถึง พระนิพพาน
    นี่.. ก็ต้องเป็น ปรมัตถบารมีท้าย ปลายสุด

    กว่าจะถึง ปรมัตถบารมีท้าย ปลายสุด..
    ย่อมต้องผ่าน..
    บารมีต้น..
    อุปบารมี คือ บารมีกลาง..
    และ ปรมัตถบารมี

    ปรมัตถ์
    ยังมีปรมัตถ์ต้น ปรมัตถ์กลาง และปรมัตถ์ปลาย อีก....

    ยกตัวอย่าง..
    องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว สัมมาสัมพุทธองค์
    ปรารถนา "ปัญญาธิกะ" (4 อสงไขย กำไรแสนกัป)

    พระพุทธองค์ ย่อมต้องบำเพ็ญ พระบารมี
    ผ่าน.. บารมีต้น 9 อสงไขย
    ผ่าน.. บารมีกลาง 7 อสงไขย
    เข้าเขตปรมัตถ์ต้น อีก 4 อสงไขย
    ปรมัตถ์กลาง อีก แสนกัป
    ปรมัตถ์ปลาย เมื่อได้รับคำพยากรณ์จาก สมเด็จพระพุทธธีปังกร
    (พระพุทธเจ้า องค์ที่ 25 เมื่อนับย้อนถอยหลังไป จากปัจจุบัน)

    จึงสามารถ บรรลุธรรม แห่งพระโพธิญาน

    (บางที ก็ไม่เชื่อในคำตรัสสอน.. เกิดชาติเดียว ก็มี.. ตายแล้วสูญก็มี..
    แล้วจะเชื่อ วิสัยการบำเพ็ญพระบารมี ของพระพุทธเจ้า ไหมละ..
    หรือว่า เกิดชาติเดียว ก็เป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็นิพพานไป....
    เอ.. อย่างนี้ ทุกคน ก็เป็นพระพุทธเจ้า ได้ ละหรือ)

    พวกเรา เหล่า "สาวก" ก็ต่างบำเพ็ญเพียรบารมี เช่นกัน
    เพียง 1 อสงไขย กำไรแสนกัป ก็ถึงพระนิพพานได้แล้ว

    แต่ทว่า การนับให้ครบบารมี 1 อสงไขย กำไรแสนกัป นี้
    เขาจะนับ จำนวนปี ที่เกิดมาบนโลก เท่านั้น
    ภพภูมิ อื่น นรก สวรรค์ พรหม ไม่นับรวม

    เกิดมาครั้งหนึ่ง อายุ 100 ปี แล้วก็ ตายไป (เก็บยอดจำนวนปีไว้)
    เกิดมาใหม่ อายุ 90 ปี แล้ว ตายไป (ก็นำไปรวมกับยอดเดิม)
    เกิดอีก... ตายไปอีก.. (ก็นำไปรวมกับยอดเดิม)
    เกิดอีก... ตายไปอีก.. (ก็นำไปรวมกับยอดเดิม)
    เกิดอีก... ตายไปอีก.. (ก็นำไปรวมกับยอดเดิม)
    ....
    ....
    ....
    ....
    เกิดอีก... ตายไปอีก.. (ก็นำไปรวมกับยอดเดิม)

    กระทั่ง เมื่อรวมได้ ครบ 1 อสงไขย แสนกัป ก็จะถึง.. ปรมัตถ์ปลาย
    จึงจะสามารถ ฟังธรรม ยินดีในธรรม มีความเพียรในการปฏิบัติธรรม

    มองเห็นประโยชน์ในทาน ศีล และภาวนา
    มองเห็นทุกข์
    มองเห็นโทษ
    ของการเกิด.. การตาย.. การว่ายเวียน ในวัฏฏะ

    เกิดปัญญา เพียรในการละ โลภ โกรธ และหลง
    สามารถเข้าถึงธรรมอันบริสุทธิ์

    อันมี พระนิพพาน เป็นที่สิ้นสุด
    หยุดการเกิด.. หยุดการตาย กันเสียที....

    ...............................................................................................

    คนทั้งหลาย..
    ปุถุชนทั้งหลาย..

    ไม่ว่า ฆราวาส ก็ดี
    หรือ โกนหัว ห่มผ้ากาสายะ เป็นสมณเพศ ก็ตามที

    ย่อมอยู่ใต้กฏแห่งบุญ กรรม บารมี ดังกล่าว ด้วยกันทั้งนั้น (ปุถุชน)

    เราจะยืนอยู่ที่ตรงไหน ของบุญ กรรม และระดับต่าง ๆ ของบารมี
    การแสดง.. ดี หรือ ชั่ว
    การกล่าววาจา.. เน่าเหม็น หรือ หอมหวล ทวนลมได้

    ย่อมมาจาก "ใจ" นั่นเอง

    เราจะฟัง จะเชื่อ จะยินดี จะปฏิบัติ เช่นไร
    ก็ไม่พ้น บุญ กรรม และบารมี แห่งตัวของเราเอง เท่านั้น

    ไม่มีใครที่ไหน.. แม้แต่ พระพุทธองค์..
    ที่จะสามารถสอน หรือ กล่าวแสดงธรรม
    ให้บุคคลที่อยู่ในห้วงบารมีต้น บารมีกลาง
    เกิดความหลุดพ้น จากวัฏฏะ ไปได้

    การแสดงธรรม จึงเป็นของกลาง ๆ
    จะมุ่งหวังว่า ทุกคนต้องเข้าใจ ในสิ่งที่เรากล่าวแสดง

    ก็จะเก่งเกิน พระพุทธเจ้า ไป

    การเก่งเกินกว่า พระพุทธเจ้า
    เก่งเกินกว่า ครู อาจารย์ ที่บริสุทธิ์แล้ว
    ก็จะมีพลังมาก สามารถทะลุ ทะลวง ลงนรก ไป ได้ง่าย ๆ

    สุดท้ายนี้..
    ก็ขอมุทิตา ยินดี กับผู้เห็นธรรม
    ไม่ขอซ้ำเติม กับ ผู้หลงผิด ผู้แสดงผิด ผู้กล่าวผิด

    ขอน้อมนอบ กราบ คำตรัสสอน
    ของสมเด็จพระผู้มีพระภาค อันดียิ่งยอด แล้ว

    การกล่าวแสดง มานี้..
    หากเกิดเป็นประโยชน์ใด ๆ ได้บ้าง
    ก็คือ คุณความดี ของพระรัตนตรัย

    หากไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ
    ก็ย่อมแสดงถึง กรรมของผมเอง ที่เข้าใจมาผิด ๆ

    ตัวของเรา ผู้อ่าน ก็จึงต้องใช้พิจารณญาน ด้วยตัวของเราเอง

    และขอได้โปรด อโหสิกรรม อุเบกขาบารมี แก่กระผม ด้วยเถิด

    ทั้งนี้.. ก็เป็นไปตามบุญ กรรม และบารมี แห่งใครมัน
    อุเบกขา.. วางเฉยเสียได้.. ก็ตามมา

    ดังนั้นเอง
    ตัวของเรา ใครไหนเล่า จักช่วยได้
    นอกจาก ตัวของเราเอง.

    ...............................................................................................
     
  14. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญภิกขุ

    ถึงขันธ์ ๕จะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p< O:p< font>

    แต่เราไม่ยึดขันธ์ ๕ ซะแล้ว เพราะเรารู้แล้วว่า<O:p< p O:p<>
    ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตัวตนของเรา<O:p< p O:p<> เมื่อขันธ์ ๕ แปรปรวนไป เราก็ไม่แปรปรวนตามขันธ์ ๕ที่แปรปรวนไป เราก็ไม่ทุกข์น่ะสิ<O:p< O:p< font>


    ****นี่แสดงว่า มี "เรา" กับ "ขันธ์ ๕" ก็แสดงว่า เรา คือชันธ์ที่ ๖ ใช่หรือไม่?***

    **แล้วขันธ์ที่ ๖ นี้มันมาจากไหน ใครบัญญัติ?***

    **หรือว่าเอาเองตามตำรา หรือตามครูอาจารย์***

    **นี่แสดงว่าเชื่อตำราหรือครูอาจารย์มากกว่าพระพุทธเจ้า****

    ***อย่าเชื่อใครแม้แต่ตนเอง***

    (ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net)
    </O:p<>
    </O:p<></O:p<></O:p<>
     
  15. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    การเป็นสมณะนั้น ไม่ใช่เป็นที่โกนศีรษะ
    แต่ต้องปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ เพื่อเป็นผู้สงบอย่างแท้จริงในพระศาสนานี้
    และจะไม่คลางแคลงสงสัยไม่รู้ได้ว่าคำสอนใดเป็นของพระพุทธเจ้าจริงหรือไม่

    ***ก็บอกมาซิ ว่าคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน? ***

    ***และรู้ได้อย่างไรว่านั่นคือคำสอนที่แท้จริงชองพระพุทธเจ้า มีอะไรมายืนยัน?***

    ***อย่าเชื่อใครแม้แต่ตนเอง***

    (ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net)
     
  16. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ไม่ใช่ กับ ไม่มี คนละความหมายนะเจ้าคะ<O:p
    เช่น นายมา ไม่ใช่พ่อของ น้องตุ๊กตา<O:p ไม่ได้หมายความว่า น้องตุ๊กตา ไม่มีพ่อ

    ถ้า "ไม่มี" แล้วพระองค์จะทรงออกผนวชเพื่อค้นหาอะไร ค้นหาของที่ "ไม่มี"หรือ ?
    จะลำบากพระวรกายไปเพื่ออะไร เพื่อหาสิ่งที่ "ไม่มี"

    ทรงออกผนวชเพื่อค้นหาอมตธรรม แสดงว่า สิ่งนั้น "มี"
    เมื่อทรงพบแล้ว จึงได้นำมาสอน ถ้า "ไม่มี" พระองค์คงไม่นำมาสอน

    ท่านกำลังกล่าวร้ายพระองค์อยู่นะ ว่าเอาสิ่งที่ "ไม่มีจริง" มาสอน

    ^_^
     
  17. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ถึงขันธ์ ๕จะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป<O:p

    แต่เราไม่ยึดขันธ์ ๕ ซะแล้ว เพราะเรารู้แล้วว่า<O:p
    ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตัวตนของเรา
    <O:pเมื่อขันธ์ ๕ แปรปรวนไป เราก็ไม่แปรปรวนตามขันธ์ ๕ที่แปรปรวนไป เราก็ไม่ทุกข์น่ะสิ<O:p
    </O:p</O:p</O:p</O:p
    ****นี่แสดงว่า มี "เรา" กับ "ขันธ์ ๕" ก็แสดงว่า เรา คือชันธ์ที่ ๖ ใช่หรือไม่?***<O:p</O:p
    ไม่ใช่ เรา คือ จิต <O:p</O:p

    **แล้วขันธ์ที่ ๖ นี้มันมาจากไหน ใครบัญญัติ?***<O:p</O:p
    ท่านคิดขึ้นเอง เพราะท่านเขียนขึ้นมานิ<O:p</O:p

    **หรือว่าเอาเองตามตำรา หรือตามครูอาจารย์***<O:p</O:p
    ท่านเดาสวดเอาเอง <O:p</O:p

    **นี่แสดงว่าเชื่อตำราหรือครูอาจารย์มากกว่าพระพุทธเจ้า****<O:p</O:p
    นั่นสิ แสดงว่าท่านไม่เชื่อพระพุทธเจ้า<O:p</O:p
    เพราะพระองค์บอกว่า<O:p</O:p
    ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตัวตนของเรา<O:p</O:p
    ไม่ได้ตรัสว่า เราไม่มีขันธ์ ๕ นะคะ...( เราอาศัยขันธ์ ๕ แต่เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ )<O:p</O:p
    ถ้าพระองค์ไม่มีขันธ์ ๕ จะเสด็จออกโปรดพุทธสาวกได้อย่างไร<O:p</O:p
    ตลอด ๔๕ ชันษาหลังจากตรัสรู้ บรรลุพระนิพพาน
    <O:p
    ^_^</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2008
  18. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    การเป็นสมณะนั้น ไม่ใช่เป็นที่โกนศีรษะ
    แต่ต้องปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ ๘ เพื่อเป็นผู้สงบอย่างแท้จริงในพระศาสนานี้
    และจะไม่คลางแคลงสงสัยไม่รู้ได้ว่าคำสอนใดเป็นของพระพุทธเจ้าจริงหรือไม่

    ***ก็บอกมาซิ ว่าคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน? ***<O:p</O:p
    สจิตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธานสาสนํ<O:p</O:p
    การชำระจิตให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

    <O:p</O:p***และรู้ได้อย่างไรว่านั่นคือคำสอนที่แท้จริงชองพระพุทธเจ้า มีอะไรมายืนยัน?***<O:p</O:p
    ทางเดินที่จะทำความเห็นให้บริสุทธิ์ ( ทางเดินของจิตเพื่อให้จิตบริสุทธิ์ ) คือ ทางนี้เท่านั้น ( มรรค ๘ )<O:p</O:p
    ท่านทั้งหลาย จงปฏิบัติไปตามทางนี้เถิด เป็นทางที่มารและเสนามารหลง

    <O:p</O:pปฏิบัติสมาธิตามหลักอริยมรรค ๘ แล้วจะไม่ถามคำถามเช่นนี้<O:p</O:p
    ถ้าไม่ปฏิบัติ สึกดีกว่า อย่าบวชหนีสงสาร ผลาญข้าวสุก ค่ะ<O:p</O:p

    ^_^
     
  19. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    เรียน คุณเตชะปัญโญ

    องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสเรื่อง มงคล ๓๘ ประการ
    ขอยกมาให้คุณอ่านสักข้อ และเป็นข้อแรกที่พระพุทธอง่ค์ทรงตรัส

    ๑. อเสวนา จ พาลนํ การไม่คบคนพาล เป็นมงคลอย่างยิ่ง

    ท่านว่าลักษณะของคนพาลมี ๓ ประการคือ

    ๑. คิดชั่ว คือการมีจิตคิดอยากได้ในทางทุจริต มีความพยาบาท และ มิจฉาทิฏฐิ คือเห็นผิดเป็นชอบ

    ๒. พูดชั่ว คือคำพูดที่ประกอบไปด้วยวจีทุจริตเช่น พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ และพูดเพ้อเจ้อ

    ๓. ทำชั่ว คือ บิดเบือนพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า รู้ไม่จริง รู้ผิดๆ แต่เอาไปเผย
    แพร่ ถือว่าเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ทั้งๆ ที่อาศัยศาสนาเลี้ยงชีพ ถือว่าเป็นคน
    อกตัญญู เนรคุณต่อศาสนา ไม่สมควรอยู่ในเขตพระพุทธศาสนา

    ฉะนั้นต่อไปนี้ผมจะไม่เสวนากับคุณอีกต่อไป เพราะมันไม่เป็นมงคล ไร้สาระในการที่
    จะแนะนำคนโง่แต่อวดฉลาด ตั้งคำถามโง่ๆ ที่แสดงถึงภูมิจิตภูมิธรรมของคุณว่ามี
    แค่ใหนอย่างไร ท่านผู้รู้หลายท่านได้กรุณาให้คำตอบคำแนะนำที่ดีและถูกต้องแต่คุณ
    ไม่เคยนำเอาไปพิจารณาเลย เพราะถ้านำเอาไปพิจารณาหาเหตุหาผล คงไม่มีคำตอบ
    กลับมาอย่างที่เห็นๆ กันอยู่ เป็นนักบวชแต่ศีล ๕ ยังไม่ครบ ไม่น่าจะเสนอหน้าอวดความโง่
    ให้ผู้รู้ทั้งหลายเขาสมเพชเวทนา อย่างว่าแหละ คนพาลที่เป็นมิจฉาทิษฐิ แม้พระพุทธองค์
    ยังไม่ทรงโปรด เพราะมันไม่เกิดประโยชน์ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

    ที่คุณเขียนไว้ว่า ***ขออภัยที่ทำให้เกิดโทสะ***


    ขอบอกว่า ***** ขออภัยที่ไม่เกิดโทสะ แต่สมเพชเวทนามากกว่า*****
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2008
  20. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    สาธุฯค่ะ คุณชนะ

    ผู้ศึกษามาว่า อะไรๆก็ไม่มี คงจะพิจารณาอะไรไม่ได้
    เพราะไม่มีอะไรให้พิจารณา ในเมื่อ อะไรๆก็ไม่มี อะไรๆก็ไม่ใช่ ที่ใช่ก็ไม่มีอีก

    ซึ่งขัดแย้งกับพุทธองค์อย่างสิ้นเชิง
    พระพุทธองค์ทรงออกผนวชเพื่อค้นหาอมตธรรม ซึ่งมีอยู่จริง

    ขอร่วมเสนอมงคล ๓๘ ข้อสุดท้ายแถมท้ายค่ะ
    จิตของผู้ใด อันโลกธรรมทั้งหลายถูกต้องแล้ว
    ย่อมไม่หวั่นไหว ไม่มีโศก ปราศจากธุลี เกษม ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสูด

    ตลอดพระชนม์ชีพ ทรงสอนให้ชำระจิตให้บริสุทธิ์ปราศจากกิเลส
    ต้องอบรมจิตโดยการปฏิบัติอริยมรรค ๘

    ^_^
     

แชร์หน้านี้

Loading...