น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ถ้า "ไม่มี" แล้วพระองค์จะทรงออกผนวชเพื่อค้นหาอะไร ค้นหาของที่ "ไม่มี"หรือ ?
    จะลำบากพระวรกายไปเพื่ออะไร เพื่อหาสิ่งที่ "ไม่มี"


    ***เมื่อยังไม่ตรัสรู้ก็ยังเชื่อว่ามี แต่เมื่อตรัสรู้แล้วจึงรู้ว่าไม่มี***

    ไม่ใช่ เรา คือ จิต <O:p</O:p

    ***ก็แสดงว่า จิตก้บขันธ์ ๕ ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ***

    ***และก็แสดงว่า จิตเป็นอีกขันธ์หนึ่ง ซึ่งต่างจากขันธ์ ๕ ใช่หรือไม่?***

    ***แล้วใครบัญญัติว่ามีจิตเป็นอีกขันธ์หนึ่ง?***

    ***ความจริงแล้วจิตก็เกิดขึ้นมาจากการที่ขันธ์ ๕ สร้างขึ้นมามิใช่หรือ?***

    ***อย่าเชื่อใครแม้แต่ตนเอง***

    (ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net)
     
  2. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    (ฉะนั้นต่อไปนี้ผมจะไม่เสวนากับคุณอีกต่อไป เพราะมันไม่เป็นมงคล ไร้สาระในการที่จะแนะนำ)

    ***อ้าว...อย่าหนีความจริงซิ***

    *** ยังไม่ทันได้แสดงภูมิให้เห็นเลยสักนิด หนีไปซะแล้ว***

    ***อย่าเชื่อใครแม้แต่ตนเอง***


    (ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2008
  3. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    (***ก็บอกมาซิ ว่าคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน? ***<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p< O:p< font>

    สจิตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธานสาสนํ<O:p< O:p< p> การชำระจิตให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย)


    ***อย่าบ่ายเบียงซิ ตอบให้ตรงประเดนหน่อย ว่าคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้านั้นขณะนี้อยู่ที่ไหน? หรือเอามาจากไหน? ใครรับรอง?***


    ***จากตำรา หรือจากครูอาจารย์ หรือเดาเอาเอง?**


    (ผู้ศึกษามาว่า อะไรๆก็ไม่มี คงจะพิจารณาอะไรไม่ได้
    เพราะไม่มีอะไรให้พิจารณา ในเมื่อ อะไรๆก็ไม่มี อะไรๆก็ไม่ใช่ ที่ใช่ก็ไม่มีอีก)


    ***ถ้าไปบอกเด็กโง่ว่า ไม่มีผลแอปเปิล เด็กนั้นก็คงฟังไม่เข้าใจ ซ้ำจะมาว่าเราบ้าอีก เพราะเด็กโง่ย่อมไม่มีปัญญาพิจารณา***


    ***แต่ถ้าไปบอกนักวิทยาศาสตร์ เขาฟังเข้าใจ**

    ***พระพุทธเจ้าก็สอนอยู่ว่า ทุกสิ่งว่าจากตัวตน(สุญญตา)**

    **แล้วยังจะไปเอาตัวตนมาจากไหนอีก?

    ***อย่าเชื่อใคร แม้แต่ตัวเอง***

    (ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )

    </O:p<></O:p<>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2008
  4. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ถ้า "ไม่มี" แล้วพระองค์จะทรงออกผนวชเพื่อค้นหาอะไร ค้นหาของที่ "ไม่มี"หรือ ?
    จะลำบากพระวรกายไปเพื่ออะไร เพื่อหาสิ่งที่ "ไม่มี"
    ***เมื่อยังไม่ตรัสรู้ก็ยังเชื่อว่ามี แต่เมื่อตรัสรู้แล้วจึงรู้ว่าไม่มี***

    เมื่อยังไม่ตรัสรู้ ก็ยังเชื่อว่า จิตมีกิเลสอยู่
    แต่เมื่อตรัสรู้แล้ว จึงรู้ว่า จิตบริสุทธิ์ปราศจากกิเลส

    ทรงเปล่งอุทานเมื่อตรัสรู้ใหม่ๆว่า
    "จิตของเราสิ้นการปรุงแต่ง บรรลุพระนิพพานเพราะสิ้นตัณหาแล้ว"
     
  5. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762

    ท่านควรจะไปปฏิบัติตนให้ถึงเสียก่อน หรือไม่ก็ควรจะตรัสรู้ให้ได้เสียก่อนแล้วค่อยกลับมาสอนนะค่ะ;aa21
     
  6. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ไม่ใช่ เรา คือ จิต
    ***ก็แสดงว่า จิตก้บขันธ์ ๕ ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ***<O:p</O:p
    งั้นสิคะ<O:p</O:p
    จิตไม่ใช่ขันธ์ ๕ และ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่จิต<O:p</O:p
    แต่จิตเป็นผู้รู้ว่า ขันธ์ ๕ เกิดขึ้นที่จิต และขันธ์ ๕ ดับไปจากจิต

    อ้างอิงมหาสติปัฏฐานสูตร<O:p</O:p
    เมื่อราคะ (โทสะ ..โมหะ ) เกิดขึ้นที่จิต ก็รู้ชัดว่าราคะ (โทสะ ..โมหะ ) เกิดขึ้นที่จิต<O:p</O:p
    เมื่อราคะ (โทสะ ..โมหะ ) ดับไปจากจิต ก็รู้ชัดว่า ราคะ (โทสะ ..โมหะ ) ดับไปจากจิต

    <O:p</O:p***และก็แสดงว่า จิตเป็นอีกขันธ์หนึ่ง ซึ่งต่างจากขันธ์ ๕ ใช่หรือไม่?***<O:p</O:p
    อย่าเดาสวดเอาเองสิท่าน บอกตั้งหลายครั้งแล้ว อย่าเดาสวด
    หัดฟังและพิจารณาไตร่ตรองบ้าง<O:p</O:p

    จิต ไม่ใช่อีกขันธ์หนึ่ง และจิตไม่ใช่ขันธ์ ๕ แต่จิตเป็นผู้รู้<O:p</O:p
    ปุถุชน จิตผู้รู้ รู้ผิดจากความเป็นจริง ยึดถือขันธ์ ๕ เป็นอัตตาตัวตนของตน<O:p</O:p
    พระอริยสาวก จิตผู้รู้ รู้ถูกตามความเป็นจริง ปล่อยวางการยึดถือขันธ์ ๕ เป็นอัตตาตัวตนของตน<O:p</O:p
    เพราะรู้ว่าขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตน ตนไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่อัตตาตัวตนของตน<O:p</O:p

    ***แล้วใครบัญญัติว่ามีจิตเป็นอีกขันธ์หนึ่ง?***<O:p</O:p
    สิ่งใดที่พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงบัญญัติ พวกเราเหล่าสาวกก็ไม่ควรบัญญัติ<O:p</O:p
    พระพุทธองค์ไม่เคยบอกว่า จิต เป็นอีกขันธ์หนึ่ง<O:p</O:p
    แต่จิตเป็นผู้ปล่อยวางการยึดถือขันธ์ ๕ ต่างหากล่ะ<O:p</O:p

    อย่างในอนัตตลักขณสูตร ในท้ายพระสูตร กล่าวว่า<O:p</O:p
    จิตของพระปัญจวัคคีย์ก็หลุดพ้นจากอุปาทานการยึดถือขันธ์ ๕<O:p</O:p

    ชัดเจนอยู่แล้วว่า จิต ไม่ใช่อีกขันธ์หนึ่ง แต่จิตปล่อยวางการยึดถือขันธ์ ๕<O:p</O:p

    ***ความจริงแล้วจิตก็เกิดขึ้นมาจากการที่ขันธ์ ๕ สร้างขึ้นมามิใช่หรือ?***
    ความจริงแล้ว ถ้าไม่มีจิต ...ขันธ์ ๕ ก็มีไม่ได้ค่ะ<O:p</O:p
    จิตไม่ได้เกิดจากการที่ขันธ์ ๕ สร้างขึ้นมา<O:p</O:p
    แต่ขันธ์ ๕ เป็นกิริยาอาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์

    อย่างเช่น โอ่ง อ่าง ไหกระเทียม ไหปลาร้า เป็นสังขารที่ไม่มีจิตครอง ดังนั้นจึงไม่มีขันธ์ ๕ ได้<O:p</O:p
    แต่มนุษย์ เป็นสังขารที่มีจิตครอง จึงมีขันธ์ ๕ ได้
    <O:p</O:p
    จะมีขันธ์ ๕ ลอยๆ โดยไม่มีจิตไม่ได้<O:p</O:p
    แต่จะมีจิต โดยไม่ยึดถือขันธ์ ๕ ได้

    ปุถุชน จิตมีอวิชชาครอบงำ
    จิตหลงยึดขันธ์ ๕ เป็นตน<O:p</O:p
    เมื่อขันธ์ ๕ แปรปรวนไป ก็เข้าใจว่าตนแปรปรวน
    คือ จิตแปรปรวนตามขันธ์ ๕ ที่แปรปรวนไป<O:p</O:p
    พระอริยสาวก จิตหลุดพ้นจากการครอบงำของอวิชชา<O:p</O:p
    จิตปล่อยวางการยึดถือขันธ์ ๕ เป็นตน<O:p</O:p
    เมื่อขันธ์ ๕ แปรปรวนไป จิตรู้อยู่ เห็นอยู่ว่า ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตน<O:p</O:p
    ถึงขันธ์ ๕ แปรปรวนไป จิตก็ไม่แปรปรวนตามขันธ์ ๕ ที่แปรปรวนไป<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    อ้างอิงนกุลปิตาสูตร<O:p</O:p
    ปุถุชน จิตยึดถือขันธ์ ๕ เป็นตน<O:p</O:p
    เมื่อขันธ์ ๕ แปรปรวนไป ทุกข์จึงเกิดขึ้น<O:p</O:p
    คือ กายกระสับกระส่าย จิตกระสับกระส่ายตาม<O:p</O:p
    พระอริยสาวก จิตปล่อยวางการยึดถือขันธ์ ๕ เป็นตน<O:p</O:p
    เมื่อขันธ์ ๕ แปรปรวนไป ทุกข์จึงไม่เกิดขึ้น<O:p</O:p
    คือ กายกระสับกระส่าย จิตหากระสับกระส่ายไม่

    ^_^<O:p</O:p
     
  7. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    อย่าเข้าใจผิดเจ้าค่ะ ไม่มีใครหนีอยู่แล้ว

    เรื่องที่จะยอมให้ผู้นุ่งห่มเหลืองโกนหัว แล้วไม่ปฏิบัติ แต่ปฏิญาณตนว่าเป็นพุทธบุตร
    เที่ยวเผยแพร่ความรู้ที่เกิดจากความคิดเห็นผิดๆของตนเอง ...
    ในฐานะพุทธบริษัท แม้ไม่ได้นุ่งห่มเหลืองโกนหัว...แต่ปฏิบัติตามเสด็จพระพุทธองค์
    ไม่มีใครยอมได้หรอกค่ะ<O:p</O:p

    แต่เค้ามีความละอาย( แทนผู้ถือศีล ๒๒๗ ) จึงไม่อยากถกกับท่านต่างหากล่ะคะ ^_^
     
  8. forever_love

    forever_love Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +43
    จื่อก้งถามต่อว่า

    "อายุวัฒนานั่นเป็นปรารถนาของมวลมนุษย์ แต่ความม้วยมรณา มนุษย์ต่างชิงชังกันทั่ว ท่านกลับเห็นความตายเป็นเรื่องสำราญด้วยเหตุไฉน?"


    หลินเล่ยเฉลยว่า

    "อันความตายเมื่อเทียบกับการเกิด หนึ่งคือการมา อีกหนึ่งคือการกลับ
    ดังนี้การตายจากที่นี่
    จะรู้ได้อย่างไรว่า มิใช่การไปเกิดที่อื่น
    จะรู้ได้อย่างไรว่า ชีวิตและความตายมิเสมอเหมือนกัน
    จะรู้ได้อย่างไรว่า การดิ้นรนเพื่อการดำรงอยู่มิใช่อาการอันหลงเลอะ
    และ จะรู้ได้อย่างไรว่า การตายของข้าในครั้งนี้ไม่ดีกว่าการเกิดเมื่อครั้งก่อน"

    .
    .
    .
    .

    จากหนังสือ "คัมภีร์เต๋าของเลี่ยจื่อ" ปกรณ์ ลิมปนุสรณ์ แปล (หน้า 15)
     
  9. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    เรา คือ จิต

    อ้างอิง ภยเภรวสูตร

    เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลสเครื่องยียวน
    ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ถึงความไม่หวั่นไหวอย่างนี้

    โน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ
    ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกข์สมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
    เหล่านี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา.

    เมื่อเรานั้นรู้เห็นอย่างนี้ จิตก็หลุดพ้น แม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ
    เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว
    ได้รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
    กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี

    เรา ที่ทรงตรัสถึง คงไม่หมายถึงกายเนื้อของพระองค์แน่นอนค่ะ
    แต่หมายถึง จิต ผู้รู้ ผู้เห็นอยู่ ( ไม่ใช่ขันธ์ ๕ )

    ^_^
     
  10. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    สจิตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธานสาสนํ
    <O:pการชำระจิตให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

    จิตบริสุทธิ์ คิดดี ทำดี พูดดี<O:p</O:p
    จิตลามก คิดชั่ว ทำชั่ว พูดพลิ้วแถกแถ

    ไม่น่าเชื่อว่า ผู้ถือศีล ๒๒๗ จะพลิ้วได้ขนาดนี้<O:p</O:p
    ถ้าไม่อบรมจิต จะเกิดมาเป็นคนทำไม
     
  11. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ผู้ศึกษามาว่า อะไรๆก็ไม่มี คงจะพิจารณาอะไรไม่ได้<O:p</O:p
    เพราะไม่มีอะไรให้พิจารณา ในเมื่อ อะไรๆก็ไม่มี อะไรๆก็ไม่ใช่ ที่ใช่ก็ไม่มีอีก
    ***ถ้าไปบอกเด็กโง่ว่า ไม่มีผลแอปเปิล เด็กนั้นก็คงฟังไม่เข้าใจ ซ้ำจะมาว่าเราบ้าอีก เพราะเด็กโง่ย่อมไม่มีปัญญาพิจารณา***
    ได้ไปบอกเด็กแล้ว ( แต่เด็กไม่โง่แฮะ) ว่า ไม่มีผลแอปเปิ้ล เด็กเค้าก็ฟังเข้าใจดี
    แต่เด็กเค้าบอกว่า เค้าอยากกินข้าวมันไก่ ดังนั้น จะมี หรือ ไม่มีแอปเปิ้ล เค้าก็ไม่สนใจ

    และไม่ได้ว่าเราบ้าแฮะ อย่างที่บอกเด็กไม่โง่นะ แถมฝากมาให้อรรถาธิบายให้ฟังว่า


    แอปเปิ้ล เป็นคำสมมุติ ( ไม่ใช่ติต่างนะคะ ) แต่เป็นบัญญัติซ้อนบัญญัติ

    คือ ผลไม้ เป็นคำบัญญัติ ตั้งขึ้นเพื่อเรียกขานให้เป็นที่เข้าใจกัน
    แต่ผลไม้มีหลายแบบ เมื่อค้นพบผลไม้ขึ้นมาชนิดหนึ่ง ก็ต้องตั้งคำสมมุติขึ้น
    คือ คำบัญญัติซ้อนบัญญัติ เพื่อใช้เรียกผลไม้ชนิดนั้นๆ ขึ้นนั่นเอง

    ถ้าบอกว่า ไม่มีแอปเปิ้ล ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีแอปเปิ้ลอยู่ในโลกนี้
    เพราะถ้าไม่เคยมีแอปเปิ้ลอยู่ในโลกนี้เลย คำสมมุติ แอปเปิ้ล ย่อมไม่ถูกตั้งขึ้นมา

    แต่เพราะมี แอปเปิ้ล อยู่ในโลกนี้นั่นเอง จึงมีคำสมมุติ คำว่า แอปเปิ้ล ขึ้นมา
    เพียงแต่ขณะที่พูดไม่มีแอปเปิ้ล เพราะเผอิญมีส้ม มีทุเรียน อยู่
    แต่ไม่ได้หมายความว่าในโลกนี้ไม่มีแอปเปิ้ล

    ***แต่ถ้าไปบอกนักวิทยาศาสตร์ เขาฟังเข้าใจ**
    ที่ไปถามมาเนี่ย เด็กนักเรียน ยังรู้เรื่องเลย ไม่ต้องนักวิทยาศาสตร์หรอก
    ถ้า “สิ่งนี้” ไม่เคยมีในโลก จะไม่มีการพูดถึง “สิ่งนี้”
    เพราะยังไม่มีบัญญัติคำพูดเพื่อเรียก “สิ่งนี้”
    แต่เพราะ “สิ่งนี้” มี จึงมีการพูดถึง เพราะมีการบัญญัติคำพูดเพื่อเรียก
    “สิ่งนี้”

    ***พระพุทธเจ้าก็สอนอยู่ว่า ทุกสิ่งว่าจากตัวตน(สุญญตา)**
    ทรงสอนว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตน คือ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ตน
    ไม่ได้สอนว่า สพฺเพ ธมฺมา สูญญํ ไม่มีนะคะ
    ทุกสิ่งว่างจากตัวตน(สุญญตา)**

    มีแต่ นิพพานํ ปรมํ สูญญํ ค่ะ นิพพาน สูญจากกิเลส อย่างสิ้นเชิง
    นิพพาน ว่างจากกิเลส

    อย่าเอามาปนกันจนมั่วนะคะ สงสัยเที่ยวหลอกเค้าจนเคย คิดว่าคนอื่นโง่กว่าตัวเอง

    **แล้วยังจะไปเอาตัวตนมาจากไหนอีก?
    ในพุทธพจน์มีเยอะเลยค่ะ จะยกมาให้พอเป็นสังเขป

    พวกเธอจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง มิใช่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง
    คือจงมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง มิใช่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง


    วัยของเรา แก่หง่อมแล้ว ชีวิตของเราเป็นของน้อย
    เราจักละพวกเธอไป เรากระทำที่พึ่งแก่ตนแล้ว
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    พวกเธอจงเป็นผู้ไม่ประมาท มีสติ มีศีล อันดีเถิด
    จงเป็นผู้มีความดำริตั้งมั่นดีแล้ว ตามรักษาจิตของตนเถิด
    ผู้ใด จักเป็นผู้ไม่ประมาท อยู่ในธรรมวินัยนี้
    ผู้นั้นจักละชาติสงสาร แล้วกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ดังนี้ ฯ


    เบญจขันธ์เพียงดังว่าเพชฌฆาตผู้หนึ่ง
    เราบอกแล้ว สาระย่อมไม่มีในเบญจขันธ์นี้
    ภิกษุผู้มีความเพียรอันปรารภแล้วมีสัมปชัญญะ มีสติ
    พึงพิจารณาขันธ์ทั้งหลายอย่างนี้ ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน
    ภิกษุเมื่อปรารถนาบทอันไม่จุติ (นิพพาน)
    พึงละสังโยชน์ทั้งปวง พึงกระทำที่พึ่งแก่ตน
    พึงประพฤติ ดุจบุคคลผู้มีศีรษะอันไฟไหม้ ดังนี้.


    ^_^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2008
  12. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ขอถามบ้างนะคะ

    ท่านบวชมาเพื่ออะไร?

    บวชมาแล้วได้อะไรจากพระพุทธศาสนาบ้าง?

    ท่านเชื่อว่า บาปบุญคุณโทษมีจริงหรือไม่?

    ขอบคุณค่ะ ^_^
     
  13. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ..................................................................................

    บังเอิญ ผมได้กล่าวแสดงไว้ ว่า..

    การแสดงออก "ทางกาย" และ "ทางวาจา"

    ก็เพราะว่า มี "ใจ" เป็นผู้กำหนด
    ให้แสดง(ทางกาย).. ให้กล่าว(ทางวาจา)..
    ตามที่ "ใจ" ปรารถนา

    "ใจ" แต่ละดวง ของแต่ละคน
    ก็เป็นไป ตามบุญ ตามกรรม ตามบารมี

    "ใจ" ของแต่ละบุคคล ก็จะแสดง หรือ กล่าววาจา
    "ที่สามารถเข้าถึงธรรมได้" ในลำดับขั้นตามบุญ กรรม และบารมี
    ของในห้วงเวลาในขณะนั้น ๆ

    ที่กล่าว ว่า.. เป็นไป ตามบุญ ตามกรรม ตามบารมี นั้น..

    ตามบุญ..
    เมื่อ กุศลกรรม เข้าถึง ก็จะทำบุญ ทำทาน รักษาศีล บำเพ็ญภาวนา
    สั่งสม กรรมดี ไป

    ตามกรรม..
    เมื่อ อกุศลกรรม เข้าถึง ก็จะไม่เห็นความสำคัญของ ทาน ศีล ภาวนา
    และกระทำความชั่ว(ผิดศีล) สะสม กรรมชั่ว ไป

    ทั้งกรรมดี และกรรมชั่ว ที่รวบรวมไว้ ในแต่ละภพภูมิ แต่ละชาติ
    นั้น ก็คือ การบำเพ็ญ เป็นไปตาม "บารมี" (บารมี นี่.. คือ กำลังใจ)

    กำลังใจ ที่จะทำความดี หรือ เลว ในห้วงเวลานั้น ๆ

    การบำเพ็ญบารมี เพื่อให้ถึง พระนิพพาน ได้นั้น

    ต้องบริหาร "จิตใจ" (ตัวจริงของเรา คือ อทิสมานกาย) ของเรา เท่านั้น

    หาก "จิตใจ" ทราม..
    ก็พูด.. ก็แสดง.. ก็กระทำ.. ได้เฉพาะในเรื่อง เลวทราม เท่านั้น

    ...................................................................................

    ที่ถามว่า....

    ***อย่าบ่ายเบียงซิ ตอบให้ตรงประเดนหน่อย ว่าคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้านั้นขณะนี้อยู่ที่ไหน? หรือเอามาจากไหน? ใครรับรอง?***


    ***จากตำรา หรือจากครูอาจารย์ หรือเดาเอาเอง?**

    ...................................................................................

    นี่ครับ..

    "หัวใจ" ขอคำตรัสสอนของ พระผู้มีพระภาคเจ้า

    ตัวของเราเอง.. รับรองเอง..

    คำตอบ นะง่ายมาก....
    แต่ปฏิบัติ ได้ยาก.. ส่วนใหญ่ มีแต่ อ่านมามาก วาจา ว่าข้าเก่ง
    เพราะคิดเอาเอง เดาเอาเอง ว่า พระไตรปิฎก ต้องเป็นอย่างโน้น อย่างนี้

    แต่เมื่อสามารถ ทำจิต ให้ตั้งมั่น เข้าถึงปัญญาแท้ ได้แล้ว
    ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครเขา มาค้าน คำตรัสสอน กัน แม้แต่รายเดียว

    นั่น ก็เป็นเตรื่องสังเกตุได้ เป็นอย่างดี ของพุทธมามกะ
    ว่า ท่านเหล่านั้น ใคร เข้าถึงธรรม เจริญธรรม ได้เพียงใดกันแล้ว

    ไอ้ที่จะมานั่งตะแบงคัดค้าน คำตรัสสอน นี่....
    ก็เห็นได้ชัดแล้ว ว่า..

    ไม่ได้มีสมาธิจิต ไม่ได้มีอธิจิตสิกขา อันใดเลย

    เมื่อ จิตใจ ไม่มีสติมั่น ย่อมไม่รู้ ไม่เห็น ไม่มี ไม่เกิด "ปัญญาแท้จริง"
    วาจา และการกระทำ ก็จะแสดงได้เฉพาะ ในสิ่งที่จิต ตนเองรู้ได้ เท่านั้นเอง

    วาจา และการกระทำ ก็เน่าเหม็น ขาดภูมิธรรม อันแท้จริง

    ที่กล่าวมา ดังนี้ ก็ย่อมรวมถึง ตัวของผมเองด้วย
    ที่กำลังกล่าววาจาอันโสโครก อันน่าสะอิด สะเอียน
    ในการส่อเสียด "ผู้อื่น" อยู่ตรงนี้

    เพราะ ตนเอง ก็ยังไม่ได้ก้าวเข้าถึงเกณฑ์ ของ อริยผลใด ๆ เลย

    อันนี้ ก็ขอ ประณาม ตัวผมเอง ว่า..
    ช่าง เลว จริง ๆ ทั้งที่ไม่มีความรู้ในเรื่องของ อริยะ
    แต่ก็รั้น ดื้อด้าน อยากจะกล่าว ในเรื่องที่ตนเอง ไม่แน่ใจ ไม่เข้าใจ

    อย่างนี้ ตัวผมเอง ก็นับได้ว่า เลวจริง.. เลวแท้ ๆ ใช่ไหมครับ..

    หากผม อยากจะเข้าถึงธรรมะแท้ ปัญญาจริง ให้ได้ นี่..
    ผม ก็พอที่จะสำนึกได้ว่า ต้องทำจิตให้สะอาด..
    ต้องทำให้จิต มีสติ ตั้งมั่น เป็นหนึ่ง ให้ได้ซะก่อน

    หากจิตชั่ว.. ใจเลว.. ก็มีแต่วาจา เน่าเหม็น.. ชั่ว.. เลว..
    ทั้งนี้เป็นไปตาม "จิต" (อทิสมานกาย คือ ตัวเราจริง ๆ) นั่นเอง

    หาก "จิต" เป็น จิตของผู้ ทรงใน ทาน
    ก็จะเห็นได้ว่า พูด และปฏิบัติ ในเรื่อง การทำทานอย่างไร อานิสงส์ อย่างไร

    หาก "จิต" เป็นผู้ทรงใน ศีล
    จิตใจจะเยือกเย็น พูดแต่ในเรื่อง พรหมวิหารธรรม อภัยทาน

    หาก "จิต" ของผู้ทรงใน ฌาน
    ส่วนใหญ่ อารมณ์จะกด ก็จะนิ่งเฉยได้ดี

    หาก "จิต" ของ พระอริยะ
    ก็จะแสดงธรรม ตามภูมิธรรมที่ท่านเข้าถึง ในลำดับที่ต่างกันไป
    ของพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์
    พระอริยะ ท่านก็ต่าง ทรงในอุเบกขา ยอมรับใน กฎแห่งกรรม

    ...................................................................................

    ตั้งแต่ ทาน ศีล ภาวนา เพื่อจิตมีสติมั่น ให้เกิดปัญญา
    สามารถทรงอารมณ์ใน จาคานุสสติ ตั้งมั่นในพรหมวิหารธรรม
    สามารถ กำหนดจิต ให้เข้าถึง ปัญญาแท้จริง ให้ได้นั้น

    ผมก็รู้สึก ว่า..
    มันต้องปฎิบัติ ด้วยตนเอง ให้ได้เสียก่อน
    ตนเอง เท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งแห่งตน ได้โดยแท้จริง

    ที่บอกว่า ไม่ให้เชื่อใคร แม้แต่ตนเอง..
    นั่นมัน ขันธ์ 5 ก็ไม่ต้องไปเชื่อถือมัน..

    แต่หาก "ตนเอง" (คือ จิต ใจ อทิสมานกาย) เกิด ปัญญาได้แท้จริง
    อันนี้ เราจะรู้ได้ด้วย จิต ใจ อทิสมานกาย เองว่า.. เกิดปัญญาแท้

    ย่อมต้องเชื่อได้ ครับ..
    สามารถ เชื่อ "ตนเอง" ที่ผ่านความรู้ ใน "ปัญญาแท้" ได้ซิครับ
    ทำไม จะเชื่อไม่ได้..

    หากเชื่อตนเอง ไม่ได้.. มันไปที่ไหน กันละนี่.. มันไม่มีทิศทาง....

    นี่แหละครับ.. ตัวเอง ปฏิบัติเข้าถึง ได้ดีแล้ว
    รู้ได้จาก.. ปัญญาแท้จริง แล้ว

    ตนเอง นั่นแหละครับ.. รู้เอง.. รับรองเอง

    ส่วนใหญ่ ที่มาค้านคำตรัสสอน กัน ตะแบ๊ว ๆ นี่..
    มันก็แสดงถึงว่า.. ไม่รู้ ไม่มีปัญญาแท้จริง..
    มีแต่สัญญา (ความจำ นั่งนึก ตรองตรึก แล้วคิดเองว่า ใช่ ทั้งนั้น) เท่านั้น

    ..................................................................................

    ทั้งหลาย ทั้งปวง ที่กล่าวมา นี้..
    เป็นเรื่องของ "คน บ้าเกิด" มันมานั่งด่า ตนเอง เท่านั้น นะครับ

    ว่า.. ตัวผมเอง มันเลว จริง ๆ
    ที่ยังกรรมเลว จึงต้องโง่เกิด มาพบ มาเห็น เรื่องเลว ๆ เพิ่มเติมอีก

    เรื่องอย่างนี้.. หากบังเอิญ เป็นเครื่องประเทืองสติ ให้ใคร ได้บ้าง
    นั่น.. ก็เป็นคุณความดี ในขอบเขตของ พระศาสนา

    หากเห็นว่า เป็นเรื่องไร้สาระ ไม่เกิดความรู้ เกิดกิเลส รำคาญใจ..
    ก็ขอน้อม ขอขมา ขออภัยทาน โปรดยกโทษ ให้แก่ผมด้วยเถิด..

    ...................................................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2008
  14. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    อนุโมทนา คุณมหาหิน ค่ะ

    ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
    บุคคลมีตนที่ฝึกดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งที่บุคคลอื่นได้โดยยาก
    ( ธรรมบท )

    ต้องฝึกตนโดยการอบรมจิต เพื่อให้ ตนคือจิตบริสุทธิ์ปราศจากกิเลส

    ปริโยท เปยฺย อตฺตานํ จิตฺตกิเลเสหิ ปณฺฑิโต
    บัณฑิตพึงชำระตน คือจิตให้บริสุทธิ์ปราศจากกิเลส
    ( ธรรมบท )

    โดยการปฏิบัติสัมมาสมาธิตามหลักมรรค ๘
    เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว ย่อมเกิดปัญญา รู้เห็นตามความเป็นจริง(รู้ด้วยตนเอง)
    คือ รู้อริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง ดังพุทธพจน์ที่มีมาว่า

    สมาธึ ภิกฺขเว ภาเวถ สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จงยังสมาธิให้เกิดขึ้นเถิด
    ผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง ดังนี้

    เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ตน(คือจิต)ย่อมเกิดปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริง
    ตนรู้ด้วยตนเอง คือ รู้อริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง ดังนี้คือ

    ตนรู้ว่า การที่ตน(คือจิต) หลงผิดยึดถือขันธ์ ๕ ว่าเป็นตน ทำให้ตน(คือจิต)เกิดทุกข์ขึ้น ( ทุกข์ )<O:p</O:p
    ตนรู้ว่า การที่ตน(คือจิต) หลงผิดยึดถือขันธ์ ๕ ว่าเป็นตน ที่ตน(คือจิต)จะไม่ทุกข์เป็นไม่มี ( สมุทัย เหตุแห่งทุกข์)<O:p</O:p

    ตนรู้ว่า เมื่อตน(คือจิต) ปล่อยวางการยึดถือขันธ์ ๕ ว่าเป็นตน ทุกข์ดับไปจากจิต (ตนไม่ทุกข์) (นิโรธ )<O:p</O:p
    ตนรู้ว่า การปฏิบัติสัมมาสมาธิตามหลักมรรค ๘ ทำให้ทุกข์ดับไปจากจิต (ตนไม่ทุกข์)( มรรค )<O:p</O:p

    ^_^

    จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว
    จิตที่ฝึกฝนดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2008
  15. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    ขออนุโมทนาครับคุณธรรมะสวนัง

    ธรรมะที่คุณกล่าวไว้ทั้งหมด ถูกต้องชัดเจนตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์
    เหมือนเปิดของที่คว่ำให้หงายขึ้น เปรียบคนบางคนเหมือนกบในกะลา
    ได้รับคำอธิบายจากคุณซึ่งเปรียบเหมือนเปิดกะลาให้กบ เพื่อให้พบแสงสว่าง
    แต่อนิจจา บังเอิญกบที่อยุ่ในกะลาเป็นกบตาบอด เปิดให้ก็เท่านั้น
    เสียเวลาเปล่า เพราะเปิดแล้วเปิดเล่ากบก็ยังมืดบอดอยู่นั่นเอง
    ก็ถือว่าให้ธรรมะเป็นทานก็แล้วกัน ขอโมทนาในคุณธรรมของท่านเป็นอย่างสูงครับ
     
  16. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    (จิต ไม่ใช่อีกขันธ์หนึ่ง และจิตไม่ใช่ขันธ์ ๕ แต่จิตเป็นผู้รู้)<O:p</O:p

    ***แล้วกิริยาที่ "รู้" ของจิตนั้นมันใช้อะไรมารู้ ถ้าไม่ใช่วิญญาณขันธ์ ที่เป็นขันธ์หนึ่งในขันธ์ทั้ง ๕ ***

    ***หรือจิตมันสามารถที่จะรู้ได้ด้วยตัวของมันเอง โดยไม่ต้องอาศัยวิญญาณขันธ์ใช่หรือไม่?***

    ***ช่วยอธิบายให้ชัดเจน ว่าจิตเป็นผู้รู้ได้โดยไม่ต้องอาศัยขันธ์ ๕ ได้หรือไม่?***

    ***อย่ามีตัวกู มันจะมีทุกข์***

    (ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )
     
  17. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ท่านบวชมาเพื่ออะไร?

    ***เพื่อต่อสู้กับอวิชชา(ความโง่สูงสุดของสัตว์ที่เข้าใจผิดว่ามีตนเอง)***

    บวชมาแล้วได้อะไรจากพระพุทธศาสนาบ้าง?


    ***ได้รู้แจ้งว่า สิ่งยากที่สุดก็คือ การสอนหุ่นยนต์ให้เข้าใจว่า ตัวมันคือหุ่นยนต์***

    ท่านเชื่อว่า บาปบุญคุณโทษมีจริงหรือไม่?


    ***บาป คือการทำความชั่ว และมีผลเป็นความทุกข์ใจในปัจจุบัน และสร้างปํญหาให้มากมาย ในอนาคต(ในชีวิตนี้)***

    ***ส่วนบุญคือ การทำความดี และมีผลเป็นความสุขใจอิ่มใจในปัจจุบัน และมีผลเป็นความเจริญในอนาคต(ในชีวิตนี้)***

    ***คุณ คือประโยชน์ ส่วนโทษคือความเสียหาย***

    ***สิ่งเหล่านี้ก็มีจริง เพราะเราทุกคนก็เห็นแจ้งกันดีอยู่แล้ว***

    ***ตัวของตัวยังไม่มี บุตรและทรัพย์จักมีมาแต่ที่ไหน(พุทธภาษิต)***

    (ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับบุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )


     
  18. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจโดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    (แอปเปิ้ล เป็นคำสมมุติ ( ไม่ใช่ติต่างนะคะ ) แต่เป็นบัญญัติซ้อนบัญญัติ)

    ***ถ้าบอกเด็กว่า ไม่มีเรา ไม่มีใคร มีแต่ธาตุ เด็กจะเข้าใจหรือไม่?***

    (บัณฑิตพึงชำระตน คือจิตให้บริสุทธิ์ปราศจากกิเลส)
    (มีแต่ นิพพานํ ปรมํ สูญญํ ค่ะ นิพพาน สูญจากกิเลส อย่างสิ้นเชิง
    นิพพาน ว่างจากกิเลส)


    ***อย่างนั้นก็แสดงว่า มี ตน กับ กิเลส ***

    ***และมีตนที่บริสุทธ์จากกิเลส รวมทั้งมี ตนนิพพานด้วย ใช่หรือไม่?***

    ***แล้วอะไรเป็นเหตุปัจจัย มาปรุงแต่งให้เกิดมี ตนที่บริสุทธิ์ นี้ขึ้นมาและตั้งอยู่?***

    ***ตนก็คือกิเลส เมื่อไม่มีกิเลส ก็ไม่มีตน***

    (ฉันคืออะไร? เวบไซต์สำหรับ บุคคลอัจฉริยะ www.whatami.net - www.whatami.5u.com )


     
  19. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    จิต ไม่ใช่อีกขันธ์หนึ่ง และจิตไม่ใช่ขันธ์ ๕ แต่จิตเป็นผู้รู้<O:p</O:p
    ***แล้วกิริยาที่ "รู้"ของจิตนั้นมันใช้อะไรมารู้ ถ้าไม่ใช่วิญญาณขันธ์ ที่เป็นขันธ์หนึ่งในขันธ์ทั้ง ๕ ***
    จิตคือธาตุรู้หรือ วิญญาณธาตุ ไม่ใช่วิญญาณขันธ์<O:p</O:p
    วิญญาณขันธ์เป็นกิริยาอาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์ คือ รับรู้อารมณ์ที่เข้ามาทางอายตนะ ๖<O:p</O:p
    วิญญาณทางตา วิญญาณทางหู วิญญาณทางจมูก วิญญาณทางลิ้น วิญญาณทางกาย วิญญาณทางใจ

    ***หรือจิตมันสามารถที่จะรู้ได้ด้วยตัวของมันเองโดยไม่ต้องอาศัยวิญญาณขันธ์ใช่หรือไม่?***
    ใช่สิ เพราะจิตมันคือธาตุรู้ แต่อาศัยร่างกายอยู่ เพื่อใช้สำหรับติดต่อกับอารมณ์<O:p</O:p
    เพราะจิตยังมีอวิชชาครอบงำอยู่ จึงต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ (กิเลส กรรม วิบาก )

    รูปร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยธาตุ ๖ ดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณธาตุ(ธาตุรู้ คือ จิต )
    ต่างจาก รูปชนิดอื่นๆ ซึ่งประกอบด้วยธาตุ ๔ ( ดิน น้ำ ลม ไฟ )<O:p</O:p

    รูปร่างกายมนุษย์จึงรู้อะไรได้เพราะมี วิญญาณธาตุ หรือธาตุรู้ คือจิตด้วย เป็นสังขารที่มีจิตครอง ( อุปาทินกสังขาร )
    แต่รูปชนิดอื่น รู้อะไรไม่ได้ เพราะไม่มีธาตุรู้ คือ จิต เป็นสังขารที่ไม่มีจิตครอง ( อนุปาทินกสังขาร )

    ดังนั้น รูปชนิดอื่นๆเช่น หุ่นยนต์ จึงรู้อะไรเองไม่ได้( ต้องให้มนุษย์ผู้มีจิต ตั้งโปรแกรมให้ )<O:p</O:p
    แต่มนุษย์รู้อะไรได้ เพราะมีจิตคือ ธาตุรู้ อยู่ นั่นเอง

    ร่างกายมีอายตนะภายใน ๖ ( ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ )<O:p</O:p
    เป็นช่องทางของจิตในการติดต่อกับอารมณ์ ( อายตนะภายนอก ๖ รูป เสียง กลิ่น รส กายสัมผัส ธรรมารมณ์ )<O:p</O:p
    เป็นคู่เรียงกันตามลำดับ

    จิตเมื่อผัสสะกับอารมณ์ เกิด วิญญาณ ๖ เกิดเวทนา สัญญา สังขาร ตามมา<O:p</O:p
    ครบขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

    ตย. เช่น<O:p</O:p
    ตาเห็นรูป เกิดการรับรู้ทางตาขึ้น ( วิญญาณทางตา )<O:p</O:p
    ชอบรูปที่เห็น ( เวทนา )<O:p</O:p
    จดจำรูปไว้ ( สัญญา )<O:p</O:p
    นึกคิดปรุงแต่งถึงรูปที่เห็นนั้นต่อไป ( สังขาร )

    คนตาบอด ไม่มีวิญญาณทางตา แต่มีจิตรู้<O:p</O:p
    จิตรู้ว่า ตนเองไม่มี วิญญาณทางตา ( ไม่สามารถรับรู้อารมณ์ทางตาได้ )<O:p</O:p
    ก็จะรับรู้อารมณ์โดยใช้วิญญาณทางอื่นแทน<O:p</O:p
    มีจิตรู้อยู่ ถึงแม้ว่าจะไม่มีวิญญาณทางตาก็ตาม

    คนหูหนวก ไม่มีวิญญาณทางหู แต่มีจิต รู้<O:p</O:p
    จิตรู้ว่า ตนเองไม่มีวิญญาณทางหู (ไม่สามารถรับรู้อารมณ์ทางหูได้ )<O:p</O:p
    ก็จะรับรู้อารมณ์โดยใช้วิญญาณทางอื่นแทน<O:p</O:p
    มีจิต รู้ อยู่ ถึงแม้ว่าจะไม่มีวิญญาณทางหูก็ตาม

    ***ช่วยอธิบายให้ชัดเจนว่าจิตเป็นผู้รู้ได้โดยไม่ต้องอาศัยขันธ์ ๕ ได้หรือไม่?***
    จิตก็อยู่ส่วนจิต ขันธ์ ๕ ก็อยู่ส่วนขันธ์ ๕ <O:p</O:p
    ดังปรากฏในนกุลปิตาสูตร
    ปุถุชน<O:p</O:p
    เมื่อรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แปรปรวนไป จิตแปรปรวนตาม
    พระอริยสาวกปฏิบัติสัมมาสมาธิตามหลักอริยมรรค ๘<O:p</O:p
    เมื่อรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แปรปรวนไป จิตไม่แปรปรวนตาม

    ***อย่ามีตัวกูมันจะมีทุกข์***
    ถ้ากู ไม่ยึดขันธ์ ๕ ว่าเป็นของกู ว่าเป็นตัวกู กูจะทุกข์ได้อย่างไร?
    แต่เพราะกู ไม่ปฏิบัติสัมมาสมาธิตามหลักอริยมรรค ๘<O:p</O:p
    กูยึดขันธ์ ๕ ว่าเป็นของกู ว่าเป็นตัวกู กูก็เลยมีทุกข์<O:p</O:p
    แล้วกูก็เที่ยวทะเลาะกับชาวบ้าน เพราะกูยึดว่าขันธ์ ๕ ที่กูอาศัยอยู่เป็นของกู<O:p</O:p
    ใครจะมาเก่งกว่ากู กูไม่ยอม กูไม่ฟังเหตุผลใคร<O:p</O:p
    กูก็เลยไม่รู้ว่า กูบวชมาทำไมให้เปลืองข้าวสุก<O:p</O:p
    กูน่าจะสึกออกมาทำมาหากินด้วยตัวกูเองจะดีกว่า<O:p</O:p
     
  20. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ท่านบวชมาเพื่ออะไร?
    อะไรของท่านที่ต่อสู้กับอวิชชา ใช่ตนเองต่อสู้กับอวิชชาใช่มั๊ย?
    ในเมื่อท่านเชื่อว่าไม่มีตนเอง แล้วใคร หรือ อะไร ต่อสู้กับอวิชชาล่ะคะ?

    เอารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ต่อสู้กับอวิชชาหรือคะ?
    อันนี้เรียกว่า ความโง่สูงสุดของสัตว์ที่ไม่เข้าใจตนเอง ค่ะ ^_^
     

แชร์หน้านี้

Loading...