น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. พระนอกเมือง

    พระนอกเมือง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +29
    ป.ล. ท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ

    ความเห็นก่อนหน้านี้ของท่าน ที่กล่าวว่า

    "มีฌาน ๔ แล้วแต่เหาะไม่ได้นี่นา เลยตกตึกตาย
    ฌาน ๔ ไม่ได้วิเศษวิโสอะไร เป็นเพียงความตั้งใจมั่นคงเท่านั้น
    สมาธิ หรือความตั้งใจมั่นนี้ จะมาเป็นพื้นฐานให้เกิดปัญญา
    แต่ถ้ามีสมาธิแล้วไม่รู้จักคิดพิจารณา ปัญญาก็ไม่เกิด
    จึงได้โดดตึกตายเพราะความผิดหวัง"

    ท่านไม่ได้ศึกษา หรือ ปฏิบัติเลยหรือ จึงไม่ทราบว่าเมื่อจิตเข้าสู่ขั้นฌาน จิตใจจะสงบ
    แม้ปัญญายังไม่เกิด แต่ภาวะนั้นไม่ประกอบด้วยจิตที่ฟุ้งซ่าน

    ข้อมูลการศึกษา การวิจัย การทดสอบด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ไม่ได้บอกท่านหรือว่า..
    การฆ่าตัวตาย เป็นเพราะจิตซึมเศร้า (ภาวะที่ไม่สงบ มีความอ่อนไหวแปรปรวนอย่างมาก)
    ซึ่งความซึมเศร้าจัดอยูในนิวรณ์ ๕ ขณะที่จิตของผู้มีสมาธิแม้ระดับปฐมฌาน จะไม่มีนิวรณ์กินใจได้เลย

    คำกล่าวของท่าน เข้าหลักกาลามสูตรจริง ๆ
     
  2. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    (เรื่องที่ท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ กล่าวว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน ได้แก่ นรก สวรรค์ เทวดา นางฟ้า กการเวียนว่ายตายเกิด เป็นต้น
    ท่านยังมิได้พิสูจน์ตามที่พระพุทธองค์ตรัสเลย (วิธีปฏิบัติในการเป็นพระอรหันต์ แบบใดแบบหนึ่ง นอกเหนือจากสุกขวิปัสสโก)
    ทำไมค้านเสียอย่างนั้นเล่า ทั้ง ๆ ที่พระองค์ตรัสสอนแนวการปฏิบัติอย่างมีระบบ มีขั้นตอน รอเพียงให้ท่านพิสูจน์เท่านั้น

    วิทยาศาสตร์ ก็มีการพิสูจน์หลักสมมติฐานด้วยการลงมือปฏิบัติ เพื่อหาข้อเท็จจริง
    หากท่านไม่ปฏิบัติตามแนวทางที่เป็นไปเพื่อสร้างการสัมผัสสิ่งละเอียด ด้วยจิตใจที่ละเอียด
    แต่ตัดสินด้วยวาจากรรม จะเรียกว่าเป็นแนทางวิทยาศาสตร์อย่างที่ท่านอ้างถึงได้อย่างไร)

    ---------------------
    ก็เบื่อที่จะตอบแล้ว ก็อยากจะถามบ้างว่า แล้วคุณปฏิบัติจนพิสูจน์ได้แล้วว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริงได้แล้วใช่หรือไม่? จึงได้พูดคำเหล่านี้ออกมา

    สิ่งที่เรายังพิสูจน์ไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่า มันจะมีอยู่จริงหรือไม่ได้มีอยู่จริงโดยส่วนเดียว

    ถ้าสมมติมันมีอยู่จริง แต่เรายังพิสูจน์ไมได้ ก็แสดงว่าเราโง่ แต่ถ้าสมมติว่ามันไม่ได้มีอยู่จริง แล้วเราเชื่อว่ามันมีอยู่จริง แต่ก็พิสูจน์ไม่ได้กันสักที แต่ก็ยังเชื่อว่ามันมีอยู่จริง อย่างนี้ก็แสดงว่าโง่งมงายอย่างที่สุด ใช่หรือไม่?

    ลองไปศึกษาหลักกาลามสูตรมาให้ดีก่อน แล้วจึงค่อยมาสนทนากันใหม่
     
  3. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ส่วนตำราพระไตรปิฎก ถ้าท่านไม่แน่ใจว่าจะถูกแก้ไข เปลี่ยนแปลง ทำไมไม่สืบค้นประวัติความเป็นมาดู
    เพราะเหตุใด ทำไม นักประวัติศาสตร์ นักวิชาการ นักศึกษาค้นคว้า จึงให้การยอมรับ
    ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเหล่านั้นศึกษาด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
    ----------------------------------------------------------------

    ก็อยากจะถามบ้างว่า แล้วนักประวัติศาสตร์ นักวิชาการ นักศึกษาค้นคว้า เหล่านี้ เขามีความเห็นถูกต้องแล้วหรือ? หรือเรารู้ได้อย่างไรว่าเขาเหล่านี้มีความเห็นที่ถูกต้อง?
    นี่แสดงว่าไม่ได้ศึกษาหลักกาลามสูตรอย่างละเอียดลึกซึ้งมาก่อน คุณลองไปศึกษาหลักกาลามสูตรมาให้ดีก่อน จึงค่อยมาสนทนากันใหม่

    ********************************************************
    (จริงอยู่ว่ามีความเป็นไปได้ที่พระไตรปิฎกอาจจะไม่ถูกต้อง (ถ้าท่านหวังอย่างนั้น) แล้วท่านจะใช้อะไรเป็นเกณฑ์ตัดสินล่ะ ว่านี่เป็นส่วนที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน อันนี้ไม่ใช่ (ไม่ว่าท่านตอบอย่างไร โปรดพิจารณาดูว่าคำตอบบ่งชี้ว่า
    ท่่านคิดเอาเองด้วยปัญญาที่ขาดการพิสูจน์หรือไม่ อย่างน้อยเรื่องที่ท่านบอกว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัส ไม่ได้สอน
    ท่านก็ยังไม่ได้ศึกษา ค้นคว้า ทดลอง พิสูจน์ ตามที่พระพุทธองค์ตรัสมิใช่หรือ))

    ------------------------------------------------------
    อันนี้เป็นคำถามที่ดี ก่อนอื่นเราต้องกลับมาหาหลักพื้นฐานกันก่อน ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร?

    พระพุทธเจ้าตรัสรู้ อริยสัจ ๔ แล้วอริยสัจ ๔ คืออะไร?

    อริยสัจ ๔ คือหลักในการดับทุกข์ของจิตใจมนุษย์ในปัจจุบัน ดังนั้น ถ้าคำสอนใดที่ใช้ดับทุกข์ของจิตใจเราในปัจจุบันได้จริง ก็แสดงว่าคำสอนนั้นเป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า แต่ถ้าคำสอนใดนำมาใช้ดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบันไม่ได้จริง แม้จะมีการอ้างอิงว่านี่เป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าก็ตาม ก็เชื่อไม่ได้ว่านี่คือคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า.... ใช่หรือไม่?

    ส่วนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด หรือเรื่องนรก-สวรรค์อะไรตามที่เราเชื่อกันมาก่อนนั้น เราพิสูจน์กันได้แล้วหรือ และมันเป็นประโยชน์แก่การดับทุกข์ของเราหรือเปล่า? ถ้ายังพิสูจน์ไม่ได้ แล้วไปเชื่อล่วงหน้าว่ามันมีอยู่จริง อย่างนี้คนมีปัญญาเขาไม่ทำกัน

    แต่ถ้าเราจะศึกษาเรื่องเหล่านี้ด้วยเหตุผลและความจริงแล้ว เราก็จะพบว่ามันเป็นเรื่องหลอกเด็กหรือเอาไว้สอนคนป่าคนดงให้กลัวจะได้ไม่ทำชั่ว จะได้ทำแต่ความดี ซึ่งมันจะใช้กับคนสมัยนี้ไม่ได้แล้ว เขาจะหัวเราเยาะเอา
     
  4. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    พระองค์ไม่ได้ตรัสสอนว่า "อย่าเชื่อ..." แต่ทรงตรัสให้ "อย่าเพิ่งเชื่อ.." แล้วทำไมท่านตัดสินใจแทนเด็กได้เล่าว่านี่ควรศึกษา นี่ไม่ควรศึกษา
    เพราะท่านควรสอนว่า "นี่พระอาจารย์สอนพวกเธออย่างนี้ เพราะพระอาจารย์เข้าใจอย่างนี้
    ส่วนบางกลุ่ม บางพวกเชื่อว่าอย่างนี้ อ้างว่าอย่างนี้ อ้างว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนแนวปฏิบัติอย่างนี้
    พวกเธอลองไปพิสูจน์ด้วยตนเองเถิด ว่าจะเชื่อพระอาจารย์ หรือ เชื่อเขา"

    เพราะคำสอนของท่านก็ยังไม่ควรให้เด็กเชื่อด้วยเช่นกัน แต่ท่านกลับตัดสินใจสอนว่าอย่าไปเชื่อสิ่งเหล่านั้น จงเชื่อสิ่งเหล่านี้
    ------------------------------------------
    ถ้าศึกษาหลักกาลามสูตรอย่างละอียดแล้ว ก็จะเข้าใจเอง ถ้ามีปัญญาพอ หลักกาลามสูตรจะมีหลักการของมันเองอยู่แล้ว ใครเชื่อโดยยังไม่พิสูจน์ก็โง่

    ********************
    เราจึงต้องปฏิวัติการสอนพระพุทธศาสนากันใหม่ ให้เป็นระบบอย่างวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ให้การตัดสินใจเชื่อ หรือ ไม่เชื่อ ของตนหรือของผู้อื่น เป็นเพียงการนึกเอาเอง โดยปราศจากการพิสูจน์ ตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
    (ง่าย ๆ แค่ท่านพลิกตำราการปฏิบติในส่วนของกสิณ กองใดกองหนึ่ง แล้วลงมือ ทำจนได้ลำดับขั้นตามวิธี)
    ถ้าทำได้แล้วไม่มีผลอย่างที่เขาว่า อันนี้ค่อยปลงใจเชื่อ ว่าไม่ถูกต้อง)

    -----------------
    อันนี้ผู้ถามปฏิบัติกสินได้แล้วหรือ จึงได้กล้าบอกว่าให้ไปปฏิบัติกสิน?(ไม่ได้ต้องการคำตอบ แต่ต้องการให้หวนดูตัวเอง)

    เมื่อเราเชื่อมั่นในสิ่งใดไว้ล่วงหน้า แต่ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้สักที แต่ก็ยังเชื่ออยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง อย่างนี้จะให้เรียกว่าเป็นคนมีปัญญาได้อย่างไร?

    การที่เราจะทดลองปฏิบัติอะไรนั้น มันมีหลักอยู่ที่ว่า มันช่วยดับทุกข์ได้หรือเปล่า? และมันเป็นเรื่องที่ควรศึกษาหรือไม่?(เป็นเรื่องอจินไตยหรอืเปล่า?)

    เรื่องกสินเป็นเรื่องของการฝึกสมาธิ สมาธิก็มีเพื่อนำมาช่วยดับทุกข์ของจิตใจเราในปัจจุบัน โดยมีปัญญาเป็นตัวนำ และมีศึลเป็นพื้นฐาน แล้วเรามีปัญญากันหรือยัง? ทำไมเราจึงมาสนใจแต่เรื่องสมาธิกันนัก หรืออยากมี่ฤทธิ์มีเดช เพื่อจะได้ยิ่งใหญ่มีอำนาจ มีลาภสักการ และเสียงสรรเสิญอย่างนั้นหรือ? นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า?
     
  5. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ป.ล. ท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ
    ความเห็นก่อนหน้านี้ของท่าน ที่กล่าวว่า
    "มีฌาน ๔ แล้วแต่เหาะไม่ได้นี่นา เลยตกตึกตาย
    ฌาน ๔ ไม่ได้วิเศษวิโสอะไร เป็นเพียงความตั้งใจมั่นคงเท่านั้น
    สมาธิ หรือความตั้งใจมั่นนี้ จะมาเป็นพื้นฐานให้เกิดปัญญา
    แต่ถ้ามีสมาธิแล้วไม่รู้จักคิดพิจารณา ปัญญาก็ไม่เกิด
    จึงได้โดดตึกตายเพราะความผิดหวัง"

    ท่านไม่ได้ศึกษา หรือ ปฏิบัติเลยหรือ จึงไม่ทราบว่าเมื่อจิตเข้าสู่ขั้นฌาน จิตใจจะสงบ
    แม้ปัญญายังไม่เกิด แต่ภาวะนั้นไม่ประกอบด้วยจิตที่ฟุ้งซ่าน

    ข้อมูลการศึกษา การวิจัย การทดสอบด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ไม่ได้บอกท่านหรือว่า..
    การฆ่าตัวตาย เป็นเพราะจิตซึมเศร้า (ภาวะที่ไม่สงบ มีความอ่อนไหวแปรปรวนอย่างมาก)
    ซึ่งความซึมเศร้าจัดอยูในนิวรณ์ ๕ ขณะที่จิตของผู้มีสมาธิแม้ระดับปฐมฌาน จะไม่มีนิวรณ์กินใจได้เลย

    คำกล่าวของท่าน เข้าหลักกาลามสูตรจริง ๆ
    -------------------------------
    ข้อความนี้บอกว่า สมาธิเป็นพื้นฐานให้เกิดปัญญา
    ส่วนคนที่ฆ่าตัวตายบางคนนั้น ถึงแม้จะมีสมาธิ แต่ถ้าเป็นสมาธิผิด(มิจฉาสมาธิ) ก็ฆ่าตัวตายหรือกระโดดตึกตายได้เหมือนกัน เพราะคิดว่าตัวเองเหาะได้ หรือเพราะคิดว่าตายแล้วจะได้ไปสวรรค์ หรือได้พ้นทุกข์

    www.whatami.net เว็บไซต์สำหรับบุคลอัจฉริยะ
     
  6. พระนอกเมือง

    พระนอกเมือง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +29
    กระผมขอตอบไปที่ละข้อนะครับ....

    "...แล้วคุณปฏิบัติจนพิสูจน์ได้แล้วว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริงได้แล้วใช่หรือไม่? จึงได้พูดคำเหล่านี้ออกมา
    สิ่งที่เรายังพิสูจน์ไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่า มันจะมีอยู่จริงหรือไม่ได้มีอยู่จริงโดยส่วนเดียว
    ถ้าสมมติมันมีอยู่จริง แต่เรายังพิสูจน์ไมได้ ก็แสดงว่าเราโง่ แต่ถ้าสมมติว่ามันไม่ได้มีอยู่จริง
    แล้วเราเชื่อว่ามันมีอยู่จริง แต่ก็พิสูจน์ไม่ได้กันสักที แต่ก็ยังเชื่อว่ามันมีอยู่จริง อย่างนี้ก็แสดงว่าโง่งมงายอย่างที่สุด
    ใช่หรือไม่? ลองไปศึกษาหลักกาลามสูตรมาให้ดีก่อน แล้วจึงค่อยมาสนทนากันใหม่"


    เรื่องนรก - สวรรค์ ขอยกไว้ แต่ทราบว่าหลายท่านในเวบบอร์ดนี้ย่อมเคยสัมผัสด้วยนเองมาแล้ว

    ส่วนเรื่องเทวดา นางฟ้า หรือเรียกรวม ๆ ทั้งที่อยู่ดีและอยู่ไม่ดีว่า "ผี" ได้เจอประสบการณ์ด้วยตนเองแล้ว
    จนเป็นที่ยืนยันแก่ตนเองได้ว่ามีอยู่จริง และไม่ได้ทราบอยู่เพียงคนเดียว เมื่อได้คุยกับบุคคลอื่น ๆ (หลายคน)
    แม้แต่บุคคลในครอบครัวก็เคยมีประสบการณ์ ก็ได้ทราบว่าจริง

    เรื่องชีวิตหลังความตาย (วิญญาณ) มีข้อมูลการพูด การบอกเล่าอยู่มากมาย เคยได้ยินแต่คนที่ไม่เคยเจอกับตัวเองเท่านั้น ที่บอกว่า "ไม่มี"
    เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ข่าวมีมากมาย เป็นพยานหลักฐานที่รู้จักกันในปัจจุบันก็ยังมีอยู่
    เด็กหลายคนที่ข่าวเคยนำเสนอ เกี่ยวกับการระลึกชาติ หรือเรื่องตายแล้วฟื้น ซึ่งผู้ประสบเหตุได้นำเรื่องราวที่พบขณะสิ้นลมมาเล่าให้ฟัง

    ครับสิ่งที่ ท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ ยังพิสูจน์ไม่ได้ หรือไม่เคยประสบด้วยตนเอง ไม่ได้หมายความว่าไม่มี

    ท่านไม่ได้โง่ครับที่พิสูจน์ไม่ได้ แต่ยังไม่ได้ลงมือพิสูจน์ไม่ใช่หรือครับ

    *************

    "ก็อยากจะถามบ้างว่า แล้วนักประวัติศาสตร์ นักวิชาการ นักศึกษาค้นคว้า เหล่านี้ เขามีความเห็นถูกต้องแล้วหรือ?
    หรือเรารู้ได้อย่างไรว่าเขาเหล่านี้มีความเห็นที่ถูกต้อง? นี่แสดงว่าไม่ได้ศึกษาหลักกาลามสูตรอย่างละเอียดลึกซึ้งมาก่อน
    คุณลองไปศึกษาหลักกาลามสูตรมาให้ดีก่อน จึงค่อยมาสนทนากันใหม่"


    "อันนี้เป็นคำถามที่ดี ก่อนอื่นเราต้องกลับมาหาหลักพื้นฐานกันก่อน ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร?
    พระพุทธเจ้าตรัสรู้ อริยสัจ ๔ แล้วอริยสัจ ๔ คืออะไร?"


    ขอรวมมากล่าวที่เดียวครับ

    นั่นน่ะสิครับ แล้วท่านเชื่อหรือครับว่าพระพุทธเจ้ามีพระองค์อยู่จริง
    ท่านเชื่อหรือครับว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ ๔
    เชื่อหรือครับว่า พระพุทธเจ้าทรงดับทุกข์ได้จริง

    ในเมื่อท่านศึกษาเอาจากข้อมูลของบุคคลข้างต้น ได้แก่ นักประวัติศาสตร์ นักวิชาการ
    นักศึกษา้ค้นคว้า ที่ได้เก็บรวบรวมข้อมูลไว้ทั้งนั้น ชีวิตนี้ท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ ยังไม่เคยพบพระพุทธเจ้าเลยมิใช่หรือครับ

    "ถ้าคำสอนใดที่ใช้ดับทุกข์ของจิตใจเราในปัจจุบันได้จริง ก็แสดงว่าคำสอนนั้นเป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า
    แต่ถ้าคำสอนใดนำมาใช้ดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบันไม่ได้จริง แม้จะมีการอ้างอิงว่านี่เป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าก็ตาม
    ก็เชื่อไม่ได้ว่านี่คือคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า.... ใช่หรือไม่"


    ประโยคนี้ดีอย่างยิ่งครับ ตามที่ท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ กล่าวครับ เห็นด้วยที่สุด
    และยังขอเสริมด้วยว่า ประเด็นที่ท่านถามตามมา เรื่องเล่านั้นเป็นประโยชน์และช่วยในการดับทุกข์ได้จริง

    อยู่ที่ใช้เป็นหรือคิดออก หรือเปล่าเท่านั้น

    ****************

    "ถ้าศึกษาหลักกาลามสูตรอย่างละอียดแล้ว ก็จะเข้าใจเอง ถ้ามีปัญญาพอ หลักกาลามสูตรจะมีหลักการของมันเองอยู่แล้ว ใครเชื่อโดยยังไม่พิสูจน์ก็โง่"

    ท่าเตชปญฺโญ ภิกขุ อาจจะยังอ่านคำตอบไม่ถี่ก้วนนะครับ ผมไม่เคยใช่คำว่า "เชื่อโดยที่ยังไม่ได้พิสูจน์" สักครั้งเลยนะครับ
    และอย่างที่บอกไปแล้ว กาลามสูตร ไม่ได้ให้ปฏิเสธว่าไม่จริงโดยไม่ได้พิสูจน์ รวมทั้งไม่ได้ให้เชื่อด้วยการคิดเอาเองว่าน่าเชื่อ

    กาลามสูตร ให้ "อย่าเพิ่งเชื่อ จนกว่าจะได้พิสูจน์แล้ว"

    *****************

    ครับ ผมศึกษาและปฏิบัติกสิณด้วยครับ เรื่องปฏิบัติเพื่อฤทธิ์เดชหรือไรนี่ ไม่ได้เกี่ยวกัน
    สมาธิเป็นไปเพื่อความสงบตามที่ท่านว่า และผมไม่ได้แนะนำให้ท่านทำเพื่อลาภสักการะ สรรเสริญอะไรเลยนะครับ

    อย่าเพิ่งเชื่อเอง เออเอง ในสิ่งที่ไม่มีอยู่ในคำตอบของผมสิครับ

    ผลของการปฏิบัติไม่ว่าท่านต้องการ หรือ ไม่ต้องการ เมื่อทำถึงก็ต้องได้ครับ
    แม้แต่ทำสมาธิ ยังก่อให้เกิดความสงบไม่ใช่หรือ เพื่อดับทุกข์มิใช่หรือ
    ก็สิ่งเหล่านี้เกิดมีเนื่องด้วยสมาธิหรือเปล่าเล่า ดังนั้น....ทำถูก ผลย่อมเกิดครับ

    ขอเป็นกำลังใจให้พิสูจน์ด้วยตนเองครับ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น

    เพราะเท่าที่อ่านมาหลายความเห็นของท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ ก็ทราบอยู่ว่าท่านไม่เชื่อ ในสิ่งที่คนอื่นบอก (บอกกันมากมายเยอะพอที่จะเก็บข้อมูลไปศึกษาต่อได้แล้ว)
    แต่ปัญหาคือ แล้วการไม่เชื่อ คือ ไม่ใช่ ไม่มี อย่างนั้นหรือ

    ทำไม..ทำไม..ทำไม...ไม่ลงมือพิสูจน์

    **************

    จับต้นชนปลายแบบงง ๆ เกินไปหรือเปล่าครับ กับข้อความนี้

    "ส่วนคนที่ฆ่าตัวตายบางคนนั้น ... ก็ฆ่าตัวตายหรือกระโดดตึกตายได้เหมือนกัน
    เพราะคิดว่าตัวเองเหาะได้ หรือเพราะคิดว่าตายแล้วจะได้ไปสวรรค์ หรือได้พ้นทุกข์"


    คนฆ่าตัวตาย ก็เพราะ ต้องการฆ่าตัวตายครับ
    ถ้าปรารถนาด้วยเหตุอื่นที่ไม่ใช่การตาย ไม่มีใครเขาฆ่าตัวตายดอก

    *******************

    คำตอบของ ท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ แสดงให้เห็นว่าท่านใช้การคิดของตนเอาครับว่า
    สิ่งนี้ควรจริง สิ่งนี้ควรไม่จริง สิ่งนี้ควรใช่ สิ่งนี้ไม่ควรใช่
    ท่านเชื่อเพราะเห็นว่าจริง แต่ท่านไม่เชื่อเพราะไม่อยากเชื่อ...ไม่ได้ไม่เชื่อ เพราะไม่จริง

    เหตุผลคือ ท่านไม่ได้พิสูจน์ก่อนจึงค่อยไม่เชื่อ ในเรื่องที่ท่านอยากจะไม่เชื่อ
     
  7. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เรื่องนรก - สวรรค์ ขอยกไว้ แต่ทราบว่าหลายท่านในเวบบอร์ดนี้ย่อมเคยสัมผัสด้วยนเองมาแล้ว
    -------------
    อย่าเชื่อเพียงเพราะเหตุสักว่า มีคนเขาบอกมา

    *********************
    ครับสิ่งที่ ท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ ยังพิสูจน์ไม่ได้ หรือไม่เคยประสบด้วยตนเอง ไม่ได้หมายความว่าไม่มี
    -------------------
    และในทางตรงกันข้าม สิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ หรือไม่เคยประสบด้วยตัวเองนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะมีอยู่จริงด้วย ใช่หรือไม่?
    สิ่งที่ไม่ได้มีอยู่จริง ถึงพิสูจน์อย่างไร มันก็ไม่มีทางพบ เพราะมันไม่ได้มีอยู่จริง แต่คนโง่ก็มักเชื่อว่ามันมีอยู่จริง แล้วก็เอาแต่พูดว่า "ยังไม่ได้พิสูจน์" ทั้งๆที่ตัวเองก็ยังพิสูจน์ไม่ได้

    *************

    ท่านไม่ได้โง่ครับที่พิสูจน์ไม่ได้ แต่ยังไม่ได้ลงมือพิสูจน์ไม่ใช่หรือครับ
    ------------------------------

    แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าใครพิสูจน์ หรือ ไม่ได้พิสูจน์
    คำพูดของคนเรานั้น มันบ่งบอกว่าคนพูดนั้น พูดจริงหรือเท็จไม่ได้หรอก

    ถ้าใครพูดตรงกับตำรา หรือตรงกับที่ครูอาจารย์ที่เรานับถืออยู่ ก็แสดง
    ว่าคนนั้นเขาพิสูจน์แล้ว แต่ถ้าใครพูดผิดจากตำราหรือจากครูอาจารย์ที่เรานับถืออยู่ ก็แสดงว่าเขาไม่ได้พิสูจน์ เช่นนั้นหรือ?

    ************
    นั่นน่ะสิครับ แล้วท่านเชื่อหรือครับว่าพระพุทธเจ้ามีพระองค์อยู่จริง
    ท่านเชื่อหรือครับว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ ๔
    เชื่อหรือครับว่า พระพุทธเจ้าทรงดับทุกข์ได้จริง

    ------------------------
    เมื่อพบคำสอนใด แล้วนำมาทดลองปฏิบัติดู แล้วมันช่วยดับทุกข์ของจิตใจเราในปัจจุบันได้จริง ก็แสดงว่าผู้สอนนั้นมีอยู่จริง
    สรุปคำสอนง่ายๆคือ "เมื่อยึดถือว่ามีตัวเรามันก็ทุกข์ เมื่อไม่ยึดถือว่ามีตัวเรา มันก็ไม่มีทุกข์" อันนี้ใครๆก็ปฏิบัติได้ แต่กลับไม่ยอมปฏิบัติ

    **********************************
    ท่าเตชปญฺโญ ภิกขุ อาจจะยังอ่านคำตอบไม่ถี่ก้วนนะครับ ผมไม่เคยใช่คำว่า "เชื่อโดยที่ยังไม่ได้พิสูจน์" สักครั้งเลยนะครับ
    ----------------------------------------
    สาธุ....แล้วคุณเชื่อว่า นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า นิพพานเมืองแก้ว อะไรพวกนี้ว่ามีอยู่จริงด้วยหรือเปล่า?
     
  8. พระนอกเมือง

    พระนอกเมือง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +29
    "อย่าเชื่อเพียงเพราะเหตุสักว่า มีคนเขาบอกมา"

    "และในทางตรงกันข้าม สิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ หรือไม่เคยประสบด้วยตัวเองนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะมีอยู่จริงด้วย ใช่หรือไม่?
    สิ่งที่ไม่ได้มีอยู่จริง ถึงพิสูจน์อย่างไร มันก็ไม่มีทางพบ เพราะมันไม่ได้มีอยู่จริง แต่คนโง่ก็มักเชื่อว่ามันมีอยู่จริง แล้วก็เอาแต่พูดว่า "ยังไม่ได้พิสูจน์" ทั้งๆที่ตัวเองก็ยังพิสูจน์ไม่ได้"

    "ถ้าใครพูดตรงกับตำรา หรือตรงกับที่ครูอาจารย์ที่เรานับถืออยู่ ก็แสดง
    ว่าคนนั้นเขาพิสูจน์แล้ว แต่ถ้าใครพูดผิดจากตำราหรือจากครูอาจารย์ที่เรานับถืออยู่ ก็แสดงว่าเขาไม่ได้พิสูจน์ เช่นนั้นหรือ?"


    อย่างที่บอกครับ ท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ ไม่เชื่อในส่วนที่มีการบอกเล่ากันมามากมาย
    แม้แต่กระผมยืนยันบางประเด็นด้วยตนเองแล้วว่า
    ผมมีประสบการณ์ตรงและมีผู้มีประสบการณ์ร่วม รวมทั้งประสบการณ์ของผู้อื่น
    (ทั้งที่เป็นส่วนที่ผมพิสูจน์แล้ว และได้เสนอแนวทางให้ท่านพิสูจน์ด้วย เพียงแต่ท่านไม่เชื่อ)

    สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม สนฺทิฏฐิโก อกาลิโก
    เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญญูหีติ

    "ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญญูหีติ" พระธรรม ไม่ใช่สิ่งที่คิดเอาเองว่าอยากจะเชื่อ หรือ อยากจะไม่เชื่อ เพราะคนอื่นบอกเล่าแน่ ๆ
    ถึงได้เรียนท่านว่า "ต้องลงมือพิสูจน์" แต่คำกล่าวของท่านก็ยังแสดงออกแต่ความหมายว่า "ฉันไม่เชื่อ และฉันไม่ทำ"

    ไม่ได้เกี่ยวกับไม่เชื่อตำรา ไม่เชื่อครูบาอาจารย์ คือไม่ได้พิสูจน์นะครับ
    ถ้าท่านลงมือพิสูจ์แล้ว รู้แล้วว่าเท็จ อย่างนี้ใคร ๆ ในที่นี้ก็พร้อมยอมรับความเห็นของท่านแน่นอน
    (หรือท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ เคยพิสูจน์ด้วยการลงมือปฏิบัติแล้วครับ)

    แม้แต่ปัจจุบัน กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ก็ยังมีการศึกษาด้านนี้เช่นกัน
    ถ้าท่านไม่สนใจลงมือพิสูจน์เอง และท่านก็เชื่อมั่นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
    ไม่ลองค้นคว้าหาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาศึกษาบ้างหรือ

    ********************

    "เมื่อพบคำสอนใด แล้วนำมาทดลองปฏิบัติดู แล้วมันช่วยดับทุกข์ของจิตใจเราในปัจจุบันได้จริง ก็แสดงว่าผู้สอนนั้นมีอยู่จริง
    สรุปคำสอนง่ายๆคือ "เมื่อยึดถือว่ามีตัวเรามันก็ทุกข์ เมื่อไม่ยึดถือว่ามีตัวเรา มันก็ไม่มีทุกข์" อันนี้ใครๆก็ปฏิบัติได้ แต่กลับไม่ยอมปฏิบัติ"

    เห็นอะไรในคำกล่าวของท่านไหมครับ "เมื่อพบคำสอนใด แล้วนำมาทดลองปฏิบัติดู..." ใช่ครับ เท่านี้เอง
    อย่างที่ท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ ว่า "...ใครๆก็ปฏิบัติได้ แต่กลับไม่ยอมปฏิบัติ" นี่ก็ถูกอีกครับ

    ********************

    "สาธุ....แล้วคุณเชื่อว่า นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า นิพพานเมืองแก้ว อะไรพวกนี้ว่ามีอยู่จริงด้วยหรือเปล่า? "

    ไม่เชื่อครับว่า นรกอยูใต้ดิน สวรรค์อยู่บนฟ้า
    คนที่เชื่ออย่างนั้นนอกจากไม่ได้พิสูจน์แล้ว ยังไม่ตรงกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนด้วยครับ
    พระองค์ตรัสถึงภพภูมิต่างหาก ไม่ได้ตรัสว่าเจาะพื้นลงใต้ดินเจอนรก ขี่เครื่องบินขึ้นฟ้าเจอสวรรค์เสียหน่อย

    มองในมุมกลับกัน ถ้ามีคนบอกท่านว่า
    นรก - สวรรค์ ไม่มี, เทวดา นางฟ้า เปรต อสูรกาย สัตว์นรก ไม่มี, การเวียนว่ายตายเกิดไม่มี
    ท่านเชื่อหรือครับ (แต่ท่านก็เชื่ออยู่แล้ว ณ ตอนนี้ อย่างนี้ เป็นการได้พิสูจน์แล้วหรือไม่ เป็นกระบวนการกาลามสูตรแบบของท่านด้วยหรือเปล่า)

    ในอดีต คนว่าโลกแบน ต่อมา ถึงเชื่อว่าโลกกลม แต่ถือความเข้าใจว่า ดวงดาวดวงอื่น ๆ หมุนรอบโลกเรา โดยมีโลกนี้เป็นศูนย์กลางจักรวาล
    ย้อนไปไม่ถึงพันปีที่ผ่านมา ถ้าใครบอกว่า วัตถุที่มีน้ำหนักกว่า ๒ ตัน สามารถลอยน้ำได้ ลอยฟ้าได้ ก็ไม่มีใครเชื่อ
    ปัจจุบันเมื่อมนุษย์อยู่คนละฝั่งซีกโลก ก็สามารถพูดคุย สื่อสาร เห็นหน้าตากันได้ แต่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และไม่เชื่อ โดยมนุษย์รุ่นก่อนหน้า

    ความเชื่อในสิ่งเหล่านี้ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย ถ้าไม่มีบุคคลกลุ่มหนึ่ง
    แล้วเหตุใดคนกลุ่มนี้ไม่ทำเหมือนคนอื่น ๆ คือเชื่อ และปล่อยให้เป้นไปตามความเชื่อ
    แต่เพราะเขาได้ทดสอบ ทดลอง พิสูจน์ อย่างเป็นระบบ (มั่วขึ้นมาไม่ได้้นั่นเอง) แล้วนั่นเอง
    จึงพบความจริงที่ละเอียดเกินกว่าความคิดที่คนอื่นจะคิดเอาได้

    ดังนั้น...ไม่ใช่คิดว่าจะมี หรือ ไม่มี จึงเรียกว่าการพิสูจน์
    แต่การลงมือศึกษา ปฏิบัติอย่างเป็นระบบ จึงจะเรียกว่าได้พิสูจน์แล้ว
    และในเบื้องต้น สำหรับท่านที่ไม่มีความรู้เรื่องด้านใด ก็ควรศึกษาปฏิบัติจากสิ่งที่มีผู้วางแนวทางไว้ก่อน
    เมื่อศึกษาได้ความเข้าใจในระดับหนึ่ง ก็จะสามารถต่อยอดองค์ความรู้นั้นได้

    ถ้าท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ สนใจจะศึกษาด้าน นรก - สวรรค์ เทวดา นางฟ้า การเวียนว่ายตายเกิด
    เชื่อว่าผู้รู้หลายท่านในที่นี้ สามารถเสนอแนวทาง วิธี ขั้นตอนอย่างละเอียด ให้ท่านศึกษาปฏิบัติได้

    เพียงแต่ท่านพร้อมหรือยังที่จะพิสูจน์ เริ่มจากเอาคำว่า "ไม่เชื่อว่ามี" และ "เชื่อว่าไม่มี" วางไว้ก่อน
    แล้วลองเริ่มด้วยคำว่า
    "ยังไม่เชื่อจนกว่าจะได้พิสูจน์ รับทราบด้วยตนเอง"

    "ถ้าพิสูจน์แล้วไม่จริง ฉันจะนำมาแสดงให้เห็นอย่างเป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
    ให้ทุกคนรู้อย่างถูกต้องว่า สิ่งนี้พิสูจน์แล้ว ว่าไม่มีอยู่จริง"
    เพราะถึงบัดนี้ ท่านยังไม่ได้แสดงสิ่งที่เป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้เลย ว่าที่ท่านไม่เชื่อ เพราะไม่เชื่ออย่างมีระบบ

    นอกจากบอกแต่ว่าไม่เชื่อ ซึ่งไม่เกี่ยวกับหลักกาลามสูตรที่ท่านกล่าวอ้างแต่อย่างใด
    ท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ ลองเสนออย่างเป็นกระบวนการได้หรือไม่ว่า ท่านไม่เชื่อเพราะ... (อย่างเป็นระบบ และเป็นกระบวนการที่พิสูจน์ได้ เชื่อถือได้ เป็นที่ยอมรับของพวกเราในที่นี้ )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2009
  9. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ไม่ได้เกี่ยวกับไม่เชื่อตำรา ไม่เชื่อครูบาอาจารย์ คือไม่ได้พิสูจน์นะครับ
    ถ้าท่านลงมือพิสูจ์แล้ว รู้แล้วว่าเท็จ อย่างนี้ใคร ๆ ในที่นี้ก็พร้อมยอมรับความเห็นของท่านแน่นอน
    (หรือท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ เคยพิสูจน์ด้วยการลงมือปฏิบัติแล้วครับ)
    -------------------------------------
    การพูดว่า พิสูจน์แล้ว หรือ ยังไม่ได้พิสูจน์ ไม่ใช่สิ่งที่จะแสดงว่า คนพูดนั้นพูดจริงหรือไม่?
    การพูดว่าตนได้พิสูจนฺแล้วก็คือการโอ้อวด แต่ถ้าอวดในเรื่องที่คนอื่นเขาพิสูจน์ไม่ได้ ก็จัดว่าเป็นการโอ้อวดว่าตนเองเป็นผู้วิเศษ หรือเหนือคนอื่น(อุตริมนุสสธรรม) ภิกษุห้ามอวด
    การอวดว่าตนพิสูจน์ได้แล้วนั้นทำเพื่ออะไร? เพื่อให้คนอื่นยอมรับและมาศรัทธาคนพูดอย่างนั้นหรือ? หรือทำเพื่อให้คนฟังปฏิบัติตามบ้าง?
    ถ้าทำเพื่อเรียกศรัทธาและหวังลาภยสสรรเสริญ คนคดโกงใจไม่ซื่อเขาก็ทำกันอยู่แล้วมากมาย ถ้าเรามาทำบ้าง ถึงแม้เราจะมีเจตนาดี คนอื่นเขาก็ยังมองว่าเรามีเจตนาไม่ดีอยู่นั่นเอง ดังนั้นการอวดจึงไม่มีประโยชน์เลยมีแต่เสีย

    ***************************
    เห็นอะไรในคำกล่าวของท่านไหมครับ "เมื่อพบคำสอนใด แล้วนำมาทดลองปฏิบัติดู..." ใช่ครับ เท่านี้เอง
    อย่างที่ท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ ว่า "...ใครๆก็ปฏิบัติได้ แต่กลับไม่ยอมปฏิบัติ" นี่ก็ถูกอีกครับ
    ---------------------
    ทำไมตัดตอนเอามาแค่นี้ ส่วนคำว่า "แล้วมันช่วยดับทุกข์ของจิตใจเราในปัจจุบันได้จริง ก็แสดงว่าผู้สอนนั้นมีอยู่จริง" หายไปไหน? นี่คือสิ่งที่ใครก็ปฏิบัติได้ แต่ไม่ยอมปฏิบัติ เพราะความยึดถือว่ามีตนเอง(อัตตา)มันขวางอยู่
    อีกอย่าง หลักกาลามสูตราไม่ได้สอนให้ไปทดลองปฏิบัติไปหมดซะทุกเรื่อง เรื่องใดไม่เป็นประโยชน์แก่การดับทุกข์ ก็ไม่ให้สนใจ ให้ละทิ้งไปเสีย (เช่นเรื่องพิสูจน์ ผี เทวดา นรก สวรรค์) แต่ให้มาสนใจเรื่องที่เป็นประโยชน์ ไม่มีโทษ และช่วยดับทุกข์ได้เท่านั้น
    ******************************************
    ไม่เชื่อครับว่า นรกอยูใต้ดิน สวรรค์อยู่บนฟ้า
    คนที่เชื่ออย่างนั้นนอกจากไม่ได้พิสูจน์แล้ว ยังไม่ตรงกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนด้วยครับ
    พระองค์ตรัสถึงภพภูมิต่างหาก ไม่ได้ตรัสว่าเจาะพื้นลงใต้ดินเจอนรก ขี่เครื่องบินขึ้นฟ้าเจอสวรรค์เสียหน่อย
    ---------------------------------
    แต่คุณเชื่อมันยู่จริง เพียงแต่ไม่ด้อยู่ใต้ดิน หรือบนฟ้าท่านั้น ใช่หรือไม่?
    แล้วเรื่องนิพพานเมืองแก้วล่ะ? เชื่อหรือไม่? หรือ นิพพาน คืออะไร?

    *************************************
    "ถ้าพิสูจน์แล้วไม่จริง ฉันจะนำมาแสดงให้เห็นอย่างเป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
    ให้ทุกคนรู้อย่างถูกต้องว่า สิ่งนี้พิสูจน์แล้ว ว่าไม่มีอยู่จริง"
    --------------------------
    สิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ถึงพิสูจน์อย่างไรก็ไม่มีทางพบ (เพราะมันไม่ได้มีอยู่จริง)
    จึงเป็นหน้าที่ของผู้ที่เชื่อว่ามีอยู่จริง ที่จะพิสูจน์ให้ได้ว่ามันมีอยู่จริง แล้วนำมาแสดง
    ส่วนคนที่บอกว่าพิสูจน์ได้แล้วว่ามีอยู่จริงนั้น ก็แสดงกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ออกมาซิ เอาให้เป็นวิทยาศาสตร์จริงๆนะ ไม่ใช่เอาแต่โอ้อวดว่าต้องเป็นผู้วิเศษเท่านั้นจึงจะพิสูจน์ได้ หรือต้องฝึกอย่างหนัก(เกินวิสัยคนธรรมดาจะทำได้)เท่านั้นจึงจะพิสูจน์ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2009
  10. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ ลองเสนออย่างเป็นกระบวนการได้หรือไม่ว่า ท่านไม่เชื่อเพราะ... (อย่างเป็นระบบ และเป็นกระบวนการที่พิสูจน์ได้ เชื่อถือได้ เป็นที่ยอมรับของพวกเราในที่นี้ )
    --------------------------------------
    จุดเริ่มต้นในการศึกษาคำสอนระดับสูงที่ละเอียดอ่อนและลึกซึ้งของพระพุทธเจ้า ให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องนั้น ก่อนอื่นเราจะต้องปล่อยวางความเชื่อถือในตำรา หรือในคำสอนที่ได้ฟังหรือเรียนรู้มาจากคนอื่นทั้งหมดก่อน แล้วตั้งใจศึกษาธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริง ที่เราสามารถรับรู้หรือสัมผัสได้ในปัจจุบัน โดยใช้เหตุผลในการศึกษา เราจะไม่ใช้การคาดเดาหรือคาดคะเนในการศึกษาอย่างเด็ดขาด ซึ่งการศึกษาเช่นนี้จะทำให้ไม่มีทางผิดพลาดได้ และเมื่อพร้อมแล้วเราก็มาเริ่มพิจารณาตามหัวข้อทั้ง ๑๐ นี้ไปตามลำดับ พร้อมทั้งถามตัวเองว่า “ยอมรับความจริงเหล่านี้หรือไม่?”
    *******************************************************
    ๑. ยอมรับหรือไม่ว่า ? “ทุกสิ่ง(ทั้งวัตถุและสิ่งที่ไม่ใช่วัตถุอันได้แก่พวกจิตหรือใจ)ที่เกิดขึ้นและตั้งอยู่ ล้วนจะต้องอาศัยเหตุ(ต้นเหตุ)และปัจจัย(สิ่งสนับสนุน) มาปรุงแต่ง(หรือสร้างหรือประกอบ)ให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่ทั้งสิ้น”
    ๒. ยอมรับหรือไม่ว่า ? “ไม่มีสิ่งใดที่จะเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆโดยไม่มีเหตุและปัจจัย”
    ๓. ยอมรับหรือไม่ว่า ? “สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วและยังตั้งอยู่นั้น เมื่อเหตุหรือปัจจัยของมันได้เสื่อมสลาย(ใช้กับพวกวัตถุ)หรือดับ(ใช้กับพวกจิตใจ)หายไป สิ่งที่ตั้งอยู่นั้นก็ย่อมที่จะเสื่อมสลายหรือดับหายตามไปด้วยเสมอ”
    ๔. ยอมรับหรือไม่ว่า ? “ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นและตั้งอยู่นั้น ไม่มีสิ่งที่เป็น ตนเอง (อัตตา – ตนเอง หรือ ตัวตนที่แท้จริง ที่เป็นสิ่งที่เที่ยงแท้ถาวร หรือเป็นอมตะนิรันดร) ดังนั้นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมา จึงมีความไม่เที่ยงแท้ถาวร คือมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะและยังต้องดับสลายหายไปในที่สุดอย่างแน่นอนไม่ช้าก็เร็ว (อนิจจัง) และยังต้องทนประคับประคองตัวเองอยู่ด้วยความยากลำบาก มากบ้างน้อยบ้างตลอดเวลา (ทุกขัง) รวมทั้งไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง (อนัตตา)”
    ๕. ยอมรับหรือไม่ว่า ? “ร่างกาย, วัตถุ, และพลังงานทั้งหลาย ล้วนตกอยู่ในความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตนทั้งสิ้น”
    ๖. ยอมรับหรือไม่ว่า ? “แม้สิ่งที่เป็น จิต (สิ่งที่รับรู้, รู้สึก, จำ, และคิดได้) ของเราและสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย ก็ล้วนตกอยู่ในความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตนเหมือนกับร่างกาย”
    ๗. ยอมรับหรือไม่ว่า ? “ถ้าไม่มีร่างกาย (คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ-สมอง) ที่ยังไม่ตายมาเป็นเหตุ จิตก็เกิดขึ้นมาไม่ได้”
    ๘. ยอมรับหรือไม่ว่า ? “ถ้าไม่มีสิ่งภายนอก (เช่น รูป เสียง กลิ่น รส) มาสัมผัสจิต (มาเป็นปัจจัย) จิตก็เกิดขึ้นมาไม่ได้เหมือนกัน”
    ๙. ยอมรับหรือไม่ว่า ? ทั้งร่างกายและจิตที่รู้สึกว่าเป็น ตัวเรา-ของเรา นี้ มันไม่ได้มีอยู่จริง มันเป็นเพียงสิ่งที่ถูก ปรุงแต่ง หรือสร้างขึ้นมาชั่วคราวจากเหตุและปัจจัยโดยธรรมชาติเท่านั้น หาได้เป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างถาวรหรือเป็นอมตะนิรันดรไม่”
    ๑๐.ยอมรับหรือไม่ว่า ? “ความเห็นหรือความเชื่อที่ว่า 'จิต (หรือจะเรียกว่าอะไรก็ตามที่รู้สึกและยึดถือว่าเป็นเรา) ของเราและสัตว์ทั้งหลายนี้เป็นตัวตนที่แท้จริง (คือเชื่อว่าจิตเป็นอัตตา) ที่จะสามารถออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วไปเกิดใหม่ได้อีกเรื่อยไป' นั้น เป็นความเห็นหรือความเชื่อที่ผิดหรือไม่ถูกต้อง
    ********************************************************************
    ถ้าใครได้พิจารณาอย่างแยบคาย (คือตั้งใจพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนในทุกแง่ทุกมุม) แล้ว และยอมรับความจริงทั้ง ๑๐ ข้ออย่างไม่มีข้อสงสัย ก็แสดงว่าผู้นั้นได้เริ่มรู้จัก หรือเริ่มเข้าใจคำสอนระดับสูงของพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้องแล้ว
    แต่ถ้าใครไม่ยอมรับ โดยเฉพาะในข้อที่ ๑๐ ก็แสดงว่าผู้นั้นยังไม่รู้จัก หรือไม่เข้าใจคำสอนระดับสูงที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า เขาเพียงได้รู้จักแค่คำสอนระดับต่ำๆ(ศีลธรรม)ของพระพุทธเจ้า ที่ผสมปนเปอยู่กับคำสอนของศาสนาพราหมณ์(ฮินดู)มาแล้วเท่านั้น.
     
  11. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    กราบขอขมาต่อพระรัตนตรัยด้วยคะ

    บังเอิญยิ้มไปอ่านพบบทนี้ เลยนำมาฝากไว้ตรงนี้ครับท่าน

    "แม้ธรรมารมณ์ซึ่งจิตเราเป็นผู้สร้างขึ้น
    หากส่งออกนอกกายนอกจิตก็เสมือนจิตท่องเที่ยวเช่นกัน
    หากคิดดี ๆ ก็เข้าสู่พระนิพพานได้ไม่ยาก
    หากคิดไม่ดีก็มีสิทธิ์ลงอเวจีได้ทุกราย
    ก็เพราะความประมาทนี่แหละ"
     
  12. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ทั้ง ๑๐ ข้อนี้เป็นหลักเบื้องต้นในการใช้เหตุผลพิจารณา เพื่อให้เข้าใจถึงความจริงแท้ของธรรมชาติ

    เราต้องผ่านหลักทั้ง ๑๐ ข้อนี้ให้ได้ก่อน ถ้ายังไม่ผ่านก็ไปสู่การปฏิบัติไม่ได้ เพราะมันจะผิดพลาดหมด(เพราะมีพื้นฐานผิด)

    เมื่อเรามีความเชื่อว่า "สิ่งที่ไม่ได้มีอยู่จริงว่ามันมีอยู่จริง" แล้ว การปฏิบัติของเราก็พยามที่จะน้อมไปเพื่อให้สิ่งที่ไม่ได้มีอยู่จริง ให้มันเกิดมีขึ้นมา

    การฝึกสมาธินั้น เมื่อจิตสงบมากๆ มันก็จะเกิดมโนภาพขึ้นมาเป็นของธรรมดา เหมือนคนหลับที่เกิดความฝันขึ้นมา

    เมื่อจิตเชื่อมั่นว่ามีสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะเกิดเป็นมโนภาพขึ้นมาให้เห็น เช่น เห็นนรก สวรรค์ ตามรูปภาพที่เราเห็นเห็นกันมาก่อน เป็นต้น เมื่อเราเห็นมโนภาพนี้เข้า ก็เลยเชื่อว่านี่คือของจริง ทั้งๆที่เราไม่ได้เห็นอย่างชัดเจนหรือแน่ชัดจนสัมผัสได้อย่างกับวัตถุเลย

    เป็นคำถามง่ายๆว่า นรก หรือสวรรค์ หรือเทวดา นางฟ้า หรือผี อะไรพวกนั้น มันมีตัวตนเป็นวัตถุ หรือ เป็นพวกนามธรรม ?

    แน่นอนว่าถ้าเป็นวัตถุ มันจึงจะมีตัวตนปรากฏให้เห็น แต่ถ้าเป็นนามธรรม แล้วมันจะมีตัวตนในนามธรรมได้อย่างไร?

    เราคิดเพ้อฝันกันไปเองหรือเปล่า????...............
     
  13. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    แล้วไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด นี่มันคำสอนพระพุทธเจ้าหรือเปล่าหนอท่าน?
    เป็นอุจเฉททิฏฐิไงหนอ...

    ถ้าเชื่อในเหตุและผลจริง เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด
    สังสารวัฏ เป็นอะไรที่มีเหตุผลที่สุดแล้ว

    นี่หละหนา วิบัติภัยจากวิจิกิจฉา
    ทำคนเตลิด จนกลายเป็นคิดเองเออเอง พาลต่อต้านคำสอนเก่า
    มิหนำซ้ำยังอ้างพระศาสดาอีกหนอ...

    มนุษย์กิเลสหนา ไม่มีทางที่จะเข้าใจถึงธรรมอันละเอียดปราณีตเลย
    ไม่มีเลยจริงๆ

    ถ้ามนุษย์เราไม่เวียนว่าย แล้วอะไรหละ คือต้นเหตุของนู่น นี่ นั่น ฯลฯ
    แล้วมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องดับทุกข์ ถ้าจิตมันฝ่อเองแล้วดับสลายไป

    ขจัดความเห็นผิดเก่าๆ แล้วปรับจริตใหม่เสียเถิดท่านผู้เจริญ...

    ในสมถกรรมฐานก็มีฤทธิ์ อิทธิวิธี เป็นผลพลอยได้อยู่
    แล้วพระพุทธเจ้าก็ทรงสอนไว้ดีแล้ว ว่าอย่าอวดอุตริลามก
    มันเป็นเรื่องที่กระตุ้นกิเลสผู้พบเห็นได้โดยง่ายเลย

    แล้วทำไมเราต้องมี...สัมมาสมาธิ สัมมาญาณะ ฯลฯ หละครับ
    แน่นอน ถ้าดำเนินเป็นมิจฉัตตะ แล้วจะเอาอะไรมาพ้นทุกข์เล่า
    มันก็ไม่ต่างอะไรกับหลอกตัวเองหละหนอ...

    ส่วนเรื่องระลึกชาติมีไว้เพื่ออะไร?
    มิใช่เพื่ออวดคุณวิเศษเลย มันเป็นกิจอันไม่สมควรเลย
    แต่มีความจำเป็นเพื่อให้เห็นโทษเห็นภัยของสังสารวัฏ การเกิดแก่เจ็บตาย
    กฎแห่งไตรลักษณ์ วัฏฏะ3อันน่าเบื่อหน่าย ไม่จบไม่สิ้นเสียที

    ถ้าพวกนี้ไม่มีจริง ทำไมเราต้องการพ้นทุกข์?
    ที่เราต้องการพ้นทุกข์ เพื่อที่จะหลุดออกจากวงจรอุบาทว์ของมัน
    ถามจิตดูหน่อยเถิด เหตุใดจึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ?
    ทำไมมันต้องเป็นอุปสรรคแห่งปัญญาด้วย
    แล้วเมื่อไหร่จะฟันอวิชชาขาดหนอ

    หรือยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ ว่ายังไงตัวกูของกูก็ถูกแน่นอน
    อันนั้นก็ปล่อยไปเถิด ที่พอจะทำได้คือวางอารมณ์อุเบกขาไป
     
  14. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    ในโอกาสวันล้ออายุปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ท่านอาจารย์พุทธทาสได้แสดงธรรมในช่วงบ่ายของวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๒๔ เป็นส่วนหนึ่งในหัวข้อธรรมบรรยายที่ท่านตอบผู้ข้องใจ หรือ ตอบผู้โจษจ้วงท้วงกล่าวหาท่านที่มีมาในสังคมไทย.

    ๑๔. ไม่มีนรก-สวรรค์
    ปรัศนี: เขากล่าวหาท่านอาจารย์ว่า สอนว่า ไม่มีนรกไม่มีสวรรค์ หรือแม้หลังจากตายแล้ว และนิพพานอยู่ที่ เมื่อจิตว่าง ดังนี้เป็นการกล่าวตรงตามที่ท่านอาจารย์กล่าวหรือเปล่าครับ?
    พุทธทาส: เราไม่ได้พูดว่า ไม่มีนรก ไม่มีสวรรค์ หรือแม้แต่หลังจากตายแล้ว เราว่ามีทั้งสองอย่าง นรกสวรรค์ต่อตายแล้ว ก็ว่าไปตามเดิม ไม่ไปแตะต้องเขา นรกสวรรค์ที่นี่และเดี๋ยวนี้ นี่ยืนยันมากให้ตรงตามพุทธประสงค์ นรกสวรรค์อยู่ที่อายตนะทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นอันว่ามันมีนรกชนิดนี้ก็มี นรกสวรรค์ต่อตายแล้วไม่ได้ไปแตะต้องเขา ไม่ได้ไปวิพากษ์วิจารณ์เขา ขอให้เก็บไว้ แต่ควบคุมได้ โดยที่จัดนรกสวรรค์เดี๋ยวนี้ให้ถูกต้อง มันควบคุมถึงไปได้ถึงสวรรค์ต่อตายแล้ว เป็นอันว่ามีนรกสวรรค์ทั้งสองชนิด ทั้งสองประเภท ไม่ได้ยกเลิกชนิดไหนเลย

    จากท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2009
  15. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    ถ้าเพ้อฝัน เขาไม่มีทางเห็นความฝันเป็นแบบเดียวกันอย่างนี้หรอก
    อีกอย่างมันไม่ใช่ความฝัน มันมีสติกำกับตลอด รู้ตัวตลอด

    กระแสไฟฟ้า คลื่นโทรทัศน์ รังสีแกมมา ฯลฯ เป็นรูปธรรม หรือนามธรรม มันมีอยู่หรือไม่?
    เช่นเดียวกัน สิ่งมีชีวิตที่มีกายอันละเอียดก็มีอยู่เช่นนั้น

    วิทยาการของมนุษย์ยังดักดานไม่ถึงไหนเลย
    จะไปพิสูจน์อะไรที่มันอยู่ห่างไกลขนาดนั้นได้อย่างไร
    แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ไขความลับได้ จิต อย่างไรที่มันตอบเราได้

    อย่าประเมินค่าของสิ่งเหล่านั้นแบบปรัมปรา
    คิดในเชิงที่เป็นวิทยาศาสตร์
    ไม่ใช่อ้างแต่วิทยาศาสตร์ แต่ตัวเองไม่มีความเป็นนักวิทยาศาสตร์เอาเสียเลย

    ดูองค์ดาไลลามะเป็นตัวอย่างเถิด
    ผู้วิเคราะห์ทฤษฎีจักรวาลทางฟิสิกส์กับคัมภีร์ทางพุทธศาสนา ตรงกันอย่างไม่น่าเชื่อ
    สร้างสรรค์กว่าที่จะมาหักล้างของของตัวเองนะครับ

    แล้วก็ไปปฏิบัติให้เห็นจริง จะได้สิ้นความลังเลสงสัยเสียที
    จะได้ไม่ถูกประนามว่าเป็นพวก "ใบลานเปล่า"
    มีวิปัสสนึกเป็นอธรรมาวุธ
    คอยแต่ขัดขาคนโน้นคนนี้ ส่วนตัวเองยังไม่ได้ทำอะไรเลย
    มัวแต่ดักทางโน้น ดักทางนี้
    ว่าคนอื่นว่าคิดไปเองบ้างหละ เพ้อเจ้อบ้างหละ
    ท่านยังไม่ได้ลองเลย
    หรือว่าลองแล้ว แต่ล้มเหลวหว่า...เลยเก็บมาเป็นปมแค้นในใจ
     
  16. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    คุณ Namushakamunibutsu นี่ไม่เห็นมีหลักมีเกณฑ์อะไรมาแสดงเลย

    เคยศึกษาหลักกาลามสูตรมาบ้างหรือเปล่า?

    หรือลองศึกษาหลักในการสร้างสัมมาทิฏฐิ ทั้ง ๑๐ ข้อจากบทความเรื่อง จุดเริ่มต้นในการศึกษาคำสอนระดับสูงของพระพุทธเจ้า แล้วลองโต้แย้งหรือคัดค้านข้อใดข้อหนึ่งมา โดยอธิบายมาว่าโต้แย้งจุดนี้เพราะอะไรมาด้วย

    ถ้าอาตมาแค่เพียงอ่านๆแล้วคิดๆ โดยไม่มีการทดลองปฏิบัติมาก่อน ก็คงไม่กล้ามาเผยแพร่ แต่การจะไปโอ้อวดนั้นไม่ควร เพราะใครๆเขาก็โอ้อวดกันได้ แต่ใครล่ะจรู้ว่าใครพูดจริงหรือๆโกหก จริงหรือไม่?

    ส่วนบทความของท่านอาจารย์พุทธทาสที่ว่า

    "พุทธทาส: เราไม่ได้พูดว่า ไม่มีนรก ไม่มีสวรรค์ หรือแม้แต่หลังจากตายแล้ว เราว่ามีทั้งสองอย่าง นรกสวรรค์ต่อตายแล้ว ก็ว่าไปตามเดิม"

    นั้น ท่านไม่อยากไปยุ่งกับความเชื่อที่ฝังหัวของคนรุ่นเก่า คือปล่อยเขาไป เขาจะเชื่ออย่างนั้นก็ปล่อยเขาไป ถึงไปต่อต้านเขา เขาก็ไม่มีทางจะมาเข้าใจคำสอนระดับสูงได้

    แต่ถ้าศึกษาคำสอนของท่านทั้งหมดโดยละเอียดแล้วก็จะพบว่า ท่านไม่ยอมรับเรื่องไร้สาระเหล่านี้ เพราะขาดทั้งเหตุผลและหลักฐานมายืนยัน รวมทั้งไม่เป็นประโยชน์แก่การดับทุกข์

    ส่วนอาตมานั้นจะแสดงตรงๆ ไม่อ้อมค้อมและเอาใจใคร จึงบอกตรงๆว่า อย่าเชื่อเรื่องเหล่านี้ เพราะไม่ทำให้เกิดปัญญา แล้วก็ดับทุกข์ไม่ได้ ดังนั้นจึงได้แทงใจดำของใครหลายๆคน แล้วก็ถูกด่าตามระเบียบ

    แต่ยิ่งด่าก็ยิ่งดี เพราะจะทำให้คนมีปัญญาเขาสนใจ ส่วนคนปัญญาน้อยจะด่าบ้างก็ช่างเขา ยิ่งเขาด่าก็จะยิ่งช่วยโฆษณาให้อีกทางด้วย

    หรือคุณปฏิบัติจนสำเร็จตามครูอาจารย์แล้ว? จึงกล้ามาโต้แย้ง ก็ลองแสดงภูมิปัญญาของคุณมาดูบ้าง เพื่อเป็นวิทยาทยาทาน
     
  17. B5234T5

    B5234T5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2005
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +210
    ตามพุทธพจน์ "ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นกรรมเก่า" ครับ มีพลังกรรมดลให้เราตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นต่างไปแต่ละบุคคล เช่น คนสองคนเห็นวัตถุชิ้นเดียวกันแต่ตอบสนองทั้งทางใจและการกระทำต่อวัตถุไม่เหมือนกัน

    ท่านพุทธทาสจะไม่พูดถึงนรก-สวรรค์ครับ มันมีจริงแต่ว่ามันไม่ใชสิ่งที่เราจะต้องใฝ่ฝันจะเอาสวรรค์วิมานครับ

    ต้องเริ่มจากการมีสัมมาทิฏฐิก่อนอันดับแรก และมองทุกอย่างตามความเป็นเช่นนั้นเอง ไม่ปรุง ไมตีไข่ใส่สี....

    เราควรพยายามลุถึงพระนิพพาน เพื่อหาทางดับทุกข์ ณ ที่และเดี๋ยวนี้
     
  18. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    แล้วถ้าไม่มีเวียนว่ายตายเกิด นรก สวรรค์ ณ ใจกลางของดาราจักรย่อย
    มันจะมีความหมายอะไรครับ ... ท่าน

    เกิดมาก็เห็นอยู่แล้ ว่ามีเหตุปัจจัยอันไม่เท่าเทียม มีอะไรมากมายหลายอย่างที่ชี้แจงอยู่แล้วว่า เวียนว่ายตายเกิด นั้นมีจริงๆ

    แล้วจะเอาเหตุผลอะไรมาอธิบายถึงเหตุที่ซับซ้อนกว่าเหตุหยาบๆภายนอกเล่าท่าน
    กรรมปรุงแต่งทั้งนั้นให้เกิดความต่างกัน พุทธเรามีกรรมอดีตด้วย
    แต่ให้ความสำคัญกับกรรมปัจจุบัน ไม่ใช่อดีตไม่มี
    หรือว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญเล่า ระบบเหตุปัจจัยมันพังหมดแล้วท่าน
    มันมีเรื่องที่อธิบายได้ล้ำลึกกว่าด้านหยาบยิ่งนัก
    เป็นเหตุเชื่อมโยงกันหมดตั้งแต่หยาบจนถึงละเอียด


    หรือว่าถ้าติดในความหยาบก็เชิญสาธยายต่อไปเถิด
    คำสอนระดับสูงที่ถูกตีความออกมาโดยหยาบ คือคัดด้านโลกียะล่างๆมาอย่างเดียว

    มิจฉาทิฏฐินั้นแก้กันยากเย็นแสนเข็ญ


    อย่าเป็นไซแอนโลจิสให้มากนัก ถ้ายังเป็นคนพุทธอยู่


    สวรรค์ที่ไหนอยู่บนฟ้า แล้วนรกที่ไหนอยู่ใต้ดิน
    ภูมิสวรรค์กับนรกแยกจากโลกใบนี้โดยสิ้นเชิง
    เชิญไปศึกษาให้ดีก่อนเถิด หากยังเข้าใจผิดอย่าปรามาสเลย
    อ่านแล้วขำเหลือเกิน พวกใบลานเปล่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2009
  19. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    <center>
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕
    มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์

    อปัณณกธรรมที่ถือไว้ชั่ว

    </center> [๑๐๗] ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ในลัทธิของสมณพราหมณ์เหล่านั้น บุรุษ
    ผู้รู้แจ้งย่อมเห็นตระหนักชัดว่า ถ้าโลกหน้าไม่มี เมื่อเป็นอย่างนี้ ท่านบุรุษบุคคลนี้ เมื่อตายไป
    จักทำตนให้สวัสดีได้ ถ้าโลกหน้ามี เมื่อเป็นอย่างนี้ ท่านบุรุษบุคคลนี้ เมื่อตายไป จักเข้าถึง
    อบาย ทุคติ วินิบาต นรก. อนึ่ง โลกหน้าอย่าได้มีจริง คำของท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น
    จงเป็นคำจริง เมื่อเป็นอย่างนั้น ท่านบุรุษบุคคลนี้ เป็นผู้อันวิญญูชนติเตียนได้ในปัจจุบันว่า
    เป็นบุรุษบุคคลทุศีล เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นนัตถิกวาท. ถ้าโลกหน้ามีจริง ความยึดถือของท่านบุรุษ
    บุคคลนี้ ปราชัยในโลกทั้งสอง คือในปัจจุบัน ถูกวิญญูชนติเตียน เมื่อตายไป จักเข้าถึงอบาย
    ทุคติ วินิบาต นรก ด้วยประการฉะนี้. อปัณณกธรรมนี้ ที่ผู้นั้นถือไว้ชั่ว สมาทานชั่ว ย่อม
    แผ่ไปโดยส่วนเดียว ย่อมละเหตุแห่งกุศลเสีย ด้วยประการฉะนี้.
    [๑๐๘] ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ในลัทธิของสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณ-
    *พราหมณ์เหล่าใด มีวาทะอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ว่า ทานที่บุคคลให้แล้วมีผล ฯลฯ สมณพราหมณ์
    ที่ไปโดยชอบ ปฏิบัติชอบ ทำโลกนี้และโลกหน้าให้ชัดแจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง. แล้วประกาศ
    ให้รู้ทั่ว มีอยู่ในโลก สมณพราหมณ์เหล่านั้นเป็นอันหวังข้อนี้ได้ คือ จักเว้นอกุศลธรรมทั้ง ๓ คือ
    กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต จักสมาทานกุศลธรรมทั้ง ๓ คือ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต
    แล้วประพฤติ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้นเห็นโทษ ความต่ำทราม
    ความเศร้าหมอง แห่งอกุศลธรรม เห็นอานิสงส์ในเนกขัมมะอันเป็นฝ่ายขาวแห่งกุศลธรรม.
    ก็โลกหน้ามีอยู่จริง ความเห็นของผู้นั้นว่า โลกหน้ามีอยู่ ความเห็นของเขานั้นเป็นความเห็นชอบ.
    ก็โลกหน้ามีจริง เขาดำริว่า โลกหน้ามีจริง ความดำริของเขานั้นเป็นความดำริชอบ. ก็โลกหน้า
    มีจริง เขากล่าวว่าโลกหน้ามีจริง วาจาของเขานั้นเป็นวาจาชอบ. ก็โลกหน้ามีจริง เขากล่าวว่า
    โลกหน้ามีจริง ชื่อว่าไม่ทำตนเป็นข้าศึกต่อพระอรหันต์ ผู้รู้แจ้งโลกหน้า. ก็โลกหน้ามีจริง
    เขาให้ผู้อื่นเข้าใจว่า โลกหน้ามีจริง การให้ผู้อื่นเข้าใจของเขานั้น เป็นการให้ผู้อื่นเข้าใจโดย
    สัทธรรม และเขาย่อมไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่นด้วยการที่ให้ผู้อื่นเข้าใจโดยสัทธรรมนั้นด้วย. เขาละ
    โทษ คือ ความเป็นคนทุศีล ตั้งไว้เฉพาะแต่คุณ คือ ความเป็นคนมีศีลไว้ก่อนเทียว ด้วยประการ
    ฉะนี้. กุศลธรรมเป็นอเนกเหล่านี้ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา ความไม่เป็น
    ข้าศึกต่อพระอริยะ การให้ผู้อื่น เข้าใจโดยสัทธรรม การไม่ยกตน การไม่ข่มผู้อื่น ย่อมมี
    เพราะสัมมาทิฏฐิเป็นปัจจัย ด้วยประการฉะนี้.
     
  20. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    ปริยัติที่ถือเอาไม่ดี คือเรียนเพื่อเหตุแห่งการโต้แย้งเป็นต้น
    ชื่อว่า อลคัททูปมปริยัติ

    ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอา ตรัสไว้ว่า

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้มีความต้องการอสรพิษมีพิษร้าย
    ย่อมแสวงหาอสรพิษมีพิษร้าย เมื่อเที่ยวแสวงหาอสรพิษมีพิษร้าย
    เขาเห็นอสรพิษมีพิษร้ายด้วยใหญ่ ก็พึงจับอสรพิษนี้นั้น ที่ขนดหรือที่หาง
    อสรพิษนั้นพึงแว้งขบเอาที่มือ หรือแขน หรืออวัยวะน้อยใหญ่แห่งใดแห่งหนึ่ง
    ของบุรุษนั้น บุรุษนั้นพึงเข้าถึงความตาย หรือทุกข์ปางตาย
    เพราะการขบกัดนั้นเป็นเหตุ

    ข้อนั้นเพราะเหตุแห่งอะไร

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะความที่อสรพิษร้ายอันบุรุษจับแล้วไม่ดี
    แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โมฆบุรุษบางพวกในธรรมวินัยนี้
    ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ย่อมเล่าเรียนธรรม คือ สุตะ ฯลฯ เวทัลละ
    บุรุษเหล่านั้นครั้นเรียนธรรมนั้นแล้ว ย่อมไม่ใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรมเหล่านั้น
    ด้วยปัญญา เมื่อโมฆบุรุษเหล่านั้นไม่ใคร่ครวญอรรถด้วยปัญญา ธรรมเหล่านั้น
    ย่อมไม่ทนต่อการเพ่ง โมฆบุรุษเหล่านั้น มีการโต้แย้งเป็นอานิสงส์
    และมีการยังตน ให้พ้นจากวาทะนั้น ๆ เป็นอานิสงส์ ย่อมเรียนธรรม
    และย่อมเรียนธรรมเพื่อประโยชน์แก่ธรรมใด ย่อมไม่เสวยผลแห่งธรรมนั้น

    ธรรมเหล่านั้นอันโมฆบุรุษเหล่านั้นเรียนแล้วไม่ดี
    ย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์สิ้นกาลนาน
    ข้อนั้นเพราะเหตุแห่งอะไร

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะความที่
    ธรรมทั้งหลายอันโมฆบุรุษนั้นเรียนแล้วไม่ดี ดังนี้.
     

แชร์หน้านี้

Loading...