บทความให้กำลังใจ(ทุกข์คลายได้ เมื่อใจยอมรับ)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,988
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,042
    ลบดึงดูดลบ
    พระไพศาล วิสาโล
    “ลบดึงดูดลบ” เป็นความเชื่อที่แพร่หลายในหมู่คนจำนวนไม่น้อย เช่นเดียวกับ “บวกดึงดูดบวก” ความเชื่อดังกล่าวมีมูลความจริงไม่น้อยหากว่า “ลบ” คำแรกนั้นหมายถึงความรู้สึกลบ เช่น ความโกรธ เกลียด หวาดระแวง

    มีงานวิจัยมากมายที่ชี้ว่าความรู้สึกลบนั้นทำให้เจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น เช่น เมื่อปีที่แล้วมีการศึกษาพบว่าความโกรธอย่างรุนแรงทำให้โอกาสที่จะเกิดหัวใจวายภายในสองชั่วโมงเพิ่มเป็น ๘.๕ เท่า

    ที่น่าสนใจคืองานวิจัยของคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเยลเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งได้ข้อสรุปว่า คนวัย ๔๐ ที่มีความคิดลบต่อวัยชรา (เช่น เห็นว่าคนแก่เป็นพวกใจลอย เรียนรู้สิ่งใหม่ได้ยาก) เมื่อเวลาผ่านไป ๒๕ ปี คนเหล่านี้จะสูญเสียเนื้อสมองบางส่วน (ฮิปโปแคมปัส) มากกว่า รวมทั้งมีลิ่มเลือดมากกว่า ซึ่งล้วนเป็นตัวบ่งชี้ของการเป็นโรคอัลไซเมอร์ สอดคล้องกับการวิจัยก่อนหน้านี้ที่ระบุว่าคนที่มีอคติต่อวัยชราจะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้นใน ๔๐ ปีให้หลัง

    ข้อมูลดังกล่าวชี้ว่า “ลบดึงดูดลบ”นั้น บางครั้งก็ส่งผลเกือบจะทันที คือแค่ไม่กี่ชั่วโมง บางครั้งก็ใช้เวลานาน แต่จะช้าหรือเร็วก็ล้วนมีเหตุผลที่อธิบายได้ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นมาลอย ๆ

    ในชีวิตประจำวันเราจะพบว่า ความคิดลบนั้นย่อมนำพาสิ่งที่เป็นลบมาหาเราอยู่เสมอ แต่อาจจะไม่ได้มาในแบบที่คนเป็นอันมากวาดภาพเอาไว้ คือเกิดขึ้นมาโดยไม่มีที่มาที่ไป หรือเพราะพลังอำนาจบางอย่างที่เข้าใจได้ยาก แต่เกิดจากเหตุปัจจัยอันมีที่มาจากความคิดลบนั้นเอง

    “พร” เกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่มีปากเสียงเป็นประจำ เธอมักเห็นพ่อด่าว่าแม่ บางทีก็ใช้กำลังกับแม่ จึงมีอคติต่อพ่อ รวมทั้งเกลียดชังผู้ชายที่ชอบใช้กำลังกับภรรยา ครั้นเธอเป็นสาว หลงรักชายหนุ่มคนหนึ่ง จึงได้แต่งงานกัน แต่บ่อยครั้งภาพฝังใจในวัยเด็กทำให้เธออดระแวงไม่ได้ว่าสามีของเธอจะเป็นเหมือนอย่างพ่อ ความหวาดระแวงนั้นเองทำให้เธอรู้สึกไวเป็นพิเศษกับคำพูดและอารมณ์ของสามี

    แม้สามีเธอจะเป็นคนอ่อนหวาน รักครอบครัว แต่บางครั้งก็มีความหงุดหงิดเวลาอยู่กับเธอ พูดเสียงเข้มกับเธอ แม้มันเกิดขึ้นไม่บ่อย น้อยกว่าความอ่อนโยนที่เขามีกับเธอ แต่เธอมักเลือกเห็นและเลือกจำแต่อารมณ์และคำพูดที่เป็นลบของสามี เมื่อผสมกับความทรงจำอันเลวร้ายที่มีต่อพ่อ อคติของเธอที่มีต่อเขาก็ถูกตอกย้ำหนักแน่นขึ้น ผลก็คือเธอมีความรู้สึกลบกับสามีมากขึ้นเป็นลำดับ ความรักเริ่มจืดจาง ความโกรธและหวาดระแวงเริ่มมาแทนที่

    อคติและความรู้สึกลบ ทำให้เธอมีพฤติกรรมลบกับสามีถี่ขึ้น เช่น ต่อว่าสามี ระบายอารมณ์ใส่เขา กล่าวหาว่าเขาไม่รักเธอ จากนั้นก็ขุดเอานิสัยต่าง ๆ ของเขามาตำหนิ เช่น ขี้เกียจ ไม่สนใจลูก เธอมีเรื่องต่อว่ากล่าวโทษเขาเป็นประจำ เมื่อเจอแบบนี้วันแล้ววันเล่า ในที่สุดสามีของเธอก็คุมอารมณ์ไม่อยู่ ตวาดใส่เธอ และเกือบใช้กำลังกับเธอ

    กรณีอย่างนี้มองเผิน ๆ ก็อาจสรุปได้ง่าย ๆ ว่า เป็นเพราะความรู้สึกลบที่มีต่อพ่อ เธอจึงได้สามีที่มีนิสัยอย่างพ่อ (หรือดึงดูดให้คนที่มีนิสัยอย่างพ่อมาเป็นสามีของเธอ) แต่หากพิจารณาให้ดีจะพบว่า การที่สามีมีพฤติกรรมดังกล่าว มิใช่เพราะนิสัยดั้งเดิมของเขาเป็นอย่างนั้น หากแต่เป็นผลจากการกระทำของตัวเธอเองเป็นสำคัญ เริ่มจากการคิดลบ (ว่าสามีคงไม่ต่างจากพ่อ) ทำให้เธอเห็นลบ (เลือกเห็นแต่สิ่งไม่ดีของสามี) ทำให้เกิดความรู้สึกลบ (โกรธและระแวงสามี) ตามมาด้วยพฤติกรรมลบ (ต่อว่า กล่าวโทษเขา) ในที่สุดก็ทำให้สามีตอบโต้เธอด้วยอารมณ์และพฤติกรรมลบ พูดอีกอย่างหนึ่ง ความคิดลบของเธอกระตุ้นปลุกปั่นให้เขามีพฤติกรรมลบกับเธอ

    “ลบดึงดูดลบ” จะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างจากกฎแห่งกรรม เราทำอย่างไร ก็ได้ผลอย่างนั้น ดังมีสำนวนว่า “ให้ทุกข์แก่เขา ทุกข์นั้นถึงตัว” แต่สิ่งที่เราทำนั้นจะเป็นบวกหรือลบ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราคิด เห็น หรือรู้สึกอย่างไร ถ้าคิดลบ เห็นลบ รู้สึกลบ ก็ย่อมทำลบ ซึ่งเท่ากับกระตุ้นให้คนอื่นเกิดปฏิกิริยาที่เป็นลบ และส่งผลลบแก่เรา

    ในทางตรงข้ามถ้าปรารถนาบวก ก็ต้องเริ่มต้นจากการคิดบวก บางอย่างแค่คิดบวก ก็เกิดผลบวกแล้ว (เช่น มีสุขภาพดี ไกลจากโรคหัวใจและอัลไซเมอร์) แต่มีอีกหลายอย่างที่คิดบวกไม่พอ ต้องทำบวกด้วย จึงจะเกิดผลบวกแก่เรา

    บวกย่อมดึงดูดบวก หากว่าบวกตัวแรกนั้นหมายถึงการคิดดีและทำดี แล้วสิ่งดี ๆ ก็จะตามมา อาทิ ความรัก ความเกื้อกูลจากผู้อื่น และความสุขใจ แต่ถ้าคิดถึงแต่เงินทองและความสำเร็จ แล้วหยุดแค่นั้น ก็ยากที่เงินทองและความสำเร็จจะตามมา
    :- https://visalo.org/article/secret255907.html
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    45,988
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,042
    ทุกข์คลายได้ เมื่อใจยอมรับ
    พระไพศาล วิสาโล
    พระเจดีย์พุทธคยาทุกวันนี้เนืองแน่นด้วยผู้คนที่มาบูชาสักการะจากทุกสารทิศ วันหนึ่งมีจำนวนนับหมื่น ๆ คนโดยเฉพาะในช่วงที่ภูมิอากาศเป็นใจแก่นักท่องเที่ยว แต่ใครที่คิดมาหาความสงบที่นี่ อาจจะผิดหวัง เพราะนอกจากความพลุกพล่านแล้ว ยังมีเสียงดังฟังไม่ได้ศัพท์ตลอดวัน เนื่องจากแต่ละคณะมิได้มาสักการะด้วยดอกไม้และเครื่องหอมเท่านั้น หากยังสวดมนต์ด้วยภาษาของตน ทั้งในระหว่างเดินประทักษิณรอบพระเจดีย์และระหว่างนั่งรายล้อมพระศรีมหาโพธิ์ ยังไม่นับการแสดงธรรม ซึ่งมักใช้เครื่องเสียงเพื่อให้สมาชิกทุกคนในคณะได้ยินกันถ้วนทั่ว

    แต่น่าสังเกตว่า ทั้ง ๆ ที่มีเสียงอื้ออึงอย่างต่อเนื่อง ผู้คนจำนวนไม่น้อยพากันนั่งสงบ หลับตาทำสมาธิอยู่รายรอบพระเจดีย์ ไม่มีทีท่ารำคาญกับเสียงเหล่านั้นเลย จะว่าเขาไม่ได้ยินเสียงดังกล่าว ก็เห็นจะไม่ใช่ ขณะเดียวกันก็น่าคิดว่าหากเขานั่งอยู่กลางตลาดหรือกลางถนน ซึ่งมีเสียงดังในระดับเดซิเบลเท่า ๆ กันหรือน้อยกว่า เขาจะยังนั่งหลับตานิ่งสงบได้หรือไม่ หลายคนคงทำไม่ได้

    เหตุใดผู้คนจึงสามารถสงบใจได้ท่ามกลางความพลุกพล่านและเสียงดังเซ็งแซ่รอบพระเจดีย์ คำตอบน่าจะอยู่ตรงที่ผู้คนเหล่านี้รู้ดีว่าเสียงเหล่านั้นเป็นเสียงสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ออกมาจากจิตที่เปี่ยมล้นด้วยศรัทธา ในฐานะชาวพุทธด้วยกัน ผู้คนเหล่านี้จึงมีความรู้สึกดีกับเสียงเหล่านั้นแม้จะฟังไม่รู้เรื่องก็ตาม ดังนั้นจิตจึงไม่ผลักไสหรือต่อต้านเสียงดังกล่าว ผลก็คือจิตมีความสงบ สามารถนั่งสมาธิได้อย่างสบาย ไม่มีอาการอึดอัดกระสับกระส่าย

    ภาพดังกล่าวบอกให้เรารู้ว่า ความสงบในใจนั้นไม่จำเป็นต้องเกิดจากบรรยากาศที่สงบสงัดเท่านั้น แม้มีเสียงอึกทึกครึกโครมรอบตัว เราก็สามารถพบความสงบใจได้ ดังนั้นสาเหตุที่ทำให้ใจไม่สงบจึงมิใช่อยู่ที่เสียงจากภายนอก หากอยู่ที่ใจของเราเอง หากยอมรับหรือรู้สึกดีกับเสียงที่ดังรอบตัว ใจเราก็สงบได้ไม่ยาก ในทางตรงข้ามหากใจมีทีท่าต่อต้าน ผลักไส ปฏิเสธ หรือชิงชังเสียแล้ว แม้เสียงจะแผ่วเบา ความว้าวุ่นกระสับกระส่ายหรือเป็นทุกข์ก็เกิดขึ้นกับใจได้ทันที

    กล่าวอีกนัยหนึ่ง เสียงไม่ใช่ปัญหา ท่าทีของใจเราต่างหากที่เป็นปัญหา นี้คือความจริงที่ผู้คนมักมองข้าม เมื่อมีความทุกข์ใจเกิดขึ้น ผู้คนจึงมักโทษสิ่งภายนอก แต่ลืมมองกลับมาที่ตนเอง ว่าแท้จริงแล้วเป็นเพราะใจที่ต่อต้าน ผลักไส หรือปฏิเสธสิ่งนั้นต่างหากจึงทำให้เป็นทุกข์ จะว่าไปแล้ว ไม่จำเพาะสิ่งที่เป็นลบเท่านั้น แม้สิ่งที่เป็นบวก เช่น อาหารที่อร่อย เพลงที่ไพเราะ ทันทีที่รู้สึกผลักไสมัน เพราะเห็นว่ามันไม่เข้ากับบรรยากาศ ไม่ถูกกาละเทศะ หรือเพราะกำลังง่วนอยู่กับสิ่งอื่นอยู่ ใจก็เป็นทุกข์ทันที แม้จะได้กำไรมาหลายสิบล้าน แต่หากรู้สึกลบกับมัน เพราะคิดว่าน่าจะได้มากกว่านี้ ใจก็หงุดหงิดขึ้นมาทันที

    ในทางตรงข้าม แม้เจอสิ่งที่เป็นลบ เหตุการณ์ที่ย่ำแย่ หากเราทำใจยอมรับมันได้ ไม่ต่อต้านหรือผลักไสมัน คือ ไม่บ่น ไม่โอดโอยหรือโวยวาย ความทุกข์ใจจะลดน้อยลงมาก จริงอยู่เราอาจคิดว่ามันไม่น่าเกิดขึ้นกับเรา แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ก็ควรยอมรับมัน ป่วยการที่จะบ่นว่าไม่น่าเลย เพราะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น มิหนำซ้ำการบ่นหรือปฏิเสธมัน มีแต่จะทำให้ความทุกข์เพิ่มขึ้น หากเจ็บป่วยแล้วยังโวยวายว่าทำไมต้องเป็นฉัน ก็จะไม่ป่วยแต่กายเท่านั้น ใจก็จะป่วยด้วย หากเงินหาย ก็จะไม่เสียแต่ของเท่านั้น ใจก็จะเสียด้วย ตามมาด้วยเสียสุขภาพ เพราะกินไม่ได้นอนไม่หลับ แล้วก็จะเสียงาน เพราะไม่มีอารมณ์ทำงาน ตามมาด้วยเสียสัมพันธภาพ เพราะหงุดหงิดใส่เพื่อน ระบายความโกรธใส่ลูกหรือพ่อแม่และคนรัก

    ถ้าไม่อยากซ้ำเติมตนเอง ก็ควรทำใจยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ก่อน แต่การยอมรับไม่ได้แปลว่ายอมแพ้ อะไรที่แก้ไขได้ก็ควรทำ ไม่นิ่งเฉยหรืองอมืองอเท้า แต่จะทำได้ดีก็ต่อเมื่อเราหยุดบ่น หยุดโวยวาย ยอมรับความจริงให้ได้แล้วทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
    :- https://visalo.org/article/secret255801.htm
    . .

     

แชร์หน้านี้

Loading...