ปุถุชน....คนช่างสงสัย...

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 4 กุมภาพันธ์ 2015.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    อ่านดีๆเน้อ...เด่วพูดให้เป็นในลักษณะคลื่นนะ
    น่าจะพูดแล้วเข้าใจได้ดีกว่า เจ้ากรรมนายเวรที่เป็นตัวๆเนาะ..
    เพราะว่าเป็นตัวๆบางทีอาจเป็นการที่จิตเรามันยังปรุงแต่เป็นภาพได้อยู่

    พวกญานวิถี(ความสามารถเดิมที่เคยมีในจิต)และ
    การเปิดกรรม คือ เปิดตัวจิต ให้โปร่งคลายเพื่อ
    ให้สามารถสัมผัส รับรู้คลื่นกระแสวิบาก
    หรือคลื่นกระแสที่จรมาเรื่อยๆ
    หรือคลื่นกระแสร้อนต่างๆที่อยู่ข้างๆตัวจิตมานานแล้ว
    หรือเคยจรมาแล้ว และเกาะติดกับร่างกายไม่ว่าส่วนใด
    ส่วนหนึ่งถ้าเกาะอวัยวะภายในแสดงว่าเป็นกระแสมาจาก
    ดวงจิตที่เคยเป็นสัตว์ตัวเล็กๆโดยมากจะทำให้เราป่วยนาน
    หรือป่วยรื้อรังถ้าเป็นดวงจิตที่เคยอยู่ในสัตว์ตัวใหญ่ๆมาก่อน
    จะทำให้เราเจ็บหนัก ประมาณนี้...

    แต่ว่าคลื่นกระแสต่างๆพวกนั้นยังไม่เย็น
    คือยังเป็นคลื่นยังร้อนอยู่ คำว่ายังไม่เย็นก็คือ
    ยังไม่ได้รับกระแสเย็น หรือไม่ยอมรับกระแสเย็น
    หรือรับกระแสบุญนั่นเอง บางคนเรียกง่ายๆว่าเจ้ากรรม
    นายเวรไม่ยอมนั่นหละ..

    ที่นี้ไม่ว่าจะพวกที่มีวิถีญานหรือพวกเปิดกรรม...ถ้าตัวจิตมันยัง
    ไม่เคย โปร่ง โล่ง คลายตัว ด้วยตัวเองมาก่อน จากกำลังสติทางธรรม
    ที่สร้าง บวกกับปัญญาทางธรรมในการ ยอมรับเข้าใจผลกระทบของ
    กระแสร้อนๆพวกนั้นมาก่อน พอจิตเปิดแบบพิธี ให้คลายตัว...
    ตัวจิตก็จะเสมือนโดดเดี่ยว เดี่ยวดาย ไร้ญาติขาดมิตร เพราะไม่มี
    เพื่อนที่จะคอยเป็นเสมือนเกราะป้องกัน เกราะที่คอยไม่ให้ไปยึดติด
    ตลอดจนปัญญาทางธรรมที่เพียงพอ ที่ควรจะระลึกรู้ว่า ควรจะต้อง
    สร้างๆกระแสเย็นต่างๆ ให้เกิดขึ้นกับตัวจิต เพื่อส่งออกจากตัวจิต
    ไปเรื่อยๆจนกว่า กระแสเย็นจะมากกว่ากระแสร้อน และกลายเป็น
    กระแสเย็น ที่คนเรียกกันว่า เจ้ากรรมนายเวรเค้ายอม เพื่อนใน
    ที่นี้ก็คือ กำลังสติทางธรรม ที่สร้างจากการเจริญสติด้วยวิธีต่างๆ
    ที่มีฐานอยู่ที่กายนั่นหละ......

    ที่นี้พอไปเปิดมาแล้ว ด้วยกระแสเย็นแบบพิธีที่สร้าง ณ เวลานั้น
    แต่ตัวผู้ที่ถูกเปิด ในเวลาปกติไม่มี กำลังสติตรงนี้ที่จะคอยป้องกันรับรู้
    ปัญญาในการยอมรับผล และส่งผลต่อพฤติกรรมที่ควรปฏิบัติไม่พอ...

    ก็จะกลายเป็นว่า ต่อไปถ้ามีกระแสร้อน หรือกระแสจร พวกนี้มีมาอีก
    ก็เป็นที่ ง่ายดายและแซ่บเวอร์ ในการเข้ามาเกาะตัวจิตของคลื่นกระแสร้อนพวกนี้
    ที่นี้ พอมีกระแสร้อนอะไรเข้ามา แล้วเค้าหน่วงให้เราไปรับรู้ ในเชิงเศร้าหมอง
    จิตเราก็จะปรุงแต่งไปตามเค้า กลายเป็นว่า ไปรับรู้และรู้สึกไปทุกๆเรื่อง
    จนกลายเป็นตัวเราเองโดยที่ไม่รู้ตัว..บางคนเอาไปเอามาเสียสติไปเลย..
    อยู่ โรงพยาบาลโรคจิตเยอะแยะ

    ที่บางคนเปิดแล้วรับรู้ได้ดี นั่นมันเรื่องพื้นฐานมาก ถ้าจิตเรามันคลายได้เอง โปร่งได้เอง
    พวกความสามารถแบบนั้น มันก็เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว..
    เปิดนะเปิดได้ แต่มีความพร้อมไหม และหลังจากเปิดแล้วตัวจิตจะสามารถสร้าง
    กระแสเย็นๆได้มากเพียงพอหรือเปล่า นี่คือประเด็นสำคัญ...

    ทางพุทธเรามันไม่มีใครหนีกระแสจรได้ เพราะมันมีของมันปกติ
    มีแต่บุคคลที่ฝึกมาดี
    แม้มีกระจรเข้ามาแต่ตัวจิตไม่ยึดติดเลย หรือไม่อะไรกับสิ่งนั่นสิ่งนี้
    หมายถึงไม่เกาะได้จริงๆนะ.
    .(เป็นผู้ที่พ้นแล้ว)
    ทั่วไป เราต้องสร้างกระแสเย็นให้เกิด แล้วใช้กระแสเย็นในการ
    ส่งออกไปเพื่อเปลี่ยนกระแสร้อน ส่งออกไปเรื่อยๆ จนมีแต่กระแสเย็น
    บางก็เรียกว่า เค้าขี้เกียจตามนั่นหละ การอุทิศส่วนกุศลก็เพื่อ
    ตัดกระแสที่มาเกาะจิต และการอุทิศส่วนกุศลซ้ำ ก็เพื่อให้จิตมันสร้าง
    กระแสเย็นออกไปจากตัวจิต เพื่อเปลี่ยนกระแสร้อนรอบๆ ที่วนเวียน
    อยู่ใกล้ๆกับตัวจิตเรานั่นเอง...

    ปล.ประมาณนี้หละ
    ...
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,415
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • toomanypra.jpg
      toomanypra.jpg
      ขนาดไฟล์:
      44.1 KB
      เปิดดู:
      1,171
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ๕๕๕ มีเลข ๕ ด้วยเลข ๙ หมดสิทธิ์
    ยกเว้นว่าเราจะเป็นผู้สร้าง ปกติห้อยพระทีละองค์
    ส่วนเลขสวยๆเอาไว้เพื่อให้คนอื่น
    การห้อยพระ แล้วแต่ว่าจะห้อยองค์ไหน
    แต่พระที่ห้อยประจำไม่มีในที่โชว์
    ถ้าถามว่าพ้นไหม. ไม่พ้นเหมือนเดิม ๕๕๕
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,415
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    *********************
    ไหนๆก็โบราณท่านว่า ไหนๆก็จะตกหลุมหนีไม่พ้นก็ต้องกระโดดลงไปเลย จะได้เจ็บตัวน้อยหน่อย (deejai)
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    เอามาให้อ่านเล่นๆเด่วอีกวันสองวันจะไปลบต้นฉบับที้ง
     
  6. ราคุเรียวซาย

    ราคุเรียวซาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2,940
    ค่าพลัง:
    +8,515
    พอดี
    หนูจะระลึกชาติไปสมัยที่เคยสวยให้ได้เลย
    อุ
    เคี๊ยกๆๆๆๆ
     
  7. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    วิธีที่4 ทำให้ฝนตกรอบตัวแปะๆ ผมยังทำไม่ได้เลยครับ...
    พื้นฐานที่เรียกกสิณให้มาปรากฎบนฝ่ามือ นี่ยิ่งไม่เคยเกิดขึ้นเลย...หุหุหุ...อนาจใจตัวเองยิ่งนัก...
     
  8. *ธรรมดา*

    *ธรรมดา* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +924


    แหม่ๆๆหากคุณพี่ป๋าระมิงค์ทำไม่ได้ แล้วจะมีผู้ใดทำได้ครับ อิอิ
     
  9. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    วิชาต่างๆในสามโลกนี้มีอยู่มากมายครับ...
    บางวิชาก็เลือกเฉพาะบางคนเท่านั้นที่สามารถฝึกได้...คือต้องมีคุณสมบัติเฉพาะ จะเรียกว่ามีวาสนาที่เคยทำมาร่วมกัน ...
    บางวิชาฝึกได้เหมือนกัน แต่ความชำนาญไม่เท่ากัน...ความโดดเด่นแตกฉานจะต่างกันไปครับ...

    ในเวปมีคนที่ฝึกอยู่เยอะพอสมควร แต่คนที่ฝึกได้ชำนาญ รู้รายละเอียด เรื่องพลังต่างๆและกสิณเหล่านี้ระดับคุณนพฯ นี่หาตัวแทบไม่เจอครับ...ความจริงฆารวาสที่ฝึกมาได้ถึงตรงนี้ก็แทบนับคนได้ในปัจจุบัน...
    ผมเองลองฝึกดูแล้วเหมือนกัน ผมว่าก็ไม่ใช่ของง่ายๆหรอกนะครับ...จะว่ายากและต้องทุ่มเทมากทีเดียวครับ...

    เรื่องพวกนี้เวลาผมไม่เข้าใจอะไรผมก็ถามคุณนพฯเหมือนกันครับ...มีอีกหลายอย่างที่ผมยังไม่รู้...และอีกหลายอย่างที่รู้แล้วแต่ไม่เข้าใจก็ยังมีครับ...

    เรื่องการเห็นนั้น ผมก็เห็นไม่เหมือนคนอื่นสักเท่าไร...เพราะเวลาเห็นนั้นจะเหมือนผมไปยืนอยู่ที่นั้นๆ การพูดคุยก็ไม่ได้ขยับปาก มันก็ได้ยินถึงกัน รู้ถึงกัน...
    จะดูผ่านตาที่สามก็ได้เหมือนกัน แต่เหมือนนั่งมองจอทีวี บางทีก็ชัดหน่อยบางทีก็ไม่ชัด...เวลาร่างกายเครียดๆก็ไม่เอาไหนไปซะอีก...

    ทุกวันนี้จึงยังคงก้มหน้าก้มตาฝึกต่อไปครับ...ใครมีอะไรสงสัยผมก็โบ้ยให้มาถามคุณนพฯนี่แหละครับ...วันหน้าใครเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นมะเร็ง เนื้องอก ก็จะส่งมาให้คุณนพฯจัดการเหมือนกัน...คนพิเศษสำหรับวิชาพิเศษ...ย่อมเป็นของคู่กัน...
     
  10. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    นักมายากลชื่อไดนาโม, ลพ.มีชื่อท่านหยิบในไม้แล้วกลายเป็นธนบัตร การหยิบจับวัตุถกลางอากาศ ฯลฯ

    วิชาพวกนี้....
    มีแบบเป็นข้อๆเหมือนการย้อนหรือเปล่าคะ ...

    ส่วนตัวเรื่องการย้อนนั้น ดิฉันไม่ให้ความสนใจเท่าไหร่ค่ะคุณนพ คงต้องยกให้ท่านอื่นๆ เพราะดิฉันอยากลืมมันมากว่าที่จะไปจำเรื่องเก่าๆ .. ออกแนวไม่แข็งแรงค่ะ ดิฉันกลัวตัวเองไปติดสัญญาค่ะ ...
     
  11. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    อ้อ ... คุณนพช่วยอธิบายคำว่า "ย้ายจิต" ให้ฟังหน่อยค่ะ

    ที่มาคือ ...
    ไปอ่านว่าบางคนอ่านจิตใจคนได้แต่พอจะไปอ่านคนที่อยู่ตรงหน้า คนตรงหน้านั้น "ย้ายจิต" หนีไป ..
    การที่จะไม่ให้คนอื่นอ่านจิตเราได้ต้องทำอย่างไร ...

    อีกสักข้อนะคะ ...
    เรื่องการอุทิศบุญ ถ้า..หากว่าดิฉันจะอธิฐานว่าขอเบิกบุญเปิดบุญตลอดเวลาตลอดชีวิตให้แก่สรรพวิญญาณ สรรพดวงจิตมาอนุโมทนาได้ตลอดเวลา คุณนพว่าดิฉันจะพอทำได้ไหมคะ ถ้าทำไปแล้วจะมีผลอย่างไร หรือคุณนพคิดว่าเป็นความสามารถเฉพาะบุคคล ...
    (ดิฉันยังไม่ได้ทำนะคะ คือสงสัยค่ะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2015
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    เรียกเป็นพลังงานกสิณให้ขึ้นมาบนฝ่ามือ ถ้าผมได้เจอตัว ป๋า มิงค์ เป็นๆ
    บางทีอาจจะเป็นเรื่องง่าย เพราะเจ้า ริน ริน ก็พอรับรู้ได้เหมือนๆ
    หลายๆคนที่เคยโทรศัพท์มาคุยด้วยครับ ส่วนจะนำไปใช้งานได้หรือเปล่า
    เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ขึ้นอยู่กับวาระ ณ เวลานั้นด้วย
    ว่าจะมีมารมาขวางหรือเปล่า ๕๕๕๕๕
    ส่วนป๋า มิงค์ น่าจะเคยทำได้แล้วหรือเปล่า
    แต่ว่ามันเกิดในนิมิตร ยังไม่เกิดให้เห็นได้บนโลก
    ตรงนี้ถ้าพูดผิดขออภัยด้วยครับ...


    และในเวบที่มีการฝึกมาหลายคน ส่วนตัวมองว่า เหตุที่ทำกันไม่ได้และนำมาใช้งานไม่ได้นั้น
    ส่วนหนึ่งคงขึ้นอยู่กับวาระด้วยครับ..และสาเหตุหลักๆเพราะว่าไปติดกับดัก
    กับกิริยาทางจิตต่างๆที่มันเกิดระหว่างทาง พวกนี้ส่วนตัวย้ำแล้วย้ำหนา
    พูดแล้วพูดอีกจนไม่รู้จะพูดยังไงอีกแล้ว บอกว่าอย่าสนใจ และก็ให้ไปฝึกสร้าง
    สติทางธรรมให้มากๆ สร้างกำลังสมาธิ ให้ได้ก่อน บอกลักษณะนิสัยที่ควร
    จะต้องสร้างให้เกิดไปแล้วเป็นข้อๆ แต่ก็เหมือนๆอ่านแบบผ่านๆ ทั้งๆที่มันเป็น
    ประเด็นหลักที่สำคัญ บางคนบอกไปว่า ถ้าคุณถึงขั้นนั้นอย่างที่คุณพูดจริงๆ
    หรืออย่างที่คุณพยายามสร้างภาพให้คนอื่นๆเข้าใจ คุณจะต้องทำอย่างนี้
    อย่างนั้นได้เป็นปกติ บอกไปเป็นข้อๆ ก็ยังทำเป็นมองไม่เห็น เพราะกลัวว่า
    จะเสียหน้า กลัวไม่เท่ห์ แล้วก็ไป กล่าวตัดสินสรุปว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
    ภายหลัง มันก็ผิดอีก เพราะไม่ยอมรับความจริงกัน เรื่องอย่างนี้มันไปหา
    ตำราหรือจะมาใช้ มโนเดาสญานตอบกันไม่ได้ มันต้องทำได้มันถึงจะบอกได้

    ก็ยังมีคนที่ติดกับดักพวกนี้ ทำให้กลายเป็นคนคิดไปเอง สร้างภาพให้คนอื่นๆ
    เข้าใจไปเองว่าตัวเองทำได้ ถ้าเลิกนิสัยอย่างนี้ไม่ได้ ก็รอชาติหน้าได้เลย
    และอีกอย่าง บางคนเห็นคนอื่นๆดีกว่าแล้วอยู่ไม่เป็นสุข
    พูดชมไม่เป็น ซ้ำร้ายไปพูดจาใส่ร้าย ใส่ความเดิสเครดิส
    บ้างอ่านตำรามาก แต่ไม่ได้ปฏิบัติจริง พวกนี้ต่อไปจะเพี้ยนเพราะคิดว่า
    ตัวเองเป็นพระอรหันต์ไม่เชื่อลองดูได้นะครับ และพวกที่ชอบพูดจากล่าว
    คำเท็จกับคนอื่นๆ ต่อไปจะเบลอกันทุกคน..ส่วนที่ชอบแอบปรามาสเชิง
    ลึกในใจกับคนที่เค้าฝึกกรรมฐานอะไรก็ตามได้สำเร็จแล้วตัวเองยังทำไม่ได้
    ..ให้ชาตินี้ฝึกกรรมฐานกองนั้นๆให้ตายก็ไม่สำเร็จครับ..
    เพราะว่าภพภูมิข้างบนท่านมีสัมพันธ์และท่านไม่ได้แบ่งแยกกัน
    แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันเหมือนที่เค้าคิด และท่านมีหน้าที่ในการแนะนำที่แยกส่วนกัน
    ไม่ก้าวก่ายกัน ไม่เหมือนที่พวกนั้นคิดกันว่าต้องแบบตน พูดง่ายๆท่านถึงกันหมด
    นั่นแระครับ คิดว่าด่าคนนี้แล้วภพภูมิท่านจะไม่ถึงกันนั่นหรือไง....
    ภาคทิพย์นะครับ ไม่ใช่ภาคหยาบที่ต้องมานั่งเสพสื่อทางด้านต่างๆ
    แล้วถึงจะรู้ได้ ๕๕๕๕.


    บางคนยังเชิงๆหาว่าไปว่าคนอีก เชิงไปดูถูกเค้าอีก
    พวกนี้ประหลาด คงต้องให้ชมก่อนว่า กิริยาต่างๆที่เกิดคงเป็นอะไร
    ที่วิเศษวิโสมากก่อนมั่งถึงจะยอมฟัง..บางทีก็รู้สึกว่า เห้อ!!!
    เพราะมันใจว่าสัมผัสที่เกิดกับตน เป็นอะไรที่วิเศษ วิโส เป็นอะไรที่เลอเลิศ
    ทั้งๆที่ได้บอกแล้วบอกอีกว่า มันเป็นเรื่องพื้นๆ แต่ก็ยังไม่ค่อยสนใจกัน...
    บางคนยังแสดงวาจา ปากดีมาระรานกันอีก แอบปรามาสลึกๆในใจ..
    ทำอย่างกับว่าคนที่แนะนำเค้าจะอ่านจะดูไม่ออก ๕๕๕๕
    ถ้าอย่างนี้ก็อย่าหวังว่า ชาตินี้จะฝึกสำเร็จได้เลย คงต้องรอชาติหน้าครับ....
    เพราะว่า กว่าจะฝึกจนถึงขั้นใช้งานได้ มันมีสัมพันธ์กับภาคส่วนภพภูมิ
    หลายภาคส่วนมาก..ไม่ใช่นั่งๆหลับตาแล้วมันจะทำสำเร็จหรือฝึกได้ หรือใช้
    งานกันได้เลย ไม่งั้นพวกที่มันใจว่าตัวเองเก่งๆกว่าคนอื่นๆทั้งหลายเพราะคิด
    ว่าตัวเองมีความสามารถเหนือคนอื่นๆนั้น
    ป่านนี้คงฝึกสำเร็จกันเต็มบ้านเต็มเมืองแล้วครับ


    ความจริงๆไม่มีอะไรมาก
    แค่อ่านๆที่เตือนๆเอาไว้ อ่านเรื่องที่ห้ามๆเอาไว้
    แล้วก็ทำ นำไปพิจารณาทำตาม แค่นี้ก็จบแล้ว แต่อย่างว่าหละครับ
    กิเลสมันแรงกว่า ถ้าเราเก่งกว่ามันป่านนี้คงไม่ได้ลงมาเกิดหรอกครับ
    เพราะมันหลอกให้เราคิดว่าเราเก่งกว่ามันนั่นหละครับ
    เราถึงต้องได้มาวนเวียนง่องๆแง๋งๆ ปฏิบัติโน้น ปฏิบัตินี้ไปเรื่อย
    เพื่อความหลุดพ้นกันอยู่ร่ำไป
    และเพราะคิดว่าฝึกแล้วเพื่อสร้างตัวเอง
    เพื่อยกตัวเองนั้นหละครับ และก็ไม่ทำตามคำแนะนำที่ตัวเองมองว่า
    มันพื้นๆ..มันไม่เท่ห์นั่นหละครับ..
    เลยทำไม่สำเร็จเกิดผลซักที แม้ทำได้ก็ทำได้แค่บางส่วน
    และใช้เวลานานมากๆ ป่านนั้นยังหลงตัวเองได้ พูดแล้วประหลาดดี ..
    แทนที่จะเป็นฝึกสำเร็จในหลักไม่กี่เดือน กลายเป็นหลักปี
    และก็หลายๆปีนั้นหละครับ...


    และที่สำคัญที่สุดก็คือการสอบไม่ผ่านด่าน
    การทดสอบการใช้งาน
    และนิสัยพื้นฐานที่ควรจะเป็นจากทางภาคส่วนภพภูมินั้นเอง
    ก็ส่วนตัวบอกไปว่า แม้แต่ยุงก็ไม่เคยตบมาเกือบยี่สิบปี
    จนทุกวันนี้มีความชำนาญในการจับยุงได้ แล้วเอาไปปล่อยนอกห้องได้
    กว่าจะสอบผ่านแค่พอใช้งานได้ประมาณครั้งที่ ยี่สิบกว่าโน้น
    จะเอาอะไรกับ สติทางธรรมก็ไม่สนใจที่จะสร้าง ถามกันจริง ถามกันจัง
    ว่าเรื่องพิสง พิเศษแบบโน้นแบบนี้ทำอย่างไร พอทำได้เล็กๆน้อยๆ
    ก็ยังเอามาโม้ให้กันฟังอีก พูดแล้วขำไปอีกแบบ..๕๕๕
    กำลังสมาธิสะสมก็ไม่สนใจ กำลังสติทางธรรมก็ไม่สนใจ
    ทำแบบลูบๆคลำๆ แบบเอาน้ำลูบหน้า..
    เดินปัญญาลดละกิเลสก็ไม่ให้ความสำคัญ ทั้งที่มันสำคัญที่สุด
    บุญบารมีกับภาคส่วนภพภูมิก็ไม่สร้าง ป่านนั่นอยากจะมี
    พันธ์มิตรทางภพภูมิระดับสูงๆมาเป็นแบ๊คให้ ทานก็ทำไม่สม่ำเสมอ
    ศีลก็ด่างๆพร่องๆ
    แถมยังมั่นใจในสัมผัสแบบเล็กๆน้อยที่ตัวเองมีแบบพอติ๊งๆต้องๆ
    แบบพื้นฐานทั่วๆไปแล้วจะเอาอะไรไปพัฒนาตัวจิตตัวเองได้อย่างไร
    จนถึงขั้นที่กว่าจะได้เจอบททดสอบครับ...


    ที่นี้ในเรื่องการนำไปใช้งานได้นั้น
    โดยส่วนตัวก็แยกไว้ ๒ ระดับ
    คือ ๑.แบบที่ใช้งานด้วยกำลังสมาธิพื้นฐานไม่มาก(คือแบบข้าพเจ้านี่หละ)
    บางทีเห็น ป๋า มิงค์ ใช้งานบางอย่างในกำลังสมาธิใช้งานพื้นฐานระดับสูงได้
    ยังมองว่า ป้าดโถ่คือมาเก่งแท้น้อ ..๕๕๕
    และ ๒.แบบที่ใช้งานด้วยกำลังสมาธิระดับสูง(ห่มเหลืองมีชื่อ
    ในอดีตทั้งหลายนั้น)...
    การที่จะพัฒนาตัวเองให้ถึงระดับที่ ๒ ได้และใช้งานได้ในขณะลืมตาปกติ
    ทั่วไปแบบไม่ต้องตั้งท่าอะไรมากมาย และเกิดขึ้นแล้วใช้งานแล้วไม่เสื่อม
    นึกจะทำตอนไหนก็ทำได้นั้นหรือพูดง่ายๆว่าหายใจพรวดเดียวทำได้นั้น
    มันไม่ใช่ว่า จะฝึกกันได้ง่ายๆ เพราะพวกนี้มันแปรฝันตามระดับจิตใจด้วยครับ
    ท่านๆเหล่านั้นเรียกง่ายๆว่า ตัวจิตแทบจะไม่มีอะไรมาเกาะแล้ว หรือเรียกได้ว่า
    ตลอดแทบทั้งวันตัวจิตมันคลาย มันโปร่ง มันโล่งได้เกือบตลอดเวลาแล้ว
    ไม่ใช่ไม่มีอะไรเข้ามานะครับ แต่ตัวจิตท่านไม่อะไรกับอะไรกับสิ่งที่เข้ามาได้แล้ว
    อย่างๆเราๆยังไม่ลุกจากเตียงนอนเลย ก็มีเรื่องราวต่างๆ มีกระแสจรเวียนเข้า
    รอเพื่อให้เราปรุงแต่งแล้ว
    ตั้งแต่ยังไม่ทันอาบน้ำ ล้างหน้ากันเลย ๕๕๕๕ นึกแล้วก็ฮาดีเหมือนกัน...
    นี่หละมนุษย์...๕๕


    และถ้าอย่างเราๆ มนุษย์ปกติที่ต้องมีภาระหน้ารับผิดชอบทางโลกอยู่ ก็คงจะยากหน่อย
    ขนาดช่วงที่ว่างๆ กว่าจะอฐิษฐานจิตให้มีน้ำจริงๆโผ่ลมาจากอากาศได้
    แค่เม็ดเดียว ช่วงนั้นฝึกอยู่ ๒ เดือนกว่าและครั้งนั้นกว่าจะทำได้ ฟาดไปเกือบ
    ครึ่งชั่วโมง และกว่าจะมาทำให้มีฝนตกจริงๆได้ หล่นลงบนหลังคาแปะๆๆๆ
    ก็ฟาดไปอีก ๒๐ กว่านาทีแล้วอย่างนี้จะใช้เวลาฝึกอีกเท่าไรกว่าระยะเวลาจะย่น
    ย่อมาจนเหลือหายใจพรวดเดียวแล้วทำได้ ๕๕๕๕๕๕....

    เป็นที่มาที่เราต้องเปลี่ยนทางเลือกในการให้ผลเกิดสำเร็จเหมือนกัน
    ในเวลาต่อมานั้นเองเป็นเหตุในการที่ต้อง เตรียมตัวกระทำตัวอย่างไร
    ก็ได้ให้ขึ้นสิ่งที่มันพิเศษกว่าขึ้นมา ที่มันจับต้องได้ เห็นได้ด้วยตาที่ดี
    เป็นที่มาของการสร้างเครื่องทุนแรกเอาไว้ให้เกิดให้ได้
    หรือที่เรียกว่า อาวุธทิพย์ ต่างๆนั่นหละครับ..จบ.


    ปล.ประมาณนี้ครับ.
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ส่วนเรื่องแบบที่ห่มเหลือง ที่ท่านทำได้ แบบ นายไดนาโม
    นะ คุณ รุ้ง นั่นคือ ลักษณะของผู้ที่สำเร็จระดับจิตธาตุ มีปัจจัยหลักๆก็คือ
    พื้นฐานสมาธิใช้งานในระดับกำลังสูงแบบในข้อ ๒ ใน Rep ก่อนหน้า
    นั้นเป็นทุน..
    และก็พื้นฐานจิตใจอย่างที่เล่าให้ฟัง เพราะมันจะเป็นได้ตาม
    ที่ใจนึกครับ ท่านที่เจอที่ จ.เลย เมื่อก่อนกว่าจะฝึกสำเร็จเนี่ย
    ท่าน จมน้ำป๋อมแป๋ม มาไม่รู้กี่รอบแล้วครับ ๕๕๕
    แต่ตอนนี้ท่านคงไม่ทำแล้ว แต่ท่านที่ ชัยภูมิ ยังทำได้ปกติครับ
    เด่วถึงวาระจะไปกราบท่านอยู่ ไว้ในอนาคต ไปตอนนี้ก็เหมือนเดิม
    แม้ท่านแนะก็ยังคงทำไม่ได้ครับ ท่านก็จะบอกให้ไปฝึกเจริญสติ
    ด้วยการเดินอีกนั่นหละครับ หรือไม่ก็ไล่เข้าป่าช้าที่มีผีดุๆครับ ๕๕๕๕
    ท่านนี้ที่เลย เคยโม้ให้ ป๋า มิงค์ ฟังว่า
    มี มนุษย์ต่างดาว เอาจานบิน
    ลำเล็กมาถวาย โดยครับ ถ้าตาดีหน่อยจะมองเห็นได้ เอาผ้า
    คลุมไว้ที่หน้ากุฏิท่านนั่นหละครับ.ไม่รู้ ป๋ามิงค์ เคยเล่าให้ฟังไหม
    ป๋า มิงค์ เคยเห็นอยู่หรอกครับ...เราเดินปกติ ทะลุได้เหมือน
    อากาศนะครับ..และถ้าจะไปถึงระดับจิตธาตุได้ มันก็ต้องขึ้นอยู่
    กับว่าเราสามารถเข้าถึง ระยะเวลาที่จิต มันโปร่ง มันคลายตัว
    มันโล่ง ไม่มีอะไรมาเกาะในระหว่างวันได้นานแค่ไหนนั่นหละครับ
    เราถึงจะเข้าถึงสมาธิระดับพื้นฐานใช้งานในระดับสูงและทำแบบนั้น
    ได้ในอนาคต ซึ่งพวกนี้มันต้องใช้เวลาพอสมควรครับ เพราะมัน
    แปรผันเกี่ยวกับเรื่อง การที่ตัวจิตไม่ยึด ไม่เกาะ สิ่งที่เข้ามาได้
    จริงๆด้วยนั่นเองครับ. ซึ่งถ้าเรื่องแบบนี้ ส่วนตัวก็คงต้องใช้เวลา
    เหมือนกันและถือว่าพึ่งเริ่มคลาน เพราะเคยลองกว่าจะทำให้มี
    พระธาตุ เสด็จได้ เนี่ยล่อไปเกือบ ๒๐ นาทีกว่าๆ ทุกวันนี้ทำอีก
    ยังไม่ได้ พูดแล้วเพลียแอนง่วงจังเลย ๕๕๕
    .

    ..เด่วต่อเรื่อง ย้ายจิต #Rep ต่อไปครับ
     
  14. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    อ่านวิธีระลึกชาติของพี่นพแล้ว นึกถึงเมื่อตัวเองเคยไปโผล่ในอดีต (ไม่ได้นึกย้อน มันย้อนเอง ย้อนไม่เป็น) พระราชวังของไทยเราในอดีตนั้น ทองคำมากมายเหลือเฟือกันจริง ๆ มากถึงขนาดเอามาทำท้องพระโรง ตามฝาผนังเป็นทองคำลวดลายกนก ส่วนตรงไหนที่ไม่ใช่ทองคำจะเป็นสีแดง คิดดูเถิดว่าท้องพระโรงใหญ่โตขนาดไหน ใช้ทองคำมาทำ แล้วงงไหมว่าทองคำมันหายไปไหนกันหมด ปัจจุบันหายากเหลือเกิน

    แล้วก็ในคืนหนึ่ง มันย้อนเองแบบรีวิวประมาณ ๑๐๐ กว่าชาติ ชาติละแป๊บหนึ่งประมาณครึ่งนาที แต่ทราบความเป็นไปทุกอย่างในชาตินั้น ๆ พอชาติที่ ๑๐๐ กว่าก็เช้าพอดี หลังจากเห็นรีวิวนั้นแล้วเบื่อเกิดเลยค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2015
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ถ้าจะป้องกันไม่ให้ใครมาอ่านจิตเราได้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไมนะครับ..
    ปกติใครอยากจะอ่านอะไร ก็ปล่อยๆให้เค้าอ่านไปเหอะ
    เพราะการไปรู้จิตคนอื่นๆมันเป็นการส่งออก อยากหาเรื่องทำให้จิตใจ
    มีตัววิญญานมาซ้อนวิญญานเล่นก็เชิญ เด่วดันไปเชื่อมตอนที่เค้าวิบารกรรม
    กำลังเค้ามาหรือมีกระแสร้อนอยุ่ แล้วดันวางไม่เป็น ก็กลายเป็นว่า
    เราไปมีส่วนร่วมกับเค้าอีก ๕๕๕ แต่ถ้าจะป้องกันก็ได้อยู่ครับ
    ถ้าตัวจิตเรามีกำลังสมาธิสะสม มีกำลังสติทางธรรมและมีกำลังจิตสูงกว่า
    มันก็จะเหมือนๆเป็น กระแสคลื่นความถี่หนึ่งที่พยายามไปเชื่อมความคลื่น
    ความถี่หนึ่งนั้นหละครับ คลื่นต่ำกว่าก็จะโดนคลื่นสูงกว่าดูดๆเอานั่นหละครับ
    เป็นเรื่องธรรมชาติ ทั้งๆที่คนคลื่นความถี่สูงเค้าไม่ได้รู้เรื่องอะไรหรอกครับ
    ยกตัวอย่าง กรณี ป๋า มิงค์ เวลาไปยืนที่ๆมีคลื่นความถี่ต่ำกว่าเป็นตัวอย่างครับ
    เป็นเหตุที่ให้คลื่นความถี่ต่ำกว่า ที่พยายามมาเชื่อม(คือแค่คิดนะครับ)
    ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งก็ตาม แล้วปล่อยความคิดไปเป็น เป็นเหตุให้เกิด
    กิริยาอาการย้อนกลับมาทางกายคลื่นต่ำๆนั้นๆได้ จะเหมือนโดนดูดๆ
    ถ้ายังคิดต่อ ก็จะส่งผลต่อร่างกายได้ เพราะร่างกายมันถือธาตุ ๔ อยู่นะครับ
    หรืออีกกรณีก็คือจะเบื่ยงเบนการรับรู้
    ให้ออกไปเป็นอะไรก็ได้คับ หากคนนั้นยังต้องมีการรับรู้
    ด้วยการสร้างสัญญาเพื่อให้ขึ้นมาเป็นภาพนะครับ
    .ทางกิริยามันเป็นอย่างนี้ ภาษาสมมุติ
    เค้าเรียกง่ายๆ ว่าย้ายจิต เพื่อให้เข้าใจง่ายๆนั่นหละครับ
    มันไม่ใช่ยกเอาตัวจิต หรือเคลื่อนตัวจิตไปไว้ที่อื่นๆนะครับ
    มันเป็นการเปลี่ยนแปลงลักษณะคลื่นของความถี่ต่างๆ
    ที่เข้าสหสัมพันธ์กับตัวจิตนั่นเองครับ..

    ..แต่ถ้าจิตเรามันข้ามไปโหมดวิญญานธาตุแล้ว
    และตัดเรื่องสร้างเป็นภาพขึ้นมาได้ มันก็จะเหลือแต่ตัวคลื่น ข้ามร่างกาย
    ข้ามวัตถุนั้นๆไป เพราะฉนั้นเวลาเราเชื่อมจิต จึงไม่จำเป็นต้องถาม ชื่อ ถามวันเดือน
    ปีเกิด ถามหน้าตา ถามอะไร นั่นหละครับ เพราะเป็นการเชื่อมระหว่าง
    พลังงานไปยังพลังงาน ขึ้นอยู่กับว่า พลังงานที่ออกจากเรามันจะไปเชื่อม
    ได้หรือเปล่า ซึ่งถ้าเป็นพลังงานที่สงบเย็นแล้ว จิตเรามันสร้างคลื่นพลังงาน
    ชนิดหนึ่งขึ้นมาได้ ส่วนตัวเรียกว่า พลังงานคลื่นกลาง ครับ
    ซึ่งมีความสามารถ และคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งในการที่จะเข้าถึง
    พลังงานคลื่นความถี่ต่ำหรือคลื่นความถี่สูงได้หมดนั่นหละครับ..
    สำคัญที่ว่า เราจะมาสร้างพลังงานตรงนี้ให้เกิดกับจิตเราได้อย่างไร..
    พื้นฐานเบสิค ถ้าไม่รู้อะไรเลย ก็คือ ฝึกเมตตานั่นหละครับ ต้องฝึกนะครับ
    เมตตาที่เรามีๆกันอยู่ โดยมากมันจะเป็นเมตตาที่เกิดภายในร่างกายครับ
    แม้ว่ามันจะดีอยู่ แต่ว่ามันยังมีการ แอบเลือกข้าง แอบแบ่งแย่ง แอบมีข้อแม้
    แอบมีเงื่อนไขอยู่นั่นเอง..
    และเมตตาที่จะสร้างคลื่นพลังงานกลางได้นั้น จะเป็นกระแสเมตตา
    ที่สร้างให้ออกจากภายในร่างกายแล้วขยายออกไปภายนอกร่างกาย
    โดยที่มันจะข้ามเรื่องธาตุต่างๆที่รวมเป็นร่างกายเราด้วยครับ..
    และมันก็ออกจากตัวจิตเรานี่หละครับ..แล้วมันออกมาอย่างไรหละครับ
    มันก็ขยายออกมาได้ จากตัวจิตเราที่มันโปร่ง มันคลาย มันปล่อยวาง
    เรื่องราวต่างๆที่มันมายึดเกาะตัวจิตที่ยังทำให้จิตเราเป็นวงกลมได้อยู่นั่นหละครับ
    ก็ขึ้นอยู่กับว่า เราจะฝึกให้มันขยายไปได้ไกลแค่ไหน พวกนี้พอจิตเป็นทิยพ์
    มันจะมีอนุภาคความสามารถในการส่งถึงมากกว่าที่เราคิดครับ
    เคยได้ยินไหม
    ''วงกลมหลายวงกำลังเคลื่อน มีจุดศูนย์กลางนับไม่
    ถ้วนรอบตัวเจ้า มีจุดศูนย์กลางนับไม่ถ้วน
    ซ่อนตัวจากธรรมชาติเราจะเรียกมันว่าจิตก็ได้
    เล็กกว่าเมล็ดพันธ์และกว้างกว่าท้องฟ้า...ปกคลุมทุกสรรพสิ่ง
    เหมือนกับผ้าปูเตียง...แต่ฝ่ามือของเจ้าสามารถกำได้
    คำตอบของคำถามมันอยู่ในฝ่ามือของเจ้า''

    ที่มา :พระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลกตอน ๓๑

    เรื่องการเบิกบุญ กิริยามันเป็นอย่างนี้ครับ มันก็คือการที่ตัวจิตเรา
    ไปดึงเอาตัวกระแสเย็นต่างๆ โดยมีตัววิญญานการรับรู้ในที่นี้
    ก็คือตัวจิตไปเป็นตัวไปเชื่อมดึงเอากระเย็นต่างๆพวกนี้มา
    เนื่องจากพวกนี้มันข้ามเรื่องของธาตุต่างๆที่รวมเป็นกายหยาบเราแล้ว
    กลายเป็นเรื่องพลังงานเพราะฉนั้นในส่วนของ มิติและเวลา
    มันจึงไม่มีผลเกี่ยวกับเรื่องการเบิกบุญพวกนี้
    เราจึงสามารถรวมเอากระแสเย็นต่างๆที่เราเคยทำมา
    ที่จิตเรามันเคยมีสัญญากับกระแสนั้นๆให้กับมาที่ตัวจิต ณ ปัจจุบันได้
    เป็นที่มาที่เค้าบอกว่า ''บุญที่เคยทำไปมันไม่ได้หายไปไหนหรอกนั่นหละครับ''
    ประเด็นนี้พอเข้าใจเนาะ...
    แต่ประเด็นก็คือ เราต้องการที่จะให้บุญตัวนี้มัน
    เบิกบุญเปิดบุญตลอดเวลาตลอดชีวิตให้แก่สรรพวิญญาณ
    สรรพดวงจิตมาอนุโมทนาได้ตลอดเวลานั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ แต่ต้องไม่ลืมว่า
    ถ้าเราอฐิษฐานอย่างนี้ แม้ว่าเราจะทำได้นะครับ ตัวกระแสเย็นต่างๆเหล่านั้น
    มันก็จะมาปิดบังตัวจิตของเราเอาไว้ แม้ว่ามันจะเป็นกระแสที่ดีก็ตาม
    แต่มันก็เป็นตัวขวางไม่ให้จิตเรามันคลายตัว มันโปร่งตัวเพราะว่าตัวจิต
    มันจะยังไปยึดไปติด ในกระแสเย็น หรือที่เค้าเรียกว่า ติดในกองบุญกอง
    กุศลนั้นหละครับ มันจะกลายเป็นการขวางไม่ให้ตัวจิตเราหลุดพ้นได้
    อย่างที่คาดไม่ถึงครับ..เวลาเราตายยังไงๆเราจะไม่เกินชั้นพรหมครับ
    .เพราะฉนั้นเวลาที่เราอุทิศส่วนกุศลนั้น
    แม้ว่าเราจะใช้จิตเราไปดึงตัวกระแสเย็นต่างๆ ไม่ว่าจะจากการขอบารมีพระฯ
    และบารมีอะไรก็ตามที่เราทำมาตั้งแต่ชาติยันชาติปัจจุบันแล้วมารวมกัน
    เราถึงได้ให้มีการตั้งตัวบุญเอาไว้ก่อนนั่นเองครับ และหลังจากนั้นเราถึง
    ค่อยอุทิศส่วนกุศลออกไป จะให้เป็นอะไรก็ตาม โดยที่เราไม่อะไรกับอะไร
    ไม่คาดหวังในตัวบุญ ไม่หวังผลก็เพื่ออะไรครับ ก็เพื่อสุดท้ายแล้วเวลาที่
    เราอุทิศส่วนกุศลไปแล้ว ตัวจิตเรามันถึงจะไม่ไปยึดกับตัวกระแสเย็น
    และไม่ติดในกองบุญกองกุศลนั้นหละครับ พอเข้าใจประเด็นนี้เนาะ...

    และการที่เราจะทำการเบิกบุญแบบที่ให้ภพภูมิอะไรก็ตามมาโมทนาได้
    ตลอดเหมือนกับหุ่มเหลืองท่านๆต่างๆนั้น ด้วยตัวจิตเราเองที่มันต้องคลาย
    และป้องกันการติดกองบุญกองกุศลเพื่อความหลุดพ้นนั้น ท่านทั้งหลาย
    จึงได้มีการสร้าง สิ่งเชื่อมโยงยังไงครับ ไม่ว่าจะเป็นรูปแทน วัตถุต่างๆ
    เราจึงได้เห็น ดวงจิต ดวงวิญญานที่มักจะมายัง รูปแทน วัตถุแทนต่างๆ
    เยอะแยะนั้นหละครับ ถ้าจะให้เค้ามาโมทนาในกิริยาทางจิตเค้าก็ทำ
    กันแบบนี้หละครับ คุณ รุ้งพอเข้าใจไหม...แต่ถ้าเรายังมีร่างกายอยู่
    หน้าที่เราก็คือ ทำจิตให้โปร่งโล่งคลายเอาไว้ พออุทิศส่วนกุศลก็ทำ
    อย่างที่ได้เล่าให้ฟังมา พวกนี้เราทำบ่อยๆ คุณ รุ้ง ยืนกลางแขนดู
    ได้ครับ จะมีกระแสออกจากกลางลิ้นปี่เราได้ มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
    และมันก็จะพัฒนาเป็นคลื่นกระแสขึ้นรอบๆตัวเราได้ ต่อมามันก็จะ
    พัฒนาในเรื่องความหนาแน่นได้เองของมันอัตโนมัติ นั่นหละครับ
    ตัวจิตถึงจะไม่ยึดในกองบุญกองกุศลและเค้าถึงจะมาโมทนากับ
    กระเย็นที่เราทำได้อย่างเต็มที่ครับ...จบ
    ปล. หิวข้าวววววววว...และยังไม่อาบน้ำ ๕๕๕
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ใช่เวลาประมาณนี้หละแต่ละชาติ ถือว่าละเอียดนะ ๑๐๐ ชาติเนี่ย
    ..และปกติมันก็จะเกิดขึ้นเองได้นะ
    ในช่วงเวลาที่เรานอนหลับ ถ้าเราได้วิชาพิเศษทาง ลพ.มาก่อน
    ปกติถ้าทั่วๆไป จะย้อนไปประมาณ ๕ ชาติเองนะ..
    ถึงไม่เขียนในสายของท่านไง กลัวว่าจะเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนนั้นหละ ๕๕๕
     
  17. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    คุณนพหิวข้าวตอนเที่ยงคืนเนี่ยนะ (ที่นี่เที่ยงคืนเกือบครึ่งแล้วเน้อ) :boo::boo:
    โห.... งั้นดิฉันขอบคุณและขอตัวล่ะค่ะ ให้คุณนพไปกินมาม่าไวๆก่อนละกัน ๕๕๕๕๕๕

    สาธุเด้อค่า:cool::cool::cool:
     
  18. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    "คุณ.....มันจะไม่ทันเอานา...."
    หลวงพ่อท่านหนึ่ง...ท่านเปรยเอาไว้ครับ...
    ทำให้เวลาจะฝึกอะไรต่อไป ก็จะนึกถึงแต่ว่า "มันช่วยให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้หรือไม่"
    แต่ด้วยสันดานชอบลอง ชอบพิสูจน์ บางทีก็แอบฝึกให้โดนด่าอยู่บ่อยๆเหมือนกัน...

    20 กว่าปีก่อน หลวงพ่อบอกว่า คุณก็ได้หลักในการปฏิบัติแล้ว พอเป็นแนวทางในการเจริญสติต่อไปให้เป็นมหาสติ...
    หลวงพ่ออีกท่านหนึ่งก็บอกว่าให้ทรงฌาณ 4 ในระดับใช้งานตามปกติได้ ไม่ต้องไปนั่งหลับตา...

    20 กว่าปีก่อนนั้น ฝึกไปจนพ้นไปจากความว่าง ความไม่ว่าง ทั้งว่างทั้งไม่ว่างก็ไม่มี ฌาณแม้ทรงอยู่ก็สักแต่ว่าทรงอยู่ มีกับไม่มี ก็เสมอกัน...ฌาณ ก็ส่วนฌาณ เราก็ส่วนเรา สติ สัมปชัญญะ ก็ทรงไว้ให้มี แต่ก็สักแต่ว่ามีไว้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ความยึดถือในสิ่งที่มีทั้งหลาย เป็นอันว่าไม่มีแล้ว แต่ว่าฝึกอยู่ ยังฝึก แต่ไม่ยึดกับผล ทำเหตุให้พร้อม แต่ไม่ยึดกับเหตุนั้น...

    ความโกรธก็ยังมี แต่มันกับเราไม่มีต่อกัน โกรธก็อยู่ส่วนโกรธ เห็นอยู่ห่างๆ...สัญญาต่างๆก็ยังอยู่ครบ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดในสัญญานั้นๆให้ยึดถือ เกี่ยวข้องต่อกันอีกต่อไป...
    สมัยนั้นฝึกจนร่างกายทนไม่ได้แล้ว เข่าเสื่อม ข้อต่างๆในร่างกายทนไม่ได้ ระบบทางเดินอาหารพังยับไปแล้ว หมอนรองกระดูกร้าว ช่วง2วันนี้หมอนรองกระดูกตรงที่เคยร้าว ยังกำเริบมาให้เห็นอีก...ฝึกจนเลยตายไปแล้ว...จนร่างกายภายในพิการ ภายนอกนี่ไม่เห็นกันหรอกครับ เพราะเอามันทน...เจ็บยังไงก็ยิ้มครับ...แต่ว่าธาตุ4ภายในก็เปลี่ยนไปบ้างแล้วเหมือนกัน...เพียงแต่ไม่ได้สนใจอะไรกับมัน...

    ทำแบบนี้แล้วหลวงพ่อถึงบอกว่า พอจะได้หลักในการปฏิบัติแล้ว...ท่านจึงสั่งให้ทำให้ได้ในชีวิตปกติ...ซึ่งกว่าจะทำตามที่ท่านบอกได้ก็ใช้เวลามากกว่า20ปี เพราะอยู่ในวัดฝึกเต็มที่ได้ สิ่งรบกวนน้อย เมื่อมาอยู่กับโลกๆ สติมันไม่ทันกันหรอกนะ จะทรงฌาณกันตลอดเวลา โดยไม่ยึดในฌาณนั้นๆ ไปพร้อมๆกัน มีสติ สัมปชัญญะ พร้อมเพรียง แต่ไม่ยึดในสติ และสัมปชัญญะนั้นด้วย กว่า20ปีนี่ พังไปนับครั้งไม่ถ้วน ผมถึงว่าเป็นเรื่องยากสำหรับผม...

    คนที่ไม่มีบุญวาสนาบารมีสะสมมาดีอย่างผมนี่ มันทำได้ยากขนาดนี้เลยจริงๆนะครับ...
    มาเห็นการเชื่อมกับกระแสครูบาอาจารย์ก็จากที่คุณนพฯพาสังเกตนี่แหละครับ ถึงพึ่งได้เห็น ความจริงคงจะเชื่อมมานานแล้วแต่ไม่ได้สังเกต เพราะการเชื่อมไว้นี้ก็เพียงแต่สักว่ารู้แต่ไม่มีการยึดถืออะไรใดๆไปนานแล้ว คือความยินดีไม่มี ความยินร้ายไม่มี เห็นได้ก็เหมือนคนเห็นก้อนเมฆ เห็นท้องฟ้า มันมี แต่ว่ามันก็ไม่มี ....

    อ่านแล้วท่านทั้งหลายก็อย่าพึ่งมาเป็นบ้าแบบผมนะครับ...ฝึกตามที่คุณนพฯแนะนำไปก่อน เพราะมีรายละเอียดในการอธิบายได้ลึกซึ้งรอบคอบดีครับ...ส่วนตัวผมเป็นจำพวกที่กินอิ่มท้องแล้วยังไม่รู้เลยว่าไอ้ที่กินเข้าไปเขาเรียกว่าอะไร...บอกให้กินก็กิน อิ่มหรือไม่อิ่มก็ยังไม่รู้ว่า มันอิ่มหรือมันท้องอืดกันแน่...คนเราบทมันจะโง่นะครับ มันก็โง่ได้ขนาดนี้เลยเหมือนกัน....จ๊าดง่าว...จริงๆนะครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กรกฎาคม 2015
  19. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ช่วงนี้จะสังเกตุว่า มีแสงสว่างๆ คล้ายๆในรูปของคุณนพฯที่อยู่ตรงลิ้นปี่นี่แหละครับ...
    เดิมก็เป็นเพียงลูกแก้วกลมๆ จนสว่างขึ้น อยู่ในอุ้งมือ...สักพักลูกแก้วนี้ก็แตกระเบิดออกเหลือเพียงแสงสว่างขาวจ้า อยู่แบบนั้น ผิวแก้วหรือเนื้อแก้วนี่ไม่มีแล้ว ...
    เวลาสวดมนต์ จะลืมตา หลับตา จะออกเสียง หรือสวดในใจ...ลูกแก้วนี้ก็ยังสว่างอัดแน่นอยู่แบบนั้น ลองปั่นดูก็ปั่นได้อยู่นะครับ แต่ไม่รู้ว่าจะปั่นไปทำไม?

    ว่าจะลองหาลูกแก้วขนาดสัก2นิ้วมาใส่อุ้งมือเอาไว้แล้วเอาแสงสว่างนี้อัดไว้ในลูกแก้วอีกทีดู...ก็ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม? ลูกแก้วก็ไม่มี ว่าจะไปไถครูติง เอามาลองเล่นดู ก็เกรงจะโดนครูบาอาจารย์ด่าเอาอีก...ทำอะไรไม่ได้ ก็ปล่อยๆไว้อย่างนั้นครับ...

    อีกอย่างนึงคือ เวลาพระท่านมา ครูบาอาจารย์ท่านมา ตอนสวดมนต์ จะรู้สึกได้ถึงพลังที่แผ่มาถึงตัว ร้อนผ่าวๆ ทั้งหน้าตาผิวหนัง...ยังนึกอยู่เลยนะครับว่า ถ้าเป็นคนอื่นคงกระเด็นหงายหลังไปแล้ว...แต่ไอ้เรานี่มันสัมผัสไม่ค่อยได้ ความรู้สึกช้า เลยรู้สึกรู้สากับเขาแค่เท่านี้เองครับ...

    พอย้อนมาดูตัวเราเอง ก็คงเพราะเรามันไม่มีอะไร...พลังต่างๆที่ผ่านมาก็เลยไม่อะไร...เป็นเหมือนผ่านไปกับอวกาศ...เรามันก็แค่สักแต่ว่า...เป็นปกติ ไม่มีอะไร...

    ผมตั้งใจไว้ว่า จะกำจัดสิ่งชั่วในดวงใจก่อน ให้มีความมั่นใจว่า เราไม่พลาดลงอเวจีแล้ว ก็จะมาลองกลับมาเล่นฤทธิ์อีกสักหน่อย...ว่าแต่ถึงเวลานั้น มันยังคิดจะอยากเล่นอยู่อีกหรือเปล่าไม่รู้ครับ...เพราะครูบาอาจารย์ต่างๆ พอพ้นไปถึงตรงนั้นแล้ว ท่านก็คร้านที่จะใส่ใจอีก...คือมีฤทธิ์แต่ไม่ยึดกับฤทธิ์กันแล้ว...อยู่อย่างสงบ เย็น ... แล้วก็จะบอกผมด้วยคำเดิมๆว่า "คุณ....มันจะทันไม๊..."
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    อธิบายด้วยภาพแล้วกันนะครับ ง่ายดี ให้สังเกตุรายละเอียดต่างๆ
    และองค์ประกอบของภาพให้ดีๆนะครับ.รวมเทคนิคต่างๆ
    ไว้ในภาพหมดแล้ว...ถ้าเข้าใจได้ก็ไม่ยาก
    ไม่ต้องมาถามอะไรอีก เพราะว่า
    ทุกภาพถือว่าเป็นเทคนิคคอลเทอมไปในตัว


    [​IMG]

    ภาพที่ ๑ เป็น Step ขั้นต่อไปกรณีของป๋า มิงค์ ที่ได้เขียนไว้ใน #Rep ล่าสุดครับ

    [​IMG]

    ภาพที่ ๒ เป็น Step ขั้นตอนของกสิณที่เริ่มต้นด้วยกสิณน้ำ

    [​IMG]

    ภาพที่ ๓ Step ต่อมาจากภาพที่ ๒ ที่เริ่มสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับพลังงาน.....
    เป็นการฝึกแบบส่วนตัวที่ผ่านมาครับ...


    ปล.ถ้าดูไม่รู้เรื่องก็ถือว่าดูภาพสวยๆก็แล้วกันนะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...