ผีอำ

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย ทองชมพู, 19 เมษายน 2015.

  1. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    รออีกหน่อยนะคะ ผู้อ่านท่านอื่นจะได้ติดตามเรียงลำดับตามเหตุการณ์ไปเรื่อย ๆ เพราะมันต่อเนื่องกันค่ะ
     
  2. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    ถ้าติดตามอ่านมาแต่ต้นจะเห็นได้ว่าทุกอย่าง เหมือนถูกเซต ถูกจัดฉาก ลิขิตทางเดินให้ดิฉันไว้เรียบร้อยเลย โดยท่านผู้มีพระคุณที่เรามองไม่เห็นตัว ท่านคอยเตือนสติ คอยควบคุมความประพฤติ คอยบอก คอยเตือน ให้หันเข้ามาศึกษาหาความรู้ในพระพุทธศาสนามาตลอด มีทั้งนิมิต ทั้งไม่มีความเจริญก้าวหน้าในทางโลกไม่ให้รวยเพื่อฟุ้งเฟ้อ แต่ก็ไม่ให้จนถึงขั้นอดตาย เพราะคนอย่างเรารวยเมื่อไหร่เลวเมื่อนั้น ทำโทษเบาะ ๆ อย่าง รัดเกล้า ซุนหงอคง จนกระทั่งหนักที่สุด ถึงขั้นแบบไม่ต้องหายใจเลย อยากมีชีวิตอยู่ก็ต้องอนาปานุสติเอาเอง แต่ดิฉันหาได้ยอมรับไม่ ยังคงเป็นคนเลวและดื้อด้าน จนกระทั่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเสด็จมาสงเคราะห์เอง ถึงได้ยอมรับในคุณพระรัตนตรัย

    ในช่วงนี้เองหลังจาก ถือศีลห้า เคารพพระรัตนตรัย มีพระนิพพานเป็นจุดหมาย และระลึกถึงความตาย ถึงตอนนี้ ก็ครบองค์ประกอบของความดี คือ ทาน ศีล และภาวนา ดูเหมือนว่าเรื่องหนัก ๆ น่าจะจบไปเสียที แต่ดิฉันคิดผิดมหันต์ มันเพิ่งจะเริ่มเท่านั้น..........

    มันยังมีพายุอารมณ์ผุดขึ้นมาจากสมาธิในรูปแบบ ทั้งเจ้ากรรมนายเวร คู่รัก ความอาฆาต ความโกรธ ความโลภ ความเกลียดชัง และการทดสอบจากคนที่เรามองไม่เห็นตัวที่ไม่เคยซ้ำเรื่อง ทุกอย่างโหมกระหน่ำเป็นพายุทอนาโดมาพร้อม ๆ กัน และทุก ๆ วัน เราต้องผ่านมันไปด้วยตัวเองเท่านั้น ไม่มีใครช่วยเราได้เลย ...........

    ในระยะนี้เองที่พบพระ หลวงปู่ หลวงพ่อท่านเมตตาช่วยสงเคราะห์แก้อารมณ์ต่าง ๆ ให้ เนื่องจากดิฉันไม่เคยเข้าวัดศึกษาธรรมจากพระที่มีกายเนื้อ และไม่รู้เหมือนกันว่าจะพบพระดีที่มีกายเนื้อได้ที่ใดบ้าง ถึงแม้พบได้ ท่านพระดีที่มีกายเนื้อทั้งหลายล้วนถูกแวดล้อมไปด้วยลูกศิษย์ลูกหาเรือนหมื่น เรือนแสน ก็ยากนักที่เราจะเข้าถึงและปรึกษาในเรื่องของเราเป็นส่วนตัวได้

    ทำได้แต่เพียงนำความรู้ที่ผุดจากสมาธิ และคำสอนจากครูที่ไม่มีกายเนื้อ มาเทียบกับตำราเอาแล้วถึงเชื่อและปฏิบัติตาม และตำราที่ดิฉันเทียบได้มากที่สุดคือ คือ ตำราของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เพราะตรงจริต ตรงใจ และสะใจเรา ท่านครบทุกเรื่อง รู้จริงแจ่มแจ้ง ไม่มีปิดบัง และที่สำคัญเหมือนผูกพันกับท่านมานานแสนนาน.............แม้ไม่ทันตอนสมัยท่านมีชีวิตอยู่ก็ตาม

    เจตนาในการเล่าให้ฟังมิได้อวดอ้างว่าตัวเรานั้นดีและเก่งแม้แต่นิดเดียว ถึงตอนนี้ดิฉันก็ยังคงเป็นผู้เดินทางอยู่ ยังไม่ถึงจุดหมายใด ๆ เลยสักเป้าหมายเดียว เป้าหมายของพระพุทธศาสนาสำหรับสาวกอย่างเรานั้น มีดังนี้

    1. พระโสดาบัน
    2. พระสกิทาคามี
    3. พระอนาคามี
    4. พระอรหันต์ คือเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา



    เพียงแต่เล่าเรื่องการผจญภัย..............ไว้เป็นวิทยาทาน เผื่อเป็นประโยชน์สำหรับนักเดินทาง..........






    ถนน....แห่งความดี..... ที่ต้องเดิน.....ล้วนเต็มไปด้วย.....รกพงหนาม ไซร้....และ......สัตว์ร้ายนานา ......

    ถนน....แห่งอบาย.......เป็นคอนกรีตที่เรียบราบ..... โรยด้วยกลีบกุหลาบอันหอมหวล.... ยั่วยวนไป.......
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2015
  3. Higtmax

    Higtmax เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    2,333
    ค่าพลัง:
    +4,793
    บทกรรมจะเล่นเรา นี่ก็มีอย่างเดียวครับ คือ ผ่าน มันให้ได้ ทั้งเหตุการณ์ ทั้งตัวแปร เรียงกันมาๆเป็นเซตๆ เคยเกิดขึ้นกับผมเหมือนกัน มีช่วงนึง กลายเป็นคนปาก เสีย นินทา พูดจา กลับกลอก เล่นละครเก่งขนาดนักแสดงยังอาย จริงผมก็ไม่ได้มีนิสัยนั้นนะครับมันเพึ่งเป็นเมื่อมานับถือธรรมะจริงๆจังๆนีล่ะ วันนึง ก็ได้รับกรรม สนอง เมื่อหาเรื่องให้คนอื่นเดือดร้อน ไม่รู้ตัว กว่าจะจบเรื่องได้ก็ทำให้รู้ถึงโทษของศีสข้อ 4 เลย ทั้งเสีย เครดิต ไปพอควร แล้วก็ต้องขอบคุณเพื่อนๆ กว่า 40 ชีวิต ที่เสียหายจากปากผมทุกท่าน ที่เมตตา ไม่เอาเรื่องกับกระผม ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเป็นผู้ชายซะเปล่า ทำไมถึงตอเรส ตุ๊ด ลับหลังซะได้ เก็บเรื่องนี้ ไปปรึกษาพระอาจารย์ที่นับถือ ท่านก็อธิบายว่า เราอาจจะไปผูกกรรมกับเขาเอาไว้ในอดีต มันเลยมาสนองในตอนนี้ หรือ มารเขาเห็นว่าเธอหันมานับถือธรรมะ กลัวจะหลุดพ้น เขาเลยกะจะเก็บ และพยายามลากลงวัฏฏะสงสาร ต่อไป
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    พระอาจารย์ที่ Higtmax ไปถามมาท่านกล่าวท่านกล่าวถูกแล้วครับ
    ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตนครับ ถ้าจะแก้นะครับ
     
  5. Higtmax

    Higtmax เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    2,333
    ค่าพลัง:
    +4,793
    เดี๋ยวนี้ก็มีโรคใหม่เข้ามาครับ คือโรคปากสว่าง แฉชาวบ้าน เกือบมีเรื่องกันแล้วหลายหน พยายามจะสู้กับตัวเองครับ บางทียอมกัดลิ้น กัดริมฝีปากตนเอง เป็นแผลเลย ยิ่งรู้สุึกว่าปฏิบัติ ยิ่งจะถูกอารมณ์ร้ายๆ เข้าเล่นงานหนักเรื่อยๆ โดยเฉพาะ เกี่ยวกับศีลข้อที่ 4 ก็อาจจะต้องสู้ต่อไปจนกว่า กรรมที่มีจะหมดวาระลง หรือ มารที่เขาแกล้งหมดโอกาส หรือ มันคือเศษวจีกรรมจากตอนชาติที่ เป็น ญ ก็ได้ นี่เนอะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2015
  6. Higtmax

    Higtmax เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    2,333
    ค่าพลัง:
    +4,793
    แล้วท่านพระอาจารย์ที่ผมนับถือ ท่านก็สอนว่า เวลาเห็นคนดีๆ เกิดเพี้ยนไปทำเรื่อง ผิดพลาดๆ เลวๆ อย่าเพิ่งไปถือโทษโกรธเขานะ จริงๆเขาไม่ได้ตั้งใจหรอก แต่เพราะเขาถูกแกล้ง

    1. วาระกรรมชั่วส่งผล (อย่างเบาๆ ก็แค่ช่วงเหตุการณ์นึง อย่างหนักก็เล่นซะ ช่วงชีวิต)
    2. มารแกล้งดลจิตใจ (ส่วนใหญ่จะเกิดแบบฉับพลัน)
    3. อนุสัยกิเลส แสดงออกมา (เกิดกับผู้ที่หันมาปฏิบัติธรรมบ่อยๆ)

    3 แบบนี้เป็นปกติเลยโยม มีแต่โยมต้องยอมรับมันเท่านั้น

    ครับ หลวงพ่อผมจะยอมรับมันต่อไปเรื่อยๆเท่านั้น กระซิกๆ
     
  7. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    เด็กนักเรียนหญิงคนนั้นในโรงเรียนสตรี

    หลังจากเราถือศีลอย่างเคร่งครัด ไม่สร้างทุกข์โทษทางกาย และวาจา กับใครใด ๆ อีก แต่จิตนั้นมันเป็นของยากจะควบคุม มันคอยจะไหลลงที่ต่ำเสมอ มันเป็นธรรมชาติของจิตเช่นนั้น มันเคยคบกับความชั่วเป็นเพื่อนกันมานับอสงไขยไม่ถ้วน จู่ ๆ จะจับให้มันอยู่ในกรงนิ่ง ๆ นั้นแสนยากยิ่ง

    ในตอนนี้ได้เจอ หนังสือ คู่มือปฏิบัติกรรมฐาน ของหลวงพ่อฤาษี ในหนังสือเล่มนี้ท่านกล่าวถึง ร่างกายล้วน ๆ ร่างกายคนเรานั้นประกอบไปด้วยธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ มาประชุมกัน หากร่างกายเราดับเมื่อใด ธาตุทั้ง 4 ก็สลายตัวกลับไปเป็นธาตุเหมือนเดิม เราอ่านไปก็พิจารณาตามไป มันก็จริงอย่างท่านว่า

    ในระยะนี้ พระพุทธรูปยิ้มให้เราทุกวันเลยค่ะ ชื่นใจได้ไม่นานเท่าไร ท่านก็เริ่มไม่ยิ้มอีกแล้ว เราก็ เอ๊ะ ทีเมื่อก่อน ยังไม่มีศีลด้วยซ้ำท่านยังยิ้มให้เลย เดี๋ยวนี้เรามีครบหมด ทั้งทาน ศีล และภาวนา ทำไมท่านไม่ยิ้มให้เรานะ.......เราก็ได้แต่สงสัย....

    วันหนึ่ง หลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้.......รู้อีกทีก็......ย้อนกลับไปในอดีตชาติหนึ่ง.........เราเรียนอยู่ในโรงเรียนหญิงล้วนแห่งหนึ่ง เรากำลังจะเข้าห้องน้ำ แต่เกิดทะเลาะกับรุ่นน้องคนหนึ่งเข้า น้องคนนี้เป็นที่ทราบกันไปทั้งโรงเรียนว่าเธอขี้วีนเหวี่ยง.....และนิสัยไม่ดี........ตอนนั้นเราโมโหน้องคนนี้มาก พอน้องเข้าห้องน้ำปุ๊บ.....เราก็ล็อคประตูห้องน้ำจากด้านนอก ทำให้น้องไม่สามารถออกมาจากห้องน้ำได้ ในตอนนั้นเจตนามีเพียงแค่จะสั่งสอนน้องเท่านั้น.....แต่กลับกลายเป็นว่าเราลืมไปเลยว่าขังน้องไว้ในห้องน้ำ จนกาลเวลาผ่านไปน้องเสียชีวิตอยู่ในห้องน้ำแห่งนั้น.....

    น้องคนนั้นมาหาเราในตอนนี้ น้องโกรธเรามาก จะแก้แค้นเราอย่างเดียวเลย น้องมาในสภาพที่ทั้งกระดูกทั้งเนื้อเละเป็นเนื้อเดียวกันหมด มาเกาะติดแน่นกับตัวเราตั้งแต่ใบหน้าลงมาจนถึงลำตัว ไอ้ตัวเรานั้นทั้งรังเกียจทั้งขยะแขยงทั้งเหม็น เอามือแกะออกมาเท่าไหร่ก็ไม่หมด ละเลงเต็มทั้งหน้าทั้งตัวของข้าพเจ้า ดิฉันพยายามอุทิศส่วนกุศลให้น้อง แต่น้องไม่ยอมรับกุศลใด ๆ ทั้งสิ้น น้องมีแต่ความโกรธและแค้น น้องยืนยันจะแก้แค้นอยู่ท่าเดียว

    เรานั้นก็ไม่รู้จะทำอย่างไร พยายามขอขมาและอุทิศส่วนกุศลให้อย่างไรเธอก็ไม่ยอม สุดท้ายเราเริ่มโมโหบ้าง เลยพูดกับเธอว่า “ นี่เธอศพคนอื่นนั้น เขายังมาเป็นกระดูก เป็นชิ้นส่วน มาให้เห็นยังพอมีประโยชน์ให้พิจารณาเป็นอศุภะได้บ้าง แต่เธอสินี่อะไรเละหมดเลยหาประโยชน์อะไรใด ๆ ไม่ได้เลย ” เพียงเท่านี้ ไอ้ที่เละ ๆ ละเลงเต็มหน้าเต็มตัวข้าพเจ้าก็หลุดออกไปทันที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2015
  8. Yammies

    Yammies เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +320
    เข้าใจแล้วค่ะ แบบนี้นี่เอง แยมมีกรรมกับอารมณ์ตัวเอง
    คือเวลาปรี๊ด น่ามืดไปเลย พยายามอย่างมากที่จะสงบสติตัวเองไม่
    ให้ดิ้นตามอารมณ์ แต่มันก็ไม่พ้นที่จะมีใครต่อใคร อะไรต่อมิอะไรมาแหย่
    พยายามใช้ขันติ สติ แต่ก็ต้องสู้กับมัน แม้ในเวลาที่ไม่มีสิ่งเร้าภายนอก
    แต่สิ่งเร้าภายใน ความคิดของตัวเอง ก็แหย่ตัวเองอีก...พยายามช่วยเหลือตัวเองอยู่ค่ะ....
    ขอบคุณที่ให้รู้ว่าตัวแยมเองก็ไม่ใช่คนเดียวที่ต้องสู้ ก็ยังมีคนต้องต่อสู้อย่างเหน็ดเหนื่อยเหมือนกัน..
     
  9. Higtmax

    Higtmax เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    2,333
    ค่าพลัง:
    +4,793
    รบกับตัวเองก็ไม่เท่าไหร่หรอกครับ แต่ที่น่าระวังคือ เวรกรรม/มารพยายามไปดึงให้ผู้อื่นมาเกลียดชังเรา หรือ เราไปทำอะไรเพี้ยนๆ เลวๆ กับผู้อื่น บางทีเขาไม่ได้ทำอะไรเรา แต่เรากับคิดเองไปต่างๆนาๆ มองเป็นศัตรูทั้งๆ ที่ไม่มีอะไร พูดจากลับกลอกทั้งๆที่ไม่ตั้งใจ บ้าๆไหม? มันลำบากนะ ที่ทั้งระวังตัวเอง และควบคุมตัวเองไม่ให้ไปก่อเรื่องด้วย ตอนนี้เวลาจะคุยกับใครเมื่อเกิดความคิดนี้ขึ้นก็ต้องรีบตัดบทออกมาทันที ก็หวังว่าเรื่องพวกนี้คงจะหมดวาระในไม่ช้า:'(
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2015
  10. Yammies

    Yammies เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +320
    เหมือนกันเลยค่ะ แต่พยายามอย่างมาก...
    เขาโกรธ เราไม่โกรธตอบ เขาเกลียดเราไม่เกลียดตอบ
    เขาด่า เราก็นิ่ง...พยายามนิ่งให้เป็นนิสัยค่ะ...เวลาความโกรธมาครอบงำค่อย ๆ คลายอารมณ์ จะไม่พูดกับใครจะไม่มองหน้าใคร

    ..แต่เมื่อวาน โกรธจนถอดสายโทรศัพท์แล้วเฟี้ยงเครื่องโทรศัพท์ดังสนั่นอ๊อฟฟิศ จนทุกคนต้องลุกขึ้นมามอง...ว่าเกิดอะไรขึ้น...
    มันช่างทรมานจริง ๆ บางทีคิดว่าบ้าบอไม่รับรู้อะไร ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ถือเป็นอารมณ์ สร้างกรรมกับตัวเอง กับคนอื่น ..มันยาก แต่เราต้องพยายาม
    ไม่รู้ไปทำกรรมอะไรไว้...
     
  11. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    สวัสดีค่ะน้องแยม

    อนุโมทนาด้วยค่ะที่น้องพยายามระงับโทสะ การแสดงออกมาซึ่งการกระทำอันก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อคนอื่นนั้นมันผิดศีล โดยปกติแล้วศีล 5 นั้นควบคุมกายและวาจา เท่านั้น ส่วนจิตนั้น ต้องเพิ่มกรรมบถ 10 เข้าไป สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มใหม่นั้นควรเริ่มจากกายและวาจาก่อน

    ทีนี้ศีลจะทรงตัวไม่ได้เลย หากเราไม่มีพรหมวิหาร 4 มาควบคุมศีลอีกที ซึ่งประกอบไปด้วย

    เมตตา คือความรัก เราจะรักคนทั้งโลกเสมอตัวเรา เราจะไม่เป็นศัตรูกับใคร
    กรุณา คือ ความสงสาร เราจะช่วยเหลือคนทั้งโลกและสัตว์หากเราช่วยได้
    มุทิตา คือ ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดี
    อุเบกขา คือ วางเฉย

    ทีนี้ในเคสของน้อง เราได้พยายามจะรักเขาแล้ว แต่ยังไม่มีความกรุณาต่อเขา ลองไล่พรหมวิหาร 4 ให้ครบ เมื่อเราทำครบทุกข้อแล้ว แต่เขายังไม่เลิกหาเรื่อง สุดท้ายเราต้องอุเบกขาค่ะ

    เพราะเราควบคุมกาย วาจาและใจ ของใครไม่ได้ ทำได้แต่เพียงควบคุม กาย วาจา ใจ ของเราเท่านั้น
    เจริญในธรรมค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2015
  12. Yammies

    Yammies เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +320
    ขอบคุณมากนะคะ สำหรับคำแนะนำ
    แยมจะกลับอ่านไปศึกษา พรหมวิหาร 4 ให้ถ่องแท้มากขึ้น
    แยมเป็นชาวพุทธแต่แยมห่างจากคำสอน และหลักธรรมมานานแล้ว
    แยมพยายามอ่านเรื่องราวให้มากขึ้น ให้ซึมซับ ให้มีความอยากรู้อยากเห็นในโลกธรรม...
    มันเหมือนกับเรารู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่เราไปไม่ถูกทางที่จะระงับมัน คลำทางไป และต้องคุยกับคนที่เขารู้ และให้เขาแนะนำ
    มาที่นี่แยมเจอผู้รู้ และได้เจอคนที่อาจมีประสบการณ์คล้าย ๆ กัน ทำให้แยมลดความกังวลมากขึ้น อุ่นใจมาขึ้น...ขอบพระคุณมาก ๆ ค่ะ
     
  13. Higtmax

    Higtmax เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    2,333
    ค่าพลัง:
    +4,793
    ทุกวันนี้ก็คิดว่าคงไปเจอคนที่ผูกกรรมกันไว้แต่ปางก่อน ส่วนใหญ่แล้วเราจะไปทำเขามากกว่า ทั้งที่เขาก็ไม่ได้อะไรกับเรา แต่เราไปอคติกับเขาอัตโนมัติ ขนาดว่าไม่มีเรื่อง ยังจะกระเสือกกระสนก่อเรื่องให้จนได้ กัดลิ้นเจ็บไปหลายทียังจะเอาอีก? ทำให้เกิดเรื่องง่ายๆที่สุด อยากจะบอกเขาว่า อย่ามาคุยด้วยถ้าไม่จำเป็น พยายามอดทนให้หมดวาระ ใส่บาตรทำบุญอธิษฐาน ขอขมากรรม/ขออโหสิกรรมทุกวัน ไม่อยากให้ทั้งเรา/เขา มาผูกกรรมกันอีกโดยไม่จำเป็น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 เมษายน 2015
  14. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    นอนกินบ้านกินเมือง

    ตั้งแต่เด็กมาเป็นคนชอบนอน ตอนเช้าก็ตื่นสาย ตอนกลางวันก็นอน ตกกลางคืนก็นอนเร็ว ยิ่งวันหยุดไม่ต้องไป ร.ร.วันนั้นยิ่งสายตะวันส่องก้นเลยค่ะ ภาพลักษณ์คือคนขี้เกียจ นอนกินบ้านกินเมือง เป็นที่เอือมระอาแก่ทั้งพ่อและแม่ ยิ่งแม่ด้วยแล้ว บ่น บ่น และบ่นแล้วบ่นอีก บ่นจนปากจะฉีกถึงหู ข้าพเจ้าก็ยังคงเหมือนเดิมมิเปลี่ยนแปลง จนเป็นที่ร่ำลือของบรรดาวงศาคณาญาติว่าขี้เกียจตัวเป็นขน

    แต่ในความเป็นจริงนั้น......เราตื่นเช้า....แต่นอนแช่....เพราะการนอนของเรานั้นมันเต็มไปด้วยความสุขสุโขสโมสรยิ่งนัก ตั้งแต่คลอดออกมาจากท้องแม่เลย เป็นเด็กที่ไม่ร้องเลยสักแอะ เลี้ยงง่าย กินกับนอนเท่านั้น

    จนกระทั่งดิฉันอยู่ชั้นประถม อายุประมาณ 9-10 ขวบ เริ่มมีเพื่อน ๆ ที่เป็นพญานาคเด็กมาชวนไปเล่นน้ำ เราก็เล่นน้ำกับเค้าอย่างสนุกสนานโดยเราเป็นพญานาคตัวสีเขียว ( ชีวิตจริงว่ายน้ำไม่เป็น )

    จนกระทั่งอายุ 14 ปี วันหนึ่งนอนกลางวัน เป็นการนอนที่สบายและมีความสุขมาก ( นอนแช่ไม่ได้หลับ ) ความสุขนั้นไล่ระดับไปเรื่อย ๆ จนสบายถึงขั้นสบายแบบสุด ๆ เอ๊ะทำไมมันสบายอย่างนี้ เราเกิดมายังไม่เคยสบายเท่านี้มาก่อนเลย สักพัก เกิดแรงดึงดูดมหาศาลกำลังดูดเราพร้อมกับความสบายนั้น ความรู้สึกเรานั้นกลัวแต่มันสบายนี่นา สักพักนึกได้ว่า เอ๊ะนี่หรือเปล่าที่เขาเรียกว่า “ ไหลตาย " หรือว่านี่เรากำลังจะตาย คิดได้เท่านี้ ก็รีบฝืนร่างไว้ แล้วรีบลุกขึ้น และไม่กล้านอนตรงนั้นอีกเลย

    และวันหนึ่งไปนอนในห้องนอนพ่อกับแม่ (นอนกลางวัน) เกิดอาการแบบนี้อีกและเราก็ไม่กล้าเข้าไปนอนในห้องพ่อแม่อีกเลยเช่นกัน .........แต่เรื่องความสบายในการนอนนั้นยังคงดำเนินอยู่ตลอดมา.....

    พอมาปัจจุบันเราฝึกสมาธิ เราถึงรู้ว่า ไอ้การนอนอย่างมีความสุขมาตั้งแต่เกิดของเรานั้นคือ “ฌาน” เราติด ฌาน ติดความสุขในฌาน แบบไม่รู้ตัวมาตลอดนั่นเอง......
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤษภาคม 2015
  15. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    หลวงพ่อหลวงฤาษีเคยมาธุดงค์ตรงนี้ (เหตุบังเอิญอันเป็นมงคล)

    วันนี้ พิจารณาร่างกายก่อน ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เราเพียงแต่อาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น แล้วมองที่เท้าของตัวเองแล้วคิดว่า เท้าของเรานั้นมันก็แค่ผิวหนังหุ้มอยู่เท่านั้น ข้างในนั้นมันคือเนื้อ เส้นเลือด เส้นเอ็น เลือด และกระดูก

    หลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้.......รู้อีกที.....เท้าของเรานั้นถูกเปิดออกเป็นแผลกว้างใหญ่เท่าจานข้าวเลย มองเห็นข้างในทั้งหมด ทั้งเลือด เส้นเอ็น เนื้อเหวอะหวะเปิดออกมาจนมองเห็นกระดูก เราก็นั่งมองพร้อมพิจารณา ที่แท้มันทั้งสกปรก น่ารังเกียจ แล้วเรายังจะอยากเป็นเจ้าของมันอยู่อีกหรือ ? ...........

    ปรากฏว่าวันนี้พระพุทธรูปยิ้มให้เราค่ะ...............อ๋อที่แท้ที่ท่านไม่ยิ้มให้เราเลยตลอดหลายวันมานี้ เป็นเพราะเราไม่พิจารณาร่างกายนั่นเอง...........จะเห็นได้ว่าท่านเมตตาควบคุมดูแลให้เราทำความดียิ่ง ๆ ขึ้น ไปอีก เพราะความดีมีหลายขั้น หลายระดับนั้นเอง ไม่ใช่แค่ ทาน ศีล ภาวนา ครบแล้ว จะมาคิดว่าตัวเรานั้นดีแล้วนั้นเห็นจะคิดผิด เราต้องเพิ่มระดับความดีให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น ( เราถูกควบคุมความประพฤติโดยพระพุทธรูป )

    หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ หลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้......รู้อีกทีก็.......ความรู้ผุดขึ้นมา ว่าหลวงพ่อฤาษีลิงดำเมื่อสมัยเป็นหนุ่มและคณะท่านเคยธุดงค์ผ่านมาตรงนี้ ตรงที่เราอยู่นี้ .......เพียงแค่นี้ก็ทั้งตื่นเต้นและดีใจอย่างที่สุด......เหมือนเราได้ย้อนรำลึกไปในอดีตของครูบาอาจารย์หรือนี่.........

    พอกลับสู่ภาวะปกติเราก็นั่งพิจารณาดูว่า เฮ้ย..ยย มันจริงหรือนี่ เป็นความจริงไหมนะ.......หรือสมาธิมันหลอกเรา...........

    ไม่กี่วันต่อมา ก็มีคนให้หนังสือ “ หลวงพ่อธุดงค์ ” มาอ่าน ในเนื้อหาหนังสือนั้น หลวงพ่อได้ธุดงค์มาที่จังหวัดแห่งหนึ่งแล้วโดนทำคุณไสยจากคนที่นุ่งขาวห่มขาว เสกหนามผูกไขว้ให้เป็นต้มยำพุงไข่ปลา และเสกทรายให้เป็นข้าว นำมาถวายหลวงพ่อ เพื่อหวังจะทำร้ายหลวงพ่อ.......ในหนังสือบอกแต่ว่าธุดงค์ภาคอีสานและเป็นจังหวัดสุรินทร์ ขออนุญาตนำบทความลงให้อ่านนะคะ


    เมื่อหลวงพ่อฤาษีลิงดำไปธุดงค์เจอคนลองของ

    ก็ขอเลี้ยวไปจุดหนึ่ง เอาแค่เป็นจุด ๆ ก็แล้วกันนะ ตอนนั้นเข้าใจว่าเป็นจังหวัดขอนแก่นหรือจังหวัดสุรินทร์ อาจจะเป็นจังหวัดสุรินทร์ขอโทษด้วยนะ เพราะว่ามีต้นลานมาก ขณะที่ไปถึงดงลาน ก็ถามท่านอินทกะว่า ที่นี่จะปักกลดได้ไหม ท่านบอกว่า ที่ไหนก็ปักได้ ในเมื่อพวกกระผมคอยคุ้มครองท่านอันตรายย่อมไม่มี ก็ถามว่า ในเขตนี้จวนจะหมดเขตประเทศไทยหรือยัง ท่านก็บอกว่า ยัง..ถ้าหมดเขตประเทศไทยต้องเดินไปอีกนานหน่อย

    แต่ใกล้จะถึงแม่น้ำโขงอยู่แล้ว ก็เป็นอันว่า ปักกลดที่นั่น เมื่อปักกลดตอนกลางคืน ตอนนี้ไปเดี่ยว หลวงพ่อปานไม่ได้ไปด้วย ความจริงหลวงพ่อปานท่านพาไปด้านเชียงตุง อาตมาขอเลี้ยวไปด้านนี้ก่อน ในปีต่อมานะ

    ก่อนที่จะปักกลด ก็ชุมนุมเทวดาบวงสรวงตามที่เคยปฏิบัติ แล้วก็อาบน้ำอาบท่ากันตามสบาย สิ่งที่พวกเราชอบใจมากก็คือ ช้าง ในเขตนั้นรู้สึกว่ามีช้างมาก ขณะที่กำลังปักกลดอยู่ ก็มีช้างโขลงหนึ่งประมาณ ๖๐ ตัว มายืนมองอยู่ ไกลประมาณสัก ๒๐๐ เมตร ไม่ห่างนัก

    แต่พวกเราก็มัวมุ่งอยู่กับการปักกลด ไม่ได้ไปสนใจช้าง ไม่รู้ว่าช้างมา พอหันหน้าไปเห็นเข้าช้างหัวหน้าโขลง ซึ่งเป็นช้างสีดอมีงาสั้นตัวใหญ่มาก คุกเขาลงยกวงขึ้นชูแสดงว่าทำความเคารพ ช้างทั้งโขลงก็ปฏิบัติตนเหมือนกันหมด ก็รวมความว่าเบาใจ
    เมื่อปักกลดเสร็จก็ถามว่า "พ่อปู่" คือ ย่าเคยบอกว่า ช้างนี่เขาชอบให้เรียกว่า "พ่อปู่" ถ้าเรียก "พ่อปู่" จะเป็นที่พอใจของเขามาก ถามว่า

    พ่อปู่..น้ำมีที่ไหนบ้าง ท่านสีดอท่านลุกขึ้น ท่านก็หันหน้าไปเดิน ๒-๓ ก้าว แล้วหันหน้ากลับมาใหม่ พวกเราก็เดินตามไป ท่านเดินนำไปข้างหน้าประเดี๋ยวหนึ่งก็ถึงหนองน้ำใหญ่ น้ำใสสะอาดมาก ท่านก็เอางวงชี้ว่าที่นี่มีน้ำ

    ในเมื่อพวกเราเห็นน้ำแล้ว ก็อาบน้ำสรงน้ำกันแบบสบาย ๆ บรรดาช้างทั้งหลายก็มายื่นล้อมบ่อหันหน้าออกทั้งหมด แสดงว่าที่นั่นยังมีอันตรายมาก เพราะเป็นป่าทึบอาบน้ำเสร็จก็ขอบใจท่าน ท่านก็เดินทางกลับ พวกเราก็เข้ากลด

    ตอนเข้ากลดนี่บรรดาท่านพุทธบริษัทก็นั่งกรรมฐานกันตามธรรมดา ๆ อย่าลืมว่าพวกเราไม่ใช่พระอริยเจ้า จะเป็นพระอะไรนั่นไม่สำคัญ เป็นพระธุดงค์ก็แล้วกัน ความกลัวถามว่า มีไหม ก็ต้องตอบว่า ทุกคนถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์ ต้องกลัว ถ้าไม่มีความกลัว ก็ต้องเป็นพระอรหันต์ ก็ไม่ต้องไปธุดงค์ การไปธุดงค์ก็เป็นการฝึกเพื่อทำลายกิเลสแต่ว่าจะทำลายได้ขนาดไหนก็เป็นเรื่องของจิตใจ

    เมื่อปักกลดไปแล้ว กลางคืนนั่งกรรมฐาน ปรากฏว่าเวลาประมาณตี ๒ มีนกใหญ่ตัวหนึ่งบินมาเกาะที่ยอดกลด ก็รู้สึกแปลกใจว่า ตามธรรมดานกอะไรจะมาตอนเวลาตี ๒ จะว่าเป็นนกแร้งก็ไม่ใช่จะว่าเป็นนกกระเรียนก็ไม่ใช่ จะเป็นเหยี่ยวก็ไม่ใช่แน่ เพราะโตกว่าเหยี่ยวมาก ก็มีความเข้าใจว่า ที่นี่มีไสยศาสตร์มาก จึงถามท่านอินทกะว่า นกนั่นคืออะไร

    ท่านก็บอกว่า หนังควาย เขาทำมาเพื่อให้เข้าตัวพวกท่าน แต่ผมกันไว้ ถ้าท่านอยากรู้ ก็เอาไม้แหลม มันมีไม้แหลมเล็ก ๆ อยู่ ๒-๓ อัน สำหรับไว้แคะเล็บบ้าง อะไรบ้าง เพราะมีมีดไปไม่ได้ก็แทงทะลุกลดขึ้นไปถูกนก นกก็กลายเป็นหนังควายผืนใหญ่ หล่นลงมา เป็นอันว่าอีก ๒ กลดก็เหมือนกัน เขาก็ถูกนกจับเหมือนกัน พร้อม ๆ กัน เขาก็ทำแบบเดียวกัน เขาก็ถามท่านอินทกะเหมือนกัน

    พอตอนเช้า ก็ไม่ทราบว่าที่นั่นใกล้บ้าน เพราะเป็นป่าทึบ บังเอิญเป็นเขตใกล้บ้าน กำลังจะออกบิณฑบาตกับต้นไม้ ท่านอินทกะก็บอกว่าไม่ต้องบิณฑบาตกับต้นไม้ เพราะว่าที่นี่ประเดี๋ยวคนจะมาทำบุญ ก็ถามท่านว่า คนเขารู้ได้อย่างไรว่า คณะของเรามา

    ท่านบอกว่าไม่เป็นไร พวกผมบอกเขาเอง เขาอยู่ใกล้ ๆ แถบนี้ ให้รับบุญรับกุศลกับเขาหน่อยหนึ่ง แล้วท่านจะรู้ว่า เมื่อคืนนี้ที่นกบินมา นั่นคือใคร ใครเป็นคนทำให้นกบินมา แต่ความจริงไม่ได้ตั้งใจจะบิน ตั้งใจจะเข้าตัว ถ้าเข้าตัวก็หมายถึงตายทันที เพราะหนังควายผืนใหญ่

    ก็นั่งรอคนไม่ไปบิณฑบาต คนเขาก็นำอาหารมา พวกเราทั้ง ๓ คน ก็เอาหนังควายที่ได้เมื่อคืนนี้ มารองนั่งเป็นพรมรองนั่ง แต่ว่าคนที่มาก่อนคณะอื่นทั้งหมด ก็มีคนแต่งตัวดี ๒ คน นุ่งขาว ห่มขาว ท่าทางเรียบร้อย มีข้าวสุกสีขาวมาก และมีต้มยำพุงกับไข่ปลา ไม่เป็นอาหารของภาคอีสาน เป็นอาหารของภาคกลาง

    แต่คนอื่นทั้งหมดแต่งตัวรุงรังมากกว่า แต่ใช้อาหารของภาคอีสาน มีข้าวเหนียว แล้วก็มีปลาร้า ปลาจ่อม และมีส้มตำ เป็นต้น เอามาถวายคณะที่นั่งฉันข้าว ท่านเจ้าของข้าวก็บอกว่า ท่านเป็นพระภาคกลาง นิมนต์ฉันข้าวเจ้าครับ ผมนำมาถวายข้าวสวยมาก นิมนต์ฉันต้มยำ

    ทั้ง ๓ องค์ ก็มองดูหน้ากัน สงสัยว่าคน ๒ คนแต่งตัวเรียบร้อยมาก ลีลาดีกว่าคนอื่นทั้งหมดก็ถามท่านอินทกะ อินทกะท่านบอกว่า ไอ้เจ้า ๒ คนนี่แหละ ที่มันทำให้นกมาจับบนหลังคากลด พุงปลากับไข่ปลาก็ฉันไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นหนาม หนามผูกไขว้กันไว้ ถ้าฉันเข้าไปลำไส้จะทะลุ เอาวางไว้เฉย ๆ ก่อน แล้วก็ฉันอาหารของคนอื่น เมื่อฉันอาหารของคนอื่นเสร็จ ท่านอินทกะก็บอกว่า ให้ตั้งนะโม ฯ ๓ จบ ว่า อิติปิโสฯ ๑ จบ นึกถึงคุณพระพุทธเจ้า

    ขอย้อนหลังไปนิดหนึ่ง ขณะที่นั่ง ๆ อยู่ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ไอ้หนังที่รองนั่งมันค่อย ๆ เล็กมาทีละน้อย ๆ จนกระทั่งถึงเข่า ท่านอินทกะก็เตือนบอกว่า นี่มันเริ่มทำแล้วนะ จะให้หนังเข้าตัว เอาน้ำสำหรับจะฉันมาพรมซิ ก็พรมน้ำลงไป ปรากฏว่าหนังยืดไปตามเดิม เมื่อฉันอิ่มเสร็จ ท่านอินทกะก็บอกว่า เอาน้ำที่ฉันนี่ไปพรหมข้าว พอพรมข้าว รู้สึกว่าข้าวเป็นทรายทั้งหมด พอพรมต้มยำ ต้มยำก็เป็นน้ำธรรมดา มีหนามผูกไขว้ คนทั้งหลายพอเห็นเข้าอย่างนั้น ก็เข้าใจว่า คน ๒ คน ที่ทำมาเพื่อจะฆ่าพระธุดงค์
    เขาถือว่า ถ้าพระธุดงค์ได้เป็นความดีมาก เป็นคนเก่ง ชาวบ้านต่างคนก็ต่างโกรธจะทำร้ายร่างกายสองคนนั่น อาตมาก็เลยขอร้องบอกว่า อย่าทำร้ายเขาเลยเป็นเรื่องของกฎของกรรม ตามธรรมดา พระธุดงค์ต้องมีของป้องกันตัวเป็นของธรรมดา

    เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายโดยทั่วหน้า เสียงก็แห้งเต็มที วันนี้เวลาหมดเสียแล้ว ขอยุติแต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธ ศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน สวัสดี

    คัดลอกข้อมูลจาก http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=994#third
    มีต่อด้านล่าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤษภาคม 2015
  16. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    ทีนี้ดิฉันก็มาวิเคราะห์ข้อมูล หลวงพ่อท่านบอกว่าจังหวัดที่เกิดเหตุนั้น คือ จ. สุรินทร์ ฉะนั้นก่อนที่จะเดินทางถึงสุรินทร์ได้จะต้องผ่าน จ.บุรีรัมย์ก่อน ฉะนั้นโอกาสเป็นไปได้สูงอย่างยิ่งที่ ที่ตรงนี้ ที่เซฟเฮาส์ที่เราอยู่นี้ ท่านเคยธุดงค์และเคยปักกลด ณ ตรงนี้

    เหตุการณ์นี้ดิฉันไม่กล้าการันตีหรอกค่ะ.......ว่าจริงหรือไม่.......ขอเก็บความสุข... ความปีตินี้..... และความเป็นมงคลที่สุดอันหาประมาณมิได้นี้ไว้กับตัวดิฉันก็พอค่ะ......
     
  17. Yammies

    Yammies เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +320
    ท่านอินทกะ คือใครค่ะ ทำไมเขารู้ทุกอย่างเลยอ่ะคะ
     
  18. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    เทวดา ชั้นจาตุมหาราชจ้า

    สำหรับท่านท้าวจตุมหาราช ท่านมีด้วยกัน ๔ องค์คือ
    ๑. ท้าวมหาราชทิศตะวันออก ท้าวธตรฐพร้อมด้วยคนธรรพ์เป็นบริวาร
    ๒. ท้าวมหาราชทิศใต้ ท้าววิรุฬหก พร้อมด้วยกุมภัณฑ์เป็นบริวาร
    ๓. ท้าวมหาราชทิศตะวันตก ท้าววิรูปักษ์ พร้อมด้วยนาคเป็นบริวาร
    ๔. ท้าวมหาราชทิศเหนือ ท้าวเวสสุวัณ พร้อมด้วยยักษ์เป็นบริวาร

    ท่านอินทกะ เป็นตำแหน่งผู้ช่วยของท้าวมหาราช แต่ท่านที่หลวงพ่อพูดถึงเป็นองค์ไหนนั้นไม่ทราบค่ะ เพราะอินทกะมีหลายองค์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤษภาคม 2015
  19. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    เทวดาถามจะเอาเท่าไหร่ (เงิน)

    เมื่อเราเริ่มค่อย ๆ คลายพยศ ลงบ้างแล้ว ทีนี้เรามีความมั่นคง ในทาน ศีล และภาวนา แล้ว แต่เรื่องเงินเรายังลำบากอยู่ เนื่องจากมาอยู่ที่นี่ค่าใช้จ่ายทุกอย่าง เป็นภาระของสามีแต่เพียงผู้เดียว และความอยากได้ที่ไม่เกินขอบเขตของศีลของเรานั้น ยังมีอยู่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์

    หลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้...........รู้อีกทีก็..........ตัวเรานั้นอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี ขณะกำลังเดินเล่นอยู่บริเวณวัดเพลิน ๆ อยู่นั้น

    จู่ ๆ มีเทวดาชายท่านหนึ่งโผล่มาจากกำแพงวัด พูดจาฉะฉาน เสียงดัง สไตล์นักเลง พูดแบบยิ้ม ๆ ไหนบอกมาซิจะเอาเท่าไหร่......(เงิน)....บอกมา....จะให้เอง.......

    เราก็......จริงเหรอคะ........ให้จริง ๆ นะ.......

    เราก็ตอบท่านไปว่า 20 ล้าน

    ( เราในตอนนั้นก็รู้อยู่ว่าไม่ควรแต่ประเภทแบบว่าเผื่อฟลุ๊คได้อะไรประมาณนั้น และเหมือนกับเคยคุ้นเคย เราเลยกล้าทะเล้น )

    เท่านั้นแหละค่ะ โดน.....จัดชุดใหญ่..... เทวดาบ่นยาว...วว ............

    ท่านสั่งสอนหนะค่ะ........สมน้ำหน้าตัวเองนัก แทนที่จะได้ท่านก็ตั้งใจจะให้เพื่อบรรเทาทุกข์.......ดันเกรียนซะนี่
     
  20. ทองชมพู

    ทองชมพู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    415
    ค่าพลัง:
    +2,802
    ของวิเศษจากผู้วิเศษ

    ระยะนี้เราเริ่มตระหนักและเข้าใจแล้วว่า ความตายนั้นอยู่กับเราทุกลมหายใจ เพียงหายใจเข้า ไม่หายใจออก ก็ตาย หายใจออก ไม่หายใจเข้าก็ตาย เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับความตาย ความตายเปรียบเสมือนการย้ายบ้าน เนื่องจากบ้านหลังเก่าผุพัง เราจึงต้องย้ายบ้านใหม่ทันที ทรัพย์สมบัติมันเป็นของโลก มันเป็นประโยชน์ตราบแค่เราทรงชีวิตอยู่เท่านั้น เราตายเมื่อใดทรัพย์ก็กลับไปเป็นของโลก

    แต่เรายังคงต้องหา เพราะเราต้องกินต้องใช้เพื่อทรงขันธ์ 5 แต่เราตายเมื่อใดมันกับเราก็เลิกกันเมื่อนั้น

    หลับเมื่อไหร่ไม่รู้.......รู้อีกก็.........

    พบชายผู้วิเศษท่านหนึ่ง ท่านนำของวิเศษ 100 ชนิดมาให้

    ชิ้นที่ 1 เมื่อครอบครองแล้วจะทำให้ชีวิตเป็นอมตะ อันนี้เราขอไม่เอา เราไม่ต้องการ จิตตัดทิ้งแบบไม่มีเยื่อใยใด ๆ ทั้งสิ้น

    ชิ้นที่ 2 เมื่อครอบครอง จะทำให้เป็นมหาเศรษฐี ชิ้นนี้แหละเราเกิดลังเล อีกใจหนึ่งไม่อยากได้ แต่ใจหนึ่งคิดว่าเราเป็นมหาเศรษฐีก็ดีเหมือนกันนะ

    เพียงเท่านี้จิตเราก็รู้ขึ้นมาทันทีว่านี่คือการทดสอบ และเราผ่านการทดสอบเพียงข้อเดียวเท่านั้น ส่วนข้อที่ 2 เรายังไม่ผ่าน

    ในยามปกติเรามักคิดได้ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ได้......... แต่ขณะเราทรงสมาธิเราไม่สามารถหลอกตัวเองได้เลยว่าเรานั้นยังมีความโลภอยู่เต็ม ๆ .............เฮ้อ..ออ.........
     

แชร์หน้านี้

Loading...