พระพุทธเจ้าทั้ง ๒๗ พระองค์ ก่อน องค์สมเด็จองค์ปัจจุบัน

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 11 พฤศจิกายน 2008.

  1. NNnight

    NNnight Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    172
    ค่าพลัง:
    +28
    อนุโมทนา ครับ ขอน้อมจิตสักการะ พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์ - พระศรีอาริย์

    [​IMG]

    พระพุทธเจ้า - พุทธวงศ์

    (คำแปล มาจากบทสวดมนต์ "อุปปาตะสันติ") ในภัททกัปป์นี้ ๕ พระองค์ (ผ่านไปแล้ว ๓ พระองค์) คือ

    ๑.
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กกุสันธะ ทรงมีพระวรกายสูง สี่สิบศอก พระรัศมีจากพระวรกายแผ่ซ่านไปสิบสองโยชน์ ทรงมี พระชนมายุสี่หมื่นปี

    ๒.
    พระโกนาคมนะสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระวรกายสูงสามสิบศอก ทรงมีพระชนมายุสามหมื่นปี

    ๓.
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ทรงมีพระรัศมี ทรงมี พระวรกายสูงยี่สิบศอก ทรงมีพระชนมายุสองหมื่นปี

    ๔.
    พระพุทธเจ้าของเรา พระโคตมะ ทรงมีพระวรกายสูงสิบแปดศอก (ในพุทธวงศ์บาลีทรงแสดงไว้ว่า ทรงมีพระวรกายสูง ๑๖ ศอก)

    ๕.
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า เมตเตยยะ ทรงมีฤทธิ์มาก

    (ข้อความต่อจากนี้ คัดจากหนังสือรู้สึกจะชื่อ "พระมาลัยโปรดสัตว์" โดย พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ์ ป.ธ. ๙)
    ___________________________________

    ครั้งเมื่อพระมาลัยเทวเถระผู้มีบุญญาธิการมาก มีปรีชาญาณ เฉลียวฉลาดหลักแหลมมาก มียศมาก มีจิตสงบระงับจากราคาทิ กิเลสเป็นสมุทเฉทประหารปรากฏด้วยอิทธิฤทธิศักดาเดช ได้เสด็จ ขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และได้มีโอกาสเข้าเฝ้าและสนทนา ธรรมกับเทพยดาผู้จะทรงมาตรัสรู้เป็นพระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า ในอนาคตกาลซึ่ง ณ บัดนี้ทรงเสวยสุขสมบัติอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต วันนั้นทรงเสด็จลงมาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อถวายความเคารพ พระบรมธาตุที่ประดิษฐาน ณ พระจุฬามณีเจดีย์ ในวันปัณณรสี อุโบสถ หลังจากได้สนทนาอยู่นานสมควรแก่เวลา ก่อนจบพระ มาลัยเทวเถระจึงกราบถามคำถามสุดท้าย ดังนี้

    "สาธุ สาธุ อนุโมทามิ ขอถวายพระพร อาตมภาพได้สั่งสนทนา กับมหาบพิตรมาก็เป็นเวลาอันนานพอสมควรแล้ว มหาบพิตร ประสงค์จะฝากหลักธรรมคำสั่งสอนอันเป็นข้อวัตรปฏิบัติ ซึ่งเป็น ประโยชน์เกื้อกูลอันยิ่งใหญ่ไพศาล แก่มหาชนชาวชมพูทวีป ก็ ขอถวายพระพร ณ โอกาสบัดนี้"

    "ภันเต ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ เมื่อพระคุณเจ้ากลับลงไปสู่ มนุสสโลกแล้ว ขอพระคุณเจ้าได้โปรดบอกแก่มหาชนชาว ชมพูทวีป (หมายถึงโลก- deedi) ด้วยว่า ถ้ามหาชนชาวชมพู ทวีปอยากจะพบโยม พบศาสนาของโยม ขอให้พากันปฏิบัติ อย่างนี้
    ๑.
    อย่าพากันทำปัญจเวรทั้ง ๕ ประการ คือ ปาณาติปาตา เวรมณี ให้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ที่ มีชีวิตให้ตกล่วงไป

    อทินนาทานา เวรมณี ให้งดเว้นจากการลักทรัพย์ คือไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขามิได้ให้โดยอาการแห่งขโมย กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี ให้งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม มุสาวาทา เวรมณี ให้งดเว้นการการพูดปด คือไม่ เจรจาล่อลวงโกหกผู้อื่น

    สุราเมรยมัชชปมาทัฎฐานา เวรมณี ให้งดเว้นจาก การดื่มสุราเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท สรุปใจความแล้ว ก็ได้แก่ให้พากันตั้งอยู่ในศีล ๕ ให้พากัน รักษาศีล ๕ ให้เคร่งครัด เพราะศีล ๕ นี้เป็นมนุษยธรรม เป็นธรรมะที่ทำให้คนเป็นคน ให้ดีกว่าคน ให้เด่นกว่าคน ให้เลิศกว่าคน ให้ประเสริฐกว่าคน นิยมเรียกว่า "อริยธรรม" แปลว่า ธรรมะที่ประเสริฐ ธรรมะของพระอริยเจ้า

    ๒.
    ให้พากันสมาทานอุโบสถศีลเป็นประจำทุกวันพระ

    ๓.
    ให้งดเว้นเด็ดขาดจากอนันตริยกรรมทั้ง ๕ (ไม่ฆ่าพ่อ ไม่ฆ่าแม่ ไม่ทำร้ายพระอรหันต์ ไม่ทำร้ายพระพุทธเจ้า ไม่ทำให้สงฆ์แตกกัน - deedi)

    ๔.
    ให้พากันก่อสร้างกองการกุศล คือ ทาน ศีล ภาวนา อย่าให้ขาด อย่าได้ประมาท

    ๕.
    ให้ยึดมั่นอยู่ในกตเวทิตาธรรม

    ถ้ามหาชนชาวชมพูทวีปพากันประพฤติปฏิบัติได้ดังนี้ ก็จะได้ประสบพบกับโยมเป็นแน่ๆ เมื่อโยมได้ตรัสรู้เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมดังความปรารถนา ยถากถิตัง ขอพระคุณเจ้าจงบอกเล่าประพฤติเหตุแก่ มหาชนชาวชมพูทวีปตามถ้อยคำของโยมสั่งจงทุกประการเถิด"

    ****************************
    ครั้งเมื่อพระมาลัยเทวเถระผู้มีบุญญาธิการมาก มีปรีชาญาณ เฉลียวฉลาดหลักแหลมมาก มียศมาก มีจิตสงบระงับจากราคาทิ กิเลสเป็นสมุทเฉทประหารปรากฏด้วยอิทธิฤทธิศักดาเดช ได้เสด็จ ขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และได้มีโอกาสเข้าเฝ้าและสนทนา ธรรมกับเทพยดาผู้จะทรงมาตรัสรู้เป็นพระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า ในอนาคตกาลซึ่ง ณ บัดนี้ทรงเสวยสุขสมบัติอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต วันนั้นทรงเสด็จลงมาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อถวายความเคารพ พระบรมธาตุที่ประดิษฐาน ณ พระจุฬามณีเจดีย์ ในวันปัณณรสี อุโบสถ พระมาลัยเทวเถระได้กราบทูลถามดังนี้

    "ดูกรมหาบพิตร สำหรับมหาบพิตร ทั้งเทวดาและมนุษย์ย่อม พากันเรียกว่า พระโพธิสัตว์ทั้งนั้น อาตมภาพสงสัยว่า พระโพธิสัตว์นั้น มีอยู่กี่จำพวกมหาบพิตร" "มีอยู่ ๓ จำพวกเท่านั้น พระคุณเจ้าผู้เจริญ นั้นคือ

    ๑.
    ปัญญาธิกโพธิสัตว์
    ๒.
    สัทธาธิกโพธิสัตว์
    ๓.
    วิริยาธิกโพธิสัตว์


    ปัญญาธิกะ แปลว่า ผู้ยิ่งด้วยปัญญา อธิบายว่ามี ปัญญายิ่งกว่าคุณธรรมอย่างอื่นทั้งสิ้น ส่วนคุณธรรมอย่างอื่น เช่น สัทธา หรือวิริยะเป็นต้นก็มีอยู่พร้อมแต่น้อยกว่า หรืออ่อน กว่าปัญญา

    สัทธาธิกะ แปลว่า ยิ่งด้วยศรัทธา คือมีศรัทธาแก่ กล้าแข็งกว่าคุณธรรมอย่างอื่นๆ เช่น ปัญญา หรือ วิริยะ ก็มี อยู่พร้อมมูล แต่อ่อนกว่าหรือน้อยกว่าศรัทธา

    วิริยาธิกะ แปลว่า ผู้ยิ่งด้วยวิริยะ คือ ยิ่งด้วยความ เพียร ความกล้าหาญ พระโพธิสัตว์ประเภทนี้มีวิริยะมากกว่า หรือ เข้มแข็งกว่าคุณธรรมหรือคุณสมบัติอย่างอื่นทั้งหมด ส่วนคุณสมบัติอย่างอื่นๆ เช่น ปัญญาและสัทธาก็มีอยู่แต่ น้อยกว่า หรืออ่อนกว่าฯ หมายความต่างกันอย่างนี้แหละ พระคุณเจ้าผู้เจริญฯ"

    "พระโพธิสัตว์ ๓ จำพวกนี้ จะได้ตรัสรู้หมดทุกจำพวกไหม มหาบพิตร"

    "ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ไม่ได้ ต้องย่น ๓ ลงเป็น ๒ ก่อนคือ
    เป็นนิยตะ แปลว่า แน่ ๑ เป็น อนิยตะ แปลว่า ไม่แน่ ๑
    พระโพธิสัตว์ทั้ง ๓ ประเภทนั้น ถ้าได้รับพยากรณ์แล้วเรียกว่า นิยตโพธิสัตว์ แปลว่า แน่ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ถ้า ไม่ได้รับพยากรณ์คือคำยืนยันหรือรับรองจากพระพุทธเจ้าว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าเรียกว่า อนิยตโพธิสัตว์ เพราะยังไม่แน่ ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่ อาจกลับกลายเป็นพระปัจเจก หรือเป็นพระสาวกไปก็ได้ ขอพระคุณเจ้าจงเข้าพระทัยโดยนัย ดังโยมได้วิสัชนาถวายมานี้"
    "ต่อเมื่อไรเล่าจึงจะได้พยากรณ์ มหาบพิตร"

    "ต่อเมื่อพร้อมด้วยธรรมสโมธาน ๘ ประการ จึงจะได้รับ พยากรณ์ พระคุณเจ้า ธรรมสโมธาน แปลว่า ธรรมที่ ประชุมกัน หรือ ธรรมที่รวมกัน คือประชุมกัน ครบองค์ หรือ รวมกันครบองค์ ถ้าถือตามคำแปลหรือคำ อธิบายนี้ต้องเห็นว่าเป็นกลางๆ ไม่จำกัดธรรมชนิดไร และไม่ จำกัดองค์เท่าไร โดยเหตุนี้ท่านจึงจำกัดลงไปเพื่อตัดความ เห็นต่างๆ เสีย คือมีหลักธรรมอยู่ว่า ผู้จะได้รับตัดสินหรือ ชี้ขาดจากผู้อื่นว่า จะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ต้องมีอะไร สักอย่างหรือหลายอย่างเป็นเครื่องวินิจฉัย ต้องมีองค์คุณ ๘ เต็มที่ไม่ขาดวิ่นแม้แต่ข้อเดียว
    ธรรมสโมธาน ๘ ประการนั้น คือ

    ๑.
    มนุสสัตตัง
    ต้องเป็นมนุษย์ เป็นอย่างอื่นไม่นับเข้าในข้อนี้
    ๒.
    สิงคสัมปัตติ
    ต้องสมบูรณ์ด้วยเพศ คือเป็นบุรุษ
    พร้อมทุกส่วน จะเป็นเพศหญิง หรือบุรุษที่ไม่สมประกอบ เช่น เป็นกะเทย หรือเป็นคน ๒ เพศ ไม่นับเข้าในข้อนี้
    ๓.
    เหตุ
    ต้องมีอุปนิสัยสามารถสำเร็จพระอรหันต์ ได้ เช่น สุเมธดาบส (พระพุทธเจ้าของเราปัจจุบัน- deedi) เป็นตัวอย่าง คือถ้าต้องการเป็นพระอรหันต์เมื่อใด ก็เป็นได้ เมื่อนั้น
    ๔.
    สัตถารทัสสน
    ต้องได้พบพระพุทธเจ้าองค์ใด องค์หนึ่ง และได้ทำความดีถวายแด่พระพุทธเจ้าองค์นั้น เช่น สุเมธดาบส ที่ได้ทอดตัวอย่างสะพานถวายแด่พระทีปังกร พุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง
    ๕.
    ปัพพัชชา
    ต้องเป็นบรรพชิตประเภทใดๆ ก็ตาม แต่ให้เป็นประเภทถือถูก จะเป็นดาบสหรือปริพพาชิกก็ได้ ไม่ขัดกับข้อนี้
    ๖.
    คุณสัมปัตติ
    ต้องสมบูรณ์ด้วยคุณ คือ อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘
    ๗.
    อธิกาโร
    ต้องได้ทำความดียิ่ง คือได้ให้ชีวิตและ ลูกเมียเป็นทาน โดยเจตนาหวังโพธิญาณมาแล้ว
    ๘.
    ฉันทตา
    ต้องมีความพอใจอย่างแรงกล้า ในการ เป็นพระพุทธเจ้าอย่างเต็มที่ คือ ไม่ต้องการสิ่งอื่น และถึงจะ ต้องทนเหนื่อยยากลำบากเท่าไร ในการที่จะต้องสร้างบารมี อยู่นานก็ตาม เป็นไม่ต้องกลัว ไม่ต้องเปลี่ยนความคิดไป ทางอื่นเป็นอันขาด

    เมื่อองค์คุณเหล่านี้ครบทั้ง ๘ ในชาติใดแล้ว ชาตินั้นแหละจึง ได้รับพยากรณ์ว่า เป็นนิตยโพธิสัตว์คือเป็นผู้แน่ที่จะได้ตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า
    รวมองค์ ๘ หรือ ธรรมสโมทาน ๘
    มนุสสัตตัง สิงคสัมปัตติ เหตุ สัตถารทัสสนัง ปัพพัชชา คุณสัมปัตติ อธิกาโร ฉันทตา
    ๑.
    ต้องเป็นมนุษย์ เป็นอย่างอื่นไม่นับเข้าในข้อนี้
    ๒.
    สมบูรณ์ด้วยเพศ คือเป็นบุรุษพร้อมทุกส่วน
    ๓.
    ต้องมีอุปนิสัยสำเร็จพระอรหันต์ได้
    ๔.
    ต้องได้พบพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง
    ๕.
    ต้องเป็นบรรพชิตประเภทที่ถือถูก
    ๖.
    ต้องสมบูรณ์ด้วยคุณคืออภิญญา-สมาบัติ
    ๗.
    ต้องได้ทำความดียิ่งเช่นได้ให้ชีวิต ลูกเมียเป็นทานเป็นต้น
    ๘.
    ต้องมีความพอใจอย่างแรงกล้าอย่างเต็มที่ในการเป็น พระพุทธเจ้า
    ธรรมสโมธาน ๘ ประการ มีอรรถาธิบายเป็นอย่างนี้แหละ พระคุณเจ้าผู้เจริญ"

    ****************************
    พระศรีอริยเมตไตรย
    (ความต่อจากข้างบนที่เล่ากันถึงเรื่องพระมาลัยเถระผู้ทรงเป็น พระอรหันต์ ขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และได้มีโอกาสเข้าเฝ้าและ สนทนาธรรมกับเทพบุตรผู้ต่อไปจะลงมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้า นามว่า พระศรีอริยเมตไตรย ขณะนี้ทรงสถิตย์อยู่ ณ สวรรค์ชั้นดุสิต แต่เสด็จ ลงมากราบพระจุฬามณีเจดีย์ ณ สวรรค์ชั้นนี้ ความต่อไปนี้เป็นการ สนทนากันระหว่างพระมาลัยเถรเจ้ากับพระศรีอาริยเมตไตรย)

    ********************************************
    สาธุ สาธุ ดีแล้วๆ มหาบพิตรพระราชสมภารผู้ประเสริฐ เมื่อไรพระองค์ จึงจะเสด็จลงไปบังเกิดในมนุสสโลก โปรดเวไนยสัตว์ ตรัสเป็นพระสัมมา สัมพุทธเจ้าเล่า มหาบพิตร

    ภันเต ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ในเมื่อครบถ้วน ๕๐๐๐ พระวรรษา สิ้นศาสนาแห่งพระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกาลใด ในกาลนั้นหมู่สัตว์ ทั้งหลายก็จะพากันมืดมนนัก ไม่รู้จักทำบุญทำกุศล มีแต่จะพากันทำบาป หยาบช้าทารุณ หาหิริโอตตัปปะมิได้ ดุจหนึ่งว่าไก่ แพะ แกะและสุนัข ทั้งหลาย ลูกกับแม่ก็จะอยู่กินเป็นสามีภรรยากัน พี่สาวน้องชาย พี่ชาย น้องหญิง ตลอดถึงพี่ป้าน้าอาว์ ลุงกับหลานต่างก็พากันสมัครสังวาสอยู่ ด้วยกัน กิเลส คือโลภะ โทสะ โมหะ ของหมู่สรรพสัตว์ก็จะหนาแน่นขึ้น ทุกเวลา อายุก็จะน้อยถอยลงไปตราบเท่าอายุไขย์ได้ ๑๐ ปี แม้ทารกมี อายุเพียง ๕ ปีก็จะทำการวิวาหะอยู่กินด้วยกัน ในกาลนั้นคนทั้งหลาย เห็นกันก็จะสำคัญว่าเป็นเนื้อเป็นปลา จับสิ่งใดได้เป็นต้นว่า กิ่งไม้ก็กลาย เป็นศาสตราวุธ ครั้นแล้วต่างก็จะไล่ฆ่าฟันทิ่มแทงกันและกัน ให้ถึงแก่ ความตายสุดที่จะประมาณได้ ฝ่ายชนทั้งหลาย ผู้มีบุญวาสนา มีปัญญา ครั้นทราบเหตุการณ์ว่า ถึงคืนนั้น วันนั้นจะเกิดฆ่าฟันกันวุ่นวายเป็นหนัก หนา ก็พากันหนีไปซุกซ่อนอยู่ตามซอกห้วยและภูเขาตามเหว ตามถ้ำ แต่ผู้เดียว เมื่อคนทั้งหลายฆ่าฟันกันล้มตามภายใน ๘ วันแล้ว ผู้มีบุญ วาสนาก็ออกจากที่ซ่อนเร้นเมื่อเห็นกันพบกัน ต่างก็สวมกอดซึ่งกันและกัน สมัครสมานปรึกษากันว่า มาริสา ดูกรชาวเราทั้งหลายเอ๋ย ความพินาศ เกิดขึ้นในครั้งนี้ เป็นเหตุด้วยคนทั้งหลายมัวเมาประมาท ประกอบแต่ กรรมอันหยาบช้า หาเมตตาปราณีต่อกันมิได้
    อิโต ปัฏฐายะ จำเดิมแต่นี้ไป ชาวเราทั้งหลายจงหมั่นประกอบการกุศล งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม กล่าวมุสาวาท ดื่ม สุราเมรัย และงดเว้นจากอภิชฌา-พยาบาท-มิจฉาทิฏฐิเถิด เมื่อปรึกษา กัน ฉะนี้แล้ว ต่างก็ตั้งหน้าอุตส่าห์บำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญเมตตา ภาวนา เมื่อคนเหล่านั้นมีลูก ลูกก็มีอายุยืนไป ๒๐ ปี หลานอายุยืนขึ้นไป ๓๐ ปี เหลนอายุยืนขึ้นไป ๔๐ ปี โดยนัยนี้ เจริญขึ้นไปจนตราบเท่าถึง อสงไขยหนึ่ง กาลครั้งนั้น ความไข้ ความตายดูเหมือนจะไม่ปรากฏแก่ สัตว์ทั้งหลาย ต่อแต่นั้น คนทั้งหลายก็เกิดความประมาท เมื่อเกิดความ ประมาทแล้ว อายุก็พลันน้อยถอยลงมาตั้งอยู่ ๘ หมื่นปี สมัยนั้น ฝนตกทุกกึ่งเดือน ถึง ๑๕ วัน ตกคราวหนึ่ง เมื่อจะตกก็ตกในมัชฌิมยาม ยังพื้นแผ่นดินให้ชุ่มชื่นน่ารื่นรมย์ ประชาชนต่างก็พากันมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำใหญ่ไหลขึ้นทางฟากหนึ่ง ไหลลงทางฟากหนึ่ง มีน้ำอันเต็มเปี่ยม เสมอฝั่งตั้งอยู่เป็นนิตยกาล บรรดาพฤกษาชาติใหญ่น้อยก็ผลิดอกออกผล ตามฤดูกาลเสมอเป็นนิรันดร์ ทั้งบ้านเรือนนิคมนั้นก็มิไกลกัน ตั้งอยู่เพียง ระยะไก่บินถึง อันตรายซึ่งจะกวน เช่น โจรผู้ร้ายก็ไม่มี สมบูรณ์พูลสุข เป็นอย่างดีด้วยเครื่องอุปโภคบริโภค ตลอดทั้งแก้วแหวนเงินทอง สามี และภรรยาต่างก็ประคับประคองทนุถนอมน้ำใจกัน มิได้ทะเลาะวิวาท ทำร้ายกันเลย หญิงชายทั้งหลาย ต่างก็จะพากันเสวยโภคสมบัติอัน เป็นทิพย์ ไม่ต้องทำสวน ทำไร่ ทำนา ค้าขาย หญิงทั้งหลายมิต้องทอหูก ปั่นฝ้าย จะนุ่งห่มผ้าผ่อนสะไปแต่ล้วนเป็นของทิพย์ เหล่าเสนาราชอำมาตย์ ก็ย่อมตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมประเพณี มิได้เบียดเบียนบีฑาประชาราษฎร์ ให้เดือดร้อน มีความเอ็นดูกรุณาเป็นอย่างดี สัตว์ทั้งหลาย เช่น กากับนกเค้า แมวกับหนู งูกับพังพอน เสือกับเนื้อต่างก็มีไมตรีจิตสนิทสนมมิได้ประทุษร้าย กัน คนในยุคนั้นแต่ล้วนตั้งอยู่ในศีลธรรม เลี้ยงชนม์ชีพด้วยอาหารอันเป็น ทิพย์ มั่งมีศรีสุขสนุกสำราญ พื้นแผ่นดินก็ราบเรียบดูจหนึ่งหน้ากลองชัยเภรี ปราศจากตอเสี้ยนหนามอันจะทำให้เป็นบาดแผลและคนทั้งหลายก็จะ งดงามสะอาด คนวิกล วิกาล ใบ้บ้า บอด หนวก เสียขา หรือเตี้ยค่อม ชนิดใดชนิดหนึ่งมิได้มี เมื่อชนทั้งหลายแลเห็นกันแล้วก็มีแต่ความเมตตา ปราณีรักใคร่กัน พลันแต่ประสบสุข นิราศทุกข์ นิราศโรค นิราศโศก นิราศภัย
    ภันเต ข้าแต่พระมาลัยผู้เจริญ ในยุคนั้นนั่นแล โยมจักไปอุบัติบังเกิดใน มนุสสโลก ตรัสเป็นองค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วและเทศน์ โปรดสรรพสัตว์ทั้งหลาย คนสมัยนั้น ก็ล้วนแต่พื้นมีสันโดษ ชายจะพอใจ อยู่แต่ในภรรยาของตน มิได้ร่วมประเวณีหญิงซึ่งเป็นภรรยาของคนอื่น แม้ฝ่ายหญิงเล่าก็มิได้เอาใจออกห่างจากสามีของตน คนทุกคนล้วนแต่ ประสบสุขสำราญ มิต้องประกอบการอาชีพ เช่น ทำนา ทำสวน เมื่อ บริโภคของอันเป็นทิพย์แล้ว ก็มีแต่จะนั่งนอนเล่น ฟังเสียงทิพยดนตรี ตามความปรารถนาของตน กษัตริย์ พราหมณ์ เศรษฐี คฤหบดี ไพร่กุดุมพี นั้นมิได้มี แต่ล้วนมีทรัพย์สินเสมอเหมือนกัน อันจะหาคนเข็ญใจยากไร้ นั้นมิได้มี การวิวาทกันด้วยแย่งชิงที่บ้านเรือน เรือกสวน ไร่นา และทาส ทาษี และสัตว์ ช้าง ม้า โค กระบือ ของกันและกันนั้นย่อมไม่มี ครั้งนั้น พืชข้าวสาลีแม้แต่เมล็ดเดียว ถ้าตกลงบนแผ่นดินแล้ว ก็จะงอกขึ้นแตก ออกไปได้ร้อยส่วนพันส่วนทวีคูณขึ้นไปทีเดียวละพระคุณท่านผู้เจริญ

    ********************************************
    ดูกรมหาบพิตรพระราชสมภาร ศาสนาของพระองค์ หาคนเป็นใบ้บ้า เป็นต้นมิได้นั้น เป็นเพราะเหตุผลแห่งอะไร ขอถวายพระพร
    ศาสนาของโยมหาคนใบ้บ้ามิได้นั้น เป็นเพราะเหตุที่โยมมิได้เจรจามุสา ล่อลวงคนทั้งหลายฯ หาคนตาบอดมิได้นั้น เป็นเพราะเหตุที่โยมเหลียว แลดูสมณะพราหมณาจารย์ ผู้มีศีลมีสัตย์ทั้งปวงด้วยตาอันเป็นที่รักฯ หาคนเตี้ยค่อมิได้นั้น ด้วยเหตุที่โยมทำกายให้ตรง คือว่าประพฤติสุจริต รักษาศีล ฟังพระธรรมเทศนาฯ หาคนเป็นโรคภัยไข้เจ็บมิได้ เพราะเหตุที่ โยมให้ยาเป็นทาน และช่วยกันบรรเทาทุกข์ภัยของสัตว์ทั้งปวงฯ คนใน ศาสนาของโยมมีความสุขสบายดีเสมอกันนั้น ด้วยว่าโยมให้ข้าวน้ำ ผ้าผ่อนท่อนสะไบ เรือแพนาวา ของหอม เป็นทานฯ ศาสนาของโยมไม่มี มารมาผจญ ด้วยเหตุที่โยมมิได้ทำสัตว์ให้สดุ้งตกใจกลัวฯ คนในศาสนา ของโยมล้วนแต่มีรูปร่างงามๆ นั้น เป็นผลที่โยมให้ของรักเป็นทานแก่ สมณพราหมณาจารย์และยาจกวณิพกคนกำพร้าอนาถาฯ คนในศาสนา ของโยมนั้น ได้ไปสวรรค์ทั้งสิ้น คือได้ไปหมดทุกคน ด้วยเหตุที่โยมให้ช้าง ม้า ราชรถ ยวดยาน คานหาม เป็นทานฯ ศาสนาของโยม มีพื้นแผ่นดิน เรียบราบเสมอกันนั้น เป็นผลที่โยมแผ่เมตตาจิตไปในสัตว์ทั้งหลาย เสมอหน้ากันฯ คนในศาสนาของโยมที่มั่งคั่งสมบูรณ์มีความสุขร่าเริงนั้น เป็นด้วยเหตุที่โยมยังจิตยาจก ให้ชุ่มชื่นด้วยทรัพย์สิ่งของเงินทองตามความ ปรารถนาตามชอบใจ ขอท่านอรหันตมาลัยจงเข้าพระทัยโดยนัยดังที่โยม ได้เล่าถวายมานี้เถิดฯ

    ********************************************
    ดูกรมหาบพิตรพระราชสมภารพระองค์ มหาบพิตรทรงบำเพ็ญบารมีมา กี่อสงไขย์และจะลงไปเกิดในตระกูลไหน พระชนกชนนี สาวกสาวิกา ตลอดจนไม้ที่จะได้ไปตรัสรู้ชื่อว่าอย่างไร ขอจงได้กรุณาบอกไป ณ บัดนี้เถิด ขอถวายพระพร

    ข้าแต่พระคุณเจ้าอรหันตมาลัย โยมได้บำเพ็ญบารมีมาช้านานถึง ๑๖ อสงไขย์แสนมหากัลป์ สมตึงสบารมี ๓๐ ทัศนั้น โยมก็ได้ลำเพ็ญมาเป็น อย่างดี ถ้าโยมให้ทานแล้วโยมจะได้ระวังหน้าระวังหลังนั้นหามิได้ฯ โยมจะลงไปเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล มั่งมีทรัพย์สมบัติพร้อม ทุกสิ่งฯ พระชนกนามว่า สุพรหมพราหมณ์ เป็นปุโรหิตของพระเจ้า สังขจักรพรรดิ์ฯ พระชนนีนั้นนามว่า นางพรหมวดีพราหมณีฯ พระอัคร สาวกเบื้องขวานามว่า อโสกเถระฯ พระอัครสาวกเบื้องซ้ายนามว่า สุพรหมเทวเถรฯ พระสีหเถระ เป็นพุทธอุปฐากฯ อัครสาวิกา ชื่อว่า สุมนาภิกษุณี ปทุมาภิกษุณีฯ อุบาสกพุทธอุปฐาก ๒ คน คือ สุทัตตคฤหบดีคน ๑ สังฆคฤหบดีคน ๑ฯ และอุบาสิกาเป็นพุทธอุปฐาก อีก ๒ คน คือ สวดีอุบาสิกาคน๑ สังฆอุบาสิกาคน ๑ฯ อัครมเหษีชื่อ นางจันทมุขีฯ โอรสชื่อ พรหมวดีกุมารฯ จะได้ตรัสรู้ที่ ไม้กากะทิง แต่พื้นดิน ถึงค่าคบ ๑๒๐ ศอก แต่คาคบถึงยอด ๑๒๐ มีกิ่งใหญ่ ๔ กิ่ง ทอดออกไป ในทิศทั้ง ๔ ยาวได้ ๑๒๐ ศอก ดอกโตเท่ากงจักรรถ แต่ละดอกมีเกษรได้ ทะนาน ๑ มีกลิ่นหอมขจรไปในทิศานุทิศได้ ๑๐๐ โยชน์ฯ ส่วนโยมนั้น มีกายสูง ๘๘ ศอก แต่พระนาภีถึงพระรากขวัญ ๒๒ ศอก แต่พื้นพระบาท ถึงพระชานุ ๒๒ ศอก แต่พื้นพระชานุถึงพื้นพระนาภี ๒๒ ศอก แต่พระ รากขวัญถึคงพระอุณหิส ๒๒ ศอก พระชนมายุยืนได้ ๘๐๐๐๐ ปี (แปด หมื่นปี- deedi) ขอพระคุณเจ้าผู้เจริญโปรดทราบตามนี้เถิด

    ********************************************
    ดูกรมหาบพิตร นิยตโพธิสัตว์ ที่ว่าต้องประกอบด้วย "พุทธภูมิ" นั้น อยาก ทราบว่า คำว่า "พุทธภูมิ" แปลและหมายความว่าอย่างไร มีเท่าไร อะไรบ้าง ขอถวายพระพร

    ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ นักปราชญ์นิยมเรียกกันว่า "พุทธภูมิธรรม" คำว่า "พุทธภูมิธรรม" แปลว่าธรรมอันเป็นชั้นของพระพุทธเจ้า หมายความว่า ธรรมซึ่งจัดเป็นชั้นของผู้จะเป็นพระพุทธเจ้า อธิบายว่า นิยตโพธิสัตว์ คือ ผู้ที่เที่ยงแท้แน่นอนที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้านั้น จำเป็นต้องมีภูมิชั้นเชิงดีกว่า คนอื่นๆ มาก เพื่อเป็นเครื่องส่อให้เห็นว่า แปลกจากคนอื่นๆ อย่างไร และธรรมซึ่งเป็นภูมิ หรือ เป็นชั้นเชิงของผู้จะเป็นพระพุทธเจ้านั้น เรียกว่า พุทธภูมิธรรม มีอยู่ ๔ ประการ คือ
    ๑.
    อุสสาโห
    ความองอาจกล้าหาญในการทำดี ไม่ยอ่ท้อต่อสิ่งอะไรทั้งหมด เป็นต้นว่า การงานที่ทำ ความเมื่อยล้า หิวกระหาย ใกล้ ไกล
    ๒.
    อุมมัคโค
    มีปัญญาแก่กล้าเชี่ยวชาญ ความรู้อันแก่กล้า ได้แก่ความรู้ใน เหตุผลของการกระทำ นิยตโพธิสัตว์ต้องมีความรู้ในเหตุผลต้นปลายของ การกระทำต่างๆ ว่าอย่างไหนจะมีเหตุผลดีชั่วอย่างไร แล้วเลือกไม่ทำสิ่งที่ มีผลชั่ว เลือกทำแต่สิ่งที่มีผลดี
    ๓.
    วะวัตถานัง
    มีอธิษฐานมั่นคง คือมีใจคอหนักแน่นมั่นคง มีความมั่นใจ นิยตโพธิสัตว์ย่อมมีใจคอมั่นคง หนักแน่น ไม่เหลาะแหละเหลวไหล เมื่อทำ สิ่งใดต้องทำให้สำเร็จ เป็นอันไม่ทอดทิ้ง
    ๔.
    หิตจริยา
    ทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ นิยตโพธิสัตว์ย่อมทำแต่สิ่งที่เป็น ประโยชน์แก่ตนและแก่ผู้อื่น
    ในคุณธรรม ๔ ข้อนี้ ถ้าลำดับตามวิธีใช้ ต้องลำดับอย่างนี้ คือ
    อุมมัคคะ- หิตจริยา-อวัตถานะ-อุสสาหะ
    อธิบายว่า ก่อนจะทำสิ่งใดลงไป ต้องใช้อุมมัคคะ คือ ปัญญาพิจารณาดู เสียก่อน แล้วจึงใช้หิตจริยา คือทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ใช้วัตถานะ คือ ความมั่นใจเป็นที่ ๓ ใช้อุตสาหะคือความไม่ย่อท้อเป็นที่ ๔
    ส่วนพวกเราที่ไม่ใช่โพธิสัตว์ประเภทนิยตโพธิสัตว์ หรือสักว่าโพธิสัตว์ ก็ควรพยายามทำตนให้ตั้งอยู่ในภูมิธรรมทั้ง ๔ ประการนี้ เมื่อสามารถ เลื่อนตนไปถึงภูมิธรรมทั้ง ๔ ประการนี้แล้ว จึงจะเรียกว่า "ปณีตบุคคล" คือ บุคคลชั้นดี และได้ชื่อว่า เป็นผู้มีภูมิดี

    ********************************************
    ดูกร มหาบพิตรพระราชสมภาร คำว่า "อัชฌาสัย" ซึ่งเป็นธรรมประจำ นิยตโพธิสัตว์นั้น แปลและหมายความว่าอย่างไร

    แปลว่า "สิ่งที่นอนทับ" หมายความว่า สิ่งที่มีประจำใจ เรียกตามโวหาร ในทางภาษาไทยว่านิสสัยใจคอ หรือน้ำใจ มีทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว ส่วนที่จะกล่าวต่อไปนี้ ล้วนแต่เป็นฝ่ายดีทั้งนั้น เพราะเป็นคุณสมบัติ ของนิยตโพธิสัตว์
    ตามธรรมดานิยตโพธิสัตว์ ย่อมมีอัชฌาสัย หรือ อัธยาศัย ได้แก่ นิสสัยใจคอ หรือน้ำใจดี น้ำใจมีคุณธรรมสูง
    อัชฌาสัยของนิยตโพธิสัตว์มีอยู่ ๖ ประการ คือ
    ๑.
    อโลภัชฌาสัย
    มีอัธยาศัยไม่โลภ คือ มีน้ำใจ ไม่เห็นแก่ได้ฝ่ายเดียว เหลียวแลถึงประโยชน์ของคนอื่นด้วย
    ๒.
    อโทสัชฌาสัย
    มีอัธยาศัยไม่โกรธ คือ เป็นคนไม่ดุร้าย ไม่หยาบคาย มีความยั้งใจ รั้งใจไม่ให้ฉุนเฉียว ไม่ให้หุนหันพลันแล่น ไม่ทะลุดุดัน ในเวลาที่กระทบกับอนิฏฐารมณ์หรือในเวลาที่มีความโกรธเกิดขึ้น ก็รีบระงับเสียโดยอุบายอันดีอันชอบเสมอ ไม่ตกอยู่ในอำนาจของ ความโกรธ คือ มีเมตตา กรุณาประจำใจ
    ๓.
    อโมหัชฌาสัย
    มีอัธยาศัยไม่หลง คือ ไม่งมงาย ไม่โง่เขลา มีปัญญา มีวิจารณญาณ มีปรัชญาประจำใจ ไม่ยอมเชื่อง่ายๆ ไม่ยอมเชื่ออย่าง งมงาย ต้องเห็นเหตุผล รู้เหตุรู้ผลดีเสียก่อนจึงเชื่อ ครั้นเชื่อแล้วก็ได้ ดำเนินชีวิตไปโดยมีหลักการ วิธีการ ปฏิบัติการและสิทธิการอันถูกต้อง เช่นไม่หลงทางเดินแห่งชีวิต พยายามเว้นทางไปอบายภูมิทั้ง ๔ (นรก เปรต อสุรกายและสัตว์เดรัจฉาน- deedi) แล้วเดินทางไปสุคติภูมิ คือทางไปมนุษย์ สวรรค์ พรหมและนิพพาน เป็นวิถีทางแห่งชีวิตอันตรง อันถูกต้องโดยแท้
    ๔.
    เนกขัมมัชฌาสัย
    มีอัธยาศัยออกบวช ออกจากกิเลสตัณหา เมื่อมี โอกาสก็ปลีกตัวออกบวชบำเพ็ญสมณธรรม ทำตนให้ห่างจากความ หมกมุ่นอยู่กับกามคุณ ๕ หรือเมื่อไม่สามารถออกบวชก็เจริญสมถ กรรมฐานอยู่กับบ้านเรือนได้ ๕.
    ปวิเวกัชฌาสัย
    มีอัธยาศัยชอบเงียบ ชอบสงบ ชอบสงัด คือ ชอบ ความสงบวิเวกได้แก่กายวิเวก สงัดกาย ๑ จิตตวิเวก สงัดจิต ๑ และ อุปธิวิเวก สงัดกิเลส ๑ อธิบายว่า ชอบความสงัดจากหมู่ ไม่ชอบคลุกคลี ด้วยหมู่ คณะ หรือกับใครๆ ชอบทำใจให้สงัดจากความรัก คือไม่อยาก ให้มีความรักรุมสุมอยู่ในใจ ชอบสงัดจากความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นอัธยาศัย
    ๖.
    นิสสรณัชฌาสัย
    มีอัธยาศัยสลัดออกจากภพ จากชาติ จากกิเลส ตัณหา จากบาปจากกรรม คือ ชอบแสวงหาหนทางออกไปจากโลก ชอบแสวงหาหนทางออกจากกิเลสตัณหา แสวงหาหนทางออกจาก กองทุกข์นานาประการบรรดามีอยู่ในโลก

    ********************************************
    ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ คำว่า "อัจฉริยธรรม" นั้นแปลว่า ธรรมะที่น่า อัศจรรย์ คำว่า "อัศจรรย์" แปลว่า ควรปรบมือให้ ควรยกนิ้วให้ว่าดี เลิศ ประเสริฐ ยอดเยี่ยม อธิบายว่า นิยตโพธิสัตว์นั้น มีธรรมควรที่เทวดา มนุษย์จะยกนิ้วให้ ปรบมือให้ว่ายอดเยี่ยมที่สุด
    อัจฉริยธรรมนั้น มีอยู่ ๗ ประการ คือ
    ๑.
    ปาปะปะฏิกุฏจิตโต
    มีจิตหดหู่จากบาป คือ จิตของนิยตโพธิสัตว์นั้น ไม่สู้กับความชั่ว ไม่สู้กับบาปอกุศล มีแต่ละอายบาป กลัวบาป ละอายชั่ว กลัวชั่ว เกลียดความบาป เกลียดความชั่ว
    ๒.
    ปะสาระณะจิตโต
    มีจิตแผ่ออกแต่ความดี คือ เป็นจิตที่เบิกบานต่อ ความดีอยู่เป็นนิจ คอยรับแต่ความดีอยู่เสมอ มีอาการแผ่ออก ไม่ถอย จากความดี ถ้ายังไม่ถึงจุดมุ่งหมาย เป็นอันไม่หยุดความเพียร ไม่ละเลิก ความเพียรเป็นอันขาด
    ๓.
    อธิมุตตะกาละกิริยา
    น้อมใจตาย คือ เมื่อได้เกิดในสวรรค์ที่มีอายุ ยืนนาน ท่านกลัวเสียเวลาสร้างบารมีไปนาน (เพราะในสวรรค์เป็นที่ เสวยสุขเป็นส่วนมาก โอกาสที่จะได้บำเพ็ญบุญบารมีต่างๆ มีน้อย ไม่เหมือนเกิดเป็นมนุษย์- deedi) จึงอธิษฐานขอให้สิ้นชีวิต คำอธิษฐานนั้นว่า "ขออย่าให้ชีวิตของข้าพเจ้ามีอยู่ต่อไปเลย" พออธิษฐานเสร็จก็จุติทันที
    ข้อนี้ถ้าไม่ใช่นิยตโพธิสัตว์ทำไม่ได้
    ๔.
    วิเสสะชะนัตตัง
    ความเป็นคนวิเศษ คือ เป็นคนแปลกไม่เหมือนคนอื่นๆ เมื่อนิยตโพธิสัตว์อยู่ในครรภ์มารดาในชาติที่สุด (คือ ชาติสุดท้าย ชาติที่ จะได้ตรัสรู้- deedi) จะไม่เหมือนคนทั้งหลายคือ คนธรรมดาเรานั้น เมื่ออยู่ในครรภ์มารดานั่งทับอาหารเก่า ทูนอาหารใหม่ของมารดาไว้ ๑ ผินหน้าเข้า ข้างหลังมารดา ๑ ผินหลังออกไปข้างหน้ามารดา ๑ นั่งยองๆ เอามือทั้งสอง ค้ำคางไว้ ๑ ส่วนนิยตโพธิสัตว์ตรงกันข้ามคือ นั่งอยู่ในที่สะอาด ไม่เปื้อน อะไร ๑ ผินหน้าออกทางหน้ามารดา ๑ นั่งพับพะแนงเชิงเหมือนพระนั่งเทศน์ บนธรรมาสน์ ๑
    ๕.
    ติกาลัญญู
    รู้กาล ๓ นิยตโพธิสัตว์ในชาติที่สุดนั้น รู้พระองค์ใน ๓ กาล คือ เมื่อจะจุติจากสวรรค์ลงสู่พระครรภ์ ก็รู้ว่าจะจุติลงสู่พระครรภ์ ๑ เวลาที่ อยู่ในพระครรภ์ ๑๐ เดือน ก็รู้ว่าอยู่ในพระครรภ์ ๑ เวลาประสูติจากพระ ครรภ์ก็รู้ว่าประสูติจากพระครรภ์ ๑ ส่วนพระปัจเจกพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แต่ไม่ได้ออกสั่งสอนเวไนยสัตว์ ไม่สามารถรื้อถอนสัตว์ออกจากสังสารวัฏได้- deedi) กับพระอัครสาวกทั้ง สอง เป็น ทวิกาลัญญู รู้กาล ๒ คือ เวลาจุติลงสู่ครรภ์ ๑ เวลาที่อยู่ในครรภ์ ๑ อสีติมหาสาวกใหญ่ทั้ง ๘๐ เป็น เอกาลัญญู รู้กาลเดียว คือ เวลาจะถือ ปฏิสนธิเท่านั้น
    นอกจากบุคคล ๓ ประเภทนี้ เป็น อกาลัญญู คือ ไม่รู้กาลทั้งหมดฯ
    ๖.
    ปสูติกาโล
    กาลประสูติ เวลาประสูติ หมายความว่า ในชาติที่สุดนั้น นิยตโพธิสัตว์มีการประสูติดังนี้ คือ เวลาจะประสูติ พระมารดายืน ส่วน พระองค์ท่านที่อยู่ในครรภ์ ก็ยืนขึ้นและทรงเหยียดพระหัตถ์ทั้งสองลงไป ตามลำขา มีอาการเหมือนพระเทศน์ลงจากธรรมาสน์ ไม่รู้สึกลำบาก พระองค์และพระมารดาเลย หมื่นโลกธาตุก็หวั่นไหวใหญ่ ๗.

    มะนุสสะชาติโย
    เกิดเป็นมนุษย์ หมายความว่า การที่นิยตโพธิสัตว์ ผู้มีบุญญาภินิหารเต็มที่สามารถเลือกเกิดได้ตามชอบใจในชาติที่สุด แต่ต้องเกิดเป็นมนุษย์นั้น ก็นับเป็นข้อควรอัศจรรย์อย่างหนึ่ง ท่านอ้างเหตุ ไว้ ๓ อย่าง คือ
    ๑.
    มนุษยโลก
    สมควรเป็นที่ตั้งศาสนพรหมจรรย์ คือ การบรรพชาอุปสมบท ซึ่งทรงคำสั่งสอนไว้
    ๒.
    เป็นที่อัศจรรย์ในพุทธานุภาพ
    ๓.
    เป็นที่มีโอกาสไว้พระสารีริกธาตุในเวลาพระองค์นิพพาน


    ********************************************
    ส่วนต่อไปนี้นับว่าเป็นส่วนเพิ่มเติมเพราะส่วนข้างบนทั้งหมดเป็นคำสนทนา โดยตรงระหว่างพระศรีอริยเมตไตรยกับพระอรหันต์พระนามพระมาลัยเถระ แต่ส่วนที่จะยกมาตรงนี้เป็นบทสนทนาระหว่างสมเด็จพระอมรินทราธิราช (คิดว่าท่านเป็น ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นะคะ- deedi) กับพระมาลัยเถระ เกี่ยวกับ พระศรีอาริย์ก่อนที่พระมาลัยจะได้มีโอกาสกราบเข้าเฝ้าและทูลถามความ ต่างๆ ดังที่นำมาให้อ่านแล้ว
    ______________________
    ดูกรมหาบพิตร สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยนั้น พระองค์ท่านได้ทรงบำเพ็ญ กุศลธรรมเป็นประการใด จึงประกอบไปด้วยรัศมีเครื่องประดับประดา อาภรณ์วิภูสิตงดงามยิ่งกว่าเทพยดาองค์ไหนๆ ทั้งมีเทพบุตรเทพธิดาเป็น บริวารถึงแสนโกฏิปานนี้ มหาบพิตร

    ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ อันกุศลกรรมของพระศรีอริยเมตไตรยหน่อพระ- พุทธางกูร พระองค์ทรงก่อสร้างกุศลสมภารมา ก็ด้วยความปรารถนาจะ ปลดเปลื้องซึ่งหมู่สัตว์อันขัดข้องอยู่ด้วยเครื่องจองจำคือกิเลสมาร ทรงตั้ง พระทัยจะโปรดปรานมนุสสมบัติแก่หมู่สรรพสัตว์ จึงได้อุตส่าห์บำเพ็ญ เนกขัมมบารมีเป็นหลายแสนโกฏิแห่งกัปป์ฯ

    หวังจะโปรดประทานพระโสดาปัตติมรรคโสดาปัตติผล แก่บุคคลผู้เห็นทุกข์ จึงอุตส่าห์บำเพ็ญปัญญาบารมีฯ

    หวังจะโปรดประทานพระสกทาคามิมรรค แก่นรชนผู้เห็นประจักษ์ในทาง อนิจจัง จึงทรงบำเพ็ญวิริยบารมี

    หวังจะโปรดประทานพระอนาคามิผล (ตรงนี้หนังสือเขียนว่าพระสกทาคา- มิผล ดิฉันสงสัยว่าจะพิมพ์ผิดเลยแก้มาตามนี้ ผิดถูกประการใด ขออภัย ด้วยนะคะ- deedi) แก่นรชนผู้เห็นแจ้งโดยทางอนัตตา จึงอุตส่าห์บำเพ็ญ ขันติบารมีฯ
    หวังจะโปรดประทานพระอรหัตตมรรคอรหัตตผล แก่บุคคลผู้เห็นแจ้ง ประจักษ์ในพระไตรลักษณะทั้ง ๓ ประการ จึงอุตส่าห์บำเพ็ญสัจจบารมีฯ หวังจะโปรดประทานพระอัฏฐังคิกมรรค แก่บุคคลผู้งดเว้นจากปาณาติบาต จึงหมั่นบำเพ็ญอธิษฐานบารมีฯ

    หวังจะโปรดประทานนิพพานสมบัติ แก่สัตว์ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร จึงอุตส่าห์บำเพ็ญเมตตาบารมีและอุเบกขาบารมีฯ

    สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยบรมพุทธางกูรนี้ ได้ทรงสร้างบารมีมาหลาย แสนกัปป์ ก็เพื่อจะโปรดประทานศีล สมาธิ ปัญญา แก่เวไนยสัตว์ให้ล่วงพ้น จากวัฏฏสงสาร บรรลุถึงฟากฝั่งพระนิพพาน เห็นสภาวะปานฉะนี้ ขอพระคุณเจ้าจงรอคอยพระองค์ก่อน เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงเมื่อใด ขอพระคุณเจ้าจงได้ไต่ถามพุทธการกภูมิให้พิสดารกว้างขวาง ตามอัธยาศัยของพระคุณเจ้าเมื่อนั้นเถิดฯ

    จาก "พระมาลัยโปรดสัตว์นรก" รจนาโดย พระเทพสิทธิมุนี (โชดก ญาณสิทธิ ป.ธ. ๙) พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    <CENTER>เกร็ดความรู้ในพุทธศาสนา..ศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรย (โพสโดย..ป้าตุ๊กตา)



    </CENTER>

    <CENTER><BIG>คัดลอกจากหนังสือ "หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม" ฉบับพิเศษเล่ม ๒
    หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
    </BIG>

    จาก ป้าตุ๊กตา ๑๔ ก.ค. ๒๕๔๙ </CENTER>



    <DD>ผู้ถาม "กระผมได้ยินมาว่าเมื่อครบ ๕,๐๐๐ ปีแล้ว ก็จะมีศาสนาของ พระศรีอาริยเมตไตรย สืบต่อจากศาสนานี้ใช่ไหมครับ"

    <DD>หลวงพ่อ "หมายความว่า เมื่อสิ้นศาสนา ๕,๐๐๐ ปีแล้วใช่ไหม แล้วพระศรีอาริยเมตไตรยจึงมาตรัส

    <DD>ผู้ถาม "ใช่ครับ"

    <DD>หลวงพ่อ "ความจริงไม่ใช่อย่างนั้นนะคุณ ถ้าศาสนานี้ครบ ๕,๐๐๐ ปีแล้ว พระศรีอาริยเมตไตรยยังไม่มาตรัส จะต้องว่างจากพระพุทธศาสนาไปหนึ่งพุทธันดรก่อน แต่ว่าในช่วงที่ว่างพระพุทธเจ้านี่ก็จะมี พระปัจเจกพุทธเจ้า ขึ้นมาแทน

    <DD>สำหรับพระปัจเจกพุทธเจ้านี่ ต่ำกว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแล้วก็ทรงสอนคนตั้งแต่อันดับต้นให้รู้จักการให้ทาน ให้รู้จักการรักศีล ให้รู้จักการเจริญภาวนาให้รู้จักการครองเรือนให้อยู่เป็นสุข และให้รู้จักการปฏิบัติตนให้เข้าถึงกามาวจรสวรรค์ ให้เข้าพรหมโลก ให้เข้าถึงพระนิพพาน

    <DD>สำหรับพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่เช่นนั้น ท่านตรัสแล้วท่านก็เฉยๆ หากว่าจะสงเคราะห์กันก็สงเคราะห์ในขั้นต้น คือ ทานกับศีล ไม่เหมือนพระพุทธเจ้า ทีนี้เมื่อเวลากาลล่วงไปหนึ่งพุทธันดร อาตมาตอบไม่ได้นะว่ากี่ปี ถ้าจะให้รู้กันจริงๆ คุณก็จงอย่าตายนะ อยู่ไปจนกว่าพระศรีอาริย์จะมา อยู่ไหวไหมล่ะ...?


    <DD>ผู้ถาม : "ผมอยากจะถามว่า พระพุทธเจ้าองค์แรกทรงพระนามว่าอะไรครับ...? "

    <DD>หลวงพ่อ "พระกกุสันโธ เป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกสำหรับกัปนี้ แต่องค์แรกจริงๆ ไม่ใช่องค์นี้ ที่เราเรียกว่า องค์ปฐม องค์ปฐมน่ะท่านเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรก เคยถามท่านว่าใช้เวลาถอยหลังไปเท่าไร ท่านบอกว่า ให้ตั้งเลข ๕ ขึ้นมา แล้วเอาศูนย์ใส่ไป ๕๐ ตัว ได้เท่าไรบอกฉันด้วย นับเป็นอสงไขยกัปนะ ไม่ใช่นับเป็นกัปเฉยๆ อสงไขยของกัป

    <DD>ถ้าจะถามว่ามากเกินไปไหม ก็ต้องตอบว่าไม่มากหรอก เราต้องดูซิว่า พระพุทธเจ้าขั้นปัญญาธิกะ ต้องใช้เวลาบำเพ็ญบารมีถึง ๔ อสงไขยกับแสนกัป
    ถ้าศรัทธาธิกะ ต้องใช้เวลา บำเพ็ญบารมีถึง ๘ อสงไขยแสนกัป
    ถ้าวิริยาธิกะ ต้องใช้เวลาบำเพ็ญบารมี ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป ไม่เท่ากัน
    ทีนี้กัปหนึ่งมีพระพุทธเจ้ากี่องค์

    <DD>สำหรับสูญญากัป อันตรายกัปนี่ไม่มีพระพุทธเจ้า มีแต่พระปัจเจกพุทธเจ้า อันตรายกัปนี่เป็นกัปที่มีอันตรายมาก รบราฆ่าฟันกันเป็นประจำ มันมีแต่พวกมาจากอบายภูมิมาเกิด อันนี้เป็นเรื่องจริง บางกัปก็มีพระพุทธเจ้าองค์เดียว บางกัปมี ๒ องค์ ๕ องค์ ยังไม่เคยเจอ แต่กัปนี้มีถึง ๑๐ องค์นะ ฉะนั้นคนที่เกิดในกัปนี้เฮงที่สุด แล้วก็ซวยที่สุด"


    <DD>ผู้ถาม "เป็นยังไงครับ....?"

    <DD>หลวงพ่อ..."เฮงที่สุดก็คือ เกิดมาแล้วตั้งใจทำความดี ตายไปเป็นเทวดาหรือพรหม เมื่อเป็นเทวดาหรือพรหมแล้วพระพุทธเจ้าไปเทศน์ครั้งเดียวก็เป็นพระโสดาบัน
    <DD>ไอ้ซวยที่สุดก็คือ เกิดมาชาตินี้ไม่ทำความดี ตายไปก็ลงนรกลงนรกแล้วพระพุทธเจ้าอีก ๖ องค์มาตรัส นึกว่าจะเกิดมาได้พบ ไม่มีทาง อีก ๓๐ องค์ก็ยังไม่ได้พบ"


    <DD>ผู้ถาม (หัวเราะ) "ไม่ไหวครับ"

    <DD>หลวงพ่อ.. "เป็นอันว่าเมื่อครบหนึ่งพุทธันดรแล้ว พระศรีอาริยเมตตรัยมาตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ ในกัปนี้ แต่ว่าสำหรับกัปนี้ไม่ได้มีพระพุทธเจ้าเพียง ๕ พระองค์ พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้ว่า หลังจากพระศรีอริยเมตไตรยมาตรัสแล้ว ยังมีพระพุทธเจ้าต่อไปอีก ๕ พระองค์ คือ ในกัปนี้ทรงพระพุทธเจ้าได้ ๑๐ พระองค์

    <CENTER>ศาสนาพระศรีอาริย์ ท่านว่าศาสนาของท่านนั้นมีผลดังนี้ </CENTER>

    <DD>๑. คนสวยทุกคน มีผิวเหลือง เนื้อละเอียด คนแก่ที่สุดมีทรวดทรงเท่ากับคนอายุประมาณ ๒๐ ปีเศษ ของสมัยนี้เท่านั้นเอง อายุคนสมัยนั้นท่านว่า มีอายุถึง ๔ หมื่นปีเป็นอายุขัย

    <DD>๒. สมัยของท่าน ไม่มีคนจน มีแต่คนรวย มีต้นไม้สารพัดนึกอยู่ในที่ทุกสถาน สัตว์นรก เปรต อสุรกาย ที่มีจิตใจชั่วร้ายยังไม่มีโอกาสเกิดในสมัยของพระองค์ ท่านที่จะไปเกิดนั้น ต้องเป็นเทวดาหรือพรหมเท่านั้น โลกจึงมีแต่ความสุข ไม่มีตำรวจทหารมีแต่พ่อบ้านแม่เรือน

    <DD>๓. การสัญจรไปมาก็สะดวกสบาย ไปทางไหนก็พายตามน้ำ

    <DD>๔. คนเข้าถึงธรรมทุกคน ท่านว่าคนที่เจริญสมถะพอมีญาณ หรือมีวิปัสสนาญาณบ้าง พอสมควร จะเข้าถึงธรรมาพิสมัยได้โดยฉับพลัน คือเป็นพระอริยะเจ้า คนที่ได้อริยะต้นแล้ว จะเข้าถึงอรหัตผลได้โดยฉับพลัน คนที่ทำบุญไว้น้อย คือฟังคาถาพัน และปฏิบัติตามแต่ไม่สมบูรณ์ อย่างต่ำก็เข้าถึงไตรสรณคมน์ อย่างสูงก็ได้อริยะ

    <DD>ที่เป็นอย่างนี้ เป็นเพราะว่าท่านบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป ท่านบำเพ็ญบารมีมาก คนเลวจึงเข้าแทรกแซงในศาสนาของพระองค์ไม่ได้ น่าเกิดจริงนะ


    <DD>ผู้ถาม "โอโฮ้....ทีนี้ผลต่างกันไหมครับ ที่ใช้เวลาบำเพ็ญบารมีไม่เท่ากัน....?"

    <DD>หลวงพ่อ... "ผลมันต่างกันแน่ อย่างพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้บำเพ็ญมีขั้น "ปัญญาธิกะ" จะเห็นว่าโลกมันเป็นอย่างนี้ละ มีการรบราฆ่าฟันกัน มีคนจน มีคนรวย
    <DD>ถ้า "ศรัทธาธิกะ" ละก็คนจนไม่มี มีแต่คนรวย เพราะพระพุทธเจ้าท่านมีบารมีมาก

    <DD>ส่วน "วิริยาธิกะ" ละก็เพียบพร้อมไปทุกอย่าง สมัยโน้นจะหาคำว่าลำบากสักนิดไม่มี ความป่วยไข้ไม่สบายเกือบหาไม่ได้ ที่ท่านต้องบำเพ็ญบารมีมาก ก็เพื่อสั่งสมความดีให้มาก แล้วก็คนที่ไปเกิดในสมัยนั้นก็ต้องเป็นคนที่ต้องบำเพ็ญบารมีตามกันไป

    <DD>พระพุทธเจ้าแต่ละองค์มิใช่จะโปรดคนได้หมด ต้องโปรดคนได้เฉพาะคนที่บำเพ็ญบารมีร่วมกันมาแต่ละชาติที่เกิดร่วมกันมา เป็นพวกเป็นพ้อง ทำอะไรก็ทำด้วยกัน เวลาทำบาปก็ทำด้วยกัน ไปสวรรค์ก็ไปด้วยกัน ไปนรกก็ไปด้วยกัน


    หลวงพ่อลาพุทธภูมิแล้วจะไปนิพพาน ลูกหลานจะอยู่หรือจะไปด้วยล่ะ?

    </DD>
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    <TABLE border=0 width=600 align=center><TBODY><TR><TD align=middle>ศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรย</TD></TR><TR><TD><DD>ที่เขาโฆษณาชวนเชื่อกันว่า ขณะนี้พระพุทธศาสนาหมดความหมายแล้วต้องเตรียมตัวรับศาสนาของพระศรีอาริยเมตไตรยนั้น มีแต่คนที่ไม่มีปัญญาเท่านั้นแหละให้เขาหลอกเอาก็พากันหลงเชื่อ เมื่อศาสนาของพระพุทธเจ้ายังไม่หมด จะเป็นจริงไปได้อย่างไร <DD>พระศรีอาริยเมตไตรย ได้สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตโน้นมีบริวารตั้ง ๑ แสน เมื่อหมดศาสนาของพระพุทธเจ้าแล้ว คนจะมีอายุสั้นลงๆ เกิดมาแล้ว ๕ ปีก็แต่งงาน อายุได้ ๑๐ ปีก็ตาย เมื่อถึงขั้นนั้นแล้วจะเกิดกลียุค เรียกว่า มิคสัญญี คนบาปหนาสาโหดจะฆ่ากันตายภายใน ๗ วัน ๗ คืน คนใจบุญใจกุศล จะหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าเขา พอคนพาลตายไปหมดแล้ว คนดีออกมาจากป่า คบกันเข้า ชักชวนกันรักษาศีล ๕ ทำบุญกุศลไป ไม่ทำบาป คนจะมีอายุมากขึ้นทุก ๑๐๐ ปี คนจะมีอายุเพิ่มขึ้น ๑ ปี เพราะอานิสงส์ของศีลห้าเป็นอย่างนั้น คนอายุยืนขึ้นไปตอนนั้น ท่านเรียกว่า สังวัฏกัป กัปที่เราอยู่นี้เรียกว่า วิวัฏกัป แปลว่า กัปเสื่อมของอายุของมนุษย์ ต่อจากนั้นเป็น สังวัฏกัป คือ กัปเจริญของอายุของมนุษย์ทั้งหลาย คนจะมีอายุยืนขึ้นไปจนถึง อสงไขยปี (นับปีไม่ได้) เมื่อถึงอสงไขยปี เป็นอันว่าอายุของมนุษย์สูงสุดตรงนั้นบุญกุศลที่ส่งผลให้มนุษย์มีอายุยืนถึงอสงไขยปี มนุษย์จะมีอายุยืนยาวมากกว่านั้นไม่ได้อีกแล้ว </DD></TD></TR><TR><TD height=20></TD></TR><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD height=20></TD></TR><TR><TD><DD>ต่อจากนั้นอายุของมนุษย์จะเริ่มเสื่อมลง ทุก ๑๐๐ ปีคนจะมีอายุลดลง ๑ ปี จนอายุคนเหลืออยู่ ๘๐,๐๐๐ ปี พระศรีอาริยเมตไตรยจึงจุติลงมาบังเกิดในโลกมนุษย์ในสมัยนั้นแล้วเสวยสมบัติอยู่ ๔๐,๐๐๐ ปี แต่ครั้งนั้นพระศรีอาริยเมตไตรยไม่ได้เกิดในตระกูลกษัตริย์ เกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล เพราะสมัยนั้นคนนิยมนับถือพราหมณ์มหาศาล ว่าเป็นผู้ประเสริฐ พระศรีอาริยเมตไตรยครองเรือนอยู่ ๔๐,๐๐๐ ปี แล้วบุญบารมีก็มาถึง ก็บันดาลให้พระองค์สละสมบัติ ออกบวช บำเพ็ญอยู่ ๗ วัน ก็ได้ตรัสรู้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าในโลก นั่นแหละยุคพระศรีอาริยเมตไตรยจึงมี ขอให้เข้าใจ การเป็นพระพุทธเจ้ามิใช่เป็นได้ง่ายๆ อย่างปากคนว่า <DD>พระพุทธเจ้าทำนายไว้ว่า พอถึงศาสนาของพระศรีอาริยเมตไตรยนั้น แผ่นดินจะราบเหมือนหน้ากลอง แต่บางคนไม่เชื่อหรอกแต่โดยเหตุผลแล้ว ก็เป็นไปได้ อาศัยเวลานาน ในปัจจุบันเราก็พิสูจน์ได้ ภูเขาสูง ๆ มันถูกแดดถูกฝน ก็พังลงมา คนทำลายภูเขาสร้างบ้านเรือน ที่ลุ่มก็ตื้นเขินขึ้น เมื่อถึงศาสนาพระศรีอาริยเมตไตรย อีกหลายแสนปีจะไม่ราบเรียบ ได้อย่างไร

    นำมาจากหนังสือ "ธรรมะในจิต"
    </DD></TD></TR><TR><TD align=right>[​IMG]
    หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
    </TD></TR><TR><TD height=20></TD></TR><TR height=100 align=middle><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><NOSCRIPT></NOSCRIPT>
    http://www.geocities.com/thaniyo/monktalk0245_2.html
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    <CENTER>ยุคพระศรีอาริยเมตไตรย ตอนที่ 1 </CENTER>
    <!--detail--><!--images--><!--images-->สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ในพระสุตตันตปิฎก ฑีฆนิกาย ปาฎิวรรค ในเรื่อง การเสด็จอุบัติแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่า เมตไตรย ว่า พระเมตไตรยจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ เพียบพร้อมด้วยวิชชาและจารณะ รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกผู้ที่ควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 5

    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า พระเมตไตรยอยู่ในพุทธวงศ์หรือเป็นวงศ์วานเดียวกันกับพระพุทธเจ้าโคตมในภัทรกัป ที่มีพระผู้มีพระภาคเจ้าถึง 5 พระองค์คือ พระกกุสันธะ ,พระโกณาคมมนะ,พระกัสสปะ,พระพุทธเจ้าโคตม และพระเมตไตรย ซึ่งเรื่องนี้บ่งบอกอยู่ในพุทธปกิณณกกัณฑ์หรือว่าด้วยเรื่องเบ็ดเตล็ดเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าในพระสุตตันตปิฎก ขุทกกนิกาย พุทธวงศ์

    เหตุการณ์ก่อนหน้าที่พระเมตไตรยหรือพระศรีอาริยเมตไตรยจะมาปรากฏตนนั้น พระพุทธศาสนาจะเริ่มเสื่อมลงด้วยสาเหตุ 5 ประการ คือ

    1.การเสื่อมลงของหนทางแห่งความสำเร็จบรรลุมรรคผล ศีลธรรมและจริยธรรม 2.การเสื่อมลงของวิธีการปฎิบัติธรรมและการเจริญภาวนา
    3.การเสื่อมลงของการศึกษาธรรมและการเข้าถึงพระธรรม
    4.การเสื่อมลงของวัฒนธรรมทางพุทธศาสนา
    5.การเสื่อมลงของบูรพาอาจารย์

    อย่างไรก็ตามพระพุทธเจ้าโคตรมทรงตรัสว่า พระศรีอาริยเมตไตรยหรือพระเมตไตรย จะมาปรากฏและสามารถแก้ปัญหาความเสื่อมลงของพระพุทธศาสนา และจะนำพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรื่องเป็นที่พึ่งที่แท้จริงตลอดไป จากความเป็นจริงที่เห็นได้ในปัจจุบันศาสนาพุทธได้แบ่งแยกนิกายเป็น 3 นิกายใหญ่คือ มหายาน,หินยาน และวัชรยาน ในแต่ละนิกายก็จะมีการแบ่งแยกออกไปอีก มีการปรุงแต่ง เพิ่มเติมหลักการสอนและปฎิบัติตามความเชื่อและความนิยม แต่ละบุคคลมีความเชื่อในผลบุญต่างๆโดยไม่ทราบว่า การกระทำไปนั้นมีความถูกต้องหรือไม่ มากกว่าการทำความเข้าใจถึงหลักธรรมที่แท้จริง ผู้คนโดยทั่วไปส่วนใหญ่เชื่อว่า พระศรีอาริยเมตไตรยจะมาปรากฏหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว 5000 ปี ซึ่งเป็นความเชื่อที่ขาดหลักฐานยืนยัน เชื่อโดยขาดเหตุผล จากตำนานโบราณ และตามพระพุทธพจน์ทำนายหรือคำตรัสของสมเด็จพรพุทธเจ้าโคตมจากศิลาจารึกในเขตมหาวิหาร ในสวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย แสดงว่า พระศรีอาริยเมตไตรยจะมาปรากฎพระองค์เมื่อพระพุทธศาสนาได้ล่วงมาถึงกึ่งพระพุทธกาล (2,500 ปี) ซึ่งขณะนี้พุทธศักราช 2500 จริงยังมาไม่ถึงแต่กำลังจะถึงแล้วซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นช่วงปัจจุบันนี้ แต่เนื่องจากความผิดพลาดของผู้นำพุทธศักราชมาใช้โดยขาดการวิเคราะห์และพิจารณา ทำให้พุทธศักราชที่ใช้ในทุกวันนี้ผิดพลาดจากปีพุทธศักราชจริงไปประมาณ 50 ปี ซึ่งในศิลาจารึกยังได้บ่งบอกว่า พระศรีอาริยเมตไตรยหรือพระธรรมมิกราชโพธิสัตว์ จะเกิดขึ้นภายใต้ความอุปถัมภ์ของพระเถระโพธิสัตว์ ทั้งสองพระองค์สถิต ณ เบื้องตะวันออกของมัชฉิมประเทศ ทั้งสองพระองค์จะช่วยกันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรื่องสืบไป และในเวลาไม่นานแผ่นดินอธรรมจะถล่มเป็นทะเล อธรรมจะพ่ายแพ้ไปทั้งหมด จากนั้นแผ่นดินจะเป็นยุคศรีวิไล

    ได้มีการบอกกล่าวเล่าสืบกันมาว่า ในยุคของพระศรีอาริยเมตไตรย ผู้คนจะไม่ลำบากบากแค้น คนทั่วไปจะมีกินมีใช้กันทั่วหน้า บ้านเมืองจะไม่มีโจรขโมยเป็นเสมือน “เมืองสวรรค์บนโลกมนุษย์” เนื่องจากผู้คนโดยทั่วไปจะได้รับรู้ว่า ผลของการสร้างความดีหรือการสร้างความชั่วนั้น ผลสุดท้ายจะเป็นเช่นไร พระศรีอาริยเมตไตรยจะทรงพิสูจน์และแสดงให้เห็นด้วยรูปธรรมมิใช่นามธรรมดังที่เคยได้ยินกันมาว่า นรก-สวรรค์ เป็นอย่างไร ตายแล้วไปไหน เมื่อผู้คนเริ่มรู้ถึงความจริงแล้ว ผู้คนจะสร้างกรรมชั่วต่อไปหรือไม่ หรือจะสร้างกรรมดีเพื่อที่ว่าเมื่อทิ้งสังขารจากภพนี้ไปแล้วจะได้ไม่ต้องไปชดใช้กรรมใน นรกภูมิ


    http://webboard.mthai.com/7/2006-03-29/216426.html
    <!--detail--><!-- [​IMG] -->
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    <CENTER>ยุคพระศรีอาริยเมตไตรย ตอนที่ 2 </CENTER>
    <!--detail--><!--images--><!--images-->ปัจจุบันนี้วิถีชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไปจากสมัยอดีตอยู่มาก เมื่อมีความเจริญทางวัตถุและเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นเพื่อสนองความต้องการของมนุษย์มากขึ้นเท่าไหร่ ความเจริญทางด้านจิตใจกับลดน้อยลงไปทุกทีๆ ทั้งนี้เนื่องจากอะไรเป็นต้นเหตุ ผู้คนเข้าวัดน้อยลง คิดเพียงว่าไปทำบุญ ตักบาตร ถวายพระสงฆ์แล้วเพียงแค่นั้นก็ได้บุญหรือคิดเพียงเป็นการสะเดาะเคราะห์ต่อดวงชะตา เสริมบารมีเหมือนอย่างที่เป็นข่าวให้ได้เห็นการอยู่เรื่อยๆมา เป็นพุทธศาสนิกชนแต่เพียงชื่อมีมากมายขนาดไหน เรายอมรับกันหรือไม่ ที่ประเทศอินเดียมีผู้นับถือพุทธไม่น่าจะเกินร้อยละ 7 ทั้งที่เป็นต้นกำเนิดของพุทธศาสนาเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น เราทั้งหลายได้พิจารณาด้วยความคิดและสติปัญญาแล้วหรือยังว่า
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    <CENTER>ยุคพระศรีอาริยเมตไตรย ตอนที่ 3

    </CENTER>
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message --><!-- ads code --><SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-0334174069738588";/* 160x600, ถูกสร้างขึ้นแล้ว 1/12/09 */google_ad_slot = "9414322058";google_ad_width = 160;google_ad_height = 600;//--></SCRIPT><SCRIPT type=text/javascript src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js"></SCRIPT>
    <!--detail--><!--images--><!--images-->คนเราทุกคนเกิดมาเพราะมีเวรจากการกระทำของตน มีใครจะทราบภูมิหลังของตนได้ว่า ชาติก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน บ้างก็บอกว่า ถ้าทำกรรมดีก็ได้ไปสวรรค์ ถ้าทำกรรมชั่วก็ได้ลงไปชดใช้กรรมอยู่ในนรก ซึ่งเป็นเรื่องที่เล่าสืบกันมา ได้ยินได้ฟังกันมาในลักษณะของนามธรรม แต่พระศรีอาริยเมตไตรยจะสามารถแสดงนรก-สวรรค์ให้ผู้คนได้เห็นจริงได้ด้วยรูปธรรม มิใช่เพียงนามธรรมตามที่ได้สั่งสอนกันมาหรือได้ยินได้ฟังกันมา เมื่อผู้คนได้ทราบผลแห่งการทำความดีและความชั่วแล้ว ผู้คนก็จะประพฤติปฎิบัติดี มีศีลธรรม ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่เบียดเบียนกัน สังคมก็จะมีความสงบสุขที่แท้จริงอย่างยั่งยืนและตลอดไป

    จากตอนที่ 2 ท่านผู้อ่านทั้งหลายคงพอจะทราบแล้วว่า จากการศึกษาและค้นคว้าจากผู้เชี่ยวชาญศาสนาในมหาวิทยาลัยต่างๆของโลกและศูนย์ศาสนาที่สำคัญๆต่าง ได้มีความเห็นเดียวกันว่า
     
  8. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    ^^ สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ ค่ะ ^^

    [​IMG]

    ณ มณฑปพระศรีอาริยเมตไตรย วัดท่าซุง จ.อุทัยทานี
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ถาม
    คำว่า พุทธภูมิ คือผู้ที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า

    ส่วนพระโพธิสัตว์จะได้เป็นโดยได้รับการทำนายจากพระพุทธเจ้า โดยแยกระดับพระโพธิสัตว์ใช่หรือไม่คะ

    ตอบ
    พระโพธิสัตว์ นั้นแยกโดยหลักใหญ่ๆแบ่งออกได้ 2 แบบครับ
    1.พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้รับคำพยากรว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า
    2.พระโพธิสัตว์ที่รับคำพยากรว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า

    พระโพธิสัตว์ที่รับคำพยากรว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าแบ่งออกอีก 3 ประเภทคือ
    1.พระโพธิสัตว์ที่รับคำพยากรว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าที่มีบารมี อยู่ตอนต้น
    2.พระโพธิสัตว์ที่รับคำพยากรว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าที่มีบารมี อยู่ตอนกลาง
    3.พระโพธิสัตว์ที่รับคำพยากรว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าที่มีบารมี อยู่ตอนปลาย ระดับปรมัตถบารมี เรียกว่า พระมหาโพธิสัตว์
    (ทั้ง 3 ข้อด้านบนยังสามารถแบ่งย่อยได้อีก 3 ระดับ ต้น , กลาง , ปลาย)

    ถาม
    หากเราปรารถนาแค่พระโพธิสัตว์ โดยไม่ปรารถนาถึงขั้นพระพุทธเจ้า

    ตอบ
    - พระโพธิสัตว์ ที่สมบูรณ์แบบจริง ๆ นั้น ต้องปรารถนาช่วยสรรพสัตว์เป็นหลัก พอบารมีมากขึ้นเรื่อยๆท่านก็จะคิดได้เองว่า ถ้าเราช่วยแบบนี้มันไม่รู้จักสิ้นสุด ช่วยตลอดบ้างทั้งก็ช่วยแล้วช่วยอีกไม่รู้จักจบ

    แล้วมันจะจบที่ไหน สุดท้ายต้องจบที่พระนิพพานถ้าอย่างนั้นทำอย่างไรให้เขาเหล่านั้นไปพระนิพพานก็ต้องเป็นพระพุทธเจ้าจึงจะทำให้เขาเหล่านั้นไปพระ นิพพานได้ พระโพธิสัตว์จริงๆเขาคิดกันแบบนี้

    " พระมหาโพธิสัตว์ " บางท่านตั้งใจไว้ว่า หากได้ตรัสรู้เป็น พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วยังจะขอช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้ง 3 ภพให้เป็นปกติ
    พระมหาโพธิสัตว์ ท่านนั้นมีนามว่า พระศรีอริยเมตไตรยพระพุทธเจ้า หรือ เมตไตรยพระพุทธเจ้า

    เมต ก็คือ เมตตา , ไตร แปลว่า 3 ก็คือ 3 ภพ ชื่อของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ มีความหมายในตัวทั้งหมดครับ

    ผมบอกแบบนี้เดี๋ยวหลายๆท่านไปนั่งแปลชื่อพระพุทธเจ้า อีก ผมว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำนะครับ ถ้าอยากรู้ไปถามท่านเองครับเพราะตัวท่านๆย่อมรู้ดีที่สุด

    ถาม
    หากปรารถนาแค่พระโพธิสัตว์จะเรียกว่า เป็นพุทธภูมิหรือไม่คะ

    ตอบ
    เรียกว่าเป็น พุทธภูมิ ครับ
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ถาม
    พระพุทธเจ้าที่ผ่านมามีมากมาย แต่ละองค์มีความแตกต่างหรือไม่ อย่างไร

    ตอบ
    มีความแตกต่างแน่นอนครับ ที่เห็นได้อย่างเด่นชัด คือ
    - วิถีทางในการบำเพ็ญบารมี
    - ระยะเวลาในการสั่งสมบารมี
    - ความสมบูรณ์ของโลกธาตุในสมัยที่ได้ตรัสรู้
    - ความพิเศษเฉพาะพระองค์
    - อายุของพระศาสนา
    - จำนวนพระสาวก

    และ รายละเอียดอื่นๆ อีกมากมาย
    แต่สิ่งที่ไม่มีความแตกต่าง ก็คือ พระสัมมาสัมโพธิญาณ พุทธภาวะ แห่งการเป็นพระพุทธเจ้า เสมอเหมือนกันหมดทุกพระองค์ครับ
    ที่สุดนี้ ถ้าจะกล่าวถึงพระพุทธเจ้าองค์ที่มีความสำคัญมากที่สุด ยิ่งใหญ่มากที่สุด ใช้เวลาในการบำเพ็ญพระบารมีมาอย่างยาวนานมากที่สุด และแสนจะลำบากยากเย็นมากที่สุด ทรงค้นพบทางแห่งการตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ ด้วยพระองค์เองอย่างแท้จริง ทรงเป็นองค์ต้นแบบแห่งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
    จะเป็นพระองค์ใดไปไม่ได้นอกจาก " สมเด็จพระองค์ปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธสิขีทศพลที่ 1 "


    ถาม
    ตลอดระยะเวลาแห่งการปรารถนานั้น มีการแบ่งแยกโดยเนื้อแท้ของความปรารถนาของโพธิสัตว์ด้วยหรือ เช่น ปรารถนาแบบปัญญาธิกะ วิริยาธิกะ พระโพธิสัตว์จะจำแนกแยกแยะด้วยเหตุเหล่านี้หรือไม่ อย่างไร

    ตอบ
    การปรารถนาแบบปัญญาธิกะ ตั้งใจปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้าเพียงอย่างเดียว ปฏิบัติตรงให้ถึงการเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเร็วที่สุด

    การปฏิบัติของพระโพธิสัตว์ประเภทนี้ จะหนักไปในทาง ปฏิบัติสมาธิ และ วิปัสสนาเป็นหลัก เอากำลังใจให้ถึงความเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าให้เร็วที่สุด

    เมื่อท่านตรัสรู้จะมีทั้งคนจน คนเลว คนไม่มีศีล เกิดร่วมอยู่ในสมัยท่านด้วย ตัวอย่างก็พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ชื่อ สมณะโคดมพระพุทธเจ้า ตอนท่านตรัจรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านพิจารณาว่าจะเอาธรรมะที่ตรัสรู้ได้นั้นจะไปสอนอย่างไร ท่านมองดู คนในสมัยนั้นยากต่อการสอนยากมาก พระสหบดีพรหม์ก็ลงมาเชิญให้พระพุทธเจ้าท่านทรงโปรดมนุษย์

    การปรารถนาแบบ สัทธาธิกะ ตั้งใจปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ต้องการสิ่งพิเศษมากมาย นอกจากจะช่วยสรรพสัตว์ เมื่อท่านตรัสรู้จะมีทั้งคนจน ไม่มีคนเลว คนมีศีล สอนคนในยุคนั้นง่ายกว่าแบบปัญญาธิกะ

    การปรารถนาแบบ วิริยาธิกะ ตั้งใจปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้า พร้อมสิ่งสมมุติอื่นที่ท่านปรารถนาเพิ่ม เช่นเป็นพระพุทธเจ้าที่ทรงมีรัศมีพระวรกายมากที่สุด (มีไปแล้วนะครับ) เป็นพระพุทธเจ้าที่ทรงอิทธิฤทธ์มาก ( พระศรีอริยเมตไตรยพระพุทธเจ้า)

    พระโพธิสัตว์ประเภทนี้ใช้ระยะเวลามากที่สุด ต้องหนักไปในทางเมตตา , ธรรมะ เมื่อท่านตรัสรู้จะ มีแต่คนรวย คนมีศีล ไม่มีคนเลว สอนคนในยุคนั้นง่ายกว่าแบบ สัทธาธิกะ


    พระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบุญมากนั้นอย่าง แบบ วิริยาธิกะ ในยุดที่ท่านเกิด คนเลวจะไปเกิดในยุคนั้นไม่ได้เลย เพราะบุญที่ทำมามากๆ ทำให้ในยุคนั้นคนเลวไม่มี ความเป็นอยู่ก็สะดวกสบายทุกอย่าง

    และดูอย่าง สมณะโคดมพระพุทธเจ้า คนในสมัยนี้สบายว่าคนในยุค หลังไป 2500 ปีมาก ถ้าเกิดในสมัยนั้นจะต่อ internet แบบนี้ได้ไหม TV ก็ไม่มี สรุปว่ายังเป็นยุคที่ลำบากอยู่ครับ

    ท่านผู้อ่านลองไปเปรียบเทียบกับยุค พระศรีอริยเมตไตรยพระพุทธเจ้า ที่ พระสมณะโคดมพระพุทธเจ้าบอกไว้ซิครับ คนยุคพระสมณะโคดมพระพุทธเจ้า กับ คนในยุค พระศรีอริยเมตไตรยพระพุทธเจ้า เทียบกันไม่ได้เลยสบายกว่ากันเยอะ

    พระพุทธเจ้า แบบปัญญาธิกะ แบบ สัทธาธิกะ แบบ วิริยาธิกะ ก็ต่างกันที่สมมุติภายนอกเท่านั้น ความเป็นพระพุทธเจ้าไม่แตกต่างกัน สมมุติมากก็บำเพ็ญบารมีมากตามครับ

    พระพุทธเจ้าที่แต่ละองค์นั้นที่ได้จุติไปแล้วนั้น มีความเป็นพระพุทธเจ้าเท่ากันทั้งหมดครับ ถ้าจะเปรียบเทียบก็เปรียบดังพระอรหันต์ที่แบ่งออกได้เป็น
    1.สุขวิปัสโก
    2.แบบวิชา 3
    3.แบบอภิญญา 6
    4.แบบปฏิสัมภิทาณาน

    ทั้ง 4 แบบนี้ ก็มีความเป็นพระอรหันต์เท่ากัน ละกิเสลได้เหมือนกัน แต่มีเพียงสมมุติภายนอกเท่านั้นที่ทำให้ความสามารถของพระอรหันต ์แต่ละองค์ไม่เท่ากันครับ
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ถาม

    มูลเหตุสำคัญที่ทำให้ระยะเวลาในการสร้างบารมีช้า เร็ว แตกต่างกันนั้น แก่นสำคัญ คืออะไร

    ตอบ

    - ระยะเวลาในการสร้างบารมีช้า หรือ เร็วนั้นขึ้นอยู่กับความตั้งใจของผู้ปรารถนาพุทธภูมิ

    ถ้าความตั้งใจนั้นมากด้วยสมมุติก็ใช้ระยะเวลานาน
    ถ้าความตั้งใจนั้นปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียว ก็ใช้ระยะเวลาไม่นานมาก

    แล้วอะไรคือสิ่งที่บอกว่าสมมุติ สิ่งสมมุติคือ
    - ความสมบูรณ์ของโลกธาตุในสมัยที่ได้ตรัสรู้
    - ความพิเศษเฉพาะพระองค์
    - อายุของพระศาสนา
    - จำนวนพระสาวก
    และ รายละเอียดอื่นๆ อีกมากมาย

    - การจะบำเพ็ญเพื่อเป็นพระพุทธเจ้านั้นนอกจากจะต้องบำเพ็ญบารมี 10 ให้ครบแล้วยังมีหลักที่สำคัญอีกประการคือ อานิสงค์ ต้องเต็มด้วย ผมจะขออธิบายเพิ่มดังนี้ครับ สิ่งที่พุทธภูมิต้องกระทำ

    1.บำเพ็ญบารมี 10 เป็นสิ่งที่พุทธภูมิที่จะเป็นพระพุทธเจ้านั้น ต้องเต็มเท่ากันหมด
    2.อานิสงค์ เป็นสิ่งที่ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ ต้องการเป็นเพียงสิ่งสมมุติ ตอนที่ท่านตรัสเป็นพระพุทธเจ้าครับ พระโพธิสัตว์หลายท่านที่บำเพ็ญแบบ วิริยาธิกะและทำบารมี 10 เต็มแล้วยังต้องมาเกิดอีก 1 ชาติเพื่อทำอานิสงค์ให้เต็ม
    การมาเกิดของท่านนี้จะมีเทวดาอยู่กับท่านโดยตลอด และเทวดานี้ละครับเป็น ส่วนช่วยให้เกิดอานิสงค์บางอย่างที่ท่านปรารถนาไว้เมื่อจะตรัสเป็นพระพุทธเจ้า

    ถาม
    แล้วเทวดามาได้อย่างไร

    ตอบ

    - บุคคลใดก็ตามที่อยู่ในข่ายที่พระพุทธเจ้าในอดีตท่านได้ตรัจไว้แล้วสิ่งนั้นจะเป็นจริงทุกประการ ด้วยเหตุนี้ผู้ที่อยู่ในข่ายพุทธทำนายก็ดี หรือพระมหาโพธิสัตว์ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ เมื่อท่านตรัสเป็นพระพุทธเจ้าแล้วท่านจะมีสิ่งใดบางที่พิเศษกว่าพระพุทธเจ้าบางองค์เนื่องจากอานิสงค์นั้นๆไม่เท่ากัน
    ดังนั้นท่านใดก็ตามที่อยู่ในข่ายที่พระพุทธเจ้าในอดีตทำนายหรือ ตรัสไว้ บุคคลผู้นั้นจะมีเทวดารักษาโดยตลอดครับ

    อานิสงค์นี้พระโพธิสัตว์แต่ละท่านส่วนมากทำมาไม่เหมือนกัน ดังนั้นเมื่อตรัสเป็นพระพุทธเจ้าแต่ความแตกต่างของสมมุติที่เกิดขึ้นจึงต่างกันครับ

    ถาม
    ถ้าเราปรารถนาเพียงว่า เมื่อเราบรรลุธรรมแล้ว ขอเป็นนำพาสรรพสัตว์ให้บรรลุนิพพานมากมายแบบหาที่สุดในจำนวนมิได้นั้น จะมีผลต่อระยะเวลาการสร้างบารมี หรือไม่อย่างไร

    ตอบ

    - ถ้าตั้งสมมุติขนาดนี้นานแน่ครับ
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ถาม
    การลงมาช่วยมนุษย์ของพระโพธิสัตว์พร้อมกับมหาพระโพธิสัตว์ที่ จะตรัสรู้เป็นองค์ต่อไปจะเหมือนกันทุกครั้งไหมครับ

    ตอบ
    ส่วนมากการลงมาของพระโพธิสัตว์จะลงมาพร้อมกับมหาพระโพธิสัตว์
    เนื่องพระมหาโพธิสัตว์นั้นจะสามารถแนะนำการปฏิบัติให้กับพระโพธ ิสัตว์ได้
    อย่างเช่น ยุคที่ พระมหาโพธิสัตว์ ลงมาจุติเป็นพระพุทธเจ้าจะมี พระโพธิสัตว์ หลายท่านลงมาเป็นจำนวนมากเพื่อบำเพ็ญบารมีและให้ได้อยู่ใกล้กั บพระพุทธเจ้า

    และในยุคปัจจุบันนี้ที่มี พระโพธิสัตว์เป็นจำนวนมากก็เพราะมีพระมหาโพธิสัตว์นั้นลงมาครับ เหตุเนื่องจากที่พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า

    "หลังจากกึ่งพุทธกาลแล้ว พุทธศาสนาจะรุ่งเรืองอีกวาระหนึ่ง และก็จะมีพระอริยเจ้ามากคล้ายสมัยพระองค์อยู่"

    ทั้งหมดนี้เป็นหน้าที่ของพระมหาโพธิสัตว์และพระโพธิสัตว์โดยตรง ท่านจึงต้องลงมาเกิดเพื่อช่วยพุทธศาสนาครับ

    และท่านที่เป็นพระโพธิสัตว์ก็ได้โอกาสบำเพ็ญบารมีและให้พระมหาโ พธิสัตว์นั้น สอนเรื่องการปฏิบัติครับ

    การเกิดของพระมหาโพธิสัตว์ นั้นสามารถเลือก วันเดือนปี เวลาเกิด และ บิดา มารดา ได้ทั้งหมด และบิดา มารดา ก็เป็นพุทธบิดา และ พุทธมารดาที่เกิดมาทำอานิสงค์ร่วมกันในชาติสุดท้ายด้วย

    ส่วนพระโพธิสัตว์นั้น ยังไม่สามารถเลือกเกิดได้แบบนั้นนะครับ และการเลือกเกิดของพระมหาโพธิสัตว์ นั้นท่านที่มีบารมีตอนต้นก็เลือกได้น้อย ท่านที่มีบารมีตอนกลางก็เลือกได้มากหน่อยท่านที่มีบารมีตอนปลาย ก็เลือกได้มาก เลือกได้คล้ายกับชาติสุดท้ายที่จะลงมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าครับ



    http://www.bbznet.com/scripts2/view.php?user=thramma&board=4&id=2&c=1&order=numtopic
     
  13. humanbeing

    humanbeing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +214
    ขอบคุณสำหรับเรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าทั้ง 28 พระองค์ค่ะ สาธุ
     
  14. albertalos

    albertalos เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    2,462
    ค่าพลัง:
    +1,137
    นาธุ
     
  15. อารมณ์สุนทรีย์

    อารมณ์สุนทรีย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    522
    ค่าพลัง:
    +1,740
    ตัณ เม สะ ทิ โก มัง สุ เร โส
    อะ มะ นา ปะ สุ สุ ปิ
    อะ ทะ สิ ติ ปุ วิ สิ เว
    กุ โก กะ โค นะ มา มิ หัง
     
  16. นาคกัญญา

    นาคกัญญา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +20
    สาธุ กับบทความดีๆ ทำให้มีปัญญาเพิ่มขึ้น และขออนุโมทนาบุญกับท่านเจ้าของบทความด้วยบุญนี้เทอญ
     
  17. CharnK

    CharnK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    444
    ค่าพลัง:
    +1,453
    อ่านกี่ครั้ง อ่านเมื่อไหร่ ก็ชื่นใจเมื่อนั้น
     
  18. รัตนภูมินทร์

    รัตนภูมินทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    219
    ค่าพลัง:
    +319
    อ่านกี่ครั้งก้อไม่รู้สึกเบื่อเลย

    ขอขอบคุณกับความรู้ที่เป็นมงคลแก่ชีวิตเป็นอย่างมากนะคับ

    ผมขออนุโมทนาบุญคับ
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    การบำเพ็ญบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

    จากกัณฑ์ที่ ๑ การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์
    (จากพุทธตำนานพระเจ้าเลียบโลก หน้าที่ ๑๘–๒๒ การบำเพ็ญบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)

    นโม ตัสสัตถุฯ มหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปารมี สัพพาปัตโต สัมโพธิมุตตมัน.ติ สาธโว ดูราสัปปุริสะทั้งหลายอันว่า พระพุทธเจ้าองค์ประกอบด้วย พระมหากรุณาธิคุณ เป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลกทั้งมวล ทรงยังพระบารมีทั้งปวงให้บริบูรณ์แล้ว พร้อมกับด้วย มหาบริจาคทาน ๕ ประการ และ จริยะ ๓ ประการ กับทั้งสุจริตธรรม ๓ ประการ โดยใช้เวลาบำเพ็ญทั้งสิ้น ๒๐ อสงไขย กับแสนมหากัป หิตายะ เหตุเพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งมวล แล

    อธิบายว่า พระพุทธเจ้าแห่งเราทั้งหลาย ทรงบังเกิดความเอ็นดูกรุณาในหมู่สัตว์โลก ตั้งแต่สมัยเมื่อพระองค์ได้พระชาติเป็น มาณวะ ชื่อว่า มาตุธารกมาณวะ ใน ครั้งนั้นพระองค์ได้อุปัฏฐากเลี้ยงดูมารดาของพระองค์ โดยเอามารดาขึ้นสู่สำเภาไปกับด้วยพ่อค้า ๕๐๐ คน แล่นเรือไปสิ้นเวลา ๗ วัน ก็ไปถึงท่ามกลางมหาสมุทร เรือสำเภาถูกคลื่นลมแตกทำลายลง พ่อค้าทั้ง ๕๐๐ คน ก็กลายเป็นอาหารของปลาและเต่าร้ายทั้งหลายสิ้น

    ใน กาลครั้งนั้น มาตุธารกมาณวะเป็นผู้ประกอบด้วยพละกำลังและความเพียรมาก ก็อุ้มเอามารดาแห่งตน ปีนขึ้นสู่ยอดเสากระโดงโดยฉับพลัน ดูดดื่มกินน้ำสัปปิแล้วอุ้มมารดากระโดดไปไกล ๑ คาวุต (๒๐๐๐ วา) เพื่อให้พ้นจากแดนแห่งปลาและเต่าร้ายทั้งหลาย จากนั้นก็นำมารดาว่ายน้ำไปโดยลำดับตลอด ๗ วัน ๗ คืน ก็หาได้ละทิ้งความเพียรพยายามไม่

    ใน กาลครั้งนั้น ท้าวมหาพรหมอันอยู่ชั้นพรหมโลก ก็เล็งดูบุรุษทั้งหลายในโลก ที่จะเหมาะแก่การตั้งปณิธานปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมโพธิญาณ แม้คนหนึ่งก็หาไม่พบ บังเอิญเล็งเห็น มาตุธารกมาณวะ ผู้กำลังเอามารดาแห่งตนขี่คอ ว่ายน้ำอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร เห็นว่าเป็นบุรุษผู้ประกอบด้วยความเพียรพยายามเป็นอันมาก

    ท้าวมหาพรหมจึงเสด็จลงมาจากพรหมโลกมา บันดาลใจมาตุธารกมาณวะผู้นั้น ให้บังเกิดความเอ็นดูกรุณาสรรพสัตว์ทั้งหลาย และให้มีใจมุ่งปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลายเป็นอันมาก

    มาตุธารกมาณวะ จึงมีวิตกรำพึงว่า “พุทโธ โพเธยยํ มุตโต โมเจยยํ ติณโณ ตาเรยยํ”ดังนี้
    พุทโธ อันว่าบุคคลผู้ได้ตรัสรู้ธรรมทั้งมวล
    โพเธยยํ พึงยังบุคคลอื่นให้ตรัสรู้ธรรมอันนั้นเหมือนดังที่ตนได้ตรัสรู้แล้ว
    ติญโณ อันว่าบุคคลใดข้ามพ้นแล้ว จากมหาสมุทรกล่าวคือ วัฏฏสงสาร
    ตาเรยยํ พึงยังบุคคลอื่นให้ข้ามพ้นจากวัฏฏสงสาร เหมือนดังที่ตนข้ามพ้น ดังนี้

    มาตุธารกะครุ่นคิดรำพึงอยู่เช่นนี้ตลอดเวลา ในขณะที่ให้มารดาขี่คอว่ายอยู่ในน้ำ มหาสมุทรตลอด ๗ วัน

    ฝ่าย ว่านางมณีเมขลาผู้เป็นเทวดามีหน้าที่รักษาน้ำมหาสมุทร มีความกลัวคำตำหนิติเตียนจากพระอินทร์ และพระพรหมทั้งหลาย จึงไปช่วยมาตุธารกมาณวะพร้อมทั้งมารดาให้พ้นจากน้ำมหาสมุทร

    มาตุธารกมาณวะ ก็ยิ่งบังเกิดมีใจใคร่ปรารถนาซึ่งสัพพัญญุตญาณมากขึ้น จึงกราบมารดาแห่งตน แล้วตั้งใจระลึกสมาทานอธิษฐานขอเป็นพระพุทธเจ้า

    ด้วยคิดแต่ในใจ ว่า “ด้วย เดชผลบุญที่ข้าพเจ้าได้ให้มารดาขี่คอพาว่ายน้ำข้ามน้ำมหาสมุทรพ้นจากภัยทั้ง มวลนี้ จงเป็นปัจจัยอุดหนุนให้ข้าพเจ้าได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ในกาลที่จักมาภายหน้า ให้ข้าพเจ้าได้ช่วยเหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลายเทอญ” เมื่อรำพึงเช่นนี้แล้ว ตั้งแต่นั้นมาก็อยู่อุปัฏฐากมารดาแห่งตน จนตราบสิ้นอายุ เมื่อจุติจากชาตินั้นก็ได้บังเกิดในเทวโลก
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    นับตั้งแต่ชาตินั้นเป็นต้นมา มาณะวะ ผู้นั้น จะเกิดมาในชาติใดก็ดี ก็ปรากฏชื่อว่า “เป็นโพธิสัตว์” ทุกชาติ

    อัน ว่าพระโพธิสัตว์นั้น หากว่าเกิดมาเป็นเทวดาก็ดี พระอินทร์ก็ดี พระพรหมก็ดี เป็นมนุษย์หรือแม้สัตว์เดรัจฉาน ก็ย่อมประกอบไปด้วยญาณปัญญาอันพิเศษ ย่อมรู้เหตุและผลทั้งสิ้นโดยแจ่มแจ้งยิ่งนัก


    ย่อมบำเพ็ญบารมีธรรมสะสมไว้เสมอ นานได้ ๗ อสงไขย กับแสนมหากัป
    ได้พบพระพุทธเจ้า 125,000 พระองค์

    โดยเป็นแต่คิดไว้ในใจ ยังไม่เปล่งวาจาออกจากปาก (พุทธดำริได้ ๗ อสงไขย)

    ครั้นเมื่อหมดสิ้น ๗ อสงไขยกับแสนมหากัปป์นั้นแล้ว

    พระโพธิสัตว์ก็ได้มาบังเกิดเป็นพระมหาจักรพรรดิ พระองค์หนึ่งพระนามว่า “มหาสาครจักกวัตติราช” ในศาสนาของพระพุทธเจ้าทรงพระนาม โปราณโคตมะ

    พระมหาสาครจักกวัตติราช ก็ทรงให้สร้างปราสาทด้วย ไม้จันทน์แดงรวมทั้งสิ้น ๑๐๐,๐๐๐ หลัง ให้เป็นที่สถิตอยู่แห่งพระรัตนตรัย

    แล้วได้เปล่งวาจา ตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ให้ปรากฏแก่คน แลเทวดาทั้งหลาย (ผ่านพุทธดำริ ๗ อสงไขย แล้ว จึงเปล่ง พุทธวาจา)

    ตั้งแต่ชาตินั้น แม้นว่าพระโพธิสัตว์เกิดมาในชาติใดก็ตาม ย่อมบำเพ็ญบารมีธรรมเป็นนิจ นานได้ ๙ อสงไขย กับแสนมหากัป ได้เกิดพบพระเจ้าทั้งหลายนับได้ ๓๘๗,๐๐๐ องค์ พระโพธิสัตว์ก็ได้กราบไหว้บูชา เปล่งวาจา ปรารถนาพุทธภูมิ

    เมื่อ ๙ อสงไขย กับแสนมหากัป หมดสิ้นไปแล้ว....

    พระโพธิสัตว์ก็ได้บังเกิดเป็นพราหมณ์ผู้หนึ่ง ได้ออกบวชเป็นฤาษี มีชื่อปรากฏว่า “สุเมธฤาษี” ในสมัยนั้นเป็นการศาสนาของ พระพุทธเจ้าทีปังกร

    สุเมธฤาษีได้อุทิศตนลงนอนทอดแทนสะพาน ให้พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ องค์ เดินไต่ข้ามไป

    พระโพธิสัตว์ ตั้งความปรารถนาพุทธภูมิ ด้วยใจ ด้วยวาจา และด้วยกาย ในครั้งนั้น

    พระพุทธเจ้าทีปังกร ก็ตรัสพยากรณ์ว่า “ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ท่านสุเมธฤาษีองค์นี้ จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในภัทรกัปป์ภายหน้า นับแต่นี้ไปเป็นเวลา ๔ อสงไขย กับแสนมหากัป จักปรากฏพระนามว่า “โคตมสัมมาสัมพุทธะ” เมืองที่จะไปบังเกิดนั้นชื่อว่า “เมืองกบิลพัสดุ” พระบิดาพระนามว่า “สุทโธทนะ” มารดาพระนามว่า “ศรีมหามายา” พระเทวีพระนามว่า “ยโสธราพิมพา” พระโอรสพระนามว่า “ราหุล” จะอยู่ในราชสมบัตินานได้ ๒๙ ปีแล้วจะออกทรงผนวช ด้วยยานคือม้า ชื่อ “กัณฐกะ” จักบำเพ็ญเพียรได้ ๖ ปี แล้วจึงจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหนือรัตนบัลลังก์อาสน์อันสูงได้ ๑๘ ศอก ภายใต้ต้นไม้ปาแป้งอันเป็นไม้มหาโพธิ์ แล้วจักสั่งสอนกุลบุตรทั้งหลาย ให้ได้บรรลุถึงอรหัตถผล สั่งสอนโปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลาย เหมือนดั่งตถาคตนี้แล อัครสาวกฝ่ายขวามีชื่อว่า “สารีบุตร” อัครสาวกฝ่ายซ้ายมีชื่อว่า “มหาโมคคัลลานะ” พุทธอุปัฏฐากชื่อว่า “มหาอานันทะ” พระพุทธเจ้าโคตมะ พระองค์นั้นจักมีอายุยืนอยู่ ๘๐ ปี แล้วปรินิพพานไป จักตั้งพระศาสนาไว้เพื่อสั่งสอน โปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลายสิ้น ๕,๐๐๐ พระวัสสา
     

แชร์หน้านี้

Loading...