พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไขปริศนา เส้นทาง"ลูกปัด"
    http://www.matichon.co.th/khaosod/v...ionid=TURNeE53PT0=&day=TWpBd09TMHdNeTB4TlE9PQ==


    มนตรี จิรพรพนิต




    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ในที่สุดก็ได้กลับคืนมาแล้ว "ลูกปัดสุริยเทพ" หรือลูกปัดหน้าคน อายุเก่าแก่กว่า 2,000 ปี ของ น.พ.บัญชา พงษ์พานิช นักวิชาการด้านศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น หลังถูกขโมยไปจากงานนิทรรศการ ที่สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ หรือ "มิวเซียมสยาม"

    โดยผู้ที่ขโมยไปนำใส่ซองจดหมายจ่าหน้าถึงมิวเซียนสยาม พร้อมทั้งเขียนขอโทษ แม้จะยอมคืนแล้วก็ตาม แต่เป็นความผิดอาญา ไม่สามารถยอมความได้ ทางตำรวจยืนยันจะหาตัวมือฉกมาดำเนินคดีต่อไป

    อย่างไรก็ตาม การหายไปของลูกปัด ทำให้ผู้คนในสังคมไม่น้อย รับรู้ถึงความสำคัญของโบราณวัตถุชนิดนี้ ซึ่งเป็นเครื่องประดับ และเครืองรางของขลังของคนสมัยก่อน ย้อนกลับไปได้นับพันปี มีแง่มุมทางประวัติศาสตร์ การติดต่อค้าขายของผู้คนสมัยนั้น

    โดยเฉพาะในภาคใต้ดังที่ อ.คลองท่อม จ.กระบี่ แหล่งค้นพบลูกปัดสุริยเทพ และอีกนานาชนิด ไม่เฉพาะที่คลองท่อมเท่านั้น ยังมีที่บ้านทุ่งตึก อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา, อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี, ภูเขาทอง อ.สุขสำราญ จ.ระนอง

    รวมไปถึงในภาคเหนือ พบที่บ้านวังไฮ จ.ลำพูน, ภาคอีสาน ที่บ้านเชียง จ.อุดรธานี, บ้านธารประสาท เนินอุโลก จ.นครราชสีมา

    ภาคกลางที่เมืองซับจำปา บ้านโป่งมะนาว บ้านท่าแค จ.ลพบุรี, บ้านดอนตาเพชร จ.กาญจนบุรี, เมืองอู่ทอง จ.สุพรรณบุรี เมืองจันเสน จ.นครสวรรค์, เมืองดงละคร จ.นครนายก, เมืองศรีมหาโพธิ์ และเมืองศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี เป็นต้น



    นายพิสิฐ เจริญวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส สาขาทัศนศิลป์ ผอ.ศูนย์ภูมิภาคโบราณคดีและวิจิตรศิลป์แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวถึงภาพรวมของวัฒนธรรมลูกปัดว่า ไม่ได้ใช้ประโยชน์เป็นเครื่องประดับเท่านั้น แต่ใช้แลกเปลี่ยนเป็นเงินตรา แลกเปลี่ยนทองคำที่สมัยนั้นหาได้ง่ายกว่าลูกปัดมาก แลกงาช้าง หรือแม้แต่ทาส
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ดังนั้น สิ่งที่นักเดินทางนำติดตัวไปด้วย คือ ลูกปัดจากยุโรป โดยเฉพาะจากเยอรมัน และไม่สามารถบ่งบอกถึงอายุที่แท้จริงของลูกปัด เพราะเป็นที่นิยมอย่างยาวนานหลายสมัย

    ส่วนลูกปัดมีหน้าเริ่มมีขึ้นประมาณ 2,300-1,700 ปีมาแล้ว ในสมัยกรีกและโรมัน การที่พบลูกปัดเป็นจำนวนมากที่คลองท่อม เพราะเป็นศูนย์กลางทางการค้าสมัยโบราณ ลูกปัดติดตามขบวนคาราวานสินค้าจากยุโรป เข้าสู่เอเชียตะวันตก ผ่านพื้นที่คลองท่อม และข้ามไปเอเชียตะวันออก

    การที่มีลูกปัดจากกรีกและโรมันมาอยู่บริเวณภาคใต้ของไทยจำนวนมาก ไม่ได้หมายความว่าเราจะค้าขายกับอาณาจักรเหล่านั้นโดยตรง แต่ผ่านต่อมาจากอินเดีย ที่เป็นเมืองท่าขนาดใหญ่ในยุคนั้น ขณะเดียวกัน อินเดียนำลูกปัดจากไทยไปยังประเทศตะวันตกด้วย แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครคิดศึกษาว่า มีลูกปัดที่ผลิตในประเทศไทยไปอยู่ยังประเทศต่างๆ มากแค่ไหน

    ยิ่งเมื่อดูจากสภาพภูมิศาสตร์ อินเดียอยู่ตะวันตก จีนอยู่ตะวันออก ไทยจึงเป็นศูนย์กลางทางการค้า และน่าจะเป็นศูนย์กลางการผลิตลูกปัดแหล่งใหญ่ เพราะไม่เห็นมีหลักฐานในประเทศอื่นที่ชัดเจนเท่าที่ภาคใต้ของไทย



    นางณัฏฐภัทร จันทวิช ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร กล่าวถึงลูกปัดกับวิถีชีวิตและความเชื่อว่า คนทั่วโลกต่างกลัวธรรมชาติเหมือนกัน จึงพบสัญลักษณ์ที่สื่อถึงเทพเจ้า โดยเฉพาะลูกปัด ไม่ว่าจะเป็นกรีก อียิปต์ หรือพระเวทย์ในอินเดีย
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    หลายแห่งหินสีหายาก จึงใช้แก้วที่ทำจากทรายมาทำเป็นลูกปัด ดังนั้น ลูกปัดแก้วพบครั้งแรกในสมัยอียิปต์ เปอร์เซีย และดินแดนที่เป็นทะเลทราย และโยงความเชื่อจากธรรมชาติ เช่น พระอาทิตย์ ทำให้เกิดเป็นลูกปัดสุริยเทพ ที่เป็นรูปหน้าคนมีรัศมีกระจายออกรอบด้าน

    ด้าน ร.อ.บุญฤทธิ์ ฉายสุวรรณ จากสำนักศิลปากรที่ 15 ภูเก็ต ร่วมให้ข้อมูลถึงเส้นทางสายลูกปัดว่า ที่ภาคใต้ชายฝั่งอันดามัน มีหลักฐานการติดต่อทางการค้ามากว่า 2,000 ปี ไม่ใช่อยู่เป็นชุมชนโดดเดี่ยว ระบบการค้าของโลกโยงกันทั้งหมด จากยุโรปถึงจีน ทั้งทางบกและทางทะเล เมื่อผ่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้องผ่านแหลมมลายู ทำให้มีหลักฐานทางการค้าต่างๆ ทางฝั่งทะเลอันดามันพบหลักฐานทางโบราณคดีมากมาย มีเมืองท่าในจุดต่างๆ

    ดังแหล่งโบราณคดีภูเขาทอง อ.สุขสำราญ อ.คุระบุรี จ.ระนอง จ.พังงา หรือที่ดังมาก คือ ควนลูกปัด อ.คลองท่อม ที่โดดเด่นมากจากลูกปัดหน้าคน พบมากในบริเวณนี้ จนมีคำถามว่า ลูกปัดสุริยเทพมีแหล่งผลิตที่คลองท่อมหรือไม่ แต่จากการศึกษายังไม่พบหลักฐานว่าในพื้นที่มีเทคนิคในการผลิตลูกปัดชนิดนี้



    น.พ.บัญชา กล่าวว่า ลูกปัดในภาคใต้มีหลากหลายรูปแบบ ลักษณะ วัตถุดิบ ทั้งดิน หิน โลหะ และแก้ว ครอบคลุมแทบทุกรูปแบบของสารบบลูกปัดในโลก จึงนับเป็นฐานการผลิตลูกปัดที่ใหญ่มากแห่งหนึ่งในโลก

    โดยเฉพาะลูกปัดสุริยเทพ แม้จะมีหลายฝ่ายกังขาว่า มีแหล่งผลิตที่แท้จริงอยู่ที่ไหน แต่วันนี้เริ่มมีคนพูดกันมากขึ้นว่า น่าจะเป็นที่คลองท่อม เพราะพบมากที่สุด ขณะที่ส่วนอื่นในโลกแทบไม่ปรากฏ จึงไม่น่าจะนำเข้ามาจากต่างประเทศตามที่หลายฝ่ายเข้าใจ

    จากหลักฐานที่พบทำให้ทราบว่า มีอายุอยู่ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 14-15 ก่อนยุคประวัติศาสตร์ไทย และมาพร้อมกับความเชื่อจากท้องถิ่นอื่น ไม่ว่าจะเป็นรูปเคารพเทพเจ้า

    อีกทั้งยังมีลูกปัดที่เรียกว่า "ตรีรัตนะ" ที่เป็นสัญลักษณ์ทางพุทธศาสนา ที่เคยแพร่หลายในหลังสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ประมาณพุทธศตวรรษที่ 4-5

    เป็นหลักฐานที่พิสูจน์ว่า พุทธศาสนาเข้ามายังสุวรรณภูมิ ก่อนสมัยทวารวดีตามความเชื่อเดิม

    น.พ.บัญชายืนยันว่า การที่สะสมลูกปัด ไม่ได้เป็นนักล่าสมบัติ แต่คิดว่าลูกปัดที่มีอยู่อย่างกระจัดกระจาย น่าจะเกินกำลังของใครก็ตามที่จะรวบรวมเพียงลำพัง ทุกคนควรเข้ามามีส่วนร่วมในการเก็บรักษา ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ชุมชน หรือในรูปแบบอื่น จึงเริ่มเข้ามาเก็บรวบรวม เพื่อเป็นสมบัติของชาติ และเพื่อการศึกษาของผู้ที่สนใจ

    ยิ่งเมื่อไปพบพูดคุยกับนักประวัติศาสตร์ ทั้งไทยและต่างชาติ ต่างระบุว่าควรรวบรวมไว้เป็นหนังสือ เพื่อให้ง่ายต่อการศึกษา และขณะนี้อยู่ในระหว่างการเตรียมงาน

    แต่บังเอิญมีเหตุลูกปัดสุริยเทพหายไป ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นการโปรโมตหนังสือที่กำลังจะออกมา แต่ทุกอย่างเป็นเรื่องบังเอิญที่ประดังเข้ามาในช่วงเวลาเดียวกันเท่านั้น

    ก่อนย้ำว่า อยากให้ทุกคนหันมาสนใจในเรื่องคุณค่าของลูกปัดในด้านประวัติศาสตร์ มากกว่าใส่ใจแต่เรื่องมูลค่า
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD>"ต้อย"ขอขมาคดีอนาจาร

    http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=37732


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ต้อย แอคเนอร์สำนึกผิดนัดนศ.สาวฝึกงานขอขมาถอนคำร้องทุกข์ที่สน.สุทธิสาร

    น.ส.สุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิสตรี มูลนิธิเพื่อนหญิง เปิดเผยว่า ได้รับแจงว่า ในวันที่ 16 มี.ค.นี้ นายเกรียงศักดิ์ สกุลชัย หรือ ต้อย แอคเนอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และเจ้าของหนังสือพิมพ์มายาแชลแนล ได้นัด น.ส.เพชรคัมภรณ์ งามชอชัยพฤกษ์ อายุ 25 ปี นักศึกษาปี 4 คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม นักศึกษาฝึกงาน ผู้เสียหายในคดีกล่าวหาว่า ต้อย แอคเนอร์ กระทำอนาจาร ไปพบที่สน.สุทธิสารในเวลา 10.00น.เพื่อขอขมาขอโทษ และถอนคำร้องทุกข์

    "นายต้อย แอคเนอร์ ยอมรับว่าได้ก่อความเสียหาย และสำนึกผิดกับสิ่งที้ทำทั้งหมดและสิ่งที่แถลงกล่าวโทษผู้เสียหาย ถือเป็นบทเรียนอุทาหรณ์ว่าไม่ใช่มีปากก็สักแต่พูด ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่เวลาอยากจะเคลียร์ก็มาอ้างว่าลูกหรือครอบครัวเดือดร้อน แต่ตอนทำไม่คิด นายต้อยก็คงจำใจที่ต้องรับผิดชอบการกระทำครั้งนี้ และขอให้จบคดี ซึ่งคดีนี้ตำรวจส่งฟ้องอัยการแล้ว อัยการได้ส่งเรื่องให้ตำรวจสอบเพิ่มเติมข้อมูลในบางประเด็น ทราบว่านายต้อยได้ประสานตำรวจ อัยการว่าสำนึกผิดแล้ว และจะขอขมาขอโทษ อยากให้เป็นบทเรียนผู้ชายว่าทำไม่เหมาะสมแล้วอย่าได้คิดว่าผู้หญิงจะกลัวไม่ว่าใหญ่โตมาจากไหน"น.ส.สุเพ็ญศรีกล่าว.

    http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=37732
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นักการเมืองหญิงออสซี่ฉาว อดีตเพื่อนชายแฉภาพเปลือยในอดีต

    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1237094351&grpid=01&catid=06

    อดีตนักการเมืองดังออสเตรเลียฉาว ถูกอดีตเพื่อนชายตกอับแฉภาพเปลือยในอดีต ขณะที่เจ้าตัวกำลังรณรงค์คัมแบ๊คทางการเมือง

    <STYLE> P { margin: 0px; } </STYLE>"ซันเดย์ เทเลกราฟ" รายงานเมื่อวันที่ 15มี.ค.ว่า นางพอลลีน แฮนสัน อดีตนักการเมืองดังออสเตรเลีย สังกัดพรรค"วัน เนชั่น"ซึ่งกำลังรณรงค์แผนกลับมาเล่นการเมือง ต้องเผชิญกับชะตากรรมอื้อฉาว เมื่อเกิดเหตุเพื่อนชายในอดีต ได้เผยแพร่ภาพเปลือยในอดีตของเธอช่วง 30 ปีก่อน หรือมีอายุเพียง 19 ปี ระหว่างที่ทั้งสองได้พบกันในร้านเหล้าแห่งหนึ่งในเมืองบริสเบน และร่วมดื่มด้วยกัน โดยรูปดังกล่าวถูกบันทึกไว้ตั้งแต่ปี 1975-1977 ซึ่งเป็นภาพนางพอลลีนเปลือยในลักษณะต่าง ๆ



    รายงานระบุว่า ชายผู้เผยแพร่ดังกล่าวคือนายแจ๊ค จอห์น วัย 52 ปี เป็นอดีตเจ้าหน้าที่กองทัพออสเตรเลีย ซึ่งปัจจุบันกำลังเผชิญสถานการณ์ลำบาก ต้องรับเบี้ยบำนาญผู้ไร้สมรรภาพ และต้องจ่ายหนี้จากค่ารักษาพยาบาลโรคมะเร็งกระดูก โดยเจ้าตัวอ้างว่า ภาพเหล่านี้เขาได้พยายามคืนให้แก่นางแฮนสันแล้วเมื่อ 4 ปีก่อน ขณะที่เธอขึ้นกล่าวปราศรัยในเมืองสแตนธอร์ป แต่ถูกเจ้าหน้าที่ของเธอห้ามไว้เอง ด้านเพื่อนของนางพอลลีนปฎิเสธที่จะแสดงทัศนะเรื่องนี้ แต่ประณามนายแจ๊คว่ากระทำเรื่องต่ำ ๆ



    เหตุการณ์อื้อฉาวนี้เกิดขึ้นขณะที่นางพอลลีน กำลังหาเสียงทางใต้ของเมืองบรินเบน ขณะที่ผู้จัดการรณรงค์ของเธอบอกว่า นางแฮนสันไม่สนใจในเรื่องภาพอื้อฉาวเหล่านี้

     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องต้องเล่าหน้าร้อน
    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01fod02150352&sectionid=0125&day=2009-03-15

    คอลัมน์ หิวหรืออิ่มก็ยิ้มพอกัน

    โดย พัชรพน




    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    เข้าเรื่องกันเลย คือมันเป็นอย่างนี้ครับ

    วันก่อนกลับบ้านมาตอนเที่ยงคืนกว่าๆ หลังรับแขกเสร็จ กรึ่มต่อถกปรัชญาชีวิตกับเพื่อนพ้องน้องพี่อีกนิดหน่อย หิ้ว "ข้าวผัดปู" กลับมาฝากลูก กะไว้กินตอนเช้าก่อนไปโรงเรียน

    "ข้าวผัดปู" แบบเนื้อปูเต็มพิกัด ปูทะเลตัวใหญ่ 1 ตัวเต็มๆ นึ่งก่อนแล้วแกะเอาแต่เนื้อมาผัดข้าว "อร่อย"แน่ๆ ไม่มีเป็นอื่น เพราะเหมือน "ปูผัดข้าว" มากกว่าเป็น "ข้าวผัดปู"

    ปูทะเลสดๆ เป็นๆ เมื่อไหร่ก็หวานคอแร้ง

    ทว่าโลกเรามักมีอะไรที่ผิดคลาด อันเกิดจากการคิดไม่ถึง ก่อให้เป็นความผิดพลาด

    ปรากฏว่าเช้าวันรุ่งขึ้น ลูกไม่ได้ไปโรงเรียน เพราะครูให้หยุดเพื่อดูหนังสือสอบ ความเป็นพ่อประสาไม่รู้ความเป็นไปของลูกทุกฝีก้าวก็เลยเข้าใจผิด

    ทำเหมือนที่เคยทำ เอาข้าวผัดปูกล่องใหญ่วางไว้บนโต๊ะอาหาร แทนที่จะเก็บไว้ในตู้เย็น

    กลับบ้านมาเที่ยงคืน ลูกกินข้าวเช้าตอนเจ็ดโมง ไม่เคยมีปัญหาอะไร

    แต่วันนั้นไม่เป็นเหมือนที่เคย

    10 โมงกว่าๆ กำลังทำงานลูกโทร.มาหา

    "พ่อ ข้าวผัดของพ่อเป็นอะไร เหมือนข้าวบูด"

    "ไม่มั้งลูก เพิ่งผัดตอนห้าทุ่ม ไม่น่าจะบูด ลองเอาไปเข้าไมโครเวฟอุ่นดู"

    หายไปไม่เกิน 10 นาทีลูกโทร.มาใหม่

    "ไม่ไหวพอ มันบูดจริงๆ มียางเหนียวๆ เหม็นหึ่งเลย"

    อึ้งอยู่พัก ก่อนคิดได้

    "เอาทิ้งเลยลูก อากาศร้อนมาก ของปูดง่าย หาอย่างอื่นกินเองแล้วกัน"

    จากนั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าจะกลับกี่ทุ่มกี่ยาม อาหารที่ติดมือมาเอาเข้าตู้เย็นเกลี้ยง อากาศร้อนทำให้อาหารบูดได้ง่าย กินเข้าไปเมื่อไรท้องเสียย่ำแย่แน่

    นั่นเป็นเรื่องแรก ยังมีอีกเรื่อง

    กลับมาจากเมืองชล ลงจากทางด่วนรามอินทรา-เอกมัย ช่วงลาดพร้าว หิว เลี้ยวเข้าร้านก๋วยเตี๋ยวอร่อย คนเยอะ แห้งชามน้ำชามอิ่มตื้อ

    ก่อนเรียกคิดเงิน เดินไปซื้อขนมที่วางขายอยู่ข้างหม้อต้มก๋วยเตี๋ยว "ถั่วทอด" ที่เป็นแบบแผ่นๆ แม่ค้าบอกว่าเพิ่งมาใหม่ๆ อร่อย

    ซื้อมา 2 ถุงเอากลับบ้าน

    ถึงบ้านชงกาแฟกินกับถั่วทอด อร่อยเป็นบ้า เมียมานั่งคุยเป็นเพื่อนหยิบถั่วทอดกินเล่นไป 2 แผ่น

    บ่ายสองกว่าๆ อาบน้ำแต่งตัวไปงานเผาศพ ขับรถได้ไม่เท่าไรออกมีอาการโลกหมุน หัวใจหวิว เหมือนจะเป็นลม คลื่นไส้อย่างบอกไม่ถูก

    คิดเอาเองว่าเมื่อคืนนอนน้อยไปหน่อย ขับรถที่ภายในแอร์เย็นเฉียบ กับภายนอกกลางแดดเปรี้ยง คงทำปฏิกิริยากับร่างกายจนทนทานไม่ได้

    ถึงงานศพกินแต่น้ำ ติดต่อกันคนเดียวเกือบสิบแก้ว เพื่อเติมความสดชื่นให้ร่างกาย เพราะคิดได้ว่าเป็นลมกลางงานศพไม่ใช่เรื่องสนุก

    เสร็จจากงานศพเข้าโรงพิมพ์ ปิดต้นฉบับ ทุ่มกว่าๆ ภรรยาโทร.มาให้กลับบ้านรับไปโรงพยาบาล เพราะอาเจียนไม่หยุด แทบจะขาดใจแล้ว

    ห้อลิ่วมาถึงบ้านประคองเมียขึ้นรถ จอดให้อาเจียนตลอดทาง

    ที่แผนกฉุกเฉิน เมียบอกหมอ "กินถั่วทอดผสมกลอยแล้วแพ้"

    หมอให้ยาแก้อาเจียน แล้วให้กลับมาพักผ่อนที่บ้าน

    มาดูถุงถั่วทอด มีคำเตือนพิมพ์ไว้เล็กๆ "ถั่วทอดมีส่วนผสมของกลอย จะทำเกิดคลื่นไส้ อาเจียนในผู้บริโภคบางราย"

    บ้าชะมัด ทำไมคนขายไม่บอก "เมากลอย" นี่ถึงตายได้ อย.น่าจะตรวจตรา ลองพิษร้ายแรงอย่างนั้น ขายธรรมดาไม่ได้แล้ว ใครจะซื้อกินควรจะต้องตรวจร่างกายก่อนว่าแพ้หรือไม่ และควรจะขายตามใบสั่งแพทย์เท่านั้น

    ทั้งหมดที่เล่ามาเพื่อบอกว่า "หน้าร้อน" อาหารบูดเน่าง่าย และระวังการแพ้อาหารให้หนักๆ

    รักษาสุขภาพไว้ก่อน อร่อยทีหลังบ้างก็ได้
     
  5. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    โมทนาสาธุครับ
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เคล็ดลับช่วยจำและวิธีบริหารสมอง / เอมอร คชเสนี
    http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000029478
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย เอมอร คชเสนี</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>15 มีนาคม 2552 12:18 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=347 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=347>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> หลายคนคงเคยมีอาการหลงๆ ลืมๆ แบบนี้นะคะ.....ลืมว่าเอากุญแจบ้านกับมือถือไปวางไว้ตรงไหน หรือออกจากบ้านแล้วแต่ต้องกลับเข้าไปใหม่เพราะลืมว่าปิดไฟแล้วหรือยัง หรือเห็นเงินในกระเป๋าแล้วงงว่าทำไมเหลือแค่นี้ ซื้ออะไรไปเนี่ย

    วันนี้มีเคล็ดลับช่วยจำและวิธีบริหารสมองมาฝากค่ะ

    1. จดบันทึก

    การจดบันทึกจะช่วยให้คุณวางแผนเรื่องต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวัน นัดหมายต่างๆ รวมไปถึงการจดเบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ อีเมลแอดเดรส วันเกิดเพื่อน หรือข้อมูลเกี่ยวกับตัวคุณเอง เช่น ยาประจำตัว จะให้ดีควรเป็นสมุดเล่มเล็กๆ ที่พกพาติดตัวไปด้วยได้

    การลงมือเขียนด้วยตัวเองจะช่วยย้ำให้สมองจดจำได้ดีขึ้น และดีกว่าการใช้เทคโนโลยีเป็นตัวช่วย เช่น การบันทึกไว้ในมือถือ

    2. พูดกับตัวเอง

    การพูดออกมาดังๆ ก็คล้ายกับการจดบันทึก เพียงแต่ออกมาในรูปของเสียง ควรเริ่มต้นตั้งแต่เช้า นึกถึงสิ่งที่คุณต้องทำในวันนั้น แล้วพูดออกมาดังๆ เช่น วันนี้ต้องซื้อบัตรเติมเงิน ตอนเที่ยงมีนัดกับลูกค้า ตอนเย็นต้องแวะซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ต ย้ำกับตัวเองซ้ำๆ หลายๆ ครั้ง

    3. ติดโน้ตในที่ที่มองเห็นได้ง่าย

    เขียนสิ่งที่ต้องทำลงบนกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ แปะไว้ในที่ที่มองเห็นได้ง่าย เช่น ประตูตู้เย็น ประตูบ้าน ในรถ หรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทุกครั้งที่เห็นโน้ตที่ติดไว้ ก็เท่ากับเตือนสมองให้จดจำเรื่องเหล่านั้น

    4. เก็บของให้เป็นที่

    ฝึกนิสัยเก็บของให้เป็นที่ เช่น แขวนกุญแจไว้ข้างประตูทางออก วางมือถือไว้บนโต๊ะทำงาน เก็บยาก่อนนอนไว้ที่โต๊ะหัวเตียง ชีวิตที่เป็นระเบียบจะช่วยให้สมองเป็นระเบียบเช่นกัน

    5. ทำชีวิตให้ช้าลง

    สมองจะจดจำอะไรได้ช้าลงเมื่ออายุมากขึ้น การพูดเร็ว-ทำเร็วจนเกินไป ทำให้สมองเก็บเรื่องราวเหล่านั้นไว้ไม่ทันและหลงลืมไปในที่สุด

    6. อย่าทำหลายอย่างพร้อมกัน

    การทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกัน เช่น คุยโทรศัพท์ไปด้วย ดูโทรทัศน์ไปด้วย หรือทำงานไปด้วย ฟังเพลงไปด้วย จะทำให้ไม่มีสมาธิในการจำ ควรเลือกทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งจะดีกว่า

    7. มีสติ

    การมีสติขณะทำสิ่งต่างๆ จะช่วยให้เราไม่หลงลืมได้ง่าย สมองจะจดจำได้โดยอัตโนมัติว่า ขณะนั้นเราปิดไฟแล้ว ปิดน้ำแล้ว ปิดแก๊สแล้ว ไม่ต้องมานั่งลังเลสงสัยทีหลังว่า เอ๊ะ ฉันทำไปแล้วหรือยัง

    8. ร่างกายแข็งแรง

    สมองที่แจ่มใส มาจากร่างกายที่แข็งแรง ดูแลตัวเองให้ดี รับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ให้ครบหมู่ เน้นปลา ผักผลไม้สด ข้าวกล้อง และน้ำ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เมื่อร่างกายแข็งแรง ความจำก็จะดีตามไปด้วย

    9. ทำสิ่งที่ตัวเองถนัด

    ความถนัดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนจำได้ดีเมื่อได้มองเห็นหรือจดบันทึก บางคนจำได้ดีเมื่อได้ยินเสียงหรือพูดดังๆ บางคนจะจำได้ก็ต่อเมื่อได้ลงมือปฏิบัติ สังเกตตัวเองว่าคุณจำได้ดีกับวิธีการไหน แล้วเลือกวิธีการที่เหมาะกับตัวเอง แต่ถ้าจะให้ดี ใช้ทั้ง 3 วิธีสลับกันก็จะช่วยให้สมองได้ฝึกทักษะมากขึ้น

    วิธีบริหารสมอง ที่ช่วยในการพัฒนาความจำอย่างง่ายๆ สามารถทำได้ดังนี้

    1. หยิบสิ่งของในที่มืด หลับตาอาบน้ำ หรือหลับตาแต่งตัว
    2. รับประทานอาหารหรือหยิบจับสิ่งต่างๆ โดยใช้มือข้างที่ไม่ถนัด
    3. ฟังเพลงที่ไม่เคยได้ยินเนื้อร้องมาก่อน แล้วหัดร้องตามไปจนร้องได้
    4. อ่านหนังสือหลายๆ ประเภท หรือเปลี่ยนจากคอลัมน์ที่เคยอ่านประจำไปอ่านคอลัมน์อื่นบ้าง
    5. อ่านป้ายโฆษณาตามข้างทาง ท้ายรถตุ๊กตุ๊ก ข้างรถเมล์ หรือถุงกล้วยแขก
    6. ดูโทรทัศน์ที่มีสองภาษา หรือดูภาพยนตร์ที่มีซับไตเติล
    7. บวกลบเลขทะเบียนของรถคันหน้า หรือเลขบนตั๋วรถเมล์
    8. เปลี่ยนกิจวัตรประจำวัน เช่น จัดห้องใหม่ เปลี่ยนที่วางของ เปลี่ยนเส้นทางการเดินทาง หรือจากที่เคยขับรถก็เปลี่ยนไปนั่งรถเมล์หรือรถไฟฟ้าแทนบ้าง
    9. เล่นเกมฝึกสมอง เช่น หมากรุก หมากฮอส ปริศนาอักษรไขว้ จับผิดภาพ ฯลฯ
    10. เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เช่น หัดเล่นดนตรี เรียนภาษา เรียนทำอาหาร ฝึกศิลปะป้องกันตัว ฯลฯ
    11. หมั่นออกสังคม พบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติกับเพื่อนฝูง อย่าแยกตัวออกจากสังคม เพราะจะทำให้สมองไม่เกิดการพัฒนาและเสื่อมไปในที่สุด

    ฝึกสมองบ่อยๆ เพื่อความจำที่ดีและสมองอันชาญฉลาดจะได้อยู่คู่กับคุณไปนานๆ ค่ะ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    ไปไหว้หลวงตามหาบัวมา มีรูปไข่กะทะมาฝากคุณหนุ่มค่ะ
    [​IMG]

    [​IMG]

    มื้อเช้าอร่อยมากๆค่ะ
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไก่เลี้ยงหมา

    http://hilight.kapook.com/view/34856

    [​IMG]

    ไก่เลี้ยงหมา (ข่าวสด)

    ข่าว "รักต่างสายพันธุ์" ชิ้นนี้ได้มาจากปากคำของ นายเกา เฟิงหยิง ชาวบ้านเมืองเจี่ยซาน แดนมังกรจีน

    นายเกา เล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า อาทิตย์ก่อนแม่หมาสุดเลิฟออกลูกมา 2 ตัว แล้วก็สิ้นลม...

    ตอนแรกนึกว่าลูกหมาจะไม่รอดซะแล้ว เพราะขาดแม่ แต่ปรากฏว่า "แม่ไก่" ที่เลี้ยงไว้ในบ้านเข้าทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองดูแลเจ้าหมาน้อยแทนเป็นอย่างดี!

    "แม่ไก่มันเป็นเพื่อนกับแม่หมาอยู่ด้วยกันมา 2 ปี คืนแรกหลังจากแม่หมาตายผมวิ่งหาลูกหมาแทบตายไม่รู้ว่าหายไปไหน สุดท้ายไปเจอว่าแม่ไก่เอาพวกมันไปนอนกกให้ความอบอุ่น และเวลาหมาตัวอื่นๆ จะมาทำร้าย แม่ไก่ก็จะช่วยสู้แทน" นายเกา บอก

    ฮ่าๆ... บรรดา "นักโกงเมือง" ที่ชอบกัดกันเองน่าจะดูเป็นตัวอย่างไว้มั่งนะ... อิอิ!


    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ข่าวสด
    [​IMG]
    คอลัมน์ เอิ๊กอ๊ากอินเตอร์
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  10. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    เอาบรรยากาศการใส่บาตรที่วัดป่าบ้านตาดมาฝากค่ะ
    [​IMG]
    หกโมงเช้า คนทยอยกันมา วันธรรมดาคนไม่มากค่ะ
    [​IMG]
    ขนาดไม่มากก็เต็มเลยค่ะ

    [​IMG]

    เดินกันรวดเร็วมากค่ะ ใส่แทบไม่ทัน
     
  11. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    หลังจากหลวงตาแสดงธรรมกลับกุฎิแล้ว จะปล่อยเจ้าสี่ขาน่ารักออกมา สังเกตุในศาลายังมีดวงธรรมด้วยนะคะ
    [​IMG]

    ต่อมาเป็นรูปนกยูงจริงๆรำแพนอยู่ที่วิหารวัดหนองป่าพงค่ะ สวยงามมากค่ะ
    [​IMG]

    สุดท้ายภาพกุฎิพักผ่อนส่วนองค์ของหลวงตามหาบัวที่หลวงปู่ลีสร้างให้ ที่วัดภูผาแดงค่ะ เดิมเป็นถ้ำ
    [​IMG]
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อนุโมทนา

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    อนุโมทนา แปลว่า ความยินดีตาม, ความพลอยยินดี หมายถึงการแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ
    อนุโมทนา อาจทำได้ด้วยการพูด เขียนหนังสือ หรือแสดงกิริยาก็ได้ เช่นเมื่อได้ยินเสียงย่ำฆ้องกลองที่วัดในตอนเย็น แสดงว่าพระท่านทำวัตรเย็นจบ ก็ยกมือขึ้นประนมไหว้เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญแล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วยกมือขึ้นสาธุ เป็นการอนุโมทนาบุญของเขาด้วย
    เรียกการพูดแสดงความยินดีในความดีของผู้อื่นว่า อนุโมทนากถา (ดูสัมโมทนียกถา)
    เรียกหนังสือรับรองการบริจาคที่วัดออกให้แก่ผู้บริจาคทรัพย์ทำบุญว่า อนุโมทนาบัตร หรือ ใบอนุโมทนา
    เรียกบุญที่เกิดจากการอนุโมทนาตามตัวอย่างข้างต้นว่า อนุโมทนามัยบุญ

    อ้างอิง


    <!-- NewPP limit reportPreprocessor node count: 52/1000000Post-expand include size: 6019/2048000 bytesTemplate argument size: 557/2048000 bytesExpensive parser function count: 0/500--><!-- Saved in parser cache with key thwiki:pcache:idhash:50630-0!1!0!!th!2 and timestamp 20090315075820 -->ดึงข้อมูลจาก "http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B8%B2".
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มาของคำว่า " สาธุ "
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=box-x&month=11-2007&date=14&group=5&gblog=8

    <!-- Main -->ารที่ชาวพุทธฟังธรรมจากพระภิกษุ แล้วกล่าวสาธุการเมื่อพระเทศน์จบ หรือการถวายทาน หรือเมื่อพระให้ศีล ญาติโยมสาธุชนจะใช้คำว่า "สาธุ" นั้นมีประวัติความเป็นมาดังมีเรื่องย่อว่า

    มีชายคนหนึ่ง อยู่ในเมืองสาวัตถี แคว้นโกศล ได้ฟังพระแสดงธรรมเทศนาแล้วเห็นโทษในการครองเรือนมีความปรารถนาจะขอบวชเพื่อแสวงหาความสงบในสมณธรรม จึงลาจากภรรยาไปบวช ได้ตั้งใจพากเพียรในสมณธรรมตามที่ปรารถนาไว้ตลอดมา
    ต่อมาพระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงพบหญิงผู้เป็นภรรยาของชายคนนั้น และเมื่อทรงได้ทราบเหตุความเป็นมาทั้งหมดจึงเกิดสมเพชในนางผู้เป็นภรรยา รับสั่งให้นำหญิงนั้นมาเลี้ยงไว้ในพระราชวัง ตั้งเป็นท้าวนางกำนัล
    อยู่มาวันหนึ่ง ราชบุรุษนำดอกนิลุบลบัวเขียวมาถวายพระเจ้าปเสนทิโกศลกำมือหนึ่ง พระองค์จึงประทานแก่ท้าวนางคนละดอก ฝ่ายสตรีที่เป็นภรรยาของชายที่ไปบวชนั้น เมื่อไปรับพระราชทานก็ยิ้มแสดงความยินดีดุจนางอื่น ๆ แต่พอดมกล่นนิลุบลแล้ว นางกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่จึงร้องไห้ พระเจ้าปเสนทิโกศลสงสัยพระทัย จึงตรัสถามว่า เหตุใดนางจึงยิ้มแล้วร้องไห้ นางจึงกราบทูลว่า ที่นางยิ้มเพราะดีใจที่ทรงพระกรุณาประทานดอกบัวให้ แต่พอดมดอกบัวแล้วหอมเหมือนกลิ่นปากสามีที่ไปบวช นางคิดถึงความหลังจึงร้องไห้
    พระเจ้าปเสนทิโกศลต้องการพิสูจน์วาจาของนาง จึงโปรดให้ประดับวังด้วยของหอมทั้งปวงเว้นแต่บัวนิลุบล แล้วอาราธนาสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า และเหล่าภิกษุสงฆ์ให้มาฉันภัตตาหารในพระราชฐาน แล้วมีพระราชดำรัสถามหญิงนั้นว่า พระมหาเถระองค์ไหนที่นางอ้างว่าเป็นสามี หญิงนั้นก็ชี้ไปที่พระมหาเถระ เมื่อเสร็จภัตตกิจแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลอารธนาให้พระพุทธเจ้า และภิกษุองค์อื่น ๆ กลับวัดไปก่อน เว้นพระมหาเถระขอให้อยู่เพื่อกล่าวอนุโมทนา เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จกลับไปแล้ว พระมหาเถระจึงกล่าวอนุโมทนาด้วยน้ำเสียงอันไพเราะและมีกลิ่นหอมฟุ้งออกจากปากพระเถระรูปนั้นอย่างน่าอัศจรรย์ กลบเสียซึ่งกลิ่นดอกไม้ของหอมทั้งปวง กลิ่นปากของพระมหาเถระหอมฟุ้งไปทั่วพระราชวัง ดังกลิ่นการบูรและพิมเสนผสมกฤษณา หอมยิ่งกว่าดอกบัวนิลุบล ปรากฏการณ์นี้ปรากฏแก่ชนทั้งหลายในพระราชวัง ส่วนองค์มหากษัตริย์เมื่อเห็นจริงดังหญิงนั้นกราบทูล ก็ทรงโสมนัสน้อมนมัสการ ฝ่ายพระมหาเถระเสร็จสิ้นการอนุโมทนาแล้ว ก็กลับไปสู่วิหาร
    ครั้นพอรุ่งเช้าพระเจ้าปเสนทิโกศลจึงเสด็จไปสู่พระวิหาร ถวายนมัสการพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลถามว่า "เหตุใดปากของพระมหาเถระจึงหอมนักหนาท่านได้สร้างกุศลใดมา"
    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสตอบว่า "เพราะบุพพชาติปางก่อน ภิกษุรูปนี้ได้ฟังพระสัทธรรมไพเราะจับใจ เต็มตื้นด้วยปีติยินดี จึงออกวาจาว่า "สาธุ" เท่านั้น อานิสงส์แห่งการฟังพระสัทธรรมให้ผลจึงได้มีกลิ่นปากหอมดังนี้"
    ปัจจุบันนี้ทั้งผู้ฟังธรรม และผู้รับศีลออกจะละเลยคำว่า "สาธุ" ต่างพากันนั่งเฉย ๆ ทั่วไป หน้าที่ผู้เป็นชาวพุทธ และครูบาอาจารย์จะได้แนะนำความเป็นมาเรื่อง "สาธุ" ไปเล่าสู่ลูกศิษย์และบุตรหลานของตนเพื่อนำวัฒนธรรมอังดีงามดั้งเดิมของเรากลับคืนมา
    คำว่า "สาธุ" ในภาษาไทยก็แปลว่า ดีแล้ว เห็นชอบแล้ว เท่ากับเป็นการทำบุญข้อหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ มีอยู่ข้อหนึ่งในจำนวน ๑๐ ข้อคือ ปัตตานุโมทนามัย แปลว่าบุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ ดังนี้
    วันหนึ่ง ๆ ได้คิดดี ได้พูดดี ได้ทำดี "สาธุ" ให้ตัวเองและให้คนอื่นได้สาธุในการคิด การพูด การกระทำ ของเราเท่ากับได้ทำชีวิตนี้ให้มีกำไรมหาศาล จะได้ชื่อว่า ได้อยู่ในโลกใบนี้มีแต่ความหอม

    -------------------------------------------------------
    มีปรากฏประวัติใน โสตัพพมาลินีปกรณ์ จาหนังสือ "ฝากไว้ในแผ่นดิน" อาจารย์สมทรง ปุญญฤทธิ์
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วิธีเลือกซื้อครีมกันแดด และเลือกใช้อย่างถูกต้อง​
    http://women.sanook.com/beauty/tips/btip_54550.php

    ใครที่ต้องตากแดดเป็นประจำ ควรซื้อครีมกันแดดมาทาไว้บ้าง วันนี้มีวิธีเลือกซื้อครีมกันแดดมาฝาก...


    [​IMG]


    ในแสงแดดมีรังสีอยู่หลายชนิด ที่รู้จักกันดี ก็คือ อุลตราไวโอเลต (UV) ซึ่งรังสีนี้จะถูกดูดซับโดยชั้นโอโซน มีแค่ UVA และ UVB ที่ลงมาถึงพื้นโลก ซึ่งรังสีทั้ง 2 ชนิดนี้มีผลต่อผิวหนังโดยเฉพาะ UVA มีผลทำให้เกิด กระ ฝ้า เหี่ยว แก่ก่อนวัย UVB มีผลทำให้เกิดการ แดง แสบ ไหม้ ของผิวหนัง และรังสีทั้ง 2 ชนิดนี้ยังทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งจะทำลายโปรตีนพันธุกรรมทำให้เกิดเนื้องอกผิวหนัง


    วิธีเลือกซื้อครีมกันแดด


    1. ดูที่กิจกรรม ถ้าออกกำลังกลางแจ้ง มีเหงื่อ ว่ายน้ำ ทำงานกลางแดด ต้องใช้ SPF ที่สูงขึ้นและเลือกประเภทที่กันน้ำได้

    2. ปริมาณ ควรใช้ปริมาณที่ไม่น้อยเกินไป เพราะสารเคมีอาจทำปฏิกิริยากันทำให้ลดคุณภาพลงไป

    3. จำนวนครั้งที่ทาต่อวัน ก็สำคัญ ถ้าอยู่ในออฟฟิศ ห้องแอร์ วันละครั้งก็เพียงพอ แต่ถ้าต้องทำงานกลางแดด โดนลม อาจจะทาเติม ถ้าว่ายน้ำต้องทาทุก 2-3 ชั่วโมง

    4. ทาแล้วก็ต้องเลี่ยงแดดด้วย ใส่แว่นตา ใส่หมวก เนื่องจากครีมกันแดดไม่ได้กันได้ 100 %

    5. ยี่ห้อ ราคา ไม่สำคัญ ขอให้มีคุณสมบัติครบ ไม่มีปฏิกิริยาต่อผิวหนัง เช่น คัน ผื่น

    6. อาหาร อย่าลืมทานอาหารที่มีความสามารถ กำจัดอนุมูลอิสระ เช่น วิตามิน เกลือแร่ ในผักทุกชนิด และผลไม้ด้วย

    รู้อย่างนี้แล้ว ควรเลือกใช้ครีมกันแดดให้เหมาะสมกับกิจกรรมชีวิตประจำวัน เพราะจะได้ปกป้องผิวสวยจากแสงแดดด้วยนะคะ


    คุณใช้ครีมกันแดดมากไปและถูกวิธีหรือเปล่า ?


    สำหรับการป้องกันแสงแดดควรทาครีมประมาณครึ่งชั่วโมง ก่อนเจอแดด และต้องแน่ใจว่าครีมที่คุณทานั้นยังไม่หมดอายุ ครีมกันแดดที่ดีควรมีอายุไม่เกิน 2 ปี เป็นอย่างมาก

    ครีมกันแดดชนิดป้องกันน้ำได้ สามารถปกป้องผิวคุณได้นานถึง 80 นาที และควรทาซ้ำทุก ๆ สองชั่วโมง ขณะเล่นน้ำ และอีกครั้งหลังการว่ายน้ำ แต่ครีมกันแดดแบบธรรมดาไม่ป้องกันน้ำสามารถปกป้องผิวคุณได้ 40 นาที จึงควรเลือกใช้ครีมกันแดดให้เหมาะกับกิจกรรมแต่ละอย่าง

    การเลือกใช้ครีมกันแดดควรดูรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ว่ามีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง อาทิเช่น

    * สามารถปกป้องผิวจากรังสียูวีเอ ยูวีบี ได้รับค่า SPF ตามมาตรฐานยุโรป
    * Paba free : ปราศจากสารพีเอ บีเอ สารกันแดดที่เป็นอันตรายต่อผิว
    * Fragrance free & Oil free : ไม่มีส่วนผสมน้ำหอมและน้ำมัน จึงไม่เหนียวเหนอะหนะ และไม่ระคายเคือง หรืออุดตันผิว
    * Water Proof : กันน้ำและเหงื่อ ขณะเล่นกีฬาหรือว่ายน้ำ
    * Hypo allergenic : ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ปลอดภัยต่อผิว


     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ตลกมัธยัสต์..การ์ดใบเดียวส่งถึงกันเกือบ40ปี
    http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9520000029156
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>15 มีนาคม 2552 14:43 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> เอเจนซี - ดาร์ริล และแดน คัลเบอร์สัน รู้จักมัธยัสต์โดยไม่ต้องรอให้เศรษฐกิจถดถอย พี่น้องคู่นี้ประหยัดเงินได้ทุกปีด้วยการส่งการ์ดวันเกิดใบเดียวกันกลับไปกลับมาตั้งแต่ปี 1973

    ประเพณีนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อดาริลล์ ที่ตอนนี้อายุ 62 ปี ส่งการ์ดที่เป็นรูปโจรสวมหน้ากากพร้อมคำบรรยายใต้ภาพว่า ‘ปีศาจขี้ตืดออกอาละวาดอีกแล้ว!” ไปอวยพรวันเกิดพี่ชาย

    “หมอนี่ขี้เหนียวที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา” ดาริลล์เหน็บพี่ชายวัย 68 ปี

    แดนไม่ยอมหลงกล และตัดสินใจส่งการ์ดใบเดิมกลับไปให้ในวันเกิดน้องชาย

    ตลอด 36 ปีที่ผ่านมา ดาริลล์จึงส่งการ์ดใบนี้ไปให้แดนที่อยู่ในโบลเดอร์ทุกเดือนมกราคม และแดนส่งคืนให้ดาริลล์ที่อยู่ในโคโลราโดสปริงส์ สหรัฐฯ ทุกเดือนมีนาคม

    การ์ดใบนั้นตอนนี้กลายเป็นสีเหลืองและต้องใช้เทปยึดไว้ไม่ให้ฉีกออกจากกัน ส่วนคำอวยพรก็ยาวเหยียดเต็มด้านหลัง แดนพูดติดตลกว่าเมื่อไม่เหลือที่ให้เขียนแล้ว ไม่ใครคนใดคนหนึ่งคงต้องแหวกประเพณีและซื้อการ์ดใบใหม่เร็วๆ นี้
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สำหรับท่านที่มีความสนใจในพระวังหน้า(จริงๆ) และต้องการที่จะได้ไว้บูชา ให้ถามในกระทู้พระวังหน้าฯได้เลย ไม่ต้อง pm เข้ามาถามนะครับ

    ผมเองทราบว่า บางคนที่ pm เข้ามาถาม จะเป็นแก๊งค์บัวใต้น้ำ เพื่อที่จะมาบูชากับผม โดยให้ผมขายพระวังหน้า

    เท่าที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ pm เข้ามาถามแล้วก็หายไป นั่นจึงทราบว่า ไม่ได้มีความสนใจจริงๆ

    ไม่ต้อง pm เข้ามาถามนะครับ เพราะว่าถ้า pm เข้ามาถามผม ผมจะนำข้อความที่ pm นั้น มาลงในกระทู้พระวังหน้าฯนี้ครับ


    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    โลงศพไม้โบราณแห่งลุ่มน้ำแคว, ที่มาแห่งนาม "ทวารวดี" เมืองเส้นทางการค้าสองฝั่งทะเล

    http://www.thaipost.net/tabloid/140309/1721

    ร้อยเรื่องเมืองไทย รอยไทยปีที่ ๑๕

    โลงศพไม้โบราณ ที่ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งนักวิชาการได้ให้ความเห็นว่า เป็นสิ่งของที่ใช้ในพิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย หรือใช้บรรจุศพ โดยมีการวางข้าวของเครื่องใช้ลงไปในโลงศพ เพื่อให้ผู้ตายได้นำไปใช้เสมือนครั้งยังมีชีวิตอยู่
    โลงศพไม้โบราณที่ค้นพบนี้มีลักษณะเป็นท่อนซุงไม้เนื้อแข็ง ยาวประมาณ ๒-๓ เมตร ผ่าซีกแล้วขุดเจาะตรงกลางออก รูปร่างคล้ายเรือขุด ส่วนหัวและท้ายแกะสลักเป็นรูปคล้ายศรีษะคนหรือรูปสัตว์ ค้นพบในถ้ำ ลักษณะตั้งอยู่บนเสาไม้มีคานรองรับ บริเวณเทือกเขาตะนาวศรี ริมแม่น้ำแควน้อย-แควใหญ่ จังหวัดกาญจนบุรี

    นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าการทำโลงศพในลักษณะนี้ อยู่ในยุคโลหะ เพราะพบร่องรอยการทำโลงศพโดยการขุดเจาะด้วยเครื่องมือเหล็ก และโลหะอื่นๆ จึงมีอายุมากกว่า ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว ทั้งนี้น่าจะเป็นพิธีกรรมเริ่มแรกของมนุษย์ที่เกี่ยวกับความตาย
    แสดงให้เห็นว่า วัฒนธรรมการทำศพแบบใช้โลงศพนั้น เป็นรากเหง้าแห่งอารยธรรมอันเก่าแก่ที่มีมาหลายพันปีแล้ว
    ร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดีหลายชิ้นเป็นเครื่องยืนยันว่า เมืองราชบุรีเป็นแหล่งอารยธรรมสำคัญ และเป็นชุมชนโบราณที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เครื่องมือหิน เครื่องมือโลหะ ภาชนะดินเผาเครื่องประดับต่างๆ ทั้งจากหินสีและโลหะ แสดงถึงการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในยุคแรกๆ บริเวณจังหวัดราชบุรี
    ทวารวดีเป็นอาณาจักรสำคัญอาณาจักรหนึ่งซึ่งเคยมีความเจริญรุ่งเรืองอยู่ในดินแดนจังหวัดราชบุรีปัจจุบัน ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๖ ดังหลักฐานจากการขุดพบซากเมืองโบราณคูบัว ซึ่งเป็นชุมชนโบราณที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ มีโบราณสถานและโบราณวัตถุสมัยทวารวดีจำนวนมาก อันบ่งบอกถึงการเปลี่ยนผ่านจากยุคก่อนประวัติศาสตร์มาสู่ยุคประวัติศาสตร์

    จากการขุดค้นดังกล่าวได้พบเหรียญเงินสมัยทวารวดี ที่ด้านหน้าเป็นรูปวัว ส่วนด้านหลังมีจารึกเป็นอักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต แปลว่า "บุญของผู้เป็นเจ้าแห่งทวารดี" หรือ "พระเจ้าศรีทวารวดีผู้มีบุญอันประเสริฐ" ซึ่งนี่คือจุดเริ่มต้นของชื่อ "ทวารวดี" อันเป็นชื่อที่ยอมรับใช้กันในประเทศไทย
    ปัจจุบันเหรียญเงินนี้ถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี
    เมืองราชบุรีในอดีตนั้นได้ติดต่อค้าขายและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกรุงสุโขทัย ดังหลักฐานบนศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงหลักที่ ๑
    ต่อมาในรัชสมัยพระเพทราชา แห่งกรุงศรีอยุธยา ประมาณปีพุทธศักราช ๒๒๔๐ หัวเมืองฝ่ายใต้ซึ่งรวมเมืองราชบุรีด้วย ได้ขึ้นตรงต่อกรมท่า ภายใต้การกำกับดูแลของพระยาโกษาธิบดี ซึ่งมีหน้าที่ติดต่อและควบคุมการค้ากับต่างชาติโดยเฉพาะ แสดงให้เห็นว่าเมืองราชบุรีมีการติดต่อค้าขายกับต่างชาติ ในฐานะเมืองท่าบนเส้นทางการค้าและการคมนาคมระหว่างเมืองในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ชายฝั่งทะเลอ่าวไทย กับเมืองตะนาวศรีบนชายฝั่งทะเลอ่าวเมาะตะมะ ประเทศพม่า ซึ่งสอดคล้องกับหลักฐานโบราณวัตถุที่พบในลำน้ำแม่กลอง บริเวณหน้าเมืองราชบุรี เช่น
    -เครื่องถ้วยจีน สมัยราชวงศ์สุ้ง ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๘
    -เครื่องเคลือบจีนสีเขียว จากแหล่งเตาหลงฉวน สมัยราชวงศ์หยวน ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐
    -เครื่องถ้วยสังคโลก สมัยสุโขทัย ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙
    ซึ่งโบราณวัตถุข้างต้นนี้ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี


    ติดตามชมรายการรอยไทย ชุด รอยไทย...ในพิพิธภัณฑ์ ได้ทุกวันจันทร์ถึงพุธ เวลา ๑๗.๕๘-๑๘.๐๐ น. ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี
    รอยไทย สนับสนุนโดยธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน).
     
  19. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 9 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 7 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>ake7440, sithiphong+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    สวัสดีคร้าบบบบ
     
  20. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 14 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 11 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>nongnooo, narin96, ake7440+ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    Good evening! hu hu...
     

แชร์หน้านี้

Loading...