พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ซากุระ จิตวิญญาณ แห่งแดนอาทิตย์อุทัย
    http://www.thairath.co.th/news.php?section=specialsunday08&content=133545
    [19 เม.ย. 52 - 22:52]

    [​IMG]

    ร้อน ร้อน ร้อน

    หลายคนคงจะตะโกนในใจว่า ร้อนจนไม่อยาก จะออกจากบ้านไปไหน วันนี้ไทยรัฐ ซันเดย์ สเปเชียล โดยทีมงานต่วย'ตูนก็เลยเสาะหาเรื่องสวยงาม
    <O:p</O:p
    เย็นตา เย็นใจมาให้ท่านผู้อ่านได้รื่นรมย์กันว่าด้วยเรื่องของ “ซากุระ” ดอกไม้สีชมพู กลีบบางเบา ที่ตอนนี้เริ่มทยอยผลิบาน ณ แดนอาทิตย์อุทัย ทำเอาชาวญี่ปุ่นพากันออกจากบ้านไปนั่งจิบเครื่องดื่มใต้ต้นซากุระกันเต็มสวนสาธารณะ
    <O:p</O:p
    วัฒนธรรมการชมดอกไม้นี้มีมานานตั้งแต่ยุคนารา ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ราชวงศ์ถังของจีนมีอิทธิพลเหนือญี่ปุ่น และถ่ายทอดวัฒนธรรมมาให้หลายเรื่อง รวมทั้งการชมความงามของดอกไม้ ซึ่งดั้งเดิมเป็นการชมดอกท้อเป็นหลัก แต่ตั้งแต่ยุคเฮอัน ซากุระก็กลายเป็นดอกไม้ที่ได้รับความนิยมมากกว่า

    <O:p</O:p
    [​IMG]

    ชาวญี่ปุ่นเป็นชนชาติที่มีความผูกพันกับซากุระมานาน คำว่าซากุระมาจากคำเก่าแก่สองคำคือ ซา หมายถึงวิญญาณแห่งพืชพันธุ์ และกุระ หมายถึงที่ประทับของเทพเจ้า รวมกันแล้ว ซากุระ คือที่สถิตของจิตวิญญาณแห่งพืชพันธุ์ทั้งปวง จึงเป็นต้นไม้ที่สำคัญมาก และการผลิบานของซากุระก็เป็นสัญญาณถึงการเริ่มฤดูกาลทำนา ซากุระจึงเป็นเหมือนจิตวิญญาณของชาวญี่ปุ่นด้วย
    <O:p</O:p
    ในแง่ของตำนาน ซากุระเกิดขึ้นมาเพราะเทวนารีองค์หนึ่ง คือ โคโนะฮานะ ซากุยะ ฮิเมะ เชื่อกันว่า พระนางเป็นผู้ริเริ่มปลูกซากุระขึ้นเป็นครั้งแรก ต้นไม้ที่ท้าวเธอทรงปลูก จึงได้ชื่อตามนามของนาง แต่บางตำนานก็บอกว่า ต้นไม้ชนิดนี้ขึ้นงอกงามอยู่ก่อนแล้ว และตอนที่พระนางลงจากสวรรค์มาสู่โลกมนุษย์นั้น โคโนะฮานะ ซากุยะ ฮิเมะ “หล่น” ปุ๊ลงมาบนต้นไม้ที่สวยงามนี้ และนับแต่นั้นมันก็ถูกเรียกขานว่า ซากุระ

    <O:p</O:p
    [​IMG]

    โคโนะฮานะ ซากุยะ ฮิเมะ เป็นธิดาของโอโฮยามัทซูมิ เทพแห่งภูเขา วันหนึ่งพระนางได้พบเทพนินิงิที่ชายทะเล และตกหลุมรักซึ่งกันและกัน เทพนินิงิจึงทูลขอต่อเทพแห่งภูเขา เพื่อขอนางมาเป็นชายา แต่ในตอนแรก เทพโอโฮยามัทซูมิได้เสนอให้เลือกธิดาอีกพระองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นเทพีแห่งก้อนหินมาเป็นคู่สยุมพรแทน แต่พระเอกของเราไม่ยอมค่ะ พระองค์ยังยืนกรานในรักมั่นที่มีต่อเทวี แห่งซากุระ ในที่สุดจึงได้วิวาห์กันสมใจ
    <O:p</O:p
    คนโบราณตีความว่า นี่แหละคือความหมายของชีวิต ซากุระซึ่งเป็นตัวแทนของท้าวเธอนั้น เติบโต ผลิบาน เกิดเป็นช่วงสวยงาม แต่ก็เป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ ก่อนจะร่วงโรยเสื่อมสลายเหมือนดั่งเช่นชีวิตมนุษย์ที่ไม่ยั่งยืนยาวนานดุจภูผาหิน เมื่อถึงกาลเวลาก็จะต้องจากไป ช่วงที่ยังผลิบานอยู่ จึงควรจะเป็นช่วงที่ทำความดีแก่ประเทศชาติให้มากที่สุด ซากุระจึงเป็นเหมือนสัญลักษณ์แห่งความรักชาติด้วย

    <O:p</O:p
    [​IMG]

    ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 รัฐบาลญี่ปุ่นได้เร่งปลูกซากุระในโรงเรียน และสถานที่ราชการทั่วไป เพื่อส่งเสริมความรักบ้านเกิด ทำให้ซากุระผลิบานอยู่ทั่วประเทศจนทุกวันนี้
    <O:p</O:p
    ย้อนกลับไปที่เทพีโคโนะฮานะ ซากุยะ ฮิเมะ หลังอภิเษกแล้ว ต้องเรียกว่าเปิดปุ๊บ ติดปั๊บค่ะ เพราะพระนางเข้าสู่ประตูวิวาห์ได้เพียงวันเดียวก็ทรงครรภ์ แหม งานนี้พระสวามีก็กริ้วซิคะ มีอย่างที่ไหน แต่งงานได้วันเดียวก็ตุ๊บป่องซะแล้ว ทำให้อดคลางแคลงใจ ไม่ได้ว่าในท้องเนี่ย เป็นลูกเราหรือลูกใครกันแน่
    <O:p</O:p
    ถูกตั้งข้อสงสัยเข้าอย่างนี้ เทวนารีของเราก็โมโหเหมือนกันล่ะค่ะ หน็อยแน่ะ มาหาว่ามีชู้ ว่าแล้วพระนางก็ดุ่มๆเข้าไปในกระท่อมปิดทึบ แล้วจุดไฟเผา หลังจากที่ได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า หากนางบริสุทธิ์แล้วไซร้ ขอให้ลูกในท้องคลอดออกมาแข็งแรงสมบูรณ์ ว่าแล้ว แม้ไฟจะลุกโชน แต่เทพีแห่งซากุระก็ได้ให้กำเนิดโอรสอย่างราบรื่น แถมยังได้เป็นแฝดสามในคราวเดียว ไม่ต้องทรงครรภ์กันให้เมื่อยบ่อยๆ

    <O:p</O:p
    [​IMG]

    การที่เทพีโคโนะฮานะ ซากุยะ ฮิเมะ ได้โอรสมาในกองเพลิงนี่เอง ทำให้ชาวบ้านเชื่อกันว่า ท้าวเธอ “คุม” ไฟได้ ว่าแล้วก็เลยมีการสร้างศาลบูชาพระนางขึ้นที่ตีนภูเขาไฟฟูจิในปี ค.ศ.806 ด้วยความหวังว่า พระนางจะช่วยไม่ให้ภูเขาไฟพิโรธ จะได้ไม่ระเบิดเปรี้ยงปร้างให้ประชาชนเดือดร้อน
    <O:p</O:p
    ทว่าใน ค.ศ.864 ภูเขาไฟฟูจิก็พ่นพิษเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ ซึ่งผู้ว่าการจังหวัดกล่าวโทษว่า สาเหตุเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ไม่ยอมดูแลศาลเจ้าของพระนางให้ดี จึงบัญชาให้มีการสร้างศาลใหม่ และดูแลสักการะทุกวัน เทพีโคโนะฮานะ ซากุยะ ฮิเมะ จึงกลายเป็นเทพีแห่งภูเขาไฟฟูจิด้วย จนถึงทุกวันนี้ ผู้ที่ไปเยือนภูเขาอันเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของญี่ปุ่น ก็มักจะแวะไปเยือนศาลของพระนางกันเนืองๆ และเชื่อกันอีกอย่างว่า เมล็ดพันธุ์ของต้นซากุระที่พระนางนำมาปลูกเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นนั้น ก็มาจากภูเขาไฟฟูจิซึ่งพระองค์ดูแลอยู่นี่เอง
    <O:p</O:p

    [​IMG]

    ในบางตำนานบอกว่า พระนามของเทพีโคโนะฮานะ ซากุยะ ฮิเมะ นั้น มีความหมายถึงเทวนารีผู้ฟื้นคืนความมีชีวิตใหม่แก่มวลดอกไม้ และพระนางก็ได้นำเมล็ดพันธุ์ดอกไม้แห่งความอุดมสมบูรณ์อันเป็นสัญลักษณ์ของนางหว่านไปทั่วภูเขา เกิดเป็นความงามตกแต่งสถานที่ของท้าวเธออย่างตระการตา
    <O:p</O:p
    นอกจากนั้น พระนางยังเป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ ความปลอดภัยในบ้านและเปลี่ยนโชคร้ายให้กลายเป็นดี ให้ผู้คนได้ตามที่หัวใจปรารถนาด้วย
    <O:p</O:p
    สำหรับเกษตรกร การผลิบานของซากุระเป็นช่วงเวลาแห่งการเริ่มเพาะปลูก ซากุระจึงเป็นเสมือนสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์เช่นเดียวกับที่เทพีโคโนะฮานะ ซากุยะ ฮิเมะ เป็น จึงมีการสักการะซากุระกันในหลายพื้นที่ และนอกจากเทวนารีพระองค์นี้แล้ว ชาวญี่ปุ่นยังเชื่อว่า ซากุระมีเทพอื่นๆคอยปกป้องอยู่อีก การสักการะต้นซากุระจึงแพร่หลาย โดยมักจะสักการะต้นซากุระกันด้วยสาเก และว่ากันว่า ไหนๆก็เอาสาเกมาถวายเทพแล้ว ก็เลยกรึ๊บ...ดื่มกันเองซะด้วย วัฒนธรรมการชมความงามของดอกซากุระก็เลยมีเรื่องให้ทำกันหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมอาหารมานั่งรับประทานกันใต้ต้นไม้ การดื่ม รวมไปถึงการร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งในยุคหลายร้อยปีก่อน การชมและจัดงานเลี้ยงย่อยๆใต้ต้นซากุระนี้ เป็นเรื่องเฉพาะในราชสำนัก แต่กาลเวลาต่อมาก็เผยแพร่ออกสู่กลุ่มซามูไรและประชาชนทั่วไปถึงปัจจุบัน
    <O:p</O:p
    [​IMG]

    วัฒนธรรมการชมซากุระ หรือที่ชาวญี่ปุ่นเรียกว่า ฮานามิ นี้ มักจะเริ่มขึ้นตั้งแต่กลางเดือนมกราคม ถึงต้นเดือนพฤษภาคมของทุกปี แล้วแต่สถานที่ โดยดอกซากุระจะเริ่มบานจากทางตอนใต้ของประเทศขึ้นสู่ทางเหนือไปเรื่อยๆ ถึงกับต้องมีปฏิทินคอยบอกว่า จังหวัดไหนจะบานวันไหน เพื่อให้ประชาชนได้ออกมาชมซากุระกันทันกาลในแต่ละพื้นที่ และนอกจากการชมซากุระตอนกลางวันแล้ว ก็ยังเลยเรื่อยไปถึงการเฮฮาปาร์ตี้ดูดอกไม้กลีบบางกันช่วงยามดึก หรือที่เรียกว่า โยซากุระด้วย
    <O:p</O:p
    ทั้งต้นและดอกซากุระเป็นสิ่งที่ผูกพันอยู่กับชาวญี่ปุ่นอย่างแยกไม่ออก ซากุระเป็นสัญลักษณ์สำคัญของญี่ปุ่น เป็นสื่อสำคัญที่รัฐบาลใช้ส่งเสริมให้ ประชาชนเกิดความรักชาติ และยังเป็นของขวัญเพื่อกระชับสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดังเช่นที่ญี่ปุ่นเคยมอบต้นซากุระหลายพันต้นให้สหรัฐอเมริกาไปปลูก และงอกงามดีบนแผ่นดินที่เคยเป็นคู่สงครามกันมาก่อน แต่ในปัจจุบัน ต้นซากุระในสหรัฐฯ เป็นทั้งความงามที่ให้ความสุขตา สุขใจแก่ ผู้ชม และยังเป็นเครื่องหมายแห่งมิตรภาพอันดีด้วย
    <O:p</O:p
    ไม่ว่าซากุระจะอยู่ที่ไหน แต่คนส่วนใหญ่ก็จะนึกถึงญี่ปุ่น เช่นเดียวกับคนญี่ปุ่น ที่ไม่ว่าจะเห็นซากุระที่ไหนก็มักจะคิดถึงบ้าน คิดถึงความเป็นญี่ปุ่น ความสงบ ความงาม ความดี ฯลฯ
    <O:p</O:p
    ทั้งหมดนี้มีอยู่ในดอกไม้งาม นามซากุระ จิตวิญญาณแห่งญี่ปุ่นนั่นเอง.


    [​IMG] [​IMG]


    ทีมงาน ต่วยตูน<O:p</O:p
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE height=34 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-LEFT: 10px">มกอช.จัดหมวดหมู่สินค้า นำร่องอาหารปลอดภัย




    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    <TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=left border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=10 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]



    นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านอาหารปลอดภัยให้กับผู้บริโภคทั้งภายในและต่างประเทศ อีกทั้งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่ม เพื่อให้สามารถพัฒนาศักยภาพการแข่งขันให้กับการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทยในเวทีการค้าโลก ในปี'52 จึงจัดทำโครงการนำร่องรับรองการตามสอบสินค้าเกษตรและอาหารหรือตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability)


    <O:p</O:p

    <O:p</O:p
    ทั้งนี้จะส่งเสริมให้ผู้ผลิต ผู้ประกอบการในภาคเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารไทยเร่งจัดทำระบบตามสอบสินค้าที่ได้ มาตรฐาน ประกอบด้วย ผู้ผลิตสินค้าไก่และสุกร 5 ราย นมและ ผลิตภัณฑ์นม 1 ราย สินค้ากุ้งขาว/กุ้งกุลาดำ 3 ราย ส่วนที่เหลือเป็นผู้ผลิตสินค้าพืชผักและผลไม้
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    “ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยได้มีการรับรองการตามสอบสินค้าในหมวดอาหารและเกษตร ซึ่งระบบดังกล่าวจะเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่ช่วยค้นหาสาเหตุหรือจุดที่เกิดปัญหาในกระบวนการผลิตในสินค้าประเภทนั้นๆ เพราะมีการบันทึกข้อมูลที่เป็นระบบตั้งแต่แหล่งผลิต วิธีการผลิต การขนส่ง ไปจนถึงชั้นวางจำหน่ายสินค้าซึ่งผู้บริโภคสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้” รมว.กระทรวงเกษตรฯกล่าว
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ด้านนางสาวเมทนี สุคนธรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดเก็บข้อมูลสำหรับการตามสอบสินค้าเกษตรจะต้องมีรายละเอียดที่จำเป็นครบถ้วน ได้แก่ ข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การจัดหมวดหมู่สินค้า การกำหนดรหัสชุดสินค้า ข้อมูลคู่ค้าทั้งที่เป็นผู้ป้อนวัตถุดิบและผู้รับซื้อสินค้า ข้อมูลเกี่ยวกับบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายสินค้า ข้อมูลมาตรฐานและกฎระเบียบที่กำหนดเกี่ยวกับสินค้าที่ผลิต ซึ่งเป็นการยืนยันความปลอดภัยได้เป็นอย่างดี.

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มองธรรมถูกทางมีสุขทุกที่ (10)

    คอลัมน์ พระพรหมคุณาภรณ์

    (ป.อ.ปยุตฺโต ป.ธ.๙)

    http://www.matichon.co.th/khaosod/v...ionid=TURNd053PT0=&day=TWpBd09TMHdOQzB4T1E9PQ==

    ได้พูดกันแล้วในเรื่องที่ว่า คุณภาพชีวิตด้านวัตถุ หรือรูปธรรมนั้นท่านถือว่าสำคัญ ในฐานะเป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้เราอาศัยมันเป็นฐานที่จะก้าวขึ้นสู่การพัฒนา และสู่ความดีงามหรือการสร้างสรรค์ที่สูงขึ้นไป ดังนั้น ท่านจึงเอาใจใส่มาก เพียงแต่ต้องระวังไม่ให้เอาเป็นจุดหมายที่จะไปหลงติดวนเวียนจมอยู่ แต่ถ้าปฏิบัติให้ถูกก็เป็นการเตรียมฐานชีวิตให้พร้อม

    ทีนี้ในทางปฏิบัติก็ควรจะมีความชัดเจนอีกสักหน่อย พอให้เห็นภาพหรือเห็นแนวทางว่าเราจะมี จะจัดสรรในเรื่องวัตถุและสภาพแวดล้อมกันอย่างไร จะได้เป็นปัจจัย เป็นเครื่องอาศัยที่ได้ผลดีอย่างที่ว่านั้น

    ดูง่ายๆ แม้แต่พระที่จะไปฝึกจิตเจริญสมาธิ ท่านยังให้ดูให้เตรียมสภาพเอื้อและสิ่งเกื้อกูลหลายอย่าง เพื่อหนุนให้ก้าวไปในการปฏิบัติด้วยดี

    สภาพเอื้อและสิ่งเกื้อกูลเหล่านี้มีชื่อเรียกเป็นคำบาลีว่า สัปปายะ คือที่เราเอามาแปลว่า "สบาย" นั่นเอง แต่ความหมายในภาษาไทยของเราเพี้ยนไปหน่อย

    สบายของเรามักเข้าใจกันว่าหมายถึงไม่ติดขัด ไม่มีอะไรบีบคั้นกดดัน หรืออึดอัด แล้วก็หยุดแค่นั้น คล้ายกับว่าพร้อมจะลงนอน หรือพักผ่อนได้ (มองที่การไม่ต้องทำ)

    แต่สบาย หรือสัปปายะของเดิมหมายถึงสภาพที่เอื้อ เกื้อหนุน เหมาะ ช่วยให้เป็นอยู่ ทำกิจกรรม หรือดำเนินกิจการต่างๆ อย่างได้ผลดี หรือเอื้อต่อการที่จะปฏิบัติให้สำเร็จผล (มุ่งเพื่อการกระทำ) เช่น จะไปฝึกสมาธิท่านให้มีสัปปายะ เพื่อช่วยเอื้อให้การปฏิบัติได้ผลดี

    สัปปายะ คือสบาย หรือสภาพเอื้อและสิ่งเกื้อกูลเหล่านี้ มีหลายอย่าง เห็นว่าเอามาเทียบใช้สำหรับคนทั่วไปได้เป็นอย่างดี อาจจะเรียกว่าเป็นคุณภาพชีวิตขั้นพื้นฐาน เรียกตามคำของท่านว่า สัปปายะ 7 ประการ

    ภาวะสบาย หรือสภาพเอื้อ คือ สัปปายะ 7 นั้น มีดังนี้

    1.อุตุสบาย (อุตุสัปปายะ) คือ สภาพแวดล้อม ดิน น้ำ อากาศ อุณหภูมิ ที่เกื้อกูลต่อชีวิต เอื้อต่อสุขภาพ ธรรมชาติสดชื่นรื่นรมย์ ไม่ร้อนเกินไป ไม่หนาวเกินไป มีบรรยากาศทั่วไป ที่ดี ที่เหมาะ ที่เอื้อ

    2.อาหารสบาย หรือโภชนะสบาย (อาหารสัปปายะ/โภชนสัปปายะ) มีอาหารเพียงพอ ไม่ขาดแคลน และเป็นอาหารที่มีคุณภาพ ถูกกับร่างกาย เกื้อกูลต่อสุขภาพ มีรสชาติตามสมควร

    3.อาวาสสบาย หรือเสนาสนะสบาย (อาวาสสัปปายะ/เสนาสนสัปปายะ) คือ ที่อยู่อาศัย ที่นั่งที่นอน มั่นคง ปลอดภัย อยู่อาศัยใช้ทำกิจที่ประสงค์ได้ดี เป็นที่ผาสุก

    4.บุคคลสบาย (ปุคคลสัปปายะ) คือ มีบุคคลที่ถูกกันเหมาะกัน ไม่มีคนที่เป็นภัยอันตราย หรือก่อความเดือดร้อนวุ่นวาย จะให้ดีควรมีคนที่เป็นกัลยาณมิตร มีปัญญาความรู้ ที่จะเกื้อหนุนให้เกิดการพัฒนาชีวิต พัฒนาจิตใจ และพัฒนาปัญญาให้ดียิ่งขึ้น อย่างน้อยได้คนที่เหมาะใจ

    5.อิริยาบถสบาย (อิริยาปถสัปปายะ) คือ การบริหารอิริยาบถ การเคลื่อนไหวของร่างกาย การได้นั่งนอนยืนเดินอย่างสมดุลและเพียงพอ บริหารร่างกายได้คล่องไม่ติดขัด

    6.โคจรสบาย (โคจรสัปปายะ) คือ มีแหล่งอาหาร แหล่งปัจจัย 4 สิ่งจำเป็นในการใช้สอยเป็นอยู่ หาไม่ยาก เช่น มีหมู่บ้าน ร้านตลาด หรือชุมชน ที่ไม่ไกลไม่ใกล้เกินไป

    7.สวนะสบาย (ธรรมสวนสัปปายะ/ภัสสสัปปายะ) คือ มีโอกาสได้ยินได้ฟังคำสอนคำแนะนำและเรื่องราวที่ช่วยให้เกิดปัญญา เข้าถึงข่าวสารข้อมูลที่สร้างสรรค์ ผดุงจิตใจ จรรโลงปัญญา เอื้อต่อการศึกษา ตลอดจนมีการพูดคุยถกเถียงสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดกัน

    ทั้ง 7 ข้อสบายทั้งนั้น สบายสมชื่อทุกข้อ ได้แค่ 7 ข้อนี้ก็สบายแล้ว สบายทั้งในตัวมันเอง และชัดเจนว่ามันจะช่วยหนุนให้การพัฒนาชีวิตก้าวหน้าต่อไป
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ลิเกฮูลู-รองเง็ง ดนตรีมลายูมุสลิม

    นุเทพ สารภิรมย์

    http://www.matichon.co.th/khaosod/v...ionid=TURNeE53PT0=&day=TWpBd09TMHdOQzB4T1E9PQ==

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>"ลิเกฮูลู" กับ "รองเง็ง" เป็นการละเล่น การแสดงที่ใช้เครื่องดนตรีประกอบของชาวมลายูมุสลิม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยส่วนมากผู้คนทั่วไปมักคุ้นเคยกับลิเกฮูลู แต่สำหรับรองเง็ง ในปัจจุบันหาชมได้ยาก

    ในเวทีการประชุมวิชาการทางมานุษยวิทยา ครั้งที่ 8 ของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ที่เพิ่งผ่านพ้นมา นำศิลปะการแสดงทั้ง 2 ชนิดนี้ มาแสดงและร่วมพูดคุยเกี่ยวกับดนตรีในโลกมุสลิม มีเรื่องราวมากมายที่น่าสนใจ

    นายวาที ทรัพย์สิน อาจารย์คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี อธิบายว่า ลิเกฮูลู หรือ "ดิเกฮูลู" พัฒนามาจากคำว่า "ซีเกร์" เป็นภาษาเปอร์เซีย หมายถึงการอ่านทำนองกลอนสวด การอ่านทำนองเสนาะ

    ส่วนคำว่า ฮูลู แปลว่า ใต้หรือทิศใต้ หรือคนที่อยู่ห่างไกลความเจริญ อยู่เชิงเขา อยู่ห่างทะเล รวมความแล้วหมายถึง การขับบทกลอนเป็นทำนองเสนาะจากทางใต้

    ลิเกฮูลู เล่นกันมานานกว่าร้อยปี พัฒนามาจากการละเล่นของชาวบ้านที่ออกไปทำงานในแต่ละวัน จากความเหน็ดเหนื่อยจึงมีกิจกรรมร่วมกัน ด้วยการร้องเพลงในตอนเย็น ใช้อุปกรณ์หรือภาชนะใกล้ตัว จำพวกหม้อ กระทะ มาเคาะประกอบจังหวะกับการร้องประสานเสียง

    จากนั้นพัฒนาเป็นการร้องโต้ตอบกัน 2 วง รูปแบบการร้องและแสดง ต้องใช้ปฏิภาณไหวพริบ การใช้ภาษา คารม ในการด้นกลอนสด มีการโต้ตอบ ยอวาที และแซว เนื้อหาของเพลงประกอบ จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวมลายูมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เปรียบไปแล้วรูปแบบการละเล่นลิเกฮูลู คล้ายกับ ลำตัด หรือเพลงฉ่อย ทางภาคกลาง

    เอกลักษณ์สำคัญของลิเกฮูลู คือการ ขับร้องจะโต้ตอบกันผ่านบทกลอน พร้อมทั้งแสดงท่วงท่าประกอบ อีกทั้งท่าร่ายรำจะบ่งบอก และสะท้อนถึงวิถีของผู้คนและธรรมชาติ เช่น ท่าทางการกรีดยาง พายเรือ การทำมือเป็นลูกคลื่น ท่ากวักมือเพื่อชักชวนพี่น้องให้กลับมายังบ้านเกิด ท่าปลาแหวกว่าย ท่าชักอวน และจะแทรกกับการตบมือเป็นจังหวะเพิ่มความสนุกสนาน

    ส่วนเครื่องดนตรีก็พัฒนาเรื่อยมาตามสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลง อาทิ ฆ้องวงเล็ก ฆ้องวงใหญ่ ขลุ่ย รำมะนาเล็ก รำมะนาใหญ่ รวมถึงนำแซกโซโฟน เครื่องดนตรีตะวันตกมาประกอบด้วย

    ก่อนแสดงจะต้องเริ่มบท กลอนไหว้ครู เรียกว่า "กาโระ" ต่อด้วยโหมโรงดนตรี ปลุกเร้าหรือเรียกผู้ชม ส่วนบทเพลงแยกออกเป็น 3 ลักษณะ คือ เพลงมลายูเดิม เพลงมลายู-ไทย และเพลงไทย เพื่อให้ผู้ฟังเข้าถึงการขับร้องกลอนแบบลิเกฮูลู

    สำหรับ "รองเง็ง" นั้น อาจารย์วาทีให้ความรู้ว่า เป็นศิลปะการเล่นดนตรีบรรเลง ประกอบการร่ายรำ ไม่มีเนื้อร้อง เป็นวัฒนธรรมที่สร้างความรื่นเริงมาเป็นเวลานาน เป็นการถ่ายทอดจังหวะของดนตรีที่เข้ากับวิถีชีวิต คล้ายกับการแสดงรำวงมาตรฐาน

    ทั้งยังเป็นศิลปะเต้นรำพื้นเมืองของมลายูมุสลิม สวยงามทั้งลีลาการเคลื่อนไหวของเท้า มือ ลำตัว การแต่งกายของชายหญิง และดนตรีที่ใช้เล่น ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรี รำมะนาเล็ก รำมะนาใหญ่ รวมไปถึงนำเครื่องดนตรีจากตะวันตกมาผสมผสาน อย่างแซกโซโฟน ไวโอลิน และแมนโดลิน เพิ่มความไพเราะชวนฟังมากขึ้น <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ปัจจุบันการแสดงแขนงนี้ ยังคงรักษาความงามทางรูปแบบการแต่งกายเฉพาะในชุมชนมลายูมุสลิม โดยนางรำจะสวมเสื้อผ้าแขนกระบอกยาว นุ่งผ้าปาเต๊ะ คล้องผ้ายาวระดับเอว

    ขณะที่นางรำที่สวมชุดโบราณ จะยักย้ายร่างกาย ก้าวย่างไปตามทำนองดนตรี เรียกว่า "ละอู" อย่างลงตัว ซึ่ง ละอู ต่างๆ ก็จะมีจังหวะช้าเร็วต่างกันไป และท่ารำยังบ่งบอกถึงวิถีชีวิต สภาพสังคม และวัฒนธรรม

    อาจารย์วาทีเปรียบเทียบว่า ลิเกฮูลู กับ รองเง็ง เหมือนกันตรงที่เป็นศิลปะการละเล่นพื้นบ้าน ที่บ่งบอกถึงวิถีชีวิตของมลายูมุสลิม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ต้องอาศัยความสามัคคี มีอัตลักษณ์เป็นของตน เอง ให้ความสนุกเพลิดเพลินผ่อน คลายจากการงาน

    ส่วนความต่างกัน คือ ลิเกฮูลู เป็นเพลงร้องประกอบท่าทางลีลา รองเง็ง เป็นดนตรีบรรเลงประกอบท่าทาง แต่ลิเกฮูลู นิยมเล่นกันทุกหมู่บ้าน รู้จักกันทั่วไป

    ขณะที่ รองเง็ง ในปัจจุบันมีเพียง 3 คณะที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จัก คือ คณะอัสลีมาลา เป็นวง "ขาเดร์ แวเด็ง ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดงดนตรีพื้นบ้าน เมื่อปี พ.ศ. 2536 คณะบุหลันตานี เป็นคณะที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากวงอัสลีมาลา และวงรองเง็ง มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา

    ในส่วนของท่าทางประกอบการละเล่น ลิเกฮูลู จะไม่บังคับตายตัว นักแสดงสามารถใช้จินตนาการทำหนดท่าทาง เด็กๆ จึงนิยมเล่น ส่วน รองเง็ง เป็นท่าบังคับตายตัว ต้องเริ่มศึกษาตั้งแต่เด็กๆ จึงทำให้เด็กวัยรุ่นไม่ชอบเรียน เลยไม่นิยมเล่นไปโดยปริยาย

    นายเซ็ง อาบู หรือ "แบเย็ง" วัย 56 ปี นักดนตรีแมนโดลิน รองเง็ง จากต.ยามู อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ร่วมถ่ายทอดประสบ การณ์ให้ฟังว่า เล่นดนตรีประกอบรองเง็งมานาน 30 กว่าปี เดิมเล่นกับคณะอัสลีมาลา จากนั้นจึงแยกออกมาตั้งคณะบุหลันตานี โดยส่วนตัวแล้วหลงใหลเสียงดนตรีประกอบ รองเง็ง เมื่อนำมาบรรเลงบอกเล่าถึงวิถีชีวิตของชาวเล และบรรยายถึงการจับปลา มีหนุ่มสาวมารำประกอบท่าทางการจับปลาที่สวยงาม จะรู้สึกถึงความเป็นชาวเลได้

    "หากรองเง็งแพร่หลายออกไป เชื่อว่าคนที่ได้ชมจะรู้สึกชื่นชอบ เพลงที่เล่นรองเง็ง เท่าที่จำได้มีมากกว่า 200 เพลง หากมีสถานศึกษาใดต้องการให้ไปสอน หรือเผยแพร่ก็พร้อม เพื่อให้เยาวชนได้รู้จักการเล่นดนตรี รองเง็ง จะทำให้เพลงรองเง็งสืบสาน เพื่อ บอกเล่าวัฒนธรรมเก่าๆ ของมลายูมุสลิมในอดีตให้คงอยู่ต่อไป" แบเย็งกล่าว

    แต่โดยสรุปแล้ว ทั้ง ลิเกฮูลู และ รองเง็ง เป็นสื่อและจุดเชื่อมของผู้คนหลายยุคสมัย ให้เข้าใจถึงวิถีของมลายูมุสลิม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ปรารถนาให้ชุมชนหันหน้าเข้าหากัน และอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระปิดตาหลวงปู่แย้ม

    คอลัมน์ พันธุ์แท้พระเครื่อง

    ราม วัชรประดิษฐ์

    http://www.matichon.co.th/khaosod/vi...MHdOQzB4T1E9PQ==

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>พระปิดตาหลวงปู่แย้ม เป็นพระปิดตาอีกหนึ่งรุ่นที่มีความเก่าแก่และมีชื่อเสียงโด่งดังมากโดยเฉพาะใน จ.สมุทรปราการ เพราะสร้างโดยหลวงปู่แย้ม วัดด่านสำโรง พระเกจิชื่อดังของจังหวัดครับผม

    หลวงปู่แย้มเป็นพระเกจิผู้เรืองวิทยาคมในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 รุ่นเดียวกับหลวงพ่อเชย แห่งวัดบางกระสอบ จ.สมุทรปราการ และหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง ธนบุรี ท่านเป็นชาววัดด่านสำโรงโดยกำเนิด เกิดเมื่อปี พ.ศ.2387 เริ่มศึกษาอักขระสมัยตั้งแต่เป็นสามเณร จนอายุครบบวชจึงบรรพชาเป็นพระภิกษุ ณ วัดด่านสำโรง เข้าศึกษาพระปริยัติธรรม คันถธุระ และวิปัสสนาธุระ ที่วัดโพธิ์ ท่าเตียน กรุงเทพฯ จนเชี่ยวชาญแตกฉาน โดยเฉพาะการปฏิบัติวิปัสสนา จากนั้นท่านเริ่มออกธุดงค์ไปตามสถานที่เงียบสงบต่างๆ เพื่อฝึกฝนปฏิบัติและในที่สุดก็เดินทางกลับมาจำพรรษาที่วัดด่านสำโรงแต่นั้นมา ท่านเคร่งครัดในพระธรรมวินัยและวัตรปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง เป็นพระที่มีอภิญญาสูงส่งและหลุดพ้นแล้วซึ่งกิเลสต่างๆ ปฏิเสธยศถาบรรดาศักดิ์ที่ได้รับการแต่งตั้ง มุ่งเพียงดูแลปกครองวัดและพระลูกวัด รวมทั้งลูกศิษย์ลูกหาและญาติโยมที่มีทุกข์มีความเดือดร้อน ไม่หวังในลาภ ยศ หรือทรัพย์สินใดๆ ทั้งสิ้น แม้จะเป็นที่กล่าวขวัญกันว่าท่านดุเอามากๆ แต่ท่านก็เป็นที่เคารพรักของชาวบ้านด่านสำโรงและละแวกใกล้เคียง ที่ประจักษ์ในความอัศจรรย์และอภินิหารต่างๆ นอกจากนี้ ท่านยังเป็นพระนักพัฒนา เป็นผู้พลิกฟื้นสภาพวัดด่านสำโรง ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยาและมีสภาพรกร้างมาเนิ่นนานให้กลายเป็นปึกแผ่นมั่นคง ด้วยการร่วมแรงร่วมใจของเหล่าลูกศิษย์ลูกหาและชาวบ้านที่เคารพศรัทธาจนเจริญรุ่งเรืองมาจวบจนปัจจุบัน ท่านมรณภาพเมื่อปี พ.ศ.2481 สิริอายุ 94 ปี 74 พรรษา

    วัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังของท่านมีทั้งพระปิดตา ตะกรุดพิสมร ผ้าประเจียด และมงคล แต่ที่เป็นที่นิยมเล่นหากันที่สุดเห็นจะเป็น "พระปิดตา" ซึ่งเรียกกันว่า "พระปิดตาหลวงปู่แย้ม" เป็นพระพิมพ์เนื้อผง สร้างจาก "ผงอิทธิเจ" ซึ่งเป็นผงทางเมตตามหานิยม ผสมกับว่านยาและวัสดุอาถรรพ์ต่างๆ อาทิ ยอดสวาท เครือสาวหลง ฯลฯ และใช้น้ำมันตังอิ๊วเป็นตัวประสาน เมื่อกดแม่พิมพ์เป็นที่เรียบร้อยท่านก็จะปลุกเสกเองทีละองค์ แล้วรวมใส่ในบาตรเพื่อบริกรรมคาถา จากนั้นจึงนำองค์พระมาลงรักปิดทองเพื่อรักษาเนื้อพระเป็นอันเสร็จพิธี หลวงปู่แย้มไม่ได้จัดสร้าง "พระปิดตา" ในคราวเดียวกันเป็นรุ่นๆ ท่านจะค่อยทำค่อยไป ส่วนผสมต่างๆ ก็ไม่ได้มีการชั่งตวงวัด จึงทำให้เนื้อในขององค์พระปิดตามีสีสันต่างกันไป แบ่งออกได้เป็น 3 สี คือ "สีน้ำตาลอ่อน" เป็นเนื้อผงขาวผสมน้ำมันตังอิ๊ว เมื่อถูกเหงื่อหรือสัมผัสจึงออกไปทางสีน้ำตาล "สีเขียว" มีส่วนผสมของใบโพธิ์ และ "สีดำ" มีส่วนผสมของเถ้าใบลานเผา

    การจะเล่นหา "พระปิดตาหลวงปู่แย้ม" ต้องพิจารณากันให้ดีๆ เนื่องจากของทำเทียมเลียนแบบมีเยอะมากและค่อนข้างจะเหมือนอีกด้วย ทั้งการจัดสร้างก็ไม่ใช่การจัดสร้างเป็นรุ่นในคราวเดียวกันที่จะมีพิมพ์ทรงและสีสันใกล้เคียงกัน ดังนั้น จึงขอแนะนำให้สังเกตที่ลักษณะการลงรักปิดทอง ซึ่งจะไม่ใช่การใช้ "รัก" เป็นตัวประสาน แต่เป็นการใช้ "น้ำมันตังอิ๊ว" ประสาน ดังนั้น สีจึงไม่ใช่สีน้ำตาลของ "ชะแล็ก" ตามที่บางท่านเห็นและเข้าใจผิดหลงชื่นชมกันอยู่ครับผม


    -----------------------------------------------------------------------

    จะบอกว่า พิมพ์เป็นพิมพ์ของวังหน้าครับ

    แล้ววันนัดพบกัน จะนำไปให้ชม(ถ้าไม่ลืม) ครับ
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การให้ทาน สูตรสำเร็จแห่งชีวิตในวันอาทิตย์นี้คือทาน

    คอลัมน์ รื่ยร่ม รมเยศ

    โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01bud01190452&sectionid=0121&day=2009-04-19

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>สูตรนี้สั้นๆ ง่ายๆ แต่ค่อนข้างทำยากสำหรับคนไทย ทั้งๆ ที่คนไทยเราเป็นคนใจบุญสุนทานนี่แหละ ลองมาดูกันว่ายากอย่างไร

    โบราณจารย์ท่านสอนว่า การให้ทานมี 3 ลักษณะคือ ให้เพื่อสงเคราะห์ ให้เพื่ออนุเคราะห์ และให้เพื่อทำบุญ

    การให้เพื่อสงเคราะห์และอนุเคราะห์ เรียกอีกอย่างว่า ให้แบบทำบุญ เพราะเป็นการให้เพื่อบุญคุณ หรือหวังผลตอบแทน เช่น เราให้ของขวัญ ให้รางวัล เลี้ยงข้าว เลี้ยงเหล้า แก่ใคร เราก็ว่าเราให้โดยไม่หวังผลตอบแทนอะไร แต่ในส่วนลึกแห่งดวงใจเรายังทวง "บุญคุณ" อยู่เงียบๆ อย่างน้อยก็อยากให้เขารู้สึกขอบบุญขอบคุณในน้ำใจไมตรีของเรา ลองคิดดีๆ จะเห็นเองครับ ถ้าเราไม่เข้าข้างตัวเองเกินไป

    การให้อะไรแก่ใครแล้วหวังผลตอบแทน ไม่ถือว่าให้เพื่อทำบุญ ไม่ช่วยให้จิตใจสูงหรือสะอาดขึ้น เพราะแทนที่จะกะเทาะความโลภให้หลุดไปจากจิตสันดานกลับพอกให้หนาขึ้น ทำไปทำมา นักทำบุญแบบนี้จะกลายเป็นนักลงทุนหรือนักค้าบุญไปโดยไม่รู้ตัว

    ทางศาสนา (ศาสนาพุทธนะครับ ศาสนาอื่นผมไม่รู้) สอนไว้ว่า การให้จะทำให้จิตใจเราสะอาดบริสุทธิ์ขึ้น หรือทำบุญได้บุญจริงๆ นั้นขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ 3 ประการ คือ

    -สิ่งที่จะให้ต้องบริสุทธิ์ หมายถึง ข้าวปลาอาหารอะไรก็ตามที่เราจะให้นั้น ต้องเป็นของได้มาโดยสุจริต ไม่ได้ขโมยคดโกงใครเขามา ของนั้นไม่จำเป็นต้องใหญ่โตมากมายหรือราคาแพงๆ น้ำพริกที่ได้มาโดยสุจริตมีผลมากกว่าโต๊ะจีนราคาพันๆ ที่โกงแชร์เขามาจัดถวายพระเสียอีก

    -เจตนาจะต้องบริสุทธิ์ ก่อนให้ กำลังให้ หลังจากให้แล้วมีจิตใจเลื่อมใสยินดีให้จริงๆ มิใช่ให้ไปแล้วนึกเสียดายภายหลัง หรือให้ด้วยมีเจตนาแอบแฝงอยู่ เช่น ให้เพื่อให้คนเขารู้ว่าตนเป็นคนใจบุญสุนทาน ให้เพื่อเอาหน้า เคยเห็นภาพคุณหญิงคุณนาย หรืออาเสี่ยร้อยล้านพันล้านบางคนกำลังบริจาคทรัพย์ทำบุญอะไรสักอย่างไหมครับ แทนที่จะมองไปที่พระสงฆ์ที่ตนกำลังประเคนของให้ กลับหันหน้ามายิ้มหราทางกล้อง บางทีถวายไปแล้วกล้องถ่ายไม่ทัน ต้องทำพิธีถวายใหม่เพื่อให้กล้องบันทึกภาพไว้ชัดๆ คนจะได้เห็นทั่วกัน อย่างนี้ส่อเจตนาว่า ให้เพื่อเอา อย่างน้อยก็เอาหน้าว่าเป็นคนใจบุญ เจตนาจะบริสุทธิ์แค่ไหนก็คิดเอาเอง

    -ผู้รับต้องบริสุทธิ์ ผู้รับทานของเราต้องมีศีล มีธรรมควรแก่การให้ด้วย ทานจึงจะมีผลมาก ในทางศาสนาท่านสอนให้ถวายแก่พระสงฆ์ผู้มีศีลบริสุทธิ์ การให้ทานแก่อลัชชีแทนจะได้บุญกลับกลายเป็นว่า ให้กำลังวังชาแก่อลัชชีมาบ่อนทำลายพระศาสนาเป็นบาปเสียอีกแน่ะ

    บางท่านถามว่า บางครั้งอยู่บ้านดีๆ มีคนมากดกริ่งขอเรี่ยไรเงินไปสร้างโน่น สร้างนี่ มูลนิธิอะไรต่อมิอะไรชื่อประหลาดๆ มากันบ่อย อย่างนี้ควรให้หรือไม่ ตอบแน่ชัดลงไปไม่ได้หรอกครับ ขึ้นอยู่ที่วิจารณญาณของท่าน ถ้าไม่แน่ใจก็ไม่ควรให้ ขอให้ถือตามพุทธโอวาทว่า พึงพิจารณาให้ดีก่อนจึงให้

    คนไทยใจบุญมักให้ทานส่งเดช จึงเป็นเครื่องมือหากินของพวกมิจฉาชีพไม่รู้จบสิ้น และมักไม่เข็ดด้วยนะครับ ที่พูดนี้ได้กับตัวเองบ่อยเหมือนกัน

    การให้ทานจะเป็นบุญกุศลจริงๆ จะต้องครบองค์ประกอบ 3 อย่างคือ ของที่ให้ต้องบริสุทธิ์ เจตนาต้องบริสุทธิ์ ผู้รับก็ต้องบริสุทธิ์ ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งก็มีผลเหมือนกัน แต่ผลไม่มากเท่าที่ควรจะเป็น

    พูดถึงทานทำให้นึกถึงอีกคำหนึ่งคือ จาคะ หรือปริจาคะ (ไทยเขียน บริจาค) สองคำนี้ใช้แทนกันได้ ในที่ใดท่านใช้คำเดียวว่า "ทาน" ในที่นั้นย่อมคลุมถึงความหมายของ "จาคะ" (หรือปริจาคะ) ด้วย แต่ถ้าสองคำมาด้วยกัน (อย่างในทศพิธราชธรรม) ทาน หมายถึง การให้วัตถุสิ่งของ การสละวัตถุสิ่งของให้คนอื่น จะด้วยวัตถุประสงค์อะไรก็แล้วแต่ เรียกทานทั้งนั้น ส่วนจาคะ (หรือปริจาคะ) ก็จะหมายเฉพาะการเสียสละกิเลส (เช่น สละความตระหนี่ถี่เหนียวแน่น, สละความเห็นแก่ตัว)

    ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายกว่านี้ก็ว่า จาคะ หมายถึง สละความหวงแหนสิ่งของที่ตนมีออกจากใจหรือ "ตัดใจ" ทาน หมายถึง กิริยาอาการที่ยื่นสิ่งของนั้นให้คนที่ควรให้ แต่ถ้าใช้คำว่า ทาน หรือ จาคะโดดๆ ก็รวมทั้งสองความหมายนั้นอยู่ในคำเดียวกัน

    มีพุทธพจน์แสดงสาเหตุที่คนให้ทานต่างๆ กัน น่าสนใจดีขอคัดมาให้ดูดังนี้ บางคนให้ทานเพราะหวังผล มีจิตผูกพันกันจึงให้ หวังสะสมจึงให้ คิดว่าจากโลกนี้ไปแล้วจะได้กินได้ใช้ บางคนให้คิดด้วยว่า การให้เป็นการกระทำที่ดี บางคนให้คิดด้วยว่า พ่อแม่ ปู่ย่า ตายายเคยทำกันมา ไม่ควรให้เสียจารีตประเพณี บางคนให้คิดด้วยว่า เรามีอยู่มีกินควรแบ่งปันให้คนที่เขาไม่มีอยู่ไม่มีกิน บางคนให้คิดด้วยว่า การให้ทานของตนเป็นเกียรติยศ บางคนให้คิดด้วยว่า เมื่อเราให้ทานจิตใจจะโสมนัสแช่มชื่น บางคนให้โดยฐานเป็นอลังการเป็นบริขารของจิต (หมายถึงเป็นเครื่องปรุงแต่งของจิตให้ดีขึ้น ฝึกจิตให้มีคุณภาพขึ้น)

    ความมุ่งหมายของการให้ทานของคนสมัยพระพุทธเจ้ากับสมัยปัจจุบันคงไม่แตกต่างกันมากนัก ท่านชอบการให้แบบไหนก็เลือกเอาแล้วกัน

    การให้ทานมีอยู่ 2 ประการคือ ให้เจาะจงคนให้ เรียก ปาฏิปุคคลิกทาน กับให้แก่สงฆ์หรืออุทิศแก่ส่วนรวมเรียก สังฆทาน

    อย่างแรก ทำได้ง่าย และถูกจริตนิสัยคนส่วนมากเพราะเราอยากให้อะไรแก่ใคร ก็อยากจะให้แก่คนที่เรารัก ชอบพอหรือนับถือเป็นการส่วนตัว แม้ไม่รู้จักส่วนตัว เช่น เวลาใส่บาตร บางคนยัง "เลือก" พระเลยว่า ใส่รูปนี้ดีกว่าอะไรทำนองนี้

    อย่างหลัง (สังฆทาน) ทำยาก เพราะการทำใจให้เป็นกลางไม่เอียงไปข้างรัก ข้างชังนั้น ทำได้ไม่ง่ายนัก เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสรรเสริญว่า การให้ทานไม่เจาะจง หรืออุทิศให้แก่สงฆ์ทั้งปวงมีอานิสงส์ (ผล) มากกว่าถวายทานแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียอีก

    คนส่วนมากยังเข้าใจผิดว่า ถวายทานแก่พระภิกษุตั้งแต่สี่รูปขึ้นไป จึงจะเรียกสังฆทาน ไม่จริงดอกครับ ถวายพระรูปเดียวก็เป็นสังฆทานได้ ขอเพียงอย่า "เจาะจง" หรือ "เลือก" ก็แล้วกัน

    วิธีถวายสังฆทานก็ไม่ต้องฟังนัก "พิธีรีตอง" ที่ไหนให้มากเรื่อง ตระเตรียมข้าวปลาอาหารที่ต้องถวาย ตั้งจิตอุทิศแก่พระสงฆ์ทั้งหมดไม่เจาะจงผู้ใด พบตัวแทนพระสงฆ์รูปใด (จะเป็นพระหรือสามเณรก็ตาม) ก็นิมนต์มารับสังฆทานที่บ้านเท่านี้ก็เป็นสังฆทานแล้วครับ

    ลองหัดให้โดยไม่เจาะจง ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ให้เพื่อการให้อย่างแท้จริงสักพักสิครับ จะรู้สึกว่าจิตใจบริสุทธิ์สะอาดและสูงขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ทีเดียว
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ยันต์กัน"วิญญาณร้าย"

    คอลัมน์ แทงก์ความคิด

    โดย นฤตย์ เสกธีระ max@matichon.co.th

    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01fun03190452&sectionid=0140&day=2009-04-19

    สัปดาห์ที่แล้วเขียนเรื่อง "เริ่มต้นด้วยการสังเกต" ปรากฏว่ามีกัลยาณมิตรอี-เมลมาแก้ไขข้อมูลตำนานวันสงกรานต์

    ความว่า ... ตามตำนานที่จารึกในวัดพระเชตุพน บุคคลที่ปากเสีย พูดจากดูถูกเศรษฐีพ่อของธรรมบาลกุมารในเรื่องมีบุตรยากนั้น คือ นักเลงสุรา หาใช่ยาจกคนข้างบ้านไม่

    ตรวจสอบแล้วเป็นจริงดังว่า

    จึงขอบันทึกแก้ไขตามที่อี-เมลมาบอก

    ยังมีอี-เมลอีกฉบับหนึ่งครับ

    ฉบับนี้ส่งมาแซวเรื่องคำถามของท้าวกบิลพรหมจำนวน 3 ข้อที่ถามธรรมบาลกุมาร

    บังเอิญสัปดาห์ที่แล้วไม่ได้บอกว่าคำถามที่ว่านั้นเป็นฉันใด

    สัปดาห์นี้จึงขอเติมให้เต็ม โดยนำคำถาม 3 ข้อที่ไม่ได้เขียน เอามาบอกกล่าว

    คำถามที่ท้าวกบิลพรหมถามธรรมบาลกุมารบุตรท่านเศรษฐี มี 3 ข้อ

    หนึ่ง คือ เช้าราศีอยู่ที่ไหน

    สอง กลางวันล่ะ ราศีอยู่ที่ไหน

    และสาม ตอนค่ำราศีอยู่ที่ไหน

    ส่วนคำตอบหลายคนคงรู้แล้ว

    เช้าราศีอยู่ที่หน้า ตื่นขึ้นมาจึงมีการล้างหน้า

    กลางวันราศีอยู่ที่อก ผู้คนจึงประพรมเครื่องหอมตามร่างกาย

    และค่ำราศีอยู่ที่เท้า จึงมีการล้างเท้า

    สำรวจตรวจสอบตัวเองถึงเหตุแห่งความบกพร่อง สันนิษฐานว่า ปัจจัยเกิดจากความไม่รู้ล่ะหนึ่ง

    กับอีกหนึ่งคือจิตวอกแวก แบบว่า "วิญญาณไม่เข้าร่าง"

    เลยทำให้นำเสนอข้อมูลไม่ครบถ้วน

    ต้องขออภัย!

    ว่าถึงเรื่องจิต เรื่องวิญญาณนี่ เป็นความเชื่อมาตั้งแต่สมัยบรรพชน

    ว่ากันว่าเมื่อวิญญาณออกจากร่าง คนเราก็ตาย

    ร่างกายก็ผุกร่อน ส่วนวิญญาณยังต้องเวียนว่าย

    ความเชื่อดังกล่าวทำให้เรามีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ "ผี" ให้ขนหัวลุกกันมาจนถึงบัดนี้

    บางคนก็เล่าเรื่องคนเห็นผี บางคนก็เล่าเรื่องคนถูก "ผีสิง"

    "ผีสิง" นี่หมายถึง วิญญาณอื่นที่มีอำนาจเหนือกว่า ได้เข้าไปสิงอยู่ในร่างของมนุษย์

    ทำให้พฤติกรรมการแสดงออกของคนที่ถูก "ผีสิง" เปลี่ยนไป

    จริงไม่จริงไม่รู้ อย่าเอาไปเถียงกันเลยครับ

    แต่เหตุที่นำเรื่อง "ผีสิง" มานำเสนอ เพราะติดตามสถานการณ์บ้านเมืองในช่วงนี้แล้ว

    บางคนบางพวกเหมือนถูก "ผีสิง"

    เพราะปกติแล้วคนเราทุกคนล้วนมี "วิญญาณฝ่ายดี" สถิตอยู่

    ""วิญญาณฝ่ายดี" ทำให้มนุษย์คิดดี พูดดี และทำดี"

    หรือพวกที่ทำงานในวิชาชีพต่างๆ เช่น หมอ พยาบาล ทนายความ

    คนเหล่านี้ก็มีวิญญาณฝ่ายดี เรียกว่า วิญญาณแห่งวิชาชีพ

    แต่วิญญาณฝ่ายดีนี้ไม่ได้มีอำนาจกำกับเราได้ตลอดนะครับ

    เพราะวันใดที่ "วิญญาณฝ่ายดี" อ่อนล้า "วิญญาณฝ่ายร้าย" อาจจะเข้าสิงแทนได้ทุกเมื่อ

    คนที่ถูกวิญญาณร้ายสิงจะมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป

    จากที่เคยคิดดี พูดดี และทำดี

    กลายเป็นการคิดร้าย พูดไม่ดี และทำชั่ว

    ดูอย่างผู้คนบางคนที่ร่วมชุมนุมประท้วงสิครับ

    ผู้คนเหล่านั้น ปกติก็ดำรงชีวิตเหมือนอย่างเราๆ ท่านๆ นี่แหละ

    คิดดี พูดดี และทำดี

    "แต่พอวันหนึ่งวิญญาณฝ่ายดีอ่อนแอ ทำให้วิญญาณร้ายเข้าแทรก"

    "จากคนที่เคยคิดดี ก็คิดแต่จะทำลายล้าง"

    คนที่เคยพูดดี ก็พูดจาหยาบคาย

    คนเคยทำดี ก็เปลี่ยนเป็นตรงกันข้าม

    หรืออย่างคนทำงานด้านวิชาชีพก็เหมือนกันครับ

    ตอนจบมาใหม่ๆ ไฟแรงสูง "วิญญาณฝ่ายดี" มีพลัง คนเราก็มุ่งมั่นทำงานเพื่อคนส่วนใหญ่

    แต่พอเวลาผ่านไป บางคนเริ่มอ่อนล้า

    กระทั่งบางคนถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง

    เริ่มทุจริตคอร์รัปชั่น เริ่มเอารัดเอาเปรียบผู้คน

    คนที่มีพฤติกรรมแบบนี้ ล้วนแต่เป็นผู้อ่อนแอครับ

    จึงถูกวิญญาณร้ายสิงอยู่ในร่าง

    "ใครที่ถูกวิญญาณร้ายครอบงำอยู่นาน พฤติกรรมก็เปลี่ยนไปจนถูกผู้คนมองว่าเป็นคนชั่ว"

    ใครที่ถูกมองว่าเป็นคนชั่วก็โชคร้ายล่ะครับ

    เพราะจะมองไปทางไหนก็มีแต่คนรังเกียจ

    "หรือที่วงการเมืองมักใช้คำว่า "ต้นทุนทางสังคมต่ำ" นั่นแหละ"

    คนที่ต้นทุนทางสังคมต่ำ เวลาจะทำอะไรให้สำเร็จ ก็ยากเย็นแสนเข็ญล่ะครับ

    ดังนั้น หากไม่ต้องการให้ชีวิตตกอับ เราต้องหาทางขจัด "วิญญาณร้าย" ออกไป

    วิธีการขับไล่วิญญาณร้ายให้ออกจากร่างก็คือการเพิ่มพลังให้วิญญาณฝ่ายดี

    "วิธีการง่ายๆ ที่สามารถเพิ่มพลังให้วิญญาณฝ่ายดี คือการคิดถึงคนส่วนใหญ่ครับ"

    คือคิดถึงชาติมาก่อนองค์กร

    และคิดถึงองค์กรก่อนตัวเอง

    "ถ้าคิดได้เช่นนี้ จะทำให้เรารู้ว่าอะไรควรทำ และอะไรควรเว้น"

    รู้ว่าควรทำความดี และเว้นการทำความชั่ว

    ใครสามารถทำเช่นนี้ได้ก็ขอสาธุด้วยล่ะครับ

    เพราะคนที่ทำได้คือคนที่จะแคล้วคลาดจากวิญญาณร้าย

    "หลุดพ้นจากอาการ "ผีสิง""

    "สวัสดี"


    http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01fun03190452&sectionid=0140&day=2009-04-19
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD align=middle height=10>พระราชวังกรุงธนบุรี วังหลวงในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (ตะลอนเที่ยว)

    http://www.naewna.com/news.asp?ID=157711


    </TD></TR><TR><TD align=middle height=10>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    [​IMG]


    </TD></TR><TR><TD align=middle height=10>[​IMG]</TD></TR><TR><TD> คนไทยทั้งแผ่นดินต่างทราบซึ้งในพระเกียรติยศและพระวีรกรรมแห่งสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเป็นอย่างดี แต่หลายคนกลับไม่ทราบว่าพระราชวังหลวงของมหาราชพระองค์นี้อยู่ ณ ที่ใด บางคนอาจรู้จากบทเรียน แต่ไม่เคยเข้าไปสัมผัสสถานที่จริง

    ตะลอนเที่ยววันนี้จะพาท่านไปถวายบังคมพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และพาท่านเที่ยวชมพระราชวังเดิมหรือพระราชวังกรุงธนบุรี

    พระราชวังเดิมตั้งอยู่ริมฝั่งเจ้าพระยา บริเวณปากคลองบางกอกใหญ่ เป็นเขตที่ตั้งของป้อมวิไชยเยนทร์ ป้อมปราการนี้สร้างในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ต่อมาสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเปลี่ยนชื่อเป็นวิไชยประสิทธิ์

    พระราชวังแห่งนี้สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2310 หลังจากทรงกู้เอกราชให้ชาติไทยสำเร็จ โดยพระองค์ประทับ ณ พระราชวังนี้จนสิ้นรัชสมัย รวมเวลา 15 ปี

    ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงปราบดาภิเษกขึ้นครองราชสมบัติแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระราชวงศ์ชั้นสูงหลายพระองค์เสด็จไปประทับ ณ พระราชวังธนบุรี อาทิ

    1 พระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงธิเบศรบดินทร์ พระโอรสในกรมพระเทพสุดาวดี

    2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ประทับขณะดำรงพระราชอิสริยยศ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร กรมพระราชวังบวรในรัชกาลที่ 1

    3 พระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี พระโอรสในกรมพระศรีสุดารักษ์

    4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับขณะดำรงพระราชอิสริยยศ สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎ ในรัชกาลที่ 2

    5 พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับขณะดำรงพระราชอิสริยยศ สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี ในรัชกาลที่ 3

    6 กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับตั้งแต่ประสูติจนเสด็จไปประทับ ณ วังใหม่ที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯพระราชทาน

    7 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านวม กรมหลวงวงศาธิราชสนิท พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ต้นราชสกุลสนิทวงศ์

    8 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ ในรัชกาลที่ 5 ต้นราชสกุลจักรพันธ์

    ที่สำคัญคือพระราชวังแห่งนี้เป็นที่สถานที่พระราชสมภพของพระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์ถึง 3 พระองค์คือพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

    พระราชวังเดิมเคยเป็นที่ตั้งโรงเรียนนายเรือ เมื่อ พ.ศ. 2449 ปัจจุบันเป็นที่ตั้งกองบัญชาการกองทัพเรือ


    <CENTER>สถานที่สำคัญในพระราชวังเดิม </CENTER>

    1 ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

    2 ท้องพระโรง เป็นอาคารทรงไทยประดับด้วยช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ นาคสะดุ้ง ผังอาคารเป็นรูปตรีมุข ประกอบด้วยพระที่นั่งองค์ทิศเหนือหรือท้องพระโรง ใช้เป็นที่ออกขุนนาง ตรงกลางเป็นท้องพระโรงมีเสาสองแถว แถวละ 8 ต้น เรียก ในประธาน พระที่นั่งองค์ทิศใต้หรือพระที่นั่งขวาง เป็นส่วนราชมณเฑียร เป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์

    3 พระตำหนักเก๋งคู่หลังใหญ่ เป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างศิลปะไทยและจีน เป็นตึกก่ออิฐถือปูนชั้นเดียว หลังคาทรงจั่วแบบจีน ปัจจุบันใช้เป็นที่จัดแสดงพระราชกรณียกิจด้านสังคม เศรษฐกิจ ศาสนาและศิลปกรรมในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

    4 พระตำหนักเก๋งคู่หลังเล็ก ตั้งอยู่คู่กับพระตำหนักเก๋งจีนหลังใหญ่และมีสถาปัตยกรรมคล้ายคลึงกัน เป็นที่จัดแสดงพระราชกรณียกิจด้านการรบของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชและพิพิธภัณฑ์อาวุธโบราณ

    5 ตำหนักเก๋งสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นสถาปัตยกรรมแบบอเมริกัน ชั้นบนเคยเป็นที่ประทับของเจ้านาย ปัจจุบันจัดเป็นที่แสดงนิทรรศการพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวและห้องสมุด ชั้นล่างเป็นที่จัดนิทรรศการเงินตรา เครื่องถมทอง และเครื่องถ้วยโบราณของประเทศไทย

    6 ป้อมวิไชยประสิทธิ์ เดิมชื่อป้อมวิไชยเยนทร์สร้างในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

    7 เรือนเขียว เดิมเป็นโรงพยาบาลประจำโรงเรียนนายเรือ

    8 ศาลศีรษะวาฬ ตั้งอยู่ข้างศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน

    ปัจจุบันพระราชวังเดิมได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ โดยกองบัญชาการกองทัพเรือเป็นผู้ดูแล ส่วนมูลนิธิอนุรักษ์โบราณสถานในพระราชวังเดิมเป็นผู้ดำเนินการด้านอนุรักษ์ ปรับปรุงภูมิสถาปัตย์และสภาพแวดล้อม รวมถึงเผยแพร่ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ของพระราชวังเดิมต่อสาธารณชน

    ผู้สนใจเข้าชม โปรดติดต่อมูลนิธิอนุรักษ์โบราณสถานในพระราชวังเดิมโทรศัพท์ 02 4754117, 02 4669355

    อัตราค่าเข้าชม บุคคลทั่วไป 60 บาท นักเรียนนักศึกษา 20 บาท เปิดบริการวันจันทร์ถึงศุกร์ เวลา 09.00-16.00 นาฬิกา เว้นวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์

    <CENTER>By Mr. Flower </CENTER></TD></TR><TR><TD height=10>

    </TD></TR><TR><TD align=right>วันที่ 19/4/2009</TD></TR></TBODY></TABLE>

    http://www.naewna.com/news.asp?ID=157711
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD align=middle height=10>รปภ.ห้างสรรพสินค้ามหาภัย (กฎหมายคลายทุกข์) </TD></TR><TR><TD align=middle height=10>[​IMG]</TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD align=middle height=10>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD>
    คดีนี้เกิดขึ้นกับหญิงสาววัย 30 ปีเศษ


    วันเกิดเหตุแม่ให้เงินไป 14,000 บาท เพื่อให้ไปซื้อของขวัญที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งให้เป็นของขวัญวันเกิดแก่ลูกเขย เมื่อไปถึงเห็นลูกค้าของห้างแห่งนั้นกำลังมุงดูสินค้าลดราคา ก็เกิดความสนใจและต้องการจะซื้อสินค้าที่ลดราคาก่อนจึงเดินเข้าไป แต่ผู้คนหนาแน่น จึงยืนต่อแถวถัดจากหญิงคนหนึ่งซึ่งเข้าใจว่าเป็นลูกค้าของห้าง และเห็นโทรศัพท์มือถือของหญิงคนนั้นเสียบอยู่ในกระเป๋าสะพายหลังกำลังจะตกลงพื้นเธอจึงช่วยจับเอาไว้และกำลังจะคืนเจ้าของ

    แต่ในทันทีนั้นได้มีชายคนหนึ่งเข้ามาจับมือแล้วพูดด้วยวาจาไม่สุภาพ กล่าวหาว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นขโมย ด้วยความตกใจและด้วยความอาย ทำอะไรไม่ถูก ก็พยายามจะอธิบาย แต่ชายคนนั้น ไม่เปิดทางให้พูด กลับพาเธอเข้าไปในห้องแห่งหนึ่ง ซึ่งภายหลังทราบว่าเป็นห้อง รปภ.ของห้างและชายที่จับเธอก็เป็น รปภ.เช่นกัน

    ชายคนที่จับเธอกระทำตนเหมือนพนักงานสอบสวน และตัวเธอเสมือนเป็นผู้ต้องหา โดยพยายามปรักปรำว่า เธอลักโทรศัพท์จากหญิงคนนั้น แม้เธอจะอธิบายอย่างไรก็ไม่รับฟัง ชายคนนั้นกลับนำกระดาษปากกาบันทึกข้อความ แล้วพยายามให้เธอลงชื่อรับสารภาพว่า กระทำความผิดตามที่ชายคนนั้นกล่าวหา และในที่สุดชายคนนั้นก็ได้โทรศัพท์เรียกให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมารับตัวเธอไป ตำรวจชุดนั้น ทำได้แต่เพียงสอบถามจาก รปภ.ของห้างและดูเอกสารที่เขาส่งมอบให้ แล้วก็พาเธอไปควบคุมตัวไว้ในห้องขังของสถานีตำรวจนครบาลหลักสองทันที

    หญิงสาวคนดังกล่าวเกิดความกังวลมาก เพราะห้องขังที่ถูกยัดเข้าไปอยู่ ติดกับห้องขังผู้ต้องขังชาย ซึ่งสามารถเดินเข้าออกติดต่อกันได้ ซ้ำร้ายกว่านั้นหน้าห้องขังยังขึ้นชื่อเธอเอาไว้ว่าห้ามเยี่ยมห้ามประกัน

    หลังจากนั้นเธอก็ถูกนำตัวออกจากห้องขังเข้าไปพบนายตำรวจยศนายพันตำรวจคนหนึ่ง ในทันทีที่พบ นายตำรวจคนดังกล่าวไม่ได้แจ้งข้อหาด้วยวาจา ไม่ได้ถามเหตุที่เกิดขึ้น มีแต่เพียงเอาเอกสารมาให้ลงชื่อ แล้วพูดแกมบังคับให้รับสารภาพ

    ในที่สุดด้วยความกลัวเธอจึงต้องลงชื่อรับสารภาพผิด โดยที่เธอไม่ได้กระทำความผิดจากนั้นเธอก็ถูกนำตัวเข้าห้องขัง เช้าวันใหม่จึงได้รับประกันตัวออกมา

    การถูกคุมขัง นับเป็นประโยชน์ต่อเธออย่างยิ่งเพราะได้มีโอกาสพูดคุยกับชายคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ต้องขังด้วยกัน แจ้งให้เธอทราบว่า เขาก็เป็นผู้หนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่า ลักโทรศัพท์จากหญิงคนหนึ่งซึ่งสอบถามกันแล้วเป็นหญิงคนเดียวกัน แต่ชายคนนั้นถูกจับในช่วงก่อนเที่ยง ส่วนหญิงสาวถูกจับช่วงเวลาบ่าย โทรศัพท์ของกลางก็เป็นโทรศัพท์เครื่องเดียวกัน

    ข้อมูลนี้เป็นข้อมูลสำคัญสำหรับเธอเป็นอย่างยิ่ง เพราะอย่างน้อยก็เป็นกุญแจไขปริศนาในการวางแผนต่อสู้คดีให้ได้ความว่า เหตุที่เกิดเป็นเพราะอะไร และเมื่อสาวเบื้องลึกลงไปอีก หญิงที่เป็นเจ้าของโทรศัพท์ก็คือ รปภ.ของห้างสรรพสินค้าที่เกิดเหตุนั้นเอง

    หญิงสาวถูกนำตัวส่งศาลดำเนินคดีในข้อหาลักทรัพย์ พนักงานอัยการนำ รปภ.ชายซึ่งเป็นผู้จับกุมหญิงสาวและเป็นจำเลยในคดีเข้าสืบพร้อมกับ รปภ.หญิงเจ้าของโทรศัพท์มือถือและพยานปากสุดท้ายคือ พนักงานสอบสวนผู้ทำสำนวนคดี ในการนำสืบได้มีการนำตัว รปภ.หญิงซึ่งเป็นผู้เสียหายเข้าสืบ หญิงดังกล่าวดูช่ำชอง สามารถหลบหลีกคำซักค้านได้เป็นอย่างดี แต่ก็ผิดพลาด เป็นที่มาของการซักค้าน

    รปภ.ชายซึ่งถูกซักค้านเรื่องประโยชน์ในการจับกุม ระยะทางห่างไกลที่อ้างว่าหญิงสาวลักทรัพย์แล้วหลบหนี แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ รปภ.ตอบคำซักค้านว่าโทรศัพท์มือถือของ รปภ.หญิงนั้นเป็นเครื่องเดียวกันกับคดีลักทรัพย์ที่ รปภ.ห้างแห่งนั้นจับผู้ต้องหาส่ง สน.หลักสองในช่วงเช้า ซึ่งผู้ต้องหาดังกล่าวก็คือ ผู้ต้องขังที่บอกเล่าข้อมูลให้หญิงสาวผู้เดือดร้อนเสียหายฟัง และโทรศัพท์เครื่องดังกล่าวก็กลับมาเป็นของกลางดำเนินคดีกับหญิงสาวผู้เดือดร้อนเสียหายในช่วงเวลาบ่ายโดยพนักงานสอบสวน สน.หลักสองเป็นผู้สอบสวน

    พยานปากสุดท้ายคือ นายพันตำรวจผู้สอบสวนคดี พยานปากนี้ใช้วิธีการเหมือนพนักงานสอบสวนทั่วๆ ไป กล่าวคือ ใครเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลยแล้วจะต้องกระทำผิด ฉะนั้นแนวการเบิกความเป็นไปในแนวทางให้ศาลเชื่อว่า จำเลยกระทำความผิด โดยที่ตนเองไม่ได้ทำการสอบให้ชัดเจน ดูแต่เอกสารสำนวนคดีที่ รปภ.ห้างเป็นผู้ส่งมาให้ และขณะเบิกความก็ไม่ได้สนใจว่าหญิงสาวซึ่งนั่งอยู่ด้วยความตื่นกลัวจะรู้สึกอย่างไรต่อคำเบิกความของตน

    ในที่สุดศาลชั้นต้นยกฟ้อง และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เธอจึงได้รับอิสรภาพไม่ใช่อาชญกรของสังคมอีกต่อไป

    เหลือแต่เพียงว่าผู้บังคับบัญชาของตำรวจเหล่านี้จะดำเนินการอย่างไร ซึ่งไม่แต่เพียง สน.หลักสอง แต่สน.หนองค้างพลูลงชื่อร่วมกัน 16 คนกล่าวหาวัยรุ่น 10 คนร่วมกันลักทรัพย์ ในการเบิกความ มีนายตำรวจสองคนเบิกความในลักษณะปรักปรำจำเลย แต่ผู้เบิกความรู้ดีว่าคนทั้ง 10 คนไม่เคยรู้จักกันมาก่อนจะร่วมกันลักทรัพย์ได้อย่างไร และในที่สุดศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง โจทก์ไม่อุทธรณ์ คดีเป็นอันยุติ

    ผมอยากจะถามว่า แล้วตำรวจที่ร่วมกันกระทำการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ยังรับราชการ ได้รับการเลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งต่อไป แล้วประชาชนโดยเฉพาะวัยรุ่น 10 คนที่ถูกดำเนินคดีโดยไม่ได้กระทำความผิดจะมีความรู้สึกต่อการกระทำของเจ้าหน้าที่เหล่านั้นอย่างไร

    ส.ดำเนินสะดวก
    </TD></TR><TR><TD height=10>

    </TD></TR><TR><TD align=right>
    วันที่ 19/4/2009​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไม่ได้พบพระพุทธศาสนาก็เหมือนไม่เกิด

    http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=2009&CatID=2

    วันที่ 19 มีนาคม 2546 เวลา 8:50 น.
    สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด



    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด<O:p</O:p


    เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖<O:p</O:p

    <O:p</O:p


    ไม่ได้พบพระพุทธศาสนาก็เหมือนไม่เกิด

    <O:p</O:p
    วันพรุ่งนี้เราก็ไปอุบลแล้วย้อนมาทางอำนาจเจริญ ย้อนมาทางภูจ้อก้อ มุกดาหาร เรื่อยถึงนครพนม วันสุดท้ายวันที่ ๒๘ ตอนค่ำเทศน์ วันที่ ๒๙ ฉันเสร็จแล้วออกเดินทาง ไปตั้งแต่วันที่ ๒๐ ถึงวันที่ ๒๙ จึงได้เดินทางกลับมา คราวนี้ก็นานเหมือนกัน นับเป็น ๑๐ วันพอดีเลย ไม่ใช่เล่นนะ ไปที่มันหนักก็คือเรื่องเทศนาว่าการ นี้หนักมาก เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เทศน์จบลงแล้วอ่อนไปหมดแหละ เวลาเทศน์ก็ไม่เป็นไร เรื่อย ๆ พอหนักเข้า ๆ ธาตุขันธ์ก็เตือน ถ้าหนักกว่านั้นโรคหัวใจเตือน โรคหัวใจนี้มันไม่ได้หายขาดนะ มันสงบ สงบมานานแล้ว ส่วนมากที่จะไปกระตุกมันก็มักจะมีแต่การเทศน์ ที่ธรรมะดุเดือด มันกระเทือนแรง การเทศน์ธรรมะดุเดือดก็คือธรรมะขั้นสูง ๆ เรียกว่าดุเดือด ลมมันออกแรง มันสะท้อน ๆ สักเดี๋ยวก็ยิบแย็บขึ้น ถ้ายิบแย็บแล้วเหยียบเบรกทันทีนะไปรอไม่ได้ จากนั้นก็หยุด อันนี้ก็เงียบไป ถ้ามันยิบแย็บแล้วเรายังฝืน อู๋ย ไม่ได้นะ ฝืนพุ่งเลย ดีไม่ดีเจ้าของจะสลบ
    <O:p</O:p
    ต้นเหตุที่เป็นโรคหัวใจนี้ เรายังไม่เคยเป็น นี่ก็ไปเป็นอยู่ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ เหมือนกัน เทศน์งานศพท่านอาจารย์กงมา เราเป็นองค์เทศน์ อย่างนั้นนะ เทศน์ที่ไหนก็มีแต่เรา เทศน์วันนั้น โห พระเป็นพัน ๆ ภูเขาลูกนั้นแน่นหมดเลย คนก็มาก พระก็มาก เพราะท่านอาจารย์กงมาท่านก็เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นด้วย แล้วเป็นอาจารย์กรรมฐานองค์สำคัญองค์หนึ่งด้วย ท่านเสีย เวลาเทศน์ก็ดูเหมือนเดือนมีนานี้ จำได้ว่าเดือนมีนา เราเป็นองค์เทศน์เสียด้วย พระสงฆ์ทั้งหลายก็มุ่งต่อธรรมทางด้านธรรมปฏิบัติด้วย เราเทศน์ก็มุ่งอย่างเดียวกันด้วย เทศน์มันก็ขึ้น แล้วเร่งเรื่อย เร่ง เร่งเรื่อย โถ เวลามันเร่งเต็มที่จนจะสลบนะ นี่ละเป็นทีแรกเราไม่รู้ตัวเลย
    <O:p</O:p
    นี่ละเรื่องของธรรมกับใจ แต่อาศัยสังขารร่างกายเป็นเครื่องมือ เวลามากระทบกระเทือนก็มากระทบกระเทือนเครื่องมือ คือสังขารร่างกาย เครื่องมือใช้ของธรรม เทศน์เร่ง ๆ หมุนติ้วเลย กึ๊กเดียวเลยนะ ไม่รู้ตัวเลยถ้าว่าไม่รู้ตัว คือมันไม่เตือนอะไร กึ๊กทันทีเลย อ้าว ทำไมเป็นอย่างนี้ มันแข็งไปหมดถ้าว่าแข็ง ถ้าว่าอ่อนก็อ่อนไปหมด เอ๊ ทำไมเราเป็นอย่างนี้ คือกำลังเร่ง ๆ หยุดกึ๊กเลย คนฟังเต็มภูเขาเงียบปึ๊บเลย เลยอยู่นั้นละที่นี่ กระดุกกระดิกไม่ได้เลย เอ๊ ทำไมเป็นอย่างนี้ แต่สำหรับจิตมันก็รู้ของมัน มันไม่เป็นอะไรนี่จิต มันเป็นแต่เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ โอ นั่งอยู่นั่นนานนะ จากหยุดกึ๊กไปแล้วเป็นเวลานาน ถ้าเป็นแบบโลก ๆ ก็เรียกว่า สลบอยู่ในเวลานั้นแหละ แต่นี้มันไม่มี
    <O:p</O:p
    ร่างกายหมดสภาพทุกอย่างมันรู้หมดเวลานั้น จิตมันรับทราบตลอด นานแล้วก็ค่อยคลี่คลายออกมา เท่านั้นเราก็นิ่งเงียบพิจารณาดูมันเรื่องอะไร ๆ พิจารณา จิตมันก็ทำงานของมัน ค่อยคลี่คลายออกมานี้ที่ไหนตัวสั่นหมดเลยนะ นั่งอยู่นั้นอีกนาน คนฟังเทศน์นี้เงียบหมดเลย ทุกข์ทั้งภูเขาแหละเพราะหยุดกึ๊กทีเดียวเลย นั่นละเป็นทีแรกนะ จากนั้นค่อยคลี่คลาย กระดุกกระดิกอะไรได้พอสมควรแล้ว พอจะลุกได้กะว่ามันค่อยสงบลง พอที่จะเคลื่อนไหวไปมาได้ เคลื่อนจากนั้นก็ออกจากนั้นไปเลย ถ้าผู้อยู่ไกลก็มองไม่เห็นว่าลงจากธรรมาสน์ไปเมื่อไร กึ๊กทีเดียวก็ไปเลยหายเงียบ นั่นละตั้งแต่บัดนั้นมา โรคหัวใจเราเกิดปี ๐๖ เผาศพท่านอาจารย์กงมา ปี ๐๖
    <O:p</O:p
    ตั้งแต่นั้นมาหนักมากทีเดียวแหละ จึงได้หลบได้หลีกไปเที่ยวอยู่ที่นั่นที่นี่ รับแขกไม่ได้เลย ต้อนรับอะไรพูดอะไรไม่ได้เลย หยุด จนกระทั่งมาถึงป่านนี้มันก็เท่าไรแล้ว ตั้งแต่ปี ๐๖ มันก็ไม่ใช่ ๔๐ ปีแล้วเหรอ เวลานี้มันสงบเงียบนะ ถ้าเวลาเราเทศน์ธรรมะขั้นสูง ขั้นสูงกับขั้นดุเดือดมันไปด้วยกัน มันจะมีลักษณะเตือนขึ้นมา ก็แสดงว่ามันไม่หายขาด มันเพียงสงบของมันเฉย ๆ พอมันยิบแย็บ ๆ ขึ้นมามันก็รู้ แล้วอันนี้ก็เหยียบเบรกแล้วหยุดเลยเทศน์ จากนั้นมันก็หายไปเลย ถ้าเราฝืนขึ้นเลยนะ เร็วที่สุด นี่หมายถึงโรคหัวใจที่เราเป็นเองเรารู้
    <O:p</O:p
    นี่มันก็เป็นวาสนาอันหนึ่งเหมือนกันนั้นละ กับตัวของเราและพี่น้องชาวไทยเรา เพราะตอนนั้นกำลังธาตุขันธ์ดีด้วยนะ ธรรมะก็ออกสะดวก ๆ เพราะฉะนั้นจึงว่ามันพุ่งเลยละซิ เทศน์สอนพระล้วน ๆ เสียด้วยวันนั้น ขึ้นตั้งแต่สมาธิผึงเลย พุ่ง ๆ นั่นแหละเป็นตั้งแต่บัดนั้น ที่ว่าเป็นวาสนาของเราคือ ตั้งแต่บัดนั้นเหมือนหนึ่งว่าหยุดกึ๊กเลยการเทศนาว่า การต้อนรับแขกอะไรไม่ทั้งนั้น ถึง ๔ ปีเต็มนี้รับแขกรับใครไม่ได้ทั้งนั้น ถึง ๒๕๑๒ พอกระดุกกระดิกได้บ้าง นี่ละระยะนั้นมันก็เป็นของมันอยู่เรื่อย หลบอยู่เรื่อย หลีกอยู่เรื่อย อยู่วัดไม่ได้คนมาหาตลอด ก็ไม่ทราบว่าจะพูดว่ายังไงห้ามว่ายังไง หนีเสียดีกว่า หลบหนีไปอย่างนั้นเรื่อยๆ หลบไปทางโน้นหลบไปทางนี้ไม่ให้ใครทราบ ไปรถคันเดียวเท่านั้นไปเงียบ ๆ โน่น ฟาดลงถึงเมืองชล ไปพักอยู่ที่สุดพัทยา อยู่ในสวนลึก ๆ นาน ไปทีไรอาทิตย์กว่า ถึง ๒๕๒๘-๒๕๒๙ ยังเอาอยู่นะ ไม่ใช่เล่นนะ
    <O:p</O:p
    นี่ละถ้าหากว่าธาตุขันธ์เราดีมาตลอดนั้น การเทศนาว่าการมันจะไปยิ่งกว่านี้อีกนะ เราไม่ใช่คุยเวลาธาตุขันธ์มันดีมันพุ่ง ไม่ต้องได้ระมัดระวังอะไรเลย ธรรมก็ออกสะดวกสบาย ทีนี้เวลาธาตุขันธ์คือเครื่องมือมันทรุดเสียแล้ว ทีนี้มันก็อย่างว่าแหละ เทศน์ก็เป็นอย่างที่ว่า อย่างทุกวัน ๆ เทศน์อยู่นี้ โอ๊ย.มันเข้ากันไม่ได้นะกับแต่ก่อน ถ้าผู้ไม่เคยฟังก็อาจจะว่าเทศน์ดีแหละ ถ้าผู้เคยฟังแล้ว อย่างเรานี้เรารู้เราแล้ว ใครจะว่าอะไรมันก็รู้ เป็นคนละคน คนละโลกไปเลยเทศน์ ถ้าหากว่ามันต่อกันตั้งแต่โน้นมาจนกระทั่งบัดนี้แล้วการเทศนาว่าการนี้ ธรรมทุกแบบทุกฉบับออกเต็มเม็ดเต็มหน่วย การแสดงธรรมทุกด้านทุกทางจะออกเต็มเม็ดเต็มหน่วยตลอดมา แล้วธรรมะจะลึกซึ้งกว้างขวางมากยิ่งกว่านี้นะ แต่นี้มันก็เป็นอย่างนั้น นี่ละนิสัยวาสนาดวงชะตาของเราของชาติไทยเรามันไปเต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่ได้ จนกระทั่งเฒ่าแก่ชราจะไปไม่ได้แล้วค่อยออก ออกทางโน้นออกทางนี้ ออกจนทั่วโลก ก็มีแต่สะเปะสะปะไปอย่างนั้นละ มันไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย<O:p</O:p
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไม่ได้พบพระพุทธศาสนาก็เหมือนไม่เกิด

    http://www.luangta.com/thamma/thamma...D=2009&CatID=2

    วันที่ 19 มีนาคม 2546 เวลา 8:50 น.
    สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด




    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด<O:p</O:p


    เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖<O:p</O:p




    ธรรมนี่มันของเล่นเมื่อไร ตั้งแต่เราเกิดมาบวชในพุทธศาสนานี้ เรายกนิ้วให้เลย คือพ่อแม่ครูจารย์มั่น เราไม่ได้ประมาทครูบาอาจารย์องค์ใด แต่ว่าเรื่องยกนี้ยกอย่างนี้ตลอดเลยเทียว ไม่มีใครเทศน์เหมือนเลยแหละ เทศน์เรื่องจิตเรื่องธรรมล้วน ๆ มีแต่พระแหละ ประชาชนไม่มี นี่ละท่านเทศน์ออกเต็มเม็ดเต็มหน่วย มีแต่พระล้วน ๆ เต็มเลย เทศน์เหมือนไม่มีคนนะ เงียบสงัด ได้ยินแต่เสียงท่านแว้ว ๆ ๆ ธรรมะสูงเท่าไรยิ่งพุ่ง ๆ ๆ นั่นละเห็นไหม ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน ไม่มีอะไรขัดข้อง ในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรผ่านได้เลย เรียกว่า ธรรมล้วน ๆ ถึงว่ามีอำนาจเหนือโลกทั้งสามอย่างนั้นเอง มีอยู่ที่ผู้ทรงธรรมประเภทนั้นออกแสดง ถ้าไม่มีอะไรรับอย่างนี้ธรรมก็เหมือนไม่มี

    อย่างทุกวันนี้แหละ อย่างที่เขาดูถูกศาสนา เฉพาะอย่างยิ่งพุทธศาสนาของเราซึ่งเป็นศาสนาชั้นเอกอุ สุดยอดในโลกนี้ไม่ศาสนาใดเสมอเหมือน เราพูดได้อย่างเต็มหัวใจเราไม่มี ศาสนาเหล่านั้นมีแต่ศาสนาของผู้มีกิเลสเป็นเจ้าของศาสนา ไม่ใช่ผู้สิ้นกิเลสโดยสิ้นเชิง สว่างจ้าหมด สามแดนโลกธาตุขึ้นชื่อว่าสมมุติแล้วไม่มีอะไรมาผ่านเลย ว่าง โล่งสุดยอด นี่แหละคือธรรมแท้ กับใจที่บริสุทธิ์แท้เข้าเป็นอันเดียวกัน สุดท้าย พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ก็เป็นอันเดียวกัน เป็นท้องฟ้ามหาสมุทรไปเลย กว้างสุดสายตา นั่นละธรรมแท้เป็นอย่างนั้น สุดทุกอย่างไม่มีอะไรมาผ่านได้เลย คือธรรมแท้ ธรรมของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์เป็นอย่างเดียวกันหมด พอจับปั๊บเข้าตรงนี้มันจะกระเทือนถึงกันหมดเลย ไม่ต้องไปถามพระพุทธเจ้าทั้งหลายว่า ธรรมท่านเป็นยังไง
    <O:p</O:p
    จึงเทียบได้กับน้ำมหาสมุทร พอมือจ่อลงปั๊บนี้มันเป็นมหาสมุทรอย่างเดียวกันแล้ว จะไปถามหามหาสมุทรตรงไหนมุมไหนอีกใช่ไหมล่ะ พอมือจ่อลงก็ถูกมหาสมุทรแล้วมันกระเทือนถึงกันหมดแหละ อันนี้พอจิตนี้ปึ๋งไปเท่ากับจ่อลงไปแล้ว ปึ๋งลงไปกระเทือน มหาวิมุตติมหานิพพาน ธรรมธาตุเป็นอันเดียวกันหมด จึงหายสงสัยที่จะไปถามพระพุทธเจ้าพระองค์ใดเป็นเช่นไร หมดปัญหาทันที เป็นอันเดียวกันหมด คำว่าเป็นอันเดียวกันแล้วจะไปแยกถามอะไรอีกละ จ้าลงไปแล้วไม่ถามใคร มันก็รู้เอง นั่นละที่ว่า มหาวิมุตติ มหานิพพาน หรือ ธรรมธาตุ ๓ ประเภทนี้ใช้เป็นไวพจน์แทนกันได้ จ้าลงไปนั้นถึงกันหมดเลย เหมือนกับแม่น้ำมหาสมุทร มือจ่อปั๊บนี้ถึงกันหมดเลย ตรงไหนที่ไม่ใช่มหาสมุทรไม่มี เป็นอันเดียวกันหมด นี่เหมือนกันเมื่อจิตจ้าเข้าไปแล้วก็เป็นอย่างนั้น
    <O:p</O:p
    นี่ละพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอ มีผู้มาตรัสรู้ธรรมแล้วนั่นละ ได้รู้ธรรมเห็นธรรมนั้นออกมากระจายสอนโลก ถ้าไม่มีผู้ไปรับทราบ ไม่มีผู้เป็นเจ้าของหรือได้ค้นคว้ารื้อขึ้นมาเทศน์ มันก็เหมือนไม่มีธรรม แล้วกับคนหูหนวกตาบอดมันก็เข้ากันได้ ถ้ามีก็เป็นอย่างนั้น จึงได้พูดเสมอว่า เกิดมานี้กี่ภพกี่ชาติก็ตามเถอะ ถ้าไม่ได้พบพระพุทธศาสนาก็เหมือนไม่เกิด จะเกิดสูงต่ำขนาดไหนเหมือนไม่เกิดทั้งนั้น ไม่มีความหมาย หมดชีวิตลมหายใจไปเปล่า ๆ จะเป็นภพใดชาติใดก็หมดภพหมดชาติไปเปล่า ๆ ไม่มีเครื่องหมายที่เป็นสิริมงคลและมหามงคลติดใจบ้างเลย จากธรรมทั้งหลายในพุทธศาสนานั้น ๆ พุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์นั้น ๆ
    <O:p</O:p
    แล้วที่นี่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมานี้มากเท่าไร ดูน้ำมหาสมุทรเราอยากพูดให้เต็มเหนี่ยวอย่างนี้นะ น้ำมหาสมุทรมากขนาดไหนกว้างแคบขนาดไหน พระพุทธเจ้าตรัสรู้มากี่องค์ ดูน้ำมหาสมุทรเท่านั้นพอ กว้างแคบ ลึก ตื้น หยาบละเอียดขนาดไหน ไม่มีใครสามารถจะนับอ่านได้เลยว่าพระพุทธเจ้า หรือเหมือนอย่างว่า ฝนนี้ตกลงมาจากท้องฟ้ากี่หยดกี่หยาด เข้ามารวมกันเป็นมหาสมุทรนี้แล้ว กี่หยดกี่หยาดเหมือนพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ที่เป็นฝนแต่ละเม็ด ๆ นั้นตรัสรู้ขึ้นมา จนมากลายเป็นน้ำมหาสมุทร ใหญ่โตไหม มากไหม
    <O:p</O:p
    พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมานี้ไม่ถามใครพูดตรง ๆ นะ ใครจะว่าบ้าเราก็บ้าอย่างถนัดชัดเจนของเรา อย่างอาจหาญชาญชัย ไม่เอาใครมาเป็นพยานอีกด้วยบ้าประเภทนี้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้มามากขนาดไหน เราเห็นเป็นเล็กน้อยเหรอ องค์นี้ตรัสรู้องค์นั้นตรัสรู้ ตรัสมานานสักเท่าไรฟังซิ เรานับได้ไหมเงื่อนต้นเงื่อนปลายของพระพุทธเจ้าตรัสรู้มาแต่พระองค์แรกมาถึงนี้เรานับได้เมื่อไรพิจารณาซิ เหมือนแม่น้ำมหาสมุทร ฝนตกมากี่หยดกี่หยาด ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งบัดนี้มีกี่หยดกี่หยาด แล้วรวมมาเป็นมหาสมุทรนี้ บรรจุน้ำได้กี่หยดกี่หยาด ไม่มีใครนับได้
    <O:p</O:p
    นี่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แต่ละพระองค์ ๆ ซึ่งเทียบกับฝนตกลงมาจากบนฟ้าทีละหยดละหยาด ตกไม่หยุดไม่ถอยน้ำมหาสมุทรเต็ม นี่ละเป็นแดนธรรมธาตุ เรียกว่า ธรรมธาตุ เรียกว่า มหาวิมุตติ มหานิพพานคืออันนี้เอง นับไม่ได้เลย แล้วยังจะตรัสรู้ไปอีกนะ ทีละพระองค์ ๆ อย่างนี้เรื่อย แล้วมากี่กัปกี่กัลป์นานเท่าไร จนกลายเป็นน้ำมหาสมุทร น้ำตกไม่หยุดไม่ถอยจนเป็นมหาสมุทรได้ พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ตรัสรู้ขึ้นมา จนกลายเป็นมหาวิมุตติ มหานิพพาน ใหญ่หรือไม่ใหญ่
    <O:p</O:p
    นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าแท้เป็นอย่างนั้น พอรู้ขึ้นภายในใจเสียเท่านั้นไม่ได้ถามอะไรแล้ว พระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์ไม่ถาม ดูมหาสมุทรพอ กว้างแคบขนาดไหน มหาสมุทรยังแคบนะ ยังมีขอบมีเขตมีฝั่งมีฝา ส่วนพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ยังกว้างกว่านั้นอีก พิจารณาซิ แล้วรวมทั้งสาวกทั้งหลายที่เป็นอันเดียวกัน พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ด้วย แต่นี้เราแยกพูดเฉพาะพระพุทธเจ้านะ ถ้ารวมพระสาวกแล้วเป็นเท่าไรอีก เพราะท่านเหล่านี้เป็นอันเดียวกันหมด ตั้งแต่สาวกองค์สุดท้ายถึงพระพุทธเจ้าพระองค์แรก เป็นอันเดียวกันหมด ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่าใคร ท่านจึงสอนไว้ว่า นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย บรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายและสาวกทั้งหลาย จนกระทั่งถึงสาวกองค์สุดท้าย เมื่อตรัสรู้ธรรมถึงแดนบริสุทธิ์แล้ว เป็นอันเดียวกันหมด คือไม่มียิ่งหย่อนกว่ากัน เหมือนกันหมดเลย
    <O:p</O:p
    นี่ละประเภทเข้ามหาวิมุตติมหานิพพาน หรือประเภทน้ำมหาสมุทร คืออันนี้เอง กว้างแคบขนาดไหนท่านทั้งหลายฟัง วันนี้หูบ้าหรือหูดีก็ให้ฟังเสียนะ ปากนี้ท่านทั้งหลายจะว่าปากบ้าก็ให้ว่า แต่เราพูดเวลานี้ปากธรรมสงสารโลกนะ เราพูดอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เราไม่ถามใครเลย มีองค์เดียวเท่านี้ก็ตาม สามแดนโลกธาตุให้เราไปถามคนนั้นคนนี้ เราไม่ถามให้เสียเวลา ไม่งั้นไม่เรียก สนฺทิฏฺฐิโก ของพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลาย สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศป้างเท่านี้พอ เท่านั้นพอ คำว่า สนฺทิฏฺฐิโก แปลว่า รู้เองเห็นเอง ไม่ต้องไปถามใคร ไม่ต้องไปเอาใครมาเป็นสักขีพยาน เป็นธรรมชาติที่พอทุกอย่าง อยู่กับความรู้นั้นหมด ว่างั้นนะ ดังพระพุทธเจ้าท่านทรงเล็งญาณอย่างนี้ก็เหมือนกัน คือท่านเล็งญาณตลอด ต่อไปนี้จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์นั้นมาตรัสรู้ ๆ ห่างไกลกันขนาดไหน ห่างไกลไม่ไกลไม่สำคัญ สำคัญที่ความแน่ว่าระยะนั้นจะมาตรัสรู้แน่นอนไม่เป็นอื่น
    <O:p</O:p
    ด้วยเหตุนี้เองผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ เวลาพระพุทธเจ้าทรงทำนาย พระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ตามทำนายแบบเดียวกันหมด ไม่มีสอง หนึ่งเท่านั้น แน่นอนอย่างเดียว ถ้าลงพระพุทธเจ้าองค์นี้ท่านทำนายแล้วว่า ต่อไปนี้เท่านั้นกัปเท่านี้กัลป์ไม่ใช่เล่น ๆ นะ จะได้มาเป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าอย่างนั้น สาวกนามว่าอย่างนั้น ๆ เช่น อย่างพระพุทธเจ้าของเรา พระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ เป็นสาวก นี่ท่านได้รับคำทำนายมาแล้ว นี่แหละพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ถ้าได้ลงทำนายรายใดแล้ว รายนั้นเป็นอื่นไปไม่ได้ ช้าหรือเร็วไม่สำคัญต้องถึงจุดนั้น เป็นนั้นอย่างเดียวเลย จึงเรียกว่า พระญาณหยั่งทราบ
    <O:p</O:p
    เอกนามกึ หนึ่งไม่มีสอง คือพระญาณของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์หยั่งทราบแล้วแน่เลย ไม่มีอะไรมาแก้ให้ตกไปได้ เช่น อย่างองค์นี้จะได้ตรัสรู้แล้ว จะพลิกเปลี่ยนแปลงจากพุทธภูมิไปเป็นสาวกอย่างนี้ก็เป็นไม่ได้ เปลี่ยนไม่ได้แล้ว ถ้าลงได้รับคำทำนายว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าตรัสรู้ หรือเป็นสาวกอย่างนี้แล้วเปลี่ยนไม่ได้เลย ต้องเป็นโดยถ่ายเดียว ถ้ายังไม่ทำนายก็ยังเอนยังเอียงยังไม่แน่ อาจจะพลิกมาเป็นสาวกภูมิก็ได้จากพุทธภูมิ คือทีแรกตั้งหน้าเป็นพระพุทธเจ้า ครั้นต่อมาก็มาเป็นสาวกภูมิก็ได้ นี่หมายถึงยังไม่ได้รับทำนายจากพระพุทธเจ้า ถ้าลงทำนายแล้วแม่นยำเลยแก้ไขไม่ได้
    <O:p</O:p
    พุทธศาสนาที่ประจำโลกประจำสงสารจึงมีศาสนาเดียว ไม่มีศาสนาใดเป็นคู่แข่งเลย มีอันเดียวเท่านั้น นี่ละเป็นศาสนาคู่โลกคู่สงสาร คู่บ้านคู่เมือง คู่สร้างบุญสร้างกรรมสร้างบารมีอยู่จุดนี้หมด คือเป็นที่แน่นอน ๆ มีผู้รับมีผู้บอกผู้กล่าว เช่น คนนี้ทำบาปวันนี้ตายนี้จะไปอย่างนั้น ๆ บอก ศาสนาอื่นใดเขาทำเขาก็ไม่รู้เรื่องว่าจะเป็นยังไงมายังไง ส่วนพุทธศาสนานี้ถ้าลงพระพุทธเจ้าได้ทรงทำนายแล้วก็เป๋ง ๆ แม้ที่สุดดูซิสัตว์นรก พวกเรารู้ที่ไหน สัตว์นรกที่มาตกนรกอยู่นี้ นรกแต่ละหลุม ๆ มีจำนวนมากเท่าไร สัตว์นรกแต่ละตัว ๆ แต่ละราย ๆ นี้ ตกนรกอันนี้เพราะทำกรรมอะไรทรงทราบหมด นั่น ทำกรรมอะไรมาจึงได้มาตกนรกประเภทนี้ ๆ ตกนรกอย่างนี้ทรงทราบมาตั้งแต่กรรมที่ทำนู้น มาตกนรกอย่างนี้ กรรมทำอันนั้นมาตกนรกอย่างนี้ ๆ แล้วพวกเราจะไปลบกรรมได้ยังไง พระพุทธเจ้ายังลบไม่ได้ฟังซิ<O:p</O:p
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไม่ได้พบพระพุทธศาสนาก็เหมือนไม่เกิด

    http://www.luangta.com/thamma/thamma...D=2009&CatID=2

    วันที่ 19 มีนาคม 2546 เวลา 8:50 น.
    สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด





    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด<O:p</O:p



    เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖<O:p</O:p


    สัตว์ไปตกนรกถามถึงเรื่องกรรม กรรมของสัตว์นี้ก็มีมาตลอด มาถึงจุดนี้ ๆ นั่นเห็นไหมล่ะ ไม่ใช่ว่าอยู่ ๆ มาตกตูมเอาเลย ตกมาด้วยสายของกรรมส่งเข้ามา ๆ ทั้งนั้นเมื่อส่งเข้ามานรกหลุมใด สุขที่ไหน ทุกข์ที่ไหน ภพใด ชาติใดมันก็ต้องเป็นผู้เสวยอยู่ตามภพชาตินั้น ๆ เช่น ส่งมาเป็นมนุษย์นี้ เราเองไม่รู้ว่าเราเกิดมาจากอะไร เราถึงได้มาเป็นมนุษย์ นี่ให้พระพุทธเจ้าทายปุ๊บทันทีเลยไม่ต้องนานละ นี่แต่ก่อนเธอสร้างอันนั้น ๆ มาได้มาเกิดเป็นมนุษย์อย่างนี้คือ ความดีนั้นแหละ เรื่องความชั่วไม่มีหวัง ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็เกิดเป็นเศษมนุษย์ เศษส้วมเศษถานไปอีก ไม่ว่าจะเป็นส้วมเป็นถานยังเศษไปอีก นู่น เกิดเป็นอะไร ๆ มาตามสายทั้งนั้น เป็นมนุษย์เป็นสัตว์แต่ละประเภท มาตามสายของกรรมตัวเองที่สร้างมา ๆ สร้างดีสร้างชั่ว กรรมของตัวเองสร้างมา ไม่มีผู้อื่นใดมาสร้างให้ แล้วใครจะมาลบล้างได้

    นี่ละเป็นอย่างนั้น ฟังซิสัตว์ตกนรกอยู่นั้น พระพุทธเจ้าทำนายซิ สัตว์ตัวนี้ตกนรกนี้เพราะทำกรรมอะไร ทำกรรมอันนั้น ๆ บอกตลอดถึงตัวเหตุเลย ทำมาจากโน้นมาถึงนี้ ทำจากโน้นมาถึงนี้ ๆ สัตว์นรกแต่ละราย ๆ จะบอกสายทางเข้ามาตลอด ๆ นะ ใครทำดีทำชั่วขนาดไหน บรรดาสัตว์ทั่วโลกจะมีมาตามสายทางทั้งนั้น ๆ สายทางบุญทางกรรม ทำชั่วก็มาตามสายทางชั่ว กรรมดีก็มาตามสายทางดี เหมือนนักโทษ นักโทษยังมีแน่นอนบ้างไม่แน่นอนบ้าง แต่พอเป็นหลักฐานได้ก็คือว่า ที่เป็นนักโทษนี่เพราะอะไร เพราะเขาไปฉกไปลักไปปล้น คนนี้ไปลักคนนี้ไปขโมย คนนี้ไปปล้น มันก็มีสายทางของมันเข้ามา บางคนบริสุทธิ์แต่สู้หลักฐานพยานเขาไม่ได้ เขาเอาหลักฐานพยานมาทับ ทั้ง ๆ ที่บริสุทธิ์เขาหาว่าไม่บริสุทธิ์ ติดคุกได้อยู่ แต่อันนี้ก็เป็นกรรมของผู้นี้อีก
    <O:p</O:p
    เหตุแต่ก่อนที่มาเป็นคนบริสุทธิ์มาติดคุกนี้ คือแต่ก่อนไปแกล้งทำเขาอย่างนั้น ๆ ให้เขาเป็นอย่างนั้น ๆ แน่ะ มีอีกเข้าใจไหมล่ะ ไม่ใช่อยู่ ๆ มานะ ที่แกล้งทำเขาที่บริสุทธิ์ให้เป็นคนมีโทษมีกรรม แล้วกรรมนั้นตามมาจึงได้มาเป็นนักโทษทั้งที่ไม่ได้ขโมย แน่ะ มันมีสายกรรมมาอย่างนั้นตลอด สายกรรมจะไม่ปล่อยสำหรับผู้ทำเลย ใครทำสัตว์ทำ สัตว์ไม่รู้กรรมก็ตาม กรรมไม่เอียง กรรมทางดีทางชั่วเป็นกรรมมาตลอดในสายสัตว์สายบุคคล ตลอดไปเลย อย่าพากันประมาทนะ ไม่พ้นจากสายกรรมติดตัวไปเอง ไม่ว่าไปทางดีทางชั่ว มาเกิดเป็นมนุษย์ไปสวรรค์ชั้นพรหมเพราะกรรมอะไร ๆ นี้ กรรมของตัวเองนั้นแหละ ติดแนบไปเรื่อย ส่งไปด้วย ๆ จนกระทั่งถึงนิพพานเพราะอะไรอีก แน่ะ ก็คือว่าสร้างบารมีคือความด้ล้วน ๆ ถึงขั้นเต็มที่แล้วหลุดพ้น แน่ะ เป็นอย่างนั้นนะ พากันจำเอา
    <O:p</O:p
    นี่มีตั้งแต่งู ๆ ปลา ๆ ว่าจะภาวนา โอ๊ย.ขี้เกียจ แน่ะ ไปให้ความขี้เกียจลบเอาเสีย มันก็ได้แต่หมอน ความขี้เกียจเข้าใจไหม มันจะได้สวรรค์นิพพานที่ไหน ถ้าเอาธรรมเข้าแทรก ก็นอนมาตั้งแต่วันเกิดจนหมอนแตกมากี่ลูกแล้วนี้ เพียงจะนั่งภาวนาไม่ได้เหรอ จับหมอนปาเข้าป่าแล้วนั่งภาวนาสบาย นี่วันหลังสบายเลยเข้าใจไหม หมอนจะไม่มายุ่ง มันกลัวจะตกเข้าป่าอีกเข้าใจไหม มาอีกฟาดเข้าป่าอีก นั่น ถ้าวันไหนคว้ามับเข้ามา โอ๊ย.หมอนประเทศไทยมานี้หมดเลย มากองอยู่ในคน ๆ เดียว มองไปตาฝ้า ๆ ฟาง ๆ อะไรนั่นนะ มันเหมือนภูเขาทั้งลูกไปดูซิ มันเหมือนภูเขา ที่ไหนได้กองหมอนเข้าใจไหม นั่น เป็นอย่างนั้นนะ พากันเข้าใจ
    <O:p</O:p
    เรานี้ลงสุดยอดแล้ว นี้จวนจะตายจึงประกาศพี่น้องทั้งหลายทราบ เราไม่มีอะไรสะทกสะท้านในโลกทั้งสามนี้ ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้หมอบราบ ๆ หมด เรียกว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบทุกอย่าง ไม่มีอะไรผิดเพี้ยนแม้นิดหนึ่ง นี่ละที่ยอมรับ เวลามันเจอเข้าไปปั๊บนี้ ตรงไหนเป็นอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว เป็นอยู่แล้ว อันนี้พระพุทธเจ้าก็สอนไว้แล้ว แล้วจะค้านไปไหนล่ะ แล้วอันนี้มันก็จริงอยู่ด้วย แล้วจริงที่ ๒ ก็คือพระพุทธเจ้าเป็นพยานไว้ก่อนแล้วด้วย นั่น มันแน่ขนาดนั้นนะ
    <O:p</O:p
    อย่าพากันประมาทนะพี่น้องทั้งหลาย เวลานี้กิเลสมันกำลังหนากำลังแน่น กำลังลบบาป ลบกรรม ลบสวรรค์ นิพพาน นรก อเวจี บาปบุญอะไรไม่ให้เหลือ ให้เหลือแต่ความอยากความทะเยอทะยาน ความดีดความดิ้น อันเป็นเรื่องที่จะลากลงนรกทั้งนั้นให้พากันจำเอาตรงนี้ให้ดี อันนี้ดึงตลอดนะ อันนี้มันไม่บอกมันไม่มาลบ แต่ธรรมชาตินี้ไปลบความดีของตัวเองไม่ให้สร้าง สกัดลัดกั้นไว้ สุดท้ายก็จมด้วยกันนั่นแหละ เอาแค่นี้ละวันนี้ พอสมควรแล้ว ถ้าเทศน์ไปมากกว่านี้ วันหลังจะไม่มีอะไรมาเทศน์ให้ท่านทั้งหลายฟัง มันจะหมด เข้าใจไหม
    <O:p</O:p
    หลวงตา เป็นยังไงพากันเบื่อไหม ฟังเทศน์หลวงตา ทุกวัน ๆ มากี่ปีมาแล้วนี่
    <O:p</O:p
    โยม บูชาหลวงตา ดีใจที่เกิดมาไม่เสียชาติเกิด ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วมาพบหลวงตาด้วยเจ้าค่ะ
    <O:p</O:p
    หลวงตา เออ เอาละ พบพระพุทธเจ้าเท่านั้นพอแล้ว หลวงตาไม่จำเป็น มันพบอยู่ทุกวัน จำเป็นอะไร
    <O:p</O:p
    ทองคำเราก็จะเริ่มเรื่อย เหลือก็เพื่อข้างหน้า อะไรก็ตามเหลือเพื่อข้างหน้า เพราะฉะนั้นจึงเวลานี้เรายังไม่เหลือ เข้าใจไหม มีเท่าไรเราจะคว้าหมด เหลืออันนี้เพื่ออันนั้น ๆ อย่างนั้นแหละ พอพูดอย่างนี้เราก็ระลึกแม่เราพูด อย่างนี้ละ อะไรที่มันติดใจเรามันหากไม่ลืมนะ
    <O:p</O:p
    แม่พูด นี่ละจิตใจที่เป็นกุศล ความฝักใฝ่ของแม่เราระลึกทีหลังได้ แต่ก่อนไม่ค่อยคิดแหละแต่จำได้ อาหารจัดไว้ให้ลูกให้เต้า อันนั้นกูแบ่งไว้สำหรับไปจังหันพรุ่งนี้สูอย่าไปยุ่งนะ เราไม่ลืมนะ อันนั้นคือว่าแบ่งแล้วเอาไปไว้สูง ๆ นะ อันนั้นชี้บอกว่า สู กูจะแบ่งไว้ไปจังหันวันพรุ่งนี้สูอย่าไปยุ่งนะ คือให้กินแต่พวกนี้ เราก็เลยไม่ลืม นั่นเห็นไหมล่ะ จิตใจแม่เป็นอย่างนั้น ทีนี้เราก็จำได้เฉย ๆ จำได้ว่าแม่ไม่ให้ยุ่งเท่านั้นละ แต่มันก็มาระลึกทีหลังย้อนไปอีก ถึงจิตใจของแม่ที่มีความฝักใฝ่ต่ออรรถต่อธรรมต่อบุญต่อกุศล กลัวลูกจะไปเอามา เลยขู่ไว้ สูอย่าไปยุ่งนะ กูจะเอาไว้ไปจังหันวันพรุ่งนี้ สูอย่ายุ่งว่านั้นนะ เราก็ไม่ลืม เอาละให้พร
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันนี้ ผม ,คุณnongnooo และท่านโดจิ ไปเลี้ยงน้องอุ้ม ในวาระการกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอน

    พาไปทานขาหมูที่ร้านเจริญแสง

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เริ่มต้นจากทางเข้า ผมพาน้องอุ้มหลงทางเข้า ไปเข้าอีกซอย

    [​IMG]

    หน้าปากซอย (ของจริง)

    [​IMG]

    เดินเข้าซอยไปเลย

    [​IMG]

    อ่า เจอแล้ว ร้านขาหมู เจริญแสง

    หากท่านใดจะไปทาน กรุณาโทร.สั่งก่อนนะครับ ไม่งั้น บางอย่างจะหมดได้

    [​IMG]

    คากิครับ

    [​IMG]

    เครื่องในครับ

    [​IMG]

    เนื้อหนังครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ยี่จัก (ข้อ) ครับ

    [​IMG]

    อ่า เมนูพิเศษครับ ท่านโดจิ
    ไม่ยอมให้ผมถ่ายรูปลงเว็บ ผมแอบถ่ายได้แค่นี้ครับ
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หา.........................

    จาก 2 ล้าน เพิ่มเป็น 12,356,789 บาทแล้วหรือ งั้นไม่จ่าย ชักดาบแล้ว หุหุหุ

    ท่านโดจิบอกว่า อร่อย ก็ตามท่านโดจิครับ ผู้ที่อายุน้อย ต้องตามท่านที่อายุมาก คิคิคิ
    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หลังจากทานขาหมูกันแล้ว ก็ไปทานกาแฟกันต่อครับ สตาร์บัค

    ท่านโดจิเดินหนีผม

    [​IMG]

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    ส่วนน้องอุ้ม ก็เพิ่มไขมันอีก แต่ไม่เป็นไร มาอยู่เมืองไทยหลายวัน ไขมันละลายไปเยอะแล้ว ต้องเพิ่มเติมเข้าไปอีกมั้งเน๊อ

    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...