พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร:::
พี่kaicp ได้นำวัตถุมงคลชิ้นนี้ให้พี่.......ชมหรือยังครับ แล้วพี่......คุ้นไม๊ครับ

ชัด...ชัดเลยครับ(y)

 

อ้างอิง:
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ kaicp
พี่ ............. ได้โทรมาคุยแล้วครับ คุ้นมาก ๆ เลยครับ
ต้องขอบคุณด้วยซ้ำที่ทำให้ได้รับข้อมูลเพิ่มมาก จากที่ไม่ได้สนใจมาก่อน
บังเอิญไม่ค่อยไปแถว......นั้น เลยไม่ทราบข้อเท็จจริงมาก่อน
เก็บไว้นาน ไม่ทราบว่าเป็นของใคร เพิ่งกระจ่างตอนที่ได้เห็นของจริงในวันนั้น
</TD></TR></TBODY></TABLE>

หัวคทา หรือหัวเสา คล้ายกันไม๊?...



หัวสิงห์ยอดเสาพระเจ้าอโศกมหาราช โบราณวัตถุที่สำคัญที่สุดของอินเดีย พระเจ้าอโศกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องหมายการประกาศพระธรรมของพระพุทธเจ้า ดุจราชสีห์คำรามไปทั่ว 4 ทิศ (หัวสิงห์นี้ถูกใช้เป็นตราประจำชาติอินเดียในปัจจุบัน)

 

ฐานล่างสุดรูปทรงคล้ายคลึงกันมากเลยนะครับ ส่วนสัตว์ก็เป็นจ้าวป่าเหมือนกันเป็นสัตว์ใหญ่ ตามคติไทยก็ต้องช้าง
ช่างสังเกตุจริงๆครับ

 

คฑาที่เห็นเป็นเพียงตัวอย่าง ยังมีสิ่งที่มหัศจรรย์มากกว่านี้อีก
เท่าที่ผ่านตา ผ่านการตรวจสอบจาก...(ทั้งพระภิกษุและฆารวาส)........ ยังมีอีกหลายอย่าง เห็นแล้วนึกถึงสมัยโบราณ ท่านผู้สร้าง มีความชาญฉลาดเป็นอย่างมากจริงๆ

 

ในการนัดพบกันครั้งหน้า ผมจะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม สมณโคดม ไปด้วย หากพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ที่เจอกันทุกๆเดือน ต้องการจะได้พระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม สมณโคดม ไปบูชาเพิ่มเติม (ไม่ใช่พระเสโทธาตุ) ก็ให้นำเจดีย์มาบรรจุด้วย พร้อมทั้งนำพวงมาลัยมาอัญเชิญด้วยนะครับ

รายละเอียดไว้ผมโทร.แจ้งอีกครั้งนะครับ

ส่วนท่านอื่นๆ ที่ยังไม่เคยพบกันในการนัดพบกัน ไว้ถ้ามีโอกาสคงได้พบกันนะครับ

โมทนาสาธุครับ

 

เรื่องของคุณ ( ต่อ 2 ) โดยปรัศนี ประชากร

ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร สงวนลิขสิทธิ์<O</O​

<O</O

อรหัตคุณ<O</O​

คือ พระอเสขะ ( ผู้ไม่ต้องศึกษา ) หรือ อนุปาทิเสสบุคคล ( ผู้ไม่มีเชื้อ คือ อุปาทานเหลืออยู่เลย คือ พระอรหันต์ ผู้ควร ( แก่ทักขิณาหรือการบูชาพิเศษ ) หรือ ผู้ฝ่ากำแพงแห่งสังสารจักรได้แล้ว เป็นผู้สิ้นอวะ เป็นผู้ทำได้บริบูรณ์ในสิกขาทั้งสามคือ สมาธิ และปัญญา ละสังโยชน์เบื้องสูงได้อีก 5 ข้อ ( รวมเป็นละสังโยชน์ทั้งหมด 10 ข้อ )
<O</O
อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ( สังโยชน์เบื้องสูง หรือขั้นละเอียด ) 5 อย่าง คือ
<O</O
1. รูปราคะ ความติดใจในรูปธรรมอันปราณีต เช่น ติดใจอารมณ์แห่งรูปฌาน พอใจในรสความสุข ความสงบของสมาธิขั้นรูปฌาน ติดใจปารถนาในรูปภพ เป็นต้น
<O</O
2. อรูปราคะความติดใจในอรูปธรรม เช่น ติดใจในอารมณ์แห่งอรูปฌาน ติดใจปรารถนาในอรูป เป็นต้น
<O</O
3. มานะ ความถือตัว หรือสำคัญตนเป็นนั่นเป็นนี่ เช่นว่าสูงกว่าเขา เท่าเทียมเขา ต่ำกว่าเป็นต้น
<O</O
4. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน จิตใจไม่สงบ ว้าวุ่น ซัดส่าย ติดพล่านไป
<O</O
5. อวิชชา ความไม่รู้จริง ไม่รู้เท่าทันสภาวะ ไม่เข้าในกฎธรรมดาแห่งเหตุและผลหรือไม่อริยสัจจ์
<O</O

จำแนกอรหัตคุณ
<O</O​

1. พระปัญญาวิมุต คือ ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา ได้แก่ ท่านผู้มุ่งหน้าบำเพ็ญแต่วิปัสสนา อาศัยสมเพียงใช้สมาธิเท่าที่จำเป็น พอเป็นบาทฐานของวิปัสสนาให้บรรลุอาสวักขยญาณเท่านั้น ได้สมถะไม่เกินรูปฌาน 4 ไม่มีความสามารถพิเศษ เช่น เข้านิโรธสมาบัติไม่ได้ ไม่ได้โลกียอภิญญา 5 เป็นต้น จำแนกได้ดังนี้
<O</O
ก. พระสุกขวิปัสสก ผู้เจริญวิปัสสนาล้วน ได้สมาธิถึงระดับฌานต่อเนื่องถึงขณะแห่งมรรค
<O</O
ข. พระปัญญาวิมุติได้ฌาน 4 อย่างน้อยขั้นหนึ่งก่อนแล้วจึงเจริญวิปัสสนาที่ให้บรรลุอรหัตต
<O</O
ค. ปฏิสัมภิทัปปัตตะ ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา 4 คือ ได้ปัญญาแตกฉาน 4 ประการ<O</O
1) อัตถปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถ หรือปรีชาแจ้งเจนในความหมาย<O</O
2) ธัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในธรรม ปรืดปรีชาแจ้งเจนในหลัก <O</O
3) นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในนิรุกติ หรือปรีชาแจ้งเจนในภาษา<O</O
4) ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ หรือปรีชาแจ้งเจนในความคิดทันการ
<O</O
2. พระอุภโตภาควิมุต แปลว่า ผู้หลุดพ้นโดยส่วนทั้งสอง คือ หลุดพ้นจากรูปกายด้วยอรูปสมบัติ และหลุดพ้นจากนามกายด้วยอริมรรค เป็นการหลุดพ้น 2 วาระ คือ ด้วยวิกขัมภนะ ( กดข่มกิเลสในด้วยกำลังสมาธิของฌาน ) หนหนึ่ง และด้วยสมุจเฉท ( ตัดกิเลสถอนรากเง่าด้วยปัญญา ) อีกหนหนึ่ง จำแนกได้ดังนี้<O</O
ก. พระอุภโตภาควิมุต คือ พระอรหันต์ผู้ได้สมถะถึงอรูปฌานอย่างน้อยหนึ่งขั้น แต่ไม่ได้วิชชา โลกียอภิญญา<O</O
ข. พระเตวิชชะ พระอรหันต์ผู้ได้วิชชา 3 คือ พระอุภโตภาควิมุตนั้น ผู้ได้วิชา 3 ด้วย<O</O
1) ปุพเพนิวานานุสติญาณ ญาณเป็นเหตุระลึกได้ซึ่งขั้นที่เคยอยู่อาศัยในก่อนคือ การระลึกชาติได้<O</O
2) จุตูปปาตญาณ ญาณหยั่งรู้การจุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลายที่เป็นไปตามกรรม ถือว่า ตรงกับ ทิพพจักขุ หรือ ทิพยจักษุ<O</O
3) อาสวักขยญาณ ญาณหยั่งรู้ในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายหรือความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะ
<O</O
ค. พระฉฬภิญญะ พระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา 6 คือ พระอุภโตภาควิมุตผู้ได้อภิญญา 6 ด้วย คือ<O</O
1) อิทธิวิธา หรืออิทธิวิธี ความรู้ที่ทำให้แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้<O</O
2) ทิพพโสต ญาณที่ทำให้เกิดหูทิพย์<O</O
3) เจโตปริยญาณ ญาณที่ทำให้กำหนดใจคนอื่นได้ คือทายใจเขาได้<O</O
4) ปุพเพนิวาสานิสุติ ญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้<O</O
5) ทิพพจักขุ ญาณที่ทำให้เกิดตาทิพย์<O</O
6) อาสวักขยญาณ ญาณที่ทำให้อาสวะสิ้นไป
<O</O
ช. พระปฏิสัมภิทัปปัตตะ พระอรหันต์อุภโตภาควิมุตผู้บรรจุปฏิสัมภิทา 4 อย่างที่กล่าวแล้วข้างต้น เมื่อรวมเข้าเป็นชุดเดียวกัน และเรียงตามชื่อที่ใช้เรียกมี 6 ประเภทดังนี้<O</O
1. พระสุกขวิปัสสก ผู้เจริญวิปัสสนาล้วน<O</O
2. พระปัญญาวิมุต ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา ( ที่นอกจากสุกขวิปัสสก )<O</O
3. พระอุภโตภาควิมุต ผู้หลุดพ้นทั้งสองส่วน<O</O
4. พระเตวิชชะ ผู้ได้วิชชาสาม<O</O
5. พระฉฬภิญญะ ผู้ได้อภิญญาหก<O</O
6. พระปฏิสัมภิทัปปัตตะ ผู้บรรลุปฏิสัมภิทาสี่<O</O
พระอรหันต์องค์ใดเป็นทั้งฉฬภิญญะ และปฏิสัมภิทัปปัตตะ ย่อมเป็นผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนบริบูรณ์ครอบคลุมทั้งหมด<O</O
ที่กล่าวมานี้ก็คือ อรหัตคุณ<O</O
<O</O

(เป็นความเชื่อ

 

ผมจะมาเล่าให้ฟัง เรื่องที่เกิดขึ้นกับผม เป็นความเชื่อส่วนตัว ที่ผมเองได้สอบถามกับผู้รู้และพระอาจารย์ชยางกูรแล้ว และคำตอบนั้นตรงกัน

 

เมื่อประมาณปลายปี 2549 ผมได้รับข่าวจากคุณอนุชาว่า พระอาจารย์ชยางกูร ท่านจะเดินทางมากรุงเทพฯ ผมเฝ้ารอวันที่จะได้มีโอกาสที่จะได้กราบและสนธนาธรรมกับท่าน

ซึ่งก่อนหน้านี้ ผมเคยถวายพระวังหน้าฯกับพระอาจารย์สา ที่วัดภูเหล่าเงินฮาง ท่านเองก็ได้นำพระวังหน้าฯที่ผมถวายท่านไปเพื่อมอบกับผู้ที่ร่วมทำบุญที่วัดภูเหล่าเงินฮาง พระอาจารย์สา วัดภูเหล่าเงินฮาง ท่านรู้จักกับพระอาจารย์ชยางกูร วัดป่าโนนจ่าหอม เป็นอย่างดี มีอยู่วันนึง พระอาจารย์ชยางกูร ได้มองไปทางวัดภูเหล่าเงินฮาง ท่านเห็นเป็นแสงพุ่งขึ้นมาจากวัดภูเหล่าเงินฮาง ในวันนั้นพระอาจารย์ชยางกูร จึงรีบเดินทางไปหาพระอาจารย์สา ที่วัดภูเหล่าเงินฮาง พระอาจารย์สา ท่านก็พาพระอาจารย์ชยางกูรไปที่กุฎิ ท่านนำพระวังหน้าฯที่ผมถวายให้ นำมาให้พระอาจารย์ชยางกูรได้ชม พอพระอาจารย์ชยางกูรท่านเห็นพระวังหน้าฯ ท่านบอกกับพระอาจารย์สาว่า เป็นเพราะสิ่งนี้เองที่ทำให้ฉันเห็นแสงพุ่งขึ้นจากวัดภูเหล่าเงินฮาง พระอาจารย์สาท่านก็เลยเล่าให้พระอาจารย์ชยางกูรฟังว่า พระวังหน้าฯนี้ คุณsithiphong เป็นผู้ที่ถวายมาเพื่อมอบให้กับผู้ที่ร่วมทำบุญกับวัดภูเหล่าเงินฮาง

ผมเองก็ได้มีโอกาสโทรศัพท์ไปคุยกับพระอาจารย์สา และพระอาจารย์ชยางกูรอยู่เหมือนกัน พระอาจารย์ชยางกูรท่านบอกผมว่า ท่านคงจะได้มีโอกาสไปกรุงเทพฯเช่นกัน แล้วจะให้คุณอนุชาแจ้งให้ผมทราบอีกครั้ง

พอผมทราบข่าวว่าท่านได้เดินทางมาถึงที่กรุงเทพฯ วันนั้นผมได้ขอเจ้านายออกมาจากที่ทำงานก่อนเวลาเลิกงาน เดินทางไปที่บ้านพี่กนกพร พอไปถึงปรากฎว่า มีหลายๆท่านที่ได้เดินทางมากราบพระอาจารย์ชยางกูรแล้ว รวมทั้งลุงเม้า และได้พบกับคุณคณานันท์ (กลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ) วันนั้น ผมได้เข้าไปกราบท่าน ท่านบอกกับผมว่า ท่านรอผมอยู่

เดี๋ยวมาต่อครับ

 

ในวันนั้น ผมเองได้นำพระวังหน้าติดตัวไปนิดหน่อย ผมเองได้มีโอกาสนำพระวังหน้าถวายพระอาจารย์ชยางกูร ท่านบอกกับผมว่า ก่อนที่ท่านจะมา ท่านได้อธิษฐานว่า ขอให้ผมไปหาท่านในวันที่ท่านไปกรุงเทพฯ ท่านเล่าให้ฟังว่า ตอนที่ผมเข้าไปเพื่อที่จะกราบท่าน ท่านบอกว่า ไม่เห็นหน้าผม วันที่ผมไปหาท่าน มีเทวดาที่อยู่ที่บ้านผม ไปกับผมด้วย ท่านเห็นแต่แสงที่สว่างมากๆ พอท่านคุยกับผมไปสักพัก ผมนำวัตถุ 2 ชิ้น นำไปให้ท่านดู ท่านบอกว่า ของสองสิ่งนี้ ท่านอยากเห็นของจริงๆ สิ่งแรกคือปะคำกระดูกช้างที่ผมนำมาร้อยเป็นสร้อยห้อยพระ อีกสิ่งหนึ่งก็คือ พระขรรค์ ท่านบอกว่า ของทั้งสองสิ่งนี้ ดีมากๆ ในวันนั้นน้าแผน (พรหมประกาศิต) ได้มีโอกาสได้เพชรพญานาคจากพระอาจารย์ชยางกูร (โดยการร่วมทำบุญ) อีกทั้งลุงเม้าได้กราบพระอาจารย์ชยางกูรก่อนผมและได้สนธนาธรรมก่อนผมสักพัก

ก่อนที่ผมจะกลับบ้าน พระอาจารย์ชยางกูร ได้มอบเพชรพญานาคให้กับผม 3 เม็ด และสิ่งที่สำคัญมากๆอีกประการก็คือ พระขรรค์(ของพญานาค) (ผมขอสงวนสิทธิ์ไม่แจ้งว่า ใช้อย่างไร และดีอย่างไร) หลังจากนั้นผมก็ได้ลาพระอาจารย์ชยางกูรกลับบ้าน

เดี๋ยวมาต่อครับ

 

หลังจากที่ผมได้ขับรถกลับบ้าน พอกลับมาถึงบ้าน ตอนที่ผมถอยรถเข้าบ้าน เมื่อจอดรถ ดับเครื่องแล้ว ผมได้ยินเสียงเหมือนเกล็ดงูกระทบกับเสียงเหล็ก ผมเองก็สงสัยว่าคืออะไร ผมก็รีบเดินไปปิดประตูบ้าน แต่ด้วยความเหนื่อย ก็เก็บความสงสัยไว้ก่อน ไว้มีโอกาส ผมจะโทร.ไปถามพระอาจารย์ชยางกูรอีกครั้ง

หลังจากนั้น ผมได้มีโอกาสโทร.ไปคุยกับพระอาจารย์ชยางกูร ก็เลยสอบถามท่านว่า ในวันนั้น ผมได้ยินเสียงเหมือนกับเกล็ดงูกระทบกับเสียงเหล็กใต้ท้องรถผม ท่านบอกกับผมว่า ไม่มีอะไร เพียงแต่พญานาคที่มากับท่าน ไปกับผมเพื่อไปชมพระวังหน้าฯ และไปช่วยดูแลผมและที่บ้านผม ผมถามท่านว่า แล้วท่านพญานาคท่านกินอะไร จะเล่นน้ำหรือไม่ ท่านบอกกับผมว่า ไม่ต้องทำอะไร ท่านพญานาคท่านเป็นทิพย์ แล้วท่านพญานาคจะกลับมาที่อุบลเอง

ต่อมาเมื่อเดือนเมษายน 2550 ในการจัดงานที่บ้านท่านอาจารย์ประถม ก่อนที่ผมจะเดินทางไปที่บ้านท่านอาจารย์ประถม ผมเองก็ได้บอกกับเทพเทวา รวมทั้งท่านพญานาคว่า จะไปงานพิธี ท่านใดมีความประสงค์ที่จะไป ผมขอเชิญด้วยนะครับ

เมื่องานผ่านไปแล้ว ในตอนเย็น ผมเองก็ได้เดินทางกลับบ้าน ตอนที่ผมเดินทางกลับออกไปไม่นาน ผมนึกได้ว่า ตอนเช้าผมเชิญมา แต่ตอนกลับผมลืมเชิญกลับ ผมจึงได้โทร.ไปสอบถามกับพี่ท่านนึง ว่า พี่ครับ ตอนเช้าผมเชิญเทพเทวา รวมทั้งพญานาคที่อยู่ที่บ้านผมมา แต่ตอนเย็นผมลืมเชิญกลับ จะเป็นอะไรหรือเปล่า หรือผมต้องกลับไปเชิญท่านกลับ พี่ท่านนึงบอกกับผมว่า ไม่เป็นไร ท่านทั้งหลายท่านเป็นทิพย์ ท่านไปไหนมาไหรได้ตลอดอยูแล้ว พี่ท่านนึงยังบอกต่อว่า ตอนนี้ท่านพญานาคยังยืนอยู่หน้าบ้านท่านอาจารย์ประถมอยู่เลย แต่อีกสักพักคงกลับเอง

ไว้มาต่อครับ อย่าพึ่งเบื่อนะครับ

 

หลังจากนั้น ผมได้มีโอกาสโทร.ไปคุยกับพระอาจารย์ชยางกูรอีก ได้สอบถามท่านถึงเรื่องพญานาคที่อยู่ที่บ้านผม พระอาจารย์ชยางกูรท่านบอกว่า พญานาคท่านจะกลับไปที่อุบล ก่อนวันสงกรานต์(ปี 2550) แน่นอน เพราะว่าพญานาคท่านนี้มีภาระกิจในเรื่องอื่นๆอีก ไม่เป็นไร

ผมเล่าเรื่องโดยย่อๆให้ฟังกัน เป็นความเชื่อของผมเอง แล้วแต่ท่านผู้อ่านใช้วิจารณญาณการตัดสินใจเองนะครับ

โมทนาสาธุครับ
.

 

ผมชอบฟังเรื่องเล่าจากประสบการณ์ครับ ว่างๆก็มาเล่าอีกนะจ๊ะลุง ปาทาน;30
โมทนาสาธุครับ

 

จริงๆเรื่องจะละเอียดกว่านี้มาก ขี้เกียจพิมพ์ครับ

.

 

อ้าว มีลักไก่ด้วยเหรอ
ทำไม ถึงทำ กับฉานได้......:z6

 

อีกเรื่องที่เกี่ยวกับพระอาจารย์ชยางกูร

เรื่องนี้ผมขอบอกว่า เป็นนิสัยส่วนตัวที่ยังแก้ไม่ได้จริงๆ คือเป็นคนที่ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ต้องพิสูจน์ ประเภทพิสูจน์แล้วพิสูจน์อีก พิสูจน์อยู่นั่นแหละ (ไม่ดีนะครับ)

ผมเคยกราบเรียนพระอาจารย์ชยางกูรว่า ผมจะถวายพระวังหน้า รวมทั้งไม้ครูของวังหน้า กับพระอาจารย์ชยางกูร

มีอยู่วันนึง ตอนเย็นผมได้โทร.ไปกราบเรียนกับพระอาจารย์ชยางกูร คืนนี้ผมจะโทร.ไปหา พอผมทำงานเสร็จก็รีบกลับบ้าน ถึงบ้านประมาณ 3 ทุ่ม ผมได้โทร.ไปหาท่าน ปรากฎว่าโทร.ไปแล้วท่านไม่ได้รับสาย พออีกสักพักท่านก็โทร.กลับมาหาผม

เดี๋ยวมาต่ออีกแล้ว

 

ผมบอกท่านว่า ผมจะถวายไม้ครูวังหน้า จำนวน 6 อัน(ถ้าผมจำไม่ผิด) ,พระขรรค์และกฤชวังหน้า ผมคุยกับท่านทางโทรศัพท์ ผมอยู่กรุงเทพฯ ท่านอยู่อุบลราชธานี

ผมถามท่านว่า พระอาจารย์ครับ พระอาจารย์จะเลือกอันไหนครับ ท่านก็บอกลักษณะผมมา โดยที่ผมไม่ได้บอกอะไรท่านเลย พระอาจารย์ชยางกูรบอกว่า หัวไม้ครูลักษณะนี้ ด้ามลักษณะนี้ (มีทั้งบุทองคำ ,บุเงิน และบุนาค) ส่วนพระขรรค์กับกฤช ท่านบอกลักษณะของด้ามเป็นรูปอะไรบ้าง

ผมคุยกับท่าน เลือกกับท่านไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงได้ สุดท้ายก็ลงตัว

ผมได้ฝากกับน้าแผน(พรหมประกาศิต) รวมทั้งพระวังหน้า ไปถวายท่านที่วัดป่าโนนจ่าหอม สุดท้ายท่านไม่ได้ให้พระวังหน้า ,ไม้ครู ,พระขรรค์และกฤชกับใครเลย ท่านมอบแต่รูปคณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร เท่านั้น ท่านบอกกับผมว่า กลัวให้ไปแล้วทำไม่ถูก จะเป็นกรรมกับท่านอีกและไม่มีบารมีมากพอที่จะได้ไว้ ท่านนำไปบรรจุในพระพุทธรูปที่ท่านสร้างขึ้นทั้งหมด พระพุทธรูปองค์ใหญ่มากๆ จำนวน 5 องค์

ผมเองก็ระลึกถึงท่านอยู่เช่นกัน แต่ไกลมากครับ ไว้ถ้าท่านได้ลงมาที่กรุงเทพฯ ผมคงไม่พลาดที่จะได้ไปกราบท่านอีกครั้ง

โมทนาสาธุครับ

 

ล้างจาน กวาดเก็บบ้านให้เสร็จก่อนก็ได้นะจ๊ะ;aa24

 

ล้างจาน เรียบร้อยแล้วครับ เหอๆๆๆ

 

ทราบว่า หากได้ฝึกสมาธิกับพระอาจารย์ชยางกูร ท่านจะแนะนำให้ได้ตรงกับจริต ผมจึงแอบหวังว่าคงจะได้มีโอกาส

โมทนาบุญกับเรื่องที่ท่านปาทานได้เล่ามาด้วยครับ

 

ประสบการณ์ตรงมากๆ ผมแทบไม่เชื่อว่า ผมอยู่กรุงเทพฯ ท่านอยู่อุบล แต่ท่านบอกได้ถูกต้อง ทั้งไม่ครู ,พระขรรค์และกฤช ถ้าไม่ได้เจอด้วยตัวผมเอง ผมบอกได้ว่า เชื่อยากมากๆ ผมว่าเป็นเรื่องของประสบการณ์ส่วนตัวของใครของมันจริงๆ

.