รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xorce, 26 พฤศจิกายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ suthipongnuy ครับ

    เป็นความผิดของผมเองครับที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้จี้

    คุณไม่ใช่สุกขวิปัสสโกครับ

    จับแบบนั้นไม่ได้ครับ มันจะไม่ก้าวหน้า

    และไม่ต้องจับเตวิชโช ถึงขนาดญาณ ตาทิพย์แม่น

    แต่มันต้องใช้กสิณกองหนึ่งตัดกิเลส

    คือ กสิณภาพพระ

    เพราะสิ่งหนึ่งที่คุณยึดมาตลอด คือพระรัตนตรัย

    ชีวิตจะเป็นยังไง ก็ยึดพระตลอด

    ความยึดพระ คืออาวุธของคุณ

    พุทโธนั้นดีแล้ว แต่ต้องเห็นภาพพระพุทธองค์ด้วย จึงจะมีความเต็ม ตามอารมณ์ที่เคยทำมา

    ถ้าไม่ทรงภาพพระ จิตคุณจะสว่างไม่พอ แก่การวิปัสสนา การปฏิบัติจะขึ้นๆลงๆ

    ดังนั้นให้ทำแบบที่ผมแนะนำคุณ kokoking น่ะครับ ทรงภาพพระแบบนั้นเลย

    และคุณพิจารณาวิปัสสนายืดเยื้อไปไม่ตรงจริต

    อารมณ์ที่ใช้ตัดเข้าความพระนิพพาน เอาไปสามข้อที่ต้องพิจารณาพอครับ

    ข้อแรก ตัดวิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัยทั้งหมด

    อารมณ์ที่ใช้ตัดคือ เชื่อ เคารพ ศรัทธา และรู้ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นพระบิดาของเรา เราเป็นบุตรของพระองค์

    เวลากราบพระ นึกถึงพระ จะต้องกราบด้วยความนอบน้อม เบญจางคประดิษฐ์สวยๆจากก้นลึกของจิตของเรา

    และรู้สึกว่าเรากำลังกราบพระบิดาของเรา
    เราจะกราบ จะรัก จะเทิดทูน พระบิดาของเราเพียงไร

    ขอให้คิดแบบนี้ต่อพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆเจ้า

    รัก นอบน้อมต่อพระองค์ให้ถึงที่สุด

    และให้ตั้งจิต ปักอธิษฐานลงไปด้วยว่า

    ข้าพเจ้าขอถือเอาพระรัตนตรัย เป็นประดุจพระบิดาที่ลูกเคารพรัก เป็นสรณะสูงสุด ไม่มีสรณะใดยิ่งกว่าตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ
    อธิษฐานย้ำเอาไว้สามครั้ง

    เสร็จแล้วต่อไปนี้ เวลาพุทโธ เวลานึกถึงภาพพระองค์ ก็ให้เรารู้สึกว่าเราอยู่กับพระบิดา เรามีความปลอดภัยสูงสุดภายใต้ร่มพระบารมีของพระองค์

    เป็นการตัดสังโยชน์ข้อวิจิกิจฉา

    จริงๆ คุณพอทำได้อยู่แล้วครับ แต่ผมต้องมาสะกิดให้ว่านี่คืออารมณ์ที่ใช้ตัดสังโยชน์จริงๆ จะได้จับหลักนี้เอาไว้

    ข้อสอง ศีลพตปรามาส การปรามาส ลูบคำศีล5ประการ

    อารมณ์ที่ใช้ตัดนั้น ให้เราเจริญเมตตา เจริญพรหมวิหาร4ให้มาก

    ถ้าเรารู้สึกรักสรรพสัตว์ รักทุกชีวิต รักยุงทุกๆตัว ได้อย่างถึงที่สุด

    เราจะมีศีล5เองโดยอัตโนมัติ

    ถ้ารักสรรพสัตว์ได้มากเท่าไหร่ ศีล5 จะยิ่งบริบูรณ์เท่านั้น

    เมื่อรักแล้วมันทำร้ายกันไม่ลง

    ศีล5ของพระอริยเจ้า คือ จะรู้สึกฝืนใจ แสลงใจ ในการคิดจะทำความชั่วทุกครั้ง

    มันทำความชั่วไม่ลง ความชั่วมันทำยาก ทำไม่ได้ ทำไม่ลงจริงๆ

    ให้ใช้เมตตาของเราทำให้ศีลบริสุทธิ์ ให้ได้ตลอดไป

    ตราบใดที่เมตตายังอยู่ศีล5ยังอยู่

    ข้อสุดท้าย ตัดสักกายทิษฐิ

    อารมณ์ที่ใช้ตัดจริงๆก็คือ

    ความตายนั้นมันเที่ยง ชีวิตมันไม่เที่ยง

    เราไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไหร่

    แต่เราต้องเลือกไว้ล่วงหน้าว่าตายแล้วเราจะไปไหน

    ใครอยากเกิดต่อก็ไปสวรรค์ หรือพรหม

    ใครไม่อยากเกิดแล้วก็ไปพระนิพพาน

    สำหรับคุณให้ตัดไปพระนิพพานเลย

    ให้ตั้งใจว่า เราจะตายวันไหนเวลาไหนเราไม่รู้ แต่ถ้าตายขึ้นมาขอไปพระนิพพานเพียงจุดเดียวเท่านั้นด้วยเทอญ

    เกาะพุทโธ เกาะภาพพระเอาไว้

    ตั้งใจว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นพระบิดาของเรานั้น ทรงอยู่ที่ใดณขณะนี้
    ตายแล้วลูกจะขอไปอยู่กับพระองค์บนพระนิพพานเพียงจุดเดียวเท่านั้น

    แล้วเราก็หมั่นทรงภาพพระยิ้ม เนื้อเป็นเพชร มีแสงสว่าง ฉัพพัณรังสี รัศมีเพชรระยิบระยับ

    เกาะพระพุทธเจ้าสุดขั้วหัวใจ ตายเมื่อไหร่ไปพระนิพพานๆๆ พิจารณาแบบนี้จนเห็นจริง จนมีความปรารถนาแรงกล้าเอาไว้ทุกๆวัน

    ในวันที่เราตาย จังหวะจิตก่อนที่จะตาย จิตจะรวมตัว แล้วตัดเป็นพระอรหันต์ก่อนจะตายพอดี ไปพระนิพพานได้ในชาติปัจจุบันนี้

    ขอให้พิจาณาสามข้อนี้เอาไว้

    1.พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆเจ้าทรงเป็นพระบิดาของเรา เรารัก เคารพ นอบน้อมพระองค์สุดหัวจิตหัวใจ
    2.ศีล5 อันอิ่มเต็มบริบูรณ์จากเมตตา
    3.ตายเมื่อไหร่ไปพระนิพพาน

    ทำจิตให้แน่วแน่ตามนี้ ท่านจะตายแล้วไปพระนิพพานได้ในชาติปัจจุบันนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2010
  2. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    จากpm

    ผมปวดหัวหลังฝึก จากที่พี่บอกไว้คือ ตั้งใจเกินไป
    ผมก็พยายามไม่ตั้งใจเกินไป แต่ถ้าไม่ตั้งใจเกิน
    ไป นี่คือ ผมไม่ต้องไปเพ่งที่ลมหายใจ หรือว่า
    อย่างไรครับ เพราะผมคิดว่า ถ้าไม่เพ่งลมหายใจ ก็
    กลัวใจจะคิดฟุ้งซ่านเรื่องอื่นน่ะครับ เลยต้องเพ่ง
    พอเพ่งมาก ก็ปวดหัว ครับ

    ไม่ใช่เพ่งลมหายใจแบบที่ทำอยู่

    คำว่าเพ่งแปลว่าอะไร

    คำว่าเพ่งไม่ได้แปลว่า การบีบจิต บังคับจิตจดจ่อกับสิ่งนั้นๆ

    แท้ที่จริงแล้ว คำว่าเพ่งแปลว่า การระลึกรู้ด้วยใจที่เบาสบาย

    1.ให้เราผ่อนคลายความรู้สึกในร่างกายของเราทั้งหมด

    คลาย ไล่ตั้งแต่ศรีษะ จรดปลายเท้า

    ผ่อนคลาย จนเรารู้สึกว่าร่างกาย เบา สบาย คล้ายกับไร้น้ำหนัก

    มีแต่ความสบาย ยิ่งร่างกายสบายมากเท่าไหร่ จิตยิ่งสบายมากเท่านั้น

    2.ผ่อนคลายจิตใจ พอคลายร่างกายแล้ว

    จะเหลือความรู้สึกที่ตรึงอยู่นิดนึงในศรีษะ

    ให้เราปล่อยความรู้สึก คลาย ทิ้งความรู้สึกนั้นไป

    จะรู้สึกว่าอาการตึงในศรีษะในความคิด

    จะค่อยๆขยายออกๆ จนบางเบา มีแต่ความเบาสบายของใจ

    เราก็คลาย สลาย จนกายเบา ไร้น้ำหนัก จิตเบาไร้น้ำหนัก

    พอทำเสร็จ

    3.พอคลายกาย คลายใจเราแล้ว

    จะเหลือลมหายใจที่เราจะสัมผัสได้ชัดเจน

    คราวนี้ลมหายใจจะบางเบานุ่มนวล

    ให้เราพิจารณาว่า ลมหายใจ เป็นเส้นแพรวไหมที่มีความนุ่มนวล

    พริ้วผ่านเข้ามาในร่างกายของเรา

    เคลื่อนตัวผ่านลำคอ อก ท้อง และม้วนตัว กลับออกไป

    จากนั้นก็ม้วนตัวกลับเข้ามาใหม่ ต่อเนื่อง ลื่นไหล ไม่มีที่สิ้นสุด

    ให้เราปล่อย ผ่อนคลายลมหายใจของเรา ให้หายใจไปเรื่อยๆอย่างนั้น

    ลมหายใจจะช้าลงๆ เบาลง สบายขึ้น เย็นขึ้น

    จนกระทั่งลมหายใจช้าลงจนหมด

    จนคล้ายกับไม่มีลมหายใจ

    จิตจะนิ่ง ความคิดจะดับ ความรู้สึกที่ตัวจะหายไป

    มีแต่ความนิ่งดิ่งลึกของจิต ที่ตั้งมั่น ลึกลงไปในร่างกายของเรา

    อันนี้คือ ตัวสมาธิ

    ให้เราประคองรักษาอารมณ์นี้เอาไว้ให้ได้ตราบนานเท่านาน

    เราต้องการอารมณ์ที่ลมหายใจมันหายไป จิตหยุดนิ่งหยุดคิด

    เราต้องปล่อยลมหายใจ

    ไม่ใช่ไม่จับลมหายใจนะ

    แต่จับมันด้วยใจสบายๆ ไปเรื่อยๆ

    จนกระทั่งมันนิ่ง หยุด หายไปเอง

    คราวนี้เราจะต้องจดจำอารมณ์นี้ให้มั่น

    แล้วเราจะสามารถเข้าสมาธิระดับจิตหยุด ลมหายใจดับนี้

    ได้ทั้งลืมตาหลับตา ยืนเดินนั่งนอนทำได้ทั้งหมด

    กำหนดจิตให้หยุดปุ้ป หยุดได้ดั่งใจ ได้ในทันที

    ทำแบบนี้จนกว่าจะคล่อง

    ตัวนี้เป็นกำลังของสมาธิพื้นฐาน ยิ่งมีความเข้มมาก คือ จิตนิ่งมาก ร่างหายเบาจนหายไปมาก ลมหายใจนิ่งมากเท่าไหร่

    ยิ่งเป็นพื้นฐานที่มั่นคงสำหรับการต่อยอดในอนาคตมากเท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2010
  3. KOKOKING_<<0>>

    KOKOKING_<<0>> เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    813
    ค่าพลัง:
    +1,373
    ขอบพระคุณท่านชัช มากๆเลยเลยครับ ที่ได้ให้คำแนะนำตรงๆเช่นนี้ ที่ท่านชัชว่า ผมจะลองไปปฏิบัตินะครับ ติดขัดอย่างไรจะมาถามท่านชัช อีกทีนะครับ ขอรบกวนล่วงหน้าเลยนะครับ

    อนุโมทนาในการช่วยเหลือของท่านชัชด้วยนะครับ เป็นประโยชน์ต่อนักปฏิบัติจริงๆครับ
     
  4. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Maxzimon ครับ

    ตอนนี้กำลังใจสูงขึ้นแล้ว

    แต่กลายเป็นว่า กำลังของเมตตายังไม่เท่ากับกำลังใจ กำลังไล่ตามอยู่

    ให้เราเติมพรหมวิหารให้เต็ม

    ให้เราแผ่เมตตา ให้เย็น ให้สว่าง ให้เรารักทุกๆดวงจิต ทุกสรรพชีวิต อย่างถึงที่สุดให้ได้

    ฝึกแผ่ ฝึกดึงเมตตา จนกว่าจะได้เต็มได้สุด ได้สว่าง เย็นวาบไปทั้งจักรวาล

    เราอยากจะช่วยเหลือทุกๆดวงจิตให้พ้นจากความทุกข์อย่างแท้จริง

    เรายินดี อนุโมทนาในความดี ทั้งปดีต ปัจจุบัน ปอนาคต ของทุกๆดวงจิต จากก้นบึ้งลึกสุดของหัวใจ

    เราวางอุเบกขา เมตตาแก่ผู้ที่ควรเมตตา อุเบกขากับผู้ที่ไม่สมควรจะเมตตา

    อย่าเมตตาไม่เลือก มันผิด จะเป็นภัยแก่ตัวเองและผู้อื่น

    พอมีอุเบกขา เรามีจะปัญญาในการพิจารณาธรรม ในการพิจารณาว่าใครควรช่วย ใครไม่ควรช่วยมากขึ้น

    พอพรหมวิหาร4เต็มเปี่ยม คราวนี้จะสามารถจับกรรมฐาน40 และวิปัสสนาญาณได้มากยิ่งกว่าเดิม

    เวลาแผ่เมตตาจะรู้สึกคล้าย หัวใจของเราขยายขึ้นชั่วขณะ

    จะมีความเย็น แสงสว่าง รัศมีเพชร ส่องสว่างเปล่งประกาย จากดวงจิตที่กลางอกของเรา

    ฝึกแผ่ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสุด แล้วกำลังสมาธิส่วนอื่นๆจะดีเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2010
  5. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Nickaz ครับ

    ปักใจเอาไว้แล้ว ก็ดีแล้วล่ะครับ

    เวลาพิจารณาวิปัสสนาเพื่อตัดกิเลสนั้น

    เนื่องจากกำลังของปัญญาของคุณ มากกว่าด้านอื่น

    ถ้ามุ่งจะตัดกิเลส

    จะพิจารณาแค่ขันธ์5ร่างกาย หรือสังโยชน์เฉยๆ ไม่ได้

    ต้องพิจารณาวงจรของการเวียนว่ายตายเกิดทั้งหมด ภพภูมิทั้งหมด

    พิจารณาไล่ไปตั้งแต่ความเป็นมนุษย์

    พอทำชั่วตายแล้ ก็ลงอบายภูมิ ไล่มันทีละชั้น

    สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก

    เกิดเป็นสัตว์แต่ละชนิด มีความทุกข์คนละอย่าง

    เป็นเปรต แต่ละประเภทก็ทุกข์คนละแบบ

    อสุรกาย สัตว์นรกแต่ละขุม ก็เจอโทษทัณฑ์คนละแบบ

    ขึ้นอยู่กับแต่ละประเภทของกรรมที่ได้กระทำมา

    แต่ละภพภูมิมีอารมณ์ มีสุขทุกข์ ที่จะต้องเสวยแตกต่างกันไป

    หากทำดี ก็ได้เป็น เทวดา พรหม อรูปพรหม จนถึงพระนิพพาน

    พิจารณาไปไล่ความเป็นเทวดา ทีละชั้น ท่านสุขอย่างไร ยังมีทุกข์อย่างไร

    พรหมแต่ละชั้น อรูปพรหมแต่ละชั้น

    สุดท้าย ความเป็นพรหมก็ไม่เที่ยง อาจจะลงอบายภูมิได้เมื่อบุญหมด

    จะเกิดเป็นอะไร ก็ล้วน แปรผัน ไม่เที่ยง ปรวณแปร ทั้งมวลทั้งหมด

    คนกลายเป็นเทวดา เทวดาหมดบุญก็ลงอบายภูมิ สัตว์ในอบายภูมิกลับมาเป็นคน

    ดวงจิตทั้งสังสารวัฏ ทั้งจักรวาล

    เปลี่ยนภพภูมิ วิ่งขึ้น วิ่งลง อย่างต่อเนื่องทุกๆขณะจิต

    เดี้ยวดีเดี้ยวแย่ เดี้ยวร้อนเดี้ยวเย็น เดี้ยวรวยเดี้ยวจน ไม่มีที่สิ้นสุด

    เราเองทุกคนก็เคยทั้งลงนรก ขึ้นสวรรค์ นับครั้งไม่ถ้วน มันก็ยังไม่เที่ยง

    พิจารณาให้เห็นวงจรของการเวียนว่ายตายเกิดของทั้งสังสารวัฏ

    จึงจะทำให้ เกิดความเพียงพอแก่กำลังของปัญญาของเรา

    เอาให้ละเอียด ให้ครบใน31ภพภูมิ

    พอเราเห็นทั้งสังสารวัฏอย่างชัดเจน

    จึงค่อยย้อนกลับมาพิจารณาที่ตัวของเรา

    สลับ นอก สลับ ใน

    นอก คือ ทั้งสังสารวัฏ ใน คือ กิเลสของเราเอง

    จิตจึงจะเกิดปัญญา ความปรารถนาในพระนิพพานจะเต็ม จะบริบูรณ์ขึ้น

    จึงจะถึงฝั่งได้สมใจ
     
  6. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    สาธุจ้ะ

    อาจารย์ชัช แล้วของพี่ควรจะเพิ่มและปรับตรงไหนจ๊ะ (ไม่ได้ลองภูมิ อยากทราบเพื่อแก้ไขจ้ะ)
     
  7. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ขอให้ทุกๆท่านยึดไตรสรณคมเอาไว้เป็นสรณะที่พึ่งสูงสุด

    ครูบาอาจารย์ของเรา มีเพียงพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆเจ้าเท่านั้น

    ส่วนตัวผมนั้น ขอให้ถือเป็นเพียงกัลยาณมิตรท่านหนึ่งเท่านั้น

    เพราะธรรมะ ทั้งหมดที่ผมถ่ายทอด ก็มาจากความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม และครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆกันมา มีทุกๆท่านทุกๆพระองค์บนพระนิพพานเป็นที่สุด

    ไม่ได้จากตัวของกระผมแม้แต่ประการใด

    ตัวผมเอง ผมก็ยึดเอาไตรสรณคม เป็นที่สุด

    หากผู้ใดมีความตั้งมั่นในไตรสรณคมสูงกว่าผม ผมก็จะกราบไหว้ผู้นั้น

    หากผู้ใดมีไตรสรณคมเท่ากัน ผมก็จะเคารพในความดีของท่านนั้น

    หากผู้ใดมีไตรสรณคมต่ำกว่า ผมก็จะเกื้อกูลสงเคราะห์ ให้ผู้นั้น

    ได้เข้าถึงซึ่งไตรสรณคม ในระดับที่เสมอกัน หรือสูงกว่าที่ผมมีอยู่ อย่างเต็มกำลังความสามารถ

    ถ้าเด็กอายุ7ขวบ มีภูมิธรรมสูงกว่าผม

    ผมก็จะเคารพ ด้วยความนอบน้อม อย่างสุดหัวจิตหัวใจ

    ท่านใดมีไตรสรณคม มีกำลังใจเพื่อสาธารณะประโยชน์ มีความตั้งใจที่จะค้ำจุนพระศาสนา มีความเคารพในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ปราศจากสิ้นซึ่งมานะทิษฐิ

    ผมขอสรรเสริญในความดีของทุกๆคน ที่มีปฏิปทาแบบนี้

    ส่วนท่านใดยังไม่มีปฏิปทาแบบนี้ ขอให้ทุกๆคนช่วยกันส่งเสริม ให้กำลังใจ และสนับสนุน
    จนกว่าพุทธศาสนิกชน ผู้ใฝ่ในความดีทุกคน จะมีกำลังใจในการทำความดีที่เข้มแข็งเสมอกัน

    ดังนั้นขอให้ทุกๆท่านยึดหลักเดียวกัน

    อาจารย์ของเรา มีเพียง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆเจ้าเท่านั้น

    แล้วทุกๆท่านจะไม่มีวันเสื่อม ไม่มีวันพลัดพรากไปจากหนทางแห่งความเป็นสัมมาทิษฐิ หนทางแห่งความดีงามตลอดไป

    ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
     
  8. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึง พี่ปู ดอกขจร ครับ

    ตอนนี้ให้หัวเราะก่อนครับ เยอะๆเลยครับ

    ยิ่งนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตทั้งหมดของพี่

    จะพบว่ามันเป็นเรื่องตลกที่สุด เรื่องนึง ที่ถ้าทำเป็นการ์ตูนขายหัวเราะ คงจะขายไปได้หลายปี

    พอหัวเราะเสร็จ เราก็ปลงครับ มันเป็นวิบากกรรม และเครื่องทดสอบกำลังใจที่ทำให้เราแกร่งขึ้น

    ถ้าไม่มีแท่นรับมีดชั้นเลิศ ก็จะไม่เกิดกระบี่วิเศษ ที่ตัดได้แม้แต่คอนกรีต

    เราต้องมาทำความเข้าใจธรรมะหลายๆข้อใหม่

    ความเข้มแข็ง ความแข็งแกร่ง ไม่ใช่มานะทิษฐิ

    มานะทิษฐิ คือ การทำสิ่งที่ผิดพลาด แล้วก็ไม่รู้ ไม่ยอบรับในความผิดของตัวเอง

    ยังทำมันต่อไป การไม่ปรับปรุงตัวเองนี่แหละ มานะทิษฐิตัวใหญ่เลย

    การที่เราปรับปรุงแก้ไขตัวเองอยู่เสมอ ยึดพระเสมอมา คือสิ่งที่บอกว่าเราไม่มีมานะทิษฐิ

    เราไม่มีมานะทิษฐิ ไม่มีก็คือไม่มี ไม่มีจะให้มันมีได้ยังไง

    พี่ปูเป็นคนที่จิตมีความเข้มแข็ง เป็นจุดเด่นของเรา

    แต่เราถูกวิบากทำให้คิดว่า จุดแข็งของเรา กลายเป็นจุดอ่อน

    มันก็คือ การถูกกด ดูถูกบารมีของตัวเราเอง

    ทำให้กลายเป็นคนที่ไม่มั่นใจในกำลังสมาธิของตัวเอง

    ญาณก็ไม่กล้าใช้

    จะสอนจะถ่ายทอดต่อก็ไม่กล้า

    อุปมาเหมือน เราวิ่งโดยที่มีถุงทรายซัก10ถุง ผูกขาเราอยู่ มาเป็นระยะเวลายาวนาน นานโคตร

    แต่เราก็ไม่รู้ว่าเรามีถุงทรายอยู่

    เราก็เลยคิด เอ ทำไมเราอ่อนแอจัง ทำไมเราไม่มีพลังเลย

    ก็มันผูกขาอยู่สิบถุง มันจะเอาแรงจากไหนมาวิ่ง ขำๆนะครับ

    ตอนนี้เราเอาถุงทรายออกไป

    จะพบว่าพละกำลังของขามันมหาศาล มันวิ่งได้เร็วมาก

    มันคล่องตัว มันรู้สึกล่องลอย คล้ายมีวิชาตัวเบาที่เก็บตัวฝึกมานาน

    แต่ยัง ยังไม่หมด เรายังเผลอแบกถุงทรายเอาไว้อยู่อีกหลายถุงเหมือนกัน

    ตอนนี้ให้หาถุงทรายให้เจอ และจงโยนมันให้หมดครับ

    เอาความมั่นใจของเรากลับคืนมา ความเข้มแข็ง มันเป็นความดี มันไม่ใช่ความเลว

    ความใจอ่อนเป็นความเลวไม่ใช่ความดี

    เมตตาไม่ใช่การใจอ่อน สงเคราะห์ดะ เกื้อกูลบุคคลไม่เลือกหน้า

    เมตตาคือการใช้ปัญญา เกื้อกูลบุคคลที่ควรเกื้อกูล ไม่เกื้อกูลบุคคลที่ไม่ควรเกื้อกูล

    เพราะหากเราทำสลับกัน มันไม่ใช่ความเมตตา มันก็คือการขาดปัญญาตะหาก

    แก้ความเข้าใจใหม่ทั้งหมด

    แล้วกำลังที่เหลือมันจะมาหมด รวมตัวหมด เราบ่มเอาไว้นานแล้ว

    กรรมฐาน40 พรหมวิหาร4 ไม่ใช่แค่เมตตานะ พรหมวิหารจะเต็มรอบทั้ง4อัน

    ส่วนวิปัสสนาญาณนั้น อย่าพิจารณาแค่ร่างกาย แค่สังโยชน์ มันพอจะเข้าใจบ้างอยู่แล้ว

    จะไปจับอีก มันก็เหมือนกับ คนที่ชอบรสเปรี้ยวแต่ก็กินมันแต่รสหวาน

    จะกินอีกนานแค่ไหน มันก็ไม่อร่อยซะที

    หรือการใช้ยาไม่ตรงกับโรค ปวดท้องแต่กินยาแก้ไข้ จะกินจนหมดทั้งร้าน มันก็ไม่หายปวดท้อง

    แล้วเราก็เลยไปคิดว่า โอยบุญเราน้อบ บารมีเราน้อย

    ก็ให้มือกระบี่ไปจับทวน แล้วมือทวนมาจับกระบี่มันจะคล่องได้ยังไง



    ให้เรากันมาพิจารณาสังสารวัฏแทน กลไกการเวียนว่ายตายเกิด กรรมกฏของกรรม

    ภพภูมิ31ภพภูมิ เราพิจารณาให้ครบว่า ทำบุญ ทำบาปแบบนี้จะไปที่ไหน

    ภพนี้ภูมินี้ ต้องทำบุญ แบบนี้บาปแบบนี้ ตายจากภพนี้แล้วจะไปไหนต่อ

    คนตายแล้วไปไหนบ้าง สัตว์นรกพ้นบาปแล้วไปไหน เทวดาจุติแล้วไปไหนบ้าง

    ดวงจิต เป็นล้านๆดวง เคลื่อนจากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่งอยู่ทุกขณะจิต

    หมุนวน แปรผันอยู่ตลอดทุกขณะจิต ในสังสารวัฏนี้

    ด้วยความไม่เที่ยงนี้เอง จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เราปรารถนาที่จะพาสรรพสัตว์ทั้งหลาย ข้ามสังสารวัฏไปสู่พระนิพพาน

    จะพาเขาไปได้ เราก็ต้องเข้าใจทั้งสังสารวัฏและพระนิพพานอย่างถ่องแท้

    ทำกรรมแบบนี้เกิดผลแบบนี้ ผลแบบนี้เกิดจากกรรมแบบนี้

    บุคคลนี้พูดแบบนี้ ณ วินาที เพราะจิตเขามีกิเลสข้อนี้ๆ เขาคิดแบบนี้อยู่ในใจแต่ไม่กล้าพูด

    เขาฝึกสมาธิ ในลักษณะนี้ เพราะอดีตชาติเขาเคยทำมาแบบนี้ๆๆ

    คนนี้เขาแต่งกายลักษณะนี้ เพราะจิตของเขาเป็นแบบนี้ๆ

    จับทุกอย่างมาพิจารณาให้หมด

    น้ำเสียงของคนนี้มีลักษณะแบบนี้ เพราะบารมีของเขาสิบอย่าง มีแบบนี้เท่านี้ แบบนี้เท่านี้ อันนี้พร่องไป อันนี้มากกว่าอันอื่น

    สายตาของเขาแบบนี้ ใบหน้าของเขาแบบนี้ ผิวพรรณของเขาแบบนี้

    เพราะจริตเป็นแบบนี้ๆ เคยทำบาปแบบนี้มา บุญแบบนี้มา

    แค่เรามองบุคคล คนหนึ่ง เราสามารถจะใช้ญาณ พิจารณาเห็นเกี่ยวกับเขาได้เป็นล้านๆอย่าง ภายในระยะเวลาอันสั้น

    ให้ทำแบบนี้แล้วปัญญาจะเต็มรอบขึ้นเอง

    คราวนี้จะได้น่ากลัวแบบ...บ้าง

    คราวนี้เราเจอใครปุ้ป แสกนละเอียดยิบ

    ให้รู้ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต บารมี กรรมฐาน ลักษณะจิต เป็นอะไร มีอะไร เคยได้อะไร ให้ดูให้รู้ให้หมด

    ตั้งกำลังใจ และขอบารมีพระว่า เราดูเพื่อที่จะได้แนะนำให้เขาเข้าถึงซึ่งความดีได้

    ไม่ใช่ดูเพื่อแข่ง เพื่อวัดว่าใครเหนือกว่า

    อันนี้พี่ไม่ทำอยู่แล้ว แต่ผมบอกเผื่อเอาไว้ให้คนอื่นๆได้อ่าน

    ถ้าทำแบบนี้บ่อยๆ แล้วปัญญาไม่เพิ่มให้มันรู้กันไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2010
  9. saturday_rainy

    saturday_rainy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    335
    ค่าพลัง:
    +957
    ผมมีข้อสงสัยเรื่องการรักษาระดับของสมาธิให้มั่นคงและสูงยิ่งขึ้นครับ
    เมื่อเรานั่งสมาธิไปจนจิตผ่อนคลาย ไม่สนใจคำภาวนา เคลิ้มๆเหมือนจะหลับไปแล้ว และต่อมาก็กลับมารู้ตัวอีกหน อันนี้เราจะทำอย่างไรต่อครับที่จะทรงสมาธิให้ก้าวหน้าขึ้น ผ่านจุดนี้ไปได้ง่ายๆ
     
  10. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ตอนนี้ผมจะเอาไฟล์ฝึกสมาธิของผมออกก่อนนะครับ

    ผมจะเอาไปปรับปรุงเป็นเวอชั่นใหม่

    และช่วงนี้ผมจะอัพเกรด สมาธิที่ผมแนะนำใหม่ทั้งหมด

    จุดไหนที่เห็นว่าทำแล้วเกิดผลช้า หรือไม่ตรงกับจริตของสาธารณะชน ผมจะตัดออก

    แล้วเปลี่ยนใหม่ ให้ฟังแล้ว อ่านแล้ว ทำได้ ตรงกับจริตของผู้ฟัง แบบเป้ะๆ

    ดังนั้นผมขอเวลาปรับเปลี่ยนซักระยะนะครับ

    ช่วงนี้จะพัฒนาการถ่ายทอด และจะโละของเก่าบางอันออก

    ดังนั้นใครที่มาใหม่ให้เริ่มอ่านตั้งแต่หน้านี้เป็นต้นไปเลยนะครับ ไม่ต้องย้อนไปตั้งแต่ต้น
     
  11. Maxzimon

    Maxzimon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +204
    ขอบคุณที่แนะนำนะครับ เรื่องอุเบกขา แต่ผมเวลาเห็นคนอื่นที่เขาทำผิดแล้วมันห้ามไม่ค่อยได้ ผมก็จะว่าเขาเสมอ บางคนที่ดีผมก็ชื่นชมเขา
    ผมก็พอทราบว่าพื้นฐานคนแตกต่างกัน ทราบว่าคนทุกคนมีด้านดี ผมไม่รังเกียจที่จะคบใครเป็นเพื่อนผมรับได้ทุกคนอ่ะครับ
     
  12. suthipongnuy

    suthipongnuy ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +1,428
    ขอบพระคุณอาจารย์ชัดมากครับ ที่ช่วยกรุณาชี้แนะแนวทางให้กับผม
    ผมก็คิดอยู่เหมือนกันครับกับจริตนิสัยของผม คงไม่ใช่ทางสุขวิปัสสโกแน่นอน เพราะผมอยากรู้อยากเห็นนรกและสวรรค์ตั้งแต่เด็กแล้วครับ พอได้มาปฏิบัติธรรมในช่วงนี้ ก็เคยพยายามนะครับ เพ่งกสิณ จับภาพพระ แต่ไปไม่รอด เลยคิดว่าตัวเองยังไม่ดีพอ ก็เลยได้คำแนะนำจากอาจารย์ว่าให้จับอานาปานุสสติให้สุดเสียก่อน ก็พยายามทำเรื่อยมา ตอนแรกก็จับลมหายใจเข้าออก ผลปรากฏว่าเหลว คือแน่นหน้าอกและอึดอัด ก็เลยหันมาบริกรรมพุทโธ ซึ่งก็ได้ผลดีขึ้น ก็เลยทำเรื่อยมา แต่ก็เหมือนกับอาจารย์แนะนำมาคือ มันมาได้แค่นี้ จิตก็สงบบ้างฟุ้งบ้าง ฌานก็ติดๆดับๆ เรื่องวิปัสสนา โน้น...เหมือนอยู่ดาวอังคาร คงไม่มีวันไปถึง มีบางช่วงที่เหนื่อยและท้อ ทำให้การปฏิบัติไม่ต่อเนื่อง ทำบ้างไม่ทำบ้างครับ

    ครั้งนี้ได้รับคำแนะนำที่ไม่เคยมีใครบอกมาก่อน ทำให้มีกำลังใจในการปฏิบัติมากครับ ยิ่งตอนท้ายบอกว่าผมมีโอกาสที่จะไปพระนิพพานได้ในชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้า หรือชาติไหนๆยิ่งดีใจใหญ่เลยครับ แต่ผมคงไม่ประมาท บุญกุศลไหนที่ทำได้ ผมก็จะสะสมเอาไว้ก่อน เก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อยๆ กันเหนียวไว้ก่อนครับ

    หลังจากได้คำแนะนำ ต่อไปนี้ผมก็จะพยายามทรงภาพพระให้ได้ครับ ทำแบบสบายๆ เห็นก็ช่างไม่เห็นก็ช่าง ทำไปเรื่อยๆ พร้อมๆกับบริกรรมพุทโธไปด้วย อาการที่เราตั้งใจมากเกินไป ผมได้บทเรียนมาแล้วครับ และคงจะไม่ยอมตกไปอยู่ในสภาพนั้นอีกมันทรมาน

    ขออนุโมทนากับคุณความดีที่อาจารย์ชัดได้กระทำในครั้งนี้ด้วยครับ
     
  13. ชินนา

    ชินนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    192
    ค่าพลัง:
    +248
    สวัสดีครับท่านเจ้าของกระทู้

    ผมได้ติดตามอ่านการถามตอบพระกรรมฐานมาพอสมควร แต่ยังไม่มีข้อคำถาม เพราะกำลังแก้ไขอารมณ์ของตัวเอง คือผมติดอารมณ์หนักมาเป็นเวลานานพอดู ตอนนี้ก็เริ่มจะดีขึ้นกว่าเก่าแล้วครับ (ผมฝึกอานาปานุสติครับ)

    กะว่าถึงช่วงไหนที่ติดขัดในการปฏิบัติก็จะถาม แต่พอดีเห็นว่าท่านเจ้าของกระทู้จะตอบทุกคนแบบจี้จุด ผมเลยสนใจที่จะถามถึงข้อปฏิบัติว่าตัวผมนี้จะสามารถเดินในแบบใดที่จะทำให้ถูกจริตที่สุดครับ

     
  14. Tanunchapat

    Tanunchapat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +3,191
    โมทนา สาธุ ขอกราบคารวะ ท่านอ. กับคุณงามความดีของท่านที่ได้เสียสละช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ค่ะ
    ดีใจด้วยนะโก้ ที่ท่านอ. ช่วยกรุณาชี้ทางให้ ไม่ต้องคลำทางสะเปะสะปะอีกต่อไปแร่ะ ขอให้โก้มีความมุ่งมั่นและความเพียร อย่าท้อ เจ๊เป็นกำลังใจให้นะ ขอให้โก้ประสบผลสำเร็จในเร็ววันนะจ้ะ สู้ สู้ ทาเคชิ :VO
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2010
  15. KOKOKING_<<0>>

    KOKOKING_<<0>> เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    813
    ค่าพลัง:
    +1,373
    ขอบพระคุณครับเจ๊ แล้วเจ๊ไม่ถามท่านอ.ชัชเหรอครับ ว่าควรจะปฏิบัติแบบใด .... ท่านอ.ชัช ช่วยแนะนำด้วยนะครับบ (ลุยเลยครับเจ๊)

    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปทุกท่านนะครับ

     
  16. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    นิวรณ์5เข้าปฐมฌานหนี ปฐมฌานเข้านิวรณ์5หนี รุกรับกันไปมา สุดท้ายยังเสมอตัว

    ขอขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่ได้กรุณาอธิบายให้ผู้มีปัญญาทึบอย่างผมได้เข้าใจครับ คราวนี้มาแบบจี้กันตรงๆจุด ดีครับ กระชับ ชัดเจนและนำไปปิดช่องโหว่ รูรั่ว ต่างๆ ได้อย่างดี

    การพิจารณาวงจรของการเวียนว่ายตายเกิด ให้ครบถ้วนทุกภพภูมิ ทั้งไตรภูมิ ถ้าจะเจาะรายละเอียดกันจริงๆ ต้องใช้เวลานาน เพราะมีรายละเอียดปลีกย่อยแยะ แต่ทั้งหมดก็อยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์ทั้งสิ้น(อย่างนี้ทำให้การพิจารณาง่ายขึ้น เนื่องจากล้วนแต่อยู่ในกฎเกณฑ์เดียวกัน) อย่างนี้เล่นง่าย ไม่มีปัญหาครับ เพราะการวิปัสสนาทำนองนี้ อยู่ที่ไหน เวลาไหน ถ้ามีเวลาว่างจากกิจการงาน ไม่ต้องเจรจาความกับใคร สามารถพิจารณาทบทวนได้ในทันทีอยู่แล้ว โดยใช้พื้นฐานของสมาบัติที่ซักซ้อมมาตลอดเป็นกำลังในการปฏิบัติการ

    สิ่งที่ต้องการนั้นก็คืออารมณ์ชิน ให้เห็นในกฏของไตรลักษณ์และยอมรับว่าเป็นของธรรมดาของโลกและคลายจากความรู้สึกยึดติด อย่างนี้ใช่หรือไม่ครับ?

    ส่วนการกลับมาพิจารณาที่ตัวเรา ทั้งภายในและภายนอก นั้นในส่วนของขันธ์ห้า เราพิจารณาเรื่องรูปอย่างเดียวได้หรือไม่ เพราะอีกสี่อย่างที่เหลือก็เกี่ยวเนื่องกับรูป ผมคิดว่าถ้าเราไม่ยึดติดในรูป เราก็น่าจะคลายความยึดติดในโลกได้เอง เพราะรูปเป็นทั้งอนิจจัง รูปเป็นทุกขังและรูปเป็นอนัตตานั่นเอง

    ต่อไปนี้คือเรื่องหลักๆ ที่ทำอยู่ อยากจะให้ช่วยแนะนำแบบตรงๆด้วยว่า ยังขาดตกบกพร่องตรงไหน ควรจะเพิ่มเติมตรงไหน หรือตรงไหนมากเกินไป ช่วยวิจารณ์ให้ความเห็นด้วยครับ

    ตอนนี้พยายามจะทรงสมาบัติ( เอาให้ได้ทั้งแปด ทำไมถึงต้องเอาทั้งแปด จะได้อธิบายต่อไป) ไว้ตลอด เพราะมีประโยชน์กับการวิปัสสนามาก รวมทั้งต้องทรงอารมณ์ทั้ง 4 อย่างไว้ตลอดคือ
    1.ศีล 5 และพรหมวิหาร 4 ให้เป็นความเคยชิน
    2.ความเคารพ ยึดมั่นในพระรัตนตรัยเป็นสรณะของชีวิต
    3.การระลึกถึงความตายไว้ตลอดเวลา
    4.ความปรารถนานิพพานเป็นอารมณ์

    เหตุผลของการทำอย่างนี้เพราะว่าทุกภพในไตรภูมิ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้ พิจารณาไปตามที่เห็น ทั้งจากที่ครูท่านมาสั่งสอน เบื่อหน่ายไปหมดแล้วครับ อยากจะหาสิ่งที่แปลกใหม่มาลองดูบ้าง

    แต่อารมณ์เบื่อหน่ายยังไม่ถึงที่สุดจริงๆเสียที วิสัยปุถุชนก็เป็นอย่างนี้ เวลาที่นิวรณ์เข้าครอบงำ ความปรารถนา พอใจในรูปก็ยังมีอยู่ ทำให้เกิดความปรารถนาในกามภพ ตรงจุดนี้ต้องรีบแก้ไขโดยด่วน

    เรื่องนิวรณ์5 นี่มีความสำคัญ ที่เห็นชัดๆ ก็มีอยู่เรื่องเดียวที่ตัดได้จริงๆเกือบหมดคือวิจิกิจฉา คือไม่ติดใจ สงสัยในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ยอมรับ นับถืออย่างที่สุดของชีวิต

    แต่นิวรณ์อีก 4 อย่าง ยังเป็นเจ้าประจำของจิต ที่ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาครอบงำ บงการอยู่ตลอด ตรงจุดนี้ยังหาทางแก้ไขไม่ได้

    ทางแก้เรื่องนิวรณ์ อยู่ที่ปฐมฌาน ปฐมฌานมา นิวรณ์หาย กลับกัน ถ้านิวรณ์มา ปฐมฌานก็หนีไปเหมือนกัน ตรงนี้คือจุดที่บอกว่าจะพยายามทรงสมาบัติทั้งแปดให้ได้ตลอด ใช้สมาบัติกดทับ ควบคุมนิวรณ์ไว้ แล้วใช้วิปัสสนาลดทอนอำนาจของนิวรณ์ไปเรื่อยๆ (ความจริงแค่ปฐมฌานก็พอจะกดทับนิวรณ์ได้แล้ว แต่เอาถึงสมาบัติแปด เพราะต้องการให้ของเก่าๆ ทั้งวิชชาต่างๆ กลับมารวมตัวกันน่ะครับ ทุกวันนี้บอกได้ว่ายังไม่พอใจตัวเองเท่าไหร่ ที่ยังเรียกของเก่ากลับมาได้ไม่เต็มที่)

    คิดๆไปเหมือนทุกอย่างในโลกนี้เป็นเหมือนความฝัน เนื่องจากเรายังไม่ได้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ถ้าสามารถตื่นขึ้นมาจากความฝันได้ คงจะรู้สึกดีขึ้นอีกมาก ทุกวันนี้พยายามปลุกตัวเองให้ตื่นจากความฝันมาตลอด แต่มันไม่ค่อยอยากจะตื่นจากความฝันเลย ไม่เป็นไร ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป สักวันหนึ่ง คงจะตื่นจากความฝันได้ในที่สุด

    มีคำถามเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย เป็นเรื่องเกี่ยวกับสมาบัติ คือผมเห็นว่าการฝึกทรงสมาบัติ 8 ง่ายที่สุดคือนอนหลับไปในฌานเสียเลย เดิมก่อนหลับจากที่เคยตั้งจิตไว้ที่อุปจารสมาธิกึ่งๆปฐมฌาน แต่คราวนี้ปล่อยจิตให้ไหลไปเลย มันก็ไหลไปอรูปเอง แล้วตัดหลับไป ทีนี้หลับไปทั้งอย่างนั้น ถ้าสมาบัติ 8 อันนี้จิตค่อนข้างสบาย เพราะมันหยุดการทำงานไปเลย แล้วตั้งเวลาตื่นเอาไว้ก่อนนอน มักไม่พลาด

    ทีนี้เห็นว่าการนอนหลับในอรูปมันก็สบายดี จิตได้พักเต็มที่ (โดยเฉพาะในสมาบัติที่ 8 ) ก็เลยย่ามใจ คิดว่าจะลองนอนหลับในอรูปสัก 2-3 วัน หรือ 4-5 วัน หรือ 7 วันก็ได้ แต่มีปัญหาว่าร่างกายยังต้องกิน ต้องขับถ่าย ต้องดำเนินตามระเบียบของร่างกายอยู่ การนอนในอรูปหลายๆวัน อาจมีปัญหากับระบบร่างกายได้ จึงยังไม่กล้าทดลองนอนในอรูปหลายๆวันเสียที

    จึงขอปรึกษาว่า ถ้าจะนอนในอรูปสักหลายๆวันอย่างนี้ จะมีวิธีฝึกการควบคุมกลไกของร่างกายอย่างไรครับ ไม่ให้เสียระบบไปเนื่องจากการนอนเป็นเวลานาน รวมทั้งความสมดุลในเรื่องของกระแสปราณต่างๆ ต้องฝึกการควบคุมอย่างไร

    เคยได้ยินมาว่าพวกฤษีหรือโยคีเขาทำกันอย่างนี้ โดยอยู่กันได้เป็นเดือนๆ ปีๆ (ยิ่งกว่านั้นเคยได้ยินเรื่องเล่ากันมาว่าฤษี โยคีบางพวก ใช้สมาบัติยืดอายุไปได้ถึงหลายร้อยปี ก็น่าจะใช้วิธีเดียวกันนี้) ก็เลยอยากจะลองดูบ้างครับ แต่ของเราเอาแค่สั้นๆ ไม่เกิน 7 วันก็พอแล้ว

    ขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำล่วงหน้าครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2010
  17. pinya

    pinya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    240
    ค่าพลัง:
    +842
    ;34อนุโมทนาสาธุกับอ.ชัช ด้วยคนนะคะขอให้บารมีสูงยิ่งๆขึ้นไปนะคะ
    อ้าวสู้สสสสสสสสสสส เจ้กับโก้:cool:
     
  18. devilblaze

    devilblaze สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +23
    ขอความกรุณาหน่อยครับ

    คือ ผมมีปัญหาตอนทำสมาธิ อ่ะครับ ผมทำสมาธิแล้วผมรู้สึกว่ามันยากมากๆ เพราะผมเอาแต่จะใช้กำลังของตัวเอง แค่จะมาพิมพ์ขอความช่วยเหลือยังคิดแล้วคิดอีก แต่ก็มีบางที ที่ใช้กำลังของตัวเองทำแล้วก็ประสบผล แต่มันก็ทรงอยู่ไม่นาน ซึ่งมันมักจะประสบผลตอนที่ถอดใจไปแล้วแต่ขอต่ออีกหน่อยทุกที

    ทุกวันนี้ผมทำได้แค่นับลมหายแล้วหลับไป ซึ่งผมรู้สึกอนาจ ในตัวเองเหลือเกินทั่งๆที่ตัวเองเคยผ่านมากกว่านั้นแท้ๆ

    ผมจึงอยากจะขอความกรุณาหาทางช่วยผม ลด ฑิธิ ของตัวเอง ลด ความยิ่งยะโสในกำลังของตัวเอง หน่อยครับ

    แล้วอยากขอวิธีทรงกำลัง อย่างถูกต้อง ผม ไม่อยากใช้กำลังของตัวเองอีกแล้ว ไม่ไหว ไม่ไหว มันเหนื่อยมาก ทั่งๆที่เมื่อก่อนฝึกจนเห็นด้วยตนเองจนมีศธัทธาเต็มที่
    แต่ตอนนี้มันจะถอยลงไป แถมจะพาลทำให้เราเสื่อมในศธัทธา
    ผมไม่อยากถอยครับ ขอความกรุณาด้วยนะครับ

    แล้วผมอยากทราบว่าผมควรจะฝึกกรรมฐานกองไหนดีครับ

    คือ ผม เริ่มฝึกกสิณสีแดงเป็นกองแรกเลยทันที่ที่รู้จักทำสมาธิ แต่มันไม่ได้เรื่องอะไร

    เลยหันมาฝึกอาณาปาณสติ อันนี้ได้เรื่อง แถมทรงสมาธิเงียบๆไม่รู้สึกอะไรอยู่ดีๆก็ปรากฎ ดวงอะไรไม่รู้
    ทีแรก เป็นดวงสีขาวออกฟ้าๆ ข้างหลังดำหมด

    ครั้งที่ 2 กลับใส แล้วมีสีทุกสีปรากฎอยู่ในดวงเป็นจุดๆระยิบระยับ ข้างหลังเป็นฉากสภาพห้องเหมือนลืมตาแต่มีดวงกลมๆที่ว่าปรากฎลอยเด่น

    อีกครั้งทีนี้มาเต็มสี สีเขียวบ้าง เหลืองบ้าง

    มันเล่นทำให้ผมหันกลับไปฝึกกสิณ แต่ก็เอาอ่าวอีกนั้นล่ะครับ ชักสับสน



    อ่อแล้วมีอยู่ครั้งหนึ่งผมทำสมาธิถึงจุดๆหนึ่งแล้วประมาณว่าเหมือนจะเผลอหลับ แต่กลับมาคองสติตัวเองได้ ผมพยายามจะลืมตาแต่มันไม่ลืม

    ผมก็จะพยายามเบ่งอีก จนจู่ๆมันก็ค่อยๆสว่างขึ้นปรากฎสถานที่ ที่ทำสมาธิอยู่ แต่มันไม่ใช่เหมือนมองด้วยตา มันเหมือนมีอะไรบางอย่างบังคับ

    สายตาของเราให้มองไปตรงนั้นโดยที่รอบๆสายตามันเบลื่อๆส่วนตรงกลางสายตาชัด แต่ก็ขยับไปมองรอบๆได้ แล้วยังได้ยินเสียงพลังงาน

    อะไรไม่รู้เหมือนเสียงของเครื่องไฟฟ้าที่ใช้พลังงานมากๆ จึงอยากจะทราบว่ามันคืออะไรหรอครับ ผมไม่กล้าไปถามใครเด๋วจะหาว่าบ้า จึงต้อง

    มาถามพวกเดียวกัน

    ขอขอบคุณอย่างสูง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2010
  19. suthipongnuy

    suthipongnuy ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +1,428


    บังเอิญไปอ่านเจอมาครับ ขออนุญาตินำมาลงไว้
    ทำให้ผมเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์ชัดแนะนำไว้ได้ดียิ่งขึ้น

    อนุโมทนาครับ
     
  20. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    829
    ค่าพลัง:
    +705
    ฌาณมันมีได้ก็เสื่อมได้เป็นธรรมดา ถ้ายังยึดติดมันก็คงขึ้น ๆลง ๆอยู่อย่างนี้
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...