ร่วมทำบุญบูชา สำเร็จสิทธิพระที่นั่งมหาบัลลังก์(ปรารถนาเป็นหนึ่งกุณฑธานเถระ) พ่ออาจารย์พล

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย คุรุปาละ, 12 ตุลาคม 2014.

  1. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,096
    ค่าพลัง:
    +16,623
    เดี๋ยวรอบสายๆผมส่งของให้นะครับ เพราะต้องไปรับที่ฝากเลี่ยมไว้ด้วย;)
     
  2. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,096
    ค่าพลัง:
    +16,623
    แจ้งการส่ง EMS
    พี่ปกรณ์เกียรติ ER 5708 3489 2 TH

    พี่สายเมธี ER 5708 3490 1 TH

    พี่สรวุฒิ ER 5708 3491 5 TH

    พี่ภาคภูมิ ER 5708 3492 9 TH

    พี่คณพศ ER 5708 3493 2 TH
     
  3. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,096
    ค่าพลัง:
    +16,623
    ถอนคุณไสย์คืนของอาถรรพ์
    เป็นบทความที่เป็นประโยชน์ดีมาก แนะนำให้อ่านกัน ผมเชื่อว่าหลายคนที่เคยถามว่าเช่าพรายเช่าผีมาแล้วจะทำยังไง ก็ใช้วิธีตามนี้ได้เลย

    วิธีถอนของถอนคุณไสย
    การถอนของต้องหมั่นทำบ่อย ๆ ทำเรื่อย ๆ จนกว่าจะหาย เปรียบเหมือนการรักษาไข้ ถ้ายังไม่หายก็ยังไม่หยุดกินยา จงอย่าท้อแท้ การทำต้องหมั่นทำ ทุกคนทำได้ไม่ต้องพึ่งใคร จงจำไว้ทุกคนมีดีในตัวทุกคน อย่าดูถูกตัวเอง

    การทำน้ำมนต์ถอนของให้ภาวนาพระคาถาจนกว่าจะหมดเทียน จึงจะจบการทำน้ำมนต์ถอนของ หลังจากนั้นก็เอาไปผสมน้ำอาบน้ำกิน อาการจะค่อยๆ ดีขึ้น

    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ( 3 จบ )

    อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุททะนาเมอิ อิเมนา พุททะตังโสอิ อิโสตัง พุททะปิติอิ ( 9 จบ )

    อิติปิจะ สุคะโต โลกะนาโก คะระหัง ปัตโต นะนิพพานัง สิวังระวัง มะอะอุสุขัง ปิยังมะมะ ( 9 จบ )

    อมขะโลขะลัง สาโลสาลัง ขะโลติ สาระติสิโน ขัคโคขัคคังปาถา วิชะยามันติ เตชังนันทิสา ทิสังเยระวัง สีหะนะหัง สักขะติ ขะสะยามะสันติ สะระติสิโน ขัคโคขัคคัง อมสวาหะ ( 9 จบ )

    นะหลุด โมถอน พุทคลอน ธาเคลื่อน ยะหลุดเลื่อนออกทุกที่ ธาตุทั้งสี่จงเร่งออกไป น้ำลมดินไฟเสือกไสเข้ามา อาคัจฉัยยะ อาคัจฉาหิ โอกาเสติถาหิ จงออกไป

    “ พระคาถาบทนี้ให้ภาวนาจนกว่าจะหมดเทียน เมื่อเทียนกำลังจะหมด ให้ว่าบท มหาประสิทธิ เป็นบทสุดท้ายเป็นอันจบการทำน้ำมนต์”
    * สิทธิกัจจัง สิทธิกัมมัง สิทธิการิยะตะถาคะโต สิทธิเตโช ชะโย นิจจัง สิทธิลาโภ นิรันตะรัง สัพพะกัมมัง ประสิทธิเม.


    การแก้อาถรรพ์และสิ่งไม่ดีในตัว
    - ของอาถรรพ์หรือของที่มีอิทธิฤทธิ์ ได้แก่ กุมารทอง นางกวัก สาลิกา รักยม หรือของที่มีอาถรรพ์ต่างๆ ที่มีส่วนประกอบของกระดูกผีที่ป่าช้า ส่วนต่างๆ ของศพและของอาถรรพ์ต่างๆ การรับขันธ์ 5 8 9 และขันธ์ 16 เวทมนต์คาถาให้โทษ น้ำมันพราย หรือของที่มีอำนาจเหนือ หรือของที่มีอำนาจเหนือจิตเรา ส่งผลให้พบกับความทุกข์ต่างๆ ตลอดจนของอาถรรพ์ภายในร่างกายเรา เมื่อทำพิธีแล้วจะทำให้มีความสุขความเจริญ

    พิธีคืนของอาถรรพ์
    - ถ้ามีของอาถรรพ์หรือของอิทธิฤทธิ์อยู่ในบ้านหรือที่ใดก็ตาม ให้นำผ้าขาว วางบนพานหรือถาด และนำของอาถรรพณ์ที่รับมาวางไว้บนผ้าขาวแล้วจุดธูป3 ดอก เทียน 2 เล่ม แต่ถ้าไม่รู้ว่าของอาถรรพ์นั้นอยู่ที่ใด ก็ให้จัดหาดอกไม้ธูปเทียนวางไว้บนผ้าขาวแทนแล้วกราบพระสวดมนต์บูชาพระ พุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ แล้วยกพานรือถาดกล่าวคำอธิฐานดังนี้

    ข้าพเจ้าขอคืนของอิทธิฤทธิ์ของอาถรรพ์ เวทมนต์คาถาอาคม เทพ สัตว์ วิญญาณ ผีสาง นางไม้ ไฝปานที่ไม่ดีที่ข้าพเจ้าได้รับมาโดยรู้เท่าถึงการณ์ก็ดี ไม่รู้เท่าถึงการณ์ก็ดี จำได้ก็ดี จำไม่ได้ก็ดี ที่กำลังส่งผลให้ข้าพเจ้า บุคคลภายในบ้านทุกข์กายทุกข์ใจข้าพเจ้าขอคืนของทั้งหมดเหล่านี้ให้กับครูบา อาจารย์ที่รับมา ขอให้ครูบาอาจารย์รับของทั้งหมดคืนตั่งแต่ขณะจิตนี้เป็นต้นไป การคืนของดังกล่าวนี้หากจะมีบาปกรรม ทั้งมโนกรรม วจีกรรม กายกรรม ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมด้วยเทอญ.

    เมื่อกล่าวเสร็จแล้วกราบพระ เอาผ้าขาวห่อของเหล่านั้น นำไปลอยน้ำ จะเป็นบ่อน้ำ น้ำนิ่ง น้ำไหลก็ดี ขณะที่ลอยนั้นให้เปิดห่อผ้าขาวออก แล้วค่อยๆ เทของเหล่านั้นลงไปในน้ำพร้อมอธิฐานดังนี้

    ข้าพเจ้าขอฝากของเหล่านี้ไปกับแม่พระธรณี แม่พระคงคา แม่พระเพลิง แม่พระพาย แม่พระโพสพ ไปให้กับครูบาอาจารย์เดิมที่รับของอาถรรพณ์นี้มาด้วย

    หลังจากคืนของอาถรรพ์แล้ว ต้องทำบุญตักบาตรแผ่เมตตาจิตในบุญกุศลครั้งนี้ให้กับตนเองและทุกคนในบ้าน ครุบาอาจารย์พร้อมทั้งเทพสัตว์ วิญญาณนั้น ๆ ทำติดต่อกัน 3-7 วัน และต้องสวดมนต์ทำสมาธิอย่างต่อเนื่องจะดีมากๆ


    296fdde1cd55120c40233d6fb1e12327_d25vj52.jpg
     
  4. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,096
    ค่าพลัง:
    +16,623
    ก่อนนอนอย่าลืมสวดมนต์ ทำสมาธิและแผ่เมตตากันนะครับ
     
  5. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,096
    ค่าพลัง:
    +16,623
    คนมีองค์

    อรุณสวัสดิ์ครับ วันนี้ก็จะมาพูดถึงเรื่องคนมีองค์กันหน่อย ก็หลายๆคนนะที่บูชาเครื่องมงคลทั้งหลาย หมั่นสวดมนต์ปฏิบัติภาวนาจนเทพเจ้าให้ความรัก ความเอ็นดูในร่างมนุษย์ของเรา จึงได้ให้การคุ้มครองปกปักรักษาเรา ซึ่งคนมีองค์กับร่างทรงนั้นมันแตกต่างกัน พอดีเห็นบทความของสยามเคณศเขียนไว้ดีแล้ว ก็จะขออนุญาตินำมาลงไว้ให้อ่านทีเดียว


    คนมีองค์ หมายความได้ถึง คนที่มี องค์พระ หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มาคุ้มครอง หรือมีความเกี่ยวพันกับชีวิตมาตั้งแต่เกิด อาจจะเป็นพันธะสัญญาแต่ชาติปางก่อน หรือทำบุญกุศลมามาก ทำให้เกิดมาชาตินี้เป็นคนที่สามารถสื่อจิตไปถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นคนที่ไม่มีองค์มาแต่กำเนิด แต่อาศัยการฝึกฝนจิต นั่งสมาธิ สวดมนต์บูชาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จนสามารถสื่อจิตถึงเทพเจ้าได้ เมื่อคนมีองค์แล้ว ไม่หมั่นฝึกจิต สวดมนต์ นั่งสมาธิ การรับรู้สื่อจิตไปถึงองค์ก็จะค่อยๆหายไป กลับมาเป็นคนที่ ไม่มีองค์ ไปในที่สุด...

    ร่างทรง คือคนที่ตั้งตนเป็นใหญ่เหนือสามัญชนทั่วๆไป ด้วยการแสดงอิทธิฤทธิ์ เช่น อมควันธูป เดินลุยไฟ เหยียบหนาม เสกของ จัดสร้างวัตถุมงคลระดับต่ำ ทำนายทายทัก รักษาโรค ทำไสยศาสตร์ เล่นของดำ โดยส่วนใหญ่มักจะแอบอ้างพระนามของเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและทำให้ดูยิ่งใหญ่เหนือมนุษย์

    นอกจากเรื่องเข้าทรง ยังมีเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ ภาพนิมิต เสียงแว่วๆ พูดภาษาแปลกๆ อะไรต่อมิอะไรมั่วไปหมด ทำให้ศาสนาเสื่อม การทำนายทายทักที่เห็นว่าพวกร่างทรงนั้นสามารถทำได้อย่างแม่นยำ ก็เพียงแค่คาดเดา หรือไม่ก็หากแม่นจริงๆ ก็คือการเล่นวิชา ไสยศาสตร์ของเขมร (พวกนี้มีจริงๆครับ แต่ไม่ใช่แนวทางของศาสนาฮินดู) พวกที่นิมิตเห็นอดีตของเรา ทายเงินในกระเป๋าสตางค์ได้ถูกต้อง ทายชื่อแฟนเก่า ทายใจ ตอบได้ว่าสามี-ภรรยามีชู้อยู่ที่ไหน ตลอดจนการเสกของเข้าท้อง ฯลฯ พวกนี้มีอยู่จริง แต่เป็นวิชามาร (ทางเขมร หรือพม่า) คนโดนของจากพวกนี้จะถูกฉุดดึงให้ชีวิตตกต่ำ ทำอะไรก็ไม่ขึ้น คนที่รู้ตัวและต้องการจะหลีกห่างจากร่างทรงพวกนี้ก็จะโดนไสยศาสตร์เช่นกัน ขอจงเข้าใจว่า วิชามารพวกนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์และฮินดูทุกพระองค์

    คนที่ถูกทักว่า มีองค์ อย่าเพิ่งไปหลงเชื่อหลงดีใจ เพราะคนมีองค์ไม่ใช่ว่ามีได้ง่ายๆ บุญกุศลไม่ถึงพอก็ไม่สามารถมีได้เลยตลอดชีวิตนี้ ถามตัวคุณเอง ก่อนว่าคุณได้ปฏิบัติศีล ปฏิบัติธรรม ทำบุญกุศลไว้มากมายเพียงพอที่จะ มีองค์ ได้แล้วหรือไม่ แม้แต่นักบวช พราหมณ์ พระสงฆ์ เกจิอาจารย์ ผู้ปฏิบัติธรรมแก่กล้ามีวิชา ก็มีอีกนับไม่ถ้วนที่ยัง "ไม่มีองค์" เลย!!!!

    สรุป...คนมีองค์ ไม่จำเป็นต้องเป็น ร่างทรง...
    ร่างทรง อาจจะ ไม่มีองค์ เลยก็ได้ (ผู้ที่เข้าข่ายหลอกลวง)
    คนมีองค์ ไม่จำเป็นต้อง รับขันธ์ เพราะการรับขันธ์ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาฮินดูแม้แต่น้อย
    ถ้ามีคนทักว่า มีองค์ ก็ให้เฉยๆไว้ อย่าหลงเชื่อ... คุณอาจจะมีองค์จริง หรือไม่มีองค์ ก็ไม่มีใครทราบ และไม่จำเป็นต้องทราบ...
    อย่าไปเสียเงินค่าพิธีแม้แต่บาทเดียว เพราะถ้าเสียเงินครั้งแรกจากการรับขันธ์..คุณจะโดนของเขมรทันที...และต้องเสียไปเรื่อยๆจนหมดตัวในที่สุด!!

    ขอให้กลับไปสวดมนต์ภาวนาบูชาพระอย่างเดิม ไหว้พระก็ไหว้ที่บ้าน อยากไหว้นอกบ้านก็เข้าวัดหรือเทวสถานไปเลยจะดีกว่าครับ...

    คุณอาจจะเคลิบเคลิ้ม เมื่อถูกร่างทรงทักว่าคุณมีองค์ของเทพองค์นั้นองค์นี้..การได้ไปอยู่ในสถานที่ที่เป็นจุดอับ อัดแน่นไปด้วยควันธูป กลิ่นกำยาน กลิ่นดอกไม้ รอบข้างเต็มไปด้วยผู้คนพนมมือไหว้ มีเทวรูปของเทพเจ้ามากมาย เต็มไปด้วยเศียรของฤาษีพ่อแก่ หัวโขน กุมารทอง เจ้าพ่อเจ้าแม่ ฯลฯ บรรยากาศเหล่านี้จะก่อให้เกิดความกลัว ความกลัวก่อให้เกิดความศรัทธา และในบรรยากาศที่มีผู้ศรัทธาอยู่ด้วยกันมากๆ จะทำให้คุณเกิดอุปาทาน คล้อยตาม จิตประหวัดก่อให้เกิดอาการมือชา ตัวชา ตัวสั่น ปวดหัว เมื่อผู้คนรอบข้างคุณเริ่มมีอาการ คุณก็จะมีอาการ เมื่อคุณมีอาการ คนอื่นๆก็ก็คล้อยตามไปเรื่อย...อาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนหัว ตัวร้อน ตัวสั่น ก็นึกไปว่าเทพประทับ ลุกขึ้นร่ายรำ ดันไปเรียกอาการนี้ว่า เจ้าเข้าทรงแล้ว...ก็มั่วกันไปทั้งตำหนัก!!

    ยิ่งตำหนักนั้นๆเลี้ยงผีไว้ด้วย อาการต่างๆที่ว่ามานี่แหละก็เป็นช่องทางให้ผีมันเข้าสิงได้ เพราะผีมันชอบสิงคนจิตอ่อน ชอบแทรกเข้าร่างคนที่ไม่มีภูมิต้านทานในจิตใจ คนที่ถูกวิญญาณเข้าแทรกก็ดันคิดว่า อ้อ..กูนี่คือเทพนี่เอง!!!

    >>>> ตามตำหนักทรง เราสามารถพบเห็นเรื่องทุเรศๆ ที่บิดเบือนไปจากศาสนาพุทธ-พราหมณ์ ได้มากมาย เช่น ร่างทรงพระพิฆเนศอ้วกแตกเพราะสูบบุหรี่ใบจากในขณะประทับทรง , พระแม่อุมาลงประทับลงร่างทรงที่เป็นกะเทย , พระวิษณุนารายณ์ต่อสู้กับนางตะเคียน , พ่อแก่ฤาษีประทับทรงแล้วกระโดดกอดสีกา , พระแม่ลักษมีดูดวงให้ลูกศิษย์ , พระนารายณ์อวตารสูบบุหรี่ยี่ห้อ Marlboro , พระพรหมลงมาใบ้หวยให้เลขเด็ดแก่ลูกศิษย์ , พระพุทธเจ้ามาลงประทับร่างคนหน้าเหมือนโจร , พระศิวะคุยภาษาแขกกับเจ้าแม่กวนอิม (อันนี้ฮาสุดๆ) ฯลฯ แล้วคุณทั้งหลายยังจะคิดว่าองค์เทพเจ้าต่างๆที่ลงมาประทับนั้น เป็นองค์จริงๆแน่หรือ??

    ก็เพราะคำว่า "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" นี่เองที่ทำให้ประเทศไทยเราไม่เจริญสักที หากพบเห็นสิ่งที่ไม่น่าจะใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดูท่าจะเป็นการหลอกลวง เป็นการแหกตา ก็สมควร ลบหลู่ ให้รู้แล้วรู้รอดกันไป!! คนไทยกลัวกันเยอะครับ ประเทศชาิติเลยไม่เจริญสักทีทั้งทางโลกและทางธรรม...

    การอัญเชิญทิพยสภาวะของเทพเจ้าลงมาสู่กายแห่งมนุษย์ หรือการประทับทรงนั้น หาใช่เรื่องที่ใครๆ จะทำกันได้ทั่วไป ผู้ที่สามารถอัญเชิญพลังบารมีแห่งองค์เทวะมาประทับหรือสื่อจิตไปถึงองค์เทวะได้นั้น จะต้องได้รับการฝึกจิต ปฏิบัติธรรม เพื่อชำระกาย ชำระใจของตนให้สะอาดเสียก่อน ขอได้โปรดเข้าใจและศึกษาอย่างถ่องแท้นะครับ
    296fdde1cd55120c40233d6fb1e12327_d25vj52.jpg
     
  6. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,096
    ค่าพลัง:
    +16,623
    เดี๋ยวติดตามสาระความรู้กันต่อนะ;)
     
  7. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,096
    ค่าพลัง:
    +16,623
    อรุณสวัสดิ์ครับ

    มีคนเสนอให้เล่นเกมส์กัน ใครมีเกมส์อะไรอยากแนะนำก็รบกวน PM เข้ามาได้ตลอดเลยนะ;)
     
  8. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,096
    ค่าพลัง:
    +16,623
    ทวีปทั้ง4

    วันนี้เราจะมาพูดถึงทวีปทั้ง 4 กัน ซึ่งปกติเราจะรู้จักกันแต่ชมพูทวีป หรือโลกที่เราได้อยู่อาศัย ซึ่งยังมีมนุษย์ในภูมิอื่นอีกที่เป็นผู้เจริญมากกว่าเรา หรือด้อยกว่าเราก็ตาม


    ทวีปใหญ่ หรือ พื้นแผ่นดินทั้ง 4 ทิศ มีชื่อและที่ตั้งดังนี้
    1. อุตตรกุรุทวีป ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ ของเขาสิเนรุ
    2. ปุพพวิเทหทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ของเขาสิเนรุ
    3. อปรโคยานทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ของเขาสิเนรุ
    4. ชมพูทวีป ตั้งอยู่ทางทิศใต้ ของเขาสิเนรุ


    1. อุตตรทวีป
    ภูมิประเทศและสังคม อุตตรกุรุทวีป มีขนาดพื้นที่ประมาณ 8,000 โยชน์ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ ซึ่งอยู่ในทิศเดียวกันกับท้าวมหาราชชื่อกุเวรหรือเวสวัณเป็นผู้ปกครองของเทพชั้นจาตุมหาราชด้านทิศนี้ แสงจากเขาสิเนรุด้านนี้เกิดจากแสงรัตนะสีทองส่องมาทางทวีปนี้ มีต้นกัลปพฤษก์เป็นไม้ประจำทวีปนี้ วัดรอบลำต้นได้ 15 โยชน์ มีกิ่งและลำต้นยาวขนาดละ 50 โยชน์ วัดส่วนสูงทั้งหมดได้ 100 โยชน์ วัดกิ่งที่แผ่ไปรอบด้านก็กว้างได้ 100 โยชน์เหมือนกัน เป็นไม้ยืนต้น เวลาออกดอกใบจะร่วงเกือบหมด จะออกดอกตามกิ่งจนเต็ม แต่สมัยนั้นดอกใหญ่มาก พวกมนุษย์ในทวีปนี้สามารถอธิษฐานขอเสื้อผ้าและเครื่องประดับได้จากต้นไม้นี้ จะออกมาจากดอกไม้ ซึ่งก็จะได้ตามกำลังบุญ
    อากาศของทวีปนี้ดีมาก ไม่มีมลภาวะที่เป็นพิษ น้ำใสสะอาดบริสุทธิ์ ภูมิประเทศสะอาดไร้สิ่งสกปรก ไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่มีสัตว์ร้ายสัตว์พิษ มีผลไม้หลากชนิด ผลใหญ่ รสชาติดีมาก ไม่มีพืชหนามพืชพิษ อร่ามไปด้วยไม้ดอกสีสันสะดุดตา น่ามองไม่รู้เบื่อ และไม้หอมนานาชนิดคนก็ตาม สัตว์ก็ตามไม่วิวาทเบียดเบียนกัน มีตัณหาน้อย ไม่มักมากในกาม
    รูปลักษณ์ มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีลักษณะใบหน้ารูปทรงสี่เหลี่ยม ร่างกายไม่พิการ ไม่มีโรคหรือเจ็บป่วย รูปร่างใหญ่โตกว่าชาวชมพูทวีป 3 เท่า(ประมาณ 13 ศอก) มีผิวแดงหรือขาวเท่านั้น มีเส้นผมละเอียดอ่อน เส้นเล็กกว่าผมชาวชมพูทวีป 8 เท่า สตรีมีรูปร่างสมส่วน เป็นสาวตลอดกาล ผู้ชายก็เป็นหนุ่มตลอดกาล
    คุณลักษณ์ มนุษย์ในทวีปนี้มีอายุ 1,000 ปีเท่ากันหมด หญิงตั้งครรภ์และคลอดไม่ลำบากทั้งแม่และลูก เด็กเวลาหิวก็จะมือน้ำนมหลั่งทางนิ้วมือ เกิดได้ 7 วันก็โตเป็นหนุ่มเป็นสาว เมื่อญาติพลัดพรากจากไป ก็ไม่เศร้าเสียใจ ไม่ต้องรับทุกขเวทนาด้วยโรคภัย ความชราและความเสื่อมกำลัง
    มีศีล 5 เป็นปกตินิสัย ไม่ยึดถือสิ่งของอันใด เช่น ผ้า ข้าวน้ำ เป็นต้นว่า เป็นของตนไม่มีความหวงแหนว่า นี้ภรรยาของเรา เป็นต้น ความกำหนัดด้วยความพอใจย่อมไม่เกิดขึ้นเพราะเห็นมารดาหรือน้องสาว
    การดำเนินชีวิต มนุษย์เหล่านั้นไม่ต้องหว่านพืช และไม่ต้องนำไถออกไถ หมู่มนุษย์บริโภคข้าวสาลี อันผลิตผลในที่ไม่ต้องไถ ข้าวสาลีนั้นไม่มีรำ ไม่มีแกลบ บริสุทธิ์ มีกลิ่นหอมเป็นเมล็ดข้าวสารเลยที่เดียว เมื่อเขานำข้าวสารไปเกลี่ยลงหม้อแล้วหุง แล้วนำไปตั้งบนเตาอันปราศจากควันและเถ้า เตานั้นได้แก่หินที่ชื่อว่า โชติกปาสาณะ ที่ชนชาวอุตตรกุรุทวีปทั้งหลายวางหิน 3 ก้อน แล้วยกหม้อขึ้นตั้งบนแผ่นหิน ไฟก็เกิดขึ้นจากแผ่นหินนั้นทันทีโดยไม่มีควันเมื่อข้าวสุกแล้ว ไฟก็จะดับเอง เป็นสัญญาณให้รู้ว่าข้าวสุกแล้ว (เหมือนหม้อไฟฟ้าในปัจจุบัน) ชาวอุตตรกุรุบริโภคข้าวจากหม้อนั้น ไม่มีแกงหรือผัดอย่างอื่นเสริม เพราะบริบูรณ์ด้วยโอชาครบถ้วนอยู่แล้ว และรสชาดของข้าวนั้นเป็นรสบำรุงใจของผู้บริโภคอย่างดี ชนเหล่านั้นย่อมให้แก่ผู้มาถึงที่นั้นทุกคน ชื่อว่า จิตตระหนี่ย่อมไม่มีแก่เขาเหล่านั้น
    แม้พระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นต้น ทรงฤทธิ์มาก ก็มักจะเสด็จไป ณ ที่นั้นเพื่อรับบิณฑบาต หรือ แม้แต่ฤาษีดาบสที่มีฤทธิ์ก็ชอบไปภิกขาจารที่ทวีปนี้
    อนึ่ง อิตถีรัตนะ (นางแก้ว) ของพระเจ้าจักรพรรดิหรือของคนมีบุญทั้งหลายเช่นโชติกะเศรษฐี โดยมากก็นำไปจากอุตตรกุรุทวีปนี้ โดยการนำไปของเทวดา หรือมาได้เองด้วยบุญญานุภาพบ้าง หากผู้มีบุญนั้นตายไปก่อน หรือออกบวช พวกเทวดาก็จะนำนางแก้วนั้นกลับไปยังอุตตรกุรุทวีปตามเดิม
    ก็มนุษย์เหล่านั้นจะนอนบนที่นอนอันประเสริฐที่ปราสาท และนั่งบนตั่งและวอเป็นต้น เที่ยวไป อรรถกถาบางแห่งกล่าวว่า ชาวทวีปนี้และชาวอปรโคยานทวีป นอนบนแผ่นดินได้สบาย ไม่จำเป็นต้องมีบ้านเรือน ก็ได้ สงสัยพื้นดินน่าจะนุ่ม ราบเรียบดีดุจปูด้วยพรหมกระมังยุงเหลือบ ริ้นไรคงจะไม่มีด้วย
    เวลาที่มนุษย์ในทวีปนั้นตายไป พวกญาติก็จะนำเอาผ้าชื่อ สิเวยยกะ ห่อหุ้มคนตายแล้วทิ้งเสีย นกหัสดีลิงค์ทั้งหลาย (มีศีรษะเป็นช้างขนาดใหญ่) กำหนดห่อคนตายนั้นว่า ชิ้นเนื้อ แล้วเฉี่ยวนำไปวางที่ยอดเขาหิมพานต์ เปลื้องออกแล้วกิน
    มนุษย์ในอุตตรกุรุทวีปนี้มีการรักษาศีล 5 เป็นปกติ เมื่อตายไปแล้วย่อมเกิดในเทวโลกแน่นอน แต่เมื่อเวลาที่จุติจากเทวโลกแล้ว อาจไปเกิดในอบายภูมิ 4 หรือ เกิดในทวีปเดิมหรือในทวีปอื่นใดก็ได้ หรือไปเกิดในภูมิใดภูมิหนึ่งตามอำนาจแห่งกรรม จะไม่ไปสู่อบายเพียงชั่วภพถัดไปจากที่กำลังเป็นมนุษย์อุตตรกุรุเท่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถึงลักษณะที่เด่นของชาวอุตตรกุรุไว้ในฐานสูตร ว่า
    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลายมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีป ประเสริฐกว่าเทวดาชั้นดาวดึงส์และพวกมนุษย์ชาวชมพูทวีป ด้วยฐานะ 3 ประการ 3 ประการเป็นไฉน คือ
    1. ไม่มีทุกข์ เพราะตัณหาในกาม
    2. ไม่มีความหวงแหน (ยึดถือในทรัพย์สมบัติ บุตร ภริยา สามี ว่าเป็นของตน)
    3. มีอายุแน่นอน คือ 1,000

    สรุป
    อุตตรกุรุทวีป อายุขัย 1,000 ปี มีความเป็นอยู่สุขสบายมาก เพราะเกิดด้วยอำนาจบุญอันแรง คือ ทำบุญแก่กล้ามาก แต่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ข้าวก็ไม่ต้องปลูก(เมล็ดใหญ่มาก ๆ เมล็ดเดียวอิ่ม) เมื่อเด็ดไป ก็งอกขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น ไม่ต้องปรุง ที่นั้นมีหินชนิดหนึ่ง กลางวันให้ความร้อน นำไปปรุงอาหารได้ กลางคืนให้ความสว่าง ใบหน้าของเขาเป็นรูปสี่เหลี่ยมตัดหมด
    เมื่อจุติจากอุตตรกุรุทวีปจะปฏิสนธิเป็นเทวดาหรือไม่ก็นางฟ้าไปเป็นภูมิรองรับแน่นอนเลย ในชั้นจาตุมหาราชิกาและดาวดึงส์ 2 ชั้นเท่านั้น เพราะบุญที่ทำไว้นี่แรงมาก แล้วอยู่ที่นั่นมีโมหะ แต่ไม่มีโอกาสทำบาป เมื่อหมดบุญจากเทวดา ส่วนใหญ่จะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะชีวิตที่เป็นอยู่เป็นโมหะตลอด
    คนที่นี้ความเป็นอยู่สุขสบาย เพราะว่าเกิดด้วยอำนาจบุญอันแรง คือทำบุญแก่กล้ามาก แต่เป็นบุญที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา เช่น ทำบุญสร้างโบสถ์คนเดียวไม่ยอมให้ใครร่วมเลย


    2. ปุพพวิเทหทวีป
    ปุพพวิเทหทวีป มีพื้นที่ขนาด 7,000 โยชน์ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ ซึ่งเป็นรัตนชาติสีเงินส่องรัศมีฉาบส่องมหาสมุทรทางทิศนี้จนเป็นสีเงิน มีต้นซึก (สีรีสกะ) เป็นไม้ประจำทวีปนี้มีขนาดเท่ากับต้นกัลปพฤกษ์ของชาวอุตตรกุรุ มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีลักษณะใบหน้าตอนบนตัดโค้งมนลง ส่วนล่างคล้ายบาตร ร่างกายใหญ่สูงประมาณ 9 ศอก เด็กแรกคลอดโตขนาดเท่าเด็ก 5 เดือน
    มนุษย์ทวีปนี้ มีสีผิวหลากสี คือ ขาว ดำ สีผสม สีทอง สีด่าง มีอาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม เครื่องประดับคล้ายชาวชมพูทวีป ไม่มีการซื้อขาย รักษาศีลได้ดีกว่า แต่ไม่มีการบรรพชาอุปสมบท ประพฤติพรหมจรรย์ อายุของทวีปนี้ยืน 700 ปี

    สรุป
    ปุพพวิเทหทวีป อายุขัย 700 ปี ใบหน้ารูปทรงบาตรหน้าตัด ชีวิตความเป็นอยู่ต้องดิ้นรน มีแต่ภูเขา ส่วนใหญ่เป็นกลางคืนและมืดมากเนื่องจากได้รับแสงอาทิตย์ค่อนข้างน้อย ผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย สมสู่กันตลอดเวลา ออกลูกแฝดและเสียชีวิตเป็นส่วนใหญ่
    ตายจากที่นี้จะไปนรกเสียมาก เพราะการเกิดได้ที่ปุพพวิเทหทวีปนี่มีปัญญาพอดี แต่เป็นปัญญาทางโลก คือนักวิจัย นักค้นคว้า แล้วก็ไม่มีบุญ เพราะพวกนี้เห็นไหม การทำนี่มันจะต้องทุ่มเทชีวิตอยู่ในห้องวิจัย โอกาสจะแสวงหาบุญก็ไม่มี


    3. อปรโคยานทวีป หรือ อมรโคยานทวีป
    อมรโคยานทวีพื้นที่ขนาด 7,000 โยชน์ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุอันสำเร็จด้วยแก้วผลึก รัศมีแก้วผลึกนั้นจะเปล่งออกฉาบทาหลังมหาสมุทรด้านทิศนี้ ทวีปนี้มีต้นกทัมพะ (ไม้กระทุ่ม) เป็นไม้ประจำทวีปนี้ซึ่งมีขนาดเท่ากับต้นไม้ทวีปอื่น มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีลักษณะใบหน้ากลม คล้ายวงพระจันทร์ มีร่างกายสูงประมาณ 6 ศอก เด็กแรกคลอดมีขนาดเท่าเด็กอายุ 4 เดือน สีผิวมีหลากสีเช่นเดียวกับ ชาวปุพพวิเทหะ มีอาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม เครื่องประดับคล้ายชาวชมพูทวีป แต่ไม่มีการประพฤติพรหมจรรย์ การบรรพชาอุปสมบท อายุมนุษย์ในทวีปนี้ยืน 500 ปี

    สรุป
    อมรโคยานทวีป ไม่มีบุญแล้วก็ไม่มีปัญญา ความเป็นอยู่แบบป่าเถื่อน ชอบกินของสด ๆ คาว ๆ ชอบกินเนื้อคน ไม่กินเนื้อสัตว์อื่น ออกลูกแล้วกินลูกตัวเองเป็นอาหาร บางคนต้องหลบหนีไปออกลูกบนเขา

    * สองพวกนี้ คือมนุษย์ในปุพพวิเทหทวีป และ อมรโคยานทวีป ในพระไตรปิฏกไม่ได้อธิบายมากมาย เพราะว่าไม่เป็นเรื่องน่านิยม อุตตรกุรุทวีปนี่เป็นเรื่องน่าศึกษาเพราะไปด้วยบุญและมีโอกาสไปเป็นเทวดา และเผื่อตั้งตนไว้ชอบ ไปเจออาจารย์ดีมันก็มีโอกาสเปลี่ยนจริต ส่วนอีก 2 ทวีปนั้นมีโมหจริตและวิตกจริตเสียมาก ไม่มีโอกาสที่จะแก้ไข ห่างไกลรัศมีพระธรรม ถึงมีโอกาสเกิดในชมพูทวีป ตอนพระพุทธเจ้าประกาสศาสนาก็จะเป็นพวกเดียรถีย์หรือไม่ก็นิยตมิจฉาทิฏฐิเสียมาก


    4. ชมพูทวีป

    ชมพูทวีป มีพื้นที่ขนาด 10,000 โยชน์ ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุซึ่งสำเร็จด้วยแก้วมณี รัศมีแก้วมณีนั้นจะเปล่งออกฉาบทาหลังมหาสมุทรด้านทิศนี้ ต้นชมพูหรือไม้หว้าชื่อ นคะ เป็นไม้ประจำชมพูทวีปมีขนาดเท่ากับต้นไม้ประจำทวีปอื่นที่กล่าวมาแล้ว ใต้กิ่งหว้าทั้ง 4 นั้น เป็นแม่น้ำใหญ่ไหลผ่านไปในทิศทั้งหลาย ผลหว้ามีกลิ่นหอม รสหวานปานน้ำผึ้ง หมู่นกทั้งหลายชวนกันมากินผลหว้าสุกนั้น บางทีผลสุกก็หล่นลงตามฝั่งแม่น้ำ แล้วงอกออกเป็นเนื้อทอง และถูกน้ำพัดออกไปจมลงในมหาสมุทร เรียกทองนั้นว่า ทองชมพูนุท เพราะอาศัยเกิดมาจากชมพูนที (แม่น้ำชมพู)
    มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้มีลักษณะใบหน้าเป็นรูปไข่ กำหนดอายุขัยไม่แน่นอน โดยความยิ่งหย่อนในคุณธรรม สมัยใดเพียบพร้อมยิ่งด้วยคุณธรรม สมัยนั้นก็จะมีอายุน้อยถอยลงมาจนถึง 10 ปี แล้วจึงเริ่มขัยใหม่อีกครั้ง
    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงคุณสมบัติของมนุษย์ชาวชมพูทวีปไว้ 3 ประการ คือ
    1.เป็นผู้กล้า
    2.เป็นผู้มีสติ
    3.เป็นผู้อยู่ประพฤติพรหมจรรย์อันเยี่ยม
    คุณสมบัติข้อที่ 1 เป็นข้อสำคัญในการที่จะทำให้อายุขัยของชาวชมพูทวีป ขึ้นลงไม่แน่นอน เพราะมนุษย์ชาวชมพูทวีป เป็นผู้กล้าหาญในการทำความดีและในการทำความชั่วได้ถึงที่สุด คือ ถ้าทำความดีทำกุศลไว้มาก กุศลเจริญ อายุขัยก็จะเจริญขึ้น ถ้าทำความชั่วอกุศลเจริญ อายุขัยก็จะลดลง และในการทำความดีนั้นก็สามารถทำดีได้สูงสุดจนสิ้นกิเลส ไปสู่ที่สุดโลกเบื้อบนคือพระนิพพาน เสวยบรมสุขสิ้นกาลนาน ถ้าทำความชั่วมากจนภพสามรองรับไม่ได้ ก็ไปที่สุดโลกเบื้อต่ำจากภพสามที่เรียกว่า โลกันต์ เสวยทุกข์ยาวนานไม่มีกำหนด
    คุณสมบัติข้อที่ 2 เป็นผู้มีสติมั่นคง เพราะชมพูทวีปมีทั้งดีและชั่ว มีทั้งสุขและทุกข์ปนกันไป ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลง เป็นเหตุให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ไม่เหมือนชาวทวีปอื่นหรือพวกเทวดาซึ่งมีสุขมากมีกามคุณอันเลิศโดยส่วนเดียวทำให้ขาดสติได้บ่อยๆ ส่วนมากสัตว์นรกก็มีแต่ทุกข์โดยส่วนเดียว
    คุณสมบัติข้อที่ 3 เป็นผู้อยู่ประพฤติพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม หมายความว่าการอยู่ประพฤติมรรคพรหมจรรย์ประกอบด้วยองค์แปด (มรรคมีองค์ 8) ย่อมมีในที่นี้เท่านั้น เพราะพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้า อุบัติขึ้นในชมพูทวีป ทำให้สามารถประพฤติพรหมจรรย์ให้ถึงที่สุดได้
    โลกมนุษย์ที่เราอยู่ปัจจุบันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของชมพูทวีป สมัยพุทธกาลท่านกำหนดเอาเพียงเขตอินเดียโบราณ แต่มนุษย์ชมพูทวีปที่เหลือที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ว่ามีทวีปเล็กอีก 500 ทวีป ซึ่งเราก็ยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด ต้นไม้ประจำทวีปคือ ต้นหว้าชื่อ นคะ อยู่ที่ใด ปัจจุบันยังอยู่หรือไม่ เป็นสิ่งที่น่าศึกษาอย่างยิ่งด้วยการเจริญสมาธิ(Meditation)ภาวนา มนุษย์เราปัจุบันเจริญด้วยวัตถุหยาบ ไม่เจริญทางด้านจิตใจ จะพิสูน์อะไรก็มักจะพิสูจน์กันด้วยวัตถุหยาบๆ ที่ตามองเป็นได้ ถ้าตามองเห็นไม่ได้ก็ปฏิเสธว่าไม่มี ใช้ตากับสมองหยาบหาความรู้เท่านั้น จนลืมไปว่า ช่องทางสำหรับรับรู้อีกตั้ง 5 ทางยังมีอยู่อีก โดยเฉพาะทางใจ ซึ่งอยู่ในตน ตนเองใช้ตลอดเวลาเพียงแต่หากได้รับการฝึกฝนด้วยการเจริญสมาธิภาวนาแล้ว ก็จะเป็นเครื่องมือหาความรู้ได้ไม่จำกัด


    เมื่อกล่าวโดยรวมแล้วมนุษย์ใน 3 ทวีปข้างต้น เฉพาะแต่ละทวีป มีรูปร่าง สัณฐาน หน้าตา อยู่ในลักษณะเดียวกัน ต่างกันที่ขนาด ความได้สัดส่วน และความประณีตสวยงาม ความสวยงามของผู้คนใน 3 ทวีป (ยกเว้นชมพูทวีป) มีความสวยงามไม่แตกต่างกัน เนื่องจากมนุษย์โดยทั่วไป มีคุณธรรมในจิตใจเสมอเหมือนกัน เฉพาะในชมพูทวีปเท่านั้นที่ผู้คนมีความสวยงามมากน้อยต่างกัน ตามแต่กุศลกรรมที่ตัวเองได้ทำไว้ในอดีต
    อายุมนุษย์ ทวีปทั้ง 4 ในช่วงแรกที่โลกมนุษย์เจริญ หรือในช่วงที่มีมนุษย์ต้นกัปนั้น ไม่ว่ามนุษย์ในทวีปใด ก็มีอายุถึงอสงไขยปีทั้งสิ้น เพราะจิตใจของคนในสมัยนั้นมีกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ เบาบาง ทำให้สิ่งแวดล้อม ดิน ฟ้า อากาศ และอาหารของมนุษย์สมบูรณ์ จึงเป็นเหตุให้อายุมนุษย์ยืนยาว
    ครั้นต่อมามนุษย์ในทวีปทั้ง 4 มีอกุศลจิตเกิดขึ้น ทำให้สิ่งแวดล้อมต่างๆ เริ่มเปลี่ยนแปลงผิดปกติไปจากเดิม กล่าวคือ เมื่อหนาวก็หนาวเกิน เมื่อร้อนก็ร้อนเกิน ฝนก็ไม่ตกตามฤดูกาล คุณค่าทางอาหารก็ลดน้อยลง สิ่งเหล่านี้ทำให้อายุของมนุษย์ลดลงตามลำดับ เมื่ออายุขัยลดลงถึง 1,000 ปี มนุษย์ที่อยู่ในอุตตรกุรุทวีปก็คงที่เพียงนั้น ไม่ลดลงอีก เพราะไม่มีกิเลสเพิ่มขึ้นอีก ในทำนองเดียวกัน อายุขัยของมนุษย์ที่อยู่ในปุพพวิเทหทวีปคงที่อยู่ที่ 700 ปี ที่อปรโคยานทวีป อายุขัยของมนุษย์คงที่อยู่ที่ 500 ปี คงไว้แต่ชมพูทวีปเท่านั้น ที่อายุขัยของมนุษย์ยังคงลดลงเรื่อยๆ เพราะมีกิเลสกล้าไม่สิ้นสุด และจะลดลงจนกระทั่งเหลือ 10 ปี อาหารทั้งหลายที่รสดีจะหมดไป สิ่งแวดล้อมจะเสื่อมโทรม อันตรกัปใดคนในชมพูทวีปมีโลภะกล้าแข็ง ก็จะตายด้วยความอดอยาก เพราะไม่มีอาหารจะกิน เรียกว่า ทุพภิกขันตรกัป
    อันตรกัปใดผู้คนมีโทสะกล้าแข็ง ผู้คนก็จะเห็นกันคล้ายเห็นพวกสัตว์ที่เป็นอาหารเหมือนนายพรานเห็นเนื้อ ก็จะหยิบจับสิ่งใดจะกลายเป็นศาสตราอาวุธทันที ฆ่าฟันกันเองจนเกิดการนองเลือดตลอด 7 วัน ยุคนี้เรียกว่า สัตถันตรกัป เพราะคนตายด้วยศาสตราอาวุธ หรือยุคมิคสัญญี เพราะมีความสำคัญกันว่าเป็นสัตว์
    อันตรกัปใดผู้คนมีโมหะกล้าแข็ง ก็จะเกิดโรคภัยไข้เจ็บรุนแรง มนุษย์ก็จะตายด้วยโรคยุคนี้เรียกว่า โรคันตรกัป เพราะตายด้วยโรคระบาด
    ในกาลนั้นจะมีมนุษย์บางกลุ่ม หลบหนีซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาห่างไกล เกิดความสลดใจ จึงเริ่มประกอบกุศลอีกครั้ง ซึ่งมีผลทำให้อายุขัยของมนุษย์เพิ่มขึ้น และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงอสงไขยปี อายุขัยของคนในชมพูทวีปจะขึ้นลงอยู่อย่างนี้ตามอำนาจกิเลสที่แรงกล้าหรือเบาบางของมนุษย์ในแต่ละยุค เรื่องนี้มีหลักฐานปรากฏอยู่ในจักกวัตติสูตร นักศึกษาควรหาโอกาสศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม


    296fdde1cd55120c40233d6fb1e12327_d25vj52.jpg
     
  9. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,096
    ค่าพลัง:
    +16,623
    ใครจะฝากคำถามอะไร PM ไว้นะครับ เดี๋ยวรอบเย็นมาเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟัง;)
     
  10. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,096
    ค่าพลัง:
    +16,623
    พูดคุยรอบเย็น

    อันนี้ก็ลังเลอยู่ว่าจะเล่าหรือไม่เล่าดี เพราะเป็นประสบการณ์ส่วนตัวด้วย แต่ในทางไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ เนื่องจากเหมือนตัวเราทำในเรื่องที่เทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ชอบ ก็จะเล่าให้ฟังถือว่าเจริญสติกันไว้อีกเรื่องนึง อันนี้อ่านแล้วคิดตามดีๆนะครับ


    อย่างที่ทราบส่วนตัวผมมักจะชอบของเสน่ห์ชอบเรื่องผู้หญิง พี่ๆหลายคนที่ทักมาทุกวันจะรู้ดีว่าเรามีเรื่องกุ้กกิ้กเป็นกิจวัตรประจำในชีวิต จนบางครั้งมันลืมคิด ลืมใส่ใจอะไรหลายๆอย่างไป เรียกว่าตัวเองคิดไม่ถึงด้วยก็ได้ไม่ผิด เพราะสายตาเริ่มสั้นหนักมากขึ้นและมีอาการท้องผูกจนต้องทานยาประจำ เราก็คิดว่ามันเป็นแค่โรค ก็รักษาก็ดูแลไปตามอาการ

    พูดอย่างไม่อายเลยคือเราเปลี่ยนแฟนบ่อย ผิดศีลกาเมนี่แหละ คำว่าบ่อยของผมมันน่าจะถี่จนหลายคนคิดไม่ถึงนั่นแหละ แต่ไม่ใช่เรานึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน มันเป็นลักษณะที่คบแล้วไม่ทน รู้สึกร้อนรู้สึกรำคาญมากกว่า ทีนี้เรื่องแบบนี้ไอ้เรื่องศีลกาเมนี่ เทวดาเค้าไม่ชอบ พ่ออาจารย์ท่านก็เตือนว่าให้ขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่รักษาตัวเราซะ เพราะว่าเราเวลาอยู่ใกล้ผู้หญิงจะรู้สึกร้อนวูบวาบ บางครั้งก็จะมีอารมณ์รุนแรงอยู่ดีๆก็รู้สึกรำคา่ญรู้สึกรังเกียจเค้าขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่เจอทำให้เลิกกันไป

    ท่านว่าเราเป็นเช่นนี้มาหลายปีทำไมถึงไม่รู้ตัวอีก อย่างเรื่องของผมนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่พ่ออาจารย์ท่านจะพูดหรือเตือนได้ ท่านว่าครูเทพท่านขอไม่ให้พูด แต่ท่านจำเป็นต้องพูดเพราะว่าสุขภาพเราเลวลงในระยะสั้นๆ ท่านว่าถ้าท่านไม่พูดปีนี้อย่างน้อยก็ต้องผ่าตัดแน่นอน

    ในกรณีของผมท่านว่าเทวดาท่านหวงร่างมนุษย์ ยิ่งเปลี่ยนยิ่งหาใครมาก็มีแต่จะแย่ลงเพราะข้างในเค้าไม่เอา ไม่เอาเด็ดขาด ไม่อยากข้องเกี่ยวเลยจริงๆ ท่านว่าเค้าเตือนแบบของเค้าหลายหนแล้วแต่เราไม่เข้าใจของเราเองทั้งอาการร้อนวูบวาบเวลาอยู่ใกล้สตรีเพศ หรือเวลาคิดจะทำเรื่องศีลกาเมพวกนี้จะขนลุกขนชันมีอาการเกร็ง บางครั้งเดินๆอยู่ก็เหมือนฟ้าผ่าฟ้าลง ท่านว่านี่เป็นการเตือนแล้วและเตือนถี่มาก แต่เพราะเค้าไม่ได้เตือนตรงๆ กลับแสดงให้เห็นปฏิกิริยาออกมาซ้ำๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีกซึ่งเราไม่ได้เฉลียวใจคิด

    ท่านก็เลยให้ขอขมาเทวดาที่รักษาร่างกายตลอดจนครูบาอาจารย์เรา ตั้งบายศรีขนมนมเนยเล็กน้อย ท่านว่าแก้น่ะมันง่ายเพราะครูบาอาจารย์ เทวดาท่านไม่ได้ถือโกรธ แค่ท่านไม่อยากให้เราทำ การขอขมามันเป็นเรื่องง่าย แต่ที่ยากคือการเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองเพราะเราทำซ้ำซากมานาน อันนี้ก็เป็นเรื่องของผมแล้วที่จะต้องปรับปรุงตัวเองให้ค่อยๆดีขึ้น

    เนี่ยโดยปกติ ส่วนตัวเราจะชอบของเสน่ห์ เอามาใช้ก็ได้ผลดีด้วยไม่ใช่ใช้ไม่ได้ แต่ตัวเองก็เดินมาสายบารมีไหว้พระสวดมนต์ฝึกภาวนาสมาธิมา เรื่องบางเรื่องมันก็ขัดกันเองโดยไม่ทันคิดว่าตัวเองต่างจากคนอื่น ดวงเรานี่ถึงมีคู่ครองก็ยุ่งหรือทำเรื่องแบบนั้นไม่ได้เหมือนเป็นคู่บารมีอยู่ด้วยกันเท่านั้น ยิ่งนอนกับผู้หญิงแล้วมาสวดมนต์นั่งภาวนาทำกรรมฐานมันก็ไม่ใช่เรื่อง ในอดีตเราไม่เคยยุ่งกับเรื่องพวกนี้เลยท่านว่าตอนนั้นครูบาอาจารย์เทวดาท่านก็พึงใจโปรดปรานความคิด ชอบร่างกายนี้ พอเราเปลี่ยนไปครูบาอาจารย์ท่านก็เลยต้องการเตือนให้เรารู้ได้ด้วยตัวเอง แต่สิ่งที่ควรรู้มันกลับไม่รู้ บางครั้งมันไม่ได้คิดไง ไม่ได้เฉลียวใจเลยจริงๆเพราะเรามองตัวเองในบรรทัดฐานของคนทั่วไป มองว่าเค้าทำกันได้เราก็ทำ คิดแค่ว่าเอ้ะทำไมสายตาเราสั้นลงขนาดนี้แค่ปีเดียวมองชัดๆกลายเป็นฝ้าขาวๆแล้ว ทีนี้ก้ไม่ได้คิดเรื่องปรับปรุงตัว คิดแต่จะเข้าฌาณคิดแต่จะใช้กรรมฐานหวังว่าจะบำบัดโรค ทำให้สายตาการมองเห็นเราดีขึ้นโดยลืมมองภาพรวมตัวเองไปว่ามีนิสัยเสียอะไรที่ไม่ได้แก้

    เรื่องก็เป็นเช่นนี้เอามาเล่ากันไว้ให้เจริญสติ นี่ก็ขอขมาพยายามปรับการใช้ชีวิตตัวเองอยู่ มันก็น่าแปลกที่สายตากลับมามองเห็นชัดขึ้นอย่างน่าประหลาด ถึงยังไม่เหมือนเดิมเพราะเพิ่งรู้ เพิ่งทำไม่นาน แต่ว่ามันก็ดีขึ้น ผมเชื่อว่าหลายท่านนะที่ชีวิตมีอะไรเปลี่ยนไป บางครั้งเราไม่สามารถโทษเทวดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ เพราะเราไม่ได้สำรวจความประพฤติตัวเอง ด้วยคิดว่าเราก็ทำบุญเป็นปกติ สวดมนต์ภาวนาแผ่เมตตาเสมอ แต่เผลอละเมิดศีลแล้วสิ่งที่ละเมิดก็เป็นเรื่องที่จิตที่เค้าอยู่กับเรา เทวดาหรือครูพระครูเทพท่านรังเกียจด้วยนั่นเอง ลองมองตัวเอง สำรวจตัวเองดูกันนะครับ เรื่องศีล 5 นี่สำคัญเลย ไม่จำเป็นก็อย่าละเมิด เดี๋ยวครูท่านจะลงโทษแบบผมนี่แหละ เป็นกรณีศึกษาที่ดี


    1773_eb75.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กุมภาพันธ์ 2017
  11. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,096
    ค่าพลัง:
    +16,623
    อาหาร

    สวัสดีตอนเช้านะครับ วันนี้ก็จะยกเรื่องหนึ่งมาคุยกัน พอดีมีคนชวนไปกราบพระทางเหนือ แล้วมาบอกว่าองค์นี้น่ากราบพูดทำนองว่าคนไปเยอะมากทั้งจากทัวร์ จากต่างประเทศเลย เป็นพระที่เคร่งมากไม่ฉันเนื้อสัตว์เลย คนเลยนับถือเยอะ ให้เราดูรูปเราก็เห็นว่าหลวงพี่องค์นี้ก็ยังหนุ่มอยู่มาก หลายๆทีเรามักจะเห็นว่าพระภิกษุที่เคร่งบางครั้งก็มักจะใช้ความเคร่งจุดใดจุดหนึ่งเรียกว่าใช้เป็นจุดขายให้คนสนใจได้ดี พอมีศรัทธาญาติโยมลาภสักการะก็จะไหลมามากมาย ในจุดนี้เรื่องการฉันอาหาร ความจริงน่าจะหยิบมาพูดกันอยู่ เพราะพ่อแม่ครูอาจารย์ที่เคยสอบถามท่านทั้งหลายไว้ ท่านก็เห็นว่าไม่ใช่สาระ ไม่ได้ทำให้มีอะไรพิเศษขึ้นมา แต่ก็มีคนถือเป็นจริงเป็นจังอยู่ ส่วนใหญ่คนที่กินเจนี่แหละจะรู้สึกศรัทธาและอัศจรรย์กับวัตรปฏิบัติเหล่านี้มาก วันนี้ก็เลยเอาบทความที่หลวงพ่อฤาษีได้แสดงไว้มาลงให้อ่านกัน ซ่งหากอ่านแล้วพิจารณาดีๆแล้ว เราจะเห็นอะไรหลายๆอย่างที่เป็นคำตอบอยู่ในตัวมันเองได้ดี


    เนื่องด้วยข้าพเจ้าเป็นคนแปลกอยู่อย่างหนึ่ง คือ หากได้สนใจในเรื่องใดขึ้นมาแล้ว ก็จะทุ่มเทให้กับสิ่งนั้นอย่างที่สุด จะไม่ยอมปล่อยให้กาลเวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ จนกว่าจะได้บรรลุถึงจุดๆหนึ่งที่ตนพอใจแล้วเท่านั้น จึงจะยอมเลิกราได้

    นี่ก็เช่นเดียวกัน เมื่อข้าพเจ้าเกิดความสนใจในพระพุทธศาสนาขึ้นมา และโชคดีได้ประสบพบท่านหลวงพ่อด้วย

    ข้าพเจ้าก็ยิ่งปลื้มปิติและตั้งปณิธานเอาไว้ ข้าพเจ้าจะทุ่มสุดตัวเพื่อค้นคว้าหาความกระจ่างในพระพุทธศาสนาให้ได้ ดังนั้นทุกครั้งที่ข้าพเจ้าถามปัญหาและหลวงพ่ออธิบายตอบ ข้าพเจ้าจะไม่ยอมจบสิ้นเลิกราเอาง่ายๆเหมือนเช่นผู้อื่น

    หากแต่เมื่อจากหลวงพ่อกลับถึงบ้านแล้ว ข้าพเจ้าจะนั่งพิจารณาทบทวนขบคิดถึงปัญหาและคำตอบของหลวงพ่ออย่างละเอียดและรอบคอบ ด้วยเหตุและเสมอมาทุกครั้ง

    ด้วยเหตุนี้เองข้าพเจ้าจะเข้าใจในคำอธิบายได้เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ยังไม่กระจ่างชัดไปเสียหมดทีเดียว มิหนำซ้ำกลับดูเหมือนว่าความเคลือบแคลงสงสัยอยากที่จะได้รับรู้รับฟัง ยังมีอีกมากมาย


    โดยเฉพาะในเรื่องของพระสงฆ์นั่นเอง ข้าพเจ้าเคยได้ยินผู้คนเขาพูดวิพากษ์วิจารณ์กันมากมายเหลือเกิน อาทิเช่นบางคนพูดว่า

    “พระที่ฉันเคารพกราบไหว้นั้นจะต้องเป็นพระที่เคร่งวินัย ต้องรู้จักสำรวมในการพูด มิใช่พูดไปหัวเราะไป หรือพูดกระเซ้าเหย้าแหย่ลูกศิษย์ลูกหา”

    บางคนก็พูดว่า “พระที่ฉันเคารพนั้นจะต้องเป็นพระที่ไม่ฉันเนื้อสัตว์เป็นอาหาร” บางคนพูดว่า “พระที่ฉันเคารพกราบไหว้ทุกวันนี้ ท่านนอนกระดานแผ่นเดียวเชียวนะ มิหนำซ้ำฉันอาหารรวมในบาตรเดียว และมื้อเดียวด้วย และไม่ยอมจับเงินเสียด้วย”


    บางคนพูดว่า “พระองค์ที่ฉันเคารพกราบไว้ทุกวันนี้ ท่านให้หวยแม่นี่สุดเลย รถเก๋งจอดกันแน่นที่วัดทุกวันทีเดียวนะ” เป็นต้น


    ด้วยเหตุนี้ ในวันหนึ่งข้าพเจ้าจึงถือโอกาสถามหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับ โดยทั่วๆไปแล้วเราควรจะเคารพกราบไหว้พระที่เคร่งในวินัยและสำรวมในการพูด มากกว่าพระที่ไม่สำรวมใช่ไหมครับ ?”

    “เออ!..ถามดี ตอนนี้คุณกำลังเรียนอยู่ในโรงเรียนผู้บังคับฝูงใช่ไหม?” หลวงพ่อย้อนถาม

    “ครับ” ข้าพเจ้าตอบ ชักลังเล

    “นักเรียนในโรงเรียนผู้บังคับฝูงรุ่นของคุณนั้นมีกี่คน” หลวงถามต่อ

    “มีประมาณ ๑๖๐ คนครับ” ข้าพเจ้าตอบไป ชักงงหนัก

    “ทั้ง ๑๖๐ คนจบจากโรงเรียนนายทหารหลักอย่างคุณทั้งหมดไหม?” หลวงพ่อถามต่อ

    "ไม่หรอกครับ ปะปนกัน มีทั้งจบโรงเรียนนายร้อย จปร. นายเรือ นายเรืออากาศก็มี จบจากมหาวิทยาลัยในเมืองไทยก็มี เมืองนอกก็มี และเลื่อนยศขึ้นมาจากนายทหารชั้นประทวนก็มีครับ รวมความว่ามีทั้งไม่ได้ปริญญา ได้อนุปริญญา ปริญญาตรีก็มี ปริญญาโทก็มีและปริญญาเอกก็มีครับ” ข้าพเจ้าตอบอย่างละเอียด ไม่ทราบว่าหลวงพ่อจะมารูปแบบใด

    “อ้อ!..แล้วนักเรียนจำพวกไหนที่ขยันที่สุด คร่ำเคร่งในการดูตำรับตำรามากที่สุดล่ะ” หลวงพ่อถามเรื่อยๆ ทำให้ข้าพเจ้าต้องใคร่ครวญอยู่นานพอสมควร จึงตอบไปตามที่รู้ที่เห็นว่า

    “พวกที่คร่ำเคร่งดูตำรับตำราและตั้งอกตั้งใจฟังครูสอนมากที่สุดก็คือพวกที่เขาเลื่อนมาจากนายทหารชั้นประทวนครับ เพราะเขาไม่ค่อยเข้าใจและฟังครูสอนไม่ทัน”

    “แล้วพวกคุณที่จบจากโรงเรียนนายทหารหลักล่ะ” หลวงพ่อถามต่อ

    “ผมก็ฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง เรียนบ้างไม่เรียนบ้าง แล้วแต่ว่าวิชาไหนน่าสนใจหรือไม่ แต่ความจริงแล้วครูก็ว่าไปตามตำราไม่ต้องฟัง อ่านเอาเองทีเดียวก็จำได้ครับ” ข้าพเจ้าตอบไปตามความเป็นจริง

    “เออ!..นั่นแหละ พระท่านที่ท่านเคร่งนั้นเป็นเพราะเพิ่งจะเริ่มฝึกปฏิบัติ ยังไม่มีปัญญาพอ เกรงว่า ตา หู ลิ้น กาย ใจ ไปสัมผัสอะไรเข้าแล้วมาบอกจิตที่ยังขาดปัญญา ก็จะเกิดความโลภ โกรธ หลง คือ กิเลส หรือความทะเยอทยานอยากจะได้ อยากจะมี อยากจะเป็น คือ ตัณหา หรือเกิด อุปาทาน ความหลงเอาว่าไอนั้นเป็นของเรา ไอ้นี่เป็นของเราเข้าได้ ท่านจึงต้องปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของท่านเสีย จึงดูเหมือนเป็นพระเคร่งในสายตาคนทั่วไปเท่านั้นเอง

    เหมือนนายทหารชั้นประทวนที่เลื่อนชั้นยศขึ้นมาตามคุณเล่านั่นแหละ ส่วนพระที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าบรรลุมรรคผลมีปัญญาแล้ว ท่านมีสติอยู่ตลอดเวลา ท่านก็ทำตัวสบายๆ ไม่จำเป็นต้องระวังอะไรมากมาย ดังเช่นพระสารีบุตร ท่านก็เล่นกับเด็กนะเหมือนพวกคุณ ก็ไม่เห็นต้องเรียนต้องฟังอะไรจากครูมากมายนั่นแหละ ดังนั้นจึงจะรีบด่วนสรุปเอาว่าพระที่เคร่งพระสำรวม เหนือหว่าพระที่ไม่สำรวมยังไม่ได้นะ” หลวงพ่อตอบย่างเมตตา

    “แล้วพระที่ไม่ฉันเนื้อสัตว์ ฉันอาหารมื้อเดียว หรือฉันอาหารสำรวมในบาตรเดียวล่ะครับ จะถือว่าเหนือกว่าพระที่ฉันอาหาร ๒มื้อไหมครับ ?” ข้าพเจ้าถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

    “พระพุทธเจ้าท่านห้ามมิให้พระสงฆ์สาวกของท่านฉันเนื้อเพียงเฉพาะบางประเภท เช่น เนื้อมนุษย์ เนื้อสุนัข เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้อเสือ มิได้พาดพิงไปถึงเนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อปลา ซึ่งเป็นอาหารหลักของชาวโลกนะ อีกทั้งยังทรงย้ำว่าพระสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์นั้น จะต้องกระทำตนให้เป็นผู้เลี้ยงง่าย อย่าให้ชาวบ้านเขาเดือดร้อน

    ส่วนการที่จะฉันมื้อเดียวก็ดี หรือฉันอาหารสองมื้อก็ดี พระพุทธเจ้าก็ทรงมิได้กำหนดไว้ เป็นเรื่องของเกจิอาจาร์ยแต่ละท่านวางกำหนดกฎเกณฑ์ทั้งสิ้น

    จะเอาเรื่องการฉันเนื้อไม่ฉันเนื้อก็ดี ฉันมื้อเดียวก็ดี หรือฉันอาหารสองมื้อก็ดี หรือการฉันสำรวมในบาตรเดียวทั้งของหวานขอคาวมาคลุกเคล้ากันก็ดี มาเป็นเครื่องวัดว่าพระภิกษุรูปใดยังไม่ได้นะ มันอยู่ที่ว่าท่านเหล่านั้นในขณะที่เสพอาหาร มีสติพิจารณา “อาหาเรปฏิกูลสัญญา” หรือไม่ต่างหาก ” หลวงพ่ออธิบาย

    “อาหาเรปฏิกูลสัญญา นั้นพิจารณาอะไรครับหลวงพ่อ ?”ข้าพเจ้าถามอย่างสนใจ

    “พิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญา ก็คือ พิจารณาอาหารที่ขบฉันให้เห็นว่าเป็นของน่าเกลียด อาหารใดก็ตามแม้นลิ้นสัมผัสแล้วจะเลิศรสเพียงไร หากขบเคี้ยวแล้วคายออกมาดูจะเห็นว่าน่ารังเกียจ ยิ่งเมื่อกลืนเข้าไปในท้องแล้วสำรอกออกมาดูจะเห็นว่าน่าเกลียดมาก และยิ่งหากปล่อยทิ้งไว้ถ่ายออกมาดูก็ยิ่งน่าเกลียดที่สุดใช่ไหม

    ดังนั้นพระภิกษุสงฆ์รูปใดฉันมังสวิรัติ (ไม่ฉันเนื้อสัตว์)ก็ดี หรือฉันอาหาคาวหวานคลุกเคล้ารวมในบาตรเดียวกันก็ดี หรือฉันอาหารมื้อเดียวก็ดี หากมิได้พิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญาแล้ว เกิดไปติดในรสในรสชาติอาหารมังสวิรัติก็ดี อาหารคาวหวานที่คลุกรวมในบาตรก็ดี หรืออาหารเพียงมื้อเดียวที่ขบฉันก็ดีย่อมสู้พระภิกษุฉันอาหาร ๒ มื้อ แต่พิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญาทั้ง ๒ มื้อไม่ได้” หลวงพ่ออธิบายเรื่อยๆ แล้วพูดต่อว่า


    “อาหาเรปฏิกูลสัญญานั้น นอกจากจะพิจารณาว่าอาหารที่ขบฉันเป็นของน่าเกลียดแล้ว จะต้องพิจารณาต่อไปอีกด้วยว่า บรรดาอาหารเหล่านั้นจะมีรสเลิศหรือไม่ก็ดี จะถูกหรือแพงก็ดี จะเป็นมังสวิรัติก็ดี จะเป็นเนื้อสัตว์ก็ดี จะเป็นอาหารที่รวมคาวหวานในบาตรเดียวก็ดี เรากินเพียงเพื่อให้ร่างกายคงอัตภาพ อยู่ได้เพียงชั่วคราว เพื่อจะได้บำเพ็ญความเพียรไปสู้มรรคผลนิพพานได้เท่านั้นเองนะ

    สรุปได้ว่าภิกษุท่านใดอยากฉันมังสวิรัติ ภิกษุท่านใดอยากฉันอาหารคาวหวานคลุกเคล้าในบาตรเดียวกัน ภิกษุท่านใดอยากฉันมื้อเดียว หรือภิกษุท่านใดอยากฉัน ๒มื้อ ก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวของแต่ละท่าน แต่อย่าได้นำวิธีการขบฉันของตนไปข่มหรือปรามาสภิกษุสงฆ์ท่านอื่นเป็นอันขาดนะ นรกเล่นงานแน่ เพราะพระพุทธเจ้ามิได้กำหนดเกณฑ์ไว้นะ” หลวงพ่ออธิบายอย่างละเอียด

    “แล้ว พระที่นอนกระดานแผ่นเดียวล่ะครับหลวงพ่อ” ข้าพเจ้าถามเพราะเคยได้ยินมา

    “ก็ถ้าท่านคิดว่านอนบนกระดานแผ่นเดียว จะสามารถปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานได้ ก็เป็นเรื่องของท่านนะ” หลวงพ่อตอบขำๆ และพูดต่อว่า “แต่ถ้านอนกระดานแผ่นเดียวด้วยเจตนาหวังให้สานุศิษย์ยกย่องสรรเสริญ อีกทั้งยกตนข่มพระภิกษุสงฆ์รูปอื่นว่าสู้ตนไม่ได้ละก็ ลงนรกนะ เข้าใจรึยังล่ะ”


    “เข้าใจครับ คราวนี้ที่เขาว่า พระธรรมยุตเคร่งกว่าพระมหานิกาย โดยเฉพาะท่านไม่ยอมแม้แต่จับเงินด้วยซ้ำไปล่ะครับ” ข้าพเจ้ารีบฉวยโอกาสถามต่อ


    “ทั้งพระธรรมยุต และพระมหานิกายนั้น ก็ล้วนถูกจัดเข้าเป็นพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน ถ้าปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติควร ปฏิบัติชอบ และเพียรพยายามปฏิบัติเพื่อไปสู่มรรคผลนิพพานนะเรื่องความเคร่งไม่เคร่งนั้น ฉันได้อธิบายไปแล้วว่าอย่าเอามาเป็นเครื่องวัดพระมิได้เป็นอันขาด

    ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับว่าถ้าพระที่ไม่ได้จับเงินเอง แต่ให้ผู้อื่นจับแทนแล้วไปสั่งให้เขานำเงินไปใช้ผิดความประสงค์ของผู้บริจาค นรกเล่นงานแน่ สู้พระท่านจับเอง หากมิได้มีจิตโลภในทรัพย์สินเงินทอง และนำเงินที่ได้ไปบริจาคไปสร้าง ไปทำตามความประสงค์ของผู้บริจาค ” หลวงพ่ออธิบาย

    และเมื่อเห็นข้าพเจ้าสนใจอยู่ก็พูดต่อว่า “พระธรรมยุตนั้นท่านจะปฏิบัติของท่านเช่นไร ก็เป็นเรื่องของท่าน แต่ถ้าเมื่อใดท่านหลงผิดว่าท่านเหนือกว่าพระมหานิกายเมื่อใดแล้ว ท่านจะไม่มีวันบรรลุมรรคผลนิพพาน หลุดพ้นจากวัฏฏะได้เลยนะ

    เพราะท่านยังติดในสังโยชน์ ๑๐ คือมานะ ซึ่งหมายถึงความว่ามีอารมณ์ถือตัวถือตน ถือชั้นวรรณะเกินพอดี นั้นแหละ ดังนั้นฉันจึงขอย้ำตามที่เคยได้ตอบไปแล้วว่า พระที่ควรแก่การเคารพกราบไหว้นั้น จะต้องเป็นพระที่มีความประพฤติประกอบความเพียรเพื่อหวังบรรลุมรรคผลนิพพาน ด้วยการละสังโยชน์ ๑๐ ไปทีละข้อ จนเป็นพระอรหันต์ได้ในที่สุดนั่นเอง เข้าใจหรือยัง ? ” หลวงพ่อย้ำ


    “เข้าใจแล้วครับ” ข้าพเจ้าตอบ คิดๆจะถามเรื่องให้หวยอยู่เหมือนกัน แต่คำตอบของหลวงพ่อเกี่ยวกับพระสงฆ์ที่แท้จริงนั้นได้ระบุไว้อย่างชัดแจ้งแล้ว จนสามารถตอบได้เอาเองว่า “พระที่ให้หวยนั้นยังฝักใฝ่ในโลกียะ มิใช่โลกุตระ และยังมิได้ประพฤติปฏิบัติตนตรงตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อไปสู่มรรคผลนิพพานอย่างจริงจัง มิควรแก่การสนใจ”



    อาหาเรปฏิกูลสัญญา

    ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกมีความถนัดและพิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญาเป็นประจำ ก่อนทานอาหารทุกครั้งต้องพิจารณาเสียก่อน แล้วจึงค่อยรับประทาน ตอนพิจารณาก็เห็นเป็นซากสกปรก เลอะเทอะสะอิดสะเอียนมาก พาลทำให้กินไม่ได้ผ่ายผอมลงทุกวัน ๆ จึง ใคร่ถามหลวงพ่อว่า วิธีพิจารณาฉบับของหลวงพ่อ บริโภคได้โดยไม่สะอิดสะเอียนนั้นหลวงพ่อพิจารณาแบบไหนเจ้าคะ?

    หลวงพ่อ พิจารณาเป็นอาหาเรปฏิกูลสัญญาแล้วนะ ต่อไปฉันก็ภาวนา “กินหนอ ๆ” มันเลอะเทอะ กูก็กินมึง กูจะกินเสียอย่าง คือการพิจารณาเป็นอาหาเรปฏิกูลสัญญา คือของทุกอย่างเกิดจากของสกปรก มีไก่สกปรก อาหารของสัตว์ก็สกปรก ร่างกายของสัตว์ก็สกปรก แต่ว่าสิ่งสกปรกทั้งหลายเหล่านั้น ร่างกายของเราก็สกปรก เมื่อของสกปรกกับสกปรกอยู่ด้วยกันก็ช่างมันปะไรถืออุเบกขา กินดะเลย คือว่าอย่าเห็นเฉพาะเวลานั้นซิ เวลานั้นเขาพิจารณาให้เห็น ให้เกิดเป็นนิพพิทาญาณ
    นิพพิทาญาณ หมายถึงความเบื่อหน่าย เห็นร่างกายสกปรก หลังจากนั้นต้องใช้พิจารณาแบบนั้น ต้องใช้ สังขารุเปกขาญาณ เข้าควบคุม อารมณ์ใจวางเฉย มันสกปรกแล้วก็ไม่เป็นไร เราเกิดมาแล้ว ก็ต้องพบกับความสกปรก ต่อไปชิตหน้าความสกปรกจะไม่มีกับเราอีก เราตายเราจะไปนิพพานคิดอย่างนั้น

    296fdde1cd55120c40233d6fb1e12327_d25vj52.jpg
     
  12. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,096
    ค่าพลัง:
    +16,623
    ก็พอดีมีพี่ท่านนึงถามมาเห็นว่าน่าสนใจดีก็เลยจะก้อปไว้ให้อ่านเล่นกัน เรื่องนี้ผมก็ตอบตามความคิดผมนะ

    สวัสดีครับ คุณกรณ์

    อ่านประสบการณ์ของคุณกรณ์เมื่อวานเย็นแล้วมีข้อสงสัยดังนี้ครับ
    1.เปลี่ยนแฟนบ่อย แล้วผิด ศีลกาเม ตรงไหนครับ
    2.ถ้าเราเป็นโสดแล้วไปเที่ยวผับ แล้วได้ one night stand นี่ ผิดศีลกาเมไหมครับ
    3.ขอบเขตของศีลกาเมคืออะไรบ้างครับ ถ้าทราบขอบเขตแน่ชัดจะได้ทราบว่าต้องปรับปรุงตรงไหนบ้างเพื่อจะได้ไม่ทำผิดอีกครับ

    ขอบคุณครับ


    1. เป็นคำถามที่ดี เราอาจจะเล่าไม่เคลียร์ในบางจุด ก็แฟนที่เปลี่ยนส่วนใหญ่เป็นคนมีสามีแล้วพูดตรงๆเลย ซึ่งหากถามผู้หญิงเวลาเราจีบเค้าก็จะตอบเราว่าโสด เราจะไม่รู้เลยว่าที่บ้านเค้ามีแฟนหรือมีสามีรึเปล่า แล้วก็จะงงมากว่าเค้าเอาเวลาที่ไหนมาคุยมาอยู่กับเราได้ เพิ่งมาจับได้หลังๆ นี่ขนาดที่เราคิดว่าเราดูดีแล้วนะทั้งถามทั้งย้ำเลย ซึ่งยอมรับว่าสมัยนี้ใจคนมันน่ากลัวนะ เป็นเช่นนี้เยอะมาก เพราะคนเรามักจะไม่พูดความจริงแม้แต่สถานะความโสดของตัวเอง คิดง่ายๆเลยว่าโลกมันหมุนตลอดคนเราก็เปลี่ยนแปลงตลอดเหมือนกัน ที่จริงเราจะโทษทางนั้นอย่างเดียวก็ไม่ถูก เราต้องโทษตัวเองด้วย เพราะเราเป็นคนก้าวเข้าไป เอาตัวเราเองไปพัวพันด้วยตัวเอง

    2. ผิดมั๊ย มันผิดอยู่แล้วเพราะลูกเค้ามีพ่อมีแม่ ขึ้นอยู่กับว่าผิดมากน้อยแค่ไหน ยิ่งถ้ามีเจ้าของมีสามีหรือมีแฟนอยู่แล้วอันนี้ยิ่งผิดคูณสองเลย แต่มันก็อยู่กับเจตนาเราด้วยอีก อย่างผมคือเปลี่ยนบ่อยแต่ก็ไม่ได้มีซับซ้อนอะไร จะมีก็แบบรู้สึกว่ามันเข้ากันไม่ได้คนนี้ไม่ใช่อ่ะหรือต้องเลิก รู้สึกร้อนคือบรรยายไม่ถูก เหมือนที่ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าจะไปเร่งวันเร่งคืนไม่รู้จักรอเวลา คือคิดจะมีคู่ก็อยากมีเดี๋ยวนั้นเลย เอาล่ะต้องหาให้ได้ หาไปๆจนบางทีอาจจะลืมคิดอะไรไปหลายอย่าง ใครเข้ามาเห็นหน้าตาจิ้มลิ้มก็คว้าไว้หมด ทีนี้พอเร่งมากท่านว่าเร่งวันเร่งคืนจนไม่รอพรหมลิขิต สิ่งที่ได้กลับมามันก็จะทำให้ชีวิตเราเสียเวลาไปเปล่าๆวันๆหนึ่ง เรียกว่าเจตนาเราตั้งใจจะคบเป็นแฟนแต่แรกนั่นแหละไม่ใช่รักสนุก แต่มันมีเหตุให้ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ แล้วทีนี้มันอาจจะเป็นเรื่องดีอยู่บ้างที่เจตนาเรามันไม่ได้ถึงขั้นที่เรียกว่าเลวร้าย ครูบาอาจารย์ท่านก็เลยไม่ได้ลงโทษรุนแรงก็เป็นได้

    3. ให้ตอบเรื่องศีลกาเม ที่จริงผมไม่มีสิทธิ์ตอบนะเพราะผมคือคนที่ยังผิดอยู่ เพราะเราเองก็แยกไม่ได้ว่าคนที่เราคุยที่บอกว่าโสดๆนี่จริงๆเค้ามีมั๊ย ถ้าจะให้ผมมองผมก็มองที่เจตนาแหละมากกว่า ไม่ไปยุ่งกับคู่ครองเค้าทำเค้าเดือดร้อน แต่สุดท้ายก็คือมีและซื่อสัตย์กับภรรยาไม่นอกใจอันนี้ถือว่าดีที่สุดไม่ผิดกาเมแน่นอน เพราะเราไม่รู้น้ำใจคน ยิ่งคนที่ได้รู้จักหรือศึกษากันมาจริงๆคิดง่ายๆเลยขนาดศึกษากันยังโดนเลย เหมือนที่ผมเคยพูดแรกๆเริ่มกระทู้เลยสำหรับคนที่ชอบเรื่องเสน่ห์ ให้ระวัง ระวังบางอย่างที่เรียกว่ามารยาของคน มันจะดึงให้เราตกต่ำได้โดยที่เราไม่รู้ตัว แม้กระทั่งทำไปแล้วเราก็คิดไม่ออกว่าเราผิดตอนไหน ไปยุ่งกับคนมีครอบครัวเมื่อไหร่ เพราะเราไม่รู้แต่แรกนี่แหละ

    ซึ่งผมเองก็ได้เก็บมาคิด คือตัวผมและอาจจะอีกหลายๆคน เราใช้เวลาเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์พวกนี้เร็วเกินไป คือชอบแล้วคิดจะมีก็มีเลย ไฟมันติดแล้วก็ต้องต่อเลยหากยังเป็นแบบนี้มันก็เลี่ยงที่จะผิดไม่ได้ เพราะสังคมสมัยนี้มันไม่ใช่อะไรที่จะใช้เวลาสั้นๆมาทำความรู้จักทำความเข้าใจ ขนาดนี่ไม่ใช่ถามแค่คำสองคำนะในกรณีผม ผมถามแทบทุกวันยังจับพิรุธกันไม่ได้เลย ปัญหามันเกิดจากเราไม่ได้ศึกษากันให้ดีก่อน อันนี้สำคัญจริงๆ เรื่องเวลาไม่ใช่ชั่วครู่ชั่วยาม แต่ควรศึกษากันนับเดือนนับปี ถ้าเราไม่ได้รู้จักตัวตนของเค้าอย่างแท้จริงมันก็เลี่ยงที่จะผิดไม่ได้ ถึงไม่ได้เจตนาแต่มีการกระทำลงไปแล้วมันก็ผิดอยู่ดี
     
  13. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,096
    ค่าพลัง:
    +16,623
    วันนี้ใครมีอะไรจะถามก็ PM กันเข้ามาได้นะครับ
     
  14. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,096
    ค่าพลัง:
    +16,623
    รายการที่โอนไว้จัดส่งให้พรุ่งนี้นะครับ แล้วก็ติดตามเล่นเกมส์กันด้วย:)
     
  15. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,096
    ค่าพลัง:
    +16,623
    อรุณสวัสดิ์นะครับ พรุ่งนี้ติดตามกันดีๆนะ ร่วมเล่นเกมส์กัน ของแจกรอบนี้ห้ามพลาดเลย;)
     
  16. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,096
    ค่าพลัง:
    +16,623
    ตะกรุดมหาศาสตร์โยนีคลั่งรัก เลี่ยมแบบนี้ก็ได้นะครับ ช่างเค้าเลี่ยมแล้วเจาะรูให้สามรู ง่ายต่อการพกดี หรือจะเซ่นเหยาะน้ำหอมรึเหล้าก็ง่ายด้วย แรงได้ใจเลยดอกนี้ที่นำส่งร้านเลี่ยม ช่างเลี่ยมบอกว่ามีแต่ผู้หญิงมานั่งชวนคุยที่ร้านทั้งวันคนนี้ลุกคนใหม่ก็มา เค้าว่าแปลก เอางานเลี่ยมมาให้ดูเป็นแนวทางนะครับว่าเลี่ยมเจาะแบบนี้ก็ได้
    SAM_5252.jpg
     
  17. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,096
    ค่าพลัง:
    +16,623
    แจ้งการส่ง EMS

    พี่ชัยวัฒน์ ER 5710 7701 5 TH

    พี่ฐิตกาญจน์ ER 5710 7702 9 TH

    พี่ศิระ ER 5710 7703 2 TH
     
  18. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,096
    ค่าพลัง:
    +16,623
    พรุ่งนี้ติดตามเล่นเกมส์แจกตะกรุดวิชาสายรกพระเจ้านะครับ
     
  19. คุรุปาละ

    คุรุปาละ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    8,096
    ค่าพลัง:
    +16,623
    ร่วมเล่นเกมส์ แจกตะกรุดวิชาสายรกพระเจ้า

    ในปัจจุบันนั้นพ่ออาจารย์ท่านเห็นว่าหลายๆคนบ่นว่าหากินลำบากขึ้น ท่านว่าเวลาไปตามสถานที่ต่างๆ นั่งกินข้าวคนก็มักจะเข้ามาพูดให้ฟังว่าร้านขายไม่ดี ทั้งก๋วยเตี๋ยว ข้าวมันไก่ อาหารตามสั่งต่างๆ ท่านว่าไปที่ไหนถ้วนทั่วทุกจังหวัด นั่งสอบถามพูดคุยกับเค้าก็มักจะได้คำตอบแบบนี้ ต่อมาก็มีอีกหลายอาชีพมาพูดให้ท่านได้ยินได้รู้อีก ท่านจึงพิจารณาเห็นว่าคนทั้งหลายนั้นเงินทองขาดมือ โชคลาภเข้าไม่ถึงจริงๆ


    พ่ออาจารย์ท่านจึงนำตะกรุดวิชาสายรกพระเจ้านี้ออกไปแจกจ่ายซึ่งก็ปรากฏว่าได้ผลดี หลายคนบอกว่าขายดีขึ้น หลายคนโชคลาภเข้าถึงตัว จนเราสบโอกาศขอนำตะกรุดวิชาสายรกชุดนี้ซักเล็กน้อยที่ท่านเก็บไว้นำมาออกให้ร่วมเล่นเกมส์กัน

    ตะกรุดนี้เป็นตะกรุดที่สหธรรมิกท่านหนึ่งของพ่ออาจารย์ได้ลงไว้ และนำมาฝากท่านเมื่อคราวพบหน้ากัน ท่านก็เสกเก็บไว้อีกซักพักก่อนนำมาแจก ซึ่งสมัยนี้มักจะได้ยินชื่อวิชานี้ดาษดื่นไปหมด มีการใช้วิชาสายรกพระเจ้าสร้างพระกริ่งกันมากมาย โดยอย่างยิ่งพระสงฆ์องค์เจ้าทั้งหลาย ซึ่งเมื่อพ่ออาจารย์ท่านทราบท่านก็มักจะพูดติดตลกว่า ชะรอยพระวัดนี้จะผสมพันธุ์ได้หรือติดสุราจึงได้ทำวิชาสายรกได้เช่นนี้

    โดยความจริงแล้ววิชาสายรกนั้น ท่านว่าเป็นวิชาต้องห้ามซึ่งพระภิกษุไม่สามารถทำได้ อาบัติทุกกรณี เพราะมีกฏมีเคล็ดวิชาหลายอย่างที่พระแตะต้องไม่ได้ทั้งสุรานารี เรียกว่าถ้าทำก็ไม่ใช่พระอีกต่อไป ดังนั้นวิชาสายรกที่มักเห็นออกเป็นพระกริ่งกันนั้นท่านว่ามันจะเป็นวิชาสายรกอย่างไรได้ คนสร้างเขาจะเอาอะไรไปเสก จะเป็นได้ก็เพียงแต่ชื่อเท่านั้น ท่านว่าวิชานี้ท่านรู้และทำได้ แต่ท่านก็ทำได้ไม่เต็มสูตร เพราะสมัยนี้ปัจจุบันท่านทำไม่ได้เต็มสูตรเนื่องจากท่านถือศีลถือธรรมเคร่งครัด ดังนั้นผู้ที่จะทำได้จริงๆ ท่านว่าในแผ่นดินนี้มีไม่กี่คนเท่านั้น

    ก็จวบกับเป็นโอกาศดีที่สหายธรรมท่านได้ลงตะกรุดโดยใช้วิชาสายรกเอาไว้เต็มวิชาแล้วนำมาฝากท่านให้ส่วนนึง ท่านจับดูแล้วว่าตะกรุดของเค้าก็ดีนะ นี่แหละวิชาสายรกจริงๆไม่ปาหี่ ก่อนจะนำไปเก็บไว้และเสกอธิษฐานจิตเรื่อยมา ซึ่งในการเล่นเกมส์ครั้งนี้ก็จะเล่นกันแบบง่ายๆใช้กติกาเดิม เนื่องจากตะกรุดมีจำนวนน้อยหากไม่ทันก็ถือว่าตัดสิทธิ์ไป

    โดยให้ผู้เล่นเกมส์ พิมพ์คำว่า ขอรับตะกรุดวิชาสายรกพระเจ้า สั้นๆเพียงเท่านั้นไว้ด้านหน้ากระทู้นี้ ซึ่งก็มีกำหนดเวลาให้ร่วมเล่นเกมส์กันถึงวันพรุ่งนี้ตอนเย็นเช่นเดิม ท่านว่าตะกรุดสายรกนี้ให้พกติดตัวไว้เถิด เอาแค่พื้นๆไม่ต้องลึกมากท่านว่าคนใช้จะเจริญรุ่งเรือง จำเริญก้าวหน้า มีกินไม่ขาดปาก มีทรัพย์ไม่ขาดมือ ดุจว่าโชคลาภทรัพย์สินศฤงคารคือสายธารที่หล่อเลี้ยงชีวิตเราซ้ำยังต่อท่อมาถึงตัวเราไม่ตัดขาดจากเราไปไหน พบเจอแต่ความผาสุกรุ่งเรือง สิ่งดีงามจะเข้าหาไม่ขาดสายไม่มีประมาณ ท่านว่าห้อยติดคอไว้หมั่นบูชาพระรัตนตรัย แล้วก็คอยดูความเปลี่ยนแปลงของชีวิตตัวเองเถิดมีแต่ดีกับได้ ท่านว่าถ้าถือศีลถือธรรม ให้ทานสร้างบารมีด้วยยิ่งดีเข้าไปอีก สุดท้ายก็จะเจริญในสุข ลาภ ยศ สรรเสริญ ถ้วนทุกประการ ให้ติดคอไว้อย่าให้ห่างคอทีเดียว

    ก็ให้เริ่มเล่นเกมส์ได้เลย เกมส์ครั้งนี้เราให้แบบง่ายๆ เฉพาะคนที่สนใจและร่วมเล่นกันจริงๆ จบแล้วก็ไม่มีอีก เพราะท่านดำริว่า อยากให้ได้มีไว้ใช้ให้ต้องกันตามบุญวาสนาเท่านั้น

    Y10951852_5.jpg 5_222.jpg
     
  20. อรหโตพุทโธ

    อรหโตพุทโธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2015
    โพสต์:
    498
    ค่าพลัง:
    +1,017
    ร่วมเล่นเกมส์ครับ

    ขอรับตะกรุดวิชาสายรกพระเจ้า
    ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...