ร่วมแลกเปลี่ยนเคล็ดลับในการประคองศีล 5 กันคะ่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ren, 22 กรกฎาคม 2009.

  1. เกสท์

    เกสท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +18
    เรื่องศีลนี่แปลกอยู่นะ

    เมื่อก่อนต้องคอยบังคับบัญชากันนะ
    ไม่ให้ล่วงละเมิดศีล

    แต่เีดี๋ยวนี้ไม่รู้เป็นยังไง
    ตั้งแต่พิจารณาเรื่องเธอคนนั้น
    แล้วรู้ชัดว่าจิตนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา นี่

    จิตใจเปลี่ยนไปเลย
    จิตใจเป็นศีลไปเองเลย

    ไม่ต้องมาคอยบังคับบัญชากัน
    เมื่อก่อนจิตใจนี่มีแต่ดีดแต่ดิ้น
    คอยแต่จะทำผิดศีลนั้นศีลนี้
    ต้องคอยบังคับกัน

    แต่ตอนนี้จิตใจเป็นศีลเองเลย
     
  2. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    ก็ถูลู่ถูกัง ถือ ศีล 5 ( ในฮาเร็ม ) อยู่นะเจ้าค่ะ
    ถือมาได้เกือบปีแล้วมั้ง ก็เรื่อย ๆ แหล่ะ
    ศีลถลอกบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ( โดยเฉพาะข้อ 4 ) แต่ไม่ถึงกับขาด
    ไว้มีโอกาสจะเม้าส์ให้ฟังเจ้าค่ะ ^ - ^
    ตอนนี้ยังไม่ได้เขียน ศีล 5 ในฮาเร็ม ต่อเลยอ่ะ ( ขี้เกียจ แหะ )



    อืม...ศีลน่ะทำจนเป็นปกติแล้วแหล่ะ
    เหมือนการกินข้าว การหายใจ การผิวปาก ยังไง ยังงั้น
    แถม ยิ่งมา ผนวกกับการ เดินจงกรม รอบโรงบาลอ่ะน่ะ
    สติสตัง มันไวเป็นบ้า พอศีลเริ่มถลอก
    มันรู้โดยอัตโนมัติเลยอ่ะ



    แถม เช้าวันไหน ไม่ได้ ทวนศีลต่อศีล และ ทวนการดูจิตอ่ะนะ
    มันจะรู้สึก ค้าง ๆ คา ๆ ไม่เคลียร์ ไงก็ไม่รู้แฮะ
    เหมือน เวลาออกไปพบปะผู้คนนอกบ้าน
    แล้วไม่ได้อาบน้ำแปรงฟันไปน่ะ เคยเป็นป่ะเจ้าคะ ?



    เดี๋ยวนี้ เน้นเรื่องการ ดูจิต มากกว่านะ
    เรื่องศีลมันทำจนชินแล้วอ่ะ
    เพียงแต่ยังขี้เกียจ ถือแบบขั้นอุกฤษณ์
    ยังอยากแกว่งปากหาเท้ากับชาวบ้านอยู่ หุหุ




    อิฉันเป็นแค่...พุทธตามทะเบียนบ้าน...เจ้าค่ะ
    เลยไม่เคยยึดถือไตรสรณะ
    และไม่นิยมการอาราธนา หรือ สมาทานศีล 5
    อิฉัน ทำได้เพียงแค่ คิดและบอกกับตัวเองว่า
    ฉัน จะถือศีลนะ จากนั้นก็ถือเลย
    แล้วก็ ทบทวนศีล และ ต่อศีล บ่อย ๆ ก่อนเข้านอนเท่านั้น
    ซึ่งหากย้อนรอยกลับไปดู ศีล 5
    ที่อิฉันถูลู่ถูกัง ถืออยู่นั้น ก็พบว่า


    ข้อ 1
    ทำได้แค่ ยุงกัดมดกัดก็ปัดก็เป่าออก
    แต่ก็มีเผลอไปเหยียบแมลงตัวเล็ก ๆบ้างเป็นบางครั้ง
    เวลาเดินตามสนามหญ้า ตามถนนตอนกลางคืน


    ข้อ 2
    ทำได้แค่ ชดเชยมูลค่าให้มากกว่าราคา
    ที่เอาของสิ่งนั้นมาใช้ เพื่อความสะดวก
    เช่น ถ้าจำเป็นต้องหยิบกระดาษ A4 สักแผ่น
    หรือ คลิปหนีบกระดาษสักอัน ของที่ทำงานมาใช้ส่วนตัว
    การใช้เครื่อง printer ของที่ทำงาน print งานส่วนตัว
    เช่น ภาพสักรูป ข้อความกลอน บางอัน
    หรือแม้กระทั่ง ใช้ไฟฟ้า ของ ที่ทำงาน
    ในกิจกรรมส่วนตัวเช่น
    เปิด เวบเวบลานธรรม ดู ตอนว่าง ๆ


    ข้อ 3
    ถ้าเฉพาะแค่เรื่อง ศีล นั้นไม่มีปัญหา
    แต่ถ้ามองลึกถึงระดับมโนกรรม
    การเป็นหญิงวัยเจริญพันธุ ์
    ฮอร์โมนเพศก็ยังมีอิทธิพลต่อราคะจริตในจิตอยู่บ้าง


    ข้อ 5
    ทำได้แค่ งดนำแอลกอฮอล์ปริมาณสูงเข้าสู่กระแสเลือด
    ยกเว้น แอลกอฮอล์ 8.8 % ใน ยาธาตุน้ำแดง (M.carminative )
    ที่กินรักษาอาการท้องอืดเฟ้อ ของโรคตะกละ เป็นครั้งคราวเท่านั้น
    ที่อิฉันอนุญาตให้มันเข้ามาเพ่นพ่านในกระแสเลือดได้


    ส่วน ข้อ 4.....
    ยอมรับว่า ถือยาก มั่ก ๆ
    ต่อให้หุบปากไว้ หรือใช้ กรรไกรตัดลิ้น
    อิฉันก็ยังใช้ มือเคาะแป้น คีย์บอร์ด
    จิ้มดีด โพสข้อความ ทำลายศีล ข้อ 4 ได้
    ต่อให้ ตัดมือตัดตีน ตอกเล็บ หักแขนหักขา
    อิฉันก็ยังใช้ความสามารถ ( เฉพาะตัว )
    ปรุงแต่ง สายตา การกระพือขนตา
    ท่าทาง เสียงหัวเราะ รอยยิ้มที่มุมปาก
    และ การทอดถอนใจ ก้าวล่วงศีลข้อ 4 ได้อย่างช่ำชอง



    เฮ้อ สำหรับอิฉันแล้ว ความยากของศีลข้อสี่ นี้
    ไม่ได้อยู่ที่สิ่งเร้าหรอกนะเจ้าคะ
    แต่อยู่ที่ ความตั้งใจของอิฉัน มันยังไม่เข้มแข็งพอ
    ที่จะถือศีลข้อนี้ไว้อย่างจริงจังต่างหาก
    อิฉัน ถือ ศีล 5 ไว้เป็นแค่งานอดิเรกน่ะเจ้าค่ะ
    มิได้คิดที่จะ ถือจริงจัง ถึง ขั้น อุกฤษณ์
    ในตอนนี้ จริตของอิฉัน ก็ยังไม่ยินยอมพร้อมใจ
    ให้อิฉันทำอะไรที่ขัดใจมันมากไปกว่านี้ ^ - ^



    แต่การล้มลุกคลุกคลาน กับ การถือศีล 5
    ที่อิฉันกำลังประคับประคองมันอยู่นั้น
    ก็ทำให้ อิฉันได้ข้อคิด 3 ข้อ นะเจ้าคะ คือ


    ข้อ 1.
    ปิติจิต ที่เกิดจากการถือศีล ของอิฉัน
    คือ อิฉันได้ลดการเบียดเบียนชีวิตอื่น
    ได้ขัดเกลากิเลสตัณหาออกจากใจ
    มิใช่ เรื่องของการสะสมบุญ
    ไว้เป็นเสบียงกรังในชาติหน้า
    มิได้ถือเพื่อจะได้ขึ้นสวรรค์
    หรือ เพื่อลดวิบากกรรมแต่ปางก่อน แต่ประการใดเลย
    คนที่ ไร้ซึ่ง ศรัทธาจริตโดยสิ้นเชิงอย่างอิฉัน
    คำว่า บุญบาปนรกสวรรค์
    ไม่เคยน่าสนในสายตาอิฉันนะเจ้าคะ
    อิฉันสน แต่เพียงคำว่า หิริโอตะปะ เท่านั้น

    ข้อ 2
    ศีล ต้อง เต็มใจถือไว้ ด้วยสติ ที่เป็น...ปกติสุข...
    ไม่ใช่ ฝืนแบกมันไว้บนหัว ด้วยความทรมาน
    ไม่เช่นนั้น ตัวเราเองนั่นแหล่ะที่จะ หนักหัว จนทุกข์



    ข้อ 3.
    ศีล...เมื่อขาด หากมีสตินึกรู้ ก็ต่อขึ้นมาใหม่ได้
    แต่เมื่อไรที่ ถือมันไว้จน หลง
    คิดไปว่า ตนนั้นเป็นผู้ทรงศีล ที่ผุดผ่อง
    แล้วมองปุถุชนรอบข้าง อย่างนึกเหยียดหยาม
    ว่าเขามัวหมอง เพราะไม่ครองศีล 5
    สิ่งนี้ต่างหากคือ สิ่งที่น่ากลัวในการถือศีล
    ด้วยจิตคาราวะเจ้าค่ะ ^ - ^
    ปล.
    อันนี้เล่าแบบย่อ ๆ นะเจ้าคะ
    ถ้าจะฟังแบบร่ายยาวคงต้องรอ อิฉันเขียน
    " ศีล 5 ในฮาเร็ม " ให้จบเสียก่อน
    ตอนนี้กะลังเกลา สำนวนอยู่ แหะ...แหะ... ^ 0 ^
     
  3. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    อิฉันกะลังคิดจะเขียน เรื่อง " ศีล 5 ในฮาเร็ม " อ่ะเจ้าค่ะ
    ( เรื่องของคนไม่มีศาสนาที่พยายามจะถือศีล แล้ว ล้มลุกคลุกคลานกับมัน )

    อ่ะ เอามาให้อ่านเล่น ๆ ชิมลางก่อน
    ส่วน ฉบับ เต็ม ๆ น่ะ ยังเขียนไม่เสร็จ
    ( เพราะ คนเขียน มัวติดเนต แหะ ..แหะ... )


    -----------------------------------------------------------------

    ศีล 5 ...ในฮาเร็ม... ?
    เอาเรื่องจริงของเด็กหญิงคนหนึ่ง มาเล่าสู่กันฟังเจ้าค่ะ

    เอาเรื่องจริง ( 99.99 % ) ของเด็กหญิงคนหนึ่ง
    มาเล่าสู่กันฟังเจ้าค่ะ ลองอ่านดูนะค้าาาา
    ***********************************************
    เมื่อ ย้อนมาทบทวน ศีล 5 แต่ละข้อ
    ที่อิฉันถือจนเมื่อยแล้วเมื่อยอีก ในตอนนี้
    มันก็ทำให้อิฉันนึกถึง หลาย ๆ ประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับศีล 5
    ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เด็กผู้หญิงคนหนึ่งนะ ...
    สมมุติว่า เด็กคนนั้น ชื่อ...หนูบัว( เหล่าที่ 5 ) ^ - ^

    จำได้ว่า หนูบัวฯ เริ่มถือศีล 5 ครั้งแรก
    สมัยอยู่มัธยมปลาย
    ตอนนั้นนึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรก็ไม่รู้
    จู่ ๆ ก็นึกอยากจะถือศีล 5 ขึ้นมาเฉย ๆ
    ซึ่งก็ไม่ได้ถือเป็นกิจลักษณะ อะไร
    ไม่ได้สมาทานศีลรับศีล ด้วยซ้ำ
    ทำแค่พูดแสดงความตั้งใจว่า
    จะถือศีล 5 แล้วก็แผ่เมตตา ( เป็นภาษาไทย )
    ก่อนนอนทุกคืนเท่านั้น

    แต่ถ้าถามว่า ตอนนั้น ถือศีลได้จริง ๆ ไหม ?
    หนูบัวฯ ก็ไม่แน่ใจเท่าไรนะ เพราะตอนนั้นยังเด็กนัก
    รักษาศีลก็คิดแค่ งดฆ่าสัตว์ (งดตบยุง งดเหยียบมด )
    ไปตามประสาเด็กนั่นแหล่ะ ไม่ได้มองเชิงลึกอะไร
    แต่ตอนนั้น ทำแล้วก็รู้สึกว่า จิตมันผ่องใส ดีนะ
    ทว่า หลัง ๆ มัววุ่นวายกับการเตรียมตัวสอบเข้า มหาลัย
    เลยร้างลาไปยาววววววววววววว เลยแหล่ะ

    อืม...ตอนนี้ สิบปีผ่านไป....
    หนูบัวฯ ก็เพิ่งจะรื้อฟื้น โปรเจคถือศีล 5 ขึ้นมาใหม่นะ
    ก็โอ้เอ้ โฉเฉอยู่เกือบเดือนเลยแหล่ะ
    กว่าจะยอมถือศีลแบบจริง ๆ จัง ๆ
    ตอนนี้ก็ถือมาได้ เดือนกว่า ๆ แล้วมั้ง
    แต่ไม่ได้ถือเป็นกิจลักษณะ อะไร
    และ ไม่มีการ อาราธนา/สมาทานศีล อย่างเป็นทางการ ( เหมือนเคย )

    เพราะหนูบัวฯ ไม่ชอบพิธีกรรมจุกจิกทุกชนิด
    ชีวิตนักเรียนที่ต้องถูกบังคับให้ตากแดดหัวแดง
    แล้วแหกปากสวดมนต์หน้าเสาธง ทุกวี่ทุกวัน
    หาได้ขัดเกลาจิตใจของเธออย่างที่กระทรวง ศธ. คาดหวังไม่

    แต่มันทำให้เธอพาลเกลียดพิธีกรรมยิบย่อยทางศาสนาไปเลย
    เธอท่องจำคำอาราธนาศีล และ บทสวด ต่าง ๆ
    ได้เป็นนกแก้วนกขุนทอง เพื่อเก็บคะแนนสอบมาเยอะแล้ว
    เธอเบื่อเจ้าสิ่งนี้และนึกสงสัยว่า
    ทำไมคุณครูถึงสอนให้ท่อง จำ อย่างเดียวนะ
    แล้วทำไม ไม่เห็นมีครูคนไหน... ทำ... ให้เธอดูเป็นตัวอย่างเลย
    ด้วยเหตุปัจจัย ดังกล่าว พอคิดจะถือศีล
    หนูบัวฯ ก็เลยกระโจนเข้าไปถือลุ่น ๆ อย่างนั้น
    ประมาณว่า อยากทำ ก็ทำเลย ไม่ต้องอรัมภบท


    ตอนนั้นที่สนใจจะถือศีล ก็เพราะมีคนรู้จักเอาหนังสือ
    เรื่อง " รู้ทันกรรม รู้ทันโลก" ของ พระภาสกร
    มาให้หนูบัวฯ อ่านทั้งที่ ไม่ได้เอ่ยปากขอ ( อีกแล้ว )
    แม้จะอ่านแล้วจะเฉย ๆ กับ เรื่อง บุญ บาป และ กฏแห่งกรรม
    เพราะทำใจยอมรับ วิบากทุกอย่าง ที่ตนตัดสินใจกระทำได้
    ประมาณว่า กล้าทำ ก็ต้องกล้ารับ ทั้ง นรกสวรรค์ที่ตัวเองสร้างมันขึ้นมา

    แต่ พออ่านแล้ว หนูบัวฯ ก็นึกสงสาร ชีวิตอื่น ๆ
    ที่อยู่รอบตัวที่ถูกเธอเบียดเบียน
    และ เมื่อ ย้อนกลับไปอ่าน
    คำว่า " กระทบโลก กระทบเรา "
    ที่เขียนไว้หราที่หน้าปก น่ะ
    มันกระทบใจ เธอ อย่างแรงนะ
    อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว
    รู้สึก ไม่อยากเบียดเบียนชีวิตอื่น อีก
    ก็เลยเอาวะ ลองถือ ศีล 5 ดูดิ๊
    ดูว่า ถือแล้วมันจะหนักเหมือนแบกกระสอบ ข้าวสารหรือเปล่า ?

    ผลก็คือ แม้มันจะไม่หนักเหมือนกระสอบข้าวสาร
    แต่มันบอบบาง จังแฮะ ศีลขาดประจ๊ำ
    ต้องวิ่งโร่มา ต่อศีล ทุกคืนเล๊ย เฮ้อ



    ศีลข้อ 1
    ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ,
    (ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือเจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการฆ่า )


    "หลวงพ่อค้าาาาา จริงไหมค้าาาาที่พ่อหนูบอกว่า

    ทางไปวัดมันหมอง ทางไปหนองมันเตียน

    เวลาพ่อแบกปืนไปยิงปลา ที่หนอง
    พ่อชอบบอกให้หนูฟัง แบบนี้น่ะค่าาาา "

    เด็กหญิงตัวกระเปี๊ยกคนหนึ่ง เคยคลานกระดุ๊บ ๆ
    ไปพนมมือเอ้เต้ เสนอหน้าถามท่านเจ้าอาวาสด้วยความอยากรู้
    ตอนที่ท่านแสดงธรรมโปรดญาติโยม

    ฟังหนูน้อยบัวฯ พูดแล้วหลวงพ่อท่านทำท่างง ๆ
    ส่วนมารดาของเด็กหญิงตีหน้าปูเลี่ยน ๆ กับ ปากของลูกสาว
    แต่สุดท้ายหนูบัวฯ ก็ไม่ได้คำอธิบายจากปากของหลวงพ่ออยู่ดี
    ( แถมยังเกือบถูกคนเป็นแม่หยิกจนเนื้อเขียว )

    หลังจากไปตั้งปุจฉาถามเจ้าอาวาสที่วัดวันนั้น
    แล้วไม่ได้คำตอบ หนูบัวฯ ก็เลยใช้ชีวิตแบบ
    ทางไปวัดมันหมอง ทางไปหนองมันเตียน
    เวลาแม่พาไปฟังเทศน์ ที่วัด
    แม่หนูยังคงแอบไปวิ่งเล่นที่ลานวัด
    เก็บดอกพิกุลมาร้อยกับก้านดอกหญ้า
    แอบไปปีนต้นตะขบในวัด จนโดนหลวงพี่ตะเพิด
    บางครั้งก็เลยเถิดไปเล่น ผจญภัยกับเพื่อน
    จับหนอนมาเลี้ยงนกในกรง ลงน้ำไปจับปลา
    วิ่งไล่จับตั๊กแตน มาปิ้งกิน ตามประสา

    แต่ก็มีบ้างบางครั้งที่ ต่อมศีลธรรมมันกำเริบ
    เด็กหญิงแย่งเอาปลาที่แม่ขังไว้(เพื่อทำแป๊ะซะ) ไปปล่อยในน้ำ
    บางทีก็แย่งเอาปูนาที่แม่ซื้อมาทำปูดอง ไปปล่อยที่หนอง
    สุดท้ายแม่คงเหลืออด กับพฤติกรรมประหลาด ๆ ของลูกสาว
    เลยเลิกซื้อสัตว์เป็น ๆ มาทำกินในบ้าน
    เพื่อเป็นการยุติสงครามแย่งปูแย่งปลากับคุณลูกสาว

    ครั้น พอเข้าเรียนชั้นประถม หนูบัวฯ ก็ได้มีโอกาส
    รู้จักกับคำว่า ศีล 5 เป็นครั้งแรก
    เมื่อครูสอนวิชาจริยธรรม สอนเธอท่องคำอาราธนาศีล 5
    เธอฟังด้วยความรู้สึกสับสน พร้อมกับบ่นในใจ ว่า
    ทำไมศีล 5 มันมีหลายข้อจังนะ แล้วงี้ใครจะไปจำไหว (วะ) ?
    ว่าแต่ละข้อหมายถึงอะไร มีแต่ภาษาแปลก ๆทั้งนั้น ( ภาษาบาลี )
    ออกข้อสอบขึ้นมาแย่ แน่ ๆ (ตก แหง๋ ๆ เลย)

    แล้ววันหนึ่งก่อนสอบไล่ เพื่อนที่แสนดีของเธอ
    ก็สอน "วิชามาร / เทคนิคช่วยจำ" เจ้าศีล 5 ข้อให้เธอ
    ด้วยการแหกปากท่องศีล 5 กรอกหูให้ฟัง ว่า
    " ข้อ 1 ห้ามฆ่าสัตว์ ( ถ้ายุงกัดให้รีบตบ ! ) ข้อ 2 ...ฯลฯ ..."
    น่าขำที่ฟังคำเพื่อนบอกแล้ว
    มันช่วยให้เด็กหญิงจำเรื่องศีล 5
    ไปตอบข้อสอบได้อย่างแม่นยำ
    ยิ่งกว่าตอนครูพร่ำสอน
    จนปากเปียกปากแฉะในชั้นเรียนเสียอีก


    และแม้กลอนนอกรีตพวกนี้
    มันจะระคายเคืองความรู้สึกของหลายคน
    แต่เมื่อเหนูบัวฯย้อนกลับไปท่องอีกครั้ง
    เธอพบว่า กลอนสอนใจที่ไร้จรรยาบรรณเหล่านี้
    มันก็สะท้อนวิถีชีวิต ของสังคมแสร้งจริต แบบไทย ๆ ได้ดีทีเดียว
    มันทำให้เธอเข้าใจ ภาษิตที่ว่า มือถือสากปากถือศีล แบบถ่องแท้
    และพบว่าเธอเองก็ใช้ชีวิตแบบนั้นเหมือนคนอื่น ๆ
    ที่เป็นพุทธตามทะเบียนบ้าน
    และถือ ศีลแบบ ข้อ 1 ....ห้ามฆ่าสัตว์ ( ถ้ายุงกัดให้รีบตบ ! )


    เมื่อหนูบัวฯโตขึ้น จนเข้าเรียนมหาลัย
    เธอได้รู้จักกับ เด็กหญิงอีกคน ชื่อ หนูปูเป้
    แม่หนู ปูเป้ เป็นคนหน้าตาธรรมดา ๆ ที่เห็นอยู่ดาษ ๆ
    แต่ พฤติกรรม หนึ่งของปูเป้
    ที่ยังประทับใจหนูบัวฯ มาจนถึงทุกวันนี้ คือ
    ปูเป้ไม่เคยทำร้ายสัตว์เลย ไม่เคยแม้กระทั่งตบยุงสักตัว

    แม้แต่ตอนที่เห็น เจ้ายุงร้ายมาเกาะแขนดูดเลือดเธอจนอิ่มแปร้
    ภาพแม่หนูปูเป้ ค่อย ๆ โบกมือไล่ยุงไป ด้วยสีหน้าที่สงบ
    มันยังคงฝังอยู่ในใจของหนูบัวฯ จวบจนทุกวันนี้
    และภาพนั้น ก็ ก่อเกิดแรงบันดาลใจ
    ให้หนูบัวฯ เดินตามรอยแม่หนูปูเป้
    ด้วยการไม่ตบยุงและหลีกเลี่ยงการ ฆ่าสัตว์ทุกชนิด ...

    หนูบัวฯ ประคับประคองศีล ข้อ 1 ไว้ได้ประมาณปีกว่า
    จนเมื่อปิดเทอมต้องกลับมานอนเขลงอยู่ที่บ้าน
    ยุงเจ้ากรรมก็ยกโขยง บินว่อนมาทดสอบความอดทนของเธอ
    สุดท้ายหนูบัวฯก็ทนไม่ไหว ขืนยังใจเย็นต่อไป
    มีหวังเธออาจต้องตายเพราะไข้มาลาเรียขึ้นสมองเป็นแน่แท้
    เธอ ตัด " ศีล " ข้อ 1 ออกจากใจ ตั้งแต่วันนั้น เป็นต้นมา
    ในเมื่อยุงมันรังแกเธอ เบียดเบียนชีวิตและเลือดเนื้อ ของเธอ
    ก็เป็นการสมควร ที่เธอจะทวงหนี้แค้นบัญชีเลือดกับมันมิใช่หรือ ?
    ในเมื่อ เลือด ต้อง ล้างด้วยเลือด....นั่นคือสิ่งที่หนูบัวฯคิดในตอนนั้น

    และเมื่อเลือดของยุงตัวแรกเปื้อนมือเธอ อีกครั้ง
    มันทำให้เธอ ตะขิดตะขวง และ ไม่สบายใจเล็กน้อย
    ต่อเมื่อฆ่ายุงไปหลาย ๆ ตัวเข้า เธอก็เริ่มชินชา
    และเห็นการทำลายชีวิตยุงเป็นเรื่องธรรมดา
    หลังจากวันนั้นหนูบัวฯ จำไม่ได้หรอกว่า
    เธอฆ่ายุงไปแล้วกี่ตัว เหยียบมดไปแล้วเท่าไร ?
    เหมือน ๆ กับ ที่เธอไม่เคยใส่ใจจะนับ ว่า
    วันหนึ่ง ๆ เธอกินข้าวไปกี่เมล็ด
    เดินไปแล้วกี่ก้าว พูดไปแล้วกี่คำ

    เมื่อหนูบัวฯ ก้าวเข้าสู่วัยทำงาน
    พี่ที่ทำงานด้วย เล่าให้ฟัง ว่า
    ลูกสาวของพี่เขา ไม่เคยตบยุงเลย
    เพราะเขามักจะสอนให้ลูกสาวของเขางดเบียดเบียนชีวิตสัตว์
    คำบอกเล่าของพี่ที่ทำงาน
    สร้างแรงบันดาลใจ ให้เธอหวนกลับไปถือศีลข้อ 1 อีกครั้ง
    แถมตอนหลังแฟนของพี่คนนี้
    เอาหนังสือ รู้ทันกรรมรู้ทันโลก ของพระภาสกร มาให้เธออ่านด้วย
    เธอเลยรู้สึกสนใจอยากทดลอง
    ถือศีล5 ( เป็นงานอดิเรก )มากขึ้น <!--MsgFile=3-->

    ความเป็นผู้ใหญ่ทำให้หนูบัวฯ ถือศีล ข้อ ที่ 1 ได้ดีขึ้น
    แต่เธอก็ตัดได้แค่ กายกรรม เท่านั้น
    พอโดนยุงกัดเธอจะปัดมันไปโดยไม่ทำร้ายอะไร
    แต่พอเห็นเจ้ายุงจอมตะกละ ท้องแดงเป่ง ตัวอ้วนปี๋
    ค่อย ๆ ขยับปีกบินหนีอย่างเกียจคร้าน
    มาวนเวียนอยู่ตรงหน้าราวกับจะยั่ว
    เธอก็ได้แต่กำหมัดริก ๆ ทำหน้างอหงิก
    แยกเขี้ยวแล้วส่งสายตาอาฆาตไปยังเจ้ายุงนั่น
    ( ถ้าสายตาของเธอเป็น ไฟ ไอ้ยุงตัวนี้คงไหม้เป็นจุณไปแล้ว )

    และบางครั้งเจ้ายุงนี่มันก็แอบเข้ามากัดจนคันยิก ๆ
    แล้วเธอก็เผลอไปเกาถูกเจ้ายุงเข้า จนมันเละตายคามือ
    เมื่อเห็น ซากยุงโชคร้ายตัวนั้น
    เธอก็แอบสะใจลึก ๆ ประมาณว่า
    นี่ไม่ใช้ความผิดของเธอ นะ
    เธอไม่ได้เจตนาจะฆ่ามันซะหน่อย
    ช่วยไม่ได้นี่ มันกะเร่อกะร่า มาให้เธอฆ่าเองนิ

    หนูบัวฯ ถูลู่ถูกังแบกศีล ข้อที่ 1 แบบนี้เรื่อย มา

    จนวันหนึ่ง เธอนึกครึ้มอยาก ลดความอ้วน
    แต่ เธอไม่ชอบวิ่งเพราะมันเหนื่อย
    เธอจึง ตัดสินใจว่า
    งั้นเดินจงกรม แทนการวิ่งจ๊อกกิ้งดีกว่า
    เพราะนอกจากจะได้ออกกำลังกายเพื่อลดพุงแล้ว
    เธอยังจะได้ฝึกเจริญสติไปด้วย
    ( เธอชอบยิงกระสุนนัดเดียวได้นกเป็นพวง
    เลยดีดลูกคิดรางแก้วแบบนี้ )

    ซึ่งมันก็เป็นความบังเอิญที่น่าขัน
    การเดินจงกรมแนวทดลองที่เธอพยายามทำช่วงนั้น
    มันช่วยให้ ศีล กับ สมาธิ ของเธอมาบรรจบกันโดยไม่ได้ตั้งใจ
    ณ จุดที่ ศีลผสมกลมกลืนกับสมาธิ
    มันทำให้มุมมองของเธอที่มีต่อชีวิตรอบ ๆ ตัวเปลี่ยนไป
    โดยเริ่มจาก การเปลี่ยนความคิดที่มีให้กับยุงตัวหนึ่ง...

    จากที่เคยห้ามได้แค่กาย ไม่ให้ทำร้าย เจ้ายุงจอมตะกละ
    มาเดี๋ยวนี้ เธอก็ห้ามไม่ให้ใจคิดร้ายกับมันได้ด้วย
    เวลายุงมันบินวี๊ ๆ อวดท้องแดงเป่ง
    ส่ายก้นแหลมๆ ยั่วจริตของเธอ
    เธอก็แค่ยิ้ม แล้วนึกยินดี
    ที่เลือดของเธอช่วยให้เจ้ายุงที่น่าสงสารตัวหนึ่ง
    หายหิวได้อิ่มท้องไปอีกมื้อ

    แม้เธอจะไม่ได้เต็มใจบริจาคเลือดให้มันก็ตาม
    แต่ในเมื่อเจ้ายุงนี่ แอบขโมยกินเลือดเธอจนอิ่มแปร้ ไปแล้ว
    ก็ปล่อยมันไปเหอะ อย่าไปถือสามหาความกับมันเลย
    อโหสิกรรมให้มันเถิดนะ วงจรชีวิตของยุง นั้นสั้นนัก
    ถ้าเลือดแค่ไม่กี่หยด ของเธอ
    พอจะช่วยให้มันมีความสุขได้บ้าง
    เธอก็น่าดีใจมิใช่หรือ หนูบัวฯคิดของเธออย่างนั้น

    จากการเปลี่ยนความคิดที่มีต่อ สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง
    มันทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ กับสิ่งมีชีวิต อีกหลายชนิดเลยนะ
    หนูบัวฯ เริ่มหันกลับมาหลีกเลี่ยงการเบียดเบียนทุกชีวิต
    งดการตบยุง งดการบี้มด ( แม้มันจะทะลึ่งมากัดเธอก่อนก็ตาม )
    เวลาไปไหนเธอก็จะพยายาม ดูดี ๆ ก่อนเดิน
    จะได้ไม่เผลอไปเหยียบหอยทาก หรือ แมลง เข้าให้อีก
    ( เมื่อก่อนเผลอเหยียบประจำเลย )
    แถมบางทีก็ดันเข้าไปยุ่งเป็นธุระจัดหาที่อยู่ใหม่
    ให้กับน้องหอยทาก ที่หนีแดดไม่ทัน
    แล้วทำท่าจะแห้งตายบนพื้นซีเมนต์


    ซึ่งพอถือศีลข้อ 1 นาน ๆเข้า เธอก็รู้สึกว่า
    ดวงจิตของเธอมันผ่องขึ้นนะ
    มันเหมือน ได้ขัดเกลาเอาสนิมอารมณ์
    และคราบไคลของกิเลสตัณหา ออกไป
    ที่สำคัญ จริตของเธอมันก็ดูอ่อนไหวง่ายอย่างไรพิกล
    ดูมันไวกับความรู้สึกที่เข้ามากระทบมากเลย

    เช่น ครั้งหนึ่งเมื่อเธอเปิดดู รายการ กบนอกกะลา
    ตอนแป้งสาคู เมื่อเห็นชาวบ้านเอาด้วงสาคูตัวเป็น ๆ มากิน
    จริตมันก็เกิดอาการเศร้าหมองแฮะ รู้สึกไม่ดีกับภาพที่เห็นเลย

    ยิ่ง กบนอกกะลา ตอน หอยแครง อีก
    พิธีกรแงะฝาหอยควักเนื้อมันขึ้นมากินสด ๆ
    โอยยยยยยยยย จริตของเธอก็ยิ่งหดหู่มากขึ้น
    เธอถามตัวเองว่า เจ้าหอยแครงกับตัวด้วง
    ที่ถูกจับมากินเป็น ๆ อย่างนั้น พวกมันเจ็บไหม ?
    ทำไมคนเราต้องเสาะแสวงหาความสุข
    บนความทุกข์ความเจ็บปวดของชีวตอื่นด้วยนะ
    เธอชักไม่อยากมีความสุขบนความทุกข์ของชีวิตอื่นแล้วสิ

    ความรู้สึกนี้ยิ่งถูกตอกย้ำมากขึ้น
    เมื่อเธอขึ้นรถโดยสารกลับบ้าน
    แล้วเห็นรถบรรทุกหมูวิ่งผ่าน
    น้องหมูพวกนั้นหน้าตามันเศร้า ๆ จังเลยแฮะ
    คิดได้เท่านี้ จริตที่แสนจะอ่อนไหว
    ก็ เริ่มชักชวน
    " เลิกกินเนื้อสัตว์ดีไหม จะได้ไม่ต้องเบียดเบียนชีวิตอีก "

    ซึ่งเธอเองก็ร่ำ ๆ จะเห็นดีเห็นงามไปกับมันอยู่แล้ว
    ถ้าไม่นึกถึง ลูกชิ้นหมูเจ้าอร่อย ในตลาดขึ้นมาเสียก่อน
    แค่คิดว่า จะต้องตัดขาดกับ น้องลูกชิ้นของโปรด
    กับ น้องไก่ทอดเนื้อนุ่ม ๆ หนังกรอบ ๆ ไปชั่วชีวิต

    เจ้าความตะกละในตัว ก็เกิดอาการทนไม่ได้
    มันตัดสินใจปฏิเสธ
    ความต้องการของ กุศลจริต แทนเธอ ชนิดสิ้นเยื่อขาดใย
    โดยบอกเจ้ากุศลจริตแสนดี ไปว่า
    นี่แหน่ะ ขืนต้องกินอด ๆ อยาก ๆ
    ต้อง พลัดพรากจากน้องลูกชิ้นทอด แสนรัก
    หนูบัว ฯ คงทำใจลำบากมั่ก ๆ
    หนูบัวฯ เค้ามีราคะ-จริตเป็นเจ้าเรือน
    เป็นพวกลัทธิ เสพสุข นะยะ
    นิยมอยู่กับความสุขสม
    ต้องกินดี ๆ ต้องอยู่ดี ๆ และ นอนดี ๆ
    ขืนให้กินแต่ผักแต่หญ้า
    เป็น ฤาษีชีไพร งี้ไม่ไหวหรอก
    หนูบัวฯต้องเฉาตายแน่ ๆ


    เจ้าจริตใฝ่ดี ฟังข้อโต้แย้งแล้ว ก็ล่าถอย
    เมื่อถูกเจ้าความตะกละ ตีพ่ายจนแตกกระเจิง
    แต่มันก็ยังไม่ยอมแพ้
    ล่าสุดนี่มันก็มาสะกิดยิก ๆ บอกเธอว่า
    นี่ ๆ น้องบัวฯจ๋าาาาาาาาาาาาาาา
    ถ้ายังตัดใจเลิกกินเนื้อสัตว์ไม่ได้ ก็ลดได้ไหม ?
    อาทิตย์นึงมีตั้ง เจ็ดวัน งดกินเนื้อแค่อาทิตย์ละวันสองวัน
    เธอไม่ตายหรอกน่า
    ตั้งแต่ลืมตาดูโลกใบนี้
    เธอก็พรากชีวิตอื่นเพื่อเอามาต่อชีวิตตัวเอง
    จนนับไม่ถ้วนแล้วนะ ลดได้ก็ลดเหอะน่า


    คราวนี้พอ ฟัง เจ้าจริตแสนดีมัน ชี้ชวน
    หนูบัวฯ ก็ชักคล้อยตาม ...เลยตัดสินใจว่า เออ ๆ ลองดูก็ได้
    "งดกิ๋นจิ๊นแค่อาติ๊ดละ วันสองวัน ฮา คง บ่ ลงแดงต๋ายหรอกน่า "
    หนูบัวฯ ปลอบใจตัวเองอย่างนั้น

    แต่พอเจ้ากุศลจริต มันรู้เข้า ก็ชักได้ใจ
    หา ยอมหยุดแค่นี้ไม่
    มันเริ่มงอแงจะเรียกร้องจะเอาโน่นเอานี่เพิ่มเติม
    ( ช่างโลภมากเหลือเกิน )

    มันบอกหนูบัวฯ ว่า แหม ๆ อาทิตย์หนึ่งมีตั้งเจ็ดวัน
    มันขอ งดกินเนื้อได้แค่ 2 วันเท่านั้นเอง
    ทีไอ้เจ้าตัวตะกละ หนูบัวฯยังมีเวลาให้ตั้ง ห้าวัน
    ลำเอียง ๆๆๆๆ ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
    มันขอมากกว่านี้หน่อยได้ไหม
    อย่างน้อย ห้าสิบห้าสิบก็ยังดี
    ฟังแม่จริตแสนดีมาตะแง้ว ๆ ข้าง ๆ หูบ่อยเข้า
    หนูบัวฯ ก็เลยใจอ่อนอีกตามเคย
    ยอมสัญญากับมันว่า จะ กินมังสวิรัต 3 วัน
    คือ อังคาร พุธ พฤหัส

    "วันศุกร์ มีตลาดนัด ของกินเพียบบบบบเลย
    ยังไงก็งดไม่ได้หรอกนะ
    แถม เสาร์ อาทิตย์ ก็เป็นวันหยุดอันแสนสุข
    เจ้าตัวตะกละมันจองคิวล่วงหน้าไว้แล้ว แคนเซิ่ล ไม่ได้ซะด้วย
    ส่วนวันจันทร์ หนูบัวฯก็ต้อง...เก็บตก....
    ของกินกองพะเนินที่เหลือจากวันหยุด
    และวันอังคาร ก็ไม่รับปากเต็มที่นะ
    ถ้าวันจันทร์ เก็บตก ไม่หมด วันอังคารก็ฟาล์ว "
    เธอแจกแจงบอก เจ้ากุศล-จริต เสียงแข็ง
    เพื่อกันไม่ให้มันเรียกร้องมากเกิน <!--MsgFile=4-->



    ตอนนี้เวลาก็เดินก็ผ่านไป สองอาทิตย์แล้วสินะ
    ที่แม่จริตแสนดีมันจับบัวฯเซ็น สนธิสัญญา งดนำเข้าเนื้อสัตว์ใส่ปาก
    อังคารแรกที่เริ่มกินมังฯ ชีวิตหนูบัวฯ ก็อับเฉาเหลือทน
    ทำเอา หนูบัวฯเข้าใจ ( และเห็นใจ ) นางพันธุรัตน์ แม่เลี้ยงพระสังข์เลยนะ
    เข้าใจเลยว่า การต้องข่มความอยากกินเนื้อหนังมังสา มันแย่แค่ไหน

    จากที่เคยเอ็นจอยกับการเอาโน่นเอานี่เข้าปากอย่างสนุกสนาน
    จนหนังท้องตึงหนังตาหย่อนทุกคืน
    มาตอนนี้หนูบัวฯ กลับรู้สึกว่าท้องมันเบา ๆ โหวงๆไงพิกล
    จากที่เคยกินจนท้องมันเต่ง ดีดได้ดัง ปุ๊ ...ปุ๊...
    ตอนนี้ ท้องมันกลับแฟ่บ ดีดแล้วดัง แป่ะ...แป่ะ...
    ( แหม ? เสียงมันช่างไม่ไพเราะเอาซะเลย )

    แถม ใจ หนูบัวฯมันก็คอยจะโหยหาแต่...
    น้องลูกชิ้น(หมู ) กับน้องไก่ ( ทอด )
    ไปตลาดก็ได้แต่ชะเง้อมองน้องหมูน้องไก่ ตาละห้อย
    พร้อมกับสัญญิงสัญญาในใจว่า น้องหมูจ๋าน้องไก่ จ๋า
    รอพี่หนูบัวฯ ก่อนนะ ศุกร์นี้เดี๋ยวเจอกัน !

    แต่ที่น่าขำ คือ พอถึงวันศุกร์จริง ๆ
    หนูบัวฯไปตลาดด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือ
    แม่ค้าไก่ทอดกับพ่อค้าลูกชิ้น กลับพาผิดนัด ปิดร้านหนีหนูบัวฯไปเฉย
    มาเปิดอีกทีก็วันเสาร์ ทำเอา หนูบัวฯเซ็งจิต
    แล้วก็พาลนึกเบื่อที่จะกินน้องหมูน้องไก่ ซะงั้น

    ถึงตอนนี้ หนูบัวฯก็ยังไม่รู้หรอกว่า
    หนูบัวฯจะกิน มังฯ ไปได้สักกี่น้ำ
    แต่ก็รู้สึกดีนะ ที่ได้ลดการเบียดเบียนชีวิตลงไปมั่ง
    หนูบัวฯ พรากชีวิตอื่นเพื่อต่อชีวิตตัวเองมานักแล้ว
    ละตัณหา (ความอยาก) ในตัว เพื่อต่อชีวิต ให้กับสัตว์อื่นเสียบ้าง
    มันก็เข้าท่าดีเหมือนกัน
    บางที...การนั่งคุยกับความความอด ๆ อยาก ๆ และ ความไม่เจริญอาหาร
    แค่อาทิตย์ละสองสามวัน เพื่อความสุขของชีวิตอื่น มันก็คุ้มค่านะ ^ - ^


    จริง ๆ การกินมังฯ ของหนูบัว ฯ มันก็ไม่ได้ราบรื่นนักหรอกนะ
    คนที่เคยใช้ปากหาความสุขจากเลือดเนื้อของสัตว์อื่น
    บางทีมันก็ยังติดใจกับในเนื้อหนังมังสาที่เคยกินอยู่บ้าง
    จำได้ว่า ครั้งหนึ่งหนูบัวฯ รู้สึก คิดถึงเนื้อหมู มั่ก ๆ
    เลยหาทางออก ด้วยการคิดจะไปกิน โปรตีนเกษตร
    เพราะรสชาดมันคงจะพอทดแทนเนื้อสัตว์ได้มั่งแบบกล้อม ๆ แกล้ม ๆ

    วันนั้นหนูบัวฯ เสริ์ชกูเกิ้ลเพื่อหาข้อมูลเรื่อง โปรตีนเกษตร อยู่นานเลย
    พอแน่ใจว่ามันไม่มี ส่วนประกอบของเนื่อสัตว์
    เลย ตั้งใจว่า พรุ่งนี้จะลองไปซื้อมากินสักหน่อย
    เผื่อจะบรรเทาความอยากในใจลงไปได้มั่ง
    แต่วูบหนึ่ง แม่จริตแสนดีในใจ มันกลับส่งเสียงถามหนูบัวฯ ว่า
    ทำไมต้องยึดติดกับรสชาดของเนื้อหนังเหล่านั้นด้วยล่ะ
    ในเมื่อหนูบัวฯคิดจะลดการเบียดเบียนชีวิต
    หนูบัวฯก็ควรจะงดการเบียดเบียนทั้งที่ปาก และ ที่ใจของหนูบัวฯ ด้วย

    ถึงแม้โปรตีนเกษตร จะไม่ใช่เนื้อสัตว์
    แต่เวลาที่หนูบัวฯ กัด บัวฯเคี้ยว เจ้าโปรตีนฯ นั่น
    หนูบัวฯนึกถึงอะไรล่ะ
    หนูบัวฯ ก็คงคิดถึงแต่ ความอร่อย ที่สมมุติไปเอง ว่า
    เจ้าโปรตีนฯ นี่ คือ เนื้อหมูเทียม ๆ
    แล้วก็กระหยิ่มยิ้มย่องว่า ดีจังที่ได้อร่อยกับเนื้อหนังสมมุติ
    โดยไม่เบียดเบียนชีวิตใคร อร่อย แถมยังไม่บาปด้วย
    แต่ที่จริง มโนกรรมมันไปแล้วนะ มันเริ่มคิดไม่ดีแล้ว
    จิตหนูบัวฯ มันคงเริ่ม ยึดติดจนเกิดความเพลิดเพลินยินดี
    กับสิ่ง ที่ สมมุติว่า เป็นเนื้อหนังที่ได้จากความตายของชีวิตอื่นไง

    พอจริตมันทักท้วงแบบนั้น
    หนูบัวฯก็เลยได้แต่ถอนใจเฮือก
    แล้วก็ตัดใจ เอาวะ ไม่ซื้อ โปรตีนเกษตรมากิน ก็ได้
    ทนย่อยผักย่อยหญ้า ไปตามมีตามเกิดแล้วกัน
    ฟังดูเหมือนเคร่งครัดกับชีวิตเกินไปนะ
    แต่จริง ๆ หนูบัวฯ ก็ไม่ได้ถือมังฯ จนตัวเองเมื่อย หรอก
    พอวัน ศุกร์ ถึง จันทร์ ออกจากมังฯ
    หนูบัวฯ ก็กินแหลกเหมือนกัน ทั้ง หมูเห็ดเป็ดไก่
    เพียงแต่ช่วงที่ตั้งใจจะกินมังฯ
    หนูบัวฯก็อยากจะให้มัน ลดการเบียดเบียนชีวิต
    ให้ได้ครบถ้วน ทั้ง กาย และ ใจ น่ะ

    โชคดีอยู่อย่างที่สภาพแวดล้อมรอบตัว หนูบัวฯ มันเอื้อฯ
    พอจะ งดกิ๋นจิ๊น ก็แค่ต่อสู้นิด ๆ หน่อย ๆ กับเจ้าตัวตะกละในใจเท่านั้น
    ไม่เคยมีอาการเหม็นคาว หรือ ทุรนทุรายกับความอยาก จนทนไม่ได้
    เพราะถ้าเป็นงั้น หนูบัวฯ ก็คงเลิกทำไปแล้ว
    การฝืนจริตจนเกินไป ไม่ใช่วิสัยของ หนูบัวฯ
    ถ้าทำแล้วทุกข์มากขึ้น เธอ ก็ไม่รู้จะทำไปทำไม
    แม้ในยามที่เป็นทุกข์
    คนเราต้องแสวงหาทางพ้นทุกข์
    ไม่ใช่จมปลัก อยู่กับ ความทุกข์
    โดยเฉพาะทุกข์ที่เราสร้างมันขึ้นมาด้วยจริตของเราเอง... <!--MsgFile=5-->




    แถมตอนหลัง พอหนูบัวฯ ถือศีล ข้อ 1 มากเข้า
    ก็เริ่มอยากชวนคนใกล้ตัวมาถือศีลด้วย
    พอเห็นแม่ปัดหยากไหย่ ไล่ตีเจ้าแมงมุม
    กระทืบแมลงสาบ พร้อมกับ บี้มด ที่แอบมาทำรัง ที่บ้านพัก
    เธอก็เริ่มเลคเชอร์เรื่อง กุศลของการถือศีล ข้อ 1 ให้แม่ฟัง
    ด้วยการบอกให้เข้าใจ ง่าย ๆ ว่า
    ถ้าเราลดการเบียดเบียนชีวิตอื่น
    ชีวิตอื่น ก็จะไม่มาเบียดเบียนเรา
    แถมยัง ได้อานิสงค์ ไม่เจ็บป่วยง่าย ด้วยนะ
    คนที่มีเจ็บไข้บ่อย ๆ
    ก็เพราะเคยมีวิบากผิดศีลข้อ 1 นี่แหล่ะ

    คุณนายแก้วดี อุบาสิกาตัวอย่างของชาวพุทธ
    ฟังแล้วก็เกิดเห็นดวงตาธรรม (ไม่อยากเจ็บไข้ได้ป่วย)
    เลยเลิกเบียดเบียนชีวิตสัตว์ (ให้ลูกสาวเห็น)
    แต่บางครั้ง ด้วยวิสัยแม่บ้าน ผู้รักความสะอาดยิ่งชีวิต
    แม่ก็ยังอดไม่ได้ ที่จะ บี้มด ฆ่าแมงมุม ตบยุง กระทืบแมลงสาบ
    เวลาทำความสะอาดบ้านเรือน อยู่ดี

    หนูบัวฯ มองแล้วเลยได้ แต่ ปลง
    บอกแม่ไปประมาณ ว่า
    บ้านเรือน มันก็เหมือนสังขารของเรานั่นแหล่ะ
    โดยนิตินัย เรือนหลังนี้ เราคือเจ้าของ
    แต่โดย ธรรมนิยาม ไม่มีอะไรที่เป็นของเราโดยแท้จริงหรอก

    เราเป็นเพียงผู้พักอาศัยชั่วคราว ในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น
    เหมือน ๆ กับที่ แมงมุม มด แมลงสาบ
    มันเดินพาเหรด เข้ามาอาศัยนั่นแหล่ะ
    ถ้าแม่วางเฉยกับพวกมัน เหมือนที่ เธอทำ ไม่ได้
    แม่ก็จับมันไปปล่อยไกล ๆ ก็พอ
    ขออย่าไปเบียดเบียนชีวิตมันเลย
    ให้มันได้มีชีวิตอยู่ชดใช้เวรกรรม ของมันไปตามอายุขัย เหอะ
    หลัง ๆ แม่คงเบื่อที่ หนูบัวฯ บ่นราวกับพระแก่ ๆ
    แม่เลยยอมทำตามความประสงค์ของเธอบ้าง ( ในบางครั้ง )

    ส่วน คุณสมาน เจ้าของสโลแกน
    " ทางไปวัดมันหมอง ทางไปหนองมันเตียน "
    พ่อของหนูบัวฯ นั้น เมื่อก่อนเป็นอย่างไง
    เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นเหมือนเดิ้มมมมมมมมมมมมมม
    ปณิธาน ของ พ่อนั้น มันช่างมั่นคงดุจหินผา
    ราวกับจะต่อต้าน หลักไตรลักษณ์ ว่าด้วยเรื่อง อนิจจัง

    แม้ การผุพังของสังขาร
    จะทำให้พ่อแบกปืนปีนต้นฉำฉาไปส่องปลาที่ไหน ไม่ได้อีกแล้ว
    แม้ พ่อจะวางมือจากการยิงปลานิล แล้วหันมาเลี้ยงปลาหมอสี
    แต่ เมื่อมีโอกาส พ่อก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ละเลยศีลข้อ 1 อยู่ดี

    บ่อยครั้งที่หนูบัวฯ เห็น พ่อ เที่ยววุ่นวายหาไส้เดือนตัวเป็น ๆ
    หรือ ไล่ตบแมลงวัน แมลงสาบ
    เพื่อเอาไปเลี้ยง คุณศรราม ( ปลาหมอสีที่บ้าน )
    พ่อบอกว่า ถ้าขืนให้คุณศรราม กินแต่อาหารเม็ด
    คุณศรราม จะไม่แข็งแรง อาจจะเบื่อ และ เฉาตายได้

    หนูบัวฯ ก็ไม่รู้จะห้ามตาแก่หัวดื้อ คนนี้ยังไง
    เวลาเห็นพ่อ พะเน้าพะนอหยอกเย้า
    หยิบเอาไส้เดือนตัวเป็น ๆ ให้คุณศรรามกิน
    เธอ ก็เลยทำได้แค่ ถอนใจเฮือก
    พร้อมกับแหกปาก อาราธนาศีล ข้อที่ 1 เสียงดังลั่น
    (ด้วยหวังว่ามันจะซึมเข้าไปกระทบโสตประสาทของพ่อมั่ง)
    แต่ แค่ อ้า ปาก พูดได้แค่ " ปาณาติปาตา เวร...."
    พ่อแกก็หันมาขัดเสียงขัน " ปลานา ปลาหนอง หรือ เอ็งจะเอา ปลากระชัง ดีล่ะ "

    สุดท้ายหนูบัวฯ ก็เลยได้แต่นึกปลง ( ตามเคย )
    พยายามทำใจให้ว่างเป็นอุเบกขา
    แล้วคิดเสียว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
    จริต และ ข้อจำกัดของขันธ์ 5 ในแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน
    ขนาด บัวยังมี 4 เหล่า เลย นี่นะ

    ถ้าจริตของพ่อยังอยากอยู่ในโคลนตม ( เป็นเพื่อนคุณศรราม )
    เธอก็ขี้เกียจขัดใจบุพการี แล้วล่ะ
    ไม้แก่ฝืนดัดมาก ๆ มันก็หัก
    เธอไม่ชอบเจ้ากี้เจ้าการ
    ฝืนจริตเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของใคร
    ถ้าต้องเลือก เธอก็เลือกที่จะ
    หันมาเปลี่ยนแปลงที่ตัวเองมากกว่า

    แต่บางครั้ง อดไม่ได้เธอก็เปรย ๆ ออกไป
    " ระวังนะหมาน ฆ่าสัตว์ทำบาปมาก ๆ
    ชาติหน้าไม่ได้เกิดเป็น พ่อลูกกัน ไม่รู้ด้วยเด้อออออออ"
     
  4. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    ขอพูดถึงเรื่องศีล ข้อ 1 อีกหน่อย
    พ่อเคยตั้ง ปุจฉา ถามหนูบัวฯ ว่า
    คนที่ทำงานอยู่โรงฆ่าสัตว์ ต้องเชือดหมูเชือดวัว บาปหรือไม่ ?
    ตอนนั้น แม่หนู ทำท่างง เพราะรู้สึกว่า คำตอบมันก็ตรงไปตรงมานะ
    ว่า ต้อง บาป อยู่แล้ว จะมาถามทำไมให้เปลืองน้ำลายละค๊ะ คุณหมาน ?

    แต่คำตอบของพ่อ กลับไม่ใช่อย่างที่ หนูบัวฯคิด
    พ่อบอก เด็กหญิง ว่า คนฆ่าไม่บาปหรอกนะ
    เพราะมีคนกิน ถึงได้มีคนฆ่า
    โตขึ้นอีกหน่อยหนูบัวฯ ก็เริ่มคุ้นเคยกับคำว่า
    บาปอยู่กับคนทำ กรรมอยู่กับคนกิน
    แม้ว่าถึงตอนนี้ หนูบัวฯ จะไม่รู้ว่า คำตอบของพ่อ ถูกหรือผิด
    แต่จริตในใจหนูบัวฯ มันก็ปรุงแต่ง ไป ว่า

    ในเมื่อเราเกิดมาโชคดีมีอาชีพที่ไม่เปื้อนบาป
    หาเงินได้ง่าย ๆ สบาย ๆ โดยไม่ต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
    เราก็ควรจะ ขอบคุณ คนเชือดไก่ เชือดหมู ด้วย
    ที่เขาทำบาปแทนเรา ถ้าไม่มีเขาเหล่านั้น
    หนูบัวฯก็คงไม่มีเนื้อไก่เนื้อหมูกิน
    เพราะหนูบัวฯทำใจฆ่าสัตว์พวกนี้ไม่ลง
    ( แต่บัวก็ยังติดใจในเนื้อหนังของพวกมันอยู่ดี แหะ...แหะ... )

    ดังนั้น ขอบคุณ คุณคนเชือดไก่ เชือดหมู ทุกคนนะคะ
    ที่ยอมใช้มือมาเปื้อนบาปแทนหนูบัวฯ
    แม้หนูบัวฯจะแบกรับบาป ที่คุณทำ แทน คุณ ไม่ได้
    แต่ทุกครั้งที่ต่อศีลและแผ่เมตตา
    หนูบัวฯสัญญานะว่า จะยกกุศลกรรมที่ได้กระทำทั้งหมดให้กับ เจ้ากรรมนายเวร
    และ ทุกชีวิต ( ซึ่งหนึ่งในนั้นก็จะมีพวกคุณ อยู่ด้วยเสมอเจ้าค่ะ ^ - ^ )

    อ้อ ต่ออีกนิด ไปเจอเวบนี้เข้าตอน เสิร์ชเรื่อง ศีล ในกูเกิ้ล
    อ่านแล้วรู้สึกว่า เรื่องที่เขียนตรงกับตัวเองดี ( โดยเฉพาะ เรื่อง ศีลข้อ 1 )
    ลองไปอ่านดูนะ


    ประโยชน์ของศีล 5
    http://www.geocities.com/TMCHOTE/Thumma/Sila/sl004.htm <!--MsgFile=7-->

     
  5. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    คิดว่ายากมันก็ยากคิกว่าง่ายมันก็ง่าย ใ
     
  6. เดินทาง

    เดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +38
    ?с???Ԡ- ?Ð₪?좍?ȕŠ5
    จาก Link คุณหนูบัวฯ ครับ


    ประโยชน์ของศีล 5

    ศีล 5 นั้น มีประโยชน์โดยรวม 2 ด้านคือ

    1.) เพื่อความสงบสุขของสังคม คือเพื่อป้องกันการล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น อันจะส่งผลให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง ความหวาดระแวง และความวุ่นวายในสังคม

    2.) เพื่อพัฒนาจิตใจของผู้ที่ถือศีลนั้นเอง เพราะศีล 5 นั้น ถูกบัญญัติขึ้นมาเพื่อควบคุม ไม่ให้มีการแสดงออกทางกาย หรือทางวาจา ไปในทางที่ตอบสนองอำนาจของกิเลส


    การทำผิดศีลแต่ละครั้ง ก็คือการยอมให้กิเลสสามารถครอบงำจิตใจได้อย่างเต็มที่ จนถึงขั้นส่งผลให้มีการแสดงออกทางกายหรือทางวาจานั่นเอง

    ดังนั้น การทำผิดศีลแต่ละครั้ง จึงทำให้จิตหยาบกระด้างขึ้น ตามลักษณะของกิเลสที่ครอบงำจิตอยู่นั้น ถ้ายิ่งทำผิดศีลมากครั้ง และบ่อยครั้งมากขึ้นเท่าไหร่ จิตก็จะยิ่งหยาบกระด้างขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อจิตหยาบกระด้างขึ้น ก็ทำให้สามารถทำผิดได้รุนแรงมากขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งก็จะส่งผลให้จิตหยาบกระด้างหนักขึ้นไปอีก เป็นวังวนพอกพูนไม่รู้จบสิ้น

    ทั้งนี้เพราะโดยทั่วไปนั้น คนเราจะไม่สามารถทำผิดได้ในขั้นที่หนักกว่าระดับความหยาบกระด้าง หรือระดับความประณีตของจิตที่เป็นอยู่ในขณะนั้น (ดูเรื่องลำดับขั้นของจิต ในหมวดบทวิเคราะห์ ประกอบ) เว้นแต่จะมีเหตุปัจจัย/สิ่งแวดล้อม ที่รุนแรงมากๆ มาบีบคั้น

    เช่นคนที่เคยตบยุงอยู่เป็นประจำ แต่ไม่เคยฆ่าสัตว์ที่ใหญ่กว่านั้นเลย จิตของเขาย่อมอยู่ในความประณีตระดับนั้น เขาย่อมสามารถตบยุงได้ ด้วยความรู้สึกที่ราบเรียบเป็นธรรมดา เพราะการกระทำนั้น อยู่ในขั้นที่ไม่หยาบเกินกว่าสภาพจิตปรกติของเขา

    แต่ถ้าให้เขาไปฆ่าเป็ดฆ่าไก่ เขาย่อมจะรู้สึกว่าไม่อยากจะทำ และเมื่อถูกเหตุการณ์บีบบังคับ ทำให้เขาเลี่ยงไม่ได้ เขาย่อมจะทำไปด้วยความรู้สึกที่ต้องฝืนใจเป็นอย่างมาก เพราะเป็นสิ่งที่หยาบกว่าสภาพจิตปรกติของเขานั่นเอง

    และหลังจากนั้น เมื่อเขาต้องฆ่าเป็ดฆ่าไก่อีก เป็นครั้งที่ 2, 3, 4, ...... เขาย่อมจะสามารถทำได้ ด้วยความรู้สึกที่ฝืนใจน้อยลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็จะไม่ต้องฝืนใจเลย เพราะจิตของเขาจะหยาบกระด้างขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนครั้งที่ทำลงไป ตั้งแต่ครั้งที่ 1, 2, 3, 4, ...... แล้วหลังจากนั้น เขาก็ย่อมที่จะฆ่าสัตว์ที่ใหญ่ขึ้นไปได้มากขึ้นเรื่อยๆ ตามวังวนเช่นเดียวกันนี้

    ผู้ดำเนินการเคยฟังคำให้สัมภาษณ์ของอดีตมือปืนรับจ้าง ได้ความว่ามือปืนโดยทั่วไปนั้น เมื่อต้องฆ่าคนครั้งแรก จะทำไปด้วยความรู้สึกที่ต้องฝืนใจ และทำใจได้ยากลำบากมาก และหลังจากทำงานครั้งแรกนั้นสำเร็จแล้ว ก็จะรู้สึกแย่อยู่หลายวันกว่าจะสงบลงได้ แต่พอทำครั้งที่ 2, 3, 4, 5 ก็จะทำได้โดยสะดวกใจขึ้นเป็นลำดับ จนกระทั่งประมาณครั้งที่ 6 หรือ 7 ก็จะทำได้ด้วยความรู้สึกที่ราบเรียบเป็นปรกติ

    ไม่เฉพาะการทำผิดศีลข้อแรก คือการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเท่านั้นที่อยู่ในวังวนแบบนี้ การทำผิดศีลข้ออื่นๆ ก็หนีไม่พ้นวังวนนี้เช่นกัน ซึ่งส่งผลให้คนที่ผิดศีลนั้น มีจิตใจที่หยาบกระด้างขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้จักจบจักสิ้น
    ทำให้เขาต้องห่างไกลจากความสุขอันประณีต ละเอียดอ่อนออกไปทุกที ต้องอยู่กับสภาพจิตที่เร่าร้อน หยาบกระด้างขึ้นทุกขณะ

    ครั้นพอได้มีโอกาสมารักษาศีล กิเลสทั้งหลายเหล่านั้นจึงครอบงำจิตใจได้น้อยลง เพราะถูกบังคับ ควบคุมไว้ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้แผลงฤทธิ์รุนแรงจนถึงขั้นแสดงตัวออกมาทางกาย หรือทางวาจา กิเลสจึงมีกำลังอ่อนลงเรื่อยๆ ส่งผลให้จิตประณีต ละเอียดอ่อนขึ้นไปเรื่อยๆ

    เช่นคนที่เคยฆ่าเป็ดฆ่าไก่อยู่เป็นประจำนั้น ถ้าเขาว่างเว้นจากการฆ่าสัตว์เป็นเวลานานๆ ครั้นต่อมาเขาต้องกลับไปฆ่าเป็ดฆ่าไก่อีก เขาก็ย่อมจะทำได้ด้วยความรู้สึกที่ยากลำบาก ต้องฝืนใจมากกว่าในครั้งสุดท้ายที่เขาเคยทำมา ทั้งนี้ก็เพราะ จิตใจของเขาเริ่มประณีตขึ้นมาแล้วนั่นเอง

    การถือศีลแต่ละข้อนั้น จะส่งผลให้เกิดการขัดเกลา การปรับปรุงพัฒนาจิต ในทิศทางที่แตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกิเลสที่คอยบงการให้การกระทำผิดศีลข้อนั้นๆ เกิดขึ้น ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้
     
  7. เดินทาง

    เดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +38
    1.) การฆ่าสัตว์ กิเลสตัวหลักที่คอยบงการก็คือโทสะ (ความโกรธ) คือความไม่พอใจในสัตว์ที่ถูกฆ่านั้น กิเลสตัวรองก็คือโลภะ (ความโลภ) เพราะบางคนฆ่าสัตว์เนื่องจากความโลภเข้าครอบงำ เช่น อยากได้เงินค่าจ้าง ต้องการสัตว์นั้นมาเป็นอาหาร ความหวงแหนในทรัพย์สมบัติของตนจึงฆ่าสัตว์เพื่อปกป้องทรัพย์นั้น เพื่อให้คนยอมรับในความกล้าหาญ หรือเพื่อลาภยศที่จะตามมาจึงฆ่าสัตว์ให้คนเห็น ฯลฯ
    นอกจากนี้ก็ยังอาจมีสาเหตุมาจากกิเลสที่เป็นบริวาร ของโทสะหรือโลภะอีกเช่น ความพยาบาท ความอิจฉาริษยา ความแข่งดี ความตระหนี่ ฯลฯ

    2.) การลักทรัพย์ กิเลสตัวหลักที่คอยบงการคือโลภะ คือความอยากได้ในทรัพย์นั้น กิเลสตัวรองก็คือโทสะ เช่น บางคนลักทรัพย์เพราะความโกรธในตัวเจ้าของทรัพย์นั้น ทั้งที่ความจริงแล้ว ไม่ได้อยากได้ของสิ่งนั้นเลย ฯลฯ สาเหตุจากกิเลสที่เป็นบริวารก็เช่น ความพยาบาท ความอิจฉาริษยา ความแข่งดี ฯลฯ

    3.) การประพฤติผิดในกาม กิเลสตัวหลักที่คอยบงการคือโลภะ คือความยินดี พอใจในหญิง หรือชายนั้น กิเลสตัวรองคือโทสะ เช่น บางคนประพฤติผิดในกามเพราะความโกรธในคู่ของตน จึงทำเพื่อประชด หรือโกรธในผู้ที่หวงแหนคนที่เราประพฤติผิดด้วยนั้น หรืออาจจะโกรธในตัวคนที่เราล่วงเกินนั้นเองเลยก็ได้ จึงทำการล่วงเกินเพื่อให้คนคนนั้นเจ็บใจ หรือเป็นเพราะอารมณ์ไม่ดี จึงประพฤติผิดในกามเพื่อระบายความเครียด ฯลฯ สาเหตุจากกิเลสที่เป็นบริวารก็เช่น ความพยาบาท ความอิจฉาริษยา ทำไปเพื่อโอ้อวด ความแข่งดี ฯลฯ

    4.) การพูดปด กิเลสตัวหลักที่คอยบงการนั้น อาจเป็นโลภะ หรือโทสะก็ได้ เช่น บางคนโกหกหลอกลวง เพราะอยากได้ทรัพย์ของผู้อื่นมาเป็นของตน บางคนโกหกเพราะความโกรธ เลยโกหกเพื่อให้คนที่ตนโกรธนั้นเดือดร้อน หรือได้รับความเสียหาย บางคนโกหกเพราะกลัวความผิด หรือกลัวความเดือดร้อนที่จะตามมาหากพูดความจริงออกไป ฯลฯ สาเหตุจากกิเลสที่เป็นบริวารก็เช่น ความพยาบาท ความอิจฉาริษยา ความตระหนี่ ความโอ้อวด ความแข่งดี ฯลฯ

    5.) การดื่มน้ำเมา รวมถึงของมึนเมาและสิ่งเสพติดทั้งหลาย อันเป็นสาเหตุให้ขาดสติ ซึ่งจะทำให้เกิดการผิดศีลข้ออื่นๆ ตามมา เพราะสติเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะคอยรักษาคุณความดีทั้งหลายไว้ และป้องกัน รักษาจิตจากสิ่งเลวร้ายทั้งหลาย
    กิเลสตัวหลักที่คอยบงการก็คือโลภะ คือความปรารถนาในความเพลิดเพลินยินดีอันเกิดจากการดื่ม หรือเสพนั้น กิเลสตัวรองคือโทสะ เช่น บางคนดื่มน้ำเมา หรือเสพสิ่งเสพติดเพราะความเครียด ความกังวลใจ ความทุกข์จากความผิดหวัง (สิ่งเหล่านี้จัดเป็นจิตในตระกูลโทสะ) ฯลฯ สาเหตุจากกิเลสที่เป็นบริวารก็เช่น ทำไปเพื่อโอ้อวด ความแข่งดี ฯลฯ

    การที่การห้ามจิตเพื่อที่จะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ในแต่ละครั้งนั้น จะเป็นการขัดเกลา หรือปรับสภาพจิต ให้ประณีตขึ้นจากความหยาบกระด้างของกิเลสตัวใด ก็ขึ้นกับว่ากิเลสที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ที่พยายามครอบงำจิตให้ทำผิดศีลข้อนั้นในครั้งนั้น เป็นกิเลสตัวใดนั่นเอง การห้ามจิตในครั้งนั้น ก็จะเป็นการป้องกันการพอกพูนขึ้นของกิเลสตัวนั้น และในระยะยาวก็จะทำให้กิเลสตัวนั้นๆ อ่อนกำลังลง แต่โดยรวมแล้วการห้ามจิตแต่ละครั้ง ก็ย่อมจะทำให้จิตประณีตขึ้นด้วยกันทั้งนั้น หรืออย่างน้อยที่สุดก็คือ จะไม่ทำให้จิตหยาบกระด้างมากขึ้นไปอีก

    ธัมมโชติ
    7 ธันวาคม 2543
     
  8. Amoxcycol

    Amoxcycol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +65
    ละเอียดนะ เรื่องศีลเนี่ย
    แต่หากคิดมาก ก็มีปัญหาต่อจิต การรักษาศีลคือ ทำตัวปกติ
    กุศลบท 10 ก็ท่องให้ขึ้นใจไม่เผลอด้วยเหมือนกัน
    ไม่เบียดเบียน ผู้อื่นและตนเอง ทั้ง กาย วาจา ใจ
    หากรักษาใจได้แล้วไม่ว่าจะทำอะไร คนอื่นจะรู้สึกร่วมยินดีด้วยไม่อึดอัดใจ
    นั้นเพราะงามด้วยศีล เพราะศีลรักษา นำพาความดี ๆ มาหาตัวพร้อมด้วยกัลยานิมิตร
    และสิ่งดี อีกมากมาย เพราะแค่มีศีล มันจะผ่อง
     
  9. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    มันละเอียดจริงๆ มีอย่าหยาบๆ กลางๆ ละเอียด
    ถ้าอย่าหยาบๆก็พอคุยได้หรอกว่าไม่ต้องคุม
    อย่างไอ้เกสคุยไว้นี้ หมายถึงอย่างหยาบหรือละเอียดหละ
    อ่อแล้วอย่ามุสาแล้วบอกกว่าเห็นทุกอย่างว่างเปล่าอีกนะ ไม่งั้นศิลด่างแน่
    หุหุ
     
  10. Amoxcycol

    Amoxcycol Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +65
    ทุกอย่างว่างเปล่า แล้วแต่ใครจะอนุมาน
    เราว่าว่างเปล่าของเรา คือเฉย ๆ ก็ได้
    บางคนก็บอกว่างเปล่า นี่คือไม่มีอะไรเลย
    แต่ของเราว่างเปล่า ก็คือน้ำเปล่าดื่มดับกระหายได้ โดยไม่คิดว่ามันมีส่วนประกอบอะไร
    ดื่มทันทีดับได้ แค่น้ำเปล่าๆ แก้วเดียว ได้มะ ว่างเปล่าของเรา
    คงไม่เบียดเบียนใจใครล่ะ
     
  11. ren

    ren เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,646


    pig_cryypig_cryypig_cryy



    Thank you บัวจัง มากน่ะจ๊ะ ...... ที่ร่วมแบ่งบันประสบการณ์
    วิวัฒนาการรักษาศีลของตนเอง เป็นกำลังใจให้คะ

    เราเป็นปุถุชน เป็นธรรมดาของจิตที่ชอบไหลจากที่สูงลงสุ่ที่ต่ำ
    หากขาดเขื่อนกั่นอย่างศีล ก็จะตกนรกกันไปอย่างไม่ต้องสงสัย
    หากมีความตั้งใจ อะไรก็ไม่อยากเกินใฝ่ฝัน

    เห็นบัวจัง เล่าเกี่ยวกับการลดทานเนื่อสัตว์ของตน
    การที่เรางดเนื่อสัตว์นั้นถือว่าเรามีเมตตาคะ่ แล้วถามว่า ทานเนื้อสัตว์ผิดไหม เรานำคำสอนจากพุทธพจน์มาให้อ่านจ๊ะ


    ทานเนื้อสัตว์บาปหรือไม่

    ปัญหา มีพุทธศาสนิกชนบางพวกเห็นว่า การกินเนื้อสัตว์เป็นบาปเพราะเป็นการส่งเสริมให้คนอื ่นฆ่า ในเรื่องนี้พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าอย่างไร ?

    พุทธดำรัสตอบ ..... ดูก่อนชีวก เรากล่าวเนื้อว่าไม่ควรเป็นของบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ เนื้อที่ตนเห็น เนื้อที่ตนได้ยิน เนื้อที่ตนรังเกียจ ดูก่อนชีวก เรากล่าวเนื้อว่า เป็นของไม่ควรบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการนี้แล ดูก่อนชีวก เรากล่าวเนื้อว่าเป็นของควรบริโภค ด้วยเหตุ ๓ ประการคือ เนื้อที่ตนไม่ได้เห็น เนื้อที่ตนไม่ได้ยิน เนื้อที่ตนไม่ได้รังเกียจ ดูก่อนชีวก เรากล่าวเนื้อว่า เป็นของบริโภคด้วยเหตุ ๓ ประการนี้แล.....”

    ชีวกสูตร ม. ม. (๕๗)



    เราเคยงดเนื่อสัตว์ทุกชนิดประมาณ 1 อาทิตย์

    เนื่อง ด้วยวันนั้น เรานั้งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ เห็นนกกระจอก มันบนมากินถั่วงอกที่เขาทำตกไว้ อยู่ๆ ดวงตาก็เกิดธรรมขึ้นมา เรานึกเป็นภาพเลยว่า ..... เรากิน นกมันก็กิน เรานอน นกก็นอน เราอึ นกก็อึ
    เราXXX นกมันก็ XXX กับแฟนมันเหมือนกัน



    เราเขาก็เท่ากัน

    .... คำว่าเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหลายทั้งสิ้น .....

    มันก้องในหูจับจิตจับใจชัดเจนมากกกก


    ก็เลยไม่กินมันซะงั้น พอจะเอาเข้าปาก มันรู้สึกว่าเราเขาก็เท่ากัน
    นี้เรากินซากศพของเพื่อนเราอยู่นะ่นี้ เหอๆ แล้วประมาณ 1 อาทิตย์
    ที่ไม่สามารถกินเนื้อได้เลย อ้วกแตกครับท่าน

    เห็นไก่ย่างห้าดาวก็เป็นศพไปหมด
    คำของตถาคตที่บอกว่า ร่างกายเราเป็นแหล่งร่วมของป่าช้ามันจริงอย่างงี้นี้เอง

    เมื่อมองอะไรก็เป็นศพไปหมดอย่างงี้ จะกินอะไรกับเขาได้นี้
    แต่ว่าโชคดีคะ่ รู้จักกับสหายธรรมท่านหนึ่ง ท่านก็นำพุทธพจน์บทที่เรายกให้เธอนี้แหละมาให้เราดู

    เมื่อเราเกิดมามีสังขาร เราก็มีหน้าที่ต้องทรงและบำรุงมัน
    หากเป็นคนดี เขาก็จะบำรุงสังขารเืพื่อพามันเป็นกำลังทำในสิ่งดีๆ
    หากว่าเป็นคนไม่ดี มันก็จะ บำรุงสังขารเพื่อพาไปทำสิ่งเลวๆ

    เราก็เลยค่อยๆ พิจารณา จากนั้นก็ยึดตามคำสอนนั้นคะ่
    ถ้าสัตว์ที่เราเห็นว่าเขาฆ่าจะๆ เพื่อให้เรากินอย่างเช่นหอยแครงลวกเราจะไม่กิน ทั้งๆที่ชอบกินมากกก เรางดเลย ยกเว้นแต่ เมื่อมีคนที่้บ้านซื้อมา เรากลับบ้านเจอมันอยู่ในตู้กับข้าวพอดีล่ะก็เสร็จแน่ เหอๆ

    เพิ่มเติ่มอีกจ๊ะ หากว่า แม้่เราไม่ได้ิยิน ไม่ได้เห็น ตอนเขาฆ่าก็ตาม
    แต่ว่า เราเป็นคนสั่ง ระบุเฉพาะเจาะจง ว่าจะกินหอยแครงลวก ไอ้เพื่อนซื้อมาให้กินหน่อยอย่างงี้ถือว่าผิดจ๊ะ





    -cool day--cool day--cool day--cool day--cool day-



    เอาล่ะ กินนแตงโมกันเถอะ อิอิ
     
  12. เกสท์

    เกสท์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +18
    ไม่ต้องบอกหรอกว่าหยาบว่ากลางว่าละเอียด

    เอาให้มันหลุดอย่างหยาบก่อนเถอะ
    เห็นสาว ๆ ไม่ได้มันมีอาการทุกทีซินา

    นี่มันไม่ได้โอกาสเฉย ๆ นะ
    หรือว่าสาวเจ้าไม่เล่นด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ

    ไม่อย่างนั้นศีลขาดศีลทะลุไปถึงไหนแล้วไม่รู้
     
  13. เดินทาง

    เดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +38
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]เกร็ดเล็กน้อยของศีล 5[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC][FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]ผู้สนใจท่านหนึ่งได้เมล์มาถามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางผู้ดำเนินการเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ แก่ท่านอื่นๆ ด้วย จึงขออนุญาตนำมาลงเอาไว้ ณ ที่นี้ ดังนี้[/FONT][/FONT]​






    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]<HR>[FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]คำถาม[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]Sent: Saturday, July 28, 2001 4:39 AM[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]Subject: question [/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]สวัสดีครับ[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]ขอเรียนถามดังนี้นะครับ[/FONT]


    1. [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]ศีลข้อ1 ที่ว่าด้วยการห้ามพูดปด ข้อนี้รวมถึงการพูดส่อเสียด, ประชดประชัน ฯลฯ ด้วยหรือเปล่าครับ[/FONT]
    2. [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]ศีลข้อที่ห้ามประพฤติผิดในกาม ข้อนี้รวมถึงในทางความคิดด้วยหรือเปล่าครับ[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]ขอบคุณครับ[/FONT]






    <HR>[FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]ตอบ [/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]ขอบคุณครับที่มีความสนใจในเว็บไซต์ธัมมโชติ[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]สำหรับคำถามที่ถามมานั้น ผมขอตอบอย่างนี้ครับ[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]ก่อนอื่น ผมอยากให้คุณ ... ทำความเข้าใจในเรื่องประโยชน์ของศีล 5 ในหมวดศีล ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้เสียก่อน เพื่อให้เห็นภาพรวมได้ชัดเจนขึ้น[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]1. ศีลข้อ1 ที่ว่าด้วยการห้ามพูดปด ข้อนี้รวมถึงการพูดส่อเสียด, ประชดประชัน ฯลฯ ด้วยหรือเปล่าครับ[/FONT]


    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]ในศีล 5 จริงๆ แล้ว จะพูดเน้นที่การงดเว้นจากการพูดปดเท่านั้น แต่ถ้าใครจะทำให้สูงขึ้นกว่านั้น เพื่อการพัฒนาจิตใจให้ประณีตขึ้น โดยการงดเว้นจากการพูดส่อเสียด (คือการยุยงให้เขาแตกแยกกัน) พูดคำหยาบ (คือการพูดให้เขาเจ็บช้ำใจ ซึ่งการประชดประชันก็เข้าข่ายข้อนี้ด้วย) พูดเพ้อเจ้อ (การพูดในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์) ก็ย่อมจะเป็นสิ่งที่ประเสริฐไม่น้อยนะครับ[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]เรื่องของการพูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อนี้ จะอยู่ในส่วนของวจีทุจริต ในอกุศลกรรมบถ 10 ดังนั้น การพูดปดจึงเป็นทั้งวจีทุจริต เป็นอกุศลกรรม และผิดศีล 5 ด้วย ส่วนการพูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ จะเป็นวจีทุจริต เป็นอกุศลกรรม แต่ไม่ผิดศีล 5 (แต่ก็ไม่ควรทำอยู่ดี)[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]2. ศีลข้อที่ห้ามประพฤติผิดในกาม ข้อนี้รวมถึงในทางความคิดด้วยหรือเปล่าครับ[/FONT]


    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]ศีล 5 นั้นจะเน้นที่กายและวาจาเป็นหลัก ดังนั้นการคิดจึงไม่ผิดศีล 5 แต่การแสดงออกทางกาย วาจาย่อมมีเหตุมาจากใจ ดังนั้น การพอกพูนในทางความคิดมากๆ นอกจากจะทำให้จิตหยาบขึ้นแล้ว ในอนาคตเมื่อความคิดนั้นๆ มีกำลังมากพอ การทำผิดทางกาย วาจาก็ย่อมจะตามมาได้โดยง่าย[/FONT]​

    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]การทำผิดเรื่องนี้ในระดับความคิดนั้น จะเข้าข่ายอภิชฌา (ความเพ่งเล็ง อยากได้สิ่งของๆ ผู้อื่นมาเป็นของตน อย่างไม่ถูกทำนองคลองธรรม) ซึ่งเป็นหนึ่งในมโนทุจริต ในอกุศลกรรมบถ 10 ดังนั้น จึงเป็นอกุศลกรรม แต่ไม่ผิดศีล 5[/FONT]​

    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]หวังว่าจะพอทำให้คุณ ... หายสงสัยได้บ้างนะครับ[/FONT]​

    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]ถ้ายังไม่กระจ่าง หรือมีข้อสงสัยในเรื่องอื่นๆ อีก ก็เมล์มาถามได้เรื่อยๆ นะครับ ผมยินดีตอบให้ทุกฉบับ ไม่ต้องเกรงใจ[/FONT]​

    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]ธัมมโชติ[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]1 สิงหาคม 2544[/FONT]​

    ศีลและอกุศลกรรม


    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]ผู้สนใจท่านหนึ่งได้เมล์มาถามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางผู้ดำเนินการเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ แก่ท่านอื่นๆ ด้วย จึงขออนุญาตนำมาลงเอาไว้ ณ ที่นี้ ดังนี้[/FONT]​


    <HR>[FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]คำถาม[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]Sent: Wednesday, June 12, 2002 2:26 PM[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]ตามความเข้าใจเดิม ศีลคือข้อห้ามการละเมิดกายวาจา แต่เมื่อได้อ่านคัมภีร์วิสุทธิมรรค และจากผู้รู้ จะเน้นที่ใจ เจตนา เจตสิก การสังวรอินทรีย์ และนอกจากไม่ละเมิดแล้ว ยังให้เป็นที่ตั้งและรวมแห่งกุศลธรรม มีความสะอาดและหิริโอตตัปปะ ไม่เกิดบาปธรรม แต่เกิดสันโดษและขัดเกลากิเลส[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]เช่นนี้ฆราวาสก็คงครองศีลได้ ไม่ผ่องแผ้วนัก ต้องเป็นระดับโสดาบันขึ้น ใช่ไหมครับ[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]ขอบคุณมากครับ[/FONT]


    <HR>[FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]ตอบ[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]เรียน คุณ .....[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]ขอบคุณครับที่ให้ความสนใจเว็บไซต์ ธัมมโชติ[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]ขอตอบคำถามดังนี้นะครับ[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]ตามความเข้าใจของผมนะครับ ศีลโดยทั่วไปนั้นจะเน้นที่ใจและเจตนาที่มีความรุนแรง จนถึงขั้นทำให้เกิดการแสดงออกมาทางกาย หรือทางวาจา แต่ถ้ายังไม่ถึงขั้นแสดงออกมาทางกาย หรือทางวาจาก็จะยังไม่ถึงขั้นผิดศีล แต่จะเป็นอกุศลกรรมได้แม้เพียงแค่คิดก็ตาม[/FONT]


    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]เช่น การลักทรัพย์นั้นก็จะมีขั้นตอนคร่าวๆ คือ[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]1. เห็นทรัพย์นั้น[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]2. อยากได้แบบไม่ชอบธรรม (อภิชฌา)[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]3. คิดจะลัก[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]4. เข้าไปใกล้ทรัพย์นั้น (เพื่อจะลัก)[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]5. จับทรัพย์นั้น (เพื่อจะลัก)[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]6. ทรัพย์นั้นเคลื่อนจากตำแหน่งเดิม (เพราะความพยายามที่จะลักทรัพย์นั้น)[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]7. เอาทรัพย์นั้นไป[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]ใน 7 ขั้นตอนนี้[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]ขั้นที่ 1. ยังไม่ผิดศีล และไม่เป็นอกุศลกรรม[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]ขั้นที่ 2. ยังไม่ผิดศีล แต่เป็นอกุศลกรรม[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]ขั้นที่ 3. เป็นอกุศลกรรม และเริ่มเข้าสู่องค์ของการผิดศีล แต่ยังไม่ผิดอย่างสมบูรณ์ (ถ้าเป็นภิกษุก็ยังไม่ปาราชิก)[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]ขั้นที่ 4 - 5. เป็นอกุศลกรรม และเริ่มเข้าสู่องค์ของการผิดศีลมากขึ้น แต่ยังไม่ผิดอย่างสมบูรณ์ (ถ้าเป็นภิกษุก็ยังไม่ปาราชิก)[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]ขั้นที่ 6. เป็นอกุศลกรรม และผิดศีลอย่างสมบูรณ์แล้ว (ถ้าเป็นภิกษุก็ปาราชิกในขั้นตอนนี้ - ตามหลักเกณฑ์ของพระวินัย)[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]ขั้นที่ 7. คงไม่ต้องพูดถึงนะครับ[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]"เช่นนี้ฆราวาสก็คงครองศีลได้ไม่ผ่องแผ้วนัก ต้องเป็นระดับโสดาบันขึ้น ใช่ไหมครับ"[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]ส่วนใหญ่ก็คงจะเป็นอย่างนั้นครับ แต่โดยหลักการแล้วแม้แต่โสดาบันก็ยังผิดศีลได้ครับ แต่จะเป็นศีลที่ไม่เป็นเหตุไปสู่อบายภูมิ คือจะรักษาศีล 5 ได้อย่างบริบูรณ์ แต่ยังอาจพูดเพ้อเจ้อ (เป็นอาบัติขั้นทุพพาสิตสำหรับภิกษุ) หรืออาจต้องอาบัติเล็กน้อยข้ออื่นๆ ได้[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]ในพระไตรปิฎกมักใช้คำว่า "ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ ให้บริบูรณ์ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต"[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]คำว่าธุลีก็คือกิเลสเครื่องเศร้าหมองของจิตทั้งหลาย[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]ถ้ายังไม่กระจ่าง หรือมีข้อสงสัยอะไรอีก ก็เชิญถามมาได้ใหม่นะครับ ไม่ต้องเกรงใจ[/FONT]


    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]ธัมมโชติ[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]27 กรกฎาคม 2545[/FONT]
    <!-- text below generated by server. PLEASE REMOVE --></OBJECT></LAYER>
    </SPAN></STYLE></NOSCRIPT></TABLE></SCRIPT></APPLET><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc1.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc2.js"></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript src="http://us.js2.yimg.com/us.js.yimg.com/lib/smb/js/hosting/cp/js_source/geov2_001.js"></SCRIPT><SCRIPT language=javascript>geovisit();</SCRIPT>[​IMG] <NOSCRIPT>[​IMG]</NOSCRIPT>[​IMG]

    <!-- text below generated by server. PLEASE REMOVE --></OBJECT></LAYER>​
    [/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]อกุศลกรรมบถ 10[/FONT]
    [FONT=MS Sans Serif, CordiaUPC, BrowalliaUPC]http://www.geocities.com/TMCHOTE/Thumma/General/gn030.htm[/FONT]
    <SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc1.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://us.i1.yimg.com/us.yimg.com/i/mc/mc2.js"></SCRIPT>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2009
  14. เดินทาง

    เดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +38
    <BIG><BIG><BIG><BIG>ไ ม้ จั น ท ร์ แ ม้ แ ห้ ง ยั ง ไ ม่ สิ้ น ก ลิ่ น ห อ ม
    อ้ อ ย แ ม้ ถู ก หี บ ยั ง ไ ม่ สิ้ น ร ส ห ว า น
    เ ก ลื อ แ ม้ ถู ก ส ะ ตุ ยั ง ไ ม่ สิ้ น ร ส เ ค็ ม
    บั ณ ฑิ ต แ ม้ ต ก ทุ ก ข์ ยั ง ไ ม่ เ ลิ ก ป ร ะ พ ฤ ติ ธ ร ร ม</BIG>


    ก า ร ป ร ะ พ ฤ ติ ธ ร ร ม คื อ อ ะ ไ ร ?
    การประพฤติธรรม คือการประพฤติตนให้อยู่ในกรอบของความถูกต้องและความดี ทั้งปรับปรุงพฤติกรรมของตน ให้ดีสมกับที่เกิดเป็นคน และให้มีความเที่ยงธรรม ไม่ลำเอียง
    เราจะเห็นได้ว่า การประพฤติธรรมนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ เป็นมงคลที่ ๑๖ ก่อนมงคลที่ ๑๗ และ ๑๘ คือการสงเคราะห์ญาติ และการทำงานไม่มีโทษ
    เหตุที่พระองค์ทรงวางลำดับมงคลว่าด้วยการประพฤติธรรมไว้ตรงนี้ ก็เพราะในการสงเคราะห์ญาติ และการทำงานไม่มีโทษ ซึ่งเป็นการทำงานเพื่อส่วนรวมนั้น เราต้องมีการทำงานติดต่อกับคนจำนวนมาก ซึ่งมีอัธยาศัยต่างๆ กันไป ถ้าไม่ระมัดระวังให้ดีแล้ว โอกาสที่จะกระทบกระทั่งกันก็มีมาก โอกาสที่เราจะทำให้งานเสีย เพราะขาดความเป็นธรรมก็มีมากเช่นกัน
    ดังนั้น ก่อนทำงานเพื่อส่วนรวมจึงต้องประพฤติธรรม เพื่อเป็นการปรับปรุงตน ให้พร้อมที่จะอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างผาสุก ไม่นำความเดือดร้อนมาสู่ตนเองและผู้อื่น ซึ่งได้แก่การประพฤติปฏิบัติตน ๒ ลักษณะควบคู่กันไป ได้แก่
    [​IMG]ประพฤติเป็นธรรม
    [​IMG] ประพฤติตามธรรม
    ประพฤติเป็นธรรม คือมีความเที่ยงธรรม เป็นความถูกต้องและเป็นความดี
    ความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยของสังคมนั้น ขึ้นอยู่กับหลักธรรมอย่างหนึ่งคือ "ความเป็นธรรม" สังคมใดก็ตาม แม้จะมีข้าวปลาอาหารสมบูรณ์ มั่งคั่งบริบูรณ์ แต่ถ้าขาด "ความเป็นธรรม" เสียอย่างเดียว สังคมนั้นก็จะมีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวาย
    เพราะขาดความเป็นธรรม ครอบครัวจึงแตกสลาย
    เพราะขาดความเป็นธรรม บ้านเมืองจึงเกิดปฏิวัติรัฐประหาร
    เพราะขาดความเป็นธรรม สงครามระหว่างประเทศจึงเกิดขึ้น
    ความเป็นธรรม คือการกระทำที่ชอบด้วยเหตุผล เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกหนทุกแห่ง มีบางคนเข้าใจว่า ความเป็นธรรมก็คือความยุติธรรม เป็นเรื่องมาจากผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เป็นผู้ให้ ตนเป็นผู้รับ ความเข้าใจเช่นนี้ผิด อันที่จริงความเป็นธรรมเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนจะต้องให้แก่กัน
    เราจึงต้องฝึกตนเองให้เป็นคนที่ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างชอบด้วยเหตุผล มีความเป็นธรรม ไม่ลำเอียงเพราะอคติ ๔ ประการ ดังต่อไปนี้
    [​IMG] ไม่ลำเอียงเพราะรัก เช่น ถึงจะรักนาย ก มากเพียงใดก็ตาม แต่ถ้า ไม่มีผลงานดีเด่น ก็ต้องยกย่องคนอื่น ที่มีความสามารถดีกว่าขึ้นมา ไม่เห็นแก่หน้า ข้อนี้รวมถึงการไม่เป็นคนโลภ ไม่รักทรัพย์สมบัติมาก จนยอมเสียความเป็นธรรม
    [​IMG] ไม่ลำเอียงเพราะชัง คือถึงจะเกลียดหรือไม่ชอบใครเป็นการส่วนตัว ก็ไม่นำมาปนกับงาน ซึ่งเป็นเรื่องส่วนรวม หากเขาทำความดี ก็ต้องปูนบำเหน็จรางวัลให้ เช่นเดียวกับคนอื่น ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
    [​IMG] ไม่ลำเอียงเพราะหลง คือเป็นคนมีปัญญา หูตากว้างไกล รู้เท่าทันคน ไม่โง่ ใครๆ ไม่สามารถหลอกลวงได้ ไม่เป็นผู้ใหญ่ชนิดลงโทษผู้น้อย โดยที่ไม่ได้ไต่สวนความผิดให้ชัดเจนก่อน เป็นต้น
    [​IMG]ไม่ลำเอียงเพราะกลัวภัย คือมีใจอาจหาญไม่หวั่นไหว ไม่เกรงต่ออิทธิพลมืดใดๆ ถึงจะถูกขู่ทำร้าย ก็ไม่ยอมเสียความเป็นธรรม เพราะมีความรักธรรมยิ่งกว่าชีวิต
    คุณสมบัติทั้ง ๔ ประการนี้ คนทุกคนจำเป็นต้องมี มิฉะนั้นโลกนี้ก็จะวุ่นวาย โดยเฉพาะผู้นำทุกท่าน จะต้องปลูกฝังคุณสมบัติดังกล่าวนี้ ให้เกิดขึ้นในใจตนอย่างเต็มเปี่ยม เพื่อไม่ให้เป็นที่ติฉินได้ในภายหลัง
    "ผู้ใดไม่ละเมิดความยุติธรรม เพราะความรัก ความชัง ความโง่เขลา และความกลัว ยศของผู้นั้น ย่อมเด่นดุจดวงจันทร์ เปล่งแสงสว่างในข้างขึ้นทุกค่ำคืน" (อคติสูตร) องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๑๘/๒๓
    ประพฤติตามธรรม คือการประพฤติปฏิบัติตนตามธรรมะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน ฝึกฝนอบรมตนเองให้คุณธรรมในตัวสูงขึ้นประณีตขึ้นตามลำดับ ได้แก่ การปฏิบัติตามหลักกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ ดังนี้
    [​IMG] เว้นจากการฆ่าสัตว์ คือไม่ฆ่าสัตว์ นับตั้งแต่ฆ่าคนทั่วไป ฆ่าสัตว์ ที่มีคุณ และฆ่าสัตว์อื่นๆ
    เจตนารมณ์ของกุศลกรรมบถข้อนี้ ต้องการให้ทุกคนรู้จักแก้ปัญหาโดยสันติวิธี ไม่ใช่โดยวิธีฆ่าอีกฝ่ายหนึ่งเสีย เพราะการฆ่านั้น ผู้ฆ่าย่อมเกิดความทารุณโหดร้ายขึ้นในใจ ทำให้ใจเศร้าหมอง และตนก็ต้องรับผลกรรมต่อไป และต้องคอยหวาดระแวงว่า ญาติพี่น้องเขาจะมาทำร้ายตอบ เป็นการแก้ปัญหา ซึ่งจะสร้างปัญหาอื่นๆ ต่อมาโดยไม่จบสิ้น
    [​IMG] เว้นจากการลักทรัพย์ คือไม่แสวงหาทรัพย์มาโดยทางทุจริต เช่น
    ลัก = ขโมยเอาลับหลัง
    ฉก = ชิงเอาซึ่งหน้า
    กรรโชก = ขู่เอา
    ปล้น = รวมหัวกันแย่งเอา
    ตู่ = เถียงเอา
    ฉ้อ = โกงเอา
    หลอก = ทำให้เขาหลงเชื่อแล้วให้ทรัพย์
    ลวง = เบี่ยงบ่ายลวงเขา
    ปลอม = ทำของที่ไม่จริง
    ตระบัด = ปฏิเสธ
    เบียดบัง = ซุกซ่อนเอาบางส่วน
    สับเปลี่ยน = แอบเปลี่ยนของ
    ลักลอบ = แอบนำเข้าหรือออก
    ยักยอก = เบียดบังเอาของในหน้าที่ตน
    เจตนารมณ์ของกุศลกรรมบถข้อนี้ ต้องการให้ทุกคนทำมาหาเลี้ยงชีพโดยสุจริต ซึ่งจะทำให้ใช้ทรัพย์ได้เต็มอิ่ม ไม่ต้องหวาดระแวงว่าจะมีใครมาทวงคืน
    [​IMG] เว้นจากการประพฤติผิดในกาม คือไม่กระทำผิดในทางเพศ ไม่ลุอำนาจแก่ความกำหนัด เช่น การเป็นชู้กับสามีภรรยาคนอื่น การข่มขืน การฉุดคร่าอนาจาร
    เจตนารมณ์ของกุศลกรรมบถข้อนี้ ต้องการให้ทุกคนมีจิตใจสูง เคารพในสิทธิของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เป็นการรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม
    [​IMG] เว้นจากการพูดเท็จ คือต้องไม่เจตนาพูดให้ผู้ฟังเข้าใจผิดไปจากความเป็นจริง ซึ่งรวมถึงการทำเท็จให้คนอื่นหลงเชื่อรวม ๗ วิธีด้วยกัน คือ
    พูดปด = โกหกซึ่งๆ หน้า
    ทนสาบาน = อ้างสิ่งต่างๆ ทำให้ผู้อื่นหลงเชื่อ
    ทำเล่ห์กระเท่ห์ = ทำกลอุบายหรือเงื่อนงำอันอาจทำให้คนอื่นหลงเข้าใจผิด
    มารยา = เช่น เจ็บน้อยทำเป็นเจ็บมาก
    ทำเลศ = ทำทีให้ผู้อื่นตีความคลาดเคลื่อนเอาเอง
    เสริมความ = เรื่องนิดเดียวทำให้เห็นเป็นเรื่องใหญ่
    อำความ = เรื่องใหญ่ปิดบังไว้ให้เป็นเรื่องเล็กน้อย
    การเว้นจากพูดเท็จต่างๆ เหล่านี้ หมายถึง
    - ไม่ยอมพูดคำเท็จเพราะเหตุแห่งตน กลัวภัยจะมาถึงตนจึงโกหก
    - ไม่ยอมพูดคำเท็จเพราะเหตุแห่งคนอื่น รักเขาอยากให้เขาได้ ประโยชน์จึงโกหก หรือเพราะเกลียดเขา อยากให้เขาเสียประโยชน์จึงโกหก
    - ไม่ยอมพูดเท็จเพราะเห็นแก่อามิสสินจ้าง เช่น อยากได้ทรัพย์สินเงินทองสิ่งของ จึงโกหก
    เจตนารมณ์ของกุศลกรรมบถข้อนี้ ต้องการให้ทุกคนมีความสัตย์จริง กล้าเผชิญหน้ากับความจริงเยี่ยงสุภาพชน ไม่หนีปัญหา หรือหาประโยชน์ใส่ตัวด้วยการพูดเท็จ
    [​IMG] เว้นจากการพูดส่อเสียด คือไม่เก็บความข้างนี้ไปบอกข้างโน้น เก็บความข้างโน้นมาบอกข้างนี้ ด้วยเจตนาจะยุแหย่ให้เขาแตกกัน ควรกล่าวแต่ถ้อยคำที่ทำให้เกิดความสมัครสมานสามัคคี
    เจตนารมณ์ของกุศลกรรมบถข้อนี้ ต้องการไม่ให้คนเราหาความชอบด้วยการประจบสอพลอ ไม่เป็นบ่างช่างยุ ต้องการให้หมู่คณะสงบสุขสามัคคี
    [​IMG] เว้นจากการพูดคำหยาบ คือไม่พูดคำซึ่งทำให้คนฟังเกิดความระคายใจ และส่อว่าผู้พูดเองเป็นคนมีสกุลต่ำ ได้แก่
    คำด่า = พูดเผ็ดร้อน แทงหัวใจ พูดกดให้ต่ำ
    คำประชด = พูดกระแทกแดกดัน
    คำกระทบ = พูดเปรียบเปรยให้เจ็บใจเมื่อได้คิด
    คำแดกดัน = พูดกระแทกกระทั้น
    คำสบถ = พูดแช่งชักหักกระดูก
    คำหยาบโลน = พูดคำที่สังคมรังเกียจ
    คำอาฆาต = พูดให้หวาดกลัวว่าจะถูกทำร้าย
    เจตนารมณ์ของกุศลกรรมบถข้อนี้ ต้องการให้ทุกคนเป็นสุภาพชน รู้จักสำรวมวาจาของตน ไม่ก่อความระคายใจแก่ผู้อื่นด้วยคำพูด
    [​IMG]เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ คือไม่พูดเหลวไหล ไม่พูดพล่อยๆ สักแต่ ว่ามีปากอยากพูดก็พูดไปหาสาระมิได้ แต่พูดถ้อยคำที่มีสาระ มีหลักฐาน มีที่อ้างอิง ถูกกาลเวลา มีประโยชน์
    เจตนารมณ์ของกุศลกรรมบถข้อนี้ ต้องการให้ทุกคนมีความรับผิดชอบต่อถ้อยคำของตน
    [​IMG] ไม่โลภอยากได้ของเขา คือไม่เพ่งเล็งที่จะเอาทรัพย์ของคนอื่นในทางทุจริต
    เจตนารมณ์ของกุศลกรรมบถข้อนี้ ต้องการให้คนเราเคารพในสิทธิข้าวของของผู้อื่น มีจิตใจสงบไม่ฟุ้งซ่านไหวกระเพื่อมไปเพราะความอยากได้ทรัพย์ของผู้อื่น ทำให้มีใจผ่องแผ้ว มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ พร้อมที่จะสร้างประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม
    [​IMG]ไม่พยาบาทปองร้ายเขา คือไม่ผูกใจเจ็บ ไม่คิดอาฆาตล้างแค้น ไม่จองเวร มีใจเบิกบาน แจ่มใสไม่ขุ่นมัว ไม่เกลือกกลั้วด้วยโทสะจริต
    เจตนารมณ์ของกุศลกรรมบถข้อนี้ ต้องการให้คนเรารู้จักให้อภัยทาน ไม่คิดทำลาย ทำให้จิตใจสงบผ่องแผ้ว เกิดความคิดสร้างสรรค์
    [​IMG]. ไม่เห็นผิดจากคลองธรรม คือไม่คิดแย้งกับหลักธรรม เช่น มีความเห็นที่เป็น สัมมาทิฏฐิพื้นฐาน ๘ ประการ คือ
    ๑. เห็นว่าการให้ทานดีจริง ควรทำ
    ๒. เห็นว่าการบูชาบุคคลที่ควรบูชาดีจริง ควรทำ
    ๓. เห็นว่าการต้อนรับแขกมีผล ควรทำ
    ๔. เห็นว่าผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วมีจริง
    ๕. เห็นว่าโลกนี้โลกหน้ามีจริง
    ๖. เห็นว่าบิดามารดามีพระคุณต่อเราจริง
    ๗. เห็นว่าสัตว์ที่เป็นโอปปาติกะมีจริง (นรกสวรรค์มีจริง)
    ๘. เห็นว่าสมณพราหมณ์ที่หมดกิเลสแล้วมีจริง
    หมายเหตข้อ ๕ อาจแยกเป็น โลกนี้มีจริง ๑- โลกหน้ามีจริง ๑
    ข้อ ๖ อาจแยกเป็น บิดามีพระคุณจริง ๑ มารดามีพระคุณจริง ๑
    ซึ่งถ้าแยกแบบนี้ก็จะรวมได้เป็น ๑๐- ข้อ แต่เนื้อหาเหมือนกัน
    เจตนารมณ์ของกุศลกรรมบถข้อนี้ ต้องการให้คนเรามีพื้นใจดี มีมาตรฐานความคิดที่ถูกต้อง ยึดถือค่านิยมที่ถูกต้อง มีวินิจฉัยถูก มีหลักการ มีแนวความคิดที่ถูกต้อง ส่งผลให้ความคิดในเรื่องอื่น ถูกต้องตามไปด้วย
    "เราไม่เห็นธรรมอื่นแม้สักอย่าง ซึ่งจะเป็นเหตุให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดได้เกิดขึ้น หรือกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เพิ่มพูนไพบูลย์ยิ่งขึ้นเหมือนอย่างสัมมาทิฏฐินี้เลย" องฺ. เอก. ๒๐/๑๘๒/๔๐
    คุณธรรมทั้ง ๑๐ ประการนี้ คนทุกคนจำเป็นต้องฝึกให้มีในตน โดยเฉพาะผู้นำ ผู้ที่จะบำเพ็ญประโยชน์แก่สังคมส่วนรวม จะต้องฝึกให้มีในตนอย่างเต็มที่ จึงจะทำงานได้ผลดี
    "ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม บุคคลใดหวังความสุข หวังความเป็นใหญ่ หวังความก้าวหน้า ต้องประพฤติธรรม"
    <BIG></BIG><BIG></BIG>
    <BIG>[​IMG] ก า ร ป ร ะ พ ฤ ติ ธ ร ร ม
    </BIG>
    [​IMG]เป็นมหากุศล
    [​IMG] เป็นผู้ไม่ประมาท
    [​IMG] เป็นผู้รักษาสัทธรรม
    [​IMG] เป็นผู้นำพระพุทธศาสนาให้เจริญ
    [​IMG]เป็นสุขในโลกนี้และโลกหน้า
    [​IMG] ไม่ก่อเวรก่อภัยกับใครๆ
    [​IMG] เป็นผู้ให้อภัยแก่สรรพสัตว์
    [​IMG] เป็นผู้ดำเนินตามปฏิปทาของนักปราชญ
    [​IMG] สร้างความเจริญความสงบสุขแก่ตนเองและส่วนรวม
    [​IMG]เป็นผู้สร้างทางมนุษย์ สวรรค์ พรหม นิพพาน
    ฯลฯ

    "ธมฺมจารี สุขํ เสติ ผู้ประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุข" ขุ. ธ. ๒๕/๒๓/๓๗
    http://www.dhamma.net/mongkol/16.htm

    อนุโมทนาครับ
    </BIG></BIG></BIG>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2009
  15. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    คุณสงบใจได้เมื่อไหร่ศีลก็จะยิ่งบริสุทธิ์ คุณรักษาใจคุณได้เหมือนยามเฝ้าระวังภัยคุณก็รักษาศีลให้บริสุทธิ์ได้ ผมจึงกล่าวว่ามีสติกับทุกการกระทำก็จะทำให้ศีลคุณบริสุทธิ์ เพราะทุกความคิดทุกการกระทำล้วนมีใจเป็นตัวเริ่มทั้งนั้น แค่นี้ไม่รู้ว่ามันง่ายหรือยากสำหรับคุณ
     
  16. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    อืม...
    วิบาก เอ๊ย อานิสงค์ ที่อิฉันถือ ศีล 5
    ก็มีนะ

    1. ไม่ป่วยเลย ( ปกติ เป็น หวัด ปีละ 2 ครั้งเป็นอย่างต่ำ )
    แต่เด๋วนี้เกือบปีแล้ว ที่ไม่เคยเป็น
    จะมี ท้องอืดเฟ้อบ้าง ก็เพราะตะกละ

    แถมหน้ามันเด้ง เอ๊ย ผ่องจนชาวบ้านทักกันเกรียวเลยมั้ง
    ทั้ง ๆ ที่กิจวัตรประจำวันก็เหมือนเดิม
    ( ใช้น้ำเปล่าล้าหน้า ไม่ค่อยจะใช้เครื่องประทินโฉม ยกเว้น ตอน ผิวลอก ปากแตก )
    เคยถูกทัก ถึงวันละสามรอบ เลยนะ กลายเป็นคุณ บัวผ่อง ไปเลยอิอิ


    2.จิตมันบอบาง เอ๊ย ละเอียด ขึ้นแยะ ขึ้น
    รู้สึกไม่ดีเวลาทำผิดศีล นะ
    แล้ว พอถือศีลมาก ๆ จิตมันเริ่ม ลามปามมั้ง
    จากที่ แค่ งดตบยุง
    ก็งดเดินบนหญ้าด้วย เลี่ยงไปเดินอ้อมแทน
    เพราะไม่อยากทำร้ายชีวิตเล็ก ชีวิตน้อยแถวนั้นน่ะ
    เสียเวลามากขึ้น ลำบากมากขึ้น
    แต่มันก็ช่วยให้ชีวิตอื่นเดือดร้อนน้อยลงอ่ะ

    เลิกกินสัตว์เป็น ๆ ทุกชนิด ที่อยู่ตามร้านอาหาร
    รอให้เราชี้เลือกสั่งเป็นอาหาร อาทิเช่น หอยแครง



    หรือ แม้แต่จะถือ วิสาสะหยิบปากกาเพื่อนมาใช้ โดยไม่ขออนุญาต
    นี่ก็ทำไม่ลงนะ มันรู้สึกไม่ดีที่จะทำงั้น
    เทปผีซีดีเถื่อน นี่ก็เลิกหมด

    ไปประชุมก็ เมคค่า เดินทางไม่ลง มันฝืน

    ส่วนศีลข้อ 4 นี่ก็ ยังเหมือนเดิมนะ
    ถือเฉพาะ เรื่องการโกหก และการรักษาสัจจะ


    เซ็นชื่อล่วงหน้าในเอกสาร แล้ว ลงวันที่ไม่ตรงกับความจริง นี่ก็ไม่ทำ



    น้องที่โรงบาล ทักเล่น ๆ ว่า วันนี้จะเดินจงกรมรอบโรงบาลกี่รอบ
    พลั้งปากไปบอกมันว่า จะเดินสัก 7 รอบ ( 2 ชม )

    ก็ต้องเดินเหย็ง ๆ จนครบ 7 รอบ ไม่งั้นผิดศีล อิอิ
    ตอนหลังเลยระวังคำพูดมากขึ้น
    ไอ้คำพูดประเภท เปล่า ไม่มีอะไร เนี่ย เลี่ยงได้ อิฉันก็พยามเลี่ยงนะ
    แต่ ยังขี้เกียจปฏิบัตื มรรค 8 ว่าด้วย สัมมามาวาจา อยู่
    ยังกัว เฉาปาก แหะ ๆ ^ - ^

    ถ้าถามว่า อิฉันเคร่งไหม ก็ไม่หรอกนะ
    มันทำจนเห็นเป็นปกติ น่ะ
    อิฉันถือศีลเล่นเป็นงานอดิเรก นิ
    ไม่ได้คิดจะแบกมันไว้บนหัวสักหน่อย
    หากมันทำให้อิฉันรู้สึกอึดอัดที่จะถือ
    อิฉันก็พร้อมที่จะเขี่ยมันทิ้งทุกเวลาแหล่ะ


    อ้อ เด๋ว แถม ศีล ข้อ 2 ที่เขียนไว้ ให้อ่านด้วย
    แต่ ไอ้เจ้า ศีล 5 ในฮาเร็มเนี่ย
    ยังเกลาสำนวน + เขียนไม่เสร็จ 100 เปอร์เซนต์หรอกนะ
    เขียนไปด้วย ปฏิบัติไปด้วยเนี่ย
    นานเข้ามันก็มีเรื่องให้แตกประเด็นตลอด เฮ้อออ
     
  17. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    ข้อ 2 อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ,
    (ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท
    คือเจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้ าของไม่ได้ให้แล้ว )
    " แอบปีนขึ้นไปขโมยของห้องเรียน กันเหอะ วันหยุดอย่างนี้ไม่มีใครเห็นหรอก "
    พวกพี่ ๆ ข้างบ้าน ที่วิ่งเล่นด้วยกัน เอ่ยปากชวนหนูบัวฯ
    ตอนนั้น หนูบัวฯขึ้น ป.1 แล้ว
    แต่ก็ยังติด พี่ ๆ ป. 4- ป.5 ที่อยู่ข้างบ้านราวกับลูกแหง่
    เด็กหญิงไม่เข้าใจหรอกว่า ทำไมพวกพี่ๆ
    เค้าถึงอยากจะได้ของๆ คนอื่น ที่ไม่ใช่ของตน
    แต่เธอก็กลัวถูกทิ้งเป็นหมาหัวเน่า
    หนูบัวฯ จึงเดินต้อย ๆ ติดสอยห้อยตามพวกพี่ ๆ เข้าไปด้วย
    เธอยืนเก้ ๆ กัง ๆ มองพี่ๆ ด้วยความรู้สึกแปลก ๆ
    ภาพพวกคนเหล่านั้น รื้อค้นข้าวของในลิ้นชักของคุณครู
    ด้วยแววตาละโมภ ลุกลี้ลุกลน
    ยังคงติดอยู่ในความทรงจำของหนูบัวฯมาตลอด
    หลังจากตอนนั้นพวกพี่ ๆ แบ่งปากกา 4- 5 แท่ง
    และ ไม้บรรทัด อีกอันที่ขโมยมาได้ ให้กับหนูบัวฯ
    เธอมองดูของที่ได้ด้วยความสับสน
    จะไม่รับก็ไม่ได้ ไม่งั้นพวกพี่ๆโกรธแน่เลย
    แต่เธอก็รู้สึกไม่ดีนัก ที่จะรับ ของ "ปิดปาก " เหล่านี้
    เด็กหญิงแหงะมอง ปากกาและไม้บรรทัดในมือด้วยความรู้สึกขยะแขยง
    แม้พ่อกับแม่ ของเธอจะไม่ได้ร่ำรวยอะไร
    แต่ที่บ้านก็ไม่เคยมีปัญหาเรื่องเงิน
    พ่อกับแม่เลี้ยงดูเธอมาอย่างดี
    เด็กหญิงไม่เคยรู้จักคำว่า ขาดแคลน หรือ อดมื้อกินมื้อ
    เธอมักจะได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ
    เพียงแค่เอ่ยปากขอ พ่อกับแม่ก็แทบเอาของสิ่งนั้น
    มาทูนหัวทูนเกล้าให้ลูกรักคนนี้เสมอ
    ด้วยเหตุนี้ เธอจึงไม่เคยคิดจะขโมยของใคร
    และ ถูกคนเป็นพ่อปลูกฝัง
    ให้เห็นการลักเล็กขโมยน้อย
    เป็นเรื่องของการเสียศักดิ์ศรีที่น่ารังเกียจ
    แต่เมื่อต้องมามีส่วนรู้เห็นกับการโจรกรรมรุ่นเยาว์ แบบนี้
    มันก็เลยทำให้เธอรู้สึกแย่ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไง
    กับ ปากกากับไม้บรรทัดเปื้อนบาปพวกนี้
    สุดท้ายเธอจึงตัดสินใจหอบมันไปโยนทิ้งไว้ที่พงไม้ข้างทาง
    เพราะเธอไม่อยากแตะต้องของสกปรกพวกนี้
    โชคดีที่หลังจากนั้นไม่นานหนูบัวฯ ต้องย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่น
    จึงไม่ต้องไปข้องแวะกับ พวกพี่ ๆ กลุ่มนั้นอีก
    และเมื่อโตขึ้น หนูบัวฯย้อนกลับไปมองอดีตของตัวเอง
    หนูบัวฯก็พบว่า วิบากของเศษกรรมในครั้งนั้น
    ก็ยังจะตามมาทวงคืน กับ หนูบัวฯ ถึง สามครั้ง สามครา
    ครั้งแรกตอนอยู่ ป. 6 เธอถูกผู้ใหญ่คนหนึ่งกล่าวหาว่า
    ขโมยตังค์ทอนแบ๊งค์ร้อยของเขา ตอนที่เขาใช้หนูบัวฯไปซื้อเหล้า
    ตอนอยู่หอมหาลัย หนูบัวฯก็ถูกเรียกไปสอบในฐานะผู้ต้องสงสัย
    กรณี เงิน สองสามพัน ของน้องรูมเมทหายไปจากลิ้นชักโดยไร้ร่องรอย
    ( ทั้งที่ตอนนั้น หนูบัวฯก็มีเงินเก็บมากกว่าเงินนั้นเป็นสิบเท่า )
    แต่เคราะห์ดีที่ หนูบัวฯ เป็นคนดวงแข็ง ( และ หัวแข็ง )
    นัยว่า กรรมเก่า ดี ๆ ในอดีตยังคอยเกื้อหนุน
    เธอจึงไม่รู้สึกเป็นทุกข์เป็นร้อนอะไรกับข้อกล่าวหาเหล่านั้น
    ซ้ำยังมองว่า มันเป็น ความรำคาญเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่น่าขบขัน
    ซึ่งในตอนจบเธอก็สามารถล้างมลทินให้กับตัวเองได้โดยง่าย
    เธอมักจะเล่าเหตุการณ์ตอนที่เธอเข้าสอบปากคำ
    ให้เพื่อนฝูงฟังแบบข ำ ๆ เสมอ
    ตอนนั้น เธอพูดจาตอบโต้
    กับรองอธิการบดีฝ่ายปกครอง จนเขาชักสีหน้า
    แถมยังทำให้ นิติกร ของ มหาลัย ที่นั่งฟังด้วย
    แอบขำจนต้องกลั้นหัวเราะ ( ต่อหน้า ท่านรอง ฯ ) เลยมั้ง
    ส่วน เศษกรรม ที่กระเด็นโดนเธอครั้งล่าสุดนี่
    เกิดขึ้นเมื่อ สองปีก่อน
    น้องผู้หญิงในที่ทำงาน จะแต่งงาน
    เลยมาขอยืมเงินหนูบัว ฯ
    เพื่อเอาไปวางพานให้เจ้าบ่าว(ในพิธีสู่ขอ)
    น้องคนนี้สัญญาว่า พองานแต่งเสร็จ จะเอาเงินจากพานมาคืนให้
    ตอนนั้นหนูบัวฯ ก็ทะลึ่งเกิดอารมณ์โรแมนติก
    ดันไปเห็นใจความรักของหนุ่มสาวคู่นี้เข้า
    ก็เลยเอาเงินก้อนใหญ่ให้เขายืมไปโดย ไม่รู้สึกเฉลียวใจสักนิด
    สุดท้ายน้องมันก็เชิดเงินย้ายที่ทำงานหนีไป
    โดยที่ไม่ยอมใช้หนี้ส่วนที่เหลือ
    กว่าหนูบัวฯจะตามทวงคืนได้ก็เสียเวลาและค่ารถไปหลาย
    แต่ส่วนที่ได้คืนก็ไม่ได้ครบหรอกนะ ขาดไปหลายพันอยู่
    ตอนนั้นหนูบัวฯ โกรธ มาก รู้สึกไม่เข้าใจน้องเค้าด้วย
    เธอ สงสัยว่า ทำไม เค้าถึงทำแบบนี้ได้
    การเอาเงินคนอื่นไปโดยไม่ใช้คืนตามสัญญา นี่มันขโมยชัด ๆ
    น้องมันไม่รู้สึกละอายบ้างหรือไง ?
    ขนาดหนูบัวฯ ยืมเงินชาวบ้านแค่ บาทเดียวไปโทรศัพท์
    เธอยังต้องรีบเอามาคืนเขาเลย
    เธอเกลียดการเป็นหนี้ คนอื่นน่ะ มันน่าละอาย
    เธอเลยคิดว่า คนอื่น ๆ คงรู้สึกแบบเดียวกัน
    อนิจจา หนูบัวฯ หารู้ไม่ว่า
    คนแต่ละคน มีหิริโอตะปะ( ความละอายต่อบาป ) ที่แตกต่างกัน
    และก็เหมือนเดิมตามเคย แม้จะถูกลูกหนี้เบี้ยวจ่ายเงินไม่ครบ
    หนูบัวฯก็ยังมีกะใจมองเรื่องนี้
    เป็น ความรำคาญที่น่าขบขัน(อีกแล้ว)
    เวลาครึ้ม ๆ ก็ เอาเรื่องนี้มาเม้าส์ให้เพื่อนฟังพอขำ ๆ
    ว่าง ๆ ฟุ้ง ๆ ก็มานั่งครุ่นคิดหายุทธการทวงหนี้
    วางแผน 1 แผน 2 เพื่อทวงเงินคืนจากน้องมัน
    ครั้นเมื่อใดที่สติมันคิดได้ หนูบัวฯก็มานั่งบ่น
    ทำไมตูต้องมากลุ้มกับเงินแค่ไม่กี่พัน นี่ด้วยฟะ ไม่เข้าท่าเลย
    มันจะคืนหรือไม่คืนตูก็ไม่เห็นเดือดร้อนอะไร
    คิดทำไมให้ปวดหัวเนี่ย ?
    จริง ๆ เงินแค่นั้นมันไม่ทำให้หนูบัวฯกระเทือน
    จนต้องกินข้าวกับเกลือหรอกนะ
    แต่มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีน่ะ
    หนูบัวฯ รู้สึกว่าตัวเองถูกลูบคม
    รู้สึกเสียหน้าที่ซื่อจนเซ่อถูกเด็กเมื่อวานซืนมันหลอกเอา
    ทิฐิ ไง นั่นก็ตัวกู นี่ก็ของกู มึงอย่าได้มาแหยมเชียวนะ
    เจ้าตัวทิฐินี่ มันเข้าสิงในใจหนูบัวฯ แบบกัดไม่ปล่อยอยู่นานเลย
    แม้จะมีพี่ที่ทำงาน ปลอบหนูบัวฯ ว่า
    " คิดซะว่า ชาติที่แล้วเราติดหนี้เขา ก็แล้วกัน ชาตินี้เขาเลยตามมาเอาคืน "
    ฟังเสร็จเธอก็นึกหยัน แถมยังรู้สึกว่า
    วิธีการคิดของเขา เป็นวิธีการคิดของคนอ่อนแอ
    ที่งอมืองอเท้า ฝากความหวังไว้กับโชคชะตา
    คนที่ชอบเล่น บท ผู้ล่า ในห่วงโซ่อาหารอย่างเธอ
    ไม่ยอมทำอย่างนั้นเด็ดขาด !

    จนกระทั่งวันหนึ่ง หนูบัวฯ เริ่มถือศีล 5 และ เริ่มแผ่เมตตา
    ทุกคืนหนูบัวฯ จะวางโปรแกรม
    ให้ตัวเองต้องมานั่ง ทบทวนศีลของตน -แผ่เมตตา ให้กับทุกชีวิต
    และ ขออโหสิกรรมซึ่งกันและกันกับทุกชีวิต
    แต่เชื่อไหม หนูบัวฯ อ้าปากพูดคำว่า
    " ขออโหสิกรรมซึ่งกันและกันกับทุกชีวิต "ไม่ได้
    พอจะพูด ทีไรใจมันก็นึกถึง
    แต่หน้านังลูกหนี้จอมอึด คนนั้นขึ้นมาเฉย ๆ
    สุดท้ายหนูบัวฯ เลยต้องมานั่งทบทวนตัวเองอีกครั้ง
    วูบหนึ่ง ที่โมหะและโทสะ จริต จางหาย
    คำถามหนึ่งก็แทรกเข้ามากลางใจของหนูบัวฯ
    " ขนาดเงินแค่ไม่กี่พัน หนูบัวฯยังให้อภัย ยกหนี้ให้เค้าไม่ได้
    แล้วหนูบัวฯคิดหรือว่า เจ้ากรรมนายเวร
    เขาจะยอมยกหนี้เวรหนี้กรรมอันมหาศาลให้หนูบัวฯ ได้ง่าย ๆ
    ด้วยคำอโหสิกรรม จากน้ำลายแค่ไม่กี่หยด ?"
    คำถามนี้ มันทำให้หนูบัวฯ ได้สติอีกครั้งแล้วบอกตัวเองว่า
    " อย่าไปใส่ใจเลย ว่า เจ้ากรรมนายเวร
    เค้าจะอโหสิกรรมให้เราไหม
    เพราะเราต้องเคารพสิทธิการตัดสินใจของเขา
    แต่ในฐานะที่เราเป็นเจ้ากรรมนายเวรของอีกหลายชีวิต
    ทำไมเราไม่ลองมาเริ่มต้นใหม่ ด้วยการอโหสิกรรม
    ให้กับ คนที่เป็นหนี้กรรม กับเรา บ้างล่ะ ? "
    จากคำตอบที่ได้ ทำให้หนูบัวฯ เปลี่ยนแปลงวิธีคิดในหัวตัวเอง
    เธอเขียนจดหมายเพื่อบอกยกเลิกหนี้สิน
    เตรียมจะส่งให้น้องคนนั้น
    หนูบัวฯ โทรไปเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง
    คุณนายแก้วดี อนุโมทนากับเธอใหญ่เลย
    แต่พอ แม่รู้ว่า เธอ เขียนข้อความบอกน้องมัน ว่า
    "หนี้สินทั้งหมด หนูบัวฯยกให้ จะไม่ตามไปทวงคืนให้ลำบากใจอีกแล้ว
    เพราะหนูบัวฯ เชื่อเสมอว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมที่ตนได้กระทำไว้ "
    เท่านั้นแหล่ะ แม่ร้อง ห้ามเสียงหลง
    บอกอย่าทำอย่างนั้นเลยมันไม่ดี
    ฟังคำแม่พูด แล้วหนูบัวฯอึ้งนะ
    ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี
    ยัยแก้วดีก็มองทะลุหัวใจลูกสาวเสมอ
    และคำพูดสั้น ๆ ประโยคนั้น
    มันก็ทำให้หนูบัวฯต้องคิดหนักอีกครั้ง
    แม้ปากหนูบัวฯจะบอก อโหสิกรรมให้น้องมัน
    แต่คำพูดที่เธอเลือกสรรมาเขียน ในจดหมาย
    มันก็จงใจแฝงนัยยะเพื่อทำร้ายความรู้สึกคนอ่านอยู่ดี
    ความพยาบาทของ หนูบัวฯ มันไม่ได้จางหายไปเลย...
    หนูบัวฯใช้เวลา หนึ่งวันกับหนึ่งคืน
    มานั่งดูเจ้าความพยาบาทในใจตัวเอง
    ก่อนจะตัดสินใจ ฉีกสัญญายืมเงิน
    และ จดหมายฉบับนั้นทิ้งถังขยะ
    ความรู้สึกตอนที่ทิ้งเศษจดหมายชิ้นเล็กชิ้นน้อยทิ้งลงในถัง
    มันโล่งมากเลยนะ มันเหมือน....
    หนูบัวฯ ได้โยนไอ้เจ้าตัวพยาบาทตัวนั้นลงในถังขยะไปด้วย
    หลังจากวันนั้น หนูบัวฯก็ไม่ได้ติดต่อหรือตาม จิก น้องเค้าอีกเลย
    จริง ๆ ก็อยากจะโทรไปบอกให้น้องมันรู้นะว่า
    หนูบัวฯ ยกหนี้ให้แล้ว แต่คิดไปคิดมา อย่าพูดมากดีกว่า
    เพราะ คำพูดเมื่อ ออกจากปากเราไปแล้ว
    เราไม่สามารถคาดเดาได้หรอก ว่า คนฟังจะรู้สึกอย่างไร
    ยิ่งคนที่มีชนักติดหลังอย่างนั้น
    ย่อมมีความหวาดระแวงสูงกว่าคนธรรมดาหลายเท่า
    ดังนั้น ตัดกรรม เลิกคิด เลิกพูดถึง
    เลิกแล้วต่อกัน เลิกยุ่งเกี่ยวกับน้องมัน เฉย ๆ ดีกว่า
    พอหนูบัวฯ ตัดน้องคนนี้ออกจากสารบบ
    เธอก็ลืมน้องเค้าไปเลยนะ
    จนผ่านไป สามเดือนกว่า
    จู่ ๆ น้องมันก็ส่งจดหมายธนาณัติมาใช้หนี้ ให้หนูบัวฯ
    ทำเอาเธอรู้สึกแปลกใจมาก ๆ แล้วก็นึกขำด้วย
    เออหนอ ทีเวลาไปทวงแทบตาย กลับไม่ค่อยจะได้
    แต่นี่พอทำเฉย ๆ ( และลืมมันไปแล้ว )
    มัน ดั๊นเอาเงินมาให้ซะงั้น
    แถมพอไปขึ้นเงินที่ไปรษณีย์ จนท. ที่นั่น
    ก็ทักบอกว่า น้องคนนี้เคยส่งธนาณัติออนไลน์มาให้หนูบัวฯ
    ( ก่อนหน้านี้ 2 เดือนแล้ว )
    แต่ไม่มีคนมารับ นี่ก็กำลังจะหมดอายุในอีก 3 วันข้างหน้า
    ทำเอาหนูบัวฯงงมาก เพราะไม่เคยรู้มาก่อนเลย
    ( น้องมันไม่เคยติดต่อมาบอกเลยไม่ได้ไปรับ )
    นี่ยังคิดเล่น ๆ เหมือนกันนะ ว่า
    ถ้า สองเดือนก่อนหน้านั้น
    หนูบัวฯ ตัดสินใจส่ง จดหมายฉบับนั้นไป
    หรือโทรไปหาน้องเค้า เหตุการณ์นี้อาจจะไม่เกิดก็ได้
    เผลอ ๆ อาจจะไปสร้างกรรมใหม่กับคุณน้องเธออีก
    บางครั้ง ถ้าเรา คิดดี ทำดี แล้ว
    สิ่งดี ๆ มันก็เดินเข้ามาหาเราเองจริงๆด้วย แฮะ
     
  18. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    และ อีกบทเรียน ที่ได้จากเรื่องนี้คือ
    โลกใบนี้ก็มีอะไรแปลก ๆ ที่ไม่เที่ยง เสมอเลยเน๊อะ
    ความรู้สึกที่เรามีต่อ คน ๆ หนึ่ง เปลี่ยนแปลง และ เกิดดับ ได้เสมอ
    ครั้งหนึ่ง หนูบัวฯ เคยโกรธน้องคนนี้ จนแทบจะไม่เผาผี
    แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อ ตัดใจยอมอโหสิ ให้น้องเขา
    ตัดกรรม กับมัน( โดยไม่บอกกล่าว )
    มันกลับใช้หนี้คืนโดยไม่ต้องถ่อสังขาร
    ไปทวงถึง พิษณุโลกเหมือนงวดก่อน ๆ เลย
    และพอเธอรู้ ว่าเค้าคืนเงินให้ เธอกับรู้สึกกับดี ๆ กับเขาอีกครั้ง
    ลืมไปเลยว่าก่อนหน้านี้เคยแช่งชักหักกระดูกน้องมัน ยังไงมั่ง
    อืม....พอ ผัสสะที่มากระทบเรา เปลี่ยนแปลงไป
    เวทนา ที่เกิด ก็เปลี่ยนตามด้วยแฮะ
    ทั้ง ๆ ที่ผู้ที่ก่อให้เกิดผัสสะ เป็นคนเดิม แท้ ๆ
    บทเรียนที่มีค่าที่สุด ที่หนูบัวฯ ได้จากเรื่องนี้
    ไม่ใช่ เงินแค่ไม่กี่พัน ที่น้องเค้าใช้คืนหรอกนะ
    แต่สิ่งสำคัญคือ น้องคนนี้
    ทำให้เธอรู้จักกับคำว่า อโหสิกรรม อย่างถ่องแท้
    เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่หนูบัวฯ ได้ทำ อภัยทาน จริง ๆ
    และได้มีโอกาส ดูจิต ของตัวเองไปด้วย
    ซึ่งก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลง ของเวทนาที่เกิดนะ
    ถ้าเป็นเมื่อก่อน ได้รับทรัพย์ เกินคาด
    ถึง สามเท่า แบบไม่ทันตั้งตัวแบบนี้
    หนูบัวฯ คงยิ่มแฉ่ง หน้าบานสิบหกกลีบ
    แถมใจพองโต คับอก ไป สามวันเจ็ดวัน แหง๋ ๆ
    แต่เดี๋ยวนี้ พอเรียนรู้ที่จะหัด ดูจิตดูความรู้สึก ตัวเอง
    ความยินดีในทรัพย์ ที่ได้รับ
    มันเกิดแค่วูบเดียวจริง ๆ( ประมาณ 3 วินาทีได้มั้ง )
    พอเกิดแล้วมันก็ดับ
    แล้วเธอ ก็มองดูเวทนาที่เปลี่ยนไป ด้วยความรู้สึกเฉย ๆ

    อืม....ทั้งหมดที่เล่ามานี้คือ กรรม และ วิบาก
    ที่เกี่ยวกับการ ผิด ศีล ข้อ 2 ในชีวิตของหนูบัวฯนะ
    ซึ่งหลังจากวันที่เธอ
    โยนไม้บรรทัด กับ ปากกา สกปรก พวกนั้นทิ้ง
    หนูบัวฯก็คิดว่า ตัวเองก็ไม่ได้ทำผิดศีลข้อ 2 อีกเลยมั้ง
    จนกระทั่ง เมื่อ หนูบัว ฯ ตัดสินใจจะถือ ศีลห้า เมื่อ สองเดือนก่อน
    หนูบัวฯทดลองเชคข้อมูลเรื่อง ศีล 5 ด้วยการเสิร์ช ในกูเกิ้ล
    แล้วก็เจอเวบที่ชื่อ ศีล 5 ความหมายลึกกว่าที่คุณคิด
     
  19. 5th-Lotus

    5th-Lotus เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    354
    ค่าพลัง:
    +306
    คำกล่าวเกี่ยวกับศีลข้อ 2 ที่ปรากฏ ในเวบนี้
    ทำให้หนูบัวฯ ต้องย้อนกลับมาดูตัวเองใหม่
    โดยเฉพาะเรื่อง การหยิบข้าวของในที่ทำงาน
    ไปใช้ในเรื่องส่วนตัว(ด้วยความมักง่าย )
    หนูบัวฯเริ่มฉุกคิด ถึง ทรัพย์ ที่ยักยอกมาจากที่ทำงานโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
    ทั้งกระดาษ A4 สองสามแผ่นที่เอามา print รูปการ์ตูนไว้ดูเล่น ,
    คลิปหนีบกระดาษ สี่ห้าตัว เผลอติดเอกสารกลับบ้าน
    , หนังว๊อง ( ยางวง ) อีก เจ็ดแปดเส้น ที่ฉวยมาใช้แทนที่ยางรัดผม
    , ไส้แม็กซ์ สองสามอันที่ใช้เย็บชีตท์ส่วนตัว
    , เอาซองยา สองสาม ซอง มาใส่ขนม
    รวมถึง การใช้เนตนอกเวลาทำงาน
    เช่น พักกลางวัน, หรือหลังเลิกงาน ด้วย ( ค่าไฟ + ค่าพัดลม )
    จริง ๆ ถ้ามีคอมพ์ของตัวเองที่บ้านพัก รพ.หนูบัวฯ ต่อเนตให้ใช้ฟรีนะ
    เพราะถือว่า เป็นการสนับสนุนให้เอางานไปทำนอกเวลาที่บ้าน
    แต่เธอ กลัวไวรัสจะติดโน้ตบุ๊ค ของตัวเอง เลย ไม่ยอมต่อเนตที่บ้านพัก
    ซึ่งพอคิดสะระตะถึง ของที่เผลอหยิบ แล้ว หนูบัวก็กุมขมับ
    โอ๊ยยยยยยย ถ้าขืนเป็นงี้ บัวฯก็รักษาศีล ข้อ 2 ไม่ได้อ่ะดิ
    เพราะบางครั้งของงี้มันก็เผลอกันได้
    ของพวกนี้น่ะ มันยิบย่อย
    บางทีมันก็รีบใช้นี่หน่า
    ใครมันจะถ่อสังขารไปตลาดเพื่อซื้อกระดาษ A4 แค่ ห้าหกแผ่นล่ะ
    ก็เลยต้องหยิบฉวยของใกล้มือไว้ก่อนน่ะสิ
    หนูบัวฯ เริ่มหาข้ออ้างให้ตัวเอง
    ทว่าแม่จริตแสนดี ของหนูบัว ก็มาเข้ามาสะกิดยิก ๆ (อีกแล้ว)
    ประมาณว่า หนูบัวฯ จ๋าาาาาาาาาา
    ของทุกอย่างย่อมมีต้นทุนของมันนะ
    เธอจะถือวิสาสะ ชุบมือเปิบกับของหลวง ไม่ได้หรอกจ้ะ
    ไม่ควรเบียดบังทรัพย์สินของราชการ
    แม้จะเป็น คลิปหนีบกระดาษแค่เพียงตัวเดียว ก็เถอะ
    ฟังแล้วหนูบัวฯจึงถามกลับไปว่า แล้วจะให้เธอทำไงล่ะ
    เธอไม่ได้ตั้งใจจะขโมยสักหน่อย
    แต่ของเหล่านี้มันก็เล็ก ๆ น้อย ๆ ยิบ ๆ ย่อย ๆ
    เกินกว่าที่จะซื้อหามาใช้เองนะ ขอแบ่ง รพ.ไปใช้จะสะดวกกว่า
    แม่จริตแสนดี ฟังแล้วก็ชี้ทางสว่างให้หนูบัวฯ
    ด้วยการบอกว่า ถ้าเลี่ยงการใช้ของหลวงไม่ได้
    ก็ให้บริจาคเงินคืนหลวงท่านสิ ลองคำนวณดูเอาเองนะ
    ว่า บวกลบคูณหาร ( แบบภาษีเงินได้ ) แล้ว เธอควรบริจาคเท่าไร
    ซึ่งพอคำนวณออกมาเป็น เงินต้น + ดอกเบี้ย
    ( + แป๊ะเจี๊ยะ และ ค่าเสื่อมราคาทั้งหลายทั้งพวงแล้ว)
    มันก็ได้ออกมาเป็นเงินจำนวนหนึ่ง ต่อปี
    ซึ่งก็ค่อนข้างมากแหล่ะนะ
    ถ้าเทียบกับ กระดาษ A4 ไม่กี่แผ่น
    ยางวงไม่กี่เส้น คลิปไใากี่ตัว ฯลฯ ที่เผลอหยิบมาใช้
    แต่เจ้าจริตแสนดี มันก็ปลอบใจหนูบัวฯว่า
    เหอะน่า หนูบัวฯ ถือซะว่า เป็น การคืนกำไรให้ รพ.
    ใช้ของเขามามากแล้วก็ให้โบนัสกลับไปซะหน่อยเป็นไร
    ส่วนต่างที่จ่ายเกินให้ก็ถือซะว่า
    เป็นดอกเบี้ย + แถมให้ ไว้ใช้ ช่วยเหลือคนไข้
    ที่สำคัญการบริจาคเงินพวกนี้
    มันก็จะช่วยให้หนูบัวฯ ได้ทดลองฝึก
    การลดการยึดติด กับ คำว่าตัวกู ของกู ดีออกนะ
    เฮ้อ...เจอการชักแม่น้ำทั้ง ห้า มาหว่านล้อมอย่างนี้
    หนูบัวฯก็หลวมตัวทำตามคำสอนของ เจ้าจริตตัวดี อีกตามเคย
    และ พอหมดปัญหาเรื่อง จำนวนเงิน
    คราวนี้ก็เจอปัญหาอีกว่า แล้วจะบริจาคให้ส่วนไหนของ รพ. ดีหว่า?
    จะเอาเข้าเงิน บำรุง เงินสวัสดิการ
    บริจาคเอาไว้ซื้ออุปกรณ์การแพทย์
    หรือ บริจาคให้มูลนิธิ ใน รพ. ดี ?
    ดูยิบย่อยนะ แต่ก็ต้องทำแหล่ะ
    เพราะถ้าบริจาคผิดที่ผิดทาง
    บางทีเขาก็เอาไปใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย
    อย่างที่เราอยากให้เป็น มันก็คงรู้สึกไม่ดีนะ
    สุดท้ายจึงได้ข้อสรุปว่า
    ในเมื่อรพ. เป็นของประชาชนคนไข้ทุกคน
    ดังนั้นถ้าหนูบัวฯจะบริจาคใช้หนี้หลวง
    เธอ ก็ควรบริจาคคืนให้กับคนไข้
    เธอเลยเลือกบริจาคเข้ามูลนิธิพระเทพฯ เพื่อช่วยเหลือคนไข้ยากไร้
    ครั้งแรกที่หนูบัวฯทำท่ากระมิดกระเมี้ยนควักกระเป๋าบริจาค
    ชาวบ้านแตกตื่นกันเป็นแถบ มองหน้าเธอแปลก ๆนึกว่าผีเข้าเธอ
    โธ่ ก็สมควรอยู่หรอกนะ
    คนที่เห็นซองกฐินผ้าป่า ก็ร้องกรี๊ดๆ
    แล้วรีบวิ่งหนีเหมือนเห็นผี อย่างหนูบัวฯ น่ะ
    มันไม่น่าจะกลายเป็นคนใจบุญสุนทานไปได้
    ในเวลาอันสั้นเช่นนี้เลยนิ เฮ้อ



    ----------------------------------

    อ้อ ขออภัย ตัวหนังสือมันอาจจะดูลายตาหน่อย
    เพราะ ก๊อปวาง ลูกเดียว ไม่ได้ จัดหน้า ( ขี้เกียจ แหะ ๆ )

    ------------------------------------------------
     
  20. ren

    ren เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กันยายน 2005
    โพสต์:
    426
    ค่าพลัง:
    +2,646
    เป็นกำลังใจให้น่ะจ๊ะ หนูบัว
    (ไล่อ่านตามที่เขียน อืมมม ... ตาลายจิงๆ แบบว่าแก่แร้วมั้งเรา )
     

แชร์หน้านี้

Loading...